วันเสาร์ที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554


รุกมาร์ค-ฟ้อง91ศพ ศาลผู้ดี! เพิ่มจาก-ศาลโลก

ตู่เตรียมหารือ'อัมสเตอร์ดัม' นปช.จวกธาริต-จู่ๆอาก้าโผล่! โวยบิดเบือนคดีฆ่านักข่าวยุ่น ณัฐวุฒิทำบุญ6ศพที่วัดปทุมวันนี้



ตรวจร่างกาย- นายขวัญชัย ไพรพนา พร้อมด้วยแกนนำเสื้อแดงเข้าตรวจร่างกายที่ร.พ.พระราม 9 หลังได้ประกันตัวออกจากเรือนจำ โดยจะนัดรวมตัวกันไปทำบุญ 6 ศพที่วัดปทุมวนารามในวันที่ 27 ก.พ. 
แกนนำเสื้อแดงรุดตรวจร่างกายที่ร.พ.หลังพ้นคุก 'ณัฐวุฒิ' ปวดหลัง 'หมอเหวง' เป็นไซนัส 'ขวัญชัย' ป่วยน้ำในหูไม่เท่ากัน ลั่นเดินหน้าช่วยเหลือแนวร่วมแดงตจว.ที่ยังถูกคุมขังอยู่ 'ธาริต' ยันนักข่าวยุ่นตายเพราะกระสุนอาก้า เพราะผลผ่าศพระบุชัด อ้างตามผลพิสูจน์ของอดีตผบช.พฐ. หนึ่งในคณะทำงาน แกนนำ นปช.อัดรัฐบาล เหตุการณ์จะครบปีอยู่แล้วทำไมหลักฐานยิงนักข่าวยุ่นเพิ่งโผล่ ย้ำกระสุนมาจากแนวตรงข้ามกลุ่มคนเสื้อแดง ดังนั้น ต้องหาตัวคนยิง ไม่ใช่มาโบ้ยว่าตายเพราะปืนชนิดใด 

แกนนำแดงรุดตรวจร่างกาย

เมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 26 ก.พ. ที่โรงพยาบาลพระราม 9 แกนนำ นปช.ที่ได้รับการประกันตัวชั่วคราว อาทิ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ นายขวัญชัย ไพรพนา น.พ.เหวง โตจิราการ นายก่อแก้ว พิกุลทอง และนายยศวริศ ชูกล่อม หรือเจ๋ง ดอกจิก และนายพิเชษฐ์ สุขจินดาทอง เดินทางมาตรวจร่างกายหลังถูกคุมขังมานาน 9 เดือน ทั้งนี้ นายนิสิต สินธุไพร และนายวิภูแถลง พัฒนภูมิไทย แกนนำ นปช.อีก 2 คนไม่ได้เดินทางมาร่วมตรวจสุขภาพ เนื่องจากนายนิสิตติดภารกิจอยู่ที่ จ.ร้อยเอ็ด ส่วนนายวิภูแถลงติดอัดรายการของสถานีเอเชียอัพเดท

ขณะที่นางธิดา โตจิราการ รักษาการประ ธานนปช. เดินทางมาดูการตรวจร่างกายของแกนนำ นปช.ในวันนี้ด้วย อย่างไรก็ตาม การตรวจเช็กร่างกายของแกนนำ นปช.ครั้งนี้สื่อมวลชนไม่ได้รับอนุญาตให้ทำข่าว โดยได้รับการชี้แจงว่า เนื่องจากทางโรงพยาบาลไม่ต้องการเป็นประเด็นข่าวทางการเมือง จากนั้นกลุ่มแกนนำ นปช. จึงเดินทางไปรับประทานอาหารกลางวันที่ร้านสุกี้เรือนเพชร

นายณัฐวุฒิเปิดเผยว่า จากการตรวจร่าง กายตนมีอาการปวดหลังเพราะหมอนรองกระดูกเคลื่อน แพทย์ได้นัดให้ทำกายภาพ บำบัด ส่วนน.พ.เหวงมีอาการไซนัส นาย ขวัญชัยมีอาการน้ำในหูไม่เท่ากัน และนายยศวริศมีอาการต้อลม ซึ่งจะต้องรับการรักษา ต่อไป

ยืนยันเดินหน้าชุมนุมต่อ

เวลา 12.15 น. ที่ร้านสุกี้เรือนเพชร นางธิดา โตจิราการ รักษาการประธานนปช. กล่าวถึงข่าวดีเอสไอระบุการเสียชีวิตของนายฮิโรยูกิ มูราโมโต้ ช่างภาพสำนักข่าวรอย เตอร์ชาวญี่ปุ่น เกิดจากอาวุธปืนสงคราม ชนิดอาก้า ซึ่งอาวุธดังกล่าวเจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจไม่มีใช้เป็นอาวุธประจำกายว่า หลักฐานนั้นชัดเจนว่านักข่าวชาวญี่ปุ่นนั้นถูกยิงอยู่ในฝั่งของคนเสื้อแดง ดังนั้น กระสุนน่าจะมาจากฝั่งที่อยู่ตรงข้ามกับคนเสื้อแดง กรมสอบสวนคดีพิเศษพูดความจริงไม่หมด เพราะเรื่องรายละเอียดหลักฐานต่างๆ นั้นมีอยู่จำนวนมาก ดังนั้น อาวุธที่ใช้ยิงเป็นอะไรชนิดไหนขอให้ดีเอสไอชี้แจงมาถ้าคิดว่าไม่ใช่อาวุธของฝ่ายทหาร

นางธิดากล่าวว่า ส่วนการชุมนุมของคนเสื้อแดงนั้น แม้ว่าขณะนี้แกนนำ นปช.จะได้รับการประกันตัวแล้ว แต่ยังยืนยันว่าคนเสื้อแดงก็จะยังชุมนุมร่วมกันเดือนละ 2 ครั้งเหมือนเดิม เพราะการให้ประกัน 7 แกนนำ เหมือนเป็นรุ่งอรุณของความยุติธรรมเท่านั้น ตราบใดที่คนเสื้อแดงยังไม่ได้รับความยุติ ธรรมทั้งหมดก็ต้องเดินหน้าต่อสู้ต่อไป ทั้งนี้ ในวันที่ 6 มี.ค.จะทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้กับคนเสื้อแดงที่เสียชีวิตบริเวณแยกบ่อนไก่ที่มีคนเสียชีวิตที่นั่นเป็นจำนวนมากด้วย ซึ่งถ้าหากแกนนำ นปช.ทั้ง 7 คนสะดวกก็จะเดินทางไปร่วมงานด้วยอย่างแน่นอน

ด้านน.พ.เหวงกล่าวว่า ขอตั้งข้อสังเกตว่าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อ 10 เม.ย.53 จนถึงบัดนี้เวลาผ่านมาเกือบ 1 ปีแล้ว เหตุใดผลการพิสูจน์หลักฐานว่าเป็นการใช้อาวุธใดจึงเพิ่งมาเปิดเผยในช่วงนี้

'ณัฐวุฒิ'จวกดีเอสไอมั่ว

ด้านนายณัฐวุฒิกล่าวว่า กรณีการเสียชีวิตของนายฮิโรยูกิ มูราโมโต้ นั้น ตนขอตั้งข้อสังเกตว่า ขณะที่ช่างภาพของญี่ปุ่นเสียชีวิตนั้นอยู่ในฝั่งของผู้ชุมนุมคนเสื้อแดง มีพยานให้การว่าเห็นแสงไฟมาจากปากกระบอกปืนที่น่าจะมาจากทางด้านหน้าแล้วก็เสียชีวิต ดังนั้น ประเด็นจึงอยู่ที่นักข่าวคนดังกล่าวถูกยิงโดยใคร ไม่ใช่ว่าถูกยิงด้วยอาวุธชนิดไหน แต่คนที่สามารถจัดสรรอาวุธทุกชนิดได้ในประเทศไทยนั้นก็คือหน่วยงานด้านความมั่นคง ดังนั้น เรื่องนี้ต้องไปหาคนที่ยิงมาให้ได้ ไม่ใช่มาพูดกันว่าถูกยิงจากอาวุธชนิดไหนกันแน่ ทั้งนี้ ในวันที่ 27 ก.พ.แกนนำ นปช.จะไปร่วมทำบุญเลี้ยงพระเพลเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้ผู้ชุมนุมที่เสียชีวิตที่วัดปทุมวนารามด้วย โดยจะเดินทางไปถึงประมาณ 09.00 น. ส่วนการชุมนุมใหญ่ของคนเสื้อแดงในวันที่ 12 มี.ค. ที่อนุสาวรีย์ประชา ธิปไตยนั้น แกนนำจะไปร่วมชุมนุมและขึ้นเวทีปราศรัยด้วยอย่างแน่นอน สำหรับการจัดคอนเสิร์ตที่โบนันซ่านั้น หากรูปแบบกิจกรรมไม่ขัดต่อเงื่อนไขการให้ประกันตัวของศาลก็พร้อมที่จะไปร่วมชุมนุมด้วย

เตรียมช่วยที่เหลือในคุก

นายณัฐวุฒิกล่าวว่า ในสัปดาห์หน้าจะมีการยื่นประกันตัวคนเสื้อแดงที่ จ.อุดรธานี รวมทั้งคนที่ยังถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำพิเศษ กทม.เพิ่มเติมอีกด้วย แต่เนื่องจากแต่ละคนถูกข้อหากันคนละอย่าง ดังนั้น เงื่อนไขต่างๆ รวมทั้งหลักทรัพย์ในการยื่นขอประกันจึงมีความแตกต่างกันไปด้วย ดังนั้น พวกตนจะสอบถามไปยังกรมคุ้มครองสิทธิ เพื่อจะได้ทราบว่ามีการยื่นประกันตัวคนเสื้อแดงในรายใดบ้าง เพื่อที่จะได้ไม่ทำงานซ้ำซ้อนกัน

