วันจันทร์ที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

คลิปจับพธม.พกอาวุธปืน
http://www.internetfreedom.us/thread-15283.html



คลิปเจ้าหน้าที่ตำรวจยึดพื้นที่คืนจากพธม.

สุเทพ อัด91ศพเป็นฝีมือพวก ณัฐวุฒิ

http://www.internetfreedom.us/thread-15284.html
[Image: untitled00035647.jpg]

รถถังเขมรประชิดชายแดน


ถูก'เอาคืน'! บุกรื้อเต๊นท์!! ต.ช.ด.-กองปราบ 700 ลุยทันที!!

http://www.internetfreedom.us/thread-15290.html
[Image: p01110228.jpg]

‘ไชยวัฒน์’ หวังลบเหลี่ยม ‘มาร์ค’
เอาหมายศาลแปะหน้าทำเนียบ
เล่นกันแรงและยืดเยื้อ เพื่อวัดกันให้รู้ไปเลยว่า ใครจะเส้นใหญ่กว่ากัน??

เพราะแม้ว่ารัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จะมีภูมิคุ้มกันต่อระบบยุติธรรมสูงมาก
จนก่อให้เกิดปรากฏการณ์ 2 มาตรฐานกระฉ่อนเมืองไทยและก้องโลกไปแล้ว
บรรดานักกฎหมายทั้งหลายต่างต้องหยิบยกมาเป็นกรณีศึกษา มีการวิพากษ์วิจารณ์กันตลอด

แต่ทุกเรื่องทุกกรณี ก็เป็นได้เพียงแค่วิพากษ์วิจารณ์ว่าผิดหลักระบบยุติธรรมบ้าง
เป็นการเลี่ยงบาลีแบบด้านๆบ้าง
แต่สุดท้ายก็ต้องปล่อยให้เป็นเหตุการณ์ “สีเทา”ในแวดวงกฎหมาย
ที่ไม่สามารถทำอะไรได้

เพราะวัคซีนคุ้มกันของรัฐบาล
ได้รับการฉีดมาจากกลุ่ม”ขั้วอำนาจพิเศษ” กลุ่มทหารผลประโยชน์การเมือง

ในขณะที่กลุ่มม็อบพันธมิตรฯ ก็เป็นม็อบที่มีภูมิคุ้มกันทางกฎหมายสูงด้วยเหมือนกัน
เพราะไม่เพียงยึดทำเนียบ
ยึดสนามบินสุวรรณภูมิ
ยึดถนน ได้
โดยที่ฝ่ายกฎหมายอ้ำๆอึ้งๆ ในการที่จะดำเนินคดี
ในขณะที่ระบบยุติธรรมก็ตกอยู่ในสภาพแกล้งหลับตาข้างหนึ่งเอาไว้ตลอดเวลา

ดังนั้นทั้งคู่ จึงถือเป็นคู่ปรับที่สมน้ำสมเนื้อกันเป็นอย่างยิ่ง

และเมื่อกลุ่มม็อบพันธมิตรฯใช้ประเด็นพื้นที่พิพาทระหว่างไทย - กัมพูชา
ออกมาเล่นงานรัฐบาลนายอภิสิทธิ์
และทำการยึดถนนประท้วงยืดเยื้อ ทำให้รัฐบาลได้มีการใช้ตัวช่วย
ด้วยการประกาศใช้พ.ร.บ.รักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ.2551

หวังจะสยบม็อบพันธมิตรฯ ให้ได้
โดยลืมนึกไปว่า
กลุ่มม็อบพันธมิตรฯก็มีภูมิคุ้มกันกฎหมายที่สูงเหมือนกัน พ.ร.บ.รักษาความมั่นคงฯ
ก็เลยไม่ระคายผิว

ซ้ำนายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ เลขาธิการสมัชชาประชาชนแห่งประเทศไทย
พร้อมด้วยสมาชิกเครือข่ายประชาชนหัวใจรักชาติ และ
พล.ร.อ.บรรณวิทย์ เก่งเรียน ประธานสมัชชาประชาชน ฯ ยังสวนหมัดกลับ
โดยยื่นฟ้องคณะรัฐมนตรีทั้งคณะต่อศาลปกครองสูงสุด

ว่ากระทำการโดยมิชอบที่มีการประกาศใช้ พ.ร.บ.รักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร
ใน 7 พื้นที่กรุงเทพฯ

แน่นอนว่าเมื่อเป็นการยื่นฟ้อง ครม. ทั้งคณะ ย่อมต้องรวมนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีด้วย
เพราะอยู่ในฐานะประธานการประชุม

โดยในการฟ้อง ได้ขอให้
1.ศาลมีคำสั่งหรือพิพากษา เพิกถอน มติ ครม.
ที่ได้พิจารณาข้อเสนอของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ( สตช.)
ในการเริ่มใช้มาตรการจัดการประชาชน ผู้ชุมนุมประท้วง
ที่อาจจะเกิดขึ้นระหว่างวันที่ 9- 23 ก.พ.

2.เพิก ถอนประกาศที่ออกโดย ครม.เมื่อวันที่ 8 ก.พ.54
ทั้งหมด 3 ฉบับ ประกอบด้วย
ประกาศเรื่องพื้นที่ปรากฏเหตุการณ์อันกระทบต่อความมั่นคง
ภายในราชอาณาจักร 7 เขตพื้นที่ในเขตกรุงเทพ ฯ
ประกาศเรื่องการห้ามบุคคลใดเข้า
หรือต้องออกจากบริเวณพื้นที่ อาคาร
หรือสถานที่ที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติหน้าที่ของ กอ.รมน.
และภายในระยะเวลาการปฏิบัติหน้าที่ของ กอ.รมน.
เรื่องการห้ามนำอาวุธออกนอกเคหสถาน
และเรื่องการห้ามใช้เส้นทางคมนาคมหรือการใช้ยานพาหนะ
หรือต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขการใช้เส้นทางคมนาคม
หรือการใช้ยานพาหนะ ตามที่ ผอ.กอ.รมน.กำหนด

กลุ่มม็อบพันธมิตรฯระบุว่า
ที่ได้รับความเดือดร้อนเสียหายที่เห็นได้ชัดที่สุด คือ
การประกาศข้อกำหนด ข้อที่สอง ตามมาตรา 18 ที่ห้ามบุคคลใดเข้า
หรือต้องออกจากบริเวณพื้นที่ อาคาร
หรือสถานที่ที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติหน้าที่ของ กอ.รมน.
และภายในระยะเวลาการปฏิบัติหน้าที่ของ กอ.รมน.

งานนี้จึงทำการยื่นฟ้องศาลปกครอง รวมทั้งยังได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลไต่สวนฉุกเฉิน
เพื่อมีคำสั่งทุเลาการบังคับตามมติ ครม.ดังกล่าวด้วย

เพราะการประกาศให้เจ้าหน้าที่ปฏิบัติหน้าที่ตามมติ ครม.
ที่ประกาศใช้ พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคง ฯ จะกระทบต่อการชุมนุมของเครือข่าย
ประชาชนหัวใจรักชาติที่ตรวจสอบการบริหาร ราชการแผ่นดินของรัฐบาล
ซึ่งส่อว่าจะทำให้เกิดการละเมิดอำนาจอธิปไตย

เบื้องต้นศาลปกครองสูงสุด ได้รับคดีไว้พิจารณาเป็นหมายเลขดำ ฟ.11/2554
โดยจะมีคำสั่งว่าจะประทับรับฟ้องหรือไม่
และจะไต่สวนฉุกเฉินเพื่อพิจารณาคำสั่งทุเลาการบังคับมติ ครม. หรือไม่

แต่สุดท้ายศาลปกครองสูงสุด ก็ได้มีคำสั่งไม่รับฟ้องไปแล้ว
เพราะเห็นว่าคดีอยู่ในอำนาจศาลยุติธรรม

ภูมิคุ้มกัน และโชคของรัฐบาลยังคงสูงอยู่เหมือนเดิม

แต่กลุ่มม็อบพันธมิตรฯ ก็ไม่ใช่ประเภทหมูกลัวน้ำร้อน จึงลุยต่อ
โดยยื่นฟ้องนายภิสิทธิ์ และ พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ผบ.ตร. อีกรอบ

แต่ครั้งนี้หันมาฟ้องศาลแพ่งแทน
โดยขอให้ศาลมีคำสั่งให้ประกาศและข้อกำหนดทุกฉบับที่ออกตามพ.ร.บ.มั่นคงฯ
ซึ่งเริ่มตั้งแต่วันที่ 9- 23 ก.พ.นี้ ให้เป็นโมฆะ

เพราะในช่วงที่มีการประกาศและมีข้อกำหนดดังกล่าว
ยังไม่มีเหตุการณ์อันกระทบต่อความมั่นคงภายในราชอาณาจักร
ถึงขนาดกับต้องมีมาตราการป้องกัน ปราบปราม ยับยั้ง
หรือบรรเทาเหตุการณ์ที่กระทบต่อความมั่นคง

อีกทั้งข้อกำหนดไม่ชอบด้วยกฏหมาย
เพราะยังไม่มีเหตุการณ์ที่กระทบต่อความมั่นคง
เป็นแค่มุ่งที่จะสกัดกั้น ยับยั้งไม่ให้ประชาชนเข้าร่วมชุมนุมกับกลุ่ม
ม็อบพันธมิตรฯ เท่ากับว่าจงใจจำกัดสิทธิเสรีภาพในการเข้าร่วมชุมนุมโดยสงบ

แต่รัฐบาลก็ไม่ยี่หระ
เพราะมีการต่ออายุการใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงประกาศต่อเนื่องออกไปอีก
ลากยาวถึง 25 มีนาคมกันเลยทีเดียว

ประลองกำลังกันสนุก ว่า
ในระบบกฎหมายประเทศนี้ ใครจะแน่กว่ากัน โดยที่มีศาลแพ่งรับบทเหนื่อยหนัก

และที่น่าสนใจก็คือ ชนะหรือแพ้สำหรับกับกลุ่มม็อบพันธมิตรฯ อาจจะไม่สำคัญ
แต่สะใจตรงที่ ได้มีการนำหมายศาลไปปิดไว้หน้าทำเนียบ
เพื่อเรียกให้นายอภิสิทธิ์ และ พล.ต.อ.วิเชียร ไปขึ้นให้ปากคำ

ถือเป็นการลบเหลี่ยมลูกกำนันกันตรงๆ

เพราะนายอภิสิทธิ์นั้น เป็นที่รู้กันชัดเจนว่าได้รับการอุ้มชูจากหลายๆฝ่ายในกลุ่ม”อำนาจพิเศษ”
เมื่อมาเจอหมายศาลปิดหน้าทำเนียบเช่นนี้ ย่อมเท่ากับว่าเป็นการเสียหน้าอย่างมาก

มีภูมิคุ้มกันสูงขนาดนี้ โดนหมายศาลแปะหน้าทำเนียบได้อย่างไร

งานนี้แน่นอนว่านายอภิสิทธิ์ ไม่ได้ไปเองตามหมายศาล
แต่ส่งตัวแทนไป ในขณะที่ พล.ต.อ.วิเชียร นั้นไปด้วยตัวเอง

การต่อสู้ระหว่างรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ และกลุ่มม็อบพันธมิตรฯ
ดูแล้วเป็นคู่ต่อสู้ที่พอฟัดพอเหวี่ยงกันจริง ว่าใครจะเส้นใหญ่กว่ากัน
ใครจะมีภูมิคุ้มกันในระบบยุติธรรมมากกว่ากัน!!!

เพราะเมื่อโดนกลุ่มม็อบพันธมิตรฯฟ้องจนเสียหน้า
เนื่องจากโดนหมายศาลแปะหน้าทำเนียบแบบนี้
ทาง ผบ.ตร.ก็เลยมีการจี้ให้เร่งดำเนินคดีข้อหาก่อการร้ายและซ่องโจร
จากกรณีม็อบพันธมิตรฯ บุกยึดสนามบินสุวรรณภูมิและสนามบินดอนเมือง ให้เร็วขึ้นแล้ว



ซึ่งทางกลุ่มม็อบพันธมิตรฯ โดย พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ก็เดินหน้าแลกหมัดแล้วว่า
การตั้งข้อหาก่อการร้ายและซ่องโจรนั้นรุนแรงเกินความเป็นจริง

ฉะนั้นหากทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีคำสั่งฟ้องในข้อหาก่อการร้ายและซ่องโจร
ทางกลุ่มพันธมิตรฯ ก็จะดำเนินการฟ้องกลับเช่นกัน!!!

แต่.....ในที่สุด รัฐบาลเส้นใหญ่ ก็ออกมา”สั่งสอน” ม็อบมีเส้นชนิด”ตาต่อตา”อย่างทันทีทันควัน
ซึ่งเป็นไปตามคาด เมื่อ เช้ามืดฟ้ายังไม่ทันรุ่งสาง 05.00 น โดย ตำรวจเข้ารื้อเต็นท์ชุมนุมพันธ
มิตรฯ - ยึดถนนคืน 2 เลน

กรณี”เอาคืน” ทันควัน-ทันตาเห็น ของ อภิมหารัฐบาลเส้นใหญ่ เกิดขึ้น
เมื่อ วันที่ 28 ก.พ. 2554 เวลาประมาณ 05.30 น.
บรรยากาศที่เวทีปราศรัยการชุมนุมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
บริเวณสะพานมัฆวานรังสรรค์ พล.ต.ท.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล พร้อมด้วย
พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล 1 นำกำลังตำรวจประมาณ 700 นาย
ซึ่งเป็นหน่วยของกองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน กองปราบปราม
และตำรวจภูธรภาค 1-2-7 และตำรวจสายสืบจากกองบังคับการ 1-9

ศูนย์สืบสวน เข้ารื้อเต็นท์ประมาณ 5-6 เต็นท์
พร้อมกับเปิดการจราจรหน้ากระทรวงศึกษาธิการ 2 เลน ให้รถวิ่งฝ่าฝูงชนเข้ามา

พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
ซึ่งยังอยู่บนเทีพันธมิตร ก็ยังปากแข็งประกาศว่า
ตำรวจรื้อเต็นท์เราออกไปเราถือว่าทำตามคำสั่ง
“แต่ขออย่ารื้อห้องน้ำของเรา” เพราะเป็นเงินประชาชน

เราใช้ตามความจำเป็น
เนื่องจากไม่อยากรบกวนกรุงเทพฯ ที่ต้องเอารถสุขามา
จึงได้สร้างขึ้นมาเอง คนมามากไม่มีห้องน้ำจะทำอย่างไร
อีกอย่างห้องน้ำของเราสะอาดไม่มีกลิ่นเหม็น

หลังกำลังตำรวจบุกรื้อเต๊นท์ม็อบมีเส้น
พล.ต.จำลอง ก็ยังไม่ยอมลดรา ฉวยไมโครโฟนประกาศทันทีว่า
ประชาชนที่อยู่ทางบ้านไม่ต้องมามากเป็นพิเศษ ถึงแม้เรารู้ว่ามากกว่านี้ก็ดี
แต่ยังไม่จำเป็น เมื่อถึงเวลา”จะเป่านกหวีดเอง”

เราอยู่แค่นี้ก็พอเป็นพอไป ยังไม่จำเป็นต้องมามืดฟ้ามัวดิน
แต่ใกล้เข้ามาแล้ว ขอให้มาเป็นปกติก็แล้วกัน
จัดเวรกันมา ยาวให้เป็น เย็นเรื่อยไป ไขความจริง ออกมาให้มากๆ
เราสามารถเอาแผ่นดินรอบเขาวิหารกลับมาได้แน่นอนหากเราชุมนุมกันอยู่อย่างนี้

สรุปว่า...
กำลังตำรวจตั้ง 700 คนก็สามารถ”ขอพื้นที่คืน” หรือ”กระชับพื้นที่”ได้เพียงเท่าที่เห็น
ม็อบพันธมิตรก็ยังตั้งหลักอยู่ตรงที่เดิมแถวสะพานมัฆวานอยู่เหมือนไม่มีเกิดขึ้นต่อไ​ป

มองอย่างไรเรื่องนี้ ก็หนีไม้พ้น”การเอาคืนของฝ่ายรัฐบาล” เพราะ”เสียหน้า”
ที่ถูก นาย ชัยวัฒน์ สินสุวงศ์ บังอาจเอาหมายศาลไปแปะไว้หน้าที่ทำเนียบรัฐบาล
เหมือนจะฉีกหน้า อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี

ก็บอกแล้วว่า เป็นคู่ฟัดที่เหมาะสมอย่างยิ่งจริงๆ
เพราะกลุ่มขั้วอำนาจพิเศษยังมึนไปเลยว่า แบบนี้จะช่วยฝ่ายไหนดี???


http://www.bangkok-today.com/node/8450

"จาตุรนต์"ขยี้แผล"มาร์ค 2 สัญชาติ"
จาตุรนต์ ฉายแสง
http://www.internetfreedom.us/thread-15298.html
อดีตรักษาการหัวหน้าพรรคไทยรักไทย

เรื่องนี้เริ่มจากมีคนนำเรื่องการสังหารประชาชนเมื่อเดือนเม.ย.-พ.ค.53 ไปฟ้องศาลคดีอาญาระหว่างประเทศ หลายคนเชื่อว่าศาลคงไม่รับฟ้องเพราะรัฐบาลไทยไม่ได้ลงสัตยาบันรับรองอำนาจของศาล

แต่ต่อมามีการอธิบายว่าสามารถฟ้องนายอภิสิทธิ์ได้ เนื่องจากถือสัญชาติอังกฤษด้วย เมื่อถามนายอภิสิทธิ์ก็ตอบบ่ายเบี่ยงว่าเลือกที่เกิดไม่ได้ ระหว่างอยู่ในประเทศอังกฤษไม่เคยใช้สิทธิพลเมืองอังกฤษ

เช่น เวลาเรียนหนังสือจ่ายค่าเล่าเรียนอย่างชาวต่างประเทศ แต่ไม่บอกว่ายังมีสัญชาติอังกฤษหรือไม่ แต่ตราบใดที่นายอภิสิทธิ์ยังไม่สละสัญชาติอังกฤษ ถือว่ายังมีสัญชาติอังกฤษ คือมี 2 สัญชาติ

นายอภิสิทธิ์ระบุว่าหากจะให้สละสัญชาติอังกฤษก็สละได้ แต่ถ้าสละตอนนี้อาจถูกกล่าวหาว่ากลัวไปขึ้นศาลโลก

ผมไม่ได้วิเคราะห์เรื่องนายอภิสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีในศาลคดีอาญาระหว่างประเทศหรือไม​่ และไม่ได้สนใจว่านายอภิสิทธิ์ควรสละสัญชาติอังกฤษหรือไม่

แต่สนใจประเด็นที่นายอภิสิทธิ์ยอมรับแล้วว่าถือ 2 สัญชาติ และมีเงื่อนไขต่างๆ หากจะสละสัญชาติ ถามว่านายอภิสิทธิ์ยังควรเป็นนายกฯ ของประเทศไทยอยู่หรือไม่ และควรเป็นนายกฯ มาตั้งแต่ต้นหรือไม่

นายอภิสิทธิ์ไม่ใช่ประชาชนทั่วไปแต่เป็นนายกฯ จะอ้างว่าคนอื่นถือสัญชาติ 2 สัญชาติได้ ทำไมต้องเรียกร้องให้เขาสละสัญชาติอยู่คนเดียวไม่ได้

ประเด็นอยู่ที่ว่าคนเป็นนายกฯ ของไทย ต้องมีความรับผิดเท่ากับคนไทยทั่วไป ไม่ใช่มีอภิสิทธิ์หรือมีภูมิคุ้มกันมากกว่าคนอื่นๆ แต่สำหรับประชาชนทั่วไปการถือสองสัญชาติไม่ใช่เรื่องใหญ่เพราะไม่ใช่ผู้นำประเทศ

ที่ผ่านมาไม่ว่านายอภิสิทธิ์จะเคยใช้สิทธิ์ของการมีสัญชาติอังกฤษหรือไม่ แต่วันข้างหน้าอาจต้องใช้สิทธิ์ของการมีสัญชาติอังกฤษก็ได้ เช่น หากอนาคตจะมีการดำเนินคดีข้อหาสมรู้ร่วมคิดกับรัฐมนตรีในรัฐบาลของตนทุจริตประพฤติมิ​ชอบ หรือสั่งการสังหารประชาชนจำนวนมาก เป็นต้น

แล้วนายอภิสิทธิ์เดินทางไปอยู่ที่ประเทศอังกฤษ โดยขอใช้สิทธิ์ในฐานะที่มีสัญชาติอังกฤษ ก็ทำได้และได้รับการคุ้มครองในฐานะพลเมืองอังกฤษทันที

ถึงตอนนั้นกฎหมายว่าด้วยการส่งผู้ร้ายข้ามแดนจะใช้ได้กับนายอภิสิทธิ์ซึ่งถือสัญชาติ​อังกฤษอยู่ และรัฐบาลไทยหรือประชาชนไทยจะไปร้องต่อศาลอังกฤษเพื่อให้ส่งตัวคุณอภิสิทธิ์มาขึ้นศา​ลไทย จะทำได้หรือไม่

แต่ที่น่าสนใจและน่าเป็นห่วงคือนายอภิสิทธิ์อาจจะไม่ต้องขึ้นศาลไทย หากมีใครไปร้องให้ดำเนินคดีก็เป็นได้

ประเด็นสำคัญก็คือเชื่อได้แน่ว่าตลอดเวลาที่นายอภิสิทธิ์เป็นนายกฯ มาจนถึงปัจจุบัน รวมถึงในอนาคตข้างหน้า ไม่ว่าจะยังเป็นนายกฯ อยู่หรือไม่ก็ตาม นายอภิสิทธิ์มีภูมิคุ้มกันต่อกฎหมายไทยมากกว่าคนอื่นๆ

แต่อาจมีบางท่านแย้งว่าถึงแม้จะเป็นเหตุเป็นผล แต่คงไม่เกิดขึ้นในทางปฏิบัติได้ง่ายๆ หรอก ต้องบอกว่ากรณีทำนองนี้ไม่ใช่ไม่เคยเกิดมาก่อน

เมื่อไม่นานมานี้มีกรณีของประเทศเปรูเป็นตัวอย่าง ประธานาธิบดีอัลเบอร์โต ฟูจิมูริ ก็เป็นคนสองสัญชาติ คือสัญชาติเปรูและสัญชาติญี่ปุ่น นายฟูจิมูริถูกรัฐบาลเปรูในเวลาต่อมาดำเนินคดีทั้งเรื่องทุจริตและใช้อำนาจโดย มิชอบ เป็นข้อหาร้ายแรง

ช่วงหนึ่งนายฟูจิมูริหนีไปอยู่ญี่ปุ่น ได้รับการคุ้มครองในฐานะเป็นคนญี่ปุ่นจนรัฐบาลเปรูทำอะไรไม่ได้ ต้องรอจนกระทั่งนายฟูจิมูริไปวางแผนยึดอำนาจคืนที่ประเทศชิลี จึงถูกจับและถูกส่งตัวไปดำเนินคดีในเปรู

นายฟูจิมูริกับรัฐบาลเปรู ใครผิดใครถูกอย่างไร ผมไม่ขอวิจารณ์ แต่เห็นว่ากรณีนี้เป็นตัวอย่างว่าการที่นายกฯ ของไทยมี 2 สัญชาติเป็นสิ่งที่ไม่ควรให้เกิดขึ้น

มีคนไปถาม กกต.ซึ่งเข้าใจว่ายังไม่ทันหาข้อมูลให้ชัดเจน และยังไม่ได้ประชุมหารือกัน ก็ด่วนออกมาชี้แจงแล้วว่าการที่นายอภิสิทธิ์มี 2 สัญชาติ ไม่ทำให้ขาดคุณสมบัติเพราะมีคุณสมบัติครบถ้วนตามรัฐธรรมนูญ

เรื่องการมี 2 สัญชาตินี้ รัฐธรรมนูญไม่ได้ระบุไว้ แต่โดยสามัญสำนึกน่าจะเข้าใจได้ไม่ยากว่าระบบกฎหมายของไทยไม่น่ายินยอมให้นายกฯ เป็นบุคคล 2 สัญชาติ

เรื่องนี้เป็นปัญหาทางการเมืองของประเทศ เมื่อเป็นเรื่องการเมือง ต้องแก้ด้วยการเมือง ฟ้องประชาชนกันดีกว่า

ขอย้ำว่าไม่ได้กำลังบอกว่านายอภิสิทธิ์ควรสละสัญชาติอังกฤษเสีย แต่กำลังบอกว่านายอภิสิทธิ์ ซึ่งรู้อยู่แก่ใจมาตลอดว่าตนเองมี 2 สัญชาติ จะสละสัญชาติก็ได้แต่ไม่สละนั้น

ไม่ควรเป็นนายกฯ มาตั้งแต่ต้น และไม่ควรเป็นนายกฯ ต่อไป


ข่าวสด
มาร์คขอบคุณ พธม. - พธม. ขอบคุณมาร์ค กู้ชาติ จรู๊ฟฟฟๆๆ


สัมภเวสี.......


http://www.thairath.co.th/content/pol/152318


(หัวข่าว) มาร์คขอบคุณ พธม. คืน 2 ช่องจราจร เป้าต่อไปเปิด ถ.พิษณุโลก

ส่วนนายจำลองหัวเกรียน ขอบคุณมาร์ค ที่ ตร. ไม่สั่งฟ้องคดีก่อการร้าย แลกกัน..
คนไทยอย่างผมอ้าปากหวอ... กับละครน้ำเน่า เขียนบทมั่วไปมั่วมาแล้วก็ออกตามธง
สัมภเวสีกลุ่มนี้ได้เฮ... มีที่กินฟรี นอนฟรี ห้องน้ำสบาย โดยหม่อมเอ๋อ สุขภัณฑ์ ลูกทั่นหลานเธอว์
คืนนี้หากรู้สึกเปลี่ยวเหงา สัมภเวสีประแป้งรอ... พบกันริมตลิ่งใต้สะพานมัฆวาน




ทนายยื่นประกัน 22 คนเืสื้อแดงอุดร

http://www.internetfreedom.us/thread-15314.html
ทนายความยื่นขอประกันตัว 22 ผู้ต้องหาในคุกอุดรฯ คดีเผาที่ทำการอำเภอเมืองอุดรธานี หวังเชื่อมโยงปล่อยชั่วคราว 7 แกนนำนปช.


[Image: 12988746971298874751.jpg]

ผู้สื่อข่าวรายงานจากศาลจังหวัดอุดรธานี เมื่อเวลา 09.30 น. นางขนิษฐา รัฐกาญจน์ ทนาย ความของผู้ต้องหาคนเสื้อแดง 22 คน ที่ถูกควบคุมตัวในข้อกล่าวหาดำเนินคดีในข้อหาโฆษณาชักชวนให้กระทำผิดกฎหมาย, บุกรุกสถานที่ราชการโดยมีอาวุธ, ต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงาน, วางเพลิงเผาสถานที่ราชการ และทำให้เสียทรัพย์อันเป็นสาธารณประโยชน์ และร่วมกันพยายามเผาที่ว่าการอำเภอเมืองอุดรธานี 


ได้ทำเอกสารยื่นขอประกันตัวคนเสื้อแดงทั้ง 22 คน โดยก่อนหน้านางขนิษฐาได้เข้าเยี่ยมคนเสื้อแดงทั้ง 22 คนในเรือนจำกลางอุดรธานี พร้อมญาติพี่น้อง ก่อนเดินทางมายื่นขอประกันตัวต่อศาล


นางขนิษฐา เปิดเผยหลังยื่นประกันตัวคนเสื้อแดงว่า การยื่นขอประกันตัว 22 คนเสื้อแดงที่ถูกควบคุมตัวอยู่ที่เรือนจำกลางอุดรธานีวันนี้ ซึ่งที่ผ่านมาตนก็เคยยื่นขออนุญาตให้ศาลปล่อยตัวชั่วคราวมาก่อน แต่ศาลไม่อนุญาต โดยให้เหตุผลว่า เกรงจำเลยจะหลบหนี ซึ่งเราก็เข้าใจ เพราะว่ามันเป็นคดีอุกฉกรรจ์ โทษถึงขั้นประหารชีวิต แต่ตอนนี้เผอิญว่าศาลอาญาท่านเมตตาให้ 7 แกนนำ นปช.ได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว เหตุดังกล่าวเราจึงคิดว่ามีข้อเท็จจริงบางประการ ที่เราคิดว่าน่าจะเสนอต่อศาล เพื่อให้พิจารณาขอให้ปล่อยตัวชั่วคราวอีกครั้ง


"การพิจารณาคดีอุดรธานี เป็นจังหวัดนำร่อง เป็นจังหวัดแรก ๆ ที่พิจารณาคดี และใกล้จะเสร็จแล้ว พยานโจทย์ก็สืบไปเยอะแล้ว เหลืออีกประมาณ 30 ปาก ที่ต้องสืบ รวมถึงพยานจำเลยอีก ที่นี่เราก็อยากจะขอความเมตตาจากท่านว่า ให้เราได้รับการปล่อยตัว เพื่อที่จะไปแสวงหาพยานมาต่อสู้คดี เนื่องจากทั้ง 22 คน ต่อสู้คดี ไม่มีใครรับสารภาพ เพราะทั้งหมดถูกจับในวันที่เกิดเหตุเท่านั้นเอง"


นางขนิษฐา กล่าวอีกว่า ในวันนี้ทั้ง 22 คน คงจะยังไม่ได้ออกมา คงต้องนัดวันที่ต้องมีการไต่สวน และทางอัยการคงต้องส่งเรื่องไปยังสำนักอัยการของ DSI เพื่อจะสอบถามความเห็นว่า จะคัดค้านการปล่อยตัวหรือไม่ ถ้าคัดค้านเขาจะต้องส่งเรื่องมาคัดค้าน


และจะต้องนัดวันการไต่สวนอีกครั้ง เมื่อไต่สวนเสร็จคิดว่าน่าจะอีก 1-2 วัน จึงจะสามารถปล่อยตัวชั่วคราวได้ หากศาลท่านเมตตา ซึ่งเราเตรียมเงินสดไว้ 11 ล้านบาท ในการประกันตัวทั้ง 22 คน แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับศาลท่านจะให้ประกันตัวคนละเท่าไหร่


เครดิต
http://bit.ly/hVmWX3


ขอให้ได้รับการประกันตัวโดยเร็ว
พี่น้องที่ถูกคุมขังอีกหลายจังหวัด
ยังรอที่จะได้รับอิสรภาพ..
.

ขู่ถอนประกันเสื้อแดงหากร่วมชุมนุม 
http://www.internetfreedom.us/thread-15322.html

[Image: 166199.jpg] 
ดีเอสไอขู่ถอนประกัน 8 แกนนำ นปช. หากร่วมชุมนุมใหญ่ 12 มี.ค. ถือผิดเงื่อนไขศาลสั่งห้ามร่วมชุมนุม ยั่วยุ ปลุกปั่น

เมื่อ วันที่ 28 ก.พ. ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอ กล่าวเตือนแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ทั้ง 8 คน ที่ได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว ได้ประกาศจะเข้าร่วมการชุมนุมใหญ่ของ นปช.ในวันที่ 12 มี.ค.นี้ ว่า อาจเป็นการเข้าข่ายผิดเงื่อนไขการปล่อยตัวของศาล ซึ่งห้ามมิให้มีการกระทำอันเป็นการยั่วยุ ปลุกปั่น เพื่อให้เกิดความปั่นป่วน หรือกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชน โดยดีเอสไอในฐานะผู้รับผิดชอบคดี เกรงว่าการที่แกนนำจะเข้าร่วมการชุมนุม และปราศรัยจริง อาจทำให้ดีเอสไอต้องขอถอนประกันทั้ง 8 แกนนำ ซึ่งในส่วนของ 8 แกนนำ ควรต้องคำนึงด้วยว่ามีสถานะแตกต่างจากกรณีของ นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย ที่มีเอกสิทธิ์ความเป็น ส.ส.คุ้มครองอยู่.
http://www.dailynews.co.th/newstartpage/...tId=124015

ธาริต ช่วยสกีนเสื้อลายใหม่ให้ขายดิบขายดี ไปทั่วโลก จากวันนี้ไปแน่ๆ

http://www.internetfreedom.us/thread-15323.html
เห็นDSIยังสั่งดำเนินคดี 5 ราย คดีล้มเจ้า...ผมมองว่า เหมือนธาริต ช่วยสกีนเสื่อรายใหม่ให้ขายดิบขายดี ไปทั่วโลก

[Image: img_1955.jpg]

ภาพนี้เกิดใน การสัมมนาใน ม.ธรรมศาสตร์ ล่าสุด

ไม่พูด ไม่ทำอะไร แต่จะมีคนหลายล้าน ใส่เดินไปตามถนนเป็นปกติในการใช้ชีวิตจากนี้ไป

เขาใหญ่อาจได้เห็นอิ่มแน่ๆ

ซื้อท้นไหม งวดนี้...3 ตัวตรงๆ


...................

ดูเหมือนDSI สาดน้ำมันเข้ากองไฟ จงใจ

"มาร์ค" ขึ้นเป็นนายกฯ นับว่ายากแล้ว...แต่การลงจากนายกฯของมาร์ค กลับยากกว่า!
http://www.internetfreedom.us/thread-15325.html

กว่าลูกมาร์ค เป็นนายกฯได้ ต้องใช้ทุนมหาศาล
ต้นทุนทางสังคม ที่สะสมมานาน ก็ไม่มีเหลือ
ยอมเป็นโจรปล้นอำนาจ เพราะอำมาตย์ มาจุนเจือ
สุดท้ายจะเหลือแค่ "นายกฯขี้กลาก" ขี้ปากคน


[Image: imark.jpg]

ความจริง...การเลิกเป็นนายก มันง่ายนิดเดียว
แค่เพียง "ยุบสภาหรือลาออก" ก็จบแล้ว!

สำหรับนายกฯคนอื่นลงแล้ว...ลงชั่วคราว,ลงเลยหรือลงลับ(ไปพร้อมกับชีวิต)
แต่มาร์คเป็นนายกฯมีแต่ความทุกข์ หลุดจากนายกฯความทุกข์ก็จะทวีหลายพันเท่า
เพราะขึ้นมาด้วยวิธีพิเศษ เวลาลงก็จะมีของพิเศษตามติดตัวไปด้วย

ซึ่งหากยุบสภาตั้งแต่ เมษาปีที่ผ่านมา ก็คงไม่เจอข้อหาเป็น "ทรราชย์"
เพราะบ้าอำนาจ สั่งฆ่าคนเสื้อแดงที่ไปชุมนุมเรียกร้องฯ เพียงแค่ให้ยุบสภา

แต่หากจะยุบสภาในตอนนี้ ก็ไม่รู้ว่า จะมาได้อีกทีหรือเปล่า?
หากมาได้ อำนาจก็ไม่จีรัง ทำได้แค่ ถูลู่ถูกัง...ลากสังฆังไปเกาต่อเท่านั้น
จะหนี ไปอยู่ที่อื่น ก็ถูกสะกัดเส้นทางไว้แล้ว

หากอยู่เมืองไทย ไปไหนก็ไม่ได้ ศัตรูทั้งหลายก็จ้องอยู่
จะหวังพึ่งอำมาตย์ ก็แก่ชราเกินแกง เอาตัวเองแทบจะไม่รอด
ซ้ำร้าย! อาจถูกอำมาตย์ฆ่าตัดตอน หากศาล ICC รับฟ้อง!

[Image: 63123.jpg]
พ่อแม่ใครหนอ...ปล่อยให้ลูกมาร์คเอ๋อเล่นกับไฟ
รู้มั๊ย? ไฟกำลังลุกไหม้ ลูกมาร์คหมดทั้งตัวแล้ว!!
หงายแล้ว ธาริตดีเอสไอถอย หลังทุกฝ่ายยันอัมพรไม่ได้ชันสูตรศพ 
แค่เห็นภาพถ่าย เรื่องอาก้า

http://www.internetfreedom.us/thread-15328.html
ภายหลังมวลชนปฎิวัติ และนักวิชากรผู้รักความยุติธรรมนำข้อมูลออกมาโต้พลตำรวจโทอัมพร จารุจินดา นายตำรวจนอกราชการ แก่เลอะเทอะที่ออกมาบอกว่า นักข่าวญี่ปุ่นตายเพราะปืนกลอาก้าที่ทหารไม่มีใช้ (ทั้งที่มีเป็นแสนกระบอกในคลังอาวุธที่ยึดได้ตามแนวชายแดน) วันนี้ ดีเอสไอถอยกรูดแล้ว หลังยอมรับความจริงว่า พลตำรวจอัมพร ไม่รู้เรื่อง ไม่เคยดูศพแค่เห็นจากภาพ ทุกอย่างเลยตาละปัด 

หงายหลังพึ่ง นี่แหล่ะครับ ดีเอสไอยุคอธิบดีที่อดีตเป็นอัยการทั้งที่เรียนไม่ได้เรื่องไม่ได้ราวอะไร ให้ความเห็นกฎหมายแต่ละอย่างมั่วจนแทบไม่เชื่อว่าเคยเป็นอัยการมา ข่าวนี้จากมติชน

แหล่งข่าวระบุอีกว่า สำหรับผลการชันสูตรผู้เสียชีวิตในวันที่ 10 เมษายน ระบุว่า ผู้เสียชีวิตในจำนวน 11 ราย มี 1 รายเป็นผู้สูงอายุเสียชีวิตเพราะหัวใจวาย ส่วนอีก 10 ราย เสียชีวิตเพราะถูกยิงด้วยกระสุนความเร็วสูง กระสุนเจาะเข้าร่างกายใน 2 จุด คือ ศีรษะและเข้าหน้าอกตัดขั้วหัวใจ รวมถึงนายฮิโรยูกิด้วย โดยลักษณะบาดแผลของทุกศพน่าเชื่อได้ว่าผู้ลงมือเป็นนักแม่นปืน ซุ่มเลือกเป้ายิงได้อย่างแม่นยำ ซึ่งการเลือกเป้ายิงในลักษณะสไนเปอร์มักเลือกใช้ปืนเอ็ม 16 มากกว่าปืนอาก้า อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการไม่ได้ระบุว่าผู้เสียชีวิตทั้ง 10 ราย ถูกยิงด้วยอาวุธปืนชนิดใด เนื่องจากการผ่าชันสูตรไม่พบหัวกระสุนปืน จึงรายงานในผลการชันสูตรเพียงว่าเป็นกระสุนปืนความเร็วสูง ดังนั้น จึงเป็นประเด็นคำถามว่า พล.ต.ท.อัมพร ซึ่งไม่ได้ร่วมทีมชันสูตรศพ ได้วิเคราะห์ภาพบาดแผลใดจึงสรุปว่าเป็นบาดแผลจากปืนอาก้า และได้วิเคราะห์ภาพถ่ายของผู้เสียชีวิตรายอื่นหรือไม่ว่า สภาพบาดแผลจากปืนเอ็ม 16 มีความแตกต่างจากปืนอาก้าอย่างไร 

ด้านแหล่งข่าวจากดีเอสไอ เปิดเผยว่า คดีนี้ดีเอสไอได้ประสานให้พล.ต.ท.อัมพร ในฐานะที่ปรึกษาคดีพิเศษเป็นผู้ตรวจวิเคราะห์สาเหตุการเสียชีวิต โดยวิเคราะห์จากภาพถ่ายบาดแผล และรายงานผลเรื่องวิถีกระสุน ซึ่งการวิเคราะห์เพียงแค่ภาพถ่ายบาดแผลเพียงอย่างเดียว โดยไม่ได้ร่วมผ่าชันสูตร อาจได้ข้อมูลที่ไม่ครบถ้วนเพียงพอจะสรุปได้ชัดเจนว่าอาวุธสังหารเป็นเอ็ม16 หรืออาก้า อย่างไรความเห็นของพล.ต.ท.อัมพร คงเป็นเพียงส่วนประกอบความเห็นในสำนวนชันสูตรเท่านั้น และอาจไม่มีน้ำหนักเพียงพอต่อการเปลี่ยนแปลงหรือพลิกรูปคดี จากเจ้าหน้าที่รัฐเป็นผู้กระทำไปเป็นชายชุดดำ เนื่องจากในชั้นสอบสวนมีพยานบุคคลและพยานแวดล้อมยืนยันว่า ก่อนถูกยิงล้มลงนายฮิโรยูกิอยู่ตรงกันข้ามกับแนวทหาร หากคดีนี้จะพลิกไปในทำนองว่าชายชุดดำไม่ทราบฝ่ายเป็นผู้ยิง แสดงว่ามีชายชุดดำปะปนอยู่ในแนวทหาร
เครดิต คุณ เสรีชนประชาไท ..แห่งประชาทอล์ค

ยุทธศาสตร์แยกสลายกองไฟ และยุทธศาสตร์สร้างแนวกันไฟ

http://www.internetfreedom.us/thread-15089.html
ก่อนอื่นผมจะขอเรียนชี้แจงกับพี่น้องผู้รักประชาธิปไตยทุกๆ ท่านว่า.. ผมเขียนบทความฉบับนี้ขึ้นเพื่อสื่อสารโดยตรงถึงท่าน เพื่อจะได้ทำความเข้าใจและพิจารณาถึงสิ่งที่ผมจะนำเสนอต่อไปนี้...ด้วยเหตุ และผล.. ด้วยความมีสติ ไม่วู่วาม และด้วยความคิดอย่างรอบด้าน.. บทความชิ้นนี้มิใช่ “การชี้นำ” หรือ “การชักจูง” ให้ทุกๆ ท่านเห็นคล้อยตาม.. หรือคิดเหมือนกัน.. แต่ต้องการให้พี่น้องผู้มีใจที่รักประชาธิปไตยอย่างแท้จริงและสมบูรณ์นั้น.. ได้ใคร่ครวญถึงสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นตรงหน้า เพื่อนำไปสู่ผลที่จะเกิดขึ้นต่อไปในอนาคต เพื่อท่านทั้งหลายจะได้ตัดสินใจและพิจารณาได้ด้วยตนเอง.. ด้วยสติปัญญา และความเป็นเหตุเป็นผลที่แต่ละท่านมีด้วยตนเอง ได้โปรดกรุณาอ่านจนจบ แล้วค่อยตอบใจของท่านเองว่า..ท่านจะเลือกกำหนดแนวทางการต่อสู้ของท่านไปในทิศทางใด และรูปแบบใด..

^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^

ประเทศนี้ถูกปกครองด้วยอำนาจของเผด็จการที่ปกครองและครอบงำประเทศในทุกภาคส่วนมาหลาย​สิบปี โดยที่ประชาชนส่วนใหญ่ก็ถูกมอมเมา และล้างสมองตลอดมาโดยไม่รู้ตัว.. ซึ่งได้มาถึงจุดระเบิดเมื่อเกิดการรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 ที่ผ่านมา.. นับตั้งแต่วันนั้นขบวนการต่อสู้เพื่อเรียกร้องความเป็นประชาธิปไตยที่แท้จริงจึงค่อย​ๆ พัฒนาและเติบใหญ่ขึ้นเป็นลำดับมาจนถึงปัจจุบัน..

ดังนั้นการที่ประชาชนได้รวมตัวกันเรียกร้องประชาธิปไตยในครั้งนี้ก็คือ “การนำเอาอำนาจในการปกครองจากผู้ครองอำนาจเผด็จการให้มาเป็นอำนาจของประชาชน” นั่นเอง..ซึ่งผมก็ได้เคยกล่าวไปในบทความชิ้นก่อนๆ ว่า การจะได้ตามสิ่งที่ประชาชนต้องการนั้นมีวิธีการอยู่ 2 หนทางคือ การร้องขอ.. หรือการแย่งชิง และจากระยะเวลาที่ผ่านมาหลายปีนั้นดูเหมือนว่า หนทางแห่งการร้องขอ น่าจะตีบตัน หรือ ปิดสนิทลงอย่างสิ้นเชิงเสียแล้ว.. (จากการพิจารณาโดยส่วนตัวของผมเอง)

ด้วยเหตุนี้ในเมื่อความต้องการประชาธิปไตยของประชาชนยังไม่จบสิ้นลง.. หนทางแห่งการได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองของประชาชนนั้นจึงต้องใช้วิธีการ “แย่งชิงอำนาจนั้นมาจากเผด็จการ” พูดง่ายๆ เพื่อความเข้าใจโดยไม่คลาดเคลื่อนก็คือ “เป็นการทำสงครามต่อสู้กันระหว่างอำนาจเผด็จการ (ที่มีอาวุธทุกอย่างในมือ) กับอำนาจประชาธิปไตย (ที่มีพลังประชาชนอยู่ในมือ)” ..

ซึ่งในเรื่องนี้ ผมกล่าวในลักษณะของหลักการทางวิชาการ มิได้พูดในเชิงให้มีการจัดตั้งกองกำลังเพื่อให้เกิดการต่อสู้กันในลักษณะของสงครามกล​างเมือง (ผู้เขียน)

เช่นนี้แล้วการต่อสู้ที่เกิดขึ้นนี้ เป้าหมายสูงสุดของแต่ละฝ่ายก็คือ “ฝ่ายเผด็จการต้องทำทุกวิถีทางเพื่อรักษาอำนาจเดิมเอาไว้ให้ได้”... “ส่วนฝ่ายประชาธิปไตยก็ต้องทำทุกวิถีทางในการแย่งเอาอำนาจนั้นมาเป็นของประชาชนให้ได​้เช่นกัน” ... นี่คือความเป็นจริงที่เกิดขึ้น..และไม่มีใครปฏิเสธได้.. (ผมได้กล่าวไปแล้วตั้งแต่ต้นว่า ผมเขียนบทความนี้เพื่อสื่อถึงพี่น้องที่เป็นมวลชนผู้รักประชาธิปไตยทุกท่าน มิได้เฉพาะเจาะจงไปถึงแกนนำ หรือใครคนใดคนหนึ่งโดยเฉพาะ)..

ดังนั้นกลยุทธการต่อสู้มากมายจึงถึงถูกนำมาใช้เพื่อรักษาอำนาจ..หรือ แย่งชิงอำนาจในสงครามครั้งนี้อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน.. “จริงคือเท็จ..เท็จคือจริง.. เขียนเสือให้วัวกลัว... ยืมดาบฆ่าคน.. ขุดบ่อล่อปลา” ฯลฯ มากมายหลากหลายวิธี ซึ่งล้วนแล้วแต่ที่ต่างฝ่ายต่างก็นำมาใช้เพื่อให้ได้ชัยชนะในการต่อสู้ในครั้งนี้... เพื่อ “อำนาจ” เพียงประการเดียวเท่านั้น


เมื่อพี่น้องทุกท่านเข้าใจในความเป็นจริงเรื่อง “สงครามการต่อสู้ระหว่างอำนาจเผด็จการกับอำนาจประชาชนในภาพรวมแล้ว..ท่านก็จะสามารถเข้าใจเรื่องที่จะนำเสนอต่อไปนี้ได้” 

แต่ขอความกรุณาครับถ้าท่านยังไม่เข้าใจถึงสิ่งที่ผมพยายามสื่อไปถึงท่าน โปรดอ่านทบทวนในประเด็นเรื่อง “สงครามการต่อสู้นี้” และใคร่ครวญให้รอบคอบก่อน จึงค่อยอ่านในบทความช่วงต่อไป...

ปูนนก

**************************************************
กระแสการต่อสู้เรียกร้องประชาธิปไตยในระยะที่ผ่านมานี้.. มีความหลากหลายทางความคิดและแนวทางค่อนข้างมาก.. แม้ว่าทุกๆ แนวคิดหรือทุกๆ แนวทางล้วนแล้วแต่จะอ้างตนเองว่า ต้องการเป้าหมายเดียวกันคือ “ประชาธิปไตยที่สมบูรณ์เหมือนกัน” .. แต่ถ้าพิจารณาจากวิธีดำเนินการที่ปรากฏจริงตรงหน้าแล้ว.. จะเห็นได้ว่ามีทั้งความเหมือนและความต่างกันโดยสิ้นเชิง.. (ผมจะไม่ขอลงในรายละเอียด แต่ขอให้แต่ละท่านพิจารณาสิ่งที่ปรากฏจริงด้วยตัวของท่านเอง).. 

ถ้าเปรียบอำนาจเผด็จการเสมือนอาณาจักรอันยิ่งใหญ่ที่มีบ้านเรือนผู้คนปลูกพำนักอยู่ม​ากมายโดยมี จุดศูนย์รวมอยู่ที่บ้านหลังใหญ่ที่สุดกลางอาณาจักรนั้น.. และการเรียกร้องประชาธิปไตยโดยประชาชนเหมือนไฟ ที่กำลังลุกไหม้และเริ่มรายล้อมอาณาจักรนั้นเข้ามาจากขอบนอกเข้ามาเรื่อยๆ หนทางที่จะปกป้องอาณาจักรอันยิ่งใหญ่นี้เอาไว้ให้ได้ก็คือ“ทำลาย (ดับ) กองไฟนั้นเสีย..อาจจะโดยเอาน้ำสาด (ล้อมปราบ, การจับกุมคุมขัง).. หรือการแยกกองไฟให้เป็นกองเล็กๆ เพื่อจะทำการดับได้ง่าย (การยุแหย่ให้เกิดการแตกความสามัคคีแล้วทำลายภายหลัง)” .. 

ยุทธศาสตร์การแยกเปลวไฟออกเป็นกองย่อยๆ (การแยกมวลชนเสื้อแดงออกจากกัน) มีการกระทำมาโดยตลอดจากฝ่ายเผด็จการ ตั้งแต่ในยุคเริ่มแรกของ คมช. ที่ ดร. เชียรช่วง กัลยาณมิตร ได้นำทัพเข้าสู่ในสงครามไซเบอร์ที่เรียกว่า 2.4 มาแล้ว 

ดังนั้นการเข้ามาเสี้ยมให้มวลชนคนเสื้อแดงแตกความสามัคคีกัน จึงเป็นเป้าหมายในยุทธศาสตร์หนึ่งที่ฝ่ายอำนาจเผด็จการ ได้ใช้การต่อสู้ในสงครามครั้งนี้ด้วย.. และนี่คือความจริงแท้อย่างไม่ต้องสงสัย.. ด้วยเหตุนี้พี่น้องมวลชนคนเสื้อแดงจึงต้องระมัดระวังอย่างมากในการเชื่อถือข้อมูลข่า​วสารใดๆ ในโลกอินเตอร์เน็ตแห่งนี้.. ต้องพิสูจน์ทราบอย่างดีและรอบคอบพอสมควร

แต่ในขณะเดียวกัน.. นอกจากยุทธศาสตร์การแยกกองไฟให้กลายเป็นกองเล็กๆ เพื่อง่ายต่อการกำจัดแล้ว สิ่งหนึ่งที่ต้องไม่ลืมพิจารณากันก็คือถ้ากองไฟมีมากเกินไปไม่สามารถแยกสลายได้หมด และไฟยิ่งลุกลามเข้ามาในอาณาจักรแห่งเผด็จการนี้มากขึ้นเรื่อยๆ ลุกลาม และกินพื้นที่ในอาณาจักรนี้ “ใกล้บ้านหลังใหญ่ที่สุดเข้ามาทุกที” สิ่งที่ฝ่ายเผด็จการจะทำก็คือ “รักษาอำนาจของบ้านหลังใหญ่เอาไว้ให้ได้ต่อไปแม้จะสูญเสียส่วนอื่นของอาณาจักรไปก็ตา​ม” ... พูดง่ายๆ ก็คือ “สร้างแนวกันไฟล้อมรอบบ้านหลังใหญ่เอาไว้นั่นเอง” เพื่อที่ว่าเมื่อถึงคราวจำเป็น แม้ว่าไฟจะลุกลามไหม้บ้านทุกหลังในอาณาจักรนี้ไปจนหมดสิ้น ก็จะขอให้เหลือ “บ้านหลังใหญ่ที่สุดที่เจ้าของอำนาจเผด็จการครอบครองอยู่ในอาณาจักรแห่งนี้เอาไว้ก่อ​นนั่นเอง” 

ปูนนก
************************************************
สิ่งที่ผมกำลังพยายามสื่อถึงพี่น้องมวลชนคนเสื้อแดงผู้รักประชาธิปไตยทุกๆ ท่านในที่นี้ก็คือ. บ่อยครั้งที่มีพี่น้องผู้รักประชาธิปไตยได้นำเสนอแนวทาง และยุทธศาสตร์ในการต่อสู้เพื่อจะได้นำไปสู่เป้าหมายแห่งการได้มาซึ่งอำนาจประชาธิปไต​ยที่แท้จริงคือ.. เพื่อทำลายทุกส่วนของอาณาจักรเผด็จการนี้ลงไปก่อน.. แล้วค่อยปลูกบ้านหลังใหญ่กลางอาณาจักรขึ้นมาใหม่อีกครั้งในรูปแบบของประชาธิปไตย.. แต่เผอิญแนวทางดังกล่าวไม่ตรง หรืออาจจะขัดแย้งกับแนวทางที่พี่น้องบางกลุ่ม หรือบางส่วนเชื่อ... ก็จะถูกกล่าวหาว่า คนเหล่านั้นกำลังทำตัวให้เข้าสู่ยุทธศาสตร์ของอำนาจเผด็จการคือ “ทำลายความสามัคคีของมวลชนคนเสื้อแดง” และก็ถูกกระหน่ำโจมตี จนถึงขั้นถูกกล่าวหาว่า “เป็นฝ่ายเผด็จการที่แฝงตัวเข้ามาบ่อนทำลายฝ่ายประชาธิปไตย” 

โดยลืมมองไปว่าแนวทางที่พี่น้องจำนวนมากกำลังเดินไปนั้น คือแนวทางที่เป็นยุทธศาสตร์ที่ฝ่ายเผด็จการวางเอาไว้เช่นกันคือ “สร้างแนวกันไฟ” มิให้เข้าถึงบ้านหลังใหญ่ที่สุดในอาณาจักรเผด็จการได้.. เพราะถึงแม้ในที่สุดเมื่อไฟได้ลุกลามเข้าไปเผาไหม้อาณาจักรแห่งเผด็จการได้ทั้งหมดแล​้ว.. แต่ทว่า “บ้านหลังใหญ่ที่อำนาจเผด็จการครอบครองอยู่ก็มิได้กลายเป็นของประชาชนกลับยังคงอำนาจ​เผด็จการดังเดิมเอาไว้อยู่เช่นกัน” 

ดังที่ผมเคยบอกไปแล้วแต่ต้นว่า.. เป้าหมายสูงสุดของสงครามครั้งนี้.. สำหรับฝ่ายเผด็จการก็คือ “ทำทุกวิถีทางที่จะรักษาอำนาจเผด็จการเอาไว้ให้ได้” ส่วนฝ่ายประชาธิปไตยก็คือ“ทำทุกวิถีทางเช่นกันที่จะเอาอำนาจนั้นมาสู่ประชาชนให้ได้เช่นกัน” เมื่อท่านเข้าใจเป้าหมายหลักแล้ว ท่านก็จะเข้าใจยุทธศาสตร์อื่นๆ ในแต่ละกรณีที่ถูกกำหนดขึ้นมาในการต่อสู้ครั้งนี้ของแต่ละฝ่ายด้วย

เหตุดังกล่าวทั้งหมดนี้...พี่น้องผู้รักประชาธิปไตยทุกๆ ท่าน... ที่มีสติสัมปชัญญะและการพิจารณาอย่างรอบคอบด้วยตัวของท่านเอง.. ขอให้ทุกๆ ท่านได้ใคร่ครวญ ด้วยใจเป็นธรรมว่า สิ่งที่ท่านกำลังเดินทางไป หรือร่วมเดินไปนั้นเป็น “การทำลายอำนาจเผด็จการเพื่อได้ชัยชนะ” ในสงครามครั้งนี้ หรือเป็น “การสร้างแนวกันไฟให้กับอำนาจเผด็จการ” เพราะถึงอย่างไร อำนาจเผด็จการก็ไม่มีวันยอมแพ้ในสงครามครั้งนี้อย่างแน่นอน..

การกล่าวหาว่าพี่น้องที่คิดไม่สอดคล้องกับความต้องการของบางคน, บางกลุ่ม เป็นผู้ที่แฝงตัวเข้ามาเพื่อ เสี้ยม ทำลายความสามัคคีของคนเสื้อแดง... ถ้าพิจารณาให้ดีๆ อย่างรอบคอบและลึกซึ้ง ก็เป็นไปได้เช่นกันว่า การกล่าวหาเช่นนั้นก็เพียงเพื่อ “สร้างแนวกันไฟ” เอาไว้ให้เผด็จการนั่นเอง...

ขอให้ทุกๆ ท่านได้โปรดระลึกว่า..ฝ่ายเผด็จการนั้นมียุทธศาสตร์ที่จะใช้คนเข้ามาเพื่อแยกสลายกำลังของมวลชนคนเสื้อแดงน​ั้นเป็นความจริง... แต่ขณะเดียวกันพวกเขาก็มียุทธศาสตร์ที่จะใช้คนของเขาเข้ามาเพื่อทำเนียนและชักจูงโน้​มน้าวมวลชนให้เดินไปไม่ถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้... และสร้างแนวกันไฟให้อำนาจเผด็จการเช่นเดียวกัน... ดังนั้นพี่น้องมวลชนต้องใช้สติและพิจารณาให้รอบคอบในการจะเลือกเชื่อ หรือเดินตามสิ่งใดต่อไป...

ปูนนก