วันพุธที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

“จ่านิว” ให้การปฏิเสธ คดีฝ่าฝืน MOU ระบุจนถึงวันนี้ก็ไม่เห็นว่า คำสั่งคณะรัฐประหารเป็นกฎหมาย


ศาลทหารนัดไต่สวนคำให้การคดี จ่านิวร่วมกิจกรรมเลือกตั้งที่รัก(ลัก) ฝ่าฝืนเงื่อนไขการปล่อยตัวของผู้ถูกกักตัวโดยกฎอัยการศึกษา เจ้าตัวให้การปฏิเสธ พร้อมสู้คดี เผยจนถึงวันนี้ก็ยังไม่คิดว่าคำสั่งคณะรัฐประหารเป็นกฎหมาย
21 ก.พ.2560 ที่ศาลทหาร กรุงเทพฯ ได้มีการนัดสอบคำให้การ สิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์ หรือจ่านิว ในคดีฝ่าฝืนเงื่อนไขการปล่อยตัวของผู้ถูกกักตัวตามกฎอัยการศึก ตามประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่ 40/2557 จากกรณีการเข้าร่วมกิจกรรมเลือกตั้งที่รัก(ลัก) เมื่อวันที่ 14 ก.พ. 2558 โดยสิรวิชญ์ ได้ให้การปฎิเสธข้อกล่าวหา และยืนยันสู้คดีต่อ จากนั้นศาลจึงนัดตรวจพยานหลักฐานในวันที่ 19 เม.ย. 2560 เวลา13.30 น. โดยในครั้งนี้ได้มีตัวแทน สถานเอกอัครราชทูตรวม 5 ประเทศเข้าสังเกตการพิจารณาไต่สวนคำให้การประกอบด้วย ประเทศฝรั่งเศส ประเทศฟินแลนด์ ประเทศเยอรมันนี ประเทศเดนมาร์ค และประเทศนอร์เวย์
ทั้งนี้สิรวิชญ์ได้ให้สัมภาษณ์กับประชาไท ภายหลังการไต่สวนคำให้การว่า ยืนยัน และพร้อมที่จะสู้คดีต่อไป เนื่องจากเห็นว่าสาเหตุที่ตนถูกดำเนินคดีนั้นไม่ถูกต้องและไม่ชอบธรรมตั้งแต่แรก เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้สะท้อนให้เห็นว่าสิ่งที่ คสช. ทำคือการพยายามใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือ เพื่อที่จะปิดปากผู้ที่เห็นต่างไปจากผู้มีอำนาจ และจนถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่คิดว่าคำสั่ง หรือประกาศต่างๆ ที่ออกมาโดย คณะรักษาความสงบแห่งชาติ มีสถานะเป็นกฎหมาย เพราะเกิดมาจากการยึดอำนาจไปจากประชาชน
สำหรับคดีดังกล่าวเกิดขึ้นจาก การที่สิรวิชญ์ ได้เดินทางไปร่วมกิจกรรม เลือกตั้งที่รัก(ลัก) เมื่อวันที่ 14 ก.พ. 2558 โดยในวันนั้นมีผู้ถูกจับกุม และถูกดำเนินคดีทั้งหมด 4 รายประกอบด้วย พันธ์ศักดิ์ ศรีเทพ พ่อของนายสมาพันธ์หรือ เฌอ เสียชีวิตในเหตุการณ์สลายชุมนุมปี 53  อานนท์ นำภา ทนายความจากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน วรรณเกียรติ ชูสุวรรณ หรือ 'กึ๋ย' อาชีพขับแท็กซี่ และสิริวิชญ์ เสรีธิวัฒน์ หรือจ่านิว ซึ่งเวลานั้นยังเป็น นักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สมาชิกกลุ่มสภาหน้าโดม และสมาชิกศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาเพื่อประชาธิปไตยแห่งประเทศไทย (ศนปท.) โดยทั้ง 4 คนถูกแจ้งข้อกล่าวหาฝ่าฝืน ประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติฉบับที่ 7/2557  แต่มีเพียงสิรวิชญ์ คนเดียวที่ถูกแจ้งข้อกล่าวหา ฝ่าฝืนเงือนไขการปล่อยตัวของผู้ถูกกักตัวตัวตามกฎอัยการศึก เนื่องจากเมื่อวันที่ 22 มิ.ย. 2557 เขาเคยถูกควบคุมตัวขณะเตรียมทำกิจกรรมแจกแซนวิชต้านรัฐประหาร กับเพื่อนอีกหลายคน(อ่านข่าวที่นี่)
สำหรับคดีฝ่าฝืนเงือนไขการปล่อยตัว ก่อนหน้านี้ สิรวิชญ์ ได้ยื่นคำร้องขอให้มีการพิจารณาว่าคดีนี้อยู่ในอำนาจพิพากษาของศาลใดเมื่อวันที่ 31 ส.ค. 2559 และต่อมาวันที่ 9 ธ.ค. 2559 ศาลทหารและศาลแขวงปทุมวันมีความเห็นตรงกันให้คดี ‘จ่านิว’ฝ่าฝืนเงือนไขการปล่อยตัว ข้อห้ามชุมนุมการเมือง เป็นคดีที่อยู่ในการพิจารณาของศาลทหาร เพราะศาลเห็นว่า คสช. เป็นรัฏฐาธิปัตย์ ซึ่งสามารถออกประกาศ คำสั่ง และกฏหมายได้
โดยศาลทหารเห็นว่าหลังการรัฐประหารเมื่อวันที่ 22 พ.ค. 2557 คสช. ได้อาศัยอำนาจตาม พ.ร.บ.กฎอัยการศึกในการออกประกาศยกเลิกรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 และได้ออกประกาศฉบับที่ 37/2557 เรื่องความผิดที่อยู่ในการพิจารณาของศาลทหารที่กำหนดให้ความผิดตามประกาศหรือคำสั่ง คสช.อยู่ในการพิจาณาของศาลทหารซึ่งได้รับรองความชอบธรรมตามมาตรา 47 วรรค 1 ในรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว พ.ศ.2557 ซึ่งคดีนี้อัยการโจทก์ได้ยื่นฟ้องจำเลยฐานฝ่าฝืนประกาศ คสช.ฉบับที่ 40/2557 คดีนี้จึงอยู่ในการพิจารณาพิพากษาของศาลทหาร
ในส่วนความเห็นของศาลแขวงปทุมวันสรุปได้ว่าเมื่อ คสช. ยึดอำนาจปกครองประเทศและได้ออกใช้อำนาจรัฐออกประกาศ คสช.ฉบับที่ 37/2557 และประกาศ คสช.ฉบับที่ 40/2557จึงเป็นการออกประกาศและคำสั่งโดยใช้อำนาจความเป็นรัฏฐาธิปัตย์ นอกจากนั้นมาตรา 47 วรรค 1 ของรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว พ.ศ.2557 ที่บัญญัติให้ประกาศและคำสั่ง หรือคำสั่งหัวหน้า คสช.ที่ประกาศตั้งแต่ 22 พ.ค.2557 ทำให้ประกาศทั้ง 2 ฉบับชอบด้วยกฎหมาย
แม้ภายหลังจะมีการยกเลิกกฎอัยการศึกก็ไม่ทำให้ประกาศทั้ง 2 ฉบับถูกยกเลิกไปด้วย การที่อัยการศาลทหารเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยกระทำความผิดตามประกาศ คสช.ฉบับที่ 40/2557 ซึ่งเป็นฐานความผิดตามประกาศ คสช.ฉบับที่ 37/2557 คดีนี้จึงอยู่ในการพิจารณาของศาลทหาร
