ดาวน์โหลดคลิ๊ปคนเสื้อแดง
วันศุกร์ที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2554
ทุกอย่างอยู่ที่ประชาชนจะตัดสิน
นายสมเกียรติ ศรลัมพ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อแผ่นดิน มองว่าถึงเวลาแล้วที่ประชาชนจะตัดสินใจอนาคตของตัวเองว่าจะให้บ้านเมืองไปทางไหน เพราะที่ผ่านมาองค์กรต่างๆไม่สามารถเป็นที่พึ่งได้ โดยเฉพาะรัฐบาลที่มุ่งหวังแต่เรื่องผลประโยชน์ ดังนั้น ควรจัดให้มีการเลือกตั้ง เพื่อเขาจะได้เลือกคนที่เห็นว่าสามารถนำประเทศชาติรุดหน้าไปได้ มองปัญหาที่เกิดขึ้น สภาพปัญหาของสังคมไทยเกิดขึ้นหลายเรื่อง สังคมคลอนแคลน ไม่สามารถพึ่งพาองค์กร สถาบัน องค์กรอิสระ กองทัพ หรือแม้กระทั่งตัวนายกรัฐมนตรีเอง จึงเกิดสุญญากาศ ประชาชนขาดความเชื่อมั่น ไม่ว่าจะเป็นการที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี บอกว่าจะมีการยุบสภาในสัปดาห์แรกของเดือนพฤษภาคมนั้น จะยุบจริงหรือเปล่า มีนัยอะไรแอบแฝงหรือมีเทคนิคทางการเมืองหรือไม่ เพราะต้องไม่ลืมว่านายกรัฐมนตรีเคยพูดว่าจะมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ 6 ประเด็น ในครั้งที่มีการตั้งคณะกรรมการศึกษาและแก้ไขรัฐธรรมนูญชุดที่รัฐสภาตั้งขึ้น แต่สุดท้ายก็ไม่มีอะไรเพราะพรรคประชาธิปัตย์ไม่เอาด้วย จนกระทั่งมีการแต่งตั้ง ศ.ดร.สมบัติ ธำรงธัญวงศ์ อธิการบดีสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เป็นประธาน ที่มีการสรุปเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญกันใน 6 ข้อ แต่นายอภิสิทธิ์เลือกที่จะหยิบมาแก้ไขเพียง 2 ข้อเท่านั้น ซึ่งในครั้งนี้พรรคประชาธิปัตย์มีมติว่าไม่ให้แก้ แต่นายกรัฐมนตรีก็แก้และสามารถทำได้ด้วย จากการกระทำและคำพูดของนายกรัฐมนตรีที่ผ่านมาทำให้ประชาชนสงสัยว่าเป็นเกมหรือเปล่า เกิดความไม่เชื่อมั่นในองค์กรและบุคคล ภาวะการเมืองไทยในปัจจุบัน 3 สถาบันหลักคือ บริหาร นิติบัญญัติ และตุลาการ ทั้ง 3 องคาพยพนี้อ่อนแอหมด ไม่สามารถทำหน้าที่ให้ประชาชนเกิดความเชื่อถือได้ ฝ่ายบริหารก็มีข่าวการทุจริตคอร์รัปชัน ขาดประสิทธิภาพในการแก้ไขปัญหาต่างๆที่รุมเร้าเข้ามาในแต่ละกระทรวง ขณะเดียวกันรัฐมนตรีทั้งหมดที่มีอยู่ก็เป็นเพียงนอมินีหรือตัวแทนเท่านั้น เลยขาดซึ่งอำนาจที่แท้จริงในเชิงการบริหาร หรือไม่ได้บริหารมาตั้งแต่ต้น จึงทำอะไรไม่ได้ยามที่เกิดปัญหาขึ้นมา เพราะต้องรอฟังผู้มีอำนาจที่บริหารงานอยู่เบื้องหลังรัฐมนตรี ส่งผลให้ประชาชนที่เฝ้าดูการทำงานของรัฐบาล เฝ้าดูการบริหารงานของรัฐมนตรี ขาดความเชื่อมั่นในตัวรัฐมนตรีตลอดจนรัฐบาล ขณะเดียวกันภาครัฐสภาตลอด 2 ปีที่ผ่านมาประชาชนที่มองดูอยู่เห็นว่าการทำงานของฝ่ายนิติบัญญัติเป็นการเล่นเกมกันของฝ่ายการเมืองทั้งฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาล เลยขาดเหตุผลในการคิดและวิเคราะห์ แม้กระทั่งมีเหตุและผลก็ไม่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงการตัดสินใจของนักการเมืองคนนั้นๆ เพราะดูได้จากการอภิปรายไม่ไว้วางใจทั้ง 2 ครั้ง 2 ครา รัฐมนตรีที่ถูกอภิปรายนั้นฝ่ายค้านมีข้อมูลชัดเจนกลับอยู่มั่นคง ในขณะเดียวกันผู้ที่ถูกแทรกแซงกลับถูกปรับออกจากรัฐบาลหมด ครั้งนี้ก็เช่นกัน ก่อนจะมีการลงมติไม่ไว้วางใจนั้นรัฐมนตรีที่ถูกล่าวถึงมากที่สุดคือ นางพรทิวา นาคาศัย กับนายชวรัตน์ ชาญวีรกูล จากพรรคประชาธิปัตย์ ทั้งจากนายสุเทพ เทือกสุบรรณ และนายอภิสิทธิ์ว่าตอบไม่เคลียร์ แต่สุดท้ายกลับกลายเป็นว่า 2 คนนี้ได้คะแนนไว้วางใจมากกว่านายอภิสิทธิ์เสียอีก นี่แสดงให้เห็นว่าที่ลงคะแนนให้นั้นไม่สนใจฟังเหตุผลในการอภิปราย และไม่สนใจความรู้สึกของประชน แต่สนใจอะไรผมไม่ทราบ สิ่งเหล่านี้คือลางบอกเหตุถึงมาตรการการทำงานของฝ่ายนิติบัญญัติที่ส่งผลให้ประชาชนเกิดความไม่เชื่อมั่นในการทำงานของนักการเมืองในสภา จากเหตุผลดังกล่าวนี้เองจึงมีคนกลุ่มหนึ่งที่กำลังดีไซน์การเมืองใหม่ขึ้นมา อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เขาดีไซน์ออกมานั้นสุดท้ายก็ขึ้นอยู่กับการเลือกตั้ง มันก็หนีไม่ออกอีก ดังนั้น ประเทศไทยก็เลยคาราคาซัง จะเดินหน้าก็ไม่ได้ จะถอยหลังก็ไม่ได้ ก็เป็นแบบนี้แหละ แต่ถ้าปล่อยไปเรื่อยๆจนไปสู่การเลือกตั้งจะมีการซื้อเสียงกันบ้างก็ทำไป แล้วปล่อยให้กระบวนการทางการเมืองเดิน เมื่อมีปัญหาอีกครั้งก็ยุบสภาไปเลย จะยุบ 2 ครั้งก็ไม่ว่ากันอยู่แล้ว ซึ่งหลังจากนั้นจะเข้ารูปเข้ารอยเอง แต่ว่าบางคนไม่มีความอดทนในการที่จะผ่านกระบวนการกลั่นกรองในการเข้าสู่อำนาจการเมือง มันเลยวุ่นแบบนี้ มองพรรคประชาสันติอย่างไร การเข้ามาของพรรคประชาสันติช้าไป เพราะเกิดขึ้นในช่วงที่การเมืองเริ่มสุกงอมแล้ว หากเป็นไปตามที่นายกรัฐมนตรีบอกว่าจะมีการยุบสภาในช่วงต้นเดือนพฤษภาคม จนถึงวันนี้เหลือเวลาอีกเพียง 1 เดือน เวลาที่เหลืออยู่ไม่เพียงพอต่อการนำเสนอนโยบายต่อประชาชน เพราะในความเป็นจริงคนที่จะทำงานการเมืองต้องมีการรวมกลุ่มกัน คิดริเริ่มมีอุดมการณ์ร่วมกัน แล้วก็เริ่มแสดงความคิดเห็นต่อสาธารณะในเรื่องต่างๆ เพื่อให้ประชาชนเห็นบทบาทของพรรคว่ามีแนวคิดอย่างไร และจะมีการนำเสนอแนวคิดในการแก้ปัญหาเรื่องนั้นเรื่องนี้ของประเทศอย่างไร นั่นหมายถึงพรรคประชาสันติต้องตั้งขึ้นมาไม่ต่ำกว่า 4 เดือน หรือประมาณ 1 ปี ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่รัฐบาลกำลังระส่ำระสาย สังคมกำลังแตกแยก พรรคประชาสันติน่าจะเปิดตัวในช่วงเวลานั้นแล้วมาเสนอนวัตกรรมหรือแนวคิดในการแก้ไขปัญหา แม้จะไม่มีการแก้ไขแต่สังคมจะฟังว่าประชาสันติมีความคิดอย่างไร เรื่องทุจริตประชาสันติคิดอย่างไร แต่ที่ผ่านมาประชาสันติไม่ได้เสนอเลย ยังไม่เกิดเสียด้วยซ้ำ แม้จะมีการตั้งพรรคประชาสันติแล้วก็ตาม จนถึงวันนี้กลับไม่มีการนำเสนอนโยบายอะไร มีอุดมการณ์เช่นไร มีแนวคิดในเรื่องนี้อย่างไร ซึ่งส่วนตัวยังมองไม่ออกเลยว่าพรรคประชาสันติมีแนวคิดอย่างไร การเมืองในปัจจุบันเป็นอย่างไร ผมมองว่านักการเมืองยังไม่สำเหนียกว่าการเล่นเกมทางการเมือง การแสวงหาผลประโยชน์จากความเป็นนักการเมือง ซึ่งประชาชนเห็นกันมานานแล้ว ก็ยังคงมีอยู่ การต่อรองเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจเพื่อกำหนดกระทรวงที่เป็นผลประโยชน์เหมือนในอดีตที่ผ่านมาก็ยังไม่หยุด ยังคงดึงดันที่จะทำอีก ก็มีผลที่จะทำให้ระบบการเมืองเสื่อม นิติบัญญัติเสื่อม รวมไปถึงฝ่ายบริหารเสื่อม นี่คือภาพสะท้อนว่านักการเมืองไทยยังเหมือนเดิม คือมองไปที่ผลประโยชน์ ภาพที่ออกมานั้นจะตอบสังคมได้อย่างไรว่าการที่คุณอยู่เฉยๆก็มาแสดงตัวว่าเป็นพันธมิตรร่วมกัน แล้วพอรวมกันได้ มี ส.