วันพฤหัสบดีที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

เปิดคลิปหน้าวัดปทุมฯ 19พ.ค. ของจริง!เขียน
http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=TVRJM05UTXpPREF3TlE9PQ==&sectionid=b3VqU3g3VG94N2s9&day=TWpBeE1DMHdOaTB3TVE9PQ==
เห็นเพลิงไหม้ใกล้"พารากอน"-ทหารเล็งปืนเข้าวัด

ข่าวสด : คลิปวิดีโอบางช่วงจากเหตุการณ์ทหารยืนบนรางรถไฟฟ้าบีทีเอส พร้อมเล็งปืนเข้าไปยังวัดปทุมวนาราม โดยช่วงหนึ่งของคลิปมองเห็นเหตุเพลิงไหม้และกลุ่มควันพวยพุ่งจากฝั่งขวามือของห้างสยามพารากอน เป็นหลักฐานว่าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นช่วงเย็นวันที่ 19 พ.ค. 2553 หลังทหารเข้าสลายผู้ชุมนุมเวทีราชประสงค์จริง


ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากการตรวจสอบคลิปทหารบนรางรถไฟฟ้าบีทีเอสและเล็งปืนไปยังวัดปทุมวนารามช่วงเย็นวันที่ 19 พ.ค.ดังกล่าว พบว่า คลิปมีความยาวทั้งหมด 04.47 นาที ได้ยินเสียงยิงอาวุธปืนยิงบางครั้งคราว โดยช่วงต้นคลิปจะจับภาพทหารหลายนายยืนอยู่บนรางรถไฟฟ้า ตรงข้ามวัดปทุมวนาราม ติดกับห้างสรรพสินค้าสยามพารากอน ต่อมา นาทีที่ 01.10 กล้องหันไปจับภาพกลุ่มควันและเหตุเพลิงไหม้อย่างหนักบริเวณตัวสถานีรถไฟฟ้าเยื้องกับห้างฯ สยามพารากอน และมองเห็นไฟลุกไหม้จากฝั่งสยามสแควร์อีกด้วย และนาทีที่ 01.34 เมื่อกล้องหันมาทางขวา มองเห็นกลุ่มควันไฟขนาดใหญ่ลอยปกคลุมท้องฟ้า 

จากนั้นนาทีที่ 02.10 มีภาพทหารสองนายหันหน้ามองตรงไปยังพื้นที่ภายในวัดปทุมวนาราม และเล็งปืนเข้าใส่วัดปทุมวนารามในนาทีที่ 02.15 ส่วนช่วงท้ายของคลิปนั้นดึงภาพออกมาถ่ายแบบมุมกว้าง มองเห็นควันไฟลอยคลุ้งอยู่ทางฝั่งซ้ายมือของผู้บันทึกภาพ 

อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ช่วงนาทีแรกๆ ที่เห็นกลุ่มเพลิงไหม้อย่างหนักนั้นขอสงวนการเผยแพร่ภาพเอาไว้เพื่อความปลอดภัยของผู้บันทึกภาพ





สื่อนอกแพร่ภาพยิงสยอง ศพเกลื่อนรางน้ำ-ดินแดง

ยอดตาย 24 ศพ เจ็บ 187


 เมื่อวันที่ 15 พ.ค. สำนักข่าวยักษ์ใหญ่ของโลกทั้ง 3 แห่ง ได้แก่ เอพี-สหรัฐ เอเอฟพี-ฝรั่งเศส และรอยเตอร์-อังกฤษ ต่างเผยแพร่ภาพผู้ชุมนุมถูกยิงเสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมากในเขตกรุงเทพมหานคร โดยเฉพาะที่บริเวณซอยรางน้ำและย่านสามเหลี่ยมดินแดง รวมทั้งเหยื่อที่ถูกยิงที่ศีรษะโดยหน่วยแม่นปืน หรือสไนเปอร์ โดยเอเอฟพีรายงานว่า ยอดผู้เสียชีวิตเพิ่มเติมเป็น 22 รายแล้ว และเมื่อรวมตั้งแต่เหตุปะทะครั้งแรก 10 เม.ย. มีผู้เสียชีวิตในการเผชิญหน้าระหว่างผู้ชุมนุมและรัฐบาลแล้วถึง 50 ราย

 ด้านสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ สพฉ. แจ้งว่า จำนวนผู้เสียชีวิตจากเหตุรุนแรงที่เกิดต่อเนื่องระหว่างวันที่ 14-15 พ.ค. ที่บริเวณสวนลุมพินี สามเหลี่ยมดินแดง ถนนราชปรารภ ซอยหมอเหล็ง และอีกหลายจุด ถึงเวลา 22.00 น. วันที่ 15 พ.ค. เพิ่มเป็น 24 ราย บาดเจ็บ 187 ราย ในจำนวนนี้ยังอยู่ห้องไอซียู 24 ราย เป็นชาวต่างชาติ 5 ราย ได้แก่ แคนาดา โปแลนด์ พม่า ไลบีเรีย และไม่ทราบสัญชาติ 1 ราย

 เวลา 08.00 น. ผู้สื่อข่าวรายงานจากบริเวณแยกสามเหลี่ยมดินแดง ภายในซอยรางน้ำ มีเหตุปะทะกันระหว่างเจ้าหน้าที่ทหารและผู้ชุมนุมแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เป็นเหตุให้ พนักงานส่งน้ำอัดลมโค้กบาดเจ็บถูกยิงหน้าอกด้านขวา โดยจุดเกิดเหตุอยู่ใกล้ปากซอยรางน้ำ ผู้เห็นเหตุการณ์จึงช่วยนำส่งโรงพยาบาลราชวิถี ขณะเดียวกันภายในซอยลึกมีผู้ได้รับบาดเจ็บอยู่ใกล้แนวบังเกอร์ของทหารอีก 2 ราย แต่เจ้าหน้าที่รถกู้ชีพไม่สามารถเข้าไปช่วยเหลือผู้บาดเจ็บได้ เนื่องจากเหตุการณ์ปะทะเพิ่งสงบ และยังไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ ทำให้ไม่มีใครกล้าเข้าไปช่วยผู้บาดเจ็บ

 ต่อมาเจ้าหน้าที่ทหารได้นำป้ายมาติดว่าบริเวณถนนราชปรารภเป็นเขตกระสุนจริง ห้ามประชาชนผ่าน ซึ่งถือเป็นการเตือนกลุ่มผู้ชุมนุมว่าหากเข้ามาบริเวณถนนราชปรารถทหารจะใช้กระสุนจริงยิงทันที

 เวลา 10.00 น. ที่แยกบ่อนไก่ บริเวณถนนพระราม 4 ตั้งแต่แยกบ่อนไก่จนถึงสนามมวยลุมพินี บรรยากาศเงียบสงัดไม่มีการเผชิญหน้ากัน เพราะไม่อนุญาตให้มีการสัญจรเข้าออก อย่างไรก็ตาม เมื่อเวลาประมาณ 09.30 น.ชาวบ้านในย่านดังกล่าวเปิดเผยว่า มีชาวบ้าน 3-4 คนเดินอยู่บนฟุตปาธริมถนน ปรากฏว่าถูกบุคคลไม่ทราบฝ่ายยิงมาจากมุมสูง ทำให้ได้รับบาดเจ็บ นำส่งร.พ.แล้ว กลุ่มชาวบ้านจึงต้องเฝ้าระวังและคอยสังเกตการณ์     

 บริเวณดังกล่าวกลุ่มผู้ชุมนุม นปช.ได้นำรถเก็บขยะของกรุงเทพมหานครออกมาเผาทำลาย และเผาตู้โทรศัพท์สาธารณะ  โดยก่อนหน้านี้มีรายงานว่าเกิดการปะทะกันบริเวณสนามมวยลุมพินี โดยมีการยิง M79 ใส่เจ้าหน้าที่ทหาร ด้านเจ้าหน้าที่ทหารได้ยิงปืนขึ้นฟ้าเพื่อตอบโต้และข่มขวัญ

 ส่วนบริเวณถนนสาทรที่ตัดกับถนนพระราม 4 บริเวณใต้สะพานไทย-เบลเยียม ทหารได้ปิดถนน มีการขึงลวดหนาม และเฝ้าระวังเหตุการณ์ความรุนแรงอย่างเข้มงวด

 ส่วนที่บริเวณศาลาแดง หน้าตึกอื้อจือเหลียง ถนนพระราม 4 ซึ่งเป็นจุดที่ประจันหน้ากันของเจ้าหน้าที่ทหาร กับกลุ่มคนเสื้อแดงจำนวนมาก เมื่อเวลา 11.40 น. กลุ่มคนเสื้อแดงได้ยิงระเบิดเอ็ม 79 เข้าใส่ทหารหน้าตึกอื้อจือเหลียง 2 ลูก ทำให้เจ้าหน้าที่ทหารยินปืนตอบโต้เสียวดังประปราย ซึ่งคาดว่าจะเกิดเหตุการณ์ปะทะกันอย่างต่อเนื่องทั้งวันในวันนี้ ทำให้ล่าสุดทหารต้องเสริมกำลังเข้าไปไปยังบริเวณศาลาแดง หลังเกิดเหตุยิง เอ็ม 79