สำหรับแกนนำ นปช.ที่หลบหนีอยู่ต่างประเทศนั้น หลังจากเสร็จสิ้นการยื่นขอประกันตัวคนเสื้อแดงที่ถูกคุมขังอยู่ทั้งใน กทม.และต่างจังหวัดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จะมีการประเมินสถานการณ์ร่วมกันอีกครั้งกับแกนนำที่หลบหนีอยู่ เพราะเชื่อว่าทุกคนพร้อมที่จะพิสูจน์ตัวเองตามกระบวนการยุติธรรม เพียงแต่ที่ผ่านมา 8-9 เดือนนั้นแกนนำที่อยู่ต่างประเทศมองว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม ดังนั้น จะมีการประสานเพื่อให้กลับมาต่อสู้คดีอย่างแน่นอน ซึ่งทุกวันนี้ก็มีการติดต่อสื่อสารกันอยู่ผ่านเครือข่ายไซเบอร์ต่างๆ อยู่แล้ว

'ธาริต'ยันนักข่าวยุ่นโดนอาก้า

วันเดียวกัน นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ กล่าวถึงผลตรวจสอบการเสียชีวิตของนายฮิโรยูกิ มูราโมโต้ ช่วงภาพสำนักข่าวรอยเตอร์ ว่า ยอมรับว่าผลการตรวจสอบการเสียชีวิตเกิดจากอาวุธอาก้าจริง และพล.ต.ท.อัมพร จารุจินดา อดีตผบช. สพฐ.ตร. ใช้เวลาวิเคราะห์ภาพถ่าย รวมทั้งผลชันสูตรจากแพทย์มาประกอบข้อมูล การวิเคราะห์ก่อนจะสรุปผลออกมาว่าเป็นอาก้า ดังนั้น จึงทำให้ข้อสงสัยเดิมที่ระบุว่าอาจจะเกิดจากเจ้าหน้าที่ก็เปลี่ยนแปลงไป

ผู้สื่อข่าวถามว่า การเสียชีวิตของกลุ่ม นปช.ในวันเกิดเหตุเดียวกันพล.ต.ท.อัมพร สามารถระบุจากภาพถ่ายบาดแผลกระสุนปืนได้หรือไม่ นายธาริตกล่าวว่า ตนคงตอบไม่ได้ เพราะไม่แน่ใจว่าพล.ต.ท.อัมพรตรวจสอบกรณีของบุคคลใดบ้าง ต่อข้อถามว่า ผลจากตรวจสอบปรากฏออกมาแบบนี้เหมือนกับปกป้องเจ้าหน้าที่รัฐหรือไม่ นายธาริต กล่าวว่า ตนไม่ได้ทำให้ผลออกมาเพื่อช่วยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง แต่ทำไปตามข้อเท็จจริง

อ้างผลผ่าศพชัด-ไม่ใช่เอ็ม 16

ด้านพล.ต.ท.อัมพร จารุจินดา อดีตผู้บัญ ชาการสำนักงานพิสูจน์หลักฐาน (สพฐ.ตร.) และผู้เชี่ยวชาญด้านบาดแผลกระสุนปืน กล่าวถึงข่าวข้อมูลการเสียชีวิตของนายฮิโรยูกิ มูราโมโต้ นักข่าวญี่ปุ่น ที่ได้ตรวจสอบแล้วพบว่าเสียชีวิตจากการถูกอาวุธปืนสงครามชนิดอาก้า ว่า ตนยอมรับว่าเป็นคนพูด เพราะ ได้ตรวจสอบในเรื่องดังกล่าวจริง ที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับคดีนี้ก็เนื่องจากว่ามีความเชี่ยว ชาญเกี่ยวกับอาวุธปืน และเชี่ยวชาญด้านบาดแผลกระสุนปืน ร่วมทั้งประสบการณ์จากการทำงาน หลังจากที่เกษียณอายุราชการไปแล้วก็เลยได้รับเชิญเข้าไปเป็นที่ปรึกษาของกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ ส่วนผลการตรวจสอบบาดแผลของนายฮิโรยูกิ ที่มีหลายฝ่ายกังวลว่าผลการตรวจนั้นมีความละเอียด จนถึงขั้นที่จะบอกได้เลยหรือว่าเสียชีวิตเพราะกระสุนอะไรนั้น ก็ขอบอกเลยว่าเรื่องนี้เป็นการตรวจสอบไปตามหลักวิชาการทุกอย่าง ทุกอย่างมีหลักฐานรองรับความเป็นไปได้ ซึ่งตามหลักฐานที่นำมาจากผลการชันสูตรพลิกศพของนายฮิโรยูกิ เช่น ขนาดของบาดแผล เส้นทางหรือว่าวิถีกระสุน ภายในร่างของผู้ตาย ก็เพียงพอที่จะทำให้ระบุได้ว่าผู้ตายนั้นไม่ได้เสียชีวิตด้วยกระสุนปืนชนิดเอ็ม 16 ที่เจ้าหน้าที่ทหารใช้อย่างแน่ นอน แต่รายละเอียดต่างๆ มากไปกว่านี้ตนไม่อยากจะพูดมาก เพราะมันอาจส่งผลต่อรูปคดีได้

'เทือก'มั่นใจแจงได้ทุกเรื่อง

เวลา 09.00 น. ที่สนามบินสุวรรณภูมิ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง ให้สัมภาษณ์ถึงฝ่ายค้านจะนำข้อมูลเหตุการณ์สถานการณ์การชุมนุมทาง การเมืองตั้งแต่เดือนมี.ค.-พ.ค.2553 มาอภิ ปรายไม่ไว้วางใจ ว่า ฝ่ายค้านพยายามทำให้เห็นว่ารัฐบาลผิดอย่างนั้นอย่างนี้ เป็นโอกาสที่ดีจะได้ชี้แจงต่อสภา และประชาชน ไม่ได้หนักใจเพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่ภายใต้สายตาของสื่อมวลชนทั้งประเทศ ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงน่าวิตก

เมื่อถามถึงฝ่ายค้านระบุมีหลักฐานใหม่เกี่ยวกับคนเผาเซ็นทรัลเวิลด์ นายสุเทพ กล่าวว่า ขอให้รอดูว่าเป็นข้อมูลอะไร แต่มั่นใจว่าชี้แจงได้ทุกเรื่อง รวมทั้งเรื่องงบประมาณของศอฉ. เมื่อถามว่า มีการระบุข้อมูลจากดีเอสไอว่าช่างภาพรอยเตอร์ชาวญี่ปุ่นถูกยิงด้วยอาวุธปืนอาก้า ซึ่งไม่ใช่อาวุธที่ฝ่ายทหารใช้ นายสุเทพกล่าวว่า เรื่องการสอบสวนเป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ที่มีความชำนาญการที่จะสรุปผล แต่ตนคงไม่เข้าไปในรายละเอียด และยังไม่ได้รับรายงานใดๆ

โฆษกปชป.โต้แดงใส่ร้าย'มาร์ค'

ด้านน.พ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า พรรคประชาธิปัตย์ติดตามการอภิปรายนโยบายพื้นฐานของรัฐในสัปดาห์ที่ผ่านมา และเห็นว่าภาระสำคัญในการทำงานของพรรคเพื่อไทยยังสอดรับกับการชุมนุมของกลุ่มนปช. โดยเฉพาะการใส่ร้ายข้อมูลส่วนตัวของนายกฯ คือเรื่องสัญ ชาติ มากกว่าการทำงาน ซึ่งตามข้อเท็จจริงนายกฯ ดำเนินการมาตลอด 30 ปี อยู่บนพื้นฐานของความชัดเจน ทั้งพฤตินัยและนิตินัย ว่าไม่เคยใช้สิทธิ์ที่เป็นพลเมืองอังกฤษตามที่กล่าวหา และไม่เคยนำข้อเท็จจริงจากใบสูติ บัตรนั้นมากระทำการที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายใดๆ ทั้งปวง เพราะใครเกิดที่ไหนสูติบัตรก็จะสะท้อนการกำเนิดที่นั่น

"สิ่งที่ยืนยันการใช้สิทธิ์ในฐานะสัญชาติไทยของนายกฯ คือการเสียค่าเล่าเรียนที่อังกฤษ และการขอวีซ่าเดินทางเข้าสหราชอาณาจักรทุกครั้ง ซึ่งสิ่งเหล่านี้ยืนยันว่าแม้นายอภิสิทธิ์จะขอใช้สิทธิ์ในฐานะพลเมืองอังกฤษก็ไม่สามารถใช้ได้ เพราะเคยใช้สิทธิ์พลเมืองสัญชาติไทยมาตลอด ประเด็นเรื่องสละสัญชาติจึงไม่เป็นประเด็น ไม่มีสัญชาติใดที่ต้องสละ และไม่มีอะไรต้องดำเนินการเพิ่มเติมจากที่ทำมาตลอด 30 ปี เรื่องนี้ควรได้ข้อยุติแล้ว" น.พ.บุรณัชย์กล่าว

ยำ'ทักษิณ'-พาดพิงเบื้องสูง

โฆษกพรรคประชาธิปัตย์กล่าวว่า หากฝ่ายค้านและกลุ่ม นปช.ต้องการสร้างความเชื่อเพื่อเป็นเงื่อนไขยื่นเรื่องการดูแลรักษาความสงบระหว่างการชุมนุมต่อศาลอาญาระหว่างประเทศ ซึ่งเรื่องนี้ถือว่าไม่ชอบตามข้อกำหนด เป็นความเท็จ ใส่ร้ายเรื่องสัญชาติ โดยหลักกฎหมายระหว่างประเทศกรณีเดียวที่จะพิจารณาเหตุการณ์การชุมนุมที่ผ่านมา เป็นเรื่องของสถาบันตุลาการในประเทศนั้นๆ ไม่สามารถทำการได้ ล่มสลายลง ซึ่งไม่ใช่กรณีของไทย เพราะสถาบันตุลาการยังเป็นระบบประชาธิปไตยที่มีอิสระ ยึดถือการวินิจฉัยกฎหมายมาตลอด แต่นี่คือเหตุผลที่ฝ่ายค้านและ นปช.พุ่งเป้าการทำลายความน่าเชื่อถือของสถาบันตุลาการ สอดรับกับการเคลื่อนไหวของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และนายโรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม ที่พยายามชี้ให้เห็น โดยในเอกสารที่นายอัมสเตอร์ดัมใช้ประกอบการพยายามยื่นต่อศาลอาญาระหว่างประเทศนั้น คือการอ้างพาดพิงถึงสถาบันสูงสุดของประเทศโดยไม่บังควร ว่ามีส่วนกำหนดการวินิจฉัยของศาล ซึ่งสร้างความเข้าใจผิดให้กับสถาบันสูงสุดของไทย และเป็นเงื่อนไขสำคัญที่จะทำให้การเคลื่อนไหวในต่างประเทศต้องชี้แจง หากไม่หยุดยั้งการกระทำดังกล่าว

โวปล่อยเสื้อแดง-สมานฉันท์

น.พ.บุรณัชย์กล่าวถึงการชุมนุมของกลุ่ม นปช.หลังจากมีการปล่อยตัวแกนนำ ว่า พรรคยินดีที่รัฐบาลใช้ความยุติธรรมเชิงสมานฉันท์ที่รัฐบาลใช้สร้างความปรองดองตามความเห็นของคณะกรรมการอิสระชุดนายคณิต ณ นคร นั้นมีส่วนให้แกนนำถูกปล่อยตัว และช่วยเหลือประกันตัว โดยกองทุนของกระทรวงยุติธรรมและรัฐบาลนั้น เห็นว่าขณะนี้แนวทางของกลุ่ม นปช.เริ่มปรากฏชัด คือผู้ที่จะกลับมาเข้าร่วมเคลื่อน ไหวในสภากับกลุ่มที่ต้องการให้ความขัดแย้งในบ้านเมืองดำเนินต่อไป ซึ่งแนวทางของรัฐบาลเองและกระบวนการยุติธรรมนั้นจะแยกผู้เคลื่อนไหวทั้งสองกลุ่มออกจากกัน ยืนยันว่าหากผู้ชุมนุมและผู้สนับสนุน แกน นำนั้นไม่เกี่ยวข้องกับความรุนแรง ก็จะไม่ต้องถูกดำเนินคดี ในฐานะที่เป็นผู้ก่อการร้าย เฉพาะผู้ชุมนุมทางการเมืองที่เกี่ยวข้องโดย ตรงกับความสูญเสียความรุนแรงที่จะต้องรับผิดชอบตามกฎหมาย

ปรองดองได้-แต่ต้องตามกติกา

แดงภูพาน- กลุ่มคนเสื้อแดงจังหวัดสกลนคร จัดเวที "รวมพลคนภูพาน" ต้านเผด็จการ นปช.สกลนคร-ชมรมคนรักสกลนคร ที่สนามหญ้าใกล้สี่แยกถนนคูเมือง เยื้องห้างบิ๊กชี จ.สกลนคร มีผู้มาร่วมงานนับหมื่น เมื่อวันที่ 26 ก.พ.


น.พ.บุรณัชย์กล่าวว่า ส่วนการชุมนุมทาง การเมืองขณะนี้ถึงเวลาที่แกนนำและผู้สนับ สนุนในต่างจังหวัดที่ไม่เกี่ยวข้องกับความรุนแรงได้รับอิสรภาพ ประมาณ 80 คน ตามจังหวัดต่างๆ เป็นการส่งสัญญาณที่ดีในการปรองดอง แต่แกนนำที่ได้รับการปล่อยตัวแล้วควรบริสุทธิ์ใจโดยการร่วมมือนำแกนนำคนอื่นๆ เช่น นายอริสมันต์ พงศ์เรืองรอง นายสุพร อัตถาวงศ์ เข้าสู่กระบวนการยุติ ธรรม และตัดขาดความสัมพันธ์กับผู้ที่สร้างความรุนแรง ตั้งกองกำลัง ผู้ที่เคลื่อนไหวใต้ดิน ทั้งผ่านทางสิ่งพิมพ์และเว็บไซต์โดยการพาดพิงสถาบันที่อยู่เหนือความขัดแย้งทางการเมืองทุกส่วน

น.พ.บุรณัชย์กล่าวถึงพ.ต.ท.ทักษิณให้ สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนญี่ปุ่นระบุการเลือกตั้งจะไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้หากตัวเองไม่ได้รับการอภัยโทษ ว่า เป็นการนำประโยชน์ของตัวเองมาสร้างเป็นเงื่อนไขสร้างความ ปรองดองในประเทศ โดยมีเหตุผลไม่ยอมอยู่ภายใต้กฎหมายของไทย ซึ่งรัฐบาลและระบบตุลาการคงไม่สามารถสนองต่อการแก้ไขปัญหาส่วนบุคคลได้ จนกระทั่งพ.ต.ท. ทักษิณยอมเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมเหมือนแกนนำ นปช.คนอื่นๆ ที่ไม่ได้หลบหนีลี้ภัยออกนอกประเทศ หรือใช้สัญชาติต่างชาติเพื่อเลี่ยงการถูกบังคับใช้กฎหมายในประเทศเช่นเดียวกับพ.ต.ท.ทักษิณ การที่นายนพดล ปัทมะ ออกมาระบุว่าพ.ต.ท.ทักษิณใช้สัญ ชาติ และพาสปอร์ตมอนเตรเนโกรด้วย ความจำเป็นนั้นยืนยันว่าเป็นการเลือกถือสัญชาติ และพาสปอร์ตอื่นเพื่อจะไม่ต้องอยู่ภายใต้กฎหมายของไทย

น.พ.บุรณัชย์กล่าวถึงนายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทยระบุที่นายอภิสิทธิ์ดำเนินการในลักษณะดังกล่าวเพื่อเตรียมตัว ลี้ภัยว่า ขอยืนยันว่านายอภิสิทธิ์ไม่มีพฤติ กรรมเหมือนกับพ.ต.ท.ทักษิณ ที่หนีความรับผิดชอบทางกฎหมาย ไม่ว่าจะเกิดกรณีใดๆ รัฐบาลชุดนี้ยึดหลักว่าทุกคนต้องอยู่ภายใต้กฎหมายโดยเท่าเทียมมาโดยตลอด ฝากนายพร้อมพงศ์ให้แยกแยะพฤติกรรมของคนอื่นออกจากพฤติกรรมของนายตัวเองด้วย

เทพไทย้ำมาร์คมีสิทธิทางการเมือง

นายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการถือสัญชาติของนายกฯ ว่า นายกฯ ได้ชี้แจงข้อเท็จจริงในสภาผู้แทนราษฎรเรียบร้อยแล้ว ปัญหาต่างๆ น่าจะจบสิ้นเพราะไม่เกี่ยวกับการดำรงตำแหน่งทางการเมืองของนายกฯ ไม่ทราบว่าผู้ที่พยายามขยายจุดนี้หวังผลอะไร เพราะนายกฯ ไม่คิดหลบหนีความจริงตามที่ถูกกล่าวหา และนายกฯ ไม่เคยใช้สัญชาติอังกฤษมาก่อน ดังนั้น การจะสละสัญชาติหรือไม่ไม่ใช่สาระสำคัญ ถ้าศาลอาญาระหว่าง ประเทศรับฟ้องในเรื่องนี้ นายกฯ ก็พร้อมจะต่อสู้คดีเต็มที่ในข้อเท็จจริงที่ปรากฏ

นายเทพไทกล่าวว่า ส่วนที่โฆษกพรรคเพื่อไทยระบุที่นายอภิสิทธิ์ไม่สละสัญชาติอังกฤษเพราะต้องการลี้ภัยหลังจากหมดวาระนั้น ได้สอบถามนายกฯ แล้วไม่เคยมีแนวความคิดและไม่มีเหตุผลใดที่ต้องลี้ภัยเพราะไม่ได้ทำความผิด เชื่อว่าเหตุที่ยกประเด็นนี้ขึ้นมาเพื่อหวังขยายผลอีกว่านายกฯ เตรียมหลบหนีคดีของศาลอาญาระหว่างประเทศ อย่างไรก็ตาม กกต.และหน่วยงานต่างๆ ได้ออกมายืนยันแล้วว่า นายกฯ มีสิทธิและมีคุณสมบัติพร้อมดำรงตำแหน่งทางการเมือง ดังนั้น ข้ออ้างเรื่องความสับสนในสัญชาติของนายกฯ จะไม่เป็นความจริง อยากให้คนในพรรคเพื่อไทยไปถามนายใหญ่ว่าที่ถืออยู่ 3-4 สัญชาตินั้น สร้างความสับสนให้คนไทยหรือไม่

'มาร์ค'ยันเรื่องสัญชาติไร้ปัญหา

เวลา 15.15 น. ที่อาคารจามจุรีสแควร์ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำนปช. ขยายประเด็นเรื่องสองสัญชาติของนายกฯ เพื่อนำไปฟ้องศาลอาญาระหว่างประเทศ ว่า ไม่มีปัญหา เขาก็ฟ้องไปแล้ว ไม่มีปัญหาใดๆ ทั้งนั้น เพราะตนเรียนแล้วว่าข้อเท็จจริงคืออะไร ส่วนข้อกฎหมายจะเป็นอย่างไรก็ว่าไปตามกฎหมาย แต่ไม่มีปัญหาเรื่องสัญชาติไทยของตนอยู่แล้ว ส่วนตนเกิดที่ไหนและมันเป็นเรื่องสิทธิตามกฎหมายของต่างประเทศ ตนเป็นคนไทยคงไม่ต้องไปไล่ตามดูว่ากฎหมายของประเทศนั้นบอกว่าตนต้องทำอะไร และเจตนาก็ชัดเจนตั้งแต่ตอนเรียนหนังสือ ตั้งแต่เดินทางเข้าไปอังกฤษทุกครั้งตนต้องไปขอวีซ่า เรื่องมันก็มีเท่านั้น ส่วนเรื่องที่ไปฟ้องศาลโลกถึงอย่างไรเขาก็ไปฟ้องอยู่แล้ว ส่วนศาลจะรับหรือไม่เป็นเรื่องของศาลโลก

เมื่อถามว่า คิดว่ากลุ่ม นปช.จะนำเรื่องนี้ขยายผลเพื่อประโยชน์ต่อการชุมนุมของคนเสื้อแดงหรือไม่ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า คงไม่ เรื่องนี้มีอยู่แค่ว่าเขาต้องการหาช่องลากเรื่องนี้ขึ้นไปศาลโลกเท่านั้นเอง ต่อข้อถามว่า กลุ่ม นปช.ได้นำประเด็น 91 ศพกลับมาพูดอีกในช่วงนี้ นายกฯ กล่าวว่า เรื่องนี้ในทางต่างประเทศเขาเดินไปของเขาอยู่แล้ว เพราะนายโรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม รับจ้างมาทำงานนี้เขาก็ต้องทำงานของเขาไป และเขาก็ส่งไปให้เป็นเรื่องของศาลโลก ดังนั้น เป็นเรื่องของศาล โลกต้องพิจารณาต่อไป

ลั่นไม่ฟ้องถ้าไม่มีใครพูดหมิ่น

เมื่อถามว่า ในแง่กฎหมายถือว่ามีผลกระ ทบต่อตัวนายอภิสิทธิ์หรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า ไม่เกี่ยว เพราะคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ชี้แจงชัดเจนอยู่แล้ว เมื่อถามว่า จะปกป้องตัวเองด้วยการฟ้องร้องหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า ไม่ได้มีปัญหาอะไร ขึ้นอยู่กับว่าเขาพูดอะไร

เมื่อถามถึงกรณีแกนนำ นปช.พยายามเดินสายที่จะเรียกร้องให้ปล่อยตัวแนวร่วมที่ถูกจำคุกอยู่ในต่างจังหวัด นายกฯ กล่าว ว่า ความจริงรัฐบาลทำเรื่องนี้อยู่แล้วในการช่วยเหลือทางกฎหมายในกรณีของผู้ที่ไม่มีโอกาส ซึ่งเข้าใจว่าที่ผ่านมามีการให้ประกันตัวไปแล้ว 40-50 คน ถือเป็นจำนวนมากพอสมควรและเป็นดุลพินิจของศาล และเป็นแนวทางที่รัฐบาลดำเนินการอยู่ แต่ถ้ามีประ เด็นใดที่ยังไม่ได้รับความเป็นธรรมในเรื่องไหนรัฐบาลก็ยินดีที่จะทำให้ทุกกลุ่ม ถือเป็นหน้าที่ของกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ และเป็นหน้าที่ของกระทรวงยุติธรรม ซึ่งในความเป็นจริงได้ปล่อยตัวจำนวนมากแล้ว แต่คนสนใจเฉพาะแกนนำเท่านั้น

แดงปากน้ำไล่'มาร์ค'ตรวจรง.

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 15.30 น. นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เดินทางมาตรวจเยี่ยมโรงกลั่นน้ำมันปาล์มมรกต ถ.ปู่เจ้าสมิงพราย จ.สมุทรปราการ ปรากฏว่ากลุ่มเสื้อแดงประมาณ 30-35 คน มารวมตัวชุมนุมขับไล่นายกฯ บริเวณริมถนนปู่เจ้าสมิง พราย ทางแยกเข้าโรงกลั่นดังกล่าว โดยสวมเสื้อแดง พร้อมชูรองเท้า ตีนตบ และหัวควายที่ทำจากกระดาษ โดยเมื่อขบวนรถของนายกฯ ออกมาจากโรงงานกลุ่มคนเสื้อแดงได้พากันตะโกนขับไล่ พร้อมปาขวดน้ำใส่ขบวนรถนายกฯ ผ่านเข้า-ออก ท่ามกลางกำลังตำรวจนับร้อยที่ยืนเรียงแถวหน้ากระดานคอยอารักขา

'ตู่'เหน็บดีเอสไอระวังบาป

นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย และแกนนำนปช. กล่าวถึงกรณีที่มีรายงานข่าวว่าดีเอสไอสรุปว่าหัวกระสุนที่สังหารนายฮิโรยูกิ มูราโมโต้ ช่างภาพสำนักข่าวรอยเตอร์ เป็นหัวกระสุนปืน อาก้า ซึ่งไม่มีใช้ในเจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจ ว่า อย่างที่ตนเคยแถลงไปแล้วก่อนจะมีคำสั่งศาลห้ามไม่ให้พูดเรื่องนี้ว่ารายละเอียดเป็นอย่างไร ทั้งพยานบุคคลที่ให้การตรงกันตามสำนวนการสอบสวนของดีเอสไอ การสรุปคดี ภาพจากกล้องช่างภาพญี่ปุ่น ทุกอย่างชี้ ให้เห็นตรงกันว่าเป็นการยิงมาจากไหน หากอยากฟังข้อเท็จจริงขอให้รอฟังในการอภิ ปรายไม่ไว้วางใจ ซึ่งตนจะนำสำนวนการสอบสวนของดีเอสไอมาเปิดเผยในสภาทั้งหมด

"เวลาผ่านมาเกือบปีแล้วดีเอสไอมาเบี่ยงเบนประเด็นอะไรตอนนี้ คิดอย่างอื่นไม่ได้ว่าต้องการลดความน่าเชื่อถือในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ส่วนเรื่องช่างภาพญี่ปุ่นดีเอสไอคิดว่าเขาไม่รู้เรื่องหรืออย่างไร เพราะก่อนหน้านี้คนเสื้อแดงเคยเอาสำนวนสอบสวนของดีเอสไอไปมอบให้แล้ว ทางทูตญี่ปุ่นเองก็เอาสำนวนนี้ไปสอบถามกับสตช. ทาง สตช.ก็ยืนยันว่าตรงกับที่ได้รับจากดีเอสไอ แล้วยังคิดจะทำอะไรอีก ขอให้คำนึงถึงบาปบุญคุณโทษไว้บ้าง" นายจตุพรกล่าว

เล็งฟ้องศาลอังกฤษ

นายจตุพรกล่าวถึงกรณีที่นายกฯ ยอมรับว่าไม่ได้สละสัญชาติอังกฤษ ว่า อีก 1-2 วันจะได้ร่วมหารือกับนายโรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม ทนายความของนปช. เพื่อหารือในประเด็นข้อกฎหมาย เนื่องจากนายโรเบิร์ตให้ความเห็นว่าเมื่อนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ ไม่ได้สละสัญชาติอังกฤษ เท่ากับว่ามีสถานะเป็นบุคคลสัญชาติอังกฤษโดยอัตโนมัติ ดังนั้น นอกจากจะยื่นฟ้องต่อศาลอาญาระหว่างประเทศได้แล้ว ก็น่าที่จะยื่นฟ้องต่อศาลประ เทศอังกฤษ ที่ถือว่านายอภิสิทธิ์เป็นพลเมืองอยู่ในข้อหาเดียวกันกับที่ยื่นฟ้องต่อศาลอาญาระหว่างประเทศได้ แต่รายละเอียดคงต้องรอหารือกับนายโรเบิร์ตอีกครั้ง

แดงสกลฯจัดปราศรัยใหญ่

เวลา 18.00 น. ผู้สื่อข่าวรายงานจาก จ.สกลนคร ว่า มีกลุ่มคนเสื้อแดงในจังหวัดสกนคร จัดเวที "รวมพลคนภูพาน" ต้าน เผด็จการ นปช.สกลนคร-ชมรมคนรักสกล นคร ที่บริเวณสนามหญ้าใกล้สี่แยกถนนคูเมือง เยื้องห้างบิ๊กชีสกลนคร โดยมีประชา ชนและคนเสื้อแดงเดินทางมาร่วมงานนับหมื่นคน ทำให้บริเวณสนามหญ้ากว่า 4 ไร่ เต็มไปด้วยคนเสื้อแดง

โดยมีแกนนำคนสำคัญ อาทิ นายพราหมณ์ ศักดิ์ระพี แกนนำเสื้อแดงสกลนครและแกนนำจากอำเภอต่างๆ จำนวน 18 อำเภอ ในจัง หวัดสกลนคร ผลัดกันขึ้นเวทีปราศรัยโจมตีรัฐบาล โดยในช่วงค่ำจะมีแกนนำอย่าง นาย จตุพร พรหมพันธุ์ และนายแพทย์เหวง โตจิราการ และส.ส.พรรคเพื่อไทยขึ้นเวที นอกจากนี้ ยังมีการเปิดให้มีการจัดทำบัตรสมาชิก นปช.รุ่นใหม่ด้วย พร้อมกับนำสินค้าคนเสื้อแดงมาจำหน่ายให้กับผู้ร่วมงาน และมีการนำโรงทานอาหารมาบริการฟรี

เผยวีระ-ราตรีเซ็นขออภัยโทษ

เมื่อวันที่ 26 ก.พ. ที่สถาบันพระปกเกล้า ศูนย์ราชการ ถนนแจ้งวัฒนะ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งไทย-กัมพูชาว่า ในทางนโยบายชัดคือจะเน้นการค้าการลงทุน เพราะมูลค่าการค้าการลงทุนไทย-กัมพูชา ปีที่แล้วโตถึง 40% ในการหารือกับสมเด็จฮุนเซน นายกฯกัมพูชาทุกครั้ง ก็พูดถึงแต่เรื่องการค้า ยืนยันว่าปัญหาเกิดขึ้นภายหลังกัมพูชาอยากขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก ซึ่งต้องเสนอแผนบริหารจัดการพื้นที่ตามมา ที่จะกลายเป็นการเอาดินแดนไปโดยปริยายเหมือนคำตัดสินของศาลโลกเมื่อปี 2505 ที่ตัดสินให้กัมพูชาชนะคดีปราสาทพระวิหาร โดยอ้างว่าฝ่ายไทยไม่คัดค้านแผนที่

"ก่อนจะมีมรดกโลกคนไปเที่ยวปราสาทพระวิหารกันได้ ไม่ต้องเถียงกันเลยว่าอะไรอยู่ตรงไหน แค่แบ่งผลประโยชน์กันไป ทางขึ้นไทยเก็บค่าเข้า พอจะเข้าปราสาท กัมพูชาก็เก็บอีกต่อ แต่หลังการขึ้นมรดกโลกในปี 2551 มีการส่งกำลังทหารเข้าไปยึด ที่ต้องปิดด่าน เพราะในพื้นที่ยังมีกำลังทหารอยู่ ถ้าจะให้เปิดด่านเวลานี้ให้นักท่องเที่ยวขึ้นก็ทำได้ แต่จะมีบางกลุ่มไม่ได้ไปท่องเที่ยว จะมีความเสี่ยงทำให้ปัญหาลุกลาม ตนจึงบอกกับยูเอ็นและยูเนสโกตั้งแต่ครึ่งปีที่แล้วว่าให้หยุด เพราะหากกัมพูชาจะมาเคลียร์พื้นที่ตรงนี้ ผมก็ยอมไม่ได้ แต่แนวโน้มน่าจะดีขึ้น เพราะยูเนสโกจะเลื่อนแผนบริหารจัดการพื้นที่ ให้เราไปคุยกับกัมพูชาก่อน หลักการคือต้องมีสิทธิบริหารร่วมกัน" นายอภิสิทธิ์ กล่าว

นายอภิสิทธิ์ กล่าวถึงกรณีที่ระบุยูเนสโก เตรียมเลื่อนแผนบริหารจัดการพื้นที่รอบปราสาทพระวิหารที่เสนอโดยกัมพูชาในการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกที่บาห์เรน เดือนมิ.ย.นี้ว่า ยูเนสโกคงไปคุยกับกัมพูชา แต่เขาคงจะเข้าใจแล้วว่าการเดินหน้าต่อไปจะทำให้เกิดปัญหา ตนคิดว่ายูเนสโกคงได้คุยกับทางกัมพูชาภายใน 1-2 เดือนนี้ เพื่อไม่ให้เกิดความตึงเครียดมากขึ้น

ส่วนกรณีนายวีระ และน.ส.ราตรีที่ถูกพิพากษาจำคุกในศาลกัมพูชาทำเรื่องขอพระราชทานอภัยโทษ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ตนเห็นจากข่าวเท่านั้นว่านายณฐพร โตประยูร ทนายความของนายวีระและน.ส.ราตรีแถลง แต่เรื่องทั้งหมด ต้องให้เจ้าตัวเท่านั้นเป็นคนตัดสินใจ รัฐบาลแค่อำนวยความสะดวก ติดต่อขอเอกสารในการต่อสู้คดี และแจ้งให้ทราบถึงการประสานงานระหว่างฝ่ายบริหาร 2 ประเทศ แต่การตัดสินใจขั้นสุดท้ายต้องเป็นเรื่องของครอบครัวและเจ้าตัว โดยมีทนายความที่ได้รับมอบอำนาจเป็นตัวแทน

เมื่อถามว่าสมเด็จฮุนเซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชาระบุว่าบุคคลทั้งสองจะต้องได้รับโทษ 2 ใน 3 ก่อนถึงจะขอพระราชทานอภัยโทษได้ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ตอบยากเพราะในอดีต เราก็เคยเห็นคดีที่ขออภัยโทษได้ อย่างกรณีนายศิวรักษ์ (ชุติพงษ์ วิศวกรไทยที่ถูกจับในข้อหาจารกรรมตารางการบินของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร) มาแล้ว โดยไม่ต้องรับโทษ 2 ใน 3

ด้านนายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต เลขานุการ รมว.ต่างประเทศ กล่าวถึงถึงกรณีที่นายวีระ สมความคิด และ น.ส.ราตรี พิพัฒนาไพบูรณ์ ที่ลงนามในหนังสือขอพระราชทานอภัยโทษต่อกษัตริย์กัมพูชาว่าได้รับการแจ้งว่าทนายแจ้งว่าวีระลงนามในเอกสาร แต่รอให้ทางครอบครัวและทนายยืนยันมาก่อน จึงจะเริ่มดำเนินการต่อไป ซึ่งไม่สามารถประเมินได้ว่าจะได้รับการปล่อยตัวเมื่อไหร่เพราะต้องเจรจากับรัฐบาลกัมพูชาเสียก่อน



The Loss of Identity 
จาก http://www.our-teacher.com/home/space.ph...ead&id=238
By Colonel Sutat Jarumanee
 
It is undeniable that English is not just a form of communication, but is also concepts and sets of ideas. English is not only a language, but knowledge itself.

Some officers believe that the Army must develop its own unique doctrine, (How the Army fights to win wars and how it operates to achieve its goals) without the need to learn from other nations doctrines, (especially U.S. Army doctrine), due to a wide “technological divide”. This perception is impractical.

These same officers ignore “Military Professional English” which can only be cultivated through English military texts of others nations. Ignoring means losing. Losing “Military Professional English” means losing “Military Professional”. Losing “Military Professional” means losing values, identity, ideology, and finally losing all! Again, English is not just a language, it is knowledge itself.

Additionally, these officers make no contribution to the development of Royal Thai Army doctrine. Instead they attempt to utilize other career values, identity and ideology, especially in profit-making or other forms of self-service. They attempt to import attributes from civilian educational institutions and then try to use them in Army institutions.

Broad based education from civilian sources is useful and beneficial, but those who ignore the Army’s core values while embracing the flaws of other instituions have wasted their education, time, and money. Civilian education must be combined with your Military Professional Values, identity and ideology to be beneficial to the Army. 

While some Army officers do not use English military texts, doctors who do not have their own “disease fighting doctrine” are still doing their diagnosis, prescribing and administering medicines with their English texts. The same is true of other professionals like lawyers, engineers, architects, etc. 

Having our own doctrine in the 21st century without learning from English military texts sounds to me like having doctors cure patients only by Thai medicines, lawyers having nothing to do with international laws, engineers use only local materials to build sky scrapers, and architects creating no other style than Thai architectures. 

As the Incubator of the Nation’s Professional Military Leaders, though some must be same to others, what makes the CRMA different from other civilian institutes is not just our curriculum. The major differences are morals, ethics and discipline, things above and beyond what civilians can understand without the same training and commitment you have.

Why then are civilian business standards to be used as the tools to gage military performance instead of Military Professional ones? Clearly the social chasm between civilian and military provides a different lens through which each side sees the world.

Soldiers must adhere to their core values instead of trying to embrace the values of others when it is convenient for them. Soldiers who do not maintain their core values will gradually continue to lose their identity until they are no longer soldiers at all.

Civilian academics must be more open-minded, as they are now unwilling to accept, or unable to understand other points of view other than their own. Worse yet, they arrogantly impose their one-sided standards over others who uphold higher moral and ethical standards than they do.

At this point, I welcome arguments.

- Trying to do much of “civic actions, public relations”, “public appeasing operation” in shallow and narrow sense of professional ideology, 

- Trying to be and know and do like civilians be, know and do,

- Trying to compete with them in the way the Army does not belong(profit – making/self – serving capabilities instead of selfless – serving ideology);

- Trying to be accepted/rewarded in accordance with other standards 

where the Army is not a type; 

Are not only of useless efforts, but also widening the gap of social chasm, yet causing the Army to be on the blink of identity extinction. 

There are more to Soldiers than being understood by Others. 

Only if Soldiers were exactly what they must be, embraced with what they really must know, and focused on what they absolutely must do; 

the Army would then no longer be prejudged and stereotyped by others; and the social chasm would then be bridged.

(The Be/Attributes; Know/Perspectives; and Do/Imperative of Professional Soldiers are to be discussed later).
ตอกหน้ากองทัพไทย..ทหารสิ้นเอกลักษณ์ ...โดยนายทหารผู้หนึ่งเมื่อปี 2548 **
คัดจากข้อความบางตอนของพันเอก สุทัศน์ จารุมณี
รองผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ ๔/รองผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจยะลา
เขียนไว้เมื่อเป็น ผู้อำนวยการกองยุทธการและการข่าว โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า ๒๕๔๘
(พูดเสร็จข้ามปี..นายทหารใหญ่แม่งทำรัฐประหารเลย)
จาก http://www.our-teacher.com/home/space.ph...ead&id=238
(ต้องพยายามอ่านถึงจะเข้าใจความหมาย)
  • อย่าสูญเสียเอกลักษณ์ "The Loss of Identity"

    sutat 2009-10-12 18:12
    บทความสองภาษา เรื่อง
    (อย่า) สูญเสียเอกลักษณ์ "The Loss of Identity"

    โดย พันเอก สุทัศน์ จารุมณี
    รองผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ ๔/รองผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจยะลา
    เขียนไว้เมื่อเป็น ผู้อำนวยการกองยุทธการและการข่าว โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า ๒๕๔๘

    ปฏิเสธได้ยากว่า ภาษาอังกฤษ ปัจจุบัน มิได้เป็นพียงรูปแบบหนึ่งของการสื่อสารระหว่างมนุษย์เท่านั้น แต่เป็นเครื่องสื่อความหมายสิ่งที่เป็น นามธรรม และ แนวความคิด; ภาษาอังกฤษ ไม่ใช่เป็นเพียงแค่ ภาษา เท่านั้น แต่มันเป็นทั้ง สื่อความรู้ และเป็นทั้ง ความรู้ อยู่ในตัวของมันเอง บางคน คิดว่า กองทัพบกไทย ต้องมี หลักนิยม เป็นของตนเอง โดยไม่จำเป็นต้องเรียนรู้ของชาติอื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งของประเทศที่ก้าวหน้าเช่น สหรัฐอเมริกา บอกว่าไม่ต้องพูดถึง เพราะแตกต่างกันมากทางด้านเทคโนโลยี – (ความคิดนี้ ไม่น่าจะถูก)

    บุคคลดังกล่าว จึงหันหลังให้/ไม่เอา “ภาษาอังกฤษทางทหารในระดับมืออาชีพ” ซึ่งจะได้มาก็ต้องด้วยการอ่านหนังสือทางทหารของต่างชาติเท่านั้น 

    การหันหลังให้/ไม่เอา ก็เท่ากับสูญเสีย นั่นเอง
    · การสูญเสีย (โอกาสที่จะใช้) “ภาษาอังกฤษทางทหารในระดับมืออาชีพ” ย่อมนำไปสู่การสูญเสีย “ความเป็นทหารอาชีพ” 

    · การสูญเสีย “ความเป็นทหารอาชีพ” ก็คือ การสูญเสีย เอกลักษณ์, ค่านิยม และ อุดมการณ์ ทางทหาร และ ต่อไปก็คงต้องสูญเสีย ทุกอย่าง

    บุคคลเหล่านั้น นอกจากจะไม่ช่วยอะไรในการพัฒนาหลักนิยม ที่บอกว่า กองทัพบก ต้องมีเป็นของตนเองแล้ว ยังไปคว้าเอา เอกลักษณ์, ค่านิยม และ อุดมการณ์ ของ อาชีพอื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ของอาชีพที่ “มุ่งทำกำไร” และอาชีพที่ “มุ่งผลเพื่อตนเอง” ในรูปแบบต่างๆ แล้วพยายามนำกลับเข้ามายัดเยียด ให้เป็นของ กองทัพ ด้วยวิธีการ และเหตุผลต่างๆ นานา

    (เรื่องภาษาและหลักนิยม ซึ่งจำเป็นต้องเปิดกว้างให้เป็นสากล บอกว่า ไม่ต้องการทำตามอย่างใคร แต่ เอกลักษณ์, ค่านิยม และ อุดมการณ์ ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องมีเป็นของตนเอง กลับยินดีที่จะรับเอาของคนอื่นมาใช้ และยินดีที่จะเดินตามหลังคนอื่นได้ นับว่าน่าประหลาด)

    ความรู้ฐานกว้าง จากการศึกษาในสถาบันพลเรือน ก็เป็นสิ่งที่มีประโยชน์ยิ่งต่อกองทัพด้วยเหมือนกัน ข้อนี้ไม่มีใครปฏิเสธ แต่การหันหลังให้ แก่นแท้ค่านิยม ของกองทัพ โดยมุ่งจะเอาแต่เปลือกจากภายนอกนั้น นับว่าน่าจะเป็นการสูญเปล่า ทั้งความรู้ที่ศึกษา, เวลา และเงินทอง กองทัพคงไม่ได้ประโยชน์อะไร หากความรู้เหล่านั้นไม่อาจไปด้วยกันได้กับ เอกลักษณ์ ค่านิยม และ อุดมการณ์ ของทหารอาชีพ (การเรียนของทหารต้องมีเอกลักษณ์ เพราะเป็นการเรียนรู้สู่เป้าหมายเฉพาะที่ชัดเจนแล้ว คือ มุ่งเป็นทหารอาชีพ ย่อมต้องต่างกันกับการเรียนอื่นๆ ที่มุ่งเป็นอย่างอื่นๆ หรือการเรียนที่ยังไม่รู้ว่าจะทำอาชีพอะไร)

    ขณะที่ ทหาร ไม่ต้องการใช้ตำราภาษาอังกฤษ แพทย์ ซึ่งไม่คิดที่จะมี “หลักนิยมในการต่อสู้กับโรค” เป็นของตนเอง ยังคงวินิจฉัยโรค และสั่งยา ด้วยตำราภาษาอังกฤษ ต่อไป เช่นเดียวกันกับ มืออาชีพอื่นๆ เช่น นักกฎหมาย, วิศวกร และ สถาปนิก เป็นต้น

    ต้องการจะมีหลักนิยมเป็นของตนเอง ในยุคศตวรรษที่ ๒๑ โดยไม่ต้องการเรียนรู้จากตำราภาษาอังกฤษ ก็ไม่ต่างจาก แพทย์ที่ต้องการรักษาคนไข้ด้วยยาที่ผลิตในประเทศไทยเท่านั้น, นักกฎหมายที่ไม่ใส่ใจกับกฎหมายระหว่างประเทศ, วิศวกรที่จะสร้างตึกสูงระฟ้าด้วยวัสดุภายในประเทศเท่านั้น หรือเหมือนกับ สถาปนิกผู้ซึ่งจะไม่คิดสร้างสรรค์สถาปัตยกรรมแบบใดๆเลย นอกจากแบบไทยๆ เท่านั้น

    ในฐานะที่เป็น “อู่ฟูมฟัก” ผู้นำทางทหารของชาติ โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า ต้องมีความแตกต่างจากสถาบันพลเรือนอื่นๆ อย่างแน่นอน (แม้จะมีบางอย่างจำเป็นต้องให้เหมือนกันโดยทั่วไปก็ตาม) ความแตกต่างดังกล่าว ย่อมไม่ใช่แต่เพียงที่ หลักสูตร เท่านั้น แต่ คงจะต้องแตกต่างกันอย่างมากที่ คุณธรรม, จริยธรรม, วินัย และ สิ่งต่างๆ ซึ่งอยู่ เหนือขึ้นไป และ ไกลเกินกว่า ที่คนทั่วไป ผู้ซึ่งไม่ได้ ร่วมฝึก/อบรม, ร่วมอุดมการณ์ และ ร่วมปณิธานเดียวกัน จะเข้าใจได้โดยง่าย 

    แล้วเหตุใด จึงต้องถูกวัดมาตรฐาน ด้วยเกณฑ์การวัดแบบ องค์กรธุรกิจพลเรือน เป็นหลัก แทนที่จะเป็นเกณฑ์วัดมาตรฐานของ ทหารอาชีพสากล เป็นหลัก? นี่คือส่วนหนึ่งของปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่เรียกว่า “ช่องว่างทางความคิดในสังคม” (ระหว่างทหารกับพลเรือน) ซึ่งต่างฝ่ายต่างมองโลกผ่านกรอบแว่นที่แตกต่างกัน ย่อมได้ภาพที่ต่างกัน แต่ทำไม ฝ่ายหนึ่ง จึงจำเป็นต้อง ยอมรับและเชื่อ ตามภาพที่มองผ่านเลนส์ของ อีกฝ่ายหนึ่ง? 

    ทหาร ควรดำรงรักษาแก่นแท้ค่านิยมของทหาร แทนที่จะเที่ยวไปยึดถือเอาของคนอื่น ตามที่ตนเห็นชอบเอาตามใจ ทหารที่ไม่ดำรงรักษาค่านิยมของทหาร ก็จะค่อยๆ สูญเสีย เอกลักษณ์ จนกระทั่ง หมดสิ้นความเป็นทหาร ไปในที่สุด

    นักวิชาการพลเรือน ควรเปิดใจให้กว้างมากขึ้นกว่านี้ เพราะโดยธรรมชาติแล้ว พวกเขา มัก ไม่ค่อยจะยอมรับอะไร หรือ ไม่สามารถจะเข้าใจอะไร ได้โดยง่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กับสิ่งที่อยู่นอกเหนือไปจากฐาน ความรู้/ความเข้าใจของพวกเขาเอง (ในทางตรงกันข้าม พลเรือน กลับมองว่า ทหารต่างหากที่เป็นเช่นนั้น) และที่ยิ่งไปกว่านั้น ก็คือการใช้ “ความเหนือกว่าทางวิชาการ” ทึกทัก และ ยัดเยียด มาตรฐานข้างเดียวของฝ่ายตน ให้คนอื่นจำต้องยอมรับ แม้แต่กับคนที่มีมาตรฐานเหนือกว่าอยู่ก่อนแล้ว ทางด้านคุณธรรม/จริยธรรม และในภพภูมิแห่งอุดมการณ์ 

    ตรงนี้ ผู้เขียนยินดีรับข้อโต้แย้ง ,,,,, 
    · การที่ทหารต้องพยายามอย่างยิ่งใน กิจการพลเรือน, การประชาสัมพันธ์ และ “ปฏิบัติการเอาอกเอาใจ” ด้วยสื่อและวิธีการที่ คับแคบ/ตื้นเขินเชิงอุดมการณ์ทหารอาชีพ (หนัง Sci – Fi/Futuristic เรื่อง “Star trek” กับ หนัง การ์ตูน เรื่อง Ultra man ให้สาระ และ ดึงดูดผู้คนได้ต่างกัน อย่างไร; หนัง ทหาร ในแนว “กองพันทะลึ่งทะเล้น” หรือ “นายร้อยไร้สาระ” กับหนังประเภท The Platoon หรือ The D –Day ก็คงจะมีผลต่อผู้คนเป้าหมายต่างกันอย่างนั้น หากมีแต่สื่อที่มุ่งเอาใจตลาดล่างประเภทนั้น คนอื่นจะเข้าใจในสาระอันเป็น แก่นเอกลักษณ์, ค่านิยม และอุดมการณ์ ของกองทัพได้อย่างไร?)

    · การที่ ทหาร พยายามเหลือเกินที่จะ เป็น, รู้ และ ทำ อย่างที่พลเรือนเขา เป็น, รู้ , ทำ 

    · พยายามแข่งขันกับเขา ในเรื่องที่เรา “ไม่เก่ง” (เราไม่เก่งเรื่องทำกำไร, เราไม่ทำอะไรมุ่งผลเพื่อตนเอง แต่เราน่าจะเก่งที่ มุ่งรับใช้ชาติโดยไม่เห็นแก่ตน ต่างหาก)

    · พยายาม แสวงหาการยอมรับ และรางวัลตอบแทน จากการเข้าถึงซึ่งมาตรฐานที่ “ไม่ใช่เรา”

    เหล่านี้ ไม่เพียงแต่เป็น “ความพยายามที่สูญเปล่า” เท่านั้น แต่จะยิ่งเป็นการขยาย 

    ปรากฏการณ์ “ช่องว่างทางความคิดในสังคม” ระหว่างทหารกับพลเรือน ให้ยิ่งแยกห่างออกจากกันมากขึ้น

    ทหาร มีความหมายกว้างไกลและลึกซึ้งกว่า เท่าที่คนอื่นเข้าใจ หากแต่เพียง ทหาร 

    · เป็น (อะไร) อย่างที่ต้อง เป็น; 

    · รู้ (อะไร) อย่างที่ต้องรู้; 

    · และ ทำ (อะไร) อย่างที่ต้อง ทำ เท่านั้น 

    กองทัพ ก็จะไม่ถูกมอง, เข้าใจ, เหมา และ ทึกทักเอาล่วงหน้า ด้วยจินตนาการในทางลบอีกต่อไป และ ยังจะเป็นวิธีการที่ดีที่สุด ที่จะลด, ปิด หรือ เชื่อมต่อ “ช่องว่างทางความคิดในสังคม” กว่าวิธีการ หรือความพยายามอื่นๆ ที่จะให้เขาเข้าใจเรา. 



    The Loss of Identity 

    By Colonel Sutat Jarumanee
     
    It is undeniable that English is not just a form of communication, but is also concepts and sets of ideas. English is not only a language, but knowledge itself.

    Some officers believe that the Army must develop its own unique doctrine, (How the Army fights to win wars and how it operates to achieve its goals) without the need to learn from other nations doctrines, (especially U.S. Army doctrine), due to a wide “technological divide”. This perception is impractical.

    These same officers ignore “Military Professional English” which can only be cultivated through English military texts of others nations. Ignoring means losing. Losing “Military Professional English” means losing “Military Professional”. Losing “Military Professional” means losing values, identity, ideology, and finally losing all! Again, English is not just a language, it is knowledge itself.

    Additionally, these officers make no contribution to the development of Royal Thai Army doctrine. Instead they attempt to utilize other career values, identity and ideology, especially in profit-making or other forms of self-service. They attempt to import attributes from civilian educational institutions and then try to use them in Army institutions.

    Broad based education from civilian sources is useful and beneficial, but those who ignore the Army’s core values while embracing the flaws of other instituions have wasted their education, time, and money. Civilian education must be combined with your Military Professional Values, identity and ideology to be beneficial to the Army. 

    While some Army officers do not use English military texts, doctors who do not have their own “disease fighting doctrine” are still doing their diagnosis, prescribing and administering medicines with their English texts. The same is true of other professionals like lawyers, engineers, architects, etc. 

    Having our own doctrine in the 21st century without learning from English military texts sounds to me like having doctors cure patients only by Thai medicines, lawyers having nothing to do with international laws, engineers use only local materials to build sky scrapers, and architects creating no other style than Thai architectures. 

    As the Incubator of the Nation’s Professional Military Leaders, though some must be same to others, what makes the CRMA different from other civilian institutes is not just our curriculum. The major differences are morals, ethics and discipline, things above and beyond what civilians can understand without the same training and commitment you have.

    Why then are civilian business standards to be used as the tools to gage military performance instead of Military Professional ones? Clearly the social chasm between civilian and military provides a different lens through which each side sees the world.

    Soldiers must adhere to their core values instead of trying to embrace the values of others when it is convenient for them. Soldiers who do not maintain their core values will gradually continue to lose their identity until they are no longer soldiers at all.

    Civilian academics must be more open-minded, as they are now unwilling to accept, or unable to understand other points of view other than their own. Worse yet, they arrogantly impose their one-sided standards over others who uphold higher moral and ethical standards than they do.

    At this point, I welcome arguments.

    - Trying to do much of “civic actions, public relations”, “public appeasing operation” in shallow and narrow sense of professional ideology, 

    - Trying to be and know and do like civilians be, know and do,

    - Trying to compete with them in the way the Army does not belong(profit – making/self – serving capabilities instead of selfless – serving ideology);

    - Trying to be accepted/rewarded in accordance with other standards 

    where the Army is not a type; 

    Are not only of useless efforts, but also widening the gap of social chasm, yet causing the Army to be on the blink of identity extinction. 

    There are more to Soldiers than being understood by Others. 

    Only if Soldiers were exactly what they must be, embraced with what they really must know, and focused on what they absolutely must do; 

    the Army would then no longer be prejudged and stereotyped by others; and the social chasm would then be bridged.

    (The Be/Attributes; Know/Perspectives; and Do/Imperative of Professional Soldiers are to be discussed later).




................
การที่ทหารต้องพยายามอย่างยิ่งใน กิจการพลเรือน, การประชาสัมพันธ์
และ “ปฏิบัติการเอาอกเอาใจ” ด้วยสื่อและวิธีการที่ คับแคบ/ตื้นเขินเชิงอุดมการณ์

(เช่น)….หนัง Sci – Fi/Futuristic เรื่อง “Star trek” กับ หนัง การ์ตูน เรื่อง
Ultra man ให้สาระ และ ดึงดูดผู้คนได้ต่างกัน อย่างไร;

หนัง ทหาร ในแนว “กองพันทะลึ่งทะเล้น” หรือ “นายร้อยไร้สาระ”
กับหนังประเภท The Platoon หรือ The D –Day
ก็คงจะมีผลต่อผู้คนเป้าหมายต่างกันอย่างนั้น

หากมีแต่สื่อที่มุ่งเอาใจตลาดล่างประเภทนั้น
คนอื่นจะเข้าใจในสาระอันเป็น แก่นเอกลักษณ์,
ค่านิยม และอุดมการณ์ ของกองทัพได้อย่างไร?

การที่ทหาร

1. พยายามเหลือเกินที่จะ เป็น, รู้ และ ทำ อย่างที่พลเรือนเขา เป็น, รู้ , ทำ
2. พยายามแข่งขันกับเขา ในเรื่องที่เรา “ไม่เก่ง”
(เราไม่เก่งเรื่องทำกำไร, เราไม่ทำอะไรมุ่งผลเพื่อตนเอง
แต่เราน่าจะเก่งที่ มุ่งรับใช้ชาติโดยไม่เห็นแก่ตน ต่างหาก)
3. พยายาม แสวงหาการยอมรับ และรางวัลตอบแทน
จากการเข้าถึงซึ่งมาตรฐานที่ “ไม่ใช่เรา”

เหล่านี้ ไม่เพียงแต่เป็น “ความพยายามที่สูญเปล่า” เท่านั้น แต่จะยิ่งเป็นการขยาย

ปรากฏการณ์ “ช่องว่างทางความคิดในสังคม” ระหว่างทหารกับพลเรือน
ให้ยิ่งแยกห่างออกจากกันมากขึ้น

ทหาร มีความหมายกว้างไกลและลึกซึ้งกว่า เท่าที่คนอื่นเข้าใจ

หากแต่เพียงทหาร
1. เป็น (อะไร) อย่างที่ต้อง เป็น;
2. รู้ (อะไร) อย่างที่ต้องรู้;
3. และ ทำ (อะไร) อย่างที่ต้อง ทำ เท่านั้น

กองทัพ ก็จะไม่ถูกมอง, เข้าใจ, เหมา และ ทึกทักเอาล่วงหน้า
ด้วยจินตนาการในทางลบอีกต่อไป และ ยังจะเป็นวิธีการที่ดีที่สุด
ที่จะลด, ปิด หรือ เชื่อมต่อ “ช่องว่างทางความคิดในสังคม”
กว่าวิธีการ หรือความพยายามอื่นๆ ที่จะให้เขาเข้าใจเรา.
………..
หน้าที่นายทหารไทย :
มาเฟียใหญ่ เกาะแดกพ่อ ล่อปฏิวัติ
ฟัดประชาชน กินคอมฯ อมเบี้ยเลี้ยง เลี่ยงตีกอล์ฟ

[Image: 16xhu.jpg]

เอ้า..เชิญต่อกันเลยครับ
จะอัดอะไรก็อัดกันไป ผมไม่เกี่ยวนะครับ
นปช. ทำบุญวัดปทุม

http://www.internetfreedom.us/thread-15178.html
[Image: 8cbda9a79a7e423482a71db46636259b.jpg]

ณัฐวุฒิเผยลงสมัครสส.หวังมีสถานะในสภาหนุนการเมืองภาคประชาชน ห่วงกลุ่มอำนาจเก่าไม่ยอมรับหากผลเลือกตั้งปชป.ไม่ได้รับชัยชนะ


กลุ่มคนเสื้อแดงเดินทางไปทำบุญที่วัดปทุมวนาราม ราชวรวิหาร เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา นำนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ที่เพิ่งได้รับการประกันตัวในคดีก่อการร้ายช่วงเหตุการณ์ชุมนุมทางการเมือง เมื่อ เม.ย.-พ.ค.2553 พร้อมกลุ่มผู้ให้การสนับสนุนจำนวนหนึ่ง ท่ามกลางการรักษาความปลอดภัย และอำนวยความสะดวกด้านการจราจรของตำรวจ สน.ปทุมวัน


นายณัฐวุฒิ เปิดเผยว่า

การเลือกตั้งขึ้นอยู่ที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ที่จะกำหนดวันเลือกตั้ง ทั้งนี้เชื่อว่าบรรยากาศการหาเสียงเลือกตั้งคนเสื้อแดงจะไม่ขัดขวาง ส่วนตัวเป็นห่วงว่าหลังการเลือกตั้งหากพรรคประชาธิปัตย์(ปชป.)ไม่ชนะกลุ่ม อำนาจเก่าจะไม่ยอมรับ ดังนั้น นายอภิสิทธิ์ ต้องยอมรับผลการเลือกตั้ง และกองทัพก็ต้องออกมาแถลงให้ชัดเจนด้วย


อย่างไรก็ตาม การลงสมัครสส. แกนนำหลายคนก็เป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทยอยู่แล้วจึงต้องเสนอตัว เช่นนายก่อแก้ว พิกุลทอง นายขวัญชัย ไพรพนา แต่ก็ขึ้นอยู่กับพรรคว่าจะเอาอย่างไร ซึ่งเป้าหมายการลงสส.เพื่อให้สถานะในสภาเป็นส่วนเกื้อหนุนการต่อสู้ภาค ประชาชน



เครดิต
http://bit.ly/glmUjS


ขอบคุุณภาพจากทวิตเตอร์ 

[Image: 248951072.jpg]


[Image: 248966450.jpg]

[Image: x2_4c98015.jpg]

[Image: x2_4c98722.jpg]


[Image: x2_4c984fa.jpg]


[Image: x2_4c983a4.jpg]

[Image: x2_4c981cd.jpg]

ภาพยนต์เรื่อง "นเรศวร 3-4" ฉายปลายเดือนมีนาคมนี้ แน่นอน!

http://www.internetfreedom.us/thread-15111.html
นเรศวร 3 ยุทธนาวีกับนเรศวร 4 ยุทธหัตถี
หนังดีๆ....ช่วยพาลูกหลานไปชม! ปิดเทอมพอดี
ในอนาคต คงจะหาคนสร้างหนังแนวนี้ได้ยาก
เพราะไม่รู้ว่า จะหาเรื่องอะไรมาสร้างอีก

[Image: 5428032421_96f1b3c450_b.jpg]

ส่วนผมขอบาย ช่วงนี้...เพราะมีรายได้ไม่พอ!
ขอเก็บตังค์รอชม ภ.เรื่อง "พระเจ้าตากสิน" ดีกว่า

เจตนาที่แท้จริงของอ.สมศักดิ์

http://www.internetfreedom.us/thread-15104.html
จากกระทู้ปักหมุดสุดร้อน 2 กระทู้ข้างบนนี้

ใจเย็นนนนหน่อย เหล่าสหายยยย
คิดใหม่ ทำใหม่ กันดีไหม
แดงนปช. แดงสยาม
ทั้งแกนนำ แกนตาม ขัดแย้งเรื่องอะไร
ช่วยกันตีโจทย์ให้แตกเถิด

เป้าหมายสูงสุดนั้นไม่ต่างกัน
คือ การปกครองของประชาชน โดยประชาชน เพื่อประชาชน
คือ ประชาธิปไตยที่แท้จริง
ต่างกันก็แต่วิธีการที่จะไปถึงเท่านั้น
มิใช่หรือ

แต่เมื่อการโต้เถียงผสมกับอัตตา อันเป็นกิเลสของปุถุชนทุกนาม
ความต้องการเอาชนะอย่างเอาเป็นเอาตาย ว่าความคิดตนถูกต้องกว่า
จึงเป็นความขัดแย้งที่ไม่จำเป็นเลย
เมื่อคำนึงว่าสุดท้ายก็เพื่อเป้าหมายเดียวกันนั่นแหละ

แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ
แค่ชื่อก็ยอมรับแต่ต้นแล้วว่าเป็นแนวร่วม ไมใช่แนวเดียวกัน
ความคิดเห็นต้องมีหลากหลายอยู่แล้ว เป็นธรรมดา
เราทั้งหมดเป็นแดง จะนปช.หรือแดงสยามหรือ
จะมีอีกหลายแดง ก็ไม่เห็นแปลก
โลกหมุนไปได้ด้วยความต่าง
การเห็นต่าง ก็เพื่อให้มีการปรับปรุงให้ดีขึ้น

จุดเด่นของผู้มีใจใฝ่ประชาธิไตย คือการรับฟังกัน ยอมรับในความคิดที่หลากหลาย
สิ่งเหล่านี้คือเสรีภาพ คือความเสมอภาค
ถ้าปฏิบัติต่อกันอย่างมีภราดรภาพ
และสามารถแสวงจุดร่วมเพื่อความเป็นเอกภาพได้ จักมีพลังยิ่งใหญ่

ลดทิฐิของแต่ละฝ่ายลงบ้างเถิด

เขาติงเพราะเห็นข้อบกพร่อง ก็รับไปพิจารณาใคร่ครวญดู ไม่เห็นเสียหาย
เห็นดีด้วยก็ปรับ ปรุง เปลี่ยน แปลง
ไม่เห็นด้วยก็ชี้แจงด้วยเหตุ ด้วยผล ไม่ตัดสินด้วยอารมณ์กัน
คนติติงก็มีกำลังใจช่วยกันสอดส่อง คนปรับปรุงก็ได้
ประโยชน์ ไม่เห็นมีใครเสียหายทั้งนั้น เป็นสถานการณ์ win-win ที่ควรเป็น
ถ้าทำให้เกิดการแตกแยก ก็มีแต่จะเสียหายทั้งนั้น ไม่เกิดประโยชน์ทั้งสองฝ่าย เป็นสถานการณ์ lost-lost ที่ไม่ควรเกิดเลย

ต่อกรณี วิวาทะใน 2 กระทู้นี้
ประเด็นสำคัญที่เป็นหัวใจของกระทู้นี้ และ คาใจทุกแดงในแผ่นดินนี้ คือ

การช่วงชิงการนำมวลชน ระหว่างแดงสยาม กับแดงนปช.
แนวทางของใครจะถูกต้องกว่า?

ที่มวลชนเองสับสน ก็เพราะ เข้าร่วมมันทั้งสองแดงนี่แหละ พอแกนนำมีปัญหากันมวลชนก็อึ้งกันไป
ในอารมณ์คั่งแค้น ก็อยากเปลี่ยนแปลงเร็ว ชัดเจน อะไรไม่ต้องมีก็ฟันฉับๆเอาให้ขาดกันไปเลย ทุกใจคนเสื้อแดงมีอารมณ์นี้ โดยเฉพาะเมื่อคิดถึงเหตุการณ์ที่เป็นฝ่ายถูกกระทำมาตลอด
แต่ในอารมณ์ที่สงบลง คำนึงถึงสถานการณ์แวดล้อมรอบด้าน ความเป็นไปได้ การได้รับการสนับสนุนจากทั้งในฝ่ายแดงเอง คนกลาง กับแรงเสียดทาน ต่อต้านจากอีกฝ่าย ความยั้งคิดทำให้ต้องมีก้าวย่างที่สุขุม รอบคอบขึ้น
ตัวเราเองคนเดียวกันแท้ๆ บางครั้งยังสับสน นี่ตั้งหลายสิบล้านคน

แดงสยามอาจคิดว่าตนเองมองขาด ว่าถ้าพวกมรึงรู้แจ้งแทงตลอดหยั่งก๊ะกรู มึงต้องมาทางนี้ ลัดสุดแล้วที่จะถึงยอดเขา
แดงนปช.ก็คิดว่า ฮี่โธ่ เขารู้กันตั้งนานแล้วละลุง แต่ไปทางโน้นน่ะ มันเสี่ยงพงหนาม แถมมีพลซุ่มยิงเราเป็นจุดๆอีกเยอะเลย แถมมันยังชันเกินไปซะอีก พ้มยอมโง่ เสียเวลาเดินมันอ้อมๆยังงี้แหละ เหมือนขับรถขึ้นเขา ไม่มีใครขับดุ่ยๆตรงขึ้นยอดเขา เพราะจะตก
เขาเอา มีแต่ต้องขับ วนๆเป็นเกลียวขึ้นยอดไป

ต่อกรณีนี้ ขอบังอาจคาดเดาเจตนาที่แท้จริงของอ.สมศักดิ์ ว่าต้องการให้ตรวจสอบเป้าหมายของทั้งแกนนำ แกนนอนรวมทั้งแกนตามทุกระดับว่ายังตรงกันอยู่ไหม ถ้าเหมือนกันทั้งนปช.(หมอเหวง) และแดงสยาม(อ.สุรชัย)ซึ่งพูดในหลายโอกาส ว่าเป็นประชาธิปไตยอันมีคำต่อท้าย จะมีรูปแบบที่ต่างไปจากปัจจุบัน อย่างไร ให้กล้าๆพูดหน่อย คนอื่นจะได้รู้เรื่องด้วย คงเหมือนเด็กท้ายรถสองแถว ตะโกนบอกเส้นทางคนรอรถ ผู้โดยสารจะได้ขึ้นรถถูกคันไปถึงเป้าหมายปลายทางที่ต้องการ แต่ต้องให้ปลอดภัยกับตัวเองและส่วมรวมนะ (ทำไง? ก็ไม่รู้แฮะ)

อ.สมศักดิ์เปิดกระทู้จากความคิด(ที่ตกผลึกแล้ว?)ของหนึ่งในแกนนำนปช.-หมอเหวง
ด้วยเกรงว่าจะแม้ชื่อจะเหมือนกันแต่เป็น ภูเขา ปลายทางคนละยอด! หรือออกทะเลไปเลย
แกนนำทั้งหลาย แกนนอน และแกนตามอย่างเราๆท่านๆก็คงต้องหมั่นตรวจสอบความคิดของตนให้ลึกถึงก้นบึ้งว่ายอดเขา​เป้าหมายที่ต้องการอยู่ที่ใดกันแน่ คงต้องหมั่นแลกเปลี่ยนกันภายในกลุ่มและระหว่างกลุ่มเพื่อตกผลึกทางความคิดให้ชัดเจน

ถ้าในวันนี้จะยังฟันธงไม่ได้
ผมขอบังอาจเสนอให้ เปลี่ยนวิธีคิดโดย
จะนำเสนอโจทย์ใหม่ว่า
เราจะไปถึงการปกครองของประชาชน โดยประชาชน เพื่อประชาชน ซึ่งก็คือประชาธิปไตยที่แท้จริงได้อย่างไร?
อาจได้ข้อสรุปที่ดีกว่าการแยกทางกันเดิน ไม่เกี่ยวข้องกันอีกต่อไป

เพื่อให้รวบรัดหน่อย จะขอเสนอโมเดลนี้
ให้นปช.นำมวลชนทำไปตามแนวทางของนปช.แต่แดงสยามควรกำกับ ตรวจสอบ ติติงเพื่อการบรรลุเป้าหมายประชาธิปไตยที่แท้จริง ไม่ให้เฉไฉหลงไปทางอื่นได้

บนเวทีประชาธิปไตยนี้ไม่มีเรียนลัด เมื่อคำนึงว่าการที่บ้านเมืองจะเป็นประชาธิปไตยที่แท้จริง ก็ด้วยคุณภาพของตัวเหล่าราษฎรทั้งหลายเอง ก็ยิ่งเห็นประโยชน์ในงานที่นปช.ภายใต้การนำของอ.ธิดา ให้มีการจัดตั้งองค์กรภาคประชาชนตั้งแต่ระดับรากหญ้า ค่อยฟูมฟัก เรียนรู้ไป เมื่อเติบใหญ่ขึ้น จะเป็นองค์กรของภาคประชาชนที่เข้มแข็งที่สุดของชาติ ถ่วงดุลย์กับองค์กรฟากฝ่ายรัฐได้สมน้ำสมเนื้ออย่างแน่นอน ซึ่งเมื่อนั้นแหละ จึงจะเป็นประชาธิปไตย ของประชาชน โดยประชาชน และเพื่อประชาขน อย่างแท้จริงและยั่งยืน

ในประเด็นเนื้อหาจะทำอย่างไร ถ้าต้องการวิถีปกครองที่เป็นประชาธิปไตยที่แท้จริง
คุณ NING ทำเป็น Roadmap ง่ายๆให้เห็นภาพเบื้องต้นในกระทู้อ.สมศักดิ์
คนต่างชาติอย่างคุณโรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัมแนะไว้ก็มาก
บวกกับข้อเสนอ 8 ข้อ ของอ.สมศักดิ์
จะช้า หรือเร็ว สุดท้ายก็ต้องไปถึงอยู่ดