วันพุธที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2558

ศาลแพ่งสั่ง 'สมศักดิ์-คมสัน-สาวิทย์' จ่าย 9.46 แสน เหตุปิดล้อมมหาดไทย ช่วงชุมนุม กปปส.


ศาลแพ่ง พิพากษา 'สมศักดิ์-คมสัน-สาวิทย์' จ่าย 9.46 แสน พร้อมดอกเบี้ย 7.5% ต่อปี เหตุปิดกระทรวงมหาดไทย ช่วงชุมนุม กปปส. ส่วนอาวุธปืนสูญหายไม่มีพยานหลักฐาน ทั้ง 3 จึงไม่ต้องรับผิดส่วนนี้ ทนายเผยเตรียมจะยื่นอุทธรณ์
 
23 ธ.ค. 2558 ที่ศาลแพ่ง ถ.รัชดาภิเษก ศาลอ่านคำพิพากษาคดี ที่กรมการปกครอง เป็นโจทก์ ยื่นฟ้องนายสมศักดิ์ โกศัยสุข , นายคมสัน ทองสิริ , นายสาวิทย์ แก้วหวาน เป็นจำเลยที่ 1-3 เรียกค่าเสียหาย 1,636,426.80 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี จากกรณีที่ เมื่อวันที่ 1 ธ.ค. 56 จำเลยทั้งสาม ซึ่งเป็นแกนนำกลุ่มผู้ชุมนุมคณะกรรมการประชาชนเพื่อเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นระบอบประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข (กปปส.) นำกลุ่มผู้ชุมนุมปิดล้อมพื้นที่กระทรวงมหาดไทย และกรมการปกครอง ซึ่งเป็นการทำละเมิดต่อโจทก์ โดยจำเลยทั้งหมดให้การปฏิเสธ
ศาลพิเคราะห์แล้ว เห็นว่า โจทก์มีทั้งพยานบุคคลและภาพถ่าย ยืนยันได้ว่าจำเลยทั้งสามเป็นผู้นำกลุ่มผู้ชุมนุม เข้าไปปิดล้อมพื้นที่ของโจทก์
ส่วนที่จำเลยทั้งสาม อ้างว่าเป็นการชุมนุมโดยสงบ และปราศจากอาวุธ เพื่อแสดงเจตนารมณ์ทางการเมืองในการต่อต้าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรม และไม่ไว้วางใจการบริหารราชการของรัฐบาลที่มี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรีนั้นเป็นการใช้สิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญนั้น ศาลเห็นว่า ไม่มีเหตุใดที่จะยกเว้นความรับผิดชอบของจำเลยทั้งสามหรือผู้ชุมนุม หากมีการกระทำอันเป็นการละเมิดต่อกฎหมายขณะชุมนุม การที่จำเลยทั้งสามนำผู้ชุมนุม เข้าไปในพื้นที่ของโจทก์เป็นเวลานานกว่า 5 เดือน ทำให้ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของโจทก์ไม่สามารถเข้าไปทำงานได้ตามปกติต้องไปทำงานที่ทำการชั่วคราว จึงเป็นการทำละเมิดต่อโจทก์ จำเลยต้องร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายได้แก่ ค่าอุปกรณ์สำนักงานเพื่อปฏิบัติงานที่ทำการชั่วคราว 101,000 บาท ค่าจ้างเหมารถตู้เพื่อรับส่งข้าราชการและเจ้าหน้าที่ไปที่ทำการชั่วคราว 50,000 บาท ค่าน้ำมันเชื้อเพลิงระหว่างปฏิบัติงานที่ทำการชั่วคราว 4,000 บาท ค่าทรัพย์สินอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ของราชการที่สูญหายจากการกระทำของกลุ่มผู้ชุมนุม 791,000 บาท รวมทั้งสิ้น 946,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
ส่วนอาวุธปืนของโจทก์ ที่อ้างว่าสูญหายไม่มีพยานหลักฐาน ฟังได้ว่า อาวุธปืนโจทก์สูญหายไปจริง จำเลยทั้งสามจึงไม่ต้องรับผิดส่วนนี้
ภายหลัง นายวิโรจน์ ภูมิศิริสวัสดิ์ ทนายความจำเลย กล่าวว่า เตรียมจะยื่นอุทธรณ์คดีนี้และส่วนตัวเชื่อว่าฝ่ายกรมการปกครอง โจทก์ก็จะยื่นอุทธรณ์เช่นกัน เพราะขณะฟ้องได้ระบุมูลค่าความเสียหายไว้สูงเกือบ 2 ล้าน  อย่างไรก็ดีสำหรับจำเลยทั้งสาม ก่อนหน้านี้ถูกกระทรวงมหาดไทย ยื่นฟ้องเรียกค่าเสียหายอีก 1 สำนวนซึ่งศาลแพ่งก็ได้มีคำพิพากษาไปแล้วให้ชดใช้ความเสียหายกว่า 3 แสนบาท ซึ่งคดีอยู่ระหว่างอุทธรณ์  โดย คดีที่ กปปส.ถูกฟ้องเรียกค่าเสียหายจากหน่วยราชการในการชุมนุมนั้น มีทั้งสิ้น 3 สำนวน โดยอีกสำนวนหนึ่ง คือ คดีที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ ยื่นฟ้อง พุทธะอิสระกับพวก ซึ่งคดีจะนัดตัดสินวันที่ 15 ก.พ.ปีหน้า

‘จ่านิว’ ยื่นเรื่องทดสอบ กสม.ชุดใหม่-เล็งฟ้อง รฟท.-ทหาร กรณีควบคุมตัวกลางทางไปราชภักดิ์


23 ธ.ค.2558 สิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์ หรือ จ่านิว ให้สัมภาษณ์ว่า ในวันนี้ได้เดินทางไปร้องเรียนกับอนุกรรมการสิทธิพลเมือง คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ซึ่งมีนางอังคณา นีละไพจิตร เป็นประธานอนุฯ พร้อมกับเพื่อนอีก 2 คนเกี่ยวกับกรณีการตรวจสอบอุทยานราชภักดิ์และการดำเนินคดีกับเขาและพวกรวม 11 คนหลังจากนั้น โดยร้องเรียนใน 4 ประเด็น
1.กรณีการรถไฟแห่งประเทศไทยละเมิดสิทธิในการเดินทาง บกพร่องต่อหน้าที่ในการส่งผู้โดยสารโดยการตัดขบวนรถไฟที่สถานีรถไฟบ้านโป่ง
2.ขอให้ กสม.ตรวจสอบและชี้ว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจทหารที่ทำการจับกุมประชาชนที่เดินทางในวันนี้และควบคุมตัวไว้อีกเกือบ 10 ชม.นั้นเป็นการควบคุมตัวโดยมิชอบด้วยกฎหมายและเป็นการละเมิดนสิทธิมนุษยชน
3.ให้ข้อมูลการควบคุมตัวกรณีธเนตร อนันตวงษ์ หรือตูน ที่ถูกควบคุมตัวจากโรงพยาบาล โดยขอให้ กสม.เฝ้าระวังและติดตามไม่ให้เจ้าหน้าที่ทหารอ้างคำสั่งหัวหน้าคสช.ในการอุ้มหายบุคคล โดยไม่แจ้งที่คุมตัว ไม่อนุญาตให้ทนายและญาติพบ เพราะมีแนวโน้มว่าทหารจะทำแบบนั้นเพิ่มขึ้น
4.แจ้งข้อมูลและขอให้ กสม.จับตากรณีที่ตำรวจออกหมายเรียกผู้ต้องหา 11 คนรวมทั้งตัวเขาว่า จะมีการออกหมายจับและทำการจับกุมหลังวันที่ 29 ธ.ค.นี้หรือไม่
“ผมได้คุยกับประธานกรรมการสิทธิ ซึ่งได้มารับเรื่องและชี้แจงขั้นตอนกระบวนการทำงานของคณะกรรมการชุดใหม่ ชี้แจงว่าถ้าเรื่องเร่งด่วนมีระบบ fast track อย่างไรบ้าง และยินดีจะรับเรื่องไว้” สิรวิชญ์กล่าว
เมื่อถามว่าเขามีความคาดหวังกับกลไกของ กสม.มาเพียงใด เขากล่าวว่า “จริงๆ ปีที่แล้วผมก็เคยใช้กลไกนี้ เคยมายื่นเรื่องกับคุณหมอนิรันดร์สองครั้ง แต่เรื่องก็เงียบไป มาครั้งนี้ก็ถือว่าเป็นการพิสูจน์ฝีมือกรรมการชุดใหม่ว่าจะช่วยปกป้องสิทธิประชาชนได้เพียงไหน”
สิรวิชญ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า หมายเรียก 11 คนในกรณีเดินทางไปอุทยานราชภักดิ์นั้น มีบุคคลที่มีสถานะนักศึกษาอยู่สองคนคือ เขาและกรกนก คำตา โดยเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ทั้งคู่ นอกนั้นเป็นนักกฎหมาย นักกิจกรรม ผู้ที่เพิ่งจบการศึกษาและประชาชนทั่วไป โดยพนักงานสอบสวนแจ้งชัดเจนว่าทั้ง 11 คนนี้คือบุคคลที่ไม่ยอมเซ็นชื่อในเงื่อนไขการปล่อยตัวที่ระบุห้ามเคลื่อนไหวทางการเมืองทั้งสิ้น ส่วนที่เหลือจากทั้งหมด 36 คนนั้นยอมลงชื่อจึงไม่ถูกดำเนินคดี
สิรวิชญ์ยังกล่าวด้วยว่า เขาและเพื่อนบางคนตัดสินใจยืนยันจะไปรายงานตัวในวันที่ 9 ม.ค.ตามที่ได้เดินทางไปแจ้งและขอเลื่อนนัดกับพนักงานสอบสวนทันทีที่ได้รับหมายเรียก ซึ่งตามปกติแล้วหมายเรียกสามารถเลื่อนนัดได้ถึง 15 วัน แต่ตำรวจยังคงยืนยันจะออกหมายเรียกครั้งที่สองในรายงานตัววันที่ 29 ธ.ค.ซึ่งเขาเห็นว่าให้เวลาน้อยเกินไปและออกโดยไม่มีเหตุอันควร สำหรับเหตุผลที่เขาขอเลื่อนเป็น 9 ม.ค.นั้นเพราะเป็นช่วงเคลียร์รายงาน บางคนกำลังเตรียมสอบ และช่วงปีใหม่ทุกคนอยากมีเวลาอยู่กับครอบครัว เนื่องจากคดีนี้ไม่ใช่คดีร้ายแรงอุจฉกรรจ์
ก่อนหน้านี้วันที่ 22 ธ.ค. ตัวแทนจากกลุ่มขบวนการประชาธิปไตยใหม่ (NDM) ก็ได้ยื่นเรื่องให้กับสหประชาชาติเช่นกัน
นอกจากเดินทางไปร้องเรียนยัง กสม.แล้ว สิรวิชญ์ยังระบุด้วยว่า หลังปีใหม่เขาจะฟ้องหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับกรณีนี้ด้วยโดฟ้องการรถไฟแห่งประเทศไทยต่อศาลปกครอง ในความผิดกรณีตัดตู้รถไฟตู้ขบวนที่ 255 เมื่อวันที่ 7 ธ.ค.ที่กลุ่มพวกเขาเดินทางไปอุทยานราชภักดิ์ อันเป็นการขัดขวางและลิดรอนสิทธิเสรีภาพในการเดินทางของประชาชน
นอกจากนี้ยังจะพิจารณาดำเนินคดีกับ พล.ต.ธรรมนูณ วิถี ผบ.พล.ร.9 พ.อ.บุรินทร์ ทองประไพ นายทหารพระธรรมนูญ นายอำเภอบ้านโป่ง และผู้กำกับสถานีตำรวจภูธรบ้านโป่ง ในความผิดมาตรา 157 ปฏิบัติหน้าที่ไม่ชอบอีกด้วย 
′ประวิตร′ ยันไม่ได้ปิดกั้น ถามไฟฉายจะตรวจสอบได้หรือไม่
วันเดียวกัน (23 ธ.ค.58) มติชนออนไลน์ รายงานด้วยว่า  ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงกรณีที่กลุ่ม 11 นักศึกษาไปร้องสหประชาชาติ หรือยูเอ็น กรณีถูกปิดกั้นการเดินทางไปตรวจสอบข้อเท็จจริงโครงการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์ ด้วยการโดยสารขบวนรถไฟ ว่า "จะปิดกั้นอะไรเล่า ก็รู้อยู่ว่าตรวจสอบอยู่ ถ้าอย่างนั้นเอาไฟฉายไปกันคนละอัน ตรวจสอบได้หรือไม่ ถ้ามีไฟฉายแล้วจะตรวจสอบได้หรือไม่ถ้าเอาไฟฉายไป"