 เวลา 12.00 น. เกิดเสียงระเบิดดังขึ้นและเสียงปืนยิงตอบโต้กันหลายครั้งระหว่างกลุ่มเจ้าหน้าที่และนปช. ต่อเนื่องจนถึงช่วงบ่ายยังมีเสียงดังคล้ายระเบิดต่อเนื่องเป็นระยะๆ กลุ่มควันไฟที่ผู้ชุมนุมจุดไฟเผายางรถยนต์กลิ้งไปตามถนน ตามจุดที่เชื่อว่ามีทหารประจำการอยู่ ทั่วบริเวณฝั่งขาเข้าและออกถนนพระราม 4 ยังคงลอยขึ้นเป็นระยะ ด้านบนมีเฮลิคอปเตอร์บินวนอยู่รอบพื้นที่ กลุ่มผู้ชุมนุมได้จุดประทัด โคมไฟ ขึ้นไปรบกวนการบินของเฮลิคอปเตอร์ 

 เวลา 15.45 น. ผู้สื่อข่าวรายงานจากบริเวณราชปรารภว่า กลุ่มผู้ชุมนุมขยับแนวเข้าไปหาทหารอีก 100 เมตร โดยใช้รถยนต์ประชาชน และรถน้ำ กทม. เคลื่อนนำหน้า จากนั้นกลุ่มผู้ชุมนุมก็พากันหมอบคลานตามฟุตบาธ เสาไฟ และต้นไม้ ทหารใช้ปืนยิงล้อยางรถน้ำ กทม. ซึ่งมีรูกระสุนที่กระจกหน้าฝั่งข้างคนขับดัวย และยังมีเสียงระเบิดดังขึ้น 3 ครั้ง สลับกับเสียงปืน ทำให้กลุ่มคนเสื้อแดงถอยร่นออกมาจากแนวบังเกอร์ที่ตั้งไว้ โดยรถประชาชนที่ถูกบีบเข้ามาก็ถูกปืนยิงที่กระจกมองข้าง 1 คัน ต่อมากลุ่มรถประชาชนที่ถูกบีบเข้ามาก็รีบกลับรถแล้วขับออกไปอย่างรวดเร็ว หลังเกิดเหตุมีผู้บาดเจ็บจำนวนหนึ่ง โดยมีรายงานว่า นายชัยวัฒน์ พุ่มพวง ช่างภาพสำนักข่าวเนชั่น ถูกยิงที่ขาได้รับบาดเจ็บ กระดูกขาขวาแตก

  เวลา 16.10 น. นักท่องเที่ยวชาวออสเตรเลียบันทึกภาพหน่วยซุ่มยิง อยู่บนดาดฟ้าอาคารชาญอิสระ ถ.พระราม 4 ตรงข้าม ร.พ.จุฬาลงกรณ์ โดยภาพดังกล่าวเป็นชาย 2 คนอยู่บนดาดฟ้าอาคารดังกล่าวยืนอยู่คู่กัน ลักษณะคล้ายคนหนึ่งกำลังซุ่มอยู่ส่วนอีกคนหนึ่งคล้ายกำลังใช้กล้องส่องทางไกลคอยตรวจดูพื้นที่รอบด้าน มามอบให้ผู้สื่อข่าว โดยนักท่องเที่ยวดังกล่าวระบุว่าภาพดังกล่าวถ่ายได้ขณะอยู่ที่บริเวณ ถ.ราชดำริ ด้านข้างร.พ.จุฬาฯ สังเกตเห็นบรรดาการ์ดชุดดำชี้ไปที่ยอดอาคารดังกล่าว เมื่อมองตามขึ้นไปพบชายทั้งคู่ดังกล่าว โดยคนหนึ่งได้ชูปืนขึ้นให้เห็นอย่างชัดเจน จึงรีบใช้กล้องวีดีโอที่ติดมาบันทึกภาพเก็บไว้ และนำมามอบให้ผู้สื่อข่าวดังกล่าว

 เวลา 17.00 น. บรรยากาศการชุมนุมบริเวณแยกบ่อนไก่เป็นไปด้วยความตึงเครียด โดยมีระเบิด M79 ถูกมากว่า 20 ลูก พร้อมกับเสียงประทัดและปืนดังเป็นระยะๆ เบื้องต้นมีรายงานว่าเจ้าหน้าที่กู้ภัยเสียชีวิต 1 ราย ขณะเดียวกันกลุ่มผู้ชุมนุมได้ขนยางรถยนต์หลายร้อยเส้นเพื่อนำมาเผาให้เกิดกลุ่มควันป้องกันการมองเห็นจากเจ้าหน้าที่ทหารขณะที่ประชาชนและผู้ชุมนุมยังคงปักหลักบริเวณริมถนน โดยอาศัยอาคารเป็นที่กำบัง

 เวลา 20.20 น.มีเสียงระเบิดเอ็ม 79 ถูกยิงมาตกลงที่สน.ลุมพินี นาน 5 นาที จำนวน 7-8 ลูกเสียงดังสนั่น ทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจต่างหมอบกับพื้นเข้าหาที่กำบังกันจ้าละหวั่น โดยไม่ทราบว่าวิถีกระสุนดังกล่าว ถูกยิงมาจากทิศทางด้านใด ลูกระเบิดเอ็ม 79 ได้ตกลงบริเวณรอบๆ พื้นที่ สน.ลุมพินี และตกลงที่ลานจอดรถด้านหลัง สน.ลุมพินี ทำให้รถยนต์ได้รับความเสียหายจำนวนหลายคัน เบื้องต้นนั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจยังไม่กล้าออกไปตรวจสอบความเสียหาย เนื่องจากเกรงจะไม่ได้รับความปลอดภัย ทางผู้บังคับบัญชาจึงได้สั่งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเตรียมพร้อมอาวุธเพื่อป้องกันตัวเองในพื้นที่ สน.ลุมพินี โดยบรรยากาศด้านหน้า สน.ลุมพินี ถนนวิทยุถูกปิดไม่มีรถยนต์วิ่งผ่าน และบรรยากาศเงียบสงบโดยมีกำลังทหารปักหลักอยู่ภายในสวนลุมฯ 































เครือข่ายเสื้อแดงโลกเตือนDSIยุติไล่ล่าแดงต่างแดน จ่อดำเนินคดีกงสุลLAฐานเป็นมาเฟียเหนือกม.สหรัฐ


โดย ทีมข่าวไทยอีนิวส์
10 กุมภาพันธ์ 2554

ตามที่ไทยอีนิวส์ได้นำเสนอข่าว DSIเบ่งกล้ามข้ามโลก ส่งกงสุลข่มขู่ขบวนการของคนเสื้อแดงในแอลเอ หลังจัดตาสว่างกลางอเมริกา เหตุการณ์อเมื่อวันที่ 7 ก.พ.ที่ผ่านมา นายคมกฤช จองบุญวัฒนา (ซ้าย) บุกไปหาคนเสื้อแดงแอลเอ ถึงที่พักโดยมิได้นัดหมาย ตอนแรกอ้างตัวมาจากDSI พอซักหนักเข้ายอมรับว่าเป็นกงสุลไทยประจำแอลเอ โดยแจ้งว่าเดือนหน้าDSIจะมาเอง ให้ไปให้การกรณีเสื้อแดงแอลเอจัดงาน แล้วเชิญนายจักรภพ เพ็ญแข โฟนอินมาสนทนาตั้ง 2 ปีมาแล้ว แต่คนเสื้อแดงอเมริกากังขาว่าเป็นการมาคุกคามมากกว่า เพราะเสื้อแดงในอเมริกากำลังขยายตัวเติบใหญ่ท้าทายระบอบปกครองเผด็จการอำมาตย์ในไทย

ล่าสุดเครือข่าวคนเสื้อแดงทั่วโลกได้ออกแถลงการณ์ฉบับหนึ่ง เตือนให้สถานกงสุลไทยประจำแอลเอ ,DSI และรัฐบาลเผด็จการของไทย ยุติการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน ทั้งแจ้งว่า จะดำเนินคดีต่อสถานกงสุลใหญ่ ณ นครลอส แองเจลีส อันมี นายดำรง ใคร่ครวญ เป็นผู้รับผิดชอบ และกรมสอบสวนคดีพิเศษ โดยนายธาริต เพ็งดิษฐ์ และรัฐบาลไทย โดยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ โทษฐานละเมิดสิทธิมนุษยชน และล่วงล้ำอำนาจแห่งกระบวนการยุติธรรมของสหรัฐอเมริกา

โดยรายละเอียดแถลงการณ์มีดังนี้


แถลงการณ์ของเครือข่ายคนเสื้อแดงทั่วโลก:DSI โปรดสำเหนียก

ท่ามกลางสถานการณ์จุดไฟสงครามกับเพื่อนบ้านในการยิงปืนใหญ่ และระเบิดโต้ตอบกับกองกำลังทหารเขมรที่อำเภอกันทลักษณ์ใกล้ปราสาทพระวิหาร อันทำให้ชาวบ้านที่เคยอยู่อย่างสงบสุขนับร้อยครอบครัวต้องอพยพหลบภัยละทิ้งที่อยู่อาศัย ในขณะที่ชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนในเมืองต้องเผชิญกับปัญหาสินค้าอุปโภคบริโภคขึ้นราคาสูงผิดปกติ แล้วยังขาดแคลนไม่มีจำหน่าย

รัฐบาลไทยชุดปัจจุบันที่ได้ชื่อว่า “เทพประทาน” อันมีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เป็นรองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง และนายกษิต ภิรมย์ เป็นรัฐมนตรีต่างประเทศ กำลังประกอบกรรมทำเข็ญอีกทางหนึ่ง นอกเหนือจากที่ได้ทำการสังหารประชาชนที่คิดต่างไปแล้วอย่างน้อย ๙๑ ราย บาดเจ็บกว่าสองพัน ในการขอคืนพื้นที่สี่แยกคอกวัว วันที่ ๑๐ เมษายน ไปถึงการกระชับพื้นที่ราชประสงค์วันที่ ๑๙ พฤษภาคม ปี ๒๕๕๓

บัดนี้หน่วยงานลักษณะเกสตาโปของรัฐบาลอภิสิทธิ์ ภายใต้สมัญญานามว่า กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ ของนายธาริต เพ็งดิษฐ์ ซึ่งรับช่วงปฏิบัติการมาจากศูนย์อำนวยการภาวะฉุกเฉิน (ศอฉ.) ในการตามล้างตามผลาญคนเสื้อแดงผู้เรียกร้อง และต้องการประชาธิปไตย ให้บ้านเมืองบังคับใช้กฏหมายอย่างเที่ยงตรงไม่เป็นสองมาตรฐานนั้น

ได้ทำตัวเป็นดั่งมาเฟีย ส่งคนออกไปคุกคามข่มขู่นักกิจกรรมเพื่อประชาธิปไตยเสื้อแดงถึงในนครลอส แองเจลีส สหรัฐอเมริกา

ปรากฏว่าเมื่อวันจันทร์ที่ ๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ นี้เองได้มีเจ้าหน้าที่สถานกงสุลใหญ่ ณ นครลอส แองเจลีสนายหนึ่งนามว่า คมกฤช จองบุญวัฒนา ไปเคาะประตูขอคุยกับนักกิจกรรมเสื้อแดงคนหนึ่งถึงอพ้าร์ตเม้นต์ที่พัก แรกทีเดียวเจ้าหน้าที่นายนี้อ้างตัวว่าเป็นคนของดีเอสไอ หลังจากพูดคุยซักถามรายละเอียดต่างๆ เกี่ยวกับการจัดอภิปรายโดยนายจักรภพ เพ็ญแข นานมาแล้ว นายคมกฤชจึงยอมรับว่าตนเป็นเจ้าหน้าที่ประจำสถานกงสุลที่รับงานมานัดหมายเรียกตัวนักกิจกรรมดังกล่าวให้ไปพบเมื่อเจ้าหน้าที่ดีเอสไอเดินทางมาถึง

การกระทำดังกล่าวของเจ้าหน้าที่สถานกงสุลไม่เพียงแต่ล่วงละเมิดสิทธิมนุษยชนของบุคคล แล้วยังบังอาจใช้วิธีการซ่อนเร้น อีแอบ และหมกเม็ด ในการคุกคาม และข่มขู่ต่อพลเมือง หรือผู้อยู่อาศัยถาวรของประเทศที่ยึดมั่นในหลักการแห่งอธิปไตยของปัจจเจกชนอย่างเปี่ยมล้นเช่นสหรัฐอเมริกา

การกระทำอย่างอุกอาจละเมิดสิทธิอาณาเขต และก้าวร้าวต่อบุคคลเชื้อชาติไทย โดยเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลทำนองนี้ เคยปรากฏมาแล้วเมื่อไม่นานมานี้ตามรายงานข่าวที่ปรากฏในไทยอีนิวส์กลางปีที่แล้ว ว่าเจ้าหน้าที่ดีเอสไอสองคนเดินทางมานครลอสแองเจลีสผ่านทางสถานกงสุล ได้ติดต่อเข้าสอบสวนพลเมืองอเมริกันเชื้อสายไทยนายหนึ่ง ถึงกรณีที่เขาเคยเข้าไปเล่นเว็บที่มีการวิจารณ์สถาบันกษัตริย์ไทยนานนับสิบปีมาแล้ว ชาวอเมริกันเชื้อสายไทยผู้นั้น ได้ทำการฟ้องร้องทางการไทยต่อหน่วยงานสิทธิมนุษยชน ขณะนี้คดีความไปถึงกรรมาธิการรัฐสภาสหรัฐแล้ว

สำหรับกรณีที่เพิ่งเกิดขึ้นอีกในลอส แองเจลีสนี้ ได้มีการส่งข่าวแพร่หลายไปตามเว็บไซ้ท์ และกลุ่มเรียกร้องประชาธิปไตยไทยทั่วสหรัฐ (Red in USA) อย่างรวดเร็วภายใน ๒๔ ชั่วโมง และได้มีการทำหนังสือเวียนส่งถึงชาวอเมริกันอื่นๆ โดยกลุ่มRed USA/Chicago ใจความตอนหนึ่งว่า
“There were many cases of human rights violations. Draconian Les Majeste laws were used to silence freedom of speech. Thousands and thousands of web sites were closed or blocked. Intimidations were wide spread. Thai Media were afraid to speak the truth.
.................
If you think Egypt is worst--- Thailand is far worst. ...”


ส่วนในลอส แองเจลีส กลุ่ม Red USA/LA ได้ปรึกษากันแล้วเห็นว่า การที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ ผ่านทางสถานกลสุลใหญ่ แอล.เอ. กระทำการก้าวก่ายสิทธิส่วนบุคคล โดยบังอาจจัดให้มีสายไปเรียกตัวบุคคลเพื่อการสอบสวนทางอาญา โดยไม่ผ่านกระบวนการทางกฏหมายของประเทศที่เขาอยู่อาศัยเช่นนี้ เป็นการละเมิดต่อสิทธิ และเสรีภาพส่วนบุคคลอย่างร้ายแรง

แล้วยังคุกคามความสงบสุขของคนกลุ่มใหญ่ เนื่องจากมีคนเชื้อชาติไทยในนครแห่งนี้เป็นจำนวนมากที่พร้อมใจในการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตยสำหรับประเทศไทย และร่วมกันดำเนินกิจกรรมในนามของเสื้อแดงอย่างสม่ำเสมอ การข่มขู่สมาชิกคนใดคนหนึ่งย่อมเป็นการเขย่าขวัญคนทั้งกลุ่มพร้อมกันไปโดยปริยาย

ดังนี้กลุ่ม Red USA/LA จึงเห็นพ้องกันที่จะดำเนินคดีต่อสถานกงสุลใหญ่ ณ นครลอส แองเจลีส อันมีนายดำรง ใคร่ครวญ เป็นผู้รับผิดชอบ กรมสอบสวนคดีพิเศษ โดยนายธาริต เพ็งดิษฐ์ และรัฐบาลไทย โดยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ โทษฐานละเมิดสิทธิมนุษยชน และล่วงล้ำอำนาจแห่งกระบวนการยุติธรรมของสหรัฐอเมริกา

ทั้งนี้ได้มีการติดต่อกับทนายความผู้เชี่ยวชาญเรื่องคดีสิทธิมนุษยชน สังกัดสำนักทนายใหญ่แห่งหนึ่งของนครลอส แองเจลีสแล้ว ส่วนรายละเอียดของรูปคดีและขั้นตอนการดำเนินการจะได้มีการนำเสนอให้สารธารณชนทั้งในและนอกประเทศไทยได้รับทราบเป็นระยะๆ

ในระหว่างที่ทนายความตัวแทนของคนเสื้อแดงกำลังรวบรวมเอกสารหลักฐาน ค้นคว้าข้อกฎหมายและคดีที่ใช้เป็นมาตรฐานอ้างอิงเพื่อดำเนินการฟ้องร้อง เราขอแจ้งให้ทราบว่า หากเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลไทยยังกระทำการอันเป็นการคุกคามคนเสื้อแดงทั้งในที่อยู่อาศัย เคหะสถาน และ/หรือสถานประกอบการและธุรกิจ เกี่ยวกับคดีต่างๆ และกิจกรรมของคนเสื้อแดงที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลเผด็จการไทย เราจะแจ้งเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นผู้มีอำนาจตามกฏหมายให้จับกุมตัว และดำเนินคดีกับตัวแทนรัฐบาลไทยนั้นๆในทันที แม้เอกสิทธิ์ทางการฑูตจะเป็นเกราะปกป้องมิให้ท่านต้องถูกจับกุมคุมขังก็ตาม แต่การกระทำของบุคคลตัวแทนรัฐบาลไทยเหล่านั้น จะถูกนำมาเป็นพยานและหลักฐานประกอบคดี Harassment and Intimidation ซึ่งจะยังคงดำเนินการอยู่อย่างต่อเนื่อง

อนึ่ง ต่อการที่นายคมกฤช เจ้าหน้าที่กงสุลแจ้งต่อนักกิจกรรมเสื้อแดงว่ าให้รอรับการเรียกตัวไปสอบสวนโดยเจ้าหน้าที่ดีเอสไอที่จะเดินทางมาแอล.เอ. และจะชวนใครไปด้วยก็ได้นั้น เราขอให้ท่านพึงสำเหนียกว่า ท่านไม่มีอำนาจเรียกตัวคนที่อยู่อาศัยในสหรัฐไปสอบสวน (แม้ว่าจะใช้วาทกรรม "ขอคุย" ก็ตาม)