ส. อยู่ในมือ 60-70 คน ก็นั่งกอดอกรอต่อรองกระทรวงเหมือนเดิม ซึ่งการรวมตัวกันเป็นการบีบบังคับพรรคใหญ่ เพราะหากทางนี้ไม่รับคุณก็ไปอีกทาง ลอยไปลอยมาเหมือนเดิม อย่างนี้ไม่ใช่อุดมการณ์ทางการเมือง ทั้งที่คุณไม่เคยเสนอเลยว่าที่ร่วมกันเพราะอุดมการณ์เดียวกัน มีแนวทางในการแก้ปัญหาให้กับประเทศร่วมกันอย่างไร แต่เป็นการรวมกันเพื่อสร้างอำนาจต่อรองทางการเมืองในอนาคต ซึ่งผมเชื่อว่าประชาชนที่เห็นกระบวนการเช่นนี้ก็ไม่มีความสุขนะครับ เขาก็เริ่มเบื่อการเมือง เบื่อนักการเมือง คือเดินไปข้างหน้าก็จะเห็นเช่นนี้ ถอยไปข้างหลังก็ไม่ใช่ประชาธิปไตย แล้วจะเอาอย่างไร ผมอยากเห็นการทำหน้าที่ทางการเมืองที่เข้มแข็ง หากมีอะไรเกิดขึ้นที่นอกเหนือจากการเมืองก็ไปถามประชาชน ยุบสภาก็ได้ และอยากเห็นองค์กรอิสระทำหน้าที่อย่างตรงไปตรงมาและเข้มแข็ง อาทิ คณะกรรมการปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ที่ทำหน้าที่อย่างตรงไปตรงมา ใครผิดก็ว่ากันเลย อย่างกรณีของท่านรักเกียรติ สุขธนะ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณะสุข เป็นต้น ถ้าทำอย่างนั้นจริงเรียบร้อยหมดครับ นักการเมืองไม่กล้าทำผิดแน่นอน หรืออย่างคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) การจัดการการเลือกตั้งอย่างบริสุทธิ์ยุติธรรม หากไม่แน่ก็ให้ใบเหลืองไปเลย ให้เลือกตั้งกันสัก 5-6 ครั้งก็คงดี เพราะสมัยที่ผมเป็นวุฒิสมาชิกเลือกตั้ง 6 ครั้ง คนไม่มีปัญญาจ่ายหรอกครับ แต่ที่ผ่านมาองค์กรอิสระไม่ได้ทำหน้าที่อย่างเต็มที่ โดยเฉพาะ ป.ป.ช. มีเรื่องคั่งค้างเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยางเรื่องทุจริตคอร์รัปชัน ซึ่งบางคดีก็ใกล้จะหมดอายุความแล้ว บางเรื่องจะ 10 ปีอยู่แล้วแต่ไม่มีความคืบหน้าเลย ทำไมถึงเป็นเช่นนี้ ที่อยากจะบอกก็คือในเมื่อกลไกต่างๆทางสังคมไม่ทำงาน แต่จะแก้เรื่องของนักการเมืองอย่างเดียว อยากบอกว่านักการเมืองอย่าไปแก้เลย เขาก็ต่อสู้กันเพื่อให้ได้ชัยชนะ แต่องค์กรอิสระที่ตั้งขึ้นมาเป็นกรรมการต้องทำงานอย่างตรงไปตรงมา สามารถอธิบายถึงเหตุและผล ต้องไม่เอนเอียง หากทำได้นักการเมืองจะอยู่กับร่องกับรอยเอง เชื่อหรือไม่ว่าจะมีเลือกตั้ง ผมอยากให้ลองดูว่าคำถามเหล่านี้เกิดขึ้นมาได้อย่างไร เพราะคำตอบที่ออกมาก็คือคนในสังคมเริ่มที่จะหาความเชื่อถือจากบรรดานักการเมืองหรือองค์กรทางการเมืองไม่ได้ สิ่งเหล่านี้จึงเกิดขึ้นตามมากับคำถามนี้ว่าจะมีเลือกตั้งจริงหรือ เพราะขณะนี้ประชาชนเริ่มมองเห็นว่า 3 อำนาจอ่อนแอ ทั้งนิติบัญญัติ บริหาร ตุลาการ คนก็เลยคิดถึงอำนาจนอกระบบ ในขณะที่ความเป็นจริง 3 อำนาจที่กล่าวมาหากทำงานตรงไปตรงมาคำถามเหล่านี้จะไม่เกิดขึ้น นี่คือความจริง ซึ่งข่าวลือที่เกิดขึ้นมาอย่างกว้างขวางว่าจะไม่มีการเลือกตั้งเพราะผู้มีอำนาจไม่อยากให้มี เลือกไปเดี๋ยวพรรคโน้นชนะ พรรคนี้แพ้ เป็นอย่างนี้ ซึ่งวิธีการที่ดีที่สุดคือปล่อยให้มีการเลือกตั้ง แล้วกลไกการตรวจสอบทำงานอย่างเข้มแข็ง ตรงไปตรงมา มีอะไรที่จะมาทำให้ระบอบประชาธิปไตยเสียหายก็ยุบสภาเลย อย่าให้อำนาจอื่นมาทำให้ระบบการเมืองไทยพังไม่เป็นท่าอย่างที่เป็นอยู่ มอง 2 ขั้ว ปชป.-พท. อย่างไร ถือเป็นเรื่องที่ดีสำหรับการเมืองในบ้านเรา เพราะอย่างที่เป็นอยู่ผมมองว่าเข้าล็อก เหมือนในต่างประเทศที่เป็นต้นแบบประชาธิปไตยแล้ว ไม่ว่าจะเป็นอเมริกา ระหว่างเดโมแครตกับรีพับลิกัน หรือที่อังกฤษมีพรรคเลเบอร์กับคอนเซอร์เวทีฟ เป็นเรื่องธรรมดาของการเมืองที่มีทิศทางที่น่าจะเป็น สำหรับประเทศไทยคือใครมีแนวคิดเป็นคอนเซอร์เวทีฟก็เลือกประชาธิปัตย์ ใครที่มีแนวคิดเดียวกับบรรดาลิเบอรัลก็เลือกพรรคเพื่อไทย นี่คือแนวทางของการเมืองไทยในอนาคต ส่วนพรรคอื่นก็ไม่ว่ากัน เพราะหากพรรคไหนไม่มีจุดยืนหรือไม่ชัดเจนเดี๋ยวก็หายไปเอง การเมืองในบ้านเราจะถูกจัดระบบใหม่ให้เข้าที่เข้าทางเองโดยประชาชน แต่ต้องใช้เวลา อย่าใจร้อน อย่าทำปฏิวัติ ก็เหมือนครอบครัวแหละครับ เวลาอยากให้ลูกได้ดี อยากให้เขาเรียนแพทย์ เรียนวิศวะ แต่เด็กชอบศิลปะ ชอบวาดเขียน ชอบดนตรี แล้วเราไม่ชอบ เราก็เครียดว่าลูกไม่ตามใจเรา แต่ในทางประเทศชาติแล้วมีหลายคนที่มีความปรารถนาดีกับบ้านเมือง อยากให้บ้านเมืองเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ อย่าไปคบกับนักการเมือง จริงๆแล้วไม่ใช่ ปล่อยให้เขาได้เรียนรู้ เพราะคนในสังคม 64 ล้านคนก็เป็นเจ้าของประเทศเหมือนกัน ให้เขาเลือกเลือกผิดเลือกถูก เลือกไปเรื่อยๆ เมื่อรู้สึกเจ็บปวดกับนักการเมืองก็จะได้เรียนรู้ ซึ่งในวันนี้มีผู้หลักผู้ใหญ่ของบ้านเมืองอยากให้ลูกได้ดี ผมเชื่อว่าไม่มีใครคิดทำร้ายใครหรอกครับ หลังการเลือกตั้งจะเป็นเช่นไร เรื่องนี้ขึ้นอยู่กับองค์กรที่เข้ามาจัดการการเลือกตั้งว่าจะทำอย่างไร ถ้าหากก่อนการเลือกตั้งมีการจัดการให้องค์กรอิสระใช้ระบบราชการมาทำให้การเลือกตั้งบิดเบือน อันนั้นจะเป็นปัญหา แต่ถ้าการเลือกตั้งปล่อยเป็นธรรมชาติ ปล่อยไปตามกติกา สุดท้ายประชาชนก็ต้องหาผลประโยชน์เฉพาะหน้าของเขา ซึ่งคนข้างล่างปล่อยเขาเถอะว่าจะเลือกอย่างไร แต่ที่น่าสนใจคือปาร์ตี้ลิสต์นี่แหละครับคือสิ่งที่จะสะท้อนความคิดของประเทศไทย ซึ่งกลุ่มที่อยู่ตรงนี้คือกลุ่มผลประโยชน์ หากมีการสั่งให้เลือกใคร พรรคไหนก็ตามที่เห็นว่าเป็นประโยชน์กับกลุ่มทุนได้ดี ก็เชื่อได้ว่าพรรคการเมืองนั้นจะได้คะแนนเสียงเป็นจำนวนมากแน่นอน หากไม่มีอุบัติเหตุการเมืองประเทศจะเป็นอย่างไร ผมว่าคงไปไกล เพราะประเทศไทยเป็นรากฐานของสังคมในเอเชียมาโดยตลอด แต่ที่เราไม่ไปไหนเพราะมัวแต่ทะเลาะกันเอง อยากให้ลองดูประเทศญี่ปุ่นที่เกิดอุปสรรคปัญหามากมาย แต่เขาก็แก้ได้ ส่วนเรานี่ไม่มีเลย เราสร้างกันขึ้นมาเอง เราทะเลาะกันเอง เราสร้างสึนามิทางสังคมกันขึ้นมาเอง สึนามิบ้านเราคือสึนามิทางสังคม สร้างกระแสกันขึ้นมาแล้วก็ซัดกันเอง บ้านเราจึงเป็นประเทศที่น่าสงสาร ที่มา : หนังสือพิมพ์โลกวันนี้รายวัน ปีที่ 12 ฉบับที่ 3026 ประจำวันจันทร์ที่ 4 เมษายน พ.ศ.2554 คอลัมน์ สัมภาษณ์ โดย วัฒนา อ่อนกำปัง | ||
“ปฏิวัติ”กับ“เลือกตั้ง”อะไรจะเกิดก่อน http://www.dailyworldtoday.com/columblank.php?colum_id=51146 เคยบอกไปหลายครั้งแล้วว่าการเมืองไทยไม่มีอะไรเปลี่ยน ทุกวันนี้ยังวนเวียนกับน้ำเน่าเช่นเดิม เพราะแทบทุกครั้งที่การเมืองเกิดภาวะ “ตึงเครียด” บวกกับนายกรัฐมนตรีไม่ทำอะไรที่ทำให้คนในวงจำกัดเกิดความสบายใจ และวนเวียนกับความไม่พอใจของ “อำนาจพิเศษ” ข่าวคราว “ปฏิวัติ-รัฐประหาร-ยึดอำนาจ” ก็โผล่มาอาละวาดอยู่ร่ำไป แต่หากเราดูความเป็นจริงแล้ว ประเทศไทยมีอะไรที่ไม่แน่นอนเกิดขึ้นได้เสมอ เพราะมีปัจจัยหลายอย่างที่คอยเชื้อเชิญให้ “อำนาจพิเศษ” แทรกเข้ามาครอบครองการบริหารอยู่ตลอดเวลา ดูอย่างสมัยรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร บริหารงานอยู่ดีๆ ไม่มีปัจจัยอะไรที่จะนำไปสู่การปฏิวัติ ก็ยังถูกปฏิวัติด้วยข้ออ้างที่เป็นสูตรคลาสสิกตลอดกาล ทั้งทุจริตคอร์รัปชัน เอื้อประโยชน์ให้พวกพ้อง และหมิ่นเบื้องสูง ในวันนี้คนที่นางสดศรี สัตยธรรม กกต. บอกว่าทำตัวเหมือนจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ อย่าง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. ที่ออกตัวแรง และเล่นบทโหดพร้อมกับตั้งทีมงานพิเศษขึ้นมาอย่างลับๆ มีเครื่องมือ กำลังพล และงบลับจำนวนหนึ่ง แต่เงื่อนไขยอดฮิตก็ยังไม่แรงพอ แม้ข้อกล่าวหาต่างๆจะชัดแจ้งแดงแจ๋ขนาดเอามาอภิปรายไม่ไว้วางใจแล้วก็ตาม แต่ต้นทุนของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ยังแข็งแรงอยู่ ด้วยความเป็นนักการเมืองมือสะอาด ใสซื่อ คอยคุ้มครองความเละเทะของบริวารทั้งหมดอยู่ จึงยังไม่ถึงทางตันที่ต้องอาศัยปลายกระบอกปืนเป็นแสงสว่างของทางออก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการประกาศยุบสภาเพื่อให้มีการเลือกตั้งใหม่นั้นเท่ากับเป็นการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองใหม่อีกครั้งตามวิถีทางของระบอบประชาธิปไตย แต่ก็อย่าได้ประมาทหรือนิ่งนอนใจเสียทีเดียว เพราะมีข่าวแว่วๆว่าเหล่าขุนศึกสีเขียวเปิดวอร์รูมวิเคราะห์กันว่า “กุนซือ” ของภาคประชาชนบางคนกำลังเดินเกม “ยั่วยุ” หรือ “ล่อเสือออกจากถ้ำ” เพราะรู้ดีว่านายใหญ่แห่งกองทัพบก “ของขึ้น” ง่ายเหลือเกิน ถ้าทนกันไม่ไหวจริงๆอาจมีการงัดแผนปฏิวัติสูตรพิสดารที่เรียกว่า “ปฏิวัติเงียบ” โดยผ่าน “กฎอัยการศึก” นำทหารออกมาควบคุมสถานการณ์เบ็ดเสร็จ เมื่อถึงจุดนั้นการเมืองไทยจะเดินเข้าสู่ “จุดเปราะบาง” เป็นอย่างยิ่ง บวกกับท่าทีของนางสดศรีที่เปิดเผยถึงสัญญาณที่ได้ยินมาว่าอาจมีการปฏิวัติรัฐประหารเพื่อไม่ให้มีการเลือกตั้ง รวมทั้งอ้างว่าทหารมีตัวแล้วว่าจะให้ใครเป็นรัฐบาล ที่สำคัญก็คือ ถ้าทหารปฏิวัติเสื้อแดงจะหือไหม ซึ่งเป็นที่แน่นอนว่าอาจจะมีการ “รบ” ถามว่าใครจะเป็นเหยื่อ ก็ไม่พ้นประชาชนที่ต้องตาย ซึ่งเป็นไปไม่ได้ ถ้าปฏิวัติเงียบก็ต้องใช้อาวุธใช้รถถังกัน เชื่อว่าการปฏิวัติครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ระบุถึงทหารกลุ่มหนึ่งที่คิดจะทำปฏิวัติเงียบเพื่อไม่ให้มีการเลือกตั้งและเตรียมการวางตัวบุคคลที่จะเข้ามารับตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงต่างๆว่า ไม่เชื่อ เพราะเชื่อมั่นว่ากองทัพวันนี้โดย พล.อ.ประยุทธ์ไม่เคยคิดที่จะปฏิวัติ เพราะต้องการให้บ้านเมืองเดินหน้าในระบอบประชาธิปไตย ก็ต้องดูกันต่อไปว่า “เลือกตั้งกับปฏิวัติ” อะไรจะเกิดก่อนกัน ที่มา : หนังสือพิมพ์โลกวันนี้รายวัน ปีที่ 12 ฉบับที่ 3027 ประจำวันอังคารที่ 5 เมษายน พ.ศ.2554 คอลัมน์ เก็บมาเขียน โดย ทีมข่าวการเมือง |
ไร้ข้อสรุปคนยิงช่างภาพอิตาลี http://www.dailyworldtoday.com/columblank.php?colum_id=51256 ที่ห้องประชุมสำนักงานคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) มีการประชุมแสดงความคิดเห็นจากผู้ที่เกี่ยวข้องเพื่อหาข้อสรุปและตรวจสอบหาความจริงจากเหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นเมื่อเดือนเมษายน-พฤษภาคม 2553 โดยนำกรณีของนายฟาบิโอ โปเลนกี (Mr.Fabio Polenghi) ที่เสียชีวิตเมื่อวันที่ 19 พ.ค. 2553 บริเวณเกาะกลางถนนหน้าศูนย์วิจัยโรคเอดส์ ถนนราชดำริ ขึ้นมาพิจารณา มีตัวแทนจากดีเอสไอ กองทัพภาคที่ 1 เข้าให้ข้อมูล และมีตัวแทนจากสถานทูตอิตาลีร่วมรับฟังการชี้แจงข้อเท็จจริง สรุปได้ดังนี้ พ.ต.ท.วีรวัชร์ เดชบุญภา พนักงานสอบสวนกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ชี้แจงว่า มีการสอบสวนทหาร ผู้สื่อข่าวทั้งไทยและต่างประเทศ รวมถึงคนขับมอเตอร์ไซค์ที่นำนายฟาบิโอส่งโรงพยาบาลแล้ว และชี้แจงว่าช่วงที่นายฟาบิโอถูกยิงเป็นเวลา 10.59 น. ของวันที่ 19 พ.ค. 2553 สถานที่ที่ถูกยิงอยู่บริเวณฝั่งตรงข้ามของอาคารบางกอกเคเบิ้ล บริเวณเกาะกลางถนน โดยนายฟาบิโอกำลังมุ่งหน้าไปทางราชประสงค์ หลังจากถูกยิงมีหลายคนช่วยลากร่างนายฟาบิโอเข้าบาทวิถี ร่างตกพื้นหลายครั้ง จากนั้นมีคนขับจักรยานยนต์มารับนายฟาบิโอเพื่อนำส่งโรงพยาบาลตำรวจต่อไป แต่เสียชีวิตก่อนถึงโรงพยาบาล จากการสอบสวนจากประจักษ์พยานไม่สามารถบอกได้ว่ากระสุนมาจากทางใด และกระสุนไม่ได้ค้างอยู่ในศพ ผลการชันสูตรบอกเพียงว่าถูกกระสุนปืนความเร็วสูง กระสุนเข้าด้านหลัง ห่างจากบ่า 27 เซนติเมตร ทะลุหัวใจออกไปทางหน้าอกด้านซ้าย แนววิถีกระสุนทางราบ ลักษณะเฉียงเล็กน้อย การยิงน่าจะมาจากฝั่งแยกสารสินจนถึงศาลาแดง ส่วนกล้องของนายฟาบิโอที่หายไปนั้น จากคลิปวิดีโอที่นำมาเปิดแสดงในที่ประชุม พบว่าชายคนหนึ่งที่เข้ามาลากตัวนายฟาบิโอจากบริเวณเกาะกลางถนนไปไว้ในบาทวิถีเป็นคนเอาไป จนถึงขณะนี้ยังไม่สามารถติดตามผู้ที่เอากล้องไปได้ แต่ได้ลงรูปหน้าผู้ต้องสงสัยลงในเว็บไซต์ของดีเอสไอเมื่อประมาณ 2 เดือนที่ผ่านมา พร้อมตั้งรางวัล อีกทั้งส่งไปให้สถานีโทรทัศน์ทีวีไทยช่วยออกประกาศอีก 1 ครั้ง แต่ยังไม่ได้เบาะแสแต่อย่างใด อย่างไรก็ตาม ดีเอสไอยังไม่ได้ส่งรูปหน้าผู้ต้องสงสัยดังกล่าวไปให้ทะเบียนราษฎรเพื่อเทียบเคียงใบหน้า นอกจากนี้สมาคมนักข่าวและนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทยได้ยืนยันว่าจากพฤติกรรมของผู้ต้องสงสัยดังกล่าวไม่น่าเชื่อว่าเป็นนักข่าวหรือช่างภาพจริง นายอุบาลโด ชาวาลญอลี (Mr.Ubaldo Ciavaglioli) หัวหน้าฝ่ายวีซ่า ตัวแทนจากสถานทูตอิตาลี ได้สอบถามบุคคลที่มาลากร่างนายฟาบิโอว่าเป็นใคร พนักงานสอบสวนดีเอสไอชี้แจงว่า บริเวณสถานที่เกิดเหตุมีทั้งนักข่าว ผู้ชุมนุม และคนที่ขี่จักรยานยนต์ ซึ่งเป็นคนทำงานในบริเวณศูนย์วิจัยโรคเอดส์ เมื่อเห็นผู้บาดเจ็บจึงขี่จักรยานยนต์มารับเพื่อนำส่งโรงพยาบาล พ.อ.ไตรเทพ ศรีพันธุ์วงศ์ ตัวแทนจากกองพลทหารม้าที่ 2 รักษาพระองค์ ชี้แจงว่า หลังจากศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) สั่งกระชับพื้นที่ในเช้าวันที่ 19 พ.ค. 2553 ตนได้เริ่มปฏิบัติหน้าที่เวลา 03.00 น. โดยแบ่งกำลังออกเป็น 8 ส่วนตามจุดต่างๆคือ แยกศาลาแดง, สามย่าน, สวนลุมพินี, ด้านตะวันออกของสวนลุมพินี, สีลม, สะพานไทย-เบลเยียม และในเวลา 06.00 น. ได้นำรถสายพานลำเลียงจากสีลมมุ่งหน้าไปยังราชประสงค์ ซึ่งในเวลาที่ช่างภาพชาวอิตาลีถูกยิงเสียชีวิตนั้น กำลังพลน่าจะกำลังเคลื่อนไปที่โรงพยาบาลจุฬาฯ และไปถึงบริเวณแยกสารสินเมื่อเวลา 12.30 น. จึงหยุดเคลื่อนกำลังพล เนื่องจากเหตุการณ์ข้างหน้าค่อนข้างอันตราย มีเต็นท์บังอยู่จำนวนมาก ต่อมาเวลา 13.00 น. มีการยิงปืนเล็กยาวเข้าใส่ทหาร และยิง M-79 เข้ามาอีก 3 ลูก ลงบริเวณบ่อน้ำในสวนลุมพินี บริเวณรั้วและถนน จนเป็นเหตุให้ประชาชนได้รับบาดเจ็บ ส่วนทหารเสียชีวิต 1 นาย และบาดเจ็บ 6 นาย หลังจากนั้นได้หยุดประจำจุดดังกล่าวตลอดทั้งวัน จนเวลาล่วงมาถึงเช้าวันที่ 20 พฤษภาคม 2553 พ.อ.ไตรเทพชี้แจงต่อว่า ปืนที่ทหารใช้ประจำกายในวันนั้นส่วนมากเป็นปืนลูกซองบรรจุกระสุนยางและกระสุนจริง ส่วนปืนเล็กยาวใช้กระสุนปืน blank เพื่อใช้ยิงขู่เท่านั้น ส่วนลูกซองเริ่มใช้ในเวลา 12.30 น. หลังจากทหารเข้าไปตรวจบริเวณภายในสวนลุมพินีเพื่อเคลียร์พื้นที่ได้พบระเบิดปิงปอง ระเบิดขวด ระเบิดแสวงเครื่องจำนวนมาก และพบปลอกกระสุนปืน M-79 จำนวน 3 นัด ตรงจุดถังน้ำฝั่งตรงกันข้ามสถาบัน AUA ซึ่งน่าจะเป็นจุดที่ยิง M-79 เข้าใส่ทหาร พ.ท.ณัฎฐภูมิ หลาวทอง หน.ฝบก.พล.ม.2 กอ. ชี้แจงเพิ่มเติมว่า วันที่ 19 พ.ค. 2553 สถานการณ์อยู่ในช่วงอันตราย เนื่องจากกำลังพลที่มีอยู่ไม่เพียงพอจึงขอกำลังเสริม ทำให้มีหน่วยปฏิบัติการพิเศษขึ้นไปรักษาการอยู่บนตึกบางกอกเคเบิ้ล ซึ่งได้เข้ามาประจำการตอนบ่าย ทางอนุกรรมการ คอป. สอบถามว่า เป้าในการยิงวันนั้นเป็นบุคคลที่ใส่เสื้อดำใช่หรือไม่ เพราะนายฟาบิโอใส่เสื้อดำในวันนั้นด้วย พ.อ.สุทัศน์ นาคพันธ์ ฝอ.2 ทภ.1 ชี้แจงว่า ศอฉ. ไม่มีคำสั่งให้ยิงคนที่ใส่ชุดดำ เพียงแต่บอกว่าการใช้อาวุธปืนนั้นให้ใช้เพื่อป้องกันตัวเอง กรณีที่ตนเองเสี่ยงต่อการสูญเสียชีวิต และใช้สำหรับป้องกันประชาชนผู้บริสุทธิ์ นายนิก นอสติทซ์ นักข่าวอิสระชาวเยอรมัน ซึ่งอยู่ในเหตุการณ์กับทหารที่เคลื่อนกำลังพลจากสีลมไปราชประสงค์ ยืนยันว่า ได้เดินทางไปร่วมกับรถสายพานลำเลียง ในช่วงที่เคลื่อนกำลังพลไปนั้นมีการยิงปะทะกันทั้ง 2 ฝ่าย แม้แต่ทหารเองก็ยิงตอบโต้ออกไปเช่นกัน แต่จำไม่ได้ว่าเวลาประมาณเท่าไร และหลังจากนั้นประมาณ 20 นาทีได้รับโทรศัพท์ว่ามีช่างภาพอิตาลีถูกยิงเสียชีวิต นายอุบาลโด ชาวาลญอลี สอบถามถึงผลสรุปของคดีการเสียชีวิตของนายฟาบิโอว่าจะดำเนินการเสร็จเมื่อไร พล.ท.พีระพงษ์ มานะกิจ อนุกรรมการ คอป. ชี้แจงว่า ยังไม่สามารถยืนยันได้ เนื่องจากสถานการณ์ผ่านมานานแล้ว ดังนั้น การหาข้อมูลของอนุกรรมการจึงเป็นเพียงวิธีการคล้ายกับการทำวิจัย แล้วดึงไปสรุปว่าเกิดอะไรขึ้น และจะทำกรอบเสนอแนะขึ้นมาเพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์รุนแรงขึ้นอีก รวมทั้งเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วย พ.ท.ไตรเทพให้ความเห็นในตอนท้ายว่า จากการมาร่วมชี้แจงกับอนุกรรมการ และข่าวที่ออกไปนั้นทหารมักกลายเป็นจำเลย จนไม่อยากอ่านข่าว แต่ขอยืนยันว่าทหารไม่อยากทำร้ายประชาชน ทหารคือลูกหลานประชาชน ซึ่งส่วนตัวยังไม่เข้าใจว่าการซักถามและข่าวที่ออกไปจะสามารถสร้างความปรองดองได้อย่างไร ที่มา : หนังสือพิมพ์โลกวันนี้รายวัน ปีที่ 12 ฉบับที่ 3029 ประจำวันพฤหัสที่ 7 เมษายน พ.ศ.2554 คอลัมน์ ข่าวสารไร้พรมแดน โดย ทีมข่าวการเมือง |
พ.ร.ก.ฉุกเฉิน’เครื่องมือสังหาร http://www.dailyworldtoday.com/columblank.php?colum_id=51314 เมื่อวันที่ 7 เม.ย. 2554 ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์มีการแถลงข่าวครบรอบ 1 ปี การประกาศใช้ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน : ภาพรวมการละเมิดสิทธิมนุษยชนจากการสลายการชุมนุมกรณีเม.ย.-พ.ค. 2553 โดยเป็นการนำเสนอข้อมูลจาก “ศูนย์ประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากการสลายการชุมนุมกรณี เม.ย.-พ.ค. 2553 (ศปช.)” มีรายละเอียดสรุปดังนี้ ช่วยเหลือและแก้ต่าง ศปช. แถลงการดำเนินงานของ ศปช. ที่ผ่านมาว่า ได้มีการเก็บรวบรวมข้อมูลผู้เสียหายจากการสลายการชุมนุม ประสานงานกับญาติผู้เสียชีวิตเพื่อสนับสนุนให้รวมตัวกันเพื่อให้เกิดความยุติธรรม และยังจัดการอภิปรายเพื่อแสวงหาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการสลายการชุมนุม ซึ่งมีบทความตีพิมพ์แล้วหลายบทความ มีการแถลงข่าวให้ความเห็นต่อ คอป. (คณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ) และดีเอสไอ (กรมสอบสวนคดีพิเศษ) ต่อสถานการณ์ของผู้ที่ถูกจับกุม ที่คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ให้ความช่วยเหลือโดยทนายอาสาดำเนินการช่วยประกันตัว แก้ต่างข้อกล่าวหาให้ นอกจากนี้ยังรณรงค์สิทธิมนุษยชนในเวทีต่างประเทศอีกด้วย พิสูจน์ศพที่ 92-93 ในอนาคต ศปช. จะรวบรวมข้อเท็จจริงจัดทำรายงานเหตุการณ์ สนับสนุนการขับเคลื่อนเพื่อให้เกิดกระบวนการรับผิด และรณรงค์ระหว่างประเทศ โดยมีแผนจะจัดสัมมนาในเดือน มิ.ย. ในประเด็นการสังหารนอกกฎหมาย การไต่สวนการตาย เพราะปัญหาเรื่องการชันสูตรศพเป็นปัจจัยสำคัญของการตายทั้ง 93 ศพ ซึ่งจำนวนผู้เสียชีวิตที่รวบรวมมาจะแตกต่างจากการรายงานของที่อื่น โดยเฉพาะรายที่ 92 และ 93 ซึ่งรายที่ 92 เสียชีวิตที่ขอนแก่น ส่วนรายที่ 93 เสียชีวิตในภายหลัง เนื่องจากได้รับผลกระทบจากแก๊สน้ำตา ประกอบกับผู้เสียชีวิตมีโรคประจำตัว ละเมิดสิทธิมนุษยชน น.ส.ขวัญระวี วังอุดม ศูนย์สิทธิมนุษยชนศึกษาและการพัฒนาสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล ได้รายงานภาพรวม โดยให้ความเห็นว่า เหตุผลหลักในสถานการณ์นี้มาจากการประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉินไม่เป็นไปตามหลักสากลในเรื่องความจำเป็น ซึ่งระบุว่ารัฐบาลจะประกาศได้เฉพาะเมื่อกระทบถึงความอยู่รอดของประเทศ แต่เงื่อนไขในการประกาศของรัฐบาลกลับเป็นเพราะแกนนำแดงฮาร์ดคอร์บุกเข้าไปในทำเนียบรัฐบาลก่อน ทั้งนี้ การประกาศ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯยังใช้อำนาจปิดสื่อเสื้อแดงเป็นจำนวนมาก มีสื่อเสื้อแดงถูกปิดกว่า 6,000 เว็บไซต์ และรัฐบาลยังขู่จะรบกวนพีเพิล แชนแนล ที่เป็นสื่อเดียวที่ถ่ายทอดการชุมนุม เป็นเหตุให้คนเสื้อแดงไปที่รัฐสภาเมื่อวันที่ 7 เม.ย. จนเกิดความโกลาหล หลังจากเหตุการณ์สงบรัฐบาลก็ประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เมื่อพิจารณาแล้วไม่มีเหตุจำเป็น และ พ.ร.บ. ที่มีอยู่ก็ใช้ควบคุมได้ เมื่อประกาศใช้ในคืนนั้นแล้วรัฐบาลก็ปิดสื่อพีเพิล แชนแนล ทันที นอกจากนี้การประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉินยังเป็นเงื่อนไขในการจัด ศอฉ. (ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน) เข้ามาร่วมทำหน้าที่ในทางการปกครอง ยิงไม่เลือกเป้า ประเด็นสำคัญคือการใช้กำลังในการสลายการชุมนุมเมื่อวันที่ 10 เม.ย. ซึ่งรัฐบาลกล่าวว่าใช้กระสุนจริงในการสลายเมื่อเห็นไอ้โม่ง แต่ข้อมูลพบว่ารัฐบาลใช้กระสุนจริงตั้งแต่ช่วงกลางวัน มีผู้เสียชีวิต 1 รายตั้งแต่ช่วงกลางวัน แต่รัฐบาลไม่เคยให้คำตอบเรื่องนี้ว่ามีการใช้กระสุนจริงในตอนกลางวัน ข้อมูลในตารางนี้แบ่งเป็นพลเรือน 77 ราย จริงๆแล้วพบว่ามีผู้เสียชีวิตนอก 92 ศพอีก 1 ราย เป็นการเสียชีวิตเพราะแก๊สน้ำตา เนื่องจากมีโรคประจำตัวอยู่แล้ว ซึ่งจริงๆแล้วควรรวมอยู่ในนี้ด้วย สรุปว่าปฏิบัติการทางทหารนั้นรัฐบาลอ้างว่าเป็นไปตามกฎใช้กำลังและสอดคล้องกับหลักสากล แต่ในทางปฏิบัติกลับตรงกันข้าม รัฐบาลยิงโดยไม่เลือกเป้า หมายความว่าไม่ได้เป็นไปเพื่อป้องกันตัวเอง และใช้กำลังไม่เหมาะสมกับสถานการณ์ ทหารยิงโดยใช้อารมณ์ จากการสัมภาษณ์นักข่าวของเนชั่นคนหนึ่งพบว่ารัฐบาลยังตั้งเป้าเล็งยิงมาที่นักข่าวด้วย นอกจากนั้นการใช้กำลังของเจ้าหน้าที่ยังเป็นการสั่งการในตอนกลางคืน โดยไม่คำนึงถึงทัศนวิสัย ขาดการควบคุมการใช้อาวุธอย่างเข้มงวด นอกจากนี้ผู้ถูกยิงยังยืนยันว่าทหารโกรธและใช้อารมณ์ จากการสัมภาษณ์หน่วยกูชีพที่โดนทหารยิงพบว่าทหารรู้ว่าตนกำลังทำงานอยู่ แต่ตนเองก็ยังโดนยิง ในส่วนการแสวงหาข้อเท็จจริงก็ทำโดยลำบาก เพราะรัฐบาลยังอยู่ในอำนาจ และกฎหมาย พ.ร.ก.แก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินข้อ 17 เป็นอุปสรรคในการนำเจ้าหน้าที่ที่กระทำผิดมารับผิดชอบ โดยเฉพาะการใช้ถ้อยคำที่คลุมเครือ เหวี่ยงแห-ซ้อม-ยัดข้อหา หน่วยงานอิสระที่ทำหน้าที่แสวงหาข้อเท็จจริงไม่สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ อย่าง คอป. มีอุปสรรคในการทำงานคือขาดความชอบธรรม ซึ่งเป็นคณะที่แต่งตั้งโดยรัฐบาลคู่กรณี จึงไม่ได้รับความร่วมมืออย่างเต็มที่จากผู้ที่เกี่ยวข้อง แนวทางการทำงานยังเป็นไปเพื่อแก้ไขรากเหง้าความขัดแย้ง ไม่ได้เอาตัวผู้ทำผิดมาลงโทษ คอป. มีหน้าที่ต้องแถลงรายงาน แต่ขณะนี้รายงานยังไม่ออกมาทั้งที่พ้นกำหนดตั้งแต่เดือน ม.