ปัจจุบันสิรวิชญ์ มีคดีความที่อยู่ในการพิจารณาของศาลทั้งหมด 4 คดี โดย 3 คดีอยู่ในศาลทหาร และอีก 1 คดีพิจารณาในศาลพลเรือน โดยศาลได้พิพากษาลงโทษปรับ 1,000 บาท ตามความผิดฐาน ทิ้งสิ่งปฏิกูลหรือมูลฝอยลงบนพื้นที่สาธารณะ ซึ่งเป็นผิด พ.ร.บ.รักษาความสะอาด จากรณีการจัดกิจกรรมโพตส์สิทธิ์ ที่ BTS ช่องนนทรี ในวันที่ 1 พ.ค.2559 เพื่อเรียกร้องให้ปล่อยตัววัฒนา เมืองสุข และแอดมินเพจ “เรารักพลเอกประยุทธ์” 8 คนที่ถูกทหารจับกุมตัว ซึ่งคดีนี่สิรวิชญ์เห็นว่าเขาไม่ได้ทำความผิด จึงได้มีการเตรียมการเพื่อยื่นอุทธรณ์ต่อไป
สำหรับคดีที่อยู่ในศาลทหารประกอบด้วย
-คดีฝ่าฝืนประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติฉบับที่ 7/2257 กรณีการร่วมกิจกรรมเลือกตั้งที่รัก(ลัก) เมื่อวันที่ 14 ก.พ. 2558  มีจำเลยทั้ง 4 คน
-คดีฝ่าฝืนเงือนไขการปล่อยตัวของผู้ถูกกักตัวตามกฎอัยการศึก ตามประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่ 40/2557 ซึ่งเป็นผลสืบเนืองจากการร่วมกิจกรรมเลือกตั้งที่รัก(ลัก)
-คดีฝ่าฝืนคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติฉบับที่ 3/2558 กรณีการจัดกิจกรรม “นั่งรถไฟไปอุทยานราชภักดิ์ ส่องแสงหากลโกง” เมื่อวันที่ 7 ธ.ค. 2558

ผู้บัญชาการทหารสูงสุดขอทุกเหล่าทัพช่วยสร้างความปรองดอง


ผู้บัญชาการทหารสูงสุดกล่าวในการประชุมผู้บัญชาการเหล่าทัพ ขอให้สนับสนุนรัฐบาลจัดพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพอย่างเต็มความสามารถ พร้อมหนุน ป.ย.ป. สร้างความปรองดอง ด้าน พล.อ.ประวิตร ระบุชัด ปรองดองไม่เกี่ยวกับ นิรโทษกรรม
22 ก.พ. 2560 พล.อ.สุรพงษ์ สุวรรณอัตถ์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด เป็นประธานประชุมผู้บัญชาการเหล่าทัพ ครั้งที่ 3 ประจำปีงบประมาณ 2560 โดยมี พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท ผู้บัญชาการทหารบก พล.ร.อ.ณะ อารีนิจ  ผู้บัญชาการทหารเรือ พล.อ.อ.จอม รุ่งสว่าง ผู้บัญชาการทหารอากาศ และพล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ นายทหารระดับสูงของ 3 เหล่าทัพและสำนักงานตำรวจแห่งชาติเข้าร่วมประชุม ที่ห้องประชุม ชั้น 6 อาคารกองบัญชาการกองทัพเรือ พื้นที่วังนันทอุทยาน
ผู้บัญชาการทหาสูงสุดกล่าวขอบคุณทุกเหล่าทัพและสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่ให้การสนับสนุนการจัดกิจกรรมเพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช โดยการสนับสนุนอาหาร เครื่องดื่มและอำนวยความสะดวกให้แก่ประชาชนที่เดินทางมากราบบังคมพระบรมศพ รวมถึงการช่วยเหลือและฟื้นฟูผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้อย่างเต็มขีดความสามารถ เป็นที่ชื่นชมของประชาชน และขอบคุณทุกเหล่าทัพที่ให้การสนับสนุนกำลังพลและยุทโธปกรณ์เข้าร่วมการฝึก Cobra Gold 17 แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของกองทัพไทยต่อมิตรประเทศ
พล.อ.สุรพงษ์ ได้ขอให้เหล่าทัพและสำนักงานตำรวจแห่งชาติให้การสนับสนุนรัฐบาลจัดพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพอย่างเต็มความสามารถเพื่อให้ผลงานสมบูรณ์และสมพระเกียรติยศ พร้อมทั้งให้การสนับสนุนและร่วมมือกับคณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดินตามกรอบการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติ และการสร้างความสามัคคีปรองดอง (ป.ย.ป.) รวมถึงคณะกรรมการเตรียมการเพื่อสร้างความสามัคคีปรองดองและคณะอนุกรรมการที่เกี่ยวข้องด้วย
ผู้บัญชาการทหารสูงสุด เน้นย้ำให้ศูนย์บรรเทาสาธารณภัยกองทัพไทยและเหล่าทัพเตรียมความพร้อมช่วยเหลือประชาชนที่ประสบภัยได้ทันที สำหรับกรณีอุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ ซึ่งปัจจุบันอยู่ในขั้นฟื้นฟู  ให้ดำเนินการอย่างบูรณาการ ไม่ซ้ำซ้อน โปร่งใส พร้อมทั้งประชาสัมพันธ์ผลการดำเนินงานของศูนย์บรรเทาสาธารณภัยกระทรวงกลาโหมอย่างต่อเนื่อง และเน้นย้ำให้กำลังพลและครอบครัวน้อมนำพระราชดำรัสของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ที่ทรงมีพระราชดำรัสเนื่องในวันขึ้นปีใหม่ที่สรุปใจความว่า “ขอให้ชาวไทยทุกคนร่วมกันคิดอ่าน และปฏิบัติหน้าที่ ด้วยปัญญา รวมทั้งพิจารณาทุกสิ่งที่เกิดขึ้นตามความเป็นจริง โดยปราศจากอคติ” มาเป็นหลักชัยดำเนินชีวิต
ทั้งนี้ การประชุมวันนี้(21 ก.พ.)ใช้เวลาเพียง 1 ชั่วโมงครึ่ง และไม่มีการแถลงผลการประชุม เนื่องจากผู้บัญชาการทหารสูงสุดและผู้บัญชาการเหล่าทัพ ติดภารกิจร่วมพิธีต้อนรับ พล.อ.โง ซวน หลิก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ในโอกาสเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการ ในฐานะแขกของกระทรวงกลาโหม

พลเอกประวิตร ให้สัมภาษณ์สื่อ ระบุชัดเวทีปรองดอง ไม่พูดเรื่องนิรโทษกรรม

ขณะที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้ให้สัมภาษณ์ถึงข้อเสนอของพรรคการเมือง โดยเฉพาะพรรคเพื่อไทย ที่จะเสนอเรื่องนิรโทษกรรม ว่า ตนเคยพูดตั้งแต่แรกแล้วว่าจะไม่นำเรื่องดังกล่าวมาพูดคุย ส่วนเรื่องอื่น ๆ นั้นให้ไปนำเสนอต่อคณะอนุกรรมการรับฟังความคิดเห็น

โฆษกกลาโหมชี้แจง บรรยากาศพูดคุยปรองดองเป็นไปด้วยดี ระบุกรณีเพื่อไทยจะมาให้ความเห็นวันที่ 8 มี.ค. ให้รอคณะกรรมการปรองดอง เป็นผู้กำหนดวันเอง

ด้าน พล.ต.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการด้านการประชาสัมพันธ์ เพื่อความสามัคคีปรองดอง เปิดเผยถึงผลการเชิญพรรคการเมืองเข้ามาพูดคุยเพื่อหาแนวทางปรองดองในสัปดาห์ที่สอง ว่า บรรยากาศการพูดคุยในส่วนของพรรคการเมืองขนาดเล็ก เป็นไปด้วยดีและเป็นกันเอง มีการเปิดกว้างรับฟังความคิดเห็นระหว่างกัน ซึ่งในส่วนของพรรคการเมืองขนาดเล็ก มีข้อเสนอแนะที่น่าสนใจ โดยเห็นว่าต้นเหตุของปัญหาความขัดแย้ง  เกิดจากการไม่เคารพสิทธิ การทุจริตคอรัปชั่น ประชาชนยังมีความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา  การสาธารณสุข และการเข้าถึงทรัพยากร รวมถึงมีความขัดแย้งที่เกิดจากการสูญเสียประโยชน์ของกลุ่มการเมืองเก่าและการเข้ามาของกลุ่มผลประโยชน์ใหม่ การไม่ยอมรับกฏหมาย องค์กรอิสระถูกแทรกแซง และการมีกลุ่มทุนที่สนับสนุนกลุ่มการเมืองที่หวังประโยชน์ทางธุรกิจ
โฆษกกระทรวงกลาโหม กล่าวว่า ในส่วนของพรรคการเมืองขนาดเล็กเสนอให้มีการปฏิรูปที่ต้องทำไปพร้อมกันในทุกกลุ่ม ซึ่งควรปฏิรูปพรรคการเมืองก่อน โดยคัดสรรบุคคลที่ไม่หวังผลประโยชน์เข้ามาทำหน้าที่  รัฐบาลต้องคืนความเป็นธรรมให้สังคม เพิ่มโอกาสให้ประชาชนเข้าถึงการศึกษาและทรัพยากรธรรมชาติ เข้าถึงแหล่งเงินทุนในการประกอบอาชีพ มีการบังคับใช้กฏหมายอย่างจริงจังและทำให้ประชาชนเคารพกฏหมายควบคู่กัน และแก้ปัญหาความขัดแย้งที่ผ่านมาสร้างความปรองดองให้เกิดขึ้น
ส่วนกรณีที่พรรคเพื่อไทยตอบรับจะเข้ามาพูดคุยปรองดองในวันที่ 8 มีนาคม พล.ต.คงชีพ กล่าวว่า จะเป็นวันเวลาใดนั้น ขอให้ทางคณะอนุกรรมการรับฟังความคิดเห็นการสร้างความสามัคคีปรองดองเป็นผู้กำหนด ส่วนกรณีจตุพร พรหมพันธุ์ ประธาน นปช. จะเข้ามาพูดคุยกับพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมนั้น ขอให้เป็นการเข้ามาพบตามช่องทางที่ได้เปิดไว้ ที่มีการเปิดเวทีทั้งในส่วนกลางและภูมิภาค
พล.ต.คงชีพ กล่าวว่า สำหรับพรรคการเมืองที่จะเข้าให้ความเห็นในวันพรุ่งนี้ (23 ก.พ.) ได้แก่พรรคกสิกรไทย พรรคเพื่อประชาชนไทยและพรรคเพื่อฟ้าดิน เวลา 13.30-16.30 น.และในวันที่ 24 กุมภาพันธ์เป็น พรรคประชาธิปไตยก้าวหน้า พรรครักท้องถิ่นไทย และพรรคไทยรักธรรม เวลา 9.00-12.00 น

ผู้ตรวจการแผ่นดิน เผย 'พล.ต.ท.ศานิตย์' แจงกรณีรับเงินเดือนที่ปรึกษา 'ไทยเบฟ' แล้ว


เลขาธิการสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน เผย พล.ต.ท.ศานิตย์ ผบช.น. และ สนช. ทำหนังสือชี้แจงกรณีรับเงินเดือนที่ปรึกษา 'ไทยเบฟ' แล้ว คาดชงเรื่องเข้าที่ประชุมผู้ตรวจฯ 28 ก.พ.นี้

22 ก.พ. 2560 จากเมื่อวันที่ 13 ธ.ค.2559 ศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ได้เดินทางไปที่ สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน อาคาร B ศูนย์ราชการฯ เพื่อร้องเรียนกล่าวโทษต่อผู้ตรวจการแผ่นดิน เพื่อไต่สวน ตรวจสอบกรณี พล.ต.ท.ศานิตย์ มหถาวร ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.) และ สนช. รับเงินเดือนที่ปรึกษาจากบริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) ตั้งแต่ปี 2558 จนถึงปัจจุบัน เดือนละ 50,000 บาท มีความผิดต่อจริยธรรมและกฎหมาย ป.ป.ช.มาตรา 100 (4) และมาตรา 103 ด้วยหรือไม่อย่างไร โดยระบุว่า อาจเข้าข่ายขัดหรือแย้งต่อประมวลจริยธรรมของข้าราชการตำรวจและประมวลจริยธรรมของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ.2550 เพราะอาจมีผลประโยชน์ทับซ้อนต่อการปฏิบัติหน้าที่ในการบังคับใช้กฎหมายอีกด้วย (อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม)
ล่าสุดวันนี้ (22 ก.พ.60) สำนักข่าวไทย รายงานว่า รักษเกชา แฉ่ฉาย เลขาธิการสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน เปิดเผยความคืบหน้าในการตรวจสอบกรณีเรื่องร้องเรียนดังกล่าวว่า ก่อนหน้านี้ พล.ต.ท.ศานิตย์ มีการทำหนังสือขอขยายเวลาชี้แจงออกไป 30 วัน แต่ที่ประชุมผู้ตรวจการแผ่นดินเมื่อวันที่ 15 ก.พ. ที่ผ่านมา มีมติไม่ขยายเวลาให้ตามที่ขอ และส่งหนังสือทวงให้ชี้แจงข้อมูลภายใน 7 วัน  ล่าสุดช่วงเช้าวันนี้ (22 ก.พ.)  ตนได้รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดินว่า พล.ต.ท.ศานิตย์ ได้ทำหนังสือชี้แจงกรณีดังกล่าวมายังสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดินแล้ว และกำลังอยู่ในขั้นตอนการพิจารณาหนังสือ ซึ่งตนจะนำเรื่องดังกล่าวรายงานต่อผู้ตรวจการแผ่นดินอีกครั้งหนึ่ง
รักษเกชา กล่าวอีกว่า ขณะนี้ผู้ตรวจการแผ่นดินมีข้อมูลจากบริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) และข้อมูลจาก พล.ต.ท.ศานิตย์แล้ว แต่ยังขาดข้อมูลจากสำนักงาน ป.ป.ช. ที่ยังไม่ส่งข้อมูลมา ทางสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดินกำลังเร่งให้ ป.ป.ช.ส่งข้อมูลมาให้ แต่ในเบื้องต้นสามารถเทียบเคียงข้อมูล จากบริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) และข้อมูลจาก พล.ต.ท.ศานิตย์ แต่ก็ต้องรอข้อมูลจาก ป.ป.ช. เพื่อมาเทียบเคียงกันทั้งหมด อย่างไรก็ตามจะมีการนำเรื่องดังกล่าวเข้ารายงานต่อที่ประชุมผู้ตรวจการแผ่นดินในวันที่ 28 ก.พ. อีกครั้งหนึ่ง
เมื่อถามว่ากระบวนการพิจารณาของผู้ตรวจการแผ่นดินจะแล้วเสร็จทันก่อนรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ประกาศใช้หรือไม่ เพราะจะทำให้ผู้ตรวจการแผ่นดินไม่มีอำนาจตรวจสอบในเรื่องจริยธรรม รักษเกชา กล่าวว่า น่าจะทัน เพราะจะมีการประชุมผู้ตรวจการแผ่นดินในวันที่ 28 ก.พ. นี้  และขณะนี้ก็รอเพียงข้อมูลจากสำนักงาน ป.ป.ช. 

ชีวิต-ความหวังของครอบครัวนักโทษคดีเผาศาลากลางอุบลฯ สิ่งที่ไม่เคยถูกนับใน ‘การปรองดอง'


7 ปีผ่านมาใครจะรู้ว่าญาตินักโทษคดีเผาศาลากลาง ชะตากรรมก็อาจไม่ต่างจากคนที่ถูกคุมขังเท่าไรนัก บ้างถึงขั้นต้องร่อนเร่พเนจร บ้างชีวิตไม่ปกติ หากินวันต่อวัน ความหวังเดียวคือรอเสาหลักออกจากคุก เราพาไปดูชีวิตพวกเขา ข้อสังเกต/คำถามต่อคดีนี้ พร้อมรู้จักกองทุนช่วยเหลือฯ ที่ประชาชนหันมาช่วยกันเอง
ปี 2553 การเมืองไทยถึงขึ้นแตกหัก นักการเมือง ประชาชนแบ่งฝักฝ่ายแยกสีเสื้อ ทุกฝ่ายพร้อมห้ำหั่นกันจนถึงขั้นใช้กำลังคร่าชีวิตเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน จนเกิดเหตุการณ์นองเลือดจากการสลายการชุมนุมของคนเสื้อแดง 10 เม.ย. ที่แยกคอกวัว ถึง 19 พ.ค. มีผู้เสียชีวิตนับร้อย บาดเจ็บนับพัน เหตุการณ์นี้ใช่เพียงจะจบลงในใจกลางกรุงเทพเท่านั้น แต่มันยังนำมาซึ่งความโกรธเกรี้ยวของมวลชนเสื้อแดงตามต่างจังหวัดภาคอีสาน 
ที่จังหวัดอุบลราชธานี เมื่อมีการนำร่างนายอินทร์แปลง เทศวงศ์ แท็กซี่ชาวอุบลฯ ผู้ชุมนุมที่ถูกยิงเสียชีวิตจากคำสั่งเข้ากระชับพื้นที่กลับมายังบ้านเกิดในคืนวันที่ 15 พ.ค. 2553 ก็นำมาสู่ความรุนแรงที่ไม่มีใครคาดคิดในวันที่ 19 พ.ค. ขณะที่กรุงเทพฯ มีการใช้กำลังขั้นสุดท้ายกับผู้ชุมนุม กลุ่มคนเสื้อแดงที่อุบลฯ หลายร้อยคนก็มารวมตัวกันชุมนุมหน้าศาลากลางจังหวัด จัดรถยนต์ติดเครื่องเสียงปราศรัย เผายางรถยนต์แสดงออกถึงความโกรธแค้นในสิ่งที่เพื่อนร่วมอุดมการณ์ถูกกระทำ แต่ใช่ว่าเหตุการณ์นั้นจะจบด้วยดี มีมวลชนกลุ่มหนึ่งพังรั้วศาลากลางกรูเข้าไปในสนามหญ้าขว้างปาก้อนหินเข้าสู่ตัวอาคารเพื่อระบายความคับแค้นจนมีเสียงปืนดังขึ้นจากตัวอาคาร ทำให้ผู้ชุมนุมเสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บสาหัส เหตุการณ์เริ่มลุกลามบานปลายจนไม่มีใครควบคุมได้ ไม่นานก็เกิดเพลิงลุกไหม้ขึ้นที่ชั้นบนสุดศาลากลางจังหวัดโดยยังไม่ทราบว่าใครเป็นผู้วางเพลิง
จนวันรุ่งขึ้น 20 พ.ค. มีการออกหมายจับบุคคล 21 คนที่คาดว่าเป็นผู้บงการและกระทำการเผาศาลากลางจังหวัดอุบลฯ พร้อมพยานหลักฐานภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหว พวกเขาทั้ง 21 คนนั้นโดนข้อกล่าวหา ร่วมกันก่อความวุ่นวายและฝ่าฝืนพ.ร.ก.ฉุกเฉิน ร่วมกันต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานและมีอาวุธ ร่วมกันทำให้เสียหายต่อสมบัติสาธารณะ รวมถึงก่อการร้ายด้วย
นักโทษคดีอุกฉกรรจ์ทั้ง 21 คน ถูกคุมขังระหว่างต่อสู้คดี ต่อมาบางคนได้รับการประกันตัว บางคนศาลสั่งยกฟ้องเพราะพยานหลักฐานไม่เพียงพอ บางคนไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์แต่โดนจับขังปีกว่าๆ ก่อนถูกปล่อยตัว มีจำเลยเพียง 4 รายที่ถูกคุมขังตั้งแต่วันนั้นจนวันนี้และถูกศาลชั้นต้นสั่งจำคุกหนัก 33 ปี 12 เดือน เป็นชายวัยกลางคนอายุราว 50 กว่าปี 2 รายคือ นายสนอง เกตุสุวรรณ์และนายสมศักดิ์ ประสานทรัพย์ อีกรายหนึ่งคือ ธีรวัฒน์ สัจจสุวรรณ อายุ 20 ปี(ในวันถูกจับกุม) นอกจากนี้ยังมีหญิงอีก 1 รายคือ ปัทมา มูลมิล อายุ 23 ปี(ในวันถูกจับกุม)
การต่อสู้คดียังดำเนินต่อไปจนถึงชั้นฎีกา ศาลฎีกามีคำพิพากษากลับในส่วนของจำเลยหลายคนจากที่เคยยกฟ้องในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์กลับถูกพิพากษาให้จำคุกตลอดชีวิต 2 ราย จำคุก 33 ปี 4 เดือน 6 ราย และ 1-2 ปี 5 ราย (อ่านข่าวต่อที่นี่)
ศูนย์ข้อมูลประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการสลายการชุมนุม เดือน เม.ย.-พ.ค.53 หรือ ศปช. ได้ตีพิมพ์รายงานกว่า 1,000 หน้าซึ่งมีการตั้งข้อสังเกตในคดีเผาศาลากลางอุบลราชธานีไว้อย่างมีนัยสำคัญ โดยระบุว่า
1.เหตุการณ์นี้ไม่มีการจับกุมผู้ต้องหาในที่เกิดเหตุ อาศัยการจับกุมตามหมายจับทั้งหมด แต่กระบวนการออกหมายไม่รัดกุมและไม่ยึดหลักการของกฎหมายที่ต้องมีหลักฐานตามสมควร มีการออกหมายจับทั้งคนที่อยู่ภายนอกและภายในศาลากลาง ภาพถ่ายส่วนใหญ่ถ่ายระยะไกล บางภาพมืด ไม่ชัดเจน บางภาพถ่ายขณะขว้างก้อนหินเข้าใส่ป้อมยาม บางภาพถ่ายคนที่ยืนอยู่ภายนอก ไม่มีพฤติกรรมอื่นใด นอกจากนี้คดีนี้ยังมีการออกหมายจับผู้ต้องหาบางคนโดยใช้ภาพที่ไม่ใช่เหตุการณ์ปี 2553 ด้วย และถูกออกหมายจับเพราะตำรวจเคยเห็นเขาร่วมชุมนุมในครั้งก่อนๆ โดยไม่มีหลักฐานเกี่ยวกับการชุมนุมที่ศาลากลาง (จำเลยที่ 1) มีการใช้ภาพที่ไม่ชัดเจน ทำให้จับผิดตัว เช่น กรณีจำเลยที่ 14 ไม่ได้ไปชุมนุมบริเวณศาลากลางแต่อย่างใด นอกจากนี้เจ้าหน้าที่ยังจับกุมโดยไม่แจ้งสิทธิและข่มขู่ให้ผู้ต้องหารับสารภาพ มีบางส่วนที่ถูกทำร้ายร่างกาย
2.การปล่อยชั่วคราว มีเพียงรายเดียวที่ได้รับการปล่อยชั่วคราวในชั้นพิจารณาก่อนศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษา เนื่องจากเป็นอัมพฤกษ์ครึ่งตัว ก่อนหน้านั้นพยายามขอประกันตัวหลายครั้งแต่ไม่ได้รับอนุญาต จนกระทั่งเป็นอัมพาตเดินไม่ได้ จึงได้รับการประกันตัว นอกนั้นส่วนใหญ่ได้รับประกันตัวเมื่อเวลาผ่านไปราว 1 ปี 3 เดือน
3.การสอบสวน ผู้ต้องหาไม่ได้รับการแจ้งสิทธิ แม้ทนายไม่ได้อยู่ร่วมขณะสอบสวนแต่ก็มีการลงลายมือชื่อของทนายในสำนวน บางคนถูกข่มขู่ บางคนถูกเกลี้ยกล่อมให้รับสารภาพแล้วค่อยไปต่อสู้ในชั้นศาล จากการเบิกความของพยานทำให้พบว่ามีการสอบสวนโดยไม่ชอบและบิดเบือนพยานหลักฐาน เช่น พยานให้การปรักปรำจำเลยเพราะเจ้าหน้าที่สั่งให้พูด , จำเลยให้การอย่างหนึ่งแต่เจ้าหน้าที่บันทึกตรงกันข้ามแล้วให้จำเลยลงชื่อโดยไม่อ่านให้ฟัง
4.คำพิพากษา ศาลพิจารณาคดีบนพื้นฐานความเชื่อว่า การเผาศาลากลางเกิดจากกลุ่มเสื้อแดงอย่างไม่ต้องสงสัย มักให้น้ำหนักกับปากคำเจ้าหน้าที่รัฐด้วยเหตุผลว่า “ไม่ปรากฏว่าพยานโจทก์มีเหตุโกรธเคืองกับจำเลย” และให้น้ำหนักต่อคำให้การของจำเลยในชั้นสอบสวนโดยให้เหตุผลว่า “ในชั้นศาลจำเลยมีเวลาคิดปรุงแต่งข้อเท็จจริงให้จำเลยพ้นผิด” หรือกรณีที่พยานโจทก์เบิกความเป็นคุณต่อจำเลย ศาลก็ไม่นำมาวินิจฉัย เช่น กรณีจำเลยที่ 15 เจ้าหน้าที่ กอ.รมน.ระบุว่าได้เข้าร่วมช่วยดับไฟ แต่ศาลก็ยังพิพากษาลงโทษมีความผิดฐานร่วมกันเผาทรัพย์ ที่สำคัญ ศาลใช้พยานหลักฐานที่เป็นภาพถ่ายประกอบคำรับสารภาพ หรือลายมือชื่อรับรองภาพถ่ายโดยเชื่อว่าเวลาดังกล่าว มีความชุลมุนต้องอาศัยภาพที่บันทึกจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นประกอบการพิจารณา นอกจากนี้เหตุการณ์เผาศาลากลางยังมีข้อเท็จจริงที่เป็นที่น่าเคลือบแคลงเช่น พยานผู้สื่อข่าวเบิกความว่าไฟเริ่มไหม้ที่ชั้นสองก่อน ขณะที่กำลังเจ้าหน้าที่ทหารตำรวจ ถอนออกนอกพื้นที่แทนที่จะควบคุมเพลิง และก่อนเพลิงไหม้มีการยิงออกมาจากศาลากลาง ทำให้ผู้ชุมนุมได้รับบาดเจ็บ 5 คน หลังเหตุการณ์มีทหารอากาศ 1 นาย ทหารบก 1 นายถูกออกหมายจับแต่ภายหลังต้นสังกัดของเจ้าหน้าที่ทั้งสองมีหนังสือถึงพนักงานสอบสวนให้เพิกถอนหมายจับ
ส่วนรายละเอียดและความเห็นจากทนายวัฒนา จันทศิลป์ เมื่อศาลฎีกาพิพากษาปี 2558 ที่จังหวัดอุบลราชธานี เป็นจังหวัดที่ศาลลงโทษจำคุกจำเลยสูงสุดในบรรดา 5 จังหวัด นั่นคือ 33 ปี 12 เดือนเหตุการณ์ชุลมุนที่บริเวณหน้าศาลากลาง เกิดขึ้นในช่วงบ่ายหลังสัญญาณวิทยุชุมชนถูกตัด และเหตุการณ์สลายการชุมนุมในกรุงเทพฯ ร้อนถึงขีดสุดเช่นกัน ผู้ชุมนุมที่ศาลากลางมีการผลักดันกับเจ้าหน้าที่เป็นระลอก มีคำให้การที่น่าสนใจแต่ศาลไม่รับฟังเช่น
- ประยุทธ ชุ่มนาเสียว ประธานเครือข่ายวัฒนธรรมชุมชนภาคอีสานเคยให้ข้อมูลในเวที คอป.เมื่อต้นปี 2554 ว่า ในวันเกิดเหตุ ก่อนจะเกิดเพลิงไหม้ มีเสียงปืนดังขึ้นและคนเห็นแสงไฟของปืนจากชั้นสองของศาลากลาง มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 6 รายถูกนำส่งโรงพยาบาล จากนั้นมีข่าวลือว่าผู้ที่ถูกยิงเสียชีวิตด้วย ทำให้ผู้ชุมนุมโกรธแค้นเป็นอย่างมากและบุกเข้าไปในศาลากลาง
- คำพอง เทพาคำ ผอ.กองสวัสดิการสังคม เทศบาลเมืองวารินชำราบ ยืนยันว่าวิทยุชุมชนไม่ได้มีเนื้อหายั่วยุปลุกระดมให้เผาศาลากลาง เพียงแต่เชิญชวนให้ไปแสดงพลังที่ศาลากลางเพื่อกดดันส่วนกลางซึ่งกำลังมีการล้อมปราบกันอยู่ และคำถามสำคัญในวันนั้นคือ ทำไมเจ้าหน้าที่จึงรีบถอนกำลังออก
ที่มากไปกว่านั้นคือ ปลายเดือนตุลาคม 2559 เพิ่งเสร็จสิ้นการสืบพยานในคดีแพ่งอันเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา ซึ่งหลายหน่วยราชการฟ้องจำเลย 8 รายที่ถูกแจ้งข้อหาร่วมกันวางเพลิงฯ เพื่อเรียกค่าเสียหาย 128 ล้าน
หน่วยงานรัฐที่ฟ้องได้แก่ สำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย กรมการปกครอง กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กรมบัญชีกลาง ฯลฯ ส่วนจำเลยได้แก่ ธีรวัฒน์ สัจจสุวรรณ ปัทมา มูลมิล นายสมศักดิ์ ประสานทรัพย์ นายสนอง เกตุสุวรรณ์
นายวัฒนา ซึ่งดูแลคดีแพ่งด้วย กล่าวว่า ในคดีแพ่งนี้มีแต่การสืบพยานฝ่ายโจทก์ โดยศาลไม่อนุญาตให้สืบพยานจำเลย คดีดังกล่าวเรียกว่าเป็นคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา หากศาลฎีกาพิพากษายกฟ้องในคดีอาญา คดีแพ่งก็จะสิ้นสุดไปด้วย แต่หากศาลฎีกาพิพากษาลงโทษ คดีแพ่งก็จะมีการพิจารณาอีกทีว่าค่าเสียหายที่จำเลยต้องจ่ายควรเป็นเท่าไร
โดยรวมทั้งหมด ผมคิดว่าถ้าเป็นคดีทั่วไป ศาลคงยก และแม้จะปล่อย คน (ที่โทษหนักสุด 33 ปี 12 เดือน) ก็ไม่น่าเกลียด เพราะไม่มีใครยืนยันได้เลยว่าจำเลยเป็นผู้เผา อาศัยแต่ภาพถ่ายว่าอยู่ในที่เกิดเหตุ บางคนยืนยันว่าเขาไปช่วยดับไฟด้วยซ้ำแต่ศาลไม่เชื่อ สำหรับข้อหาที่โทษหนักขนาดนี้ ถ้าไม่ชัดเจนแจ่มแจ้งก็ไม่ควรไปลงโทษเขา” วัฒนา กล่าว
0000000
แม้เนื้อหาของคดียังมีข้อสังเกตข้อคำถามอยู่หลายประการ แต่คดีนี้ถือว่าสิ้นสุดลงแล้ว และเหยื่อของความขัดแย้งทางการเมืองนั้นยังคงหลงเหลืออยู่จำนวนมาก ไม่เฉพาะผู้ต้องโทษผู้ต้องขังในคดีนี้เท่านั้น แต่ยังรวมถึงญาติ ครอบครัวของพวกเขาด้วย ส่วนคนที่พ้นโทษออกมาแล้วชีวิตต่างทรุดพัง บางคนเจ็บป่วย เสียชีวิตหลังจากได้รับอิสรภาพ บ้านแตกสาแหลกขาดเพราะขาดเสาหลักของครอบครัว ต้องย้ายที่อยู่อาศัย มีชีวิตที่ไม่ปกติ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นผลพวงจากความขัดแย้งทางการเมืองที่เบี้ยตัวเล็กๆต่างได้รับ
เรามีโอกาสพูดคุยกับญาตินักโทษคดีเผาศาลากลางอุบลราชธานีและกองทุนช่วยเหลือญาตินักโทษคดีทางการเมืองจังหวัดอุบลฯ เพื่อบอกเล่าความเป็นอยู่ ชีวิตในปัจจุบันหลังจากคนในครอบครัวถูกศาลฎีกาตัดสินให้รับโทษปี 2558
“วันที่น้องชายถูกตัดสิน เราตั้งตัวไม่ทัน ไม่ได้เห็นหน้าของน้อง มีเพียงเสียงจากโทรศัพท์บอกให้เราทำใจ มันทำให้เราตั้งหลักไม่ถูก” นิก พี่สาวของป๊อบ(ชัชวาล ศรีจันดา โทษจำคุกตลอดชีวิต)
เสียงสั่นเครือของนิก พี่สาวของป๊อบ(นายชัชวาล์ ศรีจันดา)ในร้านรับซื้อของเก่าแห่งหนึ่งในอำเภอวารินชำราบเธอเล่าว่า ขึ้นศาลทุกครั้งศาลก็ยกฟ้องตลอดตลอดเพราะหลักฐานมีเพียงรูปถ่ายเพียงใบเดียวเป็นรูปถือธงของกลุ่มชักธงรบสีแดง แต่ขึ้นศาลครั้งล่าสุดเมื่อปี 58 น้องบอกเราว่าไม่มีอะไร ไม่ต้องคิดมากเพราะไม่ได้ทำอะไรผิด สักประมาณตอนเที่ยง น้องชายโทรมาบอกว่าให้ทำใจเพราะโทษหนักถึงประหารชีวิตก่อนลดโทษเป็นจำคุกตลอดชีวิต ตอนนั้นเราตั้งตัวไม่ทัน ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรต่อไป เอายังไงกับชีวิต มันเคว้งคว้างไปหมดงานไม่ได้ไปทำ ร้องไห้อย่างเดียวไม่สามารถไปเยี่ยมน้องได้เลยเรายังยอมรับไม่ได้
เธอเล่าต่อว่า หากย้อนกลับไปก่อนที่ป๊อบติดคุกใหม่ๆ เขาอยู่กับเราตลอดเพราะเหลือกันพี่น้องสองคน ไปไหนมาไหนเหมือนปลาท่องโก๋ เธอยอมลาออกจากงานเพื่อมาทำงานที่เดียวกันกับน้องชายเพราะจะได้อยู่ใกล้กัน แต่ฎีกาตัดสินปี 58 ออกมามันทำให้เธอต้องปรับตัวทั้งเรื่องการเงิน สภาพจิตใจ ต้องอยู่คนเดียวให้ได้
“ตั้งแต่วันที่น้องชายติดคุกจนถึงตอนนี้เราไม่เคยลืมเขาเลยสักวัน เราคิดถึงเขาอยู่ตลอดแต่ภาระของเราหลายมันอย่างน้องก็อยู่ไกลถึงเรือนจำคลองไผ่ เคยส่งจดหมายไปหาเขาหนึ่งฉบับ เมื่อปีสองปีก่อน แต่ไม่มีการตอบกลับทั้งเราเป็นคนเขียนจดหมายไม่ค่อยรู้เรื่องด้วย เลยไม่อยากส่งไป เป็นไปได้อยากพูดคุยต่อหน้าเลยดีกว่า
ถ้าเป็นวันปกติ เราใช้ชีวิตของเราไปเรื่อยๆคือ ทำงานวันจันทร์ถึงวันเสาร์ได้ค่าแรงวันละ 260 บาท ถ้ามีเบี้ยขยันจากการทำงานหกวันก็จะได้เพิ่มวันละ 50 บาท ส่วนวันหยุดมีวันเดียวคือวันอาทิตย์หลังจากทำธุระส่วนตัวเสร็จนอกจากนั้นคือการปลูกต้นไม้ เลี้ยงแมวเป็นเพื่อนแก้เหงาที่บ้านเช่าหรือหากเบื่อที่จะอยู่บ้าน สถานที่บำบัดความเศร้าคือ การอ่านหนังสือที่ห้องสมุดประชาชน และร้านขายต้นไม้ เพียงเพื่อให้เวลามันผ่านไปเร็วที่สุดจนถึงวันทำงานปกติเราจะได้ไม่ต้องคิดมากเรื่องน้องชาย”
เมื่อถามถึงความหวังของน้องชายของเธอเพื่อรอวันที่ได้รับอิสรภาพนั้น เธอเล่าด้วยแววตาหม่นเศร้าว่า สำหรับนักโทษคดีร้ายแรงโทษจำคุกตลอดชีวิต ความหวังเราแทบไม่มีเหลือแล้วในตอนนี้ เราเหมือนคนตัวเล็กๆในสังคม หากถามเรื่องการปรองดองนั้นเขาจะปรองดองให้ใคร มันไม่ถึงเหยื่อตัวเล็กๆแบบเราหรอกจะมีก็แต่นักการเมือง คนใหญ่คนโต แต่เรายังมีความหวังอยู่เล็กๆว่าสักวันหนึ่งน้องชายเราคงได้รับอิสรภาพออกมาอยู่ด้วยกันเหมือนเดิม ส่วนตอนนี้เราคงทำได้เพียงก้มหน้าก้มตาทำงานสู้ชีวิตต่อไป อายุของเราก็ยังไม่เยอะ แรงของเราก็ยังมีคนอื่นๆเขาก็สู้เหมือนกันกับเรา คงได้แต่ให้กำลังใจตัวเองวันต่อวันแค่นั้นแหละ ก่อนเธอจะขอตัวกลับไปทำงานเพราะใช้เวลาพักระหว่างวันไปหมดแล้ว
0000000
ทว่าเหยื่อทางการเมืองนั้นยังไม่หมดเพียงเท่านี้ ข้อมูลจากศูนย์ช่วยเหลือครอบครัวและนักโทษคดีทางการเมืองอุบลฯเผยว่า มีนักโทษชายสูงวัยคดีเดียวกันนี้รายหนึ่ง ถูกคุมขังที่เรือนจำคลองไผ่ส่งจดหมายสื่อสารกับทางกองทุนตลอด เพื่อถามไถ่ความเป็นอยู่ของภรรยาและลูกๆที่ไม่รู้ตอนนี้ชะตากรรมเป็นเช่นไรและไม่สามารถติดต่อได้ จนเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาจึงทราบข่าวว่าตอนนี้ภรรยาและลูกของเขา ได้อาศัยอยู่ที่โรงเรียนร้างแห่งหนึ่งในจังหวัดทางภาคใต้
เธอเป็นหญิงชาวมุสลิมซึ่งไม่สามารถเปิดเผยรายชื่อได้เพราะเกรงจะมีผลต่อตัวเธอและลูก พบกับสามีเพราะปัญหาในสามจังหวัดในชายแดนใต้ค่อนข้างรุนแรงในช่วงนั้นและหนักที่สุดเมื่อเธอไปแต่งงานกับนายทหารในพื้นที่ นำมาซึ่งความไม่พอใจของญาติและครอบครัวจำต้องหอบลูกหนีมายังภาคอีสานและได้แต่งงานใหม่กับลิขิต สุทธิพันธ์ สามีใหม่ของเธอ
เธอเล่าว่า มาอยู่อีสานใช่ว่าจะมีชีวิตที่ดีขึ้นนัก หาเช้ากินค่ำเหมือนคนธรรมดาทั่วไป แต่เมื่อสามีโดนจับข้อหาร้ายแรงต้องโทษจำคุก33ปี 4เดือน มันทำให้ครอบครัวตั้งหลักไม่ทัน อีกทั้งลูกสาวคนโตต้องมาเสียชีวิตเพราะโดนสามีชาวต่างชาติฆ่าตาย ทำให้เธอต้องเลี้ยงดูลูกชายและหลานถึงสามคนด้วยตัวคนเดียว จนในที่สุดต้องกลับมาอยู่ที่ภาคใต้เช่นเดิม แต่ไม่ใช่บ้านตัวเองเพราะตอนนี้กลับไปไม่ได้แล้ว
เรามาอาศัยอยู่ที่โรงเรียนร้างแห่งหนึ่ง อาศัยรับจ้างทั่วไปใครมีงานอะไรให้ทำเราทำหมด บางวันก็เป็นแม่บ้าน บางวันรับจ้างเจาะมะพร้าวในสวนได้กิโลละ 3 บาท รวมวันหนึ่งได้ประมาณสองร้อยกว่าบาท หากถามว่าลำบากไหม ทุกคนก็ต้องบอกว่าลำบากเพราะขาดเสาหลักของครอบครัว จึงต้องทำงานคนเดียวหากไม่มีคนจ้างก็ไม่ได้ทำ
เธอเล่าให้ฟังว่า หากมีเงินลูกๆจะได้ไปโรงเรียน หากไม่มีเงินลูกจำต้องขาดเรียน เพราะกลัวลูกหิวขนมแล้วไปขโมยของคนอื่นกินเค้าจะดูถูกเอาได้ ซึ่งต้องทำงานนี่แหละเพื่อให้ลูกไปโรงเรียน ส่วนคนที่คอยช่วยเหลือเราเขาจะช่วยเหลือตลอดก็คงเป็นไปไม่ได้เราเข้าใจ เพราะคนที่ทุกข์ยากลำบากกว่าเรานั้นมีอีกเยอะ 
ส่วนการติดต่อกับพี่ลิขิตนั้นไม่ค่อยได้ติดต่อกันเพราะพี่ลิขิตได้ส่งจดหมายมาหาหลายฉบับ เราจะตอบกลับก็ตอบไม่ได้เพราะเราไม่เคยเรียนภาษาไทย อยากไปเยี่ยมก็ไม่ได้เพราะไม่มีเงินเราขัดสนเรื่องนี้ต้องทำใจ อาศัยมีพอเลี้ยงสามสี่ชีวิตทีละวันๆ แค่นี้ก็ลำบากมากแล้ว งานเราไม่ได้มีทุกวันอีกทั้งที่อยู่เราต้องอาศัยอยู่ที่โรงเรียนล้างที่เขาไม่ใช้งานกันแล้ว
ในช่วงที่น้ำท่วมภาคใต้หนักเป็นช่วงที่ลำบากที่สุด วันนั้นเราออกไปเก็บผักมาทำกับข้าวทิ้งลูกกับหลานให้อยู่บ้านสามคน แต่ที่ที่เราอยู่มันอยู่ใกล้ตลิ่งเวลาน้ำมามันจะท่วมที่อยู่เราก่อนและเป็นแบบนี้ต่อมาทุกวัน ดีที่วันนั้นลูกกับหลานไม่เป็นอะไรก็ถือว่ายังโชคดีพระเจ้ายังคุ้มครองเราอยู่
เธอเล่าต่อว่า มาอยู่ที่นี่ไม่กล้าขอความช่วยเหลือจากใคร เราไม่บอกใครเลยว่าผ่านอะไรมา เจออะไรมาบ้าง กลัวเขาจะฆ่าเรา เพราะความขัดแย้งเรื่องการเมืองสีเสื้อมันรุนแรงมากๆ แบ่งฝักแบ่งฝ่ายกัน ถ้าไปบอกเขามีแต่เขาจะซ้ำเติมบั่นทอนกำลังใจเปล่าๆ หรืออาจจะอันตรายกว่านั้นก็ได้
ตอนนี้เราก็บอกไม่ถูกเหมือนกันแต่ต้องหากินวันต่อวันไปแบบนี้แหละ ครูก็ด่าบ้างว่าทำไมไม่ให้ลูกมาโรงเรียนเราก็ไม่กล้าตอบ ซึ่งตอนนี้เรากับพี่ลิขิตเองก็ห่วงลูกอยากให้ลูกเรียนหนังสือเหมือนคนทั่วไป เลยต้องดิ้นรน แต่ก่อนเราเร่ร่อนไปหลายที่ ถ้ายังไปอยู่แบบนี้ลูกกับหลานเราก็ไม่ได้ไปเรียน จึงต้องลงหลักที่นี่แต่เมื่อขาดเสาหลักไปแล้วเราต้องทำให้ถึงที่สุด
เธอเล่าต่อว่า ถึงตอนนี้ก็ยังไม่เชื่อว่าพี่ลิขิตจะเป็นคนร้าย สุขภาพของพี่ลิขิตก็ย่ำแย่อยู่แล้ว จะไปเผาศาลากลางได้ยังไงและวันที่เกิดเหตุลิขิตพาเธอไปซื้อชุดนักเรียนกับของใช้ พร้อมไปรอรับลูกที่โรงเรียน พอกลับมาบ้านแล้วจึงรู้ว่าศาลากลางถูกเผา
ตอนนี้ได้แต่ภาวนาต่อพระเจ้าทุกวัน ให้พี่ลิขิตได้รับอิสรภาพเร็วๆ ความหวังเรื่องพี่ลิขิตเรามีเท่านี้จริงๆ 
0000000
บ่ายของวันเดียวกันประชาไทได้คุยกับแม่ของต้า ธีรวัฒน์ สัจสุวรรณนักโทษคดีเผาศาลากลางอุบลฯ ต้องรับโทษสูงถึง 33 ปี 4 เดือน แต่สถานที่ที่เรานัดพบกันนั้นคือ คุก หากได้ยินชื่อหลายคนหดหู่สิ้นหวังแทบไม่อยากปรายตามอง แหล่งกักกันอิสรภาพ อาชญากรสังคมตั้งแต่คนยากดีมีจนไปจนถึงเศรษฐี ผู้คนมากหน้าหลายตาหอบหิ้วถุงอาหาร น้ำดื่มนั่งต่อคิวรอพบ ญาติ คนรัก ลูกหลาน ที่ถูกกันขังอยู่ด้านใน เพื่อได้เห็นหน้าถามไถ่สารทุกข์สุขดิบกันเพียงสิบนาทีก็ถือว่าคุ้มค่า
เธอเล่าว่า ขับรถจักรยานยนต์จากบ้านมาไกลเกือบ 20 กิโลเมตร เพื่อมาเยี่ยมลูกชายของเธอและมาเป็นประจำทุกสัปดาห์ หากวันไหนดีหน่อยมักมีหลานสาวเป็นผู้อาสาพามา แต่บางครั้งก็ชินกับการมาคนเดียวแล้วเพราะตลอดสองปีตั้งแต่ศาลฎีกาตัดสินเธอก็มาเยี่ยมลูกชายอยู่ไม่ขาด
“ก็เพราะมันคิดถึงลูก อยากให้ลูกกลับบ้านมาอยู่กับเรา เราเชื่อว่าเขาไม่ได้ทำแต่เมื่อมันเป็นไปแล้ว เราก็ต้องมาให้กำลังใจเขาอย่างน้อยได้พบหน้า คุยกันอาทิตย์ละครั้ง ก็ยังดี แต่กำลังใจเขาดีกว่าคนที่อยู่ข้างนอกนะ”
เธอเล่าต่อว่า ครอบครัวของเธอไม่เคยสุขสบาย มีความลำบากเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เพราะขาดเสาหลักของครอบครัว พ่อของต้าเสียชีวิตตั้งแต่เขายังเด็ก เราเลยต้องเป็นทั้งพ่อทั้งแม่เลี้ยงลูก พอโตมาหน่อยเขาเป็นคนหาเลี้ยงครอบครัวทั้งเรียนและทำงานร้านแจ่วฮ้อนส่งน้องชายเรียนไปด้วย ช่วยแบ่งเบาภาระของเราได้เยอะ แม้เมื่อปี 53 เขาดันมาถูกจับเสียก่อนทุกอย่างมันต้องหยุดชะงัก บ้านที่กำลังสร้างก็ต้องหยุดไปด้วย จากที่มีคนช่วยหาเงินมาจุนเจือครอบครัว ตอนนี้เราก็ต้องดิ้นรนคนเดียว
“ตอนนี้ดันมาป่วยหูไม่ค่อยได้ยิน อีก แต่เราต้องดิ้นรนเพื่อหาเงินมาฝากให้ลูก เขาจะได้ไม่ลำบากส่วนลูกคนเล็กตอนนี้ก็เพิ่งได้งานทำ ทำให้ลดภาระในครอบครัวลงไปอีกเปราะหนึ่ง แต่เราก็ต้องทนเอาเพราะยังไงเขาก็คือลูกของเรา ตอนนี้ก็หวังและรอให้ลูกชายได้พ้นโทษ กลับบ้านมาช่วยกันทำมาหากิน”
เธอเล่าต่อว่า ตอนนี้อาศัยรับจ้างเล็กๆน้อยบ้าง พอได้เงินเลี้ยงครอบครัว ส่วนกองทุนช่วยเหลือที่ให้ญาติทุกเดือนนั้นช่วยเธอได้มาก ลูกชายไม่ขอรับเงินจากกองทุนช่วยเหลือสักบาท เขาบอกยกให้เราหมด แล้วอยู่ในคุกเขาจะอยู่ยังไง ต้องจัดส่วนแบ่งฝากให้ลูกชายบ้าง เก็บไว้ใช้ในครอบครัวบ้าง ที่เหลืออยู่ตอนนี้คือพยายามสร้างบ้านให้เสร็จ แล้วรอวันที่ลูกชายจะได้รับอิสรภาพออกมาอยู่ด้วยกันสักที 
0000000
ทั้งนี้ข้อมูลของครอบครัวนักโทษคดีเผาศาลากลางจังหวัดอุบลฯ อาจไม่ได้รับการเผยแพร่หากไม่มีการติดต่อช่วยเหลือและบักทึกข้อมูลไว้โดย กองทุนช่วยเหลือเหยื่อและญาติคดีการเมืองจังหวัดอุบลราชธานี 
เสาวนีย์ ตรีรัตน์ อเลกซานเดอร์ กองทุนช่วยเหลือเหยื่อและครอบครัวนักโทษคดีทางการเมืองจังหวัดอุบลฯ เล่าให้ฟังตั้งแต่เริ่มตั้งกองทุนว่า ในช่วงที่สลายการชุมนุมเมื่อปี 2553 หลังวันที่ 19 พ.ค.53 คนก็เริ่มโดนหมายจับและเข้าไปอยู่ในเรือนจำแล้ว มันทำให้อยากรู้ว่าชีวิตความเป็นอยู่เขาเป็นยังไง ซึ่งตอนนั้นไม่รู้จักใครเลยทั้งที่ก่อนหน้านั้นการชุมนุมของคนเสื้อแดงที่กรุงเทพ เราไปสังเกตการณ์คนเดียวถึงสามอาทิตย์ พอมีเหตุการณ์สลายการชุมนุม เผาศาลากลาง มีคนโดนฆ่า โดนจับ เราเครียดมาก เลยอยากหาทางออกให้ตัวเองว่าทำอะไรได้บ้าง
“พอดีมีอยู่วันหนึ่งน้าของเราเค้าไปแวะซื้อขนมกล้วยแขก และถามไถ่กันปกติกับคนขาย จึงรู้ว่าพี่ชายของคนขายโดนจับคดีเผาศาลากลางแล้วกลับมาเล่าให้ฟัง เราที่สนใจอยู่แล้วจึงบอกให้น้าพาไปหาหน่อยอยากรู้จัก มีอะไรที่พอช่วยได้บ้าง เขาเลยเล่าให้เราฟัง จึงเริ่มเก็บข้อมูลหลังจากนั้นทั้งเรื่องความเดือดร้อน ชีวิตความเป็นอยู่”
“เราเลยคิดว่าจะช่วยเหลือได้ยังไง จึงไปโพสต์ในเฟสบุ๊คส่วนตัว ทั้งเพื่อนต่างชาติและอีกหลายๆคนว่าเราจะทำอะไรได้บ้าง เค้าเลยบอกให้เอาเลขที่บัญชีมา จะโอนเงินช่วยเหลือครอบครัวญาติไปให้ พอได้เงินมาเราเลยไปถามเค้าว่าจะให้ช่วยอะไร จากครอบครัวนี้ก็เริ่มไปถามครอบครัวอื่นๆ”
เสาวนีย์เล่าให้ฟังว่า เราตามไปเยี่ยมที่บ้านหลายคนไปพูดคุย พอได้ข้อมูลมาเราก็เอาไปโพสต์แล้วเพื่อนทั้งไทยและต่างชาติก็โอนเงินมาช่วยเหลือ ซึ่งระยะแรกเราเป็นคนทำบัญชีซื้อสิ่งของไปช่วยเหลือเช่น ซื้อรถเข็น ซื้ออุปกรณ์ในการทำมาหากิน แล้วเราก็รวบรวมหลักฐานเอกสารไว้ แต่เรื่องค้าขายสุดท้ายก็ไปไม่รอดเพราะไม่เคยทำมาก่อน คนที่โอนเงินมาเค้าไม่ได้บอกรายละเอียดอะไรแต่เค้าไว้ใจเรา 
“แต่ที่มาจริงๆ คือ เรารู้สึกว่าไม่เคยเป็นประชาชนโดนกระทำขนาดนี้ เราเลยคิดว่าอยากช่วยครอบครัวเค้า คือเป็นส่วนหนึ่งส่วนเล็กๆในเงื่อนไขที่เราสามารถทำได้ ก็เลยตั้งกองทุน”
เสาวนีย์เล่าต่อว่า ผ่านเหตุการณ์มาประมาณหนึ่งปี พอปี 54 ที่กลุ่มคนเสื้อแดงที่อุบล เริ่มตั้งเวทีได้มีการพูดคุย เริ่มพูดเกี่ยวกับนักโทษทางการเมืองที่ถูกขังคุกอยู่ มีการระดมทุนช่วยเหลือ ตอนนั้นก็เริ่มชวนเพื่อนๆ เลยเริ่มทำแล้วตั้งเป็นกองทุน เริ่มระดมทุนจากเพื่อนในเฟสบุ๊คบ้าง มีผู้บริจาคมาบ้าง โดยจะให้ทุกครอบครัวที่ติดครอบครัวละหนึ่งพันบาท ซึ่งตอนนั้น ติดอยู่ประมาณ 21 คน พอเหลือน้อยคน เราก็ให้ครอบครัวละสองพันแล้วรายงานทุกครั้ง ทำมาตลอดเวลาจนรัฐประหาร ซึ่งพวกเราโดนคุกคาม มีการเรียกเราไปพบแล้วบอกว่าเค้าจับตามองพวกเราอยู่นะ เราจึงหยุดรายงานเรื่องนี้ในเฟสบุ๊ค เพราะไม่อยากให้คนเหล่านี้เป็นที่สนใจถูกจับตามอง แต่เราก็ยังช่วยเหลือตลอด 
 “ตอนนี้ก็รอรับโทรศัพท์ว่าใครจะเดือดร้อน หรือขอยืมเงินกองทุนเพิ่ม บางทีเราต้องควักกระเป๋าตัวเองจ่าย ซึ่งเรื่องแบบนี้เราไม่ค่อยอยากรับฟังหรอก เพราะมันสะเทือนใจ บางคนก็บอกโอนให้ครอบครัว บางคนก็บอกให้ส่งให้ใช้เอง ไม่ว่าจะเป็นฝากเข้าบัญชี ยื่นเงินสด หรือฝากธนาณัติ ซึ่งเราไม่อยากส่งเงินให้หรอกแต่อยากให้เขาได้รับอิสรภาพออกมา แม้กระทั่งผู้ที่ออกมาแล้วบางคนชีวิตเป๋ๆ ป่วยบ้าง บางคนเสียชีวิตก็มี 
 “เช่น พ่อตึ๋ง ตอนแกได้ประกันปี 54 ก็พาไปรับเงินเยียวยา เพราะหลายอย่างมันหายไปแล้วเอากลับคืนมาไม่ได้ พอปี56 ก็เป็นมะเร็งเสียชีวิต พ่อคำพลอยโดนฟ้องคดีใหญ่โตอยู่ที่น้ำยืน อยู่ในคุกเป็นเส้นเลือดในสมองแตกหมอไม่รักษา แล้วพอเราไปขอให้ช่วยเซ็นให้แกได้ออกมารักษาข้างนอกหน่อย ยังมาบอกอีกว่าแล้วเผาศาลากลางทำไมซึ่งคำพูดแบบนี้ไม่น่าออกมาจากคนที่เป็นหมอและตอนนั้นศาลยังไม่ได้ตัดสินเลยด้วยซ้ำ แต่ที่น่าเศร้าที่สุดคือ ไม่รู้ว่าหมอคนนั้นจะรู้หรือเปล่าว่า พ่อคำพลอยโดนตัดสินว่าไม่ผิด แต่ชีวิตคนเรามันพังไปแล้ว เพราะว่าแกเป็นอัมพฤกษ์อัมพาต คือเราเห็นแบบนี้มันจุก เราพูดไม่ออก”
นอกจากนี้มันยังมีสิ่งที่เราต้องแลกต้องจ่ายในราคาที่สูง เธอเล่าว่าเมื่อมาทำแบบนี้มันมีสิ่งที่ ต้องเสียบ้าง มีราคาที่ต้องจ่าย มันเป็นสิ่งที่ต้องเจออยู่แล้ว โดนกีดกันโดนเกลียดบ้าง ในเมื่อเราเลือกแล้วมันโอเค เลยไม่แคร์ว่าเราจะโดนมองยังไง
“ชินแล้วอย่างว่ามันมีราคาที่ต้องจ่าย ทั้งเพื่อนร่วมงานในคณะ เพื่อนเก่าๆเริ่มแสดงออกชัดเจน แต่เราเฉยๆเพราะเอาเรื่องวิชาการเป็นตัวตั้ง ซึ่งเราก็แยกแยะได้คนที่คิดไม่เหมือนเราก็มีเยอะแยะ แต่เค้าแยกออกระหว่างเรื่องงานและการเมือง เพราะเราอยู่ที่นี่เราก็อยู่ในฐานะของเพื่อนร่วมงานกัน เราเป็นนักวิชาการเป็นอาจารย์ ซึ่งความสัมพันธ์เรามีอยู่แค่นี้ แต่ยังมีคนที่ไม่ชินกับเราเท่าไหร่ แต่เราจ่ายไปหมดแล้วไม่มีอะไรจะเสียอีก”
ทว่าบุคคลเหล่านี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของผลพวง ความขัดแย้งทางการเมืองในประเทศไทย ยังมีผู้คนอีกมากมายที่ต้องรับชะตากรรมไม่แตกต่างกันมากนัก ทั้ง ผู้เสียชีวิต นักโทษทางความคิด ครอบครัว ญาติ ล้วนแล้วแต่ไม่อยากสูญเสีย พบเจอเหตุการณ์เหล่านี้ พร้อมรออย่างมีความหวัง ว่าสักวันคนที่ตัวเองรักจะได้รับอิสรภาพออกมาใช้ชีวิตดังคนทั่วไปปกติ