การใช้อำนาจในฐานะตัวแทนรัฐบาลไปละเมิดสิทธิ์ผู้อื่นอาจก่อให้เกิดความเสียหายอย่างมากต่อชื่อเสียงของประเทศ

แถลงการณ์มา ณ วันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2554

RED USA – LA
RED USA – NY
RED USA – IL
RED USA – FL
RED USA – TEXAS
RED USA – LAS VEGAS
RED USA – ARIZONA
RED USA – MICHIGAN
RED JAPAN
RED TAIWAN
THAI RED AUSTRALIA
RED GERMANY
RED BELGIUM
RED FRANCE
RED NORWAY
RED DENMARK
RED FINLAND
UDD Thai of Eu

แนะนำวิธีรับมือและตอบโต้กรณีรัฐบาลเผด็จการคุกคามคนไทยต่างแดน

คุณดวงจำปา เขียนกระทู้ในกระดานสนทนาInternet Freedom เรื่อง สืบเนื่องจากกระทู้ DSI ส่งคนมาที่ Los Angeles -แนว ทางแก้ไขค่ะ ถ้ามีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นนะคะ คนที่อยู่ในบ้านต้องปฏิบัติดังนี้

1. เรียกตำรวจท้องถิ่นทันที
2. ถึงแม้ว่า ตัว Consul จะได้รับการปกป้องโดยสิทธิทางการฑูต หรือ Diplomatic Immunity ซึ่งทางผู้บังคับใช้กฎหมายท้องถิ่น ไม่สามารถทำอะไรกับเขาได้ก็ตาม ขอร้องให้ผู้บังคับใช้กฎหมาย ลงบันทึกรายวัน เป็นลายลักษณ์อักษรไว้
3. อธิบายด้วยว่า เขามาข่มขู่ และ สืบข้อมูลเรื่องอะไร
4. ติดต่อกับ News Agency หรือ สื่อมวลชนในท้องถิ่น อธิบายเรื่องที่เกิดขึ้น (ข้อนี้สำคัญมาก และเป็นการย้อนศรที่เจ็บแสบ)
5. จดทะเบียนรถ หรือ รูปรถที่มันขับมาด้วย ว่า เป็นรถอะไร สีอะไร และทะเบียนอะไร ถ่ายรูปไว้เลยนะคะ
6. กรุณาอย่าไปที่สถานฑูตไทย เพราะทางการฑูต เขามีสิทธิเท่าเทียมกันกับดินแดนของประเทศไทย คุณจะต้องอยู่นอกสถานฑูต เพราะยังถือว่า เป็นดินแดนของประเทศสหรัฐอเมริกาอยู่ พวกนี้จะต้องการหลอกล่อให้ท่าน เข้าไปในเนื้อที่ของสถานฑูต เพราะสามารถดำเนินการกับท่านทางกฎหมายไทยได้


สิ่งที่สำคัญคือ คุณอย่าไปเซ็นเอกสารอะไรโดยเด็ดขาด คุณมีสิทธิทุกอย่างในการอัดเสียงหรือนำพยานบุคคลที่เป็นคนไทย มาอยู่กับท่านได้ เรื่องนี้ ไม่คำนึงถึงสถานะของคุณเลยนะคะ เขาไม่มีสิทธิที่จะถามถึงเรื่อง Green Card หรือแม้แต่ใบขับขี่ของคุณ

สิทธิของคุณยังถูกปกป้องด้วยรัฐธรรมนูญของประเทศสหรัฐอเมริกา ในบทเพิ่มเติมที่ 5 และบทเพิ่มเติมที่ 7 ค่ะ ไม่มีใครมาพิจารณาคดีของคุณได้ และคุณยังเป็นผู้บริสุทธิ์อยู่ และสามารถเฉยเมยไม่พูดอะไรได้ทั้งสิ้น

บุคคลผู้นี้ ไม่ใช่ผู้บังคับใช้กฎหมายค่ะ ถ้ามีจริง อำนาจศาลของเขา จะขัดกับอำนาจทางศาลของท้องถิ่น ซึ่งเขาจะมีปัญหาในการเข้ามากร่างในดินแดนในเมืองเหล่านั้นค่ะ

บุคคลผู้นี้ จะใช้การข่มขู่ทางจิตวิทยา หรือ Psychological intimidation เป็นต้นว่า ถ้าไม่ร่วมมือ คุณจะกลับเมืองไทยไม่ได้ หรือ ครอบครัวที่เมืองไทยของคุณ จะมีปัญหา อย่างนู้นอย่างนี้ ถ้าไม่ได้ช่วยเหลือเขา

บุคคลผู้นี้ ไม่ได้ถือคำสั่งจากศาลท้องถิ่น และไม่มีสิทธิ์อะไรในท้องถิ่นค่ะ ผู้ถือหมายศาลจะเป็น Police, Sheriff หรือ Court Officers เท่านั้นค่ะ นายคนนี้ กำลังปฎิบัติการใช้อำนาจซ้อนอำนาจศาลท้องถิ่น ในการใช้ Diplomatic Immunity เข้ามาบังหน้าค่ะ

ในฐานะที่เคยทำงานต่อการบังคับใช้กฎหมายมาก่อน ดิฉันขอบอกให้ท่านทราบว่า ตัว Police & Sheriff ในท้องถิ่น เขาไม่ชอบแน่ๆ ที่มีคนมาใช้อำนาจต่างๆ ในเขตบังคับใช้กฎหมาย หรือ Jurisdiction ของเขาค่ะ ยิ่งถ้าไม่ได้ติดต่อกับพวกเขาก่อนแล้ว ถือว่าเป็นการไม่ไว้หน้าค่ะ (ขนาด FBI จะมาปฎิบัติการในท้องถิ่นนั้น เขายังต้องติดต่อกับผู้บังคับใช้กฎหมายของท้องถิ่นก่อนเลย ว่า เขาจะ takeover เคสนั้นๆ)

เรื่องแบบนี้ ถ้าเกิดขึ้นเกิน 2 หนขึ้นไป จะมีการสืบค้นเองค่ะ เพราะถือว่า ตัวกงศุล ใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบ กับบุคคลที่อยู่ในท้องถิ่นนั้น ทางผู้บังคับใช้กฎหมาย เขาก็คงจะไม่พอใจ ที่มีคนมาสร้างอำนาจในท้องถิ่นของเขา เรื่องบันทึกรายวันนั้น คุณสามารถส่งไปให้กับสื่อต่างๆ ได้ เอาให้สื่อมวลชน ลงข่าวให้หนักเลย จะดีไหมคะ?

ขอแนะนำให้ติดต่อกับ Fox News, NBC, ABC หรือ CBS นะคะ เอาให้มันเสียไปเลย เรื่องสื่อมวลชนนี้ เป็น Worst Nightmare ของบุคคลเหล่านี้จริงๆ เพราะถึงแม้จะมี Diplomatic Immunity แต่ที่นี่เขามี Freedom of Expression กันนะคะ ว่า จะออกข่าวยังไง เขาเอาคุณกร่างนี้ ไม่เลี้ยงค่ะ

ถ้ามาทาง Ohio ก็บอกให้ทราบก่อนนะคะ แต่คิดว่า คงอยู่ทาง West Coast มากกว่า จะมากร่างแถบ Midwest ก็เชิญเลยค่ะ ยินดีต้อนรับเสมอ...

Diplomatic Immunity มันสู้ข่าวกระจายทางเนท และ โดยสื่อมวลชนไม่ได้หรอกค่ะ คุณกงศุลจะทำอะไรบ้าๆ บอๆ แบบนี้ คราวหลัง ก็ดูแล้วกันว่า คุณจะเอาชื่อเสียงของประเทศ มาสู้กับฝ่ายสื่อมวลชนที่นี่ จะเอาไหมคะ?


แปลข้อความข่าวจาก Thai-eNews โดย: ดวงจำปา

Constitutional Rights Violations by the Thai Mafia Diplomat on the U.S. Soil 


This story had just recently happened. On the late morning of Monday, February 7, 2011, local time in Los Angeles, USA, Mr. Komkrich Chongbunwatana, a Thai Consulate from Royal Thai Embassy, as seen from the enclosed business card, spontaneously appeared in front of a small apartment and inquired about one of the Red-Shirt members who has been residing in the USA without setting up any prior appointments or notices. He, himself, claimed that he was an officer from the Thai’s Department of Special Investigation, ( DSI.)

However, the business card given turned out to display of his genuine place of employment, which is the Royal Thai Consulate in Los Angeles.

The objective of his visit, based on what he informed this head of the household, was that he had been acting on the behalf of the DSI’s executive order by informing that the DSI officials will be traveling to Los Angeles, in order to interview and investigate Mr. Jakrapob Penkair’s case. The Consul requested this individual to travel to the Royal Thai Consulate’s office in Los Angeles when the DSI officers arrive next month. He also stated that this individual could bring anyone with him.

The strangest thing that puzzled everyone was how this Consul, who claimed that he was from DSI, knew about this Red-shirt individual’s name and the address.

After 30-40 minutes of conversation between an uninvited guest and the Red-shirt individual currently rents this small apartment, had been circling on the topics of Mr. Jakrapob Penkair’s speech that was delivered in the United States. Some of the questions involved were regarding to the event’s promoter, the sources of the capital and expenditures, the audiences, the contents in Mr. Jakrapob’s speeches, and of course, any Lèse Majesté contents in the speech, etc.

After discussing for over several minutes, that Red-Shirt individual decided to vent on the injustices and double standard practices by the aristocrats and the Thai’s administration. However, Consul Komkrich continued listening pleasantly without revealing his big pile of documentation that he had been carrying regarding what types of documents they were or why he carried them or whether they were real documents but had the tape recording surveillance hidden underneath.

If that Red-shirt individual had no job, this conversation (or the correct definition of interrogation) should be longer than expected.

The story of Mr. Jakrapob’s speech in Los Angeles happened over several years ago. Why do they presently need to interview and investigate the Red-Shirt individuals who are living in the USA?

Has the Red-shirt movement in the USA been growing better and stronger on the daily basis, until the aristocrats and the Thai tyrannical administration could no longer bear? If the Red-Shirt movements have not been eliminated since they are little, they will definitely become major obstacles for the aristocrats in the near future.

The recent overseas travel of MP Sunai Julaponsathorn from Pua Thai political party, in order to deliver his speeches at several major cities in the United States, by having the Red-Shirts members in Los Angeles became a centralized location for the main event titled, “Eye-opening in the USA,” was undoubtedly proven that the Red-shirt movements in various cities around the USA were truly harmonized. They exchanged their data and information and had efficient ways of creating effective communications and they were ready to unite themselves in order to encounter the tyrannical strengths of the dictatorial nobles.

This must be the reason why they decided to resurrect Mr. Jakrapob Penkair’s story in order to intimidate the Red-Shirt movement in the USA.

However, no matter what the hidden agenda might be, please contact Consul Komkrich Chongbunwatana at telephone number (323) 610-1752 whether Mr. Tarit Pengdit, the DSI Director-General, will conduct his own investigation.

--------------------------------------------------------------

Fifth Amendment of the United States Constitution consists of this part:

Individual can refuse to testify by invoking the Fifth Amendment, which states that nobody may be forced to testify as a witness against himself or herself.

มาตราห้าของบทเพิ่มเติม กล่าวไว้ว่า

บุคคลสามารถปฎิเสธที่จะให้การได้ โดยการกล่าวถึงบทเพิ่มเติมที่ห้าจาก รัฐธรรมนูญของประเทศสหรัฐอเมริกา, ซึ่งได้กล่าวว่า ไม่มีใครสามารถบังคับตัวบุคคลนั้น ให้การเป็นพยานได้เลย คือ ไม่ต้องพูดอะไรทั้งสิ้นค่ะ



Seventh Amendment of the United States Constitution: 

In Suits at common law, where the value in controversy shall exceed twenty dollars, the right of trial by jury shall be preserved, and no fact tried by a jury, shall be otherwise re-examined in any Court of the United States, than according to the rules of the common law."

บทเพิ่มเติมที่ 7 ของรัฐธรรมนูญประเทศสหรัฐอเมริกา ว่าด้วยการขอรับการตัดสินพิจารณาความโดยคณะลูกขุน

ในดคีฟ้องร้องตามกฎหมายคอมมอนลอว์ ที่มีมูลค่าเกินกว่า ยี่สิบดอลลาร์ สิทธิที่จะได้รับการพิจารณาโดยคณะลูกขุนให้ทรงไว้และข้อเท็จจริงใดที่ลูกขุนพิจารณา แล้ว ศาลใดแห่งสหรัฐจะพิจารณาใหม่ เป็นอย่างอื่นผิดไปจากกฎเกณฑ์ แห่งกฎหมายคอมมอนลอว์มิได้


*****************************

ถ้าบุคคลใดถูก กงศุลผู้นี้กลั่นแกล้ง กรุณาแจ้งความที่ สำนักงานบังคับใช้กฎหมายภายในท้องถิ่นของท่านด้วย เพราะบุคคลผู้นี้ กำลังใช้อำนาจนอกเหนือรัฐธรรมนูญของประเทศสหรัฐอเมริกา โดยการข่มขู่ พลเมืองถาวรของประเทศ โดยปราศจากหมายศาลและเขตอำนาจของศาลในประเทศสหรัฐอเมริก

ศอ.รส.ออกประกาศ 2 ฉบับขับพันธมิตรฯ พ้นพื้นที่รอบทำเนียบ

เผยประกาศ ศอ.รส. 2 ฉบับ ห้ามบุคคล กลุ่มบุคคล ยานพาหนะ เข้า-ออก ทำเนียบรัฐบาลและรัฐสภา และกินพื้นที่ถนนหลายสายซึ่งเป็นพื้นที่ชุมนุมของพันธมิตรฯ
(10 ก.พ. 54) - มีรายงานว่า พล.ต.อ.วิเชียร์ พจน์โพธิ์ศรี ผบ.ตร. ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย หรือ ศอ.รส.ได้ลงนามในประกาศ 2 ฉบับ ลงวันที่ 9 ก.พ.2554 ได้แก่ “ประกาศ ฉบับที่ 1/2554 เรื่องห้ามบุคคลเข้าหรือให้ออกจากพื้นที่ อาคาร หรือสถานที่ที่กำหนด” และ ประกาศ ฉบับที่ 2/2554 เรื่อง ห้ามการใช้เส้นทางคมนาคมหรือการใช้ยานพาหนะ” โดยบริเวณที่ประกาศห้ามของ ศอ.รส. เป็นพื้นที่การชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย โดยประกาศของ ศอ.รส. ทั้ง 2 ฉบับ มีรายละเอียดดังนี้ 
000

ประกาศ ฉบับที่ 1/2554
เรื่องห้ามบุคคลเข้าหรือให้ออกจากพื้นที่ อาคาร หรือสถานที่ที่กำหนด
ตามที่ได้มีการประกาศให้เขตพื้นที่เขตพระนคร เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย เขตดุสิต เขตปทุมวัน เขตวังทองหลาง เขตวัฒนา และเขตราชเทวี กรุงเทพมหานคร เป็นพื้นที่ปรากฏเหตุการณ์อันกระทบต่อความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ระหว่างวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2554 ถึงวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2554 และมีข้อกำหนดออกตามความในมาตรา 18 แห่งพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ.2551 ลงวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2554 ซึ่งได้มอบอำนาจให้ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายจากผู้อำนวยการรักษาความ มั่นคงภายในราชอาณาจักร หรือผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการ กำหนดเงื่อนไขในการปฏิบัติตามข้อกำหนด หรือเงื่อนไขในการปฏิบัติของพนักงาน เจ้าหน้าที่ตามที่เห็นสมควรนั้น
เพื่อประโยชน์ในการป้องกัน ปราบปราม ระงับ ยับยั้ง และแก้ไขหรือบรรเทาเหตุการณ์ในพื้นที่ตามวรรคหนึ่งให้เป็นไปด้วยความเรียบ ร้อยและเกิดประสิทธิภาพ สามารถป้องกันและควบคุมไม่ให้สถานการณ์ขยายลุกลามจนเกิดความรุนแรงเกิดผล เสียหายต่อเศรษฐกิจ กระทบต่อความมั่นคงในราชอาณาจักร รวมทั้งการบริการราชการแผ่นดินของรัฐ อาศัยอำนาจตามความในข้อ 2 และวรรคสามของข้อกำหนดออกตามความในมาตรา 18 แห้งพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ.2551 ผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อยจึงออกประกาศกำหนดดังนี้
ข้อ1 ห้ามบุคคลหรือกลุ่มบุคคล เว้นแต่ผู้ที่ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานเจ้าหน้าที่ เข้าหรือให้ออกจากบริเวณพื้นที่ และอาคารทำเนียบรัฐบาลและรัฐสภา รวมถึงบริเวณพื้นที่ดังต่อไปนี้
ก. ถนนพิษณุโลก ตั้งแต่แยกพาณิชยการพระนคร (ด้านถนนพระราม 5) ถึงแยกสวนมิสกวัน
ข. ถนนนครปฐม ตั้งแต่สะพานชมัยมรุเชษฐ์ ถึงสะพานอรทัย
ค. ถนนพระราม 5 ตั้งแต่สะพานชมัยมรุเชษฐ์ ถึงสะพานอรทัย
ง. ถนนลูกหลวง ตั้งแต่สะพานมัฆวานรังสรรค์ ถึงสะพานเทวกรรมรังรักษ์
จ. ถนนกรุงเกษม ตั้งแต่แยกมัฆวาน ถึงสะพานเทวกรรมรังรักษ์
ฉ. ถนนราชดำเนินช่องทางคู่ขนานด้านทำเนียบรัฐบาลตั้งแต่แยกส่วนมิสกวันถึงแยกมัฆวาน
ข้อ 2.ให้ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย หรือผู้ที่ได้รับมอบหมาย ซึ่งเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ชั้นสัญญาบัตร หรือเทียบเท่า เป็นผูดำเนินการตามประกาศนี้

ประกาศ ณ วันที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2554
      
พล.ต.อ. วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี
ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ
ผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย
  
ประกาศ ฉบับที่ 2/2554
เรื่อง ห้ามการใช้เส้นทางคมนาคมหรือการใช้ยานพาหนะ
ตามที่ได้มีการประกาศให้เขตพื้นที่เขตพระนคร เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย เขตดุสิต เขตปทุมวัน เขตวังทองหลาง เขตวัฒนา และเขตราชเทวี กรุงเทพมหานคร เป็นพื้นที่ปรากฏเหตุการณ์อันกระทบต่อความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ระหว่างวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2554 ถึงวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2554 และมีข้อกำหนดออกตามความในมาตรา 18 แห่งพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ. 2551 ลงวันที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2553 ซึ่งได้มอบอำนาจให้ ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร หรือผู้อำนวยศูนย์อำนวยการกำหนดเงื่อนไขเวลาในการปฏิบัติตามข้อกำหนดหรือ เงื่อนไขในการปฏิบัติของพนักงาน เจ้าหน้าที่ตามที่เห็นสมควรนั้น
เพื่อประโยชน์ในการป้องกัน ปราบปราม ระงับ ยับยั้ง และแก้ไขหรือบรรเทาเหตุการณ์ในพื้นที่ตามวรรคหนึ่งให้เป็นไปด้วยความเรียบ ร้อยและเกิดประสิทธิภาพ สามารถป้องกันและควบคุมไม่ให้สถานการณ์ขยายลุกลามจนเกิดความรุนแรงเกิดผล เสียหายต่อเศรษฐกิจกระทบต่อความมั่นคงในราชอาณาจักร รวมทั้งการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐ อาศัยอำนาจตามความในข้อ 4.และวรรคสามของข้อกำหนดออกตามความในมาตรา 18 แห่งราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ.2551 ผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อยจึงออกประกาศกำหนดดังนี้
ข้อ 1.ห้ามการใช้เส้นทางคมนาคมหรือการใช้ยานพาหนะ เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานเจ้าหน้าที่ในเส้นทางต่อไปนี้
ก.ถนนพิชัยตั้งแต่แยกขัตติยานี ถึง สามแยกถนนราชวิถีตัดถนนพิชัย
ข.ถนนราชวิถีตั้งแต่แยกการเรือน ถึง แยกราชวิถี
ค.ถนนอู่ทองในตั้งแต่แยกอู่ทองใน ถึง แยกพระบรมรูปทรงม้า รัชกาลที่ 5
ข้อ 2.ให้ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการรัษาความสงบเรียบร้อยหรือผู้ที่ได้รับมอบหมาย ซึ่งเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ชั้นสัญญาบัตร หรือเทียบเท่าเป็นผู้ดำเนินการตามประกาศนี้
ข้อ 3.ประกาศกำหนดนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป

ประกาศ ณ วันที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2554

พล.ต.อ. วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี
ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ
ผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย


ปัญหาระหว่างไทยกับกัมพูชา: ผลกระทบต่อความร่วมมือระหว่างประเทศ

ความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชาที่กำลังดำเนินอยู่นั้น ไม่ได้ส่งผลแค่ต่อความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศเท่านั้น หากแต่ยังส่งผลกระทบต่อความร่วมมือในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ความคลั่งชาติของกลุ่มพันธมิตรเพื่อประชาธิปไตยที่ปรากฏให้เห็นในสาธารณะนั้นรุนแรง ก้าวร้าว และขาดสติ ข้อเสนอที่น่ากังวลมากคือการที่ผู้นำกลุ่มพันธมิตรเสนอให้มีการบุกเข้าไปยึดพื้นที่ในกัมพูชาจนกว่าจะมีการคืนปราสาทเขาพระวิหารให้กับประเทศไทย ราวกับว่าประเทศไทยเป็นประเทศที่ก้าวร้าว บ้าคลั่ง และรุกราน 
แน่นอนว่าความขัดแย้งระหว่างสองประเทศนั้นจะไม่ได้ส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเพียงแค่สองประเทศเท่านั้น หากแต่ยังจะส่งผลกระทบเป็นโดมิโนไปยังประเทศและความร่วมมืออื่นๆ เพราะในกรณีของไทยกับกัมพูชานั้น ทั้งสองเป็นสมาชิกของอาเซียน และโครงการพัฒนาความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง หรือจีเอ็มเอส
แน่นอนว่าอาเซียนซึ่งเป็นองค์การระหว่างประเทศของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ย่อมได้รับผลกระทบไม่มากก็น้อย เพราะอาเซียนต้องเผชิญกับคำถามในมิติทางความมั่นคงที่ว่า ทำไมอาเซียนถึงไม่มีบทบาทต่อการแก้ไขปัญหาดังกล่าว และอาเซียนควรมีการปรับเปลี่ยน “วิถีอาเซียน” (ASEAN Way) หรือไม่
วิถีอาเซียน คือ แนวทางในการแก้ไขปัญหาระหว่างประเทศภายในอาเซียน มันเป็นคำที่ใช้เรียกกระบวนการแก้ไขปัญหาตามที่ระบุไว้ใน “สนธิสัญญาไมตรีและความร่วมมือในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้” (Treaty of Amity and Cooperation: TAC) ซึ่งเกิดขึ้นในปี ค.ศ.1976 สนธิสัญญานี้กำหนดหลักการสำคัญๆในการแก้ไขปัญหาระหว่างประเทศไว้ คือ การเคารพซึ่งความเท่าเทียม อำนาจอธิปไตย บูรณภาพแห่งดินแดน และอัตลักษณ์ของแต่ละชาติ หลักการไม่ถูกแทรกแซงกิจการภายใน การแก้ไขปัญหาด้วยวิธีสันติ และการไม่ใช้กองกำลังทางทหาร วิถีดังกล่าวได้ถูกเรียกรวมกันว่าวิถีอาเซียนและใช้ในการเป็นแนวทางในการจัดการเรื่องราวภายในอาเซียนตลอดมา
ในกรณีของความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชา สิ่งที่เห็นและมีหลายฝ่ายตั้งคำถาม คือ แล้วอาเซียนมีบทบาทอย่างไร
เราจะเห็นได้ว่า ตลอดเวลาที่มีปัญหาระหว่างสองประเทศนั้น อาเซียนมีท่าทีและการพูดถึงปัญหาดังกล่าวน้อยมาก ล่าสุด เมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ เลขาธิการอาเซียน ได้แสดงความวิตกกังวลต่อความรุนแรงที่ปะทุขึ้นจากเหตุการณ์ยิงปะทะกันระหว่างสองประเทศเมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ โดยเสนอให้สองประเทศหันมาตกลงกันบนโต๊ะเจรจาแบบวิธีการทางการทูตแทนการใช้กองกำลังทหาร
ดูเหมือนว่านี่ก็เป็นวิธีการเดียวที่อาเซียนจะทำได้ คือ การแสดงความคิดเห็น เพราะอาเซียนเองนั้นไม่ได้มีกองกำลังในการรักษาสันติภาพเป็นของตนเองแบบที่นาโต (NATO) ของยุโรปมีไว้ใช้จัดการหรือช่วยเหลือเพื่อแก้ไขปัญหาความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในยุโรป หรือออกไปช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมในที่ต่างๆ
ในทางตรงกันข้าม จากข้อจำกัดของอาเซียนในการเข้าไปแทรกแซงกิจการระหว่างประเทศเช่นนี้ ส่งผลให้อาเซียนซึ่งเป็นองค์การระหว่างประเทศที่มีเป้าหมายหนึ่งในการสร้างสันติภาพให้เกิดขึ้นในภูมิภาคนี้ถูกตั้งข้อสังเกตถึงบทบาทที่กำลังเป็นอยู่ และ/หรือบทบาทที่ควรจะเป็นต่อไปในอนาคต ว่าควรมีแนวทางการปรับปรุงวิถีอาเซียนหรือไม่ อย่างไร
วิถีอาเซียนยังถูกตั้งคำถามต่อไปอีกว่า ถ้าเช่นนั้นแล้ว การแก้ไขปัญหาระหว่าสองประเทศ และกัมพูชาเสนอให้องค์การสหประชาชาติ หรือยูเอ็น (United Nations: UN) เข้ามาเป็นตัวกลางในการแก้ไขปัญหานั้น ควรเป็นไปเช่นนั้นหรือไม่
เพราะหากพิจารณาแล้ว เราคงต้องตั้งคำถามว่า ถ้านี่เป็นเรื่องความขัดแย้งภายในภูมิภาคหรือบ้านของเรา เราจะยินดีให้คนนอกบ้านเข้ามาแก้ไขปัญหาอย่างนั้นหรือ ข้อเสนอในลักษณะนี้อาจได้รับการสนับสนุน เพราะยูเอ็นถูกเชื่อว่าเป็นกลางและน่าจะให้ความเป็นธรรมได้ แต่หลักการการให้ประเทศคู่ขัดแย้งเจรจาและแก้ไขกันเองก่อนนั้นก็ยังเป็นข้อที่ทำให้ยูเอ็นไม่อาจเข้ามาได้
อาเซียนเองซึ่งเป็นองค์การระหว่างประเทศของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ก็ควรมีบทบาทในการแก้ไขปัญหานี้มากกว่าที่จะปล่อยให้องค์การระหว่างประเทศอื่นๆเข้ามามิใช่หรือ เพราะเราควรคิด ถกเถียง และเปิดเวทีระหว่างประเทศเพื่อนำไปสู่แนวทางว่าในกรณีเช่นนี้แล้ว เราจะส่งเสริมหรือพัฒนากลไกของอาเซียนที่มีอยู่แล้วให้มีประสิทธิภาพ มีอำนาจ และสามารถเข้ามาจัดการเรื่องราวในภูมิภาคได้อย่างไม่ต้องโดนตราหน้าจากประเทศในภูมิภาคกันเองว่า “อย่ามาแส่” หรือจะมีการตัดลด เพิ่มเติมกลไกที่ดี มีประสิทธิภาพได้อย่างไร
อาจเป็นที่เข้าใจได้ว่าประเด็นเรื่องการไม่ต้องการให้เกิดการแทรกแซงกิจการภายในประเทศนั้น เกิดขึ้นเพราะรัฐหลายรัฐในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เพิ่งเป็นรัฐชาติสมัยใหม่มาได้ไม่นาน เพราะรัฐชาติหลายรัฐในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นั้นเพิ่งเกิดขึ้นอันเป็นผลพวงจากสงครามโลกครั้งที่สอง มันไม่ได้มีวิวัฒนาการการต่อสู้ แย่งชิง ร่วมมือกันมายาวนานเฉกเช่นเดียวกับรัฐชาติสมัยใหม่ที่เกิดขึ้นในยุโรปที่ผ่านการต่อสู้แย่งชินดินแดน การสร้างเมือง การทำสงครามระหว่างกัน จนมาถึงสร้างความร่วมมือและบูรณาการทางเศรษฐกิจและการเมือง จนจินตนาการของเส้นเขตแดนได้เลือนหายไปจนเกือบหมดสิ้น ในขณะที่รัฐชาติสมัยใหม่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยังอยู่ในช่วงที่หวงแหนสิ่งที่เพิ่งได้มา ซึ่งนั่นก็คือ เส้นเขตแดน และอธิปไตย
สิ่งที่พอจะทำได้ในปัจจุบัน คือ การรอคอยว่าเมื่อใดที่มือที่กุมกำความหวงแหนเหล่านั้นจะค่อยๆคลาย และมองว่าเส้นเขตแดนเป็นเพียงสิ่งที่ถูกสร้างขึ้น เป็นจินตนาการร่วมกันของคนในรัฐ และเป็นหนึ่งในเครื่องมือที่สำคัญของนักการเมืองที่หยิบขึ้นมาใช้ได้เพื่อปลุกความเป็นชาตินิยม
ล่าสุด รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของอินโดนีเซีย นายมาร์ตี นาตาเลกาวา (Marty Natalegawa) ซึ่งดำรงตำแหน่งเป็นประธานของอาเซียน ได้เสนอว่าจะเป็นตัวกลางในการไกล่เกลี่ยปัญหา ความหวังของอาเซียนจึงได้บังเกิดขึ้นในฐานะที่อาเซียนได้ทำอะไรเสียที เพราะในเมื่ออาเซียนเป็นองค์การของภูมิภาค เราก็ควรคาดหวังอย่างมากให้อาเซียนมีบทบาทในการแก้ไขปัญหาภูมิภาค เพื่อใช้อาเซียนให้เป็นประโยชน์ มิใช่เป็นเพียงองค์การระหว่างประเทศที่ตั้งขึ้นมาเพื่อเป้าหมายทางเศรษฐกิจ และทำอะไรอย่างอื่นไม่ได้ แต่เราควรเสนอให้อาเซียนมีบทบาทในการเข้ามาจัดการ ดูแล และเสนอทางแก้ไขต่อปัญหาในภูมิภาคได้
และแม้ไม่มีอะไรจะรับประกันถึงความสามารถในการแก้ไขปัญหาของอาเซียน แต่อย่างน้อยเราก็ได้ใช้เครื่องมือที่มีอยู่ให้เป็นประโยชน์ ไม่ใช่ละทิ้งสิ่งที่มีอยู่แล้วไปใช้กลไกอื่น ความหวังต่อองค์การระหว่างประเทศให้ทำหน้าที่จึงยังพอมีให้เห็น และแม้อาจกล่าวโต้เถียงอีกว่า แล้วเมื่ออาเซียนออกมาแล้ว แล้วหากไทยและกัมพูชาไม่แยแสต่อความเห็น ข้อเรียกร้องของอาเซียน มันก็ทำให้เราคิดต่อไปอีกว่า ท้ายที่สุดแล้วเรามีวัฒนธรรมในการยอมรับและปฏิบัติกฎหมายมากพอหรือไม่ เพราะนอกจากจะไม่สนใจกฎหมายในประเทศอยู่บ่อยครั้งแล้ว ไฉนเลยกฎหมายระหว่างประเทศจะมาบังคับประเทศเราได้ เพราะหากมันไม่ช่วยให้เราได้สิ่งที่เราต้องการ เด็กเอาแต่ใจตัวเองอย่างเราก็จะขอประกาศกระทืบเท้า รุกราน เกรี้ยวกราด และร้องขออย่างไร้สติต่อไป ชาตินิยมของเราก็ทำให้ระบบระหว่างประเทศปั่นป่วน สับสน และไร้ซึ่งทางออก เพราะเมื่อทางออกได้มีมาแล้ว ก็ไม่มีคนฟัง เราไม่เอา เราไม่ยอม
หากจะกล่าวสรุปต่อบทบาทของอาเซียน เราจะเห็นได้ว่า อาเซียนแม้จะเป็นองค์การระหว่างประเทศที่ทุกประเทศคาดหวังให้เป็นตัวกลางในการประสานความร่วมมือในมิติต่างๆ แต่อาเซียนเองก็ยังมีกลไกการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งที่ยังไม่มีประสิทธิภาพ เพราะยังไม่สามารถเข้าไปแทรกแซง แสดงความเห็น หรือใช้กองกำลังในการจัดการแก้ไขปัญหา บรรเทา เยียวยา หรือให้ความช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบในพื้นที่ได้ แม้อาจโต้เถียงว่า เพราะอาเซียนมิได้มีกองกำลังเป็นของตนเอง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า อาเซียนจะมีกองกำลังที่ไว้บรรเทาทุกข์ไม่ได้ บางทีเราอาจจะต้องดูตัวแบบจากสหภาพยุโรปในการมีกองกำลังไว้เป็นของตนเอง เพียงแต่เปลี่ยนร่างแปลงรูปและบทบาทของกองกำลังไม่ได้ให้มีอำนาจในการรุกรานหรือไปทำร้ายใคร แต่มีไว้เพื่อรักษาความสงบสุข ไว้ให้ความช่วยเหลือแก่พื้นที่ต่างๆ
เพราะหากแม้เราไม่มีความขัดแย้งถึงขั้นเลือดตกยางออกอันเกิดจากความขัดแย้งระหว่างประเทศ แต่เราก็ยังอาจใช้ประโยชน์ในการช่วยเหลือบรรเทาทุกข์อันเกิดจากภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในโลกที่กำลังมีสภาพอากาศที่แปรปรวน หรือใช้ส่งไปให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมแก่เพื่อนร่วมโลกที่กำลังประสบปัญหาในพื้นที่ต่างๆ โดยอาจเสนอว่ามิใช่เพื่อส่งไปร่วมรบ หากแต่ส่งไปเพื่อช่วยบรรเทา รักษา เยียวยา ก่อสร้าง ขนส่งอาหาร ยา และขอใช้ที่สำคัญ ซึ่งอาหารจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ก็มีมาก มิตรไมตรีของพลเมืองอาเซียนที่จะเป็นเป็นกองกำลังด้านมนุษยธรรมก็เป็นที่ประทับใจ เป็นมิตร และห่วงใยผู้คนที่ตกทุกข์ได้ยากเป็นแน่
นอกจากนั้น อาเซียนเองก็มิใช่ความร่วมมือเพียงความร่วมมือเดียวที่ควรพิจารณา บนภาคพื้นทวีปของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เองนั้นยังมีอีกหนึ่งความร่วมมือที่ควรได้รับความสนใจ คือ โครงการจีเอ็มเอส (The Greater Mekong Subregion Economic Cooperation: GMS) โครงการจีเอ็มเอสเป็นโครงการที่อยู่ภายใต้การดูแลของธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งเอเชีย หรือเอดีบี (Asian Development Bank: ADB) โครงการจีเอ็มเอสถือกำเนิดขึ้นในปี ค.ศ.1992 หนึ่งปีหลังความวุ่นวายในลุ่มแม่น้ำโขงซึ่งได้แก่ปัญหาในอินโดจีนได้สิ้นสุดลง โครงการดังกล่าวมีเป้าหมายในการสนับสนุนความร่วมมือระหว่างประเทศ เสริมสร้างความเจริญรุ่งเรืองให้เกิดขึ้นกับประเทศสมาชิก ปัจจุบันมีมณฑลกวางสีและมณฑลยูนนาน พม่า ไทย ลาว เวียดนาม และกัมพูชาเป็นสมาชิก
โครงการจีเอ็มเอสในปัจจุบันมีโครงการย่อยๆรวมสิบเอ็ดโครงการที่มีเป้าหมายในการสนับสนุนให้เกิดความเจริญร่วมกัน อาทิ การพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจ (Economic Corridors) โทรคมนาคม พลังงาน การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ การเกษตร เป็นต้น
ระเบียงเศรษฐกิจดูเหมือนจะเป็นโครงการที่ได้รับความสนใจและได้รับการตอบสนองจากทั้งภาครัฐและภาคเอกชนจากประเทศสมาชิกมากที่สุด โดยพิจารณาจากความกระตือรือร้นในการทำการศึกษาแนวทาง ผลกระทบ และความคืบหน้าของโครงการ รวมไปถึงงบประมาณที่แต่ละประเทศสนับสนุน โครงการระเบียงเศรษฐกิจประกอบไปด้วยระเบียงเศรษฐกิจจำนวนสามเส้นทางที่สำคัญ คือ ระเบียงเศรษฐกิจเหนือ-ใต้ (North-South Economic Corridor: NSEC) ระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก-ตะวันตก (East-West Economic Corridor: EWEC) และระเบียงเศรษฐกิจตอนใต้ (Southern Economic Corridor: SEC)
ระเบียงเศรษฐกิจที่ไทยและกัมพูชามีส่วนร่วมโดยตรง คือ ระเบียงเศรษฐกิจตอนใต้ เส้นทางนี้เชื่อมโยงกรุงเทพมหานครไปยังกัมพูชาและเวียดนาม เป็นเส้นทางการขนส่งสินค้าเส้นหนึ่งที่สำคัญ เพราะเป็นการเชื่อมต่อเส้นทางการขนส่งสินค้าจากเขตอุตสาหกรรมในชลบุรีและระยองให้ส่งไปยังท่าเรือในเวียดนาม อีกทั้งยังเป็นส่วนหนึ่งในการขนส่งสินค้าจากจีนตอนใต้ให้ผ่านมายังพม่าหรือลาวและเข้าสู่ประเทศไทย ก่อนจะลงมายังเส้นทางดังกล่าว
อีกทั้งยังมีความร่วมมือระหว่างไทยกับกัมพูชาในประเด็นการสื่อสาร พลังงาน และการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์อีกมาก ความร่วมมือในกรอบมิติต่างๆนี้สะท้อนอยู่ในงานของ พวงทอง ภวัครพันธุ์ ที่มีชื่อว่า “สงคราม การค้า และชาตินิยมในความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา” (2552, หน้า 93-131) บทความนี้จึงจะไม่แจกแจงรายละเอียดดังกล่าวแต่ขอให้ผู้อ่านไปตามอ่านรายละเอียดได้ที่งานของพวงทอง
งานของพวงทองสะท้อนให้เห็นภาพความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับกัมพูชา โดยประเด็นที่สำคัญคือการที่ไทยยังมองว่าตัวเองเป็น “พี่” ของกัมพูชาที่เป็น “น้อง” มโนทัศน์ “บ้านพี่เมืองน้อง” จึงเป็นเรื่องของการมองใครใหญ่กว่าใคร ไม่ได้มองว่าเขาและเราเป็น “เพื่อนบ้าน” กัน พวงทองชี้เอาไว้อย่างน่าสนใจว่า เราสำคัญตัวว่าเรามีความสำคัญต่อเศรษฐกิจของกัมพูชา โดยไม่ได้ตระหนักเลยว่าแท้ที่จริงแล้วประเทศจีน ญี่ปุ่น และเวียดนามต่างหากที่มีบทบาทกับกัมพูชามาก
ความร่วมมือในกรอบจีเอ็มเอสจะได้รับผลกระทบอันเกิดจากความขัดแย้งระหว่างสองประเทศนี้อย่างแน่นอน เพราะมันเป็นเรื่องของทั้งการเมืองและการค้าระหว่างสองประเทศ อีกทั้งยังส่งผลต่อบรรยากาศที่ไม่ดีในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศระดับภูมิภาค ปัญหาที่เกิดขึ้นไม่ใช่เรื่องการแย่งชิงทรัพยากรธรรมชาติ แต่เป็นปัญหาอันเกิดจาก “ชาตินิยม” ที่ถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นเครื่องมือทางการเมืองภายในประเทศ
ชาตินิยมที่ถูกใช้จากจุดศูนย์กลางของประเทศ ได้กลายเป็นเครื่องมือในการทำลายผู้คนที่อาศัยในพื้นที่ที่ถูกเรียกว่า “ชายแดน” เส้นเขตแดนที่ถูกสร้างจากส่วนกลาง ได้ทำลายและทำร้ายสิ่งที่เรียกว่า “คนชายแดน”
ปัญหาความขัดแย้งระหว่างเมืองหลวงได้ส่งผลให้บรรยากาศในภูมิภาคอึมครึม ก้าวต่อไปไม่ได้ และอาจถอยหลัง เพียงเพราะผู้คนบางกลุ่มตกอยู่ในห้วงที่ถูกทำให้เชื่อว่า “การเสียดินแดนแม้เพียงตารางนิ้วเดียวนั้นยอมไม่ได้” จนกลายเป็นปัญหาความขัดแย้งระหว่างประเทศ และความชะงักงันของภูมิภาคที่ทุกส่วนหันมาจับจ้องบทบาทของไทยที่เชื่อว่าตนเองเป็นประเทศที่ยิ่งใหญ่ เป็นผู้นำ และศูนย์กลางของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ว่าจะมีบทบาทอย่างไร มีจุดยืน หรือแนวทางการแก้ไขปัญหาอย่างประเทศที่มีสติ เป็นอารยะ และมีวัฒนธรรมของรัฐชาติที่เจริญและพัฒนาสืบทอดมายาวนานแบบที่รัฐไทยเชื่อหรือไม่
ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ ก็เป็นเพียงมุมมองของผู้ศึกษาด้านการเมืองระหว่างประเทศ ผู้คาดหวังให้คนไทยและพลเมืองอาเซียนตระหนักถึงการใช้องค์การระหว่างประเทศให้เป็นประโยชน์ เรามีอาเซียน เราเป็นพลเมืองของอาเซียนแล้ว ไม่ว่าคุณจะชอบหรือไม่ก็ตาม คุณจะเห็นความสำคัญของมันหรือไม่ก็ตาม แต่อาเซียนมันเกิดขึ้นแล้ว มันมีตัวตนแล้ว และมันกำลังจะส่งผลต่อชีวิตของผู้คนในรัฐต่างๆไม่มากก็น้อย ไม่ทางตรงก็ทางอ้อมเป็นแน่ แต่เราควรตระหนักว่าเรามีอาเซียนและควรใช้อาเซียนให้เป็นประโยชน์
นอกจากนี้ ผู้เขียนมิใช่ผู้ต่อต้านชาตินิยม ชาตินิยมเป็นสิ่งที่ดีและมีประโยชน์ในบางเรื่อง แต่เราควรตระหนักว่า เรากำลังใช้มันในแง่ใด หรือใครกำลังใช้มันเพื่ออะไร หากเราใช้เพื่อสร้างความมั่นคง ความรักชาติ และพยายามส่งเสริมให้คนอุทิศตนทำงานให้กับชาติบ้านเมืองก็คงเป็นสิ่งดี แต่หากชาตินิยมได้ถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง เราในฐานะผู้ถูกพยายามทำให้เชื่อ ก็ควรระมัดระวัง พิจารณาตามหลักวิชาการ กฎหมาย และบรรทัดฐานที่ประเทศต่างๆมีใช้ร่วมกัน มิใช่ใช้อารมณ์และ “สามัญสำนึก” จนกระทั่งไม่พิจาณาประเด็นอื่น หรือปฏิเสธบรรทัดฐานที่ไทยมีร่วมกับประเทศอื่น จนเหมือนเราเป็นอันธพาล ผู้หลงคิดและถูกทำให้เชื่อว่าเรายิ่งใหญ่ สำคัญ และต้องเป็นผู้ได้เสมอ จนทำให้บ้านเมืองอื่น และระบบระหว่างประเทศเดือดร้อนกันไปตามๆกัน
และที่สำคัญ ขอให้คิดเสมอว่า เส้นเขตแดนที่กำลังทะเลาะกัน มันถูกขีดขึ้นโดยคนอื่น มันมาทีหลัง มันเป็นจินตนาการและสิ่งสร้างในฝันที่ดูเหมือนจะสวยงาม ดังที่ เกษียร เตชะพีระ เคยกล่าวไว้ว่า ชาตินิยมจะมองเห็นก็ต่อเมื่อหลับตาลง เพราะแท้ที่จริงแล้วเส้นเขตแดน มันพาดผ่านทอดทับหมู่บ้าน ผู้คน กลุ่มชน และครอบครัวที่อาศัยอยู่ในพื้นที่นั้นๆมานานแล้ว มันแบ่งแยกเราเขาที่พูดภาษาเดียวกัน เคยเป็นครอบครัวเดียวกัน เคยไปมาหาสู่ซื้อขายสินค้า พบปะสังสรรค์ มันอาจมีความสำคัญกับรัฐชาติสมัยใหม่ แต่ไม่ได้มีความสำคัญมากมายกับชีวิตผู้คนที่เขาอยู่ตรงนั้นมานานแล้ว ดังนั้น อย่าให้สิ่งที่มันเป็นเพียงจินตนาการที่มีประโยชน์ไม่มากมาทำลายชีวิตผู้คน การทำมาหากิน การได้ใช้ชีวิตปกติ ครอบครัว และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเลย