วันศุกร์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2556

อ่านบทสัมภาษณ์เปิดใจนายกรัฐมนตรี "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" ครั้งแรก กับนิตยสารญี่ปุ่นชื่อดัง AERA


อ่านบทสัมภาษณ์เปิดใจนายกรัฐมนตรี "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" ครั้งแรก กับนิตยสารญี่ปุ่นชื่อดัง AERA


         วันที่ 20 กันยายน 2556 (go6TV) เว็บไซต์ชื่อดัง Inside ThaiGOV ได้เผยบทสัมภาษณ์พิเศษครั้งแรกของนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในนิตยสารชื่อดังของญี่ปุ่น เปิดเผยถึงการทำงานในฐานะของนายกรัฐมนตรี ที่แม้งานจะเหนื่อย แต่มีความสุขเพราะได้ทำงานให้ประชาชนไทย โดยมีข้อความดังนี้ 



         “งานในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีถึงจะเหนื่อยแต่มีความสุขค่ะ เพราะรักการทำงานตรงนี้ และรักประเทศของเรา” แม้จะถูกมองที่เพียงรูปลักษณ์ภายนอกที่สวยงามอยู่บ่อยๆ แต่ความสามารถด้านการบริหารนโยบายเศรษฐกิจก็ถูกพูดถึงเช่นกัน

        นายกรัฐมนตรีไทย นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร (21 มิถุนายน 2510) เกิดที่จังหวัดเชียงใหม่ ทางภาคเหนือของประเทศไทย ลูกคนสุดท้องในบรรดาพี่น้องทั้งหมด 9 คน บิดาเป็นอดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ศึกษาในระดับปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ คณะรัฐศาสตร์ และปริญญาโทที่มหาวิทยาลัยเคนทักกีสเตต สหรัฐอเมริกา ในสาขารัฐประศาสนศาสตร์

          แม้ว่าจะเป็นสตรีจากประเทศที่ได้ชื่อว่า “สยามเมืองยิ้ม” แต่ด้วยมีตำแหน่งเป็นถึงนายกรัฐมนตรี และยังมีปริญญาโทจากมหาวิทยาลัยในสหรัฐอเมริกา รวมถึงประสบการณ์บริหารงานในตำแหน่งประธานบริษัทมาหลากหลายแห่ง ผมจึงคิดว่าท่านต้องมีท่าทีที่ดูขึงขังดุดันแน่ๆ แต่จากการเข้าพบนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศไทยในครั้งนี้ผมพบว่าท่านเป็นบุคคลที่ดูนุ่มนวล เมื่อถามถึงความสำคัญของการเป็นนายกรัฐมนตรีหญิง ท่านตอบด้วยน้ำเสียงน่าฟังว่า “การบริหารประเทศนั้น ไม่ว่าจะเป็นเพศชายหรือเพศหญิงก็เหมือนกัน ต้องทำหน้าที่ให้ดีที่สุดเพื่อประชาชน” อดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตรซึ่งพ้นจากตำแหน่งเพราะการรัฐประหารในปี 2549 โดยมีชนวนเหตุจากความสงสัยเรื่องการคอรัปชั่นคือพี่ชายแท้ๆที่อายุมากกว่า 18 ปี ท่านเป็นตัวแทนจากพรรคเพื่อไทยซึ่งสมาชิกพรรคส่วนใหญ่คือกลุ่มผู้สนับสนุนอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณลงชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีและชนะการเลือกตั้งเมื่อ 2 ปีที่แล้ว แม้จะไม่เคยมีประสบการณ์ด้านการเมือง แต่ด้วยความสามารถที่ถ่ายทอดจากครอบครัวที่อยู่ในวงการนี้ ทำให้พรรคเพื่อไทยได้ที่นั่งในสภาไปมากกว่าครึ่ง

          หลังจากท่านเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเกิดอุทกภัยครั้งใหญ่ทำให้มีผู้เสียชีวิตไปมากกว่า 800 คน แม้จะเห็นน้ำตาของประชาชน เธอยืนหยัดว่า “จะร้องไห้ไม่ได้” และสั่งการรับมือปัญหาดังกล่าว นอกจากนี้ ยังได้ปฏิรูปด้านเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง มีทั้งนโยบายการเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำ การลดภาษีรถคันแรก และอื่นๆ แม้โครงการรับจำนำข้าวจะขาดทุนอย่างมาก แต่รายได้สุทธิของประชาชนโดยส่วนใหญ่เพิ่มขึ้น และเศรษฐกิจก็เติบโตขึ้นด้วย

         “ประสบการณ์การเป็นผู้บริหารบริษัทมีประโยชน์ในเรื่องการจัดการปัญหา และการสร้างรายได้”

         คำวิจารณ์ว่าท่านเป็น “หุ่นเชิด” ของอดีตนายกรัฐมนตรีซึ่งยังอาศัยอยู่ในต่างประเทศยังคงไม่หมดไป เมื่อเปลี่ยนมาพูดเรื่องอิทธิพลจากคนในครอบครัว ท่านกล่าวว่า “อยากจะเรียนว่าพี่ชายเป็นอดีตนายกรัฐมนตรี แต่ดิฉันเป็นนายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันค่ะ ดิฉันเรียนรู้วิธีการทางการเมืองและปรัชญาของพี่ชาย แต่ก็ไม่ได้ลอกแบบมาทั้งหมด ดิฉันบริหารงานรัฐบาลเองค่ะ”



วันนี้ผมรู้สึกถึงพลังที่ออกมาอย่างเต็มที่จริงๆครับ
นายทะมุระ เอะอิจิ
กองบรรณาธิการ Asahi Shimbun Weekly (AERA 2013.8.5)

เซ็นทรัลชี้ 2 ล้านล้าน ดันภูมิภาคพุ่ง 30 ทำเลทองราคาขึ้นแล้ว100%


เซ็นทรัลชี้ 2 ล้านล้าน ดันภูมิภาคพุ่ง 30 ทำเลทองราคาขึ้นแล้ว100%


           วันที่ 20 กันยายน 2556 (go6TV) – โปรเจ็กต์ลงทุน2 ล้านล้าน ดันตลาดภูมิภาคโตกระฉูด "แบงก์กสิกรไทย" เผยมี 30 จังหวัดทำเลทองลงทุนอสังหาฯ-ค้าปลีก บิ๊ก "เซ็นทรัล-แสนสิริ" ประสานเสียงเชียร์รัฐเร่งลงทุน กางแผนธุรกิจรองรับรถไฟความเร็วสูง-พัฒนาเมืองใหม่รอบสถานี


          นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า มั่นใจว่าร่าง พ.ร.บ.กู้เงิน 2ล้านล้านบาท จะมีการพิจารณาวาระที่ 2 และ 3 ในวันที่ 19-20 กันยายนนี้ และน่าจะผ่านการพิจารณาได้ เนื่องจากโครงการต่าง ๆ ที่บรรจุไว้ในแผนกู้เงินมีความชัดเจนครบถ้วนทั้งรายละเอียด ผลการศึกษา ตามขั้นตอนของกฎหมายทุกอย่าง

                "โครงการลงทุน 2 ล้านล้าน จะทำให้เกิดการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศด้านการท่องเที่ยว เชื่อมการค้ากับอาเซียน กระจายความเจริญสู่หัวเมืองภูมิภาค และเกิดการจ้างงานที่จะมีการก่อสร้างโครงการทั่วประเทศ หัวใจคือการเชื่อมโยงคมนาคมจะลิงก์ถึงกันหมด" นายชัชชาติกล่าว



30 จังหวัดทำเลทองอสังหาฯ



             นายชาติชาย พยุหนาวีชัย รองกรรมการผู้จัดการธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า การลงทุนโครงการ 2 ล้านล้านบาท จะไม่มีผลต่อสภาพคล่องของธนาคาร เนื่องจากใช้เงินลงทุนเฉลี่ยปีละ 3 แสนล้านบาท ทยอยลงทุน 7 ปี ขณะที่จะเป็นผลดีต่อตลาดอสังหาริมทรัพย์และค้าปลีกในต่างจังหวัด


          "กรุงเทพฯและปริมณฑลจะคงที่ ทิศทางการลงทุนคอนโดมิเนียมจะเหมาะสมที่สุด ตลาดต่างจังหวัดมีหลายอย่างที่หนุนให้โต มีโครงการ 2 ล้านล้าน เออีซี การขยายตัวของสังคมเมืองมายังหัวเมืองใหญ่มากขึ้น"


สำหรับจังหวัดที่มีศักยภาพในการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ในอนาคต ประเมินจาก 3 ปัจจัยเกื้อหนุน คือ
  • 1.มีรายได้ประชากรต่อหัวสูง 
  • 2.มีกิจกรรมการค้าชายแดน 
  • 3.ได้รับประโยชน์จากโครงการภาครัฐ แยกเป็น 2 กลุ่ม 
  •         คือ กลุ่มแรกดูจากรายได้ประชากรต่อหัวสูงกับโครงการภาครัฐ มี 18 จังหวัด ได้แก่ พิษณุโลก อุดรธานี ขอนแก่น นครสวรรค์ ลพบุรี นครราชสีมา สระบุรี นครนายก ปราจีนบุรี ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ระยอง ราชบุรี เพชรบุรี ชุมพร สุราษฎร์ธานี ภูเก็ต ยะลา กับ
  •         กลุ่มที่ 2 เป็นกลุ่มจังหวัดมีทั้ง 3ปัจจัยหนุน มี 12 จังหวัด ได้แก่ เชียงราย เชียงใหม่ หนองคาย มุกดาหาร อุบลราชธานี ตาก กาญจนบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ตราด ระนอง สงขลา นราธิวาส
            ด้านยุทธศาสตร์ของกสิกรไทย นายชาติชายกล่าวว่า มี 15 จังหวัดในการปักธงทำธุรกิจ ได้แก่ เชียงใหม่ อุดรธานี อุบลราชธานี ขอนแก่น นครราชสีมา พัทยา-ชลบุรี ระยอง ฉะเชิงเทรา ภูเก็ต สุราษฎร์ธานี สงขลา สมุทรสาคร พระนครศรีอยุธยา ราชบุรี และนครปฐม

          "จังหวัดที่กล่าวมาทั้งหมดนี้จะมีการเติบโตที่เร็ว เกิดสังคมเมืองและมีรายได้มากขึ้น หลังจากนี้ทุนท้องถิ่นก็ต้องปรับตัวรับด้วย" นายชาติชายกล่าว

เซ็นทรัลปักธงลงทุน


              นายนริศ เชยกลิ่น รองกรรมการผู้จัดการใหญ่สายการเงินและบัญชี บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) และนายกสมาคมศูนย์การค้าไทย กล่าวว่า กลุ่มเซ็นทรัลมองการเติบโตตลาดต่างจังหวัดตั้งแต่ 10 ปีที่แล้ว ประเมินจากสังคมเมืองจังหวัดใหญ่ ๆ ที่เติบโตขึ้น ปัจจุบันมีศูนย์การค้าต่างจังหวัด 11 แห่ง สิ้นปีนี้จะเพิ่มเป็น 13แห่งในระยะเวลาเพียง 10 ปี มากกว่าศูนย์การค้าในกรุงเทพฯ ที่ใช้เวลาพัฒนา 30ปีมี 10 แห่ง

          "เราให้ความสำคัญมากคือระบบโครงสร้างพื้นฐานของรัฐเป็นองค์ประกอบสำคัญในการเลือกทำเล และมีผลอย่างมากต่อการทำธุรกิจ ถ้า (รัฐ) ช้าจะทำให้เศรษฐกิจชะงัก ไม่เกิดการลงทุน"

           นายนริศกล่าวว่า ที่สำคัญเมื่อโครงการ 2 ล้านล้านเกิด จะมีผลต่อการขยายตัวของประชากรในกรุงเทพฯ ทำให้การเคลื่อนย้ายถิ่นที่อยู่อาศัยจากกรุงเทพฯไปสู่ต่างจังหวัดมากขึ้น รองรับกับการพัฒนาโครงการใหม่ ๆที่จะไปตามแนวพื้นที่ก่อสร้าง 2 ล้านล้าน โดยเฉพาะบริเวณหัวเมืองใหญ่และประตูการค้าชายแดน ดังนั้นต่อไปตลาดภูมิภาคจะมีศักยภาพในการลงทุนและเติบโตอีกมาก การเติบโตของกรุงเทพฯจะน้อยลง

            "ไลฟ์สไตล์คนต่างจังหวัดจะเปลี่ยนไปแน่นอน จากประสบการณ์ของเราในจังหวัดใหญ่จะเปลี่ยนใน 2 ปี จังหวัดรอง3 ปี"

แสนสิริเตรียมลงทุนเพิ่ม



           นายอภิชาติ จูตระกูล ประธานอำนวยการบริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ปัจจุบันแสนสิริให้ความสำคัญกับการลงทุนตลาดต่างจังหวัดมากขึ้นในรอบ 3 ปีมานี้ จาก 3% ขยับเป็น 40% ให้ครอบคลุมมากขึ้น เช่น เชียงราย ภูเก็ต เชียงใหม่ ขอนแก่น โคราช จากเดิมมีแค่ตลาดหัวหิน

         "แนวโน้มการพัฒนาประเทศไทยจะไม่ใช่กรุงเทพฯ เพราะมีการกระจายรายได้ไปหัวเมืองมากขึ้น เรียกว่าเงินต่อเงิน เกิดจากการที่เราตามไปลงทุน เงินจะไปหมุนทำให้เกิดการใช้จ่ายเพิ่มขึ้น ปัจจุบันวิวัฒนาการต่าง ๆ เข้าถึงคนต่างจังหวัดมากขึ้น ไลฟ์สไตล์รับได้เหมือนคนกรุงเทพฯทุกอย่าง"

           สำหรับแผนลงทุนต่างจังหวัดในปี 2557 นายอภิชาติกล่าวว่า เตรียมลงทุนเพิ่มแต่จะไม่เร่งรีบมาก ค่อยเป็นค่อยไป ไม่ต้องการโตมากไปกว่านี้ ต้องดูภาวะเศรษฐกิจโลกและประเทศโดยรวมควบคู่ไปด้วย

          "ตอนนี้ที่ดูอยู่ก็มีที่ อ.แม่สอด ส่วน จ.บึงกาฬยังเป็นอนาคต ซึ่งหนองคายเราไม่ไปเพราะสำรวจแล้วคนลาวจะข้ามฝั่งมาไทยแล้วไปทางอุดรฯ เพราะห่างจากหนองคาย 30-40 นาที ด้าน จ.เชียงรายที่เราตัดสินใจไปลงทุนเพราะเป็นเกตเวย์การลงทุนไปจีน" นายอภิชาติกล่าวและว่าแสนสิริทำแผนลงทุนล้อไปตามแนวการลงทุนของโครงการรัฐบาล ตลาดใหม่ ๆ ดูหลายจังหวัด เช่น หัวหิน ภูเก็ต อุดรฯยังขยายอย่างต่อเนื่อง โครงการลงทุน 2 ล้านล้านกว่าจะมาอีก 7 ปีก็ต้องค่อย ๆ ทำ ทั้งนี้เห็นด้วยที่รัฐจะเร่งลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของประเทศให้เสร็จใน 7 ปี เพราะเวลาเป็นเรื่องสำคัญ เป็นเรื่องใหญ่มาก ถ้าไม่ได้ทำจะแข่งขันไม่ได้ในอนาคต เงินตราไม่เข้าประเทศ ที่สำคัญจะส่งผลดีต่อภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และคนไทยเป็นอย่างมาก

โผไม่พลิก แต่ ผบ.ทบ. พลิก



       "ประยุทธ์" พลิกบทหนุนถกบีอาร์เอ็น ย้ำกระบวนการสันติภาพต้องเดินหน้าต่อ ขณะที่ 5 ข้อเรียกร้องอาจรับได้ไม่หมด ชูทีมพูดคุยมีขีดความสามารถ ไม่เพลี่ยงพล้ำแน่ ลั่นทุกอย่างเป็นไปตามกรอบรัฐธรรมนูญ แนะให้ระวังกฎหมายระหว่างประเทศ แถมเอ่ยปาก "ขอโทษ" ในนามทหารกลางงานแสดงตนของ "ผู้เห็นต่างจากรัฐ" แนะให้ลืมอดีตที่คับแค้นแล้วสร้างสันติสุขร่วมกัน


        พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) แสดงท่าทีอ่อนลงต่อกระบวนการพูดคุยสันติภาพที่คณะของเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) กำลังดำเนินการอยู่กับบีอาร์เอ็นกลุ่มนายฮัสซัน ตอยิบ และกำลังมีการพิจารณาคำอธิบายข้อเรียกร้อง 5 ข้อ ขณะเดียวกันก็ได้เอ่ยปากขอโทษอย่างเป็นทางการในนามทหาร ต่อหน้ากลุ่มผู้เห็นต่างจากรัฐที่ยอมแสดงตัวกับทางการตามโครงการ "พาคนกลับบ้าน" ระหว่างเดินทางลงพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 19 ก.ย.2556

        "การพูดคุยสันติภาพต้องดำเนินการต่อไป เพราะเป็นอีกภาพหนึ่งที่ต้องการทำให้ต่างชาติเข้าใจ แต่ผลการพูดคุยคงอีกนาน อย่าไปวิตกกังวลว่าเราจะไปเพลี้ยงพล้ำ เพราะเจ้าหน้าที่ของเรามีขีดความสามารถเพียงพอและมีหลักการในการพูดคุย การแก้ไขปัญหาต้องฟังคนสามส่วนด้วยกัน คือคนในพื้นที่ คนนอกพื้นที่ และต่างประเทศ ซึ่งทุกอย่างเราต้องทำตามกฎหมาย ตามกรอบรัฐธรรมนูญ รวมถึงกฎหมายระหว่างประเทศที่จะต้องระมัดระวังในทุกๆ ด้าน" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวที่กรมการขนส่งทหารบก กรุงเทพฯ ก่อนเดินทางลงพื้นที่

        ผบ.ทบ.ระบุว่า นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้สั่งการให้ติดตามข้อเท็จจริงของสถานการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ว่าเกิดจากการกระทำของผู้ก่อเหตุรุนแรง หรือเกิดจากภัยแทรกซ้อน หรือความขัดแย้งในพื้นที่ เพราะขณะนี้ยังมีหลายเหตุการณ์ที่น่าสงสัย

         "การแก้ไขปัญหาในภาพรวมมีแนวโน้มและพัฒนาการที่ดีขึ้น ซึ่งเรามองในหลายมิติ ไม่ใช่เฉพาะความรุนแรงอย่างเดียว แต่มองไปถึงการรับรู้ของต่างประเทศด้วย ที่ผ่านมานายกฯได้เดินทางไปร่วมประชุมกับประเทศที่เกี่ยวข้องกับองค์การความร่วมมืออิสลาม (โอไอซี) ผมทราบข้อมูลมาว่าการประชุมโอไอซีปีนี้ที่เกี่ยวกับเรื่องภาคใต้เป็นข้อมูลที่ดีทั้งสิ้น ความสำเร็จของเราวันนี้คือไม่ทำให้องค์กรเหล่านี้เกิดความไม่สบายใจ และไม่มีประเทศอื่นเข้ามาเกี่ยวข้อง"

5 ข้อบีอาร์เอ็นอาจตกลงไม่ได้ทั้งหมด

        จากนั้น พล.อ.ประยุทธ์ พร้อมคณะนายทหารระดับสูง ได้เดินทางไปที่หน่วยเฉพาะกิจปัตตานี ต.บ่อทอง อ.หนองจิก จ.ปัตตานี โดยมี พล.ท.สกล ชื่นตระกูล แม่ทัพภาคที่ 4 ให้การต้อนรับ พร้อมทั้งเรียกผู้บังคับบัญชาทุกพื้นที่มารายงานสถานการณ์และประชุมร่วมกับผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้กับ 4 อำเภอของ จ.สงขลา รวมถึงผู้ว่าราชการจังหวัด นายอำเภอ และผู้บังคับการตำรวจด้วย

        พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวภายหลังการประชุมว่า สถานการณ์โดยทั่วไปดีขึ้น การดำเนินการได้เน้นแก้ปัญหา 3 กลุ่ม คือ 1.ประชาชนในพื้นที่ 2.ประชาชนในประเทศ และ 3.ต่างประเทศ เพื่อให้เกิดความเข้าใจในการปฏบัติหน้าที่ แม้จะมีกำลังเจ้าหน้าที่ในพื้นที่มาก แต่ไม่ได้หมายถึงว่าต้องใช้กำลังปราบปรามอย่างเดียว

        ส่วนการพูดคุยสันติภาพนั้น พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า เป็นการแสดงออกถึงการแก้ปัญหาอย่างสันติวิธีของไทย ส่วนผลจะสำเร็จหรือตกลงกันอย่างไรเป็นเรื่องอนาคต ไม่ใช่วันนี้ แต่เป็นการเริ่มที่จะก้าวเดินต่อไป ที่จะหันหน้ามาพูดคุยกันเพื่อขจัดข้อขัดแย้ง

        "ยืนยันเสมอว่าต้องใช้กฎหมายไทย รัฐธรรมนูญไทย และต้องระมัดระวังกฎหมายระหว่างประเทศ รวมทั้งองค์กรสากลที่เกี่ยวข้อง" ผบ.ทบ.กล่าว และว่าสำหรับข้อเรียกร้อง 5 ข้อของบีอาร์เอ็นนั้น อาจไม่สามารถตกลงได้ทั้งหมด และจนถึงขณะนี้ยังไม่มีการตกลงใดๆ เพราะยังติดข้อกฎหมายหรือปัจจัยอื่นๆ แต่ขออย่าวิตกกังวลมาก เพราะถ้ายิ่งขยายประเด็นที่เรียกร้องสุดท้ายอาจจะผิดก็ได้

ร่วมงาน"ผู้เห็นต่าง"แสดงตัว 143 คน

         ต่อมา พล.อ.ประยุทธ์ และคณะ ได้เดินทางต่อไปที่โรงเรียนยะหาศิรยานุกูล อ.ยะหา จ.ยะลา เพื่อร่วมเป็นเกียรติในการรายงานตัวแสดงตนของ "ผู้เห็นต่างจากรัฐ" เพื่อเข้าร่วมโครงการ "พาคนกลับบ้าน" ของกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า (กอ.รมน.ภาค 4 สน.) ในพื้นที่รับผิดชอบของหน่วยเฉพาะกิจยะลา จำนวน 143 คน ประกอบด้วย อ.รามัน 10 คน อ.บันนังสตา 6 คน อ.เมือง 3 คน อ.ธารโต และ อ.เบตง จำนวน 35 คน และ อ.ยะหา กับ อ.กาบัง จำนวน 89 คน โดยมีข้าราชการที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนญาติพี่น้องของผู้เห็นต่างจากรัฐเข้าร่วมงาน

        พ.อ.ยุทธนาม เพชรม่วง ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 47 (ผบ.ฉก.ทพ.47) กล่าวว่า กอ.รมน.ภาค 4 สน.ได้นำนโยบาย "สานใจสู่สันติ" ไปสู่การปฏิบัติในโครงการ "พาคนกลับบ้าน" เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ที่มีความเห็นต่างจากรัฐ หรือผู้ที่ต่อสู้กับรัฐด้วยวิธีรุนแรง หันมาแก้ปัญหาด้วยสันติวิธี โดยการออกมารายงานตัวแสดงตน

       แต่เนื่องจากบุคคลที่หลงผิดยังขาดข้อมูลที่ถูกต้อง หรืออาจมองไม่เห็นช่องทางในการออกมาแสดงตน ทั้งยังขาดคนชี้นำ ให้คำปรึกษาในกระบวนการแสดงตน ประกอบกับผลสืบเนื่องจากการกระทำที่ผิดพลาดหรือผิดกฎหมายของตนเองในขณะที่เข้าร่วมในขบวนการ ทาง กอ.รมน.ภาค 4 สน.จึงได้แต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นมา 2 คณะ ได้แก่ คณะกรรมการประสานงานและรณรงค์เพื่อยุติการต่อสู้ด้วยวิธีรุนแรงในจังหวัดชายแดนภาคใต้ และคณะกรรมการอำนวยความสะดวกด้านกระบวนการยุติธรรมสำหรับผู้รายงานตัวแสดงตนเพื่อยุติการต่อสู้ด้วยวิธีรุนแรงในจังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อดำเนินการ รณรงค์ และสร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง

รวมยอดทั้งโครงการร่วม 1 พันคน

          ที่ผ่านมามีการรณรงค์ ประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อต่างๆ และอำนวยความสะดวกให้กับผู้ออกมาแสดงตนโดยการช่วยเหลือด้านกฎหมายและทนายความ ทำให้ผู้เห็นต่างจากรัฐมีความเข้าใจ และเห็นถึงความตั้งใจจริงของรัฐในการแก้ไขปัญหาอย่างสันติวิธี ทำให้ผู้ที่มีความเห็นต่างเข้ามารายงานตัวแล้วทั้งสิ้น 983 ราย ได้ดำเนินการช่วยเหลือเสร็จสิ้นแล้ว จำนวน 648 ราย อยู่ระหว่างดำเนินการ 335 ราย ตามรายละเอียดคือ

  •  ผู้ที่มีหมาย พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ดำเนินการเรียบร้อยแล้ว 473 ราย อยู่ระหว่างการดำเนินการ 280 ราย
  • ผู้ที่มีหมาย ป.วิอาญา ดำเนินการเรียบร้อยแล้ว 7 ราย อยู่ระหว่างดำเนินการ 41 ราย
  • ผู้ที่มีหมาย พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ และ ป.วิอาญา ดำเนินการเรียบร้อยแล้ว 7 ราย อยู่ในระหว่างการดำเนินการ 14 ราย
  • ผู้ที่ไม่มีหมายแต่หวาดระแวง ดำเนินการเรียบร้อยแล้ว 161 ราย

        สำหรับขั้นตอนการดำเนินการมี 3 ขั้นตอน ได้แก่
  • 1.ตรวจสอบข้อมูลบุคคลผู้รายงานตัวแสดงตน 
  • 2.อำนวยความสะดวกและให้การช่วยเหลือด้านกระบวนการยุติธรรม รวมทั้งการพิจารณาให้การสงเคราะห์เยียวยา และ 
  • 3.การประสานและจัดทำข้อมูลผู้มีหมาย พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ และ หมาย ป.วิอาญา

ผบ.ทบ.เอ่ยขอโทษในนามทหาร
       ในการนี้ พล.อ.ประยุทธ์ ได้กล่าวกับผู้เห็นต่างจากรัฐที่เข้าร่วมโครงการว่า รู้สึกดีใจที่ทราบว่าพี่น้องทุกคนมีความต้องการที่จะร่วมกันยุติปัญหาความรุนแรงในพื้นที่โดยสันติวิธี ซึ่งที่ผ่านมาเป็นร้อยปีที่ทุกคนเกิดความคับแค้นใจอะไรต่างๆ นั้น ตนในฐานะของทหารต้องขออภัยและขอโทษกับทุกสิ่งที่ผ่านมา เวลาไม่สามารถย้อนกลับไปได้ แต่ก็สามารถเริ่มต้นกันใหม่ได้ และหวังว่าในวันนี้ซึ่งเป็นวันดีวันหนึ่ง ทุกคนจะร่วมกันสร้างความสันติสุขให้เกิดขึ้นในพื้นที่โดยเร็ว

       วันเดียวกัน ที่ศาลาบำเพ็ญกุศล 1 มูลนิธิแม่กอเหนี่ยวยะลา ต.สะเตง อ.เมือง จ.ยะลา พล.ต.ท.ไพฑูรย์ ชูชัยยะ ผู้บัญชาการศูนย์ปฏิบัติการตำรวจจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ผบช.ศชต.) เป็นประธานในพิธีพระราชทานเพลิงศพ พ.ต.ต.สันติชัย ศาสน์ประดิษฐ์ ที่เสียชีวิตจากเหตุคนร้ายยิงถล่มเมื่อวันที่ 11 ก.ย.2556 ระหว่างลงพื้นที่ อ.ทุ่งยางแดง จ.ปัตตานี เพื่อหาข่าวกลุ่มค้าน้ำมันเถื่อน โดยเสียชีวิตพร้อมเพื่อนตำรวจรวม 5 นาย

ทนายความของสิทธิมนุษยชนฯ นำ 5 ผู้ต้องหาคดีม็อบยางปิดถนนประท้วงมอบตัว





         ทีมทนายความของสิทธิมนุษยชนฯ นำ 5 ผู้ต้องหาคดีม็อบยางปิดถนนประท้วงมอบตัวที่โรงพักชะอวด พร้อมปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา

         น.ส.พวงทิพย์ บุญถนอม ทีมทนายความ นายนิติพร ล้ำเหลือ ที่ปรึกษาคณะกรรมการสิทธิมนุษย์ชนแห่งชาติ ได้นำตัวชาวบ้าน 5 คน คือ นายภิญโญ หมื่นจร นายบัญชา ณ พัทลุง นางกิตติวดี ขุนทอง นายสมสุข กำเนิดรักษา และนายสมโภช กำเนิดรักษา ซึ่งถูกออกหมายจับในข้อหาร่วมกันปิดกั้นทางหลวงถนนเอเชีย 41 บริเวณ 4 แยกควนหนองหงส์ อ.ชะอวด จ.นครราชสีมา หรือนำสิ่งส่งใดมาขวางกั้นบนถนนทางหลวงในลักษณะที่อาจจะเกิดอันตรายแก่บุคคลอื่น โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ออกหมายจับไปทั้งหมด 8 คน ซึ่งเป็นการออกหมายจับในการก่อเหตุเมื่อวันที่ 23 ส.ค.ที่ผ่านมา โดยวันนี้ได้นำผู้ต้องหาเพียง 5 คนเพื่อมอบตัวรับทราบข้อกล่าวกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ

          นายภิญโญ ซึ่งเป็น 1 ใน 5 ของชาวสวนยางที่ถูกออกหมายจับ กล่าวว่า วันเกิดเหตุไม่ได้ไปปิดถนนคนที่อยู่บนถนนคือตำรวจเราอยู่ริมถนนและไม่ได้ทำเหตุรุนแรงตามที่ถูกกล่าวหา วันนี้ก็เห็นกันอยู่แล้วว่ากระบวนการของรัฐเขาทำอย่างไรกับชาวบ้านความรุนแรงที่เกิดขึ้นเป็นความพยายามของรัฐที่พยายามให้เห็นภาพความรุนแรงทั้งที่ชาวบ้านไม่ได้ทำรุนแรงส่วนวิธีการชุมนุมต่อไปไม่ทราบ แต่การมามอบตัวรับทราบข้อกล่าวหาเป็นกระบวนการของการเป็นพลเมืองของประเทศนี้ตนอยากจะวอนผ่านสื่อให้ความเป็นธรรมกับชาวบ้านด้วย ภาพที่ออกไปชาวบ้านไม่ได้ก่อเหตุแต่กระบวนการของรัฐมาทำให้เกิดภาพความรุนแรง

        ด้านน.ส.พวงทิพย์ ทีมทนายความ กล่าวว่า จริง ๆ แล้วชาวบ้านที่ถูกออกหมายจับอีกจำนวนมากนั้นเขาอยากจะมามอบตัวรับทราบข้อกล่าวหาแต่พวกเขากลัวว่าหากมาแล้วตำรวจจะส่งฟ้องศาลเลยโดยไม่ให้ประกันตัว ซึ่งการเดินทางมาวันนี้ก็เพื่อเป็นเจรจากับตำรวจด้วยว่าขอให้เขามารับทราบข้อกล่าวหาและปล่อยตัวไปก่อน หากเป็นอย่างนี้ชาวบ้านก็จะมารับทราบข้อกล่าวหากันมากขึ้น ซึ่งก็จะต้องเจรจา

กวีประชาไท: 19 กันยา ยังจำได้ไหม?

กวีประชาไท: 19 กันยา ยังจำได้ไหม?