ค. ที่ผ่านมา ด้านการจับกุมผู้สงสัยว่าเกี่ยวข้องกับการชุมนุมพบว่า มีการจับกุมโดยเหวี่ยงแห ซ้อม ยัดข้อหา เกลี้ยกล่อมให้รับสารภาพ โดยที่ผู้ต้องหาไม่ทราบกฎหมาย ไม่มีทนาย และยังมีการจำกัดสิทธิในการปล่อยตัวชั่วคราว โดยให้เหตุผลว่าจะกระทำผิดซ้ำหรือหลบหนี บางครั้งภาพนิ่งที่ใช้ประกอบการจับกุมก็ไม่ชัดเจน จนบางทีเจ้าตัวก็ไม่รู้ตัวเองว่าโดนหมาย เนื่องจากภาพไม่ชัด ต่างชาติถูกจับโดยไม่รู้ข้อหา การควบคุมตัวผู้ต้องหายังมีการนำผู้ต้องหาไปไว้ที่ที่ไม่เหมาะสม ซึ่งมี 16 รายถูกจับไว้บนรถตำรวจถึง 2 วัน ปัสสาวะก็ต้องทำบนรถ จะถ่ายหนักก็ต้องให้ตำรวจพาไป ผู้ต้องหาหลายรายถูกทำร้ายในช่วงจับกุม จึงตั้งข้อสังเกตว่าสาเหตุที่ขังไว้หลายวันเพราะต้องการปิดรอยแผล หรือไม่มีมาตรการเพียงพอที่รองรับผู้ถูกจับจำนวนมาก จากข้อมูลของ ศปช. ณ วันที่ 1 เม.ย. พบว่าขณะนี้มีผู้ถูกขังที่ยังไม่ได้รับการประกันตัวทั่วประเทศ 133 ราย เป็นชาย 121 ราย หญิง 12 ราย และชาวต่างชาติ 3 ราย คือชาวพม่า 2 ราย และลาว 1ราย โดยชาวต่างชาติที่ถูกเจ้าหน้าที่จับไม่เข้าใจภาษาก็ต้องเซ็นยอมรับข้อกล่าวหาโดยไม่ทราบ และไม่มีสิทธิในการยื่นอุทธรณ์ เนื่องจากเลยเวลาไปแล้ว ถูกทำให้สูญหาย ข้อหาที่ถูกจับกุมส่วนใหญ่คือการชุมนุมเกิน 5 คนขึ้นไป ร่วมวางเพลิงเผาสถานที่ราชการ และข้อกล่าวหาก่อการร้ายมี 5 ราย ทั้งนี้ การไม่เปิดเผยข้อมูลการออกหมายจับและควบคุมผู้ต้องสงสัยต่อสาธารณะอย่างเป็นระบบเป็นอุปสรรคในการรับทราบและเข้าถึงข้อมูลผู้สูญหาย โดย ศปช. ได้รับข้อมูลคนหายอันเกี่ยวเนื่องจากการชุมนุมของคนเสื้อแดงที่ผ่านมาจากมูลนิธิกระจกเงา 20 ราย ขณะนี้ยืนยันได้ว่ามี 7 รายที่ไม่ทราบชะตากรรม นอกจากนี้จากข้อมูลในพื้นที่ของ ศปช. ยังมีข้อมูลที่น่าเชื่อถือได้ว่ามีการบังคับให้สูญหายโดยเจ้าหน้าที่รัฐ ตั้งข้อหาไว้ล่วงหน้า ขณะที่นายพฤกษ์ เถาถวิล คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี กล่าวว่า เมื่อวันที่ 31 มี.ค. ได้เข้าไปที่เรือนจำอุบลราชธานีเพื่อขอคุยกับผู้ต้องขัง 21 ราย ข้อสังเกตคือการเข้าใจสถานการณ์ ซึ่งปรกติเมื่อถูกจับจะพบหน้าทนายได้ แต่เมื่อเป็นไปตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินทุกอย่างถูกรวบรัดในเวลาอันรวดเร็ว คือนอนโรงพัก 2 คืน โดยการจับกุมไม่มีหมายจับ และในขั้นตอนการเซ็นรับทราบข้อกล่าวหาพบว่ามีหลายคนถูกข่มขู่ด้วยถ้อยคำไม่สุภาพ หลังจากเซ็นรับทราบแล้วอัยการก็สั่งฟ้อง วันรุ่งขึ้นก็ไปศาลและถูกนำตัวไปที่เรือนจำ ภายใต้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินพบว่าการตั้งข้อหาจะตั้งแบบสูงสุด หลายข้อหามีความผิดเทียบการก่อการร้าย อย่างข้อหาการวางเพลิงที่ต้องโทษประหารชีวิต จำนวนผู้ถูกจับ 21 รายก็ได้รับแบบนี้ทุกราย บางรายถูกเพิ่มข้อหาบุกรุกทำลายทรัพย์สินราชการ ขัดขืนทำร้ายเจ้าหน้าที่ เรียกได้ว่าเป็นการตั้งข้อหารอ และมีการออกติดตามจับกุม ซึ่งในขั้นการจับกุมเป็นไปโดยใช้ภาพถ่ายจากภาพนิ่ง ซึ่งไม่รู้ว่าเป็นภาพในวาระโอกาสใด ในการจับกุมทั้งหมดนั้นมีข้อมูลชัดเจนว่า 4 รายไม่ได้อยู่ในสถานการณ์แต่ถูกข้อหาวางเพลิง ยืดอายุการอยู่ในห้องขัง ผู้ต้องหารายหนึ่งชื่อนายธนูศิลป์ ธนูทอง อาชีพเกษตรกร พบว่ามีบันทึกการไต่สวนที่มีพยานฝ่ายโจทก์ให้การที่ตีความจากวาจาได้ว่าเป็นการจับที่ผิด ซึ่งเจ้าตัวบอกว่ามีพยานที่สามารถยืนยันได้ว่าตนอยู่ที่ไร่มันสำปะหลังขณะเกิดเหตุ ด้วยเหตุที่มีการตั้งข้อหาไว้ก่อน การจับก็เป็นลักษณะการเหวี่ยงแหเพื่อให้ได้ตัวเลขที่ตอบสนองนโยบายบางอย่าง นอกจาก 4 รายดังกล่าวข้างต้นแล้ว มีผู้ถูกจับที่เป็นไทยมุงและติดอยู่ในรูปถ่ายก็ถูกจับด้วย คนที่ไปห้ามคนเผาแต่ติดรูปก็ถูกจับในลักษณะนี้เช่นกัน ต้องสังคายนา พ.ร.ก.ฉุกเฉิน รศ.ดร.กฤตยา อาชวนิจกุล สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า ระบบศาลไทยเป็นระบบการกล่าวหาที่ผู้ต้องหาต้องมาแก้ตัว การมีคดีหนักหน่วงหลายคดีเห็นว่าอาจต้องใช้เวลายาวนาน หมายความว่าผู้ต้องหาต้องอยู่ในเรือนจำไป การที่คนทั้งหมดถูกจับโดยไม่ได้รับการประกันตัวและยังมีหนทางยาวไกล มองว่าวงการศาลก็รู้ว่าสามารถประวิงไปได้หากทำโดยการระบุพยานเพิ่ม หรือเพิ่มคดีใหม่เข้ามาก็จะดำเนินไปเรื่อยๆ จึงส่งผลสืบเนื่องให้ผู้ต้องหาอยู่ในภาวะกดดันทางจิตใจและร่างกาย บางคนที่เป็นโรคประจำตัวก็ลำบาก บางคนมีอาการทางจิตซึมเศร้าและก้าวร้าว ที่ผ่านมารัฐยังไม่ได้เปิดเผยอย่างเป็นระบบว่าสรุปแล้วผู้ที่ยังไม่ได้รับการปล่อยตัวมีทั้งหมดกี่คน ถ้าข้อมูลพื้นฐานรัฐทำไม่ได้ก็ไม่รู้จะทำอะไร คิดว่าผู้ถูกขังไม่ได้รับการประกันตัว ขณะที่แกนนำได้รับการประกันตัวหมด รัฐไม่มีเหตุผลจะกักตัวไว้ เชื่อว่าเป็นอิทธิฤทธิ์ของ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และเป็นอีกเรื่องที่ต้องมาคุยกันว่าไม่ว่ารัฐบาลใดจะขึ้นมาน่าจะคุยกันเรื่องนี้ ที่มา : หนังสือพิมพ์โลกวันนี้รายวัน ปีที่ 12 ฉบับที่ 3030 ประจำวันศุกร์ที่ 8 เมษายน พ.ศ.2554 คอลัมน์ ข่าวสารไร้พรมแดน ผู้เขียน ทีมข่าวการเมือง |
มาร์ค มุกควาย ยังเสือก… ‘แหลลวงโลก’ อีกนะ!! http://www.vattavan.com/detail.php?cont_id=288 วาทตะวัน สุพรรณเภษัช นายมาร์ค มุกควาย ทำให้ผมต้องพูดถึงอีกแล้วครับท่าน เพราะ ‘มติชนออนไลน์’ เมื่อ 26 มี.ค. 2554 เขาพาดหัวว่า "มาร์ค"อวดปชป.นำพาชาติพ้นวิกฤต คุยนโยบายบรรลุเป้า ท้าคนอยู่ที่"ดูไบ"ออกทีวีประชันนโยบาย ข่าวนี้ถูกนำไปโพสแปะ ใน tnews.teenee.com และอีกหลายๆเว็บ แต่ของ ‘ทีนิวส์’ น่าสนใจมาก เพราะมีผู้แสดงความเห็นต่อคำพูดของนายมุกควาย โชว์เอาไว้ถึง 99 ความเห็น ซึ่งผมจะนำตัวอย่าง ที่ไม่รุนแรงนัก มาฝากกันแค่ 2 ความเห็นเท่านั้น เพราะคิดว่าตรงใจท่านผู้อ่านด้วย (แต่ถ้ายังไม่จุใจ ก็ทำลิงค์เอาไว้ให้) ความคิดเห็นที่ 2 ห่าเอ๊ย..พูดมาได้ไม่อายปาก ถุยส์.... ความคิดเห็นที่ 3 พ้นวิกฤติตรงไหน ยังไงไอ้เอี้ยมาร์ค ไอ้คนลวงโลกตอแหล หน้าด้าน พูดเองเออเอง...ไอ้บ้า... ( http://tnews.teenee.com/politic/64571.html) ท่านผู้อ่านสังเกตบ้างไหมครับว่า อีตามาร์ค มุกควายนั้น เวลายืนเกาะโพเดียมพูดจาแล้ว ดูเหมือนเจ้าตัวจะมีความมั่นอกมั่นใจเป็นพิเศษ คงจะถูกโฉลกกับการยืนพูด แต่ก็มีบางคนบอกกับผมว่า นี่เป็นเพราะแกฝึกฝนมา เพื่อการยืนพูดอย่างนี้เป็นพิเศษ มาก่อน โดยต้องฝึกจัดท่าทาง วางมือวางไม้ ใช้สายตาประกอบการพูดฯลฯ ซึ่งเป็นแบบฟอร์มของการโต้วาที ตั้งแต่แกยังเรียนหนังสืออยู่ ณ บ้านเกิดเมืองนอนที่เมืองอังกฤษโน่น! การพูดจากับสมาชิกพรรคในวันนั้น อีตามาร์คก็ใช้มุกควายเดิมๆที่น่าเบื่อ โดยฉายหนังม้วนเก่า ให้กับลูกพรรคฟัง แกคงหวังให้สื่อสารมวลชนที่ไปทำข่าว จะช่วยกันกระจายสิ่งที่แกพูด ให้ไปถึงชาวบ้านด้วย เพราะพักนี้นายมาร์ค มุกควาย จะรู้สึกเป็นทุกข์ใจมาก เพราะสำนักงานสถิติแห่งชาติ ดันมีรายงานออกมาว่า รายการพูดประจำสัปดาห์ของแก ที่ลอกเลียนแบบมาจากนายกฯทักษิณ ชินวัตร นั้น มีคนสนใจดูทางโทรทัศน์และฟังทางวิทยุ เพียง 6 % (หกเปอร์เซ็นต์) เท่านั้น! มันก็น่าตกใจสำหรับนายมาร์ค มุกควาย และสมาชิกพรรคดักดาน แต่ผมกลับไม่แปลกใจเลย เพราะเคยเล่าให้ท่านผู้อ่านฟังแล้วว่า คนเขียนเคยเดินสำรวจ จากหัวซอยท้ายซอยบ้านที่อยู่อาศัย ไม่พบบ้านหลังไหนในซอย ฟังรายการที่แสน ‘น่าเบื่อ’ ของแกเลย!! ที่ว่ามานี้ ไม่ได้นำความเท็จมากล่าว แต่สอดคล้องกับคำพูดของนักจัดรายการรุ่นปลาร้าค้างปี๊บ อย่าง บุญระดม จิตรดอน และ อนัญญา ตั้งใจตรง ที่ผมเคยเล่าให้ฟังแล้วอีกเหมือนกันว่า เธอทั้งสอง พูดยืนยันในรายการซุบซิบนินทานักการเมืองว่า ไม่มีชาวบ้าน เขาสนใจฟังเลย! ผู้สื่อข่าวอย่างเธอทั้งสองคนเอง ก็ไม่ได้ฟัง ซึ่งตรงนี้ต่างกับยุคของทักษิณมาก ที่ชาวบ้านร้านตลาดพากันเงี่ยหูฟัง เพราะรายนั้นเขามีของดีๆ โครงการใหม่ๆ ที่เป็นประโยชน์กับพี่น้องคนไทยเราจริงๆ มาบอกเล่าเก้าสิบให้ฟัง เป็นประจำทุกสัปดาห์ ดังนั้น พอถึงวันรายการ “ทักษิณพบประชาชน” ชาวบ้านก็ตั้งอกตั้งใจ ตะแคงหูฟังกันว่า นายกฯทักษิณได้คิดโครงการใหม่ๆอะไรขึ้นมาอีก ส่วนโครงการที่ทำไปแล้ว ให้ผลดีอย่างไรกับพี่น้องประชาชนบ้าง ทักษิณฯก็นำมาเล่าสู่กันฟังว่า โครงการไหนประสพความสำเร็จแล้ว หรือมีโครงการอะไรที่ยังเป็นปัญหา เป็นการสื่อสารสองทาง เหมือนพี่น้องคุยกันในครัวเรือน มีการชี้แจงให้ชาวบ้านเห็นว่า ความทุกข์อะไรที่รัฐบาลแก้ไขลุล่วงไปแล้ว อะไรที่ยังไม่สำเร็จ ก็จะตั้งหน้าทำต่อไป จนกว่าจะเสร็จสิ้นสมบูรณ์ นำความสุขมาให้พี่น้องประชาชนได้ นี่เอง เป็นเหตุผลที่พี่น้องประชาชน อยากฟังคุณทักษิณพูดจริงๆ...สื่อเองก็อยากฟังด้วย! นอกจากนั้นแล้ว ยังมีเรื่องที่นายมาร์ค มุกควาย และพรรครัฐบาลแก้ไขไม่ได้ คือ การชุมนุมวิพากษ์วิจารณ์ของพันธมิตรที่สะพานมัฆวาน ที่เดินหน้าประกาศความเลวทรามในเรื่องการบริหารงานอย่างไร้ประสิทธิภาพ การคอรัปชั่นแบบ “แดกกัน...ฉิบหายวายวอด” ที่นายมาร์คกับพรรคโลซกของเขา ตระหนกมากหนักขึ้นไปอีก ก็คือ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ซึ่งเคยเป็นสถานที่ศึกษา ของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯได้สุ่มตัวอย่างสำรวจ ความนิยมนายมาร์ค มุกควาย จากประชาชน 1000 ตัวอย่าง ผลการสำรวจออกมา ยังความตื่นตะลึง เพราะมีผู้คนเชียงใหม่ ไม่ชื่นชอบนายมาร์ค ทารกรัฐมนตรี โดยให้ความนิยม 0% นายมาร์ค...ตกใจมาก เยี่ยวแทบเล็ดเลยทีเดียว! ความกังวลในการเสื่อมความนิยมจากประชาชน ทำให้นายมาร์คต้องเพียรพยายาม โฆษณาผลงานของตัวเต็มที่ เพราะขืนไม่ทำ จะต้องพ่ายแพ้การเลือกตั้งเป็นคำรบ 4 ทีเดียว ดังนั้น การพูดของนายมาร์ค มุกควาย ต่อหน้าเพื่อนร่วมพรรค 26 มี.ค. 2554 ในวันนั้น ตะแกก็นำเรื่องโครงการที่ลอกเลียนแบบทักษิณ บางโครงการกนำมาต่อยอด มาพูดโฆษณาว่าเป็นแนวความคิดของตัว เช่น นโยบายเรียนฟรี 15 ปี รวมถึงเบี้ยผู้สูงอายุ 500 บาท และเบี้ยอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) มาประกาศ ว่า พรรคประชาธิเปรตภาคภูมิใจทำให้เกิดขึ้นได้สำเร็จ ทั้งๆที่เป็นเรื่องที่ทักษิณทำ pilot project หรือ โครงการนำเอาไว้ก่อนแล้วทั้งนั้น เรื่องคนชรานั้นก็แจกไปบ้างแล้ว และรอการระดมทั้งประเทศภายหลัง การเพิ่มเงินให้บุคลากรท้องถิ่นในยุคทักษิณก็ทำเตรียมไว้แล้วเช่นกัน ผมเคยตั้งข้อสังเกต เรื่อง “การลอกเลียนแบบทักษิณ” หรือ “การเอาอย่างทักษิณ” ว่า การลอกเลียนแบบนั้น ฝรั่งเขาว่า เป็นยกยอที่จริงใจที่สุด หรือ Imitation is the sincerest form of flattery. จึงต้องบอกประชาชนคนไทย ได้รับรู้ความจริงนี้ โดยทั่วกัน ณ วันนี้ว่า นายอภิสิทธิ์ หัวหน้าพรรคปลาเน่า หรือนายมาร์ค มุกควาย นั้น คงชื่นชม “ทักษิณ” เป็นอย่างมาก เพราะเมื่ออยู่ในฐานะหัวหน้าฝ่ายค้าน ก็ด่าเขาและ...ค้านตะพึดตะพือ! ครั้นถึงวันที่บุญพาวาสนาถีบ ให้ได้เข้ามาเป็นรัฐบาลประชาปลาเน่า ได้แค่เดือนเดียวเท่านั้น พฤติกรรม “การลอกเลียนแบบทักษิณ” หรือ “เอาอย่างทักษิณ” ก็ดันโผล่ออกมาให้ประชาชน เห็นได้ชัดเจน อย่างไม่มีอะไรเคลือบแคลงแฝงแต่อย่างใดเลยเพียงแต่ลอกไปใช้ ทำได้อย่างด้อยประสิทธิภาพ แต่ออกลูก ‘บ้องตื้น’ เท่านั้น! นี่เป็นเครื่องแสดงให้เห็นเป็นที่ประจักษ์ ต่อพี่น้องประชาชนคนไทยทั้งหลาย ว่า วิสัยทัศน์การเป็นผู้นำระหว่าง “ทักษิณ” กับ นายมาร์ค มุกควาย นั้นห่างกันคนละชั้น หรือไกลกันคนละโยชน์ ถ้าเอาสำนวนฝรั่ง Imitation is the sincerest form of flattery. เข้ามาจับแล้ว หากผมจะพูดอีกอย่างหนึ่ง ว่า “นายมาร์ค มุกควาย คือแฟนคลับตัวจริงของ ทักษิณ ชินวัตร!!!?” การที่เราจะเลียนแบบคนอื่นนั้น ปกติแล้วเราจะต้องเลียนแบบคนที่เก่ง คนที่มีชื่อเสียง ไม่มีใครที่หนวย จะไปเลียนแบบ คนที่ไม่เป็นโล้เป็นพาย หรือไปเอาอย่างไอ้พวกขี้เท่อ จริงหรือเปล่าครับ!? ท่านผู้อ่าน ที่เคารพครับ วันที่นายมาร์ค มุกควาย ไปเกาะโพเดียมพูดกับสมาชิกพรรคนั้น แกพยายามออกมาพูดจาโฆษณาชักจูง เพื่อให้ชาวบ้านหลงเชื่อว่า ควรได้รับเลือกพรรคประชาธิเปรต ให้กลับมาบริหารชาติบ้านเมืองต่อไป ไม่ใช่เลือกใช้พรรคประชาธิปัตย์ในยามวิกฤติเท่านั้น ผมได้ยินแล้วแล้ว...หัวร่อก้ากเลย! เหตุที่ตัวคนเขียนถึงกับขำกลิ้ง ก็เพราะเคยเขียนเอาไว้ว่า พรรคประชาธิเปรตนั้น เป็น “นักกัด” ในระบอบประชาธิปไตย ตัวจริง เพราะเข้าตัวอย่างที่ นายมารค์ วอร์เนอร์ (Mark Warner) ผู้ว่าการรัฐเวอร์จิเนีย ที่เคยมีข่าว จะลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดี แข่งกับโอบามา เคยพูดเอาไว้ว่า "การเมืองเป็นกิจการเดียวที่ ‘การไม่ทำอะไรเลย' นอกไปจากการกระทำให้อีกฝ่ายเสื่อมเสีย เป็นผลลัพธ์ที่ยอมรับกันได้" (Politics is the only business where doing nothing other than making the other guy look bad is an acceptable outcome.) ท่านลองคิดดูสิครับว่า พฤติกรรมของพรรคนี้ มีอะไรที่คล้ายคลึงกับคำพูดของนักการเมืองสหรัฐคนนี้บ้างหรือไม่? ที่เห็นกันชัดๆ ก็คือ... ในการเลือกตั้ง 3 ครั้งใหญ่ที่ผ่านมา นั้น พรรคประชาธิเปรตพ่ายแพ้ต่อพรรคทักษิณติดต่อกัน แบบ ‘แฮตทริก’ เลยเป็นฝ่ายค้านมายาวนาน ถึง 3 สมัยซ้อน! แสดงให้เห็นชัดเจนว่า พรรคของนายมาร์คหมดปัญญาสู้กับทักษิณ จึงต้องลงเล่นใต้ดิน ด้วยการส่งสมาชิกพรรคของตน เข้าไปเป็นแกนนำของพันธมิตร เพื่อให้ช่วยบ่อนทำลายคู่ปรับที่พรรคดักดานของตัวไม่มีทางสู้อีก นอกจากนั้น ยังสนับสนุนแบบทุ่มสุดตัว ทั้งเงินทองและความช่วยเหลืออย่างอื่นด้วย เช่น เกณฑ์คนมาร่วมชุมนุมกับพันธมิตร และบางครั้งสมาชิกคนสำคัญ ก็เข้าร่วมปราศรัยขับไล่รัฐบาล ที่พวกตนสู้ไม่ได้ ต้องพ่ายแพ้ในการเลือกตั้งทุกครั้ง ความจริงนี้มีหลักฐานชัดเจน...ปฏิเสธไม่ได้!! เมื่อพรรคของฝ่ายทักษิณ ที่ชนะการเลือกตั้งมาแท้ๆ ต้องถูกโค่นล้มลง เพราะ ‘อำนาจอัปรีย์’ ที่ทำร้ายระบอบประชาธิปไตยโอกาสจึงเปิดออกให้ นายมาร์ค มุกควาย ได้เข้ามานั่งในตำแหน่ง ‘CEO ประเทศไทย’ โดยมีปัจจัยอื่น มาช่วยเหลือการขึ้นสู่อำนาจของเขา อย่างน่ารังเกียจ มีหลักฐานยืนยันในเรื่องนี้ชัดเจน จากผู้นำขบวนการโค่นล้มรัฐบาลของพรรคทักษิณ คือ นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ซึ่งนายมาร์ค มุกควาย ไปยืน ‘กอกระดุม’ อวยพรวันเกิด อย่างอ่อนน้อม พร้อมอมยิ้มอย่างประจบประแจง ตามภาพที่ท่านได้เห็น คล้ายกับว่ารักเคาระและจงรักภักดีต่อนายสนธิเสียเหลือเกิน ดุจแกเป็นแค่ ‘ลูกกระจ๊อก’ ของเจ้าของวันเกิดมาแต่ชาติปางก่อน แต่มีบางคนกลับแย้งผมว่า นายมาร์คจะเป็นได้ ก็แค่ ‘ลูกกระเป๋งข้างซ้าย’ ของสนธิเท่านั้น! อีตาสนธิฯเอง ก็เพิ่งออกมาเปิดเผย อย่างเต็มปากเต็มคำ เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมานี้ ณ เวทีมัฆวาน ว่า ผู้นำทหารของเมืองไทย ได้เข้ามาแทรกแซงทางการเมือง อย่างน่าเกลียดน่าชัง โดยทำ ‘เฮดล๊อค’ ผู้นำพรรคร่วมรัฐบาลปัจจุบัน เข้าไปในค่ายทหาร แล้วข่มขู่ว่า หากไม่ร่วมกันจัดตั้งรัฐบาลกับประชาธิปัตย์ จะทำการปฏิวัติ! นี่เอง ที่ทำให้พรรคการเมืองเหล่านั้น ถึงกับตัวสั่น ออกอาการ ‘ขี้หด-ตดแตก’ ต้องยอมร่วมมือกันจัดตั้งรัฐบาล โดยมีพรรคของนายมาร์ค มุกควาย เป็นแกนนำ จนเป็นเหตุให้ประชาชนคนไทย ได้... รัฐบาลกาลี เข้ามาบริหารประเทศ นี่ไงครับ! นายมาร์ค มุกควาย รู้ดีอยู่แก่ใจ ยังเสือกคิดว่าพี่น้องประชาชนเขาโง่ ออกมา ‘แหลลวงโลก’ ต่อไปอีกว่าอย่าเลือกใช้พรรคดักดานของตัว ตอนที่ประเทศวิกฤติเท่านั้น ชาวบ้านได้ยินเข้า เขาก็ฉุน ออกมาสวนว่า “ก็ไอ้พวกจังไรอย่างมึงนั่นแหละ ที่สร้างวิกฤติให้ชาติบ้านเมือง ทำให้พวกกูต้องเดือดร้อน...ไอ้พวกเปรต!” ผู้คนเขาจึงต้องออกมา เดินขบวนและชุมนุมคัดค้าน แต่ทหารออกมาปราบปรามรุนแรงหฤโหดสุดๆ ราษฎรก็เลยพากันวิพากษ์วิจารณ์ในทำนองว่า ไอ้พวกทหารนี่โง่ฉิบหาย แค่นักการเมืองโยน ‘เศษเนื้อข้างเขียง’ ให้เท่านั้น... ก็ ‘ไล่ฆ่า’ ประชาชนเสียแล้ว...น่าทุเรศมาก!! เมื่อพูดถึงเรื่องผู้คน ออกมาแสดงความไม่พอใจ คัดค้าน ต่อต้านรัฐบาลโลซกชุดนี้ ก็ต้องพูดถึงการชุมนุมที่สะพานมัฆวานอีกแล้ว เพราะการที่นายมาร์ค มุกควาย ต้องตาลีตาเหลือกออกมาประกาศ “ยุบสภา” สาเหตุไม่ใช่อื่นไกล แต่เป็นเพราะการปราศรัยของเหล่าพันธมิตร กระแทกใจชาวบ้านชาวเมืองมาก เพราะคนพวกนี้ขยันหาข้อมูล จนรัฐบาลเถียงไม่ออก ผู้คนเสื่อมความนิยมและ... เกลียดชังรัฐบาลกาลีชุดนี้ มากยิ่งขึ้นทุกที! อย่างเมื่อคืนวันอาทิตย์ก่อน ประพันธ์ คูณมี ก็ออกมาจารนัยจนผู้จัดการออนไลน์เขาออกมาพาดหัวว่า "ประพันธ์" สับอีก 30 นิสัย 30 ล้มเหลว ยัน“มาร์ค”ไม่เหมาะเป็นนายกฯ แล้วโปรยตามว่า "ประพันธ์" ชี้พฤติกรรมอันตราย “มาร์ค” ยกนิสัยน่าขยะแขยง 30 ข้อ การันตรีไม่เหมาะเป็นผู้นำประเทศ ชี้ที่ ปชช.รับไม่ได้สุดๆ “หน้าด้าน แถ แหลเป็นอาจิน” เผยเตรียมตอกย้ำรายวันอีก 30 ข้อ ความผิดพลาดในการบริหารประเทศ ผมจะไม่นำข้อความทั้งหมดมาลง แต่จะระบุหัวข้อให้ท่านผู้อ่านตามไปฟังกัน คือ แค่ข้อ 2-10 ลองพิจารณาแล้วคิดตามไปด้วยก็แล้วกัน เขาเรียงข้ออย่างนี้ครับ... 2. มีจิตใจคับแคบคบคนจำกัด ไม่มีมนุษย์สัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงาน เห็นประชาชนเป็นแค่ลิ่วล้อทางการเมือง 3. ไม่มีวิธีคิด ไม่มีศิลปะการทำงาน ที่จะนำพาชาติไปสู่ความก้าวหน้าได้ แม้แต่เรื่องเดียว 4. ขาดความรู้ประสบการณ์ในการบริหารประเทศ ที่สำคัญมีความรู้ท่วมหัวแต่เอาตัวไม่รอด 5. ไม่เคารพความคิดเห็นของผู้อื่น 6. ไม่ใช่เป็นนักประชาธิปไตย แต่เป็นเพียงนักเลือกตั้งน้ำเน่าคนหนึ่งของประเทศไทย 7. คุกคามสิทธิเสรีภาพของประชาชน 8. ขี้ขลาด ตาขาว ขี้กลัว ยอมจำนนไม่กล้าต่อสู้ ไม่เคยมีชีวิตเพื่อต่อสู้กับความยากลำบาก โดยเฉพาะปัญหาความเป็นความตายของบ้านเมือง ไม่มีความรับผิดชอบ ปัดความรับผิดชอบต่อความล้มเหลวในการบริหารบ้านเมือง 9. หยิ่งยโสโอหัง แก้ตัวอย่างหน้าด้านๆ 10. ชอบเถียง แถ แหล เป็นอาจินต์ (http://www2.manager.co.th/Home/ViewNews.aspx?NewsID=9540000038909) สำหรับข้อ 10 ของคุณประพันธ์ฯนั้น ดูจะถูกใจผมมากที่สุด เพราะการที่นายมาร์ค มุกควายไปเกาะโพเดียม พูดกับลูกพรรค ดังที่เล่าให้ท่านฟังแล้วนั้น ถ้าผมเป็นเพื่อนสนิทกับ มิสเตอร์มาร์ค มุกควาย คงจะต้องเดินตรงเข้าไปหา ชี้หน้า แล้วพูดตรงๆกับเขาว่า.... “เฮ้ยไอ้มาร์ค มุกควาย เอ็งก็รู้ดีอยู่แก่ใจแล้ว ยังเสือกแหลลวงโลกอีกนะ...ไอ้เวร!!!” ............................ |
“แต้อ๊วง”ในมุมมองลูกหลานจีนVSพระเจ้าตากสินบวชเป็นพระ ที่เมืองนครตามการโฆษณาชวนเชื่อ http://thaienews.blogspot.com/2011/04/vs.html โดย ปาแด งา มูกอ 7 เมษายน 2554 วันที่ 6 เมษายน พ.ศ.2325 เป็นวันสวรรคตของ “แต้อ๊วง” เมื่อวานนี้ก็ครบรอบ 229 ปีพอดี ผมเลยขอนำประวัติศาสตร์อีกด้านหนึ่ง มาให้ท่านผู้อ่านได้รับทราบถึงความเป็นมา ระหว่างความคิดและความยึดติดในเรื่องราวของ “พระเจ้าตาก” ของลูกหลานเหลนโหลนไทย และ ลูกหลานเหลนโหลนจีน เพื่อพิสูจน์ว่าของใครจริงของใครเท็จ ขอนำท่านผู้อ่านติดตาม แต้อ๊วงในมุมมองลูกหลานจีน เถ่งไฮ่ เป็นอำเภอเล็กๆ แห่งหนึ่งในเมืองแต้จิ๋ว มณฑลกวางตุ้ง ประเทศจีน มีประชากรประมาณ ๗๑๐,๐๐๐ คน ปัจจุบันเถ่งไฮ่เป็นเขตอุตสาหกรรมสำคัญแห่งหนึ่ง ตุ๊กตาต่างๆจากบริษัทผลิตของเล่นชื่อดังของโลก ไม่ว่าจะเป็นตุ๊กตาบาร์บี้ หรือตุ๊กตาของวอลต์ดีสนีย์ที่ส่งไปขายทั่วโลก ผลิตมาจากโรงงานในอำเภอเถ่งไฮ่แทบทั้งสิ้น คนไทยส่วนใหญ่อาจไม่รู้จักอำเภอเล็กๆ อย่างเถ่งไฮ่ แต่สำหรับลูกหลานชาวจีนที่อพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานในเมืองไทย น่าจะคุ้นหูกับชื่อนี้ดี คนจีนที่อพยพข้ามน้ำข้ามทะเลเข้ามาทำมาหากินบนแผ่นดินไทยในอดีตส่วนใหญ่มาจากเมืองแต้จิ๋ว โดยเฉพาะจากอำเภอเถ่งไฮ่ ซึ่งตั้งอยู่ริมทะเล การเดินทางข้ามมาเมืองไทยสะดวกกว่า ด้วยเหตุนี้คนจีนในเมืองไทยส่วนใหญ่จึงพูดภาษาแต้จิ๋ว บุคคลที่มีชื่อเสียงหลายคนนับตั้งแต่ ปรีดี พนมยงค์ ป๋วย อึ๊งภากรณ์ รวมถึงคนในตระกูล รัตตกุล ตระกูลหวั่งหลี ตระกูลเจียรวนนท์ ก็ล้วนมีบรรพบุรุษที่อพยพมาจากอำเภอเถ่งไฮ่ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช หรือที่เรามักเรียกกันว่า พระเจ้าตาก ก็ทรงมีเชื้อสายแต้จิ๋ว พระบิดาของพระองค์เป็นชาวแต้จิ๋ว เกิดในตระกูลแต้ ชื่อนายแต้เจียว อพยพจากอำเภอเถ่งไฮ่เข้ามาค้าขายในเมืองไทยตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ส่วนพระมารดาเป็นคนไทยชื่อนางนกเอี้ยง มีอาชีพค้าขาย พระ เจ้าตากทรงพระราชสมภพเมื่อวันที่ ๒๒ มีนาคม ๒๒๗๗ (หนังสือบางเล่มกล่าวว่าทรงพระราชสมภพเมื่อวันที่ ๑๗ เมษายน ๒๒๗๗) มีเรื่องเล่าว่าเมื่อครั้งยังทรงพระเยาว์ พระเจ้าตากทรงได้กลับไปศึกษาที่ประเทศจีนระยะหนึ่งด้วย พระสุสานด้านในมีแผ่นหินจารึกพระนามแปลเป็นไทยว่า "สุสานในพระเจ้าตากสินแห่งราชตระกูลแต้จิ๋วสร้างในพระเจ้าแผ่นดินจีนเฉียนหลงฮ่องเต้พ.