  • จำได้ไหมวันนี้เมื่อ 7 ปีที่แล้วมีการทำรัฐประหารที่อ้างว่าทำเพื่อปกป้องสถาบันกษัตริย์แต่ปิดปากผู้ใช้สิทธิเลือกตั้
  • จำได้ไหมว่าวันนี้เมื่อ 7 ปีที่แล้วสื่อส่วนใหญ่ก็เขียนบทบรรณาธิการยอมรับรัฐประหารพร้อมข้ออ้างสารพัด
  • จำได้ไหมว่าวันนี้เมื่อ 7 ปีที่แล้วคนที่ในที่สุดกล้าพลีชีพเพื่อต้านนรัฐประหารเป็นคนธรรมดาๆขับแท็กซี่ชื่อ ลุง นวมทอง ไพรวัลย์
  • จำได้ไหมว่าวันนี้เมื่อ 7 ปีที่แล้วมีคนอ้างว่าประชาชนส่วนใหญ่โง่ ถูกหลอกและตัดสินใจใช้สิทธิเลือกตั้งอย่างมีวุฒิภาวะไม่เป็นจึงต้องเว้นวรรค และวันนี้คนเหล่านั้นก็ยังเชื่อเช่นนี้
  • จำได้ไหมว่าหลังวันนี้เมื่อ 7 ปีที่แล้วมีคนเอาดอกไม้ไปมอบให้เหล่าทหารที่เข็นรถถังออกมา จนวันนี้ดอกไม้พิษได้เบ่งบานเป็นความเกลียดชังซึ่งกันและกันทั่วทั้งแผ่นดินไม่เว้นแม้ในหมู่เพื่อนฝูงและครอบครัว

ยังจำได้ไหม... วันนี้วันที่ 19 กันยา 

‘ดีเอสไอ’เร่งคดีทหารตาย-เจ็บ สลายชุมนุมปี 53- ‘ผบ.ทบ.’พ้อ ป.ป.ช.ไต่ส่วน เจ้าหน้าที่ไม่มีโอกาสแจง

‘ดีเอสไอ’เร่งคดีทหารตาย-เจ็บ สลายชุมนุมปี 53- ‘ผบ.ทบ.’พ้อ ป.ป.ช.ไต่ส่วน เจ้าหน้าที่ไม่มีโอกาสแจง

            ดีเอสไอ บุก ทบ.สอบปากคำคดีฝ่ายทหารตาย-บาดเจ็บ ในเหตุการณ์ชุมนุมปี 53 ก่อนเร่งสรุปคดีส่งศาล หลัง ทบ.จี้ตามคดีเหมือนเสื้อแดง ด้าน ผบ.ทบ.พ้อ ป.ป.ช.ไต่สวนข้างเดียว แจ้งข้อหา ศอฉ.ชี้คงต้องต่อสู้คดีกันถึง 3 ศาล จวกพนักงานสอบสวนหน้าเดิมแต่เปลี่ยนไป ยอมรับเสียใจ คนคุ้นเคยกลับตาลปัตร

 
ดีเอสไอเร่งคดีทหารตาย-เจ็บเหตุกระชับพื้นที่
 
            กรุงเทพธุรกิจ รายงานว่าเมื่อวันที่ 19 ก.ย. 56 ที่สำนักงานเลขานุการกองทัพบก พนักงานสอบสวนจากกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ 3 นาย ได้เข้าสอบสวนข้อเท็จจริงเจ้าหน้าที่ทหารจากกองพลทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์ (พล.ร.2 รอ.) ที่ได้รับบาดเจ็บในเหตุการณ์การชุมนุมทางการเมืองเมื่อปี 53 จำนวน 10 นาย ส่วนใหญ่เป็นทหารชั้นยศนายสิบและจ่า ที่ปฏิบัติหน้าที่บริเวณหน้า รร.สตรีวิทยา และ สี่แยกคอกวัวในช่วงวันที่ 10 เม.ย.53 โดยมีนายทหารพระธรรมนูญกองทัพบกเข้าร่วมฟังการสอบสวนด้วย
 
          การดำเนินการดังกล่าวถือเป็นการสอบสวนข้อเท็จจริงครั้งที่ 2 หลังจากดำเนินการไปครั้งแรกไปเมื่อเดือนสิงหาคม แต่ทางดีเอสไอได้หยุดพักการสอบสวนคดีของฝ่ายทหารไประยะหนึ่ง ทางกองทัพบกจึงได้นำคำร้องเรียนของครอบครัวทหารที่เสียชีวิต และนายทหารที่บาดเจ็บ ส่งไปที่ดีเอสไอ ให้ติดตามความคืบหน้าในคดี
 
          ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า สำหรับเจ้าหน้าที่ทหารในฐานะผู้เสียหายจากเหตุการณ์ชุมนุมทางการเมืองเมื่อปี 2553 เสียชีวิต 5 นาย บาดเจ็บ 448 นาย โดยทางญาติผู้เสียชีวิตได้ร้องเรียนไปที่นายกรัฐมนตรี และกองทัพบกให้ติดตามคดีในฝ่ายทหารด้วยเนื่องจากไม่มีความคืบหน้า
 
          ทั้งนี้ ดีเอสไอจะมีการนัดสอบสวนต่อเนื่องทุกสัปดาห์จนครบ 50 นาย คาดว่าจะแล้วเสร็จในเดือนตุลาคมนี้ จากนั้นพนักงานสอบสวนจะรวบรวมข้อมูลเพื่อพิจารณาการทำสำนวนเพื่อฟ้องร้องต่อศาลต่อไป
 
 
บิ๊กตู่ เสียใจ คนคุ้นเคยใน ศอฉ.กลับตาลปัตร
 
        ไทยรัฐออนไลน์ รายงานในวันเดียวกัน (19 ก.ย.56) ที่กองการบินกรมการขนส่งทหารบก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. กล่าวถึงกรณีที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เตรียมรวบรวมคำไต่สวนของศาลจากผลชันสูตรพลิกศพการเสียชีวิตของผู้ชุมนุมในเหตุการณ์กระชับพื้นที่ เพื่อแจ้งข้อกล่าวหากับเจ้าหน้าที่ ศอฉ.เพิ่มเติมว่า เป็นเรื่องของกระบวนการยุติธรรมในการไต่สวน เพราะมีการร้องเรียนว่าเป็นการกระทำของเจ้าหน้าที่ แต่เจ้าหน้าที่ไม่มีโอกาสชี้แจง เป็นการไต่สวนข้างเดียว หากเข้าสู่กระบวนการแล้วเราจะนำหลักฐานพยานต่างๆ ที่มีอยู่ไปต่อสู้ ซึ่งคงต้องต่อสู้กันถึง 3 ศาล
 
        ตนจึงกำชับผู้ใต้บังคับบัญชาว่าต้องอดทนเชื่อมั่นในสิ่งที่ถูกต้องในการปฏิบัติตามคำสั่งที่ถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งเหตุการณ์การชุมนุมของคนเสื้อแดงก็รู้กันอยู่ว่า มีการใช้อาวุธต่อประชาชนและเจ้าหน้าที่ จึงจำเป็นต้องป้องกันตัวเอง ต่อสู้กันไปตามกระบวนการยุติธรรม ซึ่งตนไม่หนักใจแต่กังวลใจว่า ผู้ใต้บังคับบัญชาไม่เข้าใจ เมื่อเกิดเหตุการณ์ขึ้นก็ต้องไปสอบสวนว่าใครเป็นคนทำ และต้องให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย ทหารก็เป็นประชาชน เมื่อทหารออกไปทำหน้าที่พ่อ แม่ และญาติพี่น้องเขาก็มาชุมนุม ถามว่าเขาจะไปทำร้ายคนเหล่านั้นได้อย่างไร ซึ่งเขาคงไม่ได้ตั้งใจหรือมีเจตนาทำร้ายใคร แต่มีคนใช้ความรุนแรงจึงเกิดสถานการณ์บานปลายก็ต้องไปหามาว่า ใครเป็นคนทำ
 
          “วันนี้ศาลไต่สวนไปแล้วประมาณ 10 คดีก็น่าจะเพียงพอที่นำเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ส่วนที่ใครคิดจะทำอะไรต่ออีกก็ควรชะลอไว้ก่อน อยากให้เห็นใจผมในฐานะ ผบ.ทบ.เพราะสถานการณ์ขณะนั้นทุกคนรู้ดี และได้สอบสวนไปครั้งหนึ่งแล้วจนมีข้อสรุปว่า ไม่รู้ว่าเป็นการกระทำของฝ่ายใด แต่วันนี้กลับมาบอกว่า เป็นการกระทำของเจ้าหน้าที่ ผมก็ไม่เข้าใจว่า วิธีการสอบสวนต่างกันอย่างไรในเมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจก็เป็นชุดเดิม คนที่อยู่ในกระบวนการเหล่านั้นก็เป็นคนเก่า เพียงแต่เปลี่ยนหัวใหม่ก็กลับกันคนละข้าง ผมไม่ได้อยากละเมิดใครเพราะเป็นอำนาจของเขาก็ทำไป”
 
         “ผมอยากให้สังคมให้ความเป็นธรรมว่า วันนั้นกับวันนี้กลับตาลปัตร ทั้งพนักงานสอบสวนที่ทำสำนวน ส่วนใหญ่ก็รู้จักกันบางคนก็อยู่ใน ศอฉ. วันนั้นพูดทำให้เราสบายใจในการทำงาน วันนี้คนเดียวกันกลับพูดอีกแบบหนึ่ง ผมก็เสียใจแต่ก็ไม่ได้ไปว่าอะไรถือว่าเป็นอำนาจของเขา เราก็ไม่ได้ปฏิบัติอะไรที่นอกเหนือกฎหมาย ซึ่ง 10 คดีที่อยู่ในศาลน่าจะเพียงพอแล้ว ที่จะต่อสู้ชี้ถูกชี้ผิดได้แล้วมิเช่นนั้นสังคมจะไขว้เขวเรื่องอื่นขอร้องให้หยุดไว้ก่อน ผมได้พุดคุยกับกำลังพลบอกว่าไม่ต้องกลัว ผู้บังคับบัญชาจะดูแลอย่างดี ถ้าเราทำด้วยเจตนาดี ก็ต้องได้รับการตอบแทนที่ดี” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
 
           เมื่อถามว่าทหารที่เสียชีวิตจากการปฏิบัติหน้าที่ มีความคืบหน้าทางคดีหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า อยากให้สื่อช่วยไปเร่งให้ด้วยว่าคดีของทหารเป็นอย่างไร ไม่ว่าเหตุการณ์ชุมนุมปี 2553 เหตุการณ์น้ำท่วมปี 2554 และช่วยภัยแล้งปี 2555 ก็เป็นทหารชุดเดียวกัน ต้องเข้าใจว่าใครสั่งเขาก็ต้องทำและมีหลักการว่า ต้องปฏิบัติภารกิจให้เสร็จถึงจะกลับเข้าหน่วยได้
 
         ต้องดูความเป็นจริงว่า เมื่อปี 2553 หากไม่มีการใช้อาวุธ ทหารก็ไม่นำอาวุธออกไป ขอให้ความเป็นธรรมกับทหารด้วย อยากฝากถึงสื่อมวลชน ไปถามหน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้วย เพราะตนไม่สามารถไปถามได้เนื่องจากเป็นข้าราชการ บางอย่างที่อยากพูดก็พูดไม่ได้และที่ไม่พูดก็ไม่ใช่ ไม่กล้าหรือกลัวหรือมีผลประโยชน์

"พงศ์เทพ" เผย "รัฐประหาร19ก.ย." เป็นบทเรียน ชี้ประชาชนปฏิเสธเผด็จการ


"พงศ์เทพ" เผย "รัฐประหาร19ก.ย." เป็นบทเรียน ชี้ประชาชนปฏิเสธเผด็จการ


           วันที่ 19 กันยายน 2556 (go6TV) – ทำเนียบรัฐบาล - นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รองนายกรัฐมนตรี แถลงว่า วันที่ 19 กันยายน 2556 เป็นการครบรอบ 7ปีของการรัฐประหารยึดอำนาจ วันที่ 19 กันยายน2549 เหตุการณ์ดังกล่าวคงเป็นบทเรียนที่ดีในการทำให้ประชาชนตระหนักแล้วว่าการรัฐประหารได้สร้างความเสียหายให้กับประเทศอย่างไร และทำให้ประชาธิปไตยของไทยต้องกลับไปเริ่มต้นใหม่อย่างไร รวมถึงทำให้ประชาชนได้เห็นว่าการแก้ปัญหาต่างๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนคือการให้เป็นการแก้ไขโดยกลไกของระบอบประชาธิปไตยเอง

          "ระบอบประชาธิปไตยเป็นระบอบเดียวที่กลไกซึ่งให้อำนาจอยู่ที่ประชาชนสามารถแก้ไขปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นในการปกครองระบอบประชาธิปไตย ขณะที่การปกครองระบอบอื่นไม่มีกลไกการแก้ปัญหาในตัวเอง นอกจากนี้ ประเทศต่างๆ ทั่วโลกที่กำลังเดินหน้าในแนวทางประชาธิปไตยมากขึ้นก็ปฏิเสธหรือไม่ยอมรับประเทศที่ถอยหลังเข้าคลองสู่การปกครองแบบเผด็จการ จะเห็นได้ว่าหลังจากที่ประเทศไทยมีการยึดอำนาจในวันที่ 19 ก.ย.2549 เมื่อเรามีการไปติดต่อกับต่างประเทศ กลับไม่ได้รับความร่วมมือหรือการต้อนรับจากต่างประเทศจนกระทั่งเมื่อประเทศไทยกลับเข้าสู่รูปแบบของความเป็นประชาธิปไตยแล้ว ก็สามารถไปเจรจาหรือติดต่อค้าขายกับต่างประเทศได้" นายพงศ์เทพ กล่าว

ผู้ว่าแบงค์ชาติ มั่นใจ สภาพคล่องในระบบมีเพียงพอ รองรับโครงการพลิกโฉมประเทศไทย 2020 ของรัฐบาล


ผู้ว่าแบงค์ชาติ มั่นใจ สภาพคล่องในระบบมีเพียงพอ รองรับโครงการพลิกโฉมประเทศไทย 2020 ของรัฐบาล


             วันที่ 19 กันยายน 2556 (go6TV) – นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย กล่าวว่า สภาพคล่องในระบบการเงินของไทย ยังอยู่ในภาวะที่มีส่วนเกินอยู่มาก เพียงพอรองรับการกู้เงินตาม พ.ร.บ.เงินกู้ 2 ล้านล้านบาท หรือที่รู้จักกันในนาม โครงการพลิกโฉมประเทศไทย 2020 เพราะเป็นการกระจายการลงทุนเป็นรายปี โดยเฉพาะปีที่ 1และปีที่ 2 ยังใช้เงินกู้ไม่มาก ซึ่งสภาพคล่องในระบบมีเพียงพอ และไม่กังวลว่าจะมีผลต่อเสถียรภาพเศรษฐกิจ เพราะเป็นการเพิ่มขีดความสามารถในระยะยาวให้กับไทย

           ด้านนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวถึง พ.ร.บ.เงินกู้ เช่นกันว่า พร้อมชี้แจงความจำเป็นในการกู้เงิน 2 ล้านล้านบาท โดยยืนยันว่าโครงการต่างๆ เป็นการทยอยทำภายใน 7 ปี ส่วนกรณีที่หลายฝ่ายกังวลเรื่องความโปร่งใสของโครงการนั้น รัฐบาลก็มีความกังวลไม่แพ้กัน โดยนายกรัฐมนตรีได้เน้นออกระเบียบเพิ่มเติม เช่นการจัดซื้อจัดจ้าง การคำนวณราคากลาง อีกทั้งยังมีร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ให้ภาคเอกชนมีส่วนร่วมในการตรวจสอบความโปร่งใสด้วย

จับโกหก "กรณ์" บิดเบือนตัวเลขการคลัง หวังใส่ร้ายรัฐบาล


จับโกหก "กรณ์" บิดเบือนตัวเลขการคลัง หวังใส่ร้ายรัฐบาล


          วันที่ 19 กันยายน 2556 (go6TV) – ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ทวิตเตอร์ของขุนคลังโลก ได้เผยแพร่ข้อมูลเท็จ เต้าตัวเลขเศรษฐกิจแบบไม่อายฟ้าดินใดๆ

          ไอดีของทีมกรณ์ จาติกวณิช ได้เผยแพร่ตัวเลขการจัดเก็บรายได้ของปี2556 โดยจงใจใส่ตัวเลขผิดว่ารัฐบาลจัดเก็บภาษีผิดพลาด ได้เงินแค่ 1.5ล้านล้านบาท และอ้างว่าต่ำกว่าเป้าหมายไปถึง 1.9 หมื่นล้านบาทนั้น

            หนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจวันนี้ ได้เผยแพร่ตัวเลขจัดเก็บภาษีทั้งหมด ได้ความว่า
"การจัดเก็บรายได้รัฐบาลสุทธิในช่วง 11 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2556 (ต.ค.55-ส.ค.56) มีจำนวนทั้งสิ้น1,964,182 ล้านบาท สูงกว่าเป้าหมาย 52,008 ล้านบาท หรือร้อยละ 2.7 และสูงกว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้วถึงร้อยละ9.1"

         นี่คือหลักฐานถึงการทำงานของทีมขุนคลังโลกว่า "เคารพต่อข้อเท็จจริงเพียงใด หรือแค่บิดเบือนไปวันๆเพื่อหวังแค่ใส่ร้ายล้มรัฐบาล"

“ทักษิณ” แนะ “หันหน้าเข้าหากัน หนุนเริ่มต้นใหม่ กติกาเดียวกัน”


“ทักษิณ” แนะ “หันหน้าเข้าหากัน หนุนเริ่มต้นใหม่ กติกาเดียวกัน”


วันที่ 19 กันยายน 2556 (go6TV) - เว็ปไซด์ไทยรัฐออนไลน์เปิดบทสัมภาษณ์พิเศษ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ในวันครบรอบ 7 ปีรัฐประหาร 19 ก.ย. โดนมีเนื้อหาดังนี้



          ครบ 7 ปีปฏิวัติ 19 ก.ย. ถึงเวลา ไทยรัฐออนไลน์ ดึงนายสุเทพ เทือกสุบรรณ มาถาม ให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มาตอบ ว่าพร้อมจะหยุดด้วยกันไหม...

          ความหวังที่คนไทยจะได้เห็นบ้านเมืองกลับคืนสู่ความสงบสุข มีความรักใคร่กลมเกลียวกันดังเดิม จะเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหน เมื่อผู้ที่มีบทบาทคนหนึ่งของพรรคประชาธิปัตย์ อย่าง นายสุเทพ เทือกสุบรรณ มองว่า ต้นเหตุของปัญหาทั้งหมดอยู่ที่ตัว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ผู้นำตัวจริงของพรรคเพื่อไทย ดังนั้น หากจะหยุดปัญหาทั้งหมดเพื่อให้พรรคประชาธิปัตย์เข้ามาร่วมในเวทีปฏิรูปประเทศได้ พ.ต.ท.ทักษิณ ต้องหยุดเคลื่อนไหวทางการเมือง ทั้งใต้ดินและบนดิน

        ด้าน พ.ต.ท.ทักษิณ เองก็ท้าทายนายสุเทพกลับไปเช่นกันว่า ตนเองพร้อมยุติบทบาท หากฝ่ายตรงข้ามเข้ามาพูดคุยโดยตรง ภายใต้กติกาเดียวกันคือทุกคนต้อง “หยุด”

"พานทองแท้" สอนมาร์ค "ความดีไม่ได้มีไว้ขาย อยากได้ต้องชมตัวเอง"


"พานทองแท้" สอนมาร์ค "ความดีไม่ได้มีไว้ขาย อยากได้ต้องชมตัวเอง"

          วันที่ 18 กันยายน 2556 (go6TV) - 7 กันยายน 2556 go6TV - ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อช่วงเย็นที่ผ่านมา นายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชาย พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟสบุ๊กส่วนตัวhttps://www.facebook.com/oakpanthongtae โดยมีข้อความดังนี้






          "ความดีไม่ได้มีไว้ขาย อยากได้ต้องชมตัวเอง" คือคำขวัญประจำวันนี้ สำหรับบรรดาคนไทย หัวใจอำมาตย์ ครับ

          "คนไทยทุกคนควรภาคภูมิใจ และร่วมกันสืบสาน อนุรักษ์ภาษาของชาติไว้ให้มั่นคงยั่งยืน สนองพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงห่วงใยการใช้ภาษาไทยของคนไทย"

         คือคำกล่าวของ อดีตนายกรััฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่ไปเป็นประธานมอบรางวัล เนื่องในวันภาษาไทยแห่งชาติ เมื่อวันที่ 29ก.ค.2554 ที่ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย ซึ่งถ้าใครได้ไปร่วมงาน2ปีซ้อน จะทราบดีว่าเป็นการชมตัวเองย้อนหลัง จากที่ตัวเองเคยได้รับรางวัลนี้เมื่อปี 2553 ตามคอนเซ็ป "ความดีไม่ได้มีไว้ขาย อยากได้ต้องชมตัวเอง" ที่ผมให้เป็นคำขวัญด้านบนนี้

           และในปีที่อภิสิทธิ์ฯได้รับรางวัลนี้ ดูๆแล้วคล้ายกับเป็นปีที่แจกรางวัลในครอบครัวมากกว่าครับ เพราะเป็นการแจกรางวัลในลักษณะ ชงกันเอง-กินกันเอง เนื่องจากรัฐมนตรีวัฒนธรรมขณะนั้นที่ชื่อนิพิฏฐ์ฯก็มาจากพรรคประชาธิปัตย์ คนได้รับก็เป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ มีพระที่ได้รับรางวัลพร้อมกับอภิสิทธิ์ ชื่อพระมิตซูโอะ ก็เป็นพระเขยของพรรคประชาธิปัตย์ ที่สึกออกมาอยู่กินกับโยมสีกา ที่เป็นพี่สาวแท้ของผู้สมัคร สส.กทม.พรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งปัจจุบันเป็น ผอ.สถานีบลูสกาย และบุคคลอื่นที่ไม่อยากจะเอ่ยนามอีกมากมาย

         มีอยู่2ประเด็นที่ผมอยากจะพูดในโพสต์นี้ คือ หนึ่ง คำกล่าวของอภิสิทธิ์ และสอง การกระทำของอภิสิทธิ์
  • หนึ่ง นายอภิสิทธิ์ฯ ได้กล่าวกับผู้ได้รับรางวัลไว้เองว่า การอนุรักษ์คำไทย เป็นการสนองพระมหากรุณาธิคุณฯ ที่ทรงห่วงใยการใช้ภาษา
  • สอง การกระทำของนายอภิสิทธิ์ฯ ซึ่งเคยได้รับรางวัลนี้เมื่อปี53 เป็นประธานฯมอบรางวัลปี54 และเป็นถึงอดีตนายกรัฐมนตรี กลับพูดจาต่อสาธารณชน โดยใช้คำว่าอีโง่ กระหรี่ แรด ซึ่งเป็นการกระทำที่ คนไทยทุกคนเชื่อว่า มิได้เป็นการสนองพระมหากรุณาธิคุณ อย่างที่ได้เคยพูดเอาไว้ครับ
ก่อนพูด : เราเป็นนายคำพูด
หลังพูด : คำพูดเป็นนายเรา



        อดีตนายกฯอภิสิทธิ์ครับ คนเราโกหกคนอื่นได้แต่โกหกตัวเองไม่ได้ครับ คุณอาจจะโกหกคนไทยทั้งประเทศว่าพูดคำว่าอีโง่ แรด กระหรี่ลอยๆ ไม่ได้หมายถึงใคร แต่ตัวคุณรู้ดีว่าเจตนาที่คุณพูดต้องการสื่ออะไร คนไทยทั้งประเทศก็ทราบนิสัย ที่ชอบกระแนะกระแหนเหมือนผู้หญิง ของคุณดีและรู้ดีว่าคุณกำลังโกหกคนทั้งประเทศ เพียงแต่คนกลุ่มหนึ่งเคียดแค้นในสิ่งที่คุณพูด และคนอีกกลุ่มหนึ่งสนับสนุนในทุกสิ่งที่คุณพูด ถึงแม้มันจะเลวร้ายอย่างไรคนกลุ่มหลังนี้ ก็หลับหูหลับตาสนับสนุนคุณ โดยไม่ใช้สมองคิดครับ

        สิ่งที่ดีที่สุดที่อภิสิทธิ์ควรจะทำในวันนี้ เพื่อมิให้วัฒนธรรมไทยเสื่อมเสีย เพื่อมิให้ระคายเคืองถึงสถาบันฯ และเพื่อเป็นการสนองพระมหากรุณาธิคุณฯ อย่างที่ตัวเองเคยพูดไว้ คือ

         อภิสิทธิ์ควรออกมาขอโทษ ในความหยาบคายที่ตัวเองพูดไว้ต่อสาธารณชน และเอารางวัลที่ได้ไปคืนกระทรวงวัฒนธรรม เพื่อเป็นแบบอย่างที่ดีต่อคนรุ่นลูกหลาน ว่าคนทำผิดควรยอมรับผิด และสำนึกในสิ่งที่ตัวกระทำครับ

        สำหรับท่านที่ไม่เคยเห็น อดีตนายกฯของไทย พูดคำว่า อีโง่ กระหรี่ แรด แบบเต็มปากเต็มคำ เชิญดูได้ที่นี่ครับ


http://youtu.be/mobZH6-0KT4



ตำรวจออกหมายจับผู้ชุมนุมม๊อบยาง 12 คน ก่อเหตุรุนแรง


ตำรวจออกหมายจับผู้ชุมนุมม๊อบยาง 12 คน ก่อเหตุรุนแรง


          วันที่ 17 กันยายน 2556 (go6TV) - พล.ต.ต.ปิยะ เปิดเผยว่า ตำรวจยังคงรักษาความเรียบร้อย บริเวณการชุมนุมของชาวสวนยางที่ปิดแยกควนหนองหงษ์ ซึ่งใช้กำลังเจ้าหน้าที่ 5 กองร้อยหรือ 750 นาย โดยตั้งด่านความมั่นคง 4จุด

          ส่วนภาพชายที่แต่งกายคล้ายตำรวจแล้วทุบทำลายรถ ชัดเจนแล้วว่า เป็น 1 ในผู้ชุมนุมที่นำชุดเจ้าหน้าที่ ซึ่งอยู่ภายในรถขนกำลังมาใส่ ขณะนี้อยู่ระหว่างออกหมายจับ และมีแกนนำถูกออกหมายจับแล้ว 12 คน บางส่วนเป็นแกนนำผู้ชุมนุมที่กรุงเทพมหานคร

          โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ยังเปิดเผยว่า กลุ่มผู้ชุมนุมอาจเพิ่มความกดดันโดยปิดสถานที่ราชการ และหากมีบุคคลสำคัญเข้าไปในพื้นที่ จะถูกจับเป็นตัวประกันด้วย สำหรับตำรวจที่ได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์เมื่อวานนี้ (16ก.ย.) มี 78 นาย

         จับผู้ลักลอบขน ใบกระท่อม มีดปลายแหลม กระบองไฟฟ้า น้ำกรด เข้าม๊อบยาง ที่หนองหงษ์

         วันที่ 17 กันยายน 2556 (go6TV) -ขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ตั้งจุดตรวจที่หน้าป้อมตำรวจบ้านตูล บ้านควนเงิน หมู่ 2 ต.บ้านตูล อ.ชะอวด จ.นครศรีธรรมราช เพื่อบอกทางเลี่ยงให้กับผู้ที่ขับรถหลีกลุ่มชุมนุมประท้วงชาวสวนยางที่แยกควนหนองหงษ์ ต.ควนหนองหงษ์ อ.ชะอวด พร้อมทำการตรวจป้องกันไม่ให้อาวุธและสิ่งผิดกฏหมายที่อาจจะเล็ดลอดเข้าไปในบริเวณผู้ชุมนุมประท้วง

          จากการตรวจสอบพบว่ามีรถยนต์กระบะยี่ห้อมิตซูบิชิ สีน้ำเงิน ทะเบียน บท-9333 นครศรีธรรมราช ขับผ่านมา เจ้าหน้าที่จึงเข้าตรวจสอบพบเครื่องแบบตำรวจอยู่ภายในรถ มีเสื้อตำรวจ 2 ตัว เสื้อสะท้อนแสง 6 ตัว ไม้กระบองไฟฟ้า 2 อัน ไม้กระบองไม้ 2 อัน และยังมีใบพืชกระท่อมอีก 1 ถุง เจ้าหน้าที่จึงทำการตรวจยึดไว้เป็นของกลาง และนำตัวคนขับรถมาสอบสวน

          ทั้งนี้ทราบชื่อคนขับรถคันดังกล่าว คือ นายปรีชา ไสยฉิม อยู่บ้านเลขที่ 156/1 หมู่ 7 ต.เกาะทวด อ.ปากพนัง จ.นครศรีธรรมราช ให้การกับเจ้าหน้าที่ตำรวจว่า เป็นตำรวจอาสาอยู่ที่บ้านเกาะทวด ต.เกาะทวด อ.ปากพนัง ซึ่งได้ขับรถคันดังกล่าวเข้าไปที่ชุมนุมประท้วงกันที่แยกควนหนองหงส์ เจ้าหน้าที่จึงส่งตัวให้พนักงานสอบสวน สภ.ชะอวด จ.นครศรีธรรมราช สอบสวนดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

           นอกจากนี้อีกรายเจ้าหน้าที่ได้เรียกตรวจนายอุทัย ทองมาก ชาวบ้าน ต.นางหลง อ.ชะอวด จ.นครศรีธรรมราช ขับรถจักรยานยนต์ผ่านมา พบหนังสติ๊ก 1 อัน ลูกแก้ว 4 ลูก มีดปลายแหลมอีก 4 เล่ม และยังมีผ้าเหลืองที่การ์ดของผู้ชุมนุมประท้วงคาดหัวและปิดหน้า แต่นายอุทัย ให้การปฎิเสธว่ามาสังเกตการณ์ที่ชุมนุมประท้วงเท่านั้น เจ้าหน้าที่จึงยึดสิ่งของไว้ก่อนจะปล่อยตัวนายอุทัยฯ ให้กลับบ้านต่อไป

           ด้านพ.ต.ท.ราชศักดิ์ มณีฉาย หัวหน้าชุดตรวจป้อมตำรวจบ้านตูล กล่าวว่า ได้รับคำสั่งให้ตั้งจุดตรวจสกัดตามพื้นที่ต่างๆ เพื่อเฝ้าระวังดุแลความสงบรอบนอกพื้นที่ชุมนุมประท้วง ซึ่งหลังจากการตั้งจุดตรวจก็สามารถยึดหนังสติ๊ก น้ำส้มฆ่ายาง และจับกุมเครื่องแบบตำรวจได้อีกราย ส่วนบรรยากาศในที่ชุมนุมบริเวณแยกควนหนองหงษ์ขณะนี้มีกลุ่มผู้ชุมนุมเริ่มทยอยเข้าไปรวมตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

จับตา! สภาฯ ถกพรบ.สร้างอนาคตไทย 2020 19-20ก.ย.นี้


จับตา! สภาฯ ถกพรบ.สร้างอนาคตไทย 2020 19-20ก.ย.นี้

               18 กันยายน 2556 go6TV - นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานสภาผู้แทนราษฎร ได้ออกหนังสือด่วนมาก ที่ สผ 0014/ผ 114 นัดประชุมสภาผู้แทนราษฎร สมัยสามัญทั่วไป ครั้งที่ 10 เป็นพิเศษ ในวันที่ 19 กันยายน 2556 เวลา 09.30 น. และครั้งที่ 11 เป็นพิเศษ ในวันที่ 20 กันยานยน 2556 เวลา 09.30 น. เพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศ วงเงิน 2 ล้านล้านบาท ซึ่งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาเสร็จแล้ว โดยในรายงานของคณะกรรมาธิการระบุว่า มี ส.ส.เสนอคำแปรญัตติทั้งหมด 144 คน และในบัญชีท้าย พ.ร.บ.ดังกล่าวมีรายละเอียดยุทธศาสตร์ แผนงาน และวงเงินดำเนินการ ซึ่งในหมวด ก. การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมของประเทศ มีทั้ง 3 ยุทธศาสตร์ ประกอบด้วย


  • ยุทธศาสตร์ปรับเปลี่ยนรูปแบบการขนส่งสินค้าทางถนนสู่การขนส่งที่มีต้นทุนต่ำกว่า วงเงิน 357,709.51 ล้านบาท 
  • ยุทธศาสตร์พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและสิ่งอำนวยความสะดวกในการเดินทางและขนส่งไปสู่ศูนย์กลางของภูมิภาคทั่วประเทศและเชื่อมโยงประเทศเพื่อนบ้าน วงเงิน 1,043,224.14 ล้านบาท
  • ยุทธศาสตร์พัฒนาและปรับปรุงระบบขนส่งเพื่อยกระดับความคล่องตัว วงเงิน 578,015.65 ล้านบาท สำหรับหมวด ข. แผนงานการส่งเสริมหรือสนับสนุนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศตามยุทธศาสตร์ วงเงิน 21,050.70 ล้านบาท