ศ.2339" นายนิ้ม แซ่ตั้ง วัย ๗๙ ปี ชาวจีนซึ่งเกิดในอำเภอเถ่งไฮ่ และอพยพมาตั้งรกรากในเมืองไทยเมื่อ ๖๐ปีก่อน เล่าให้ฟังว่า “สมัยที่ผมอยู่เมืองจีน คนเถ่งไฮ่รู้จักเมืองไทยดี เพราะเป็นเวลาหลายร้อยปีแล้วที่คนเถ่งไฮ่เดินทางมาค้าขายที่เมืองไทย ที่มาตั้งรกรากอยู่เมืองไทยเลยก็มีมากความสัมพันธ์ไทย-จีนนั้นแน่นแฟ้นมาก ถึงกับมีคำไทยที่กลายเป็นภาษาแต้จิ๋ว คือคำว่า ตลาด ชาวแต้จิ๋วเอาไปใช้โดยออกเสียงว่า ตั๊กลัก” เรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นในเมืองไทย คนจีนที่นั่นก็รับรู้กันโดยตลอด คนเถ่งไฮ่รู้จักและรู้เรื่องราวเกี่ยวกับพระเจ้าตากดี เขาเรียกกันว่า แต้อ๊วง แปลว่า พระเจ้าแผ่นดินตระกูลแต้ บ้านเกิดของผมก็อยู่ไม่ไกลจากบ้านของท่าน จำได้ว่าตอนเด็กๆ เคยไปเที่ยวบ้านหลังหนึ่งที่เก่าทรุดโทรมมาก เชื่อกันว่าเป็นบ้านเกิดของพระเจ้าตาก ผมยังเคยได้ยินเรื่องเล่าว่าเมื่อ แต้อ๊วงเกิด พ่อของท่านก็พาท่านกลับมาเรียนภาษาที่เมืองจีน จนอายุได้ ๑๐ ขวบจึงส่งมาอยู่เมืองไทย นายนิ้มกล่าวว่าคนจีนที่อพยพมาอยู่ต่างบ้านต่างเมืองนิยมส่งลูกหลานกลับมาเรียนหนังสือที่บ้านเกิด เพราะต้องการให้ลูกหลานได้เรียนรู้ภาษาและวัฒนธรรมจีน และที่สำคัญคือเมื่อกลับมาเมืองจีนยังมีครอบครัว และญาติพี่น้องที่ใกล้ชิดคอยดูแล ซึ่งต่างจากเมืองไทยที่อาจต้องใช้ชีวิตตามลำพัง จากการศึกษาประวัติพระบิดาของพระเจ้าตาก ก็พบว่า ไม่มีญาติพี่น้องอยู่เมืองไทยมากนัก บริเวณแหล่งดูดทรายแห่งหนึ่งในอำเภอเถ่งไฮ่ มีฮวงซุ้ยหรือสุสานเล็กๆแห่งหนึ่ง ทางเข้าทำเป็นซุ้มขนาดใหญ่ สุสานแห่งนี้เป็นสุสานเก่าแก่ สร้างมาตั้งแต่สมัยพระเจ้าเฉียนหลงฮ่องเต้ (พ.ศ.๒๒๗๘-๒๓๓๙) มีป้ายหินจารึกไว้ว่า "สุสานของ แต้อ๊วง ทำการบูรณะซ่อมแซมใหม่ในปี ค.ศ. ๑๙๘๕ ฤดูใบไม้ผลิ" คนเถ่งไฮ่เชื่อกันว่า หลังจากที่พระเจ้าตากสิ้นพระชนม์ได้ไม่นาน บรรดาญาติพี่น้องได้นำฉลองพระองค์กลับมายังบ้านเกิด และฝังไว้ที่สุสานแห่งนี้เพื่อเป็นการแสดงความเคารพ คนเถ่งไฮ่ภูมิใจใน แต้อ๊วง มากว่า เป็นคนบ้านเราที่มีวาสนาเป็นถึงพระเจ้าแผ่นดินของประเทศไทย และมีความกล้าหาญยิ่ง เสี่ยงชีวิตไปรบกับพม่าเพื่อกอบกู้ชาติไทยนายนิ้มกล่าว บริเวณสุสานยังมีป้ายหินอีกแผ่นจารึกไว้ว่าสุสานแห่งนี้เป็นที่ฝังฉลองพระองค์ของ แต้อ๊วง ที่นำมาจากเมืองไทย ห้ามผู้ใดทำลายเด็ดขาด ลงชื่อโดยรัฐบาลท้องถิ่นแห่งอำเภอเถ่งไฮ่ ปัจจุบัน สุสานแห่งนี้ยังมีผู้นำดอกไม้ธูปเทียนมาแสดงความคารวะอยู่เป็นประจำ โดยเฉพาะจากบรรดาลูกหลานคนจีนจากเมืองไทยที่มีโอกาสไปเยี่ยมญาติในประเทศจีน น้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ ผู้ทรงคุณอันประเสริฐต่อแผ่นดินไทย พระมหากษัตริยาธิราชเจ้าผู้ทรงมีพระราชประวัติหายไปกับหน้าประวัติศาสตร์ชาติไทย สิ่งที่ท่านจะได้เห็นนี้... คือพระสุสานพระมหากษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่ในต่างแดน คำถาม...ที่ว่า...? จะเป็นแค่สุสานเก็บฉลองพระองค์ หรือ พระบรมสรีระของพระมหากษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่ความลับที่เก็บซ่อนมาเกือบ 230 ปียังคงต้องรอการพิสูจน์ต่อไป… ทีนี้เรากลับมาเมืองไทยกันบ้าง สำหรับประเด็นการโฆษณาชวนเชื่อว่า พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก รัชกาลที่ 1 แห่งพระราชจักรีวงศ์นั้นไม่ได้ทำรัฐประหารยึดอำนาจและประหารชีวิตพระเจ้าตากสินมหาราชแต่ประการใด แต่เป็นข้อตกลงลับของพระเจ้าตากสินกับพระพุทธยอดฟ้าที่จะให้พระเจ้าตากสินลงจากบัลลังก์เพื่อแก้ไขปัญหาที่ไทยไม่มีเงินไปชำระหนี้จีนในช่วงยืมเงินมากู้ชาติ หลังเสียกรุงครั้งที่ 2 จากนั้นพระเจ้าตากได้แอบหนีไปบวช และมีชีวิตต่อมาในเพศภิกษุที่นครศรีธรรมราช ประเด็นนี้น่าคิดครับ ถ้าหากเป็นจริง ก็ต้องขอชมเชยบรรพบุรุษยอดนักวางแผนและกุศโลบายที่เยี่ยมยอดที่สุดหาใดปานของไทยเรา ทางภาคใต้ มีร่องรอย ที่อ้างว่า พระเจ้าตากได้ทรงผนวชและใช้ชีวิตในบั้นปลายของพระองค์ท่านที่จังหวัดนครศรีธรรมราช จนแตกหน่อออกกอมาเป็นสกุล “ณ นคร” จนถึงปัจจุบันนี้ เรื่องนี้ผมเคยถามพรรคพวกที่ใช้นามสกุล “ณ นคร” ว่านามสกุลนี้มีที่มาที่ไปอย่างไร บุคคลใดเป็นต้นสกุลตัวจริง ร้อยทั้งหลายต่างยืดอกอย่างภาคภูมิใจว่า พระยาตาก คือ บรรพบุรุษต้นสกุลของเขา แต่พอถามต่อว่า แล้วมีหลักฐานอะไรยืนยัน มันก็ตอบว่า ประวัติศาสตร์ไทยเขียนไว้ตั้งนานแล้วจบ...!!! ร่องรอยประวัติศาสตร์ของพระองค์ มีปรากฏให้เห็นจนถึงทุกวันนี้ ก็ไม่ทราบว่า ลูกอีช่างคิดตนใด ที่ล่วงรู้ถึงเรื่องราวของพระองค์ยังกับเหตุการณ์เพิ่งเกิดเมื่อปีกลาย "กษัตริย์ผู้เกรียงไกร พระเจ้าตากสินมหาราช เป็นกษัตริย์ที่สร้างกรุงธนบุรีหลังจากที่ไทยต้องเสียกรุงศรีอยุธยาให้กับพม่า นักประวัติศาสตร์ไทยบางคนกลับไม่เชื่อว่า พระองค์ถูกสำเร็จโทษด้วยท่อนจันทน์ แต่เสด็จหนีลงเรือมาประทับ ณ วัดเขาขุนพนม ทรงดำรงพระองค์อย่างสมณเพศ ทรงสั่งสอนสมถะวิปัสสนา และทรงรับบิณฑบาตจากราษฎรและสวรรคต ณ ที่ประทับวัดเขาขุนพนม"เป็นข้อความที่จารึกอยู่ ณ ปากถ้ำบนภูเขา วัดเขาขุนพนม แต่ไม่ยักบอกว่านักประวัติศาสตร์คนไหน เพราะที่ผ่านๆมาก็มักเป็นเรื่องเล่าปรำปรา หรือแม่ชี หรือพระเกจิอาจารย์ท่านบอกว่านิมิตเห็นบ้าง หรือนั่งทางในพบบ้างเป็นพื้น นอกจากนี้ยังมี เรื่องเล่ากันในหมู่สมาชิกตระกูล "ณ นคร" บางกลุ่มในปัจจุบัน ที่บอกว่าหลังจากที่พระเจ้าตากสินทรงผนวชที่วัดเขาขุนพนมระยะหนึ่งแล้ว ก็ได้ประชวรด้วยพระโรคอย่างหนึ่ง จึงจำเป็นต้องทรงลาผนวช แล้วเสด็จไปประทับอยู่ในจวนของเจ้าพระยานคร (น้อย) ในสมัยรัชกาลที่ ๓ มีการอ้างด้วยว่า เมื่อพระเจ้ากรุงธนบุรีเสด็จสวรรคตแล้ว ได้มีใบบอกเข้าไปแจ้งรัฐบาลในกรุงเทพฯ ว่า "ท่านข้างใน" สิ้นแล้ว ส่วนพระบรมศพนั้นก็ได้ไปตั้งทำการพระเมรุที่ชายทะเลแห่งหนึ่งในจังหวัดนครศรีธรรมราช ทั้งนี้ มีการอ้างถึง "หลักฐาน" เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือของเรื่องนี้อีกว่า ที่วัดแจ้งและวัดประดู่ซึ่งมีเก๋งไว้อัฐิของเจ้านคร (หนู) หม่อมทองเหนี่ยวชายา และของเจ้าพระยานคร (น้อย) นั้น มีศิลาจารึกภาษาจีนอยู่ ๓-๔ หลัก หนึ่งในนี้มีผู้อ้างว่า มีข้อความกล่าวถึงว่าเป็นหลุมศพของ "ผู้เป็นใหญ่แซ่เจิ้ง" เนื่องจากพระบิดาของสมเด็จพระเจ้าตากสิน "แซ่เจิ้ง"สมเด็จพระเจ้าตากสินจึงทรงใช้ "แซ่เจิ้ง" ด้วย สำเนียงแต้จิ๋วเรียก "แต้"เรื่องนี้เป็นความจริงเพราะมีหลักฐานชั้นต้นยืนยันจำนวนมาก รวมทั้งพระราชสาส์นของพระเจ้าตากสินที่ทรงมีถึงพระเจ้ากรุงจีนก็ใช้ "แซ่เจิ้ง" ก็เหมือนเดิมครับ พอถามว่า พระราชสาส์น และหลักฐาน ที่อ้างมันมีอยู่ที่ไหน หอสมุดแห่งชาติก็ไม่มี นักประวัติศาสตร์ก็ไม่มี แล้วนี่ผมจะเชื่อใครดี..??? สุดท้ายนี้ผู้เขียน ขอน้อมเกล้าคารวะต่อพระดวงวิญญาณของพระองค์ท่าน “แต้อ๊วง” ถ้ามีจริง ขอได้โปรดเมตตาช่วยเหลือให้ประเทศชาติไทย จงพ้นภัยจากภัยพิบัติธรรมชาติและมหันตภัยทางการเมือง ดั่งเช่นที่พระองค์ท่านได้ทรงกอบกู้เอกราชชาติไทยให้พ้นจากภัยพิบัติมาแล้วในประวัติศาสตร์ จนอยู่รอดปลอดภัย เพื่อให้ลูกหลานเหลนโหลนในประเทศไทยมาฟัดกันเองในปัจจุบัน ด้วยเทอญ............ ******* เรื่องเกี่ยวเนื่อง: -229ปีตากสินมหาราช:กฤษฎาภินิหารอันบดบังมิได้ -เพื่อร่วมรำลึกวันจักรี: ย้อนประวัติศาสตร์สมบูรณาญาสิทธิราชย์ด้วยสายตาของไพร่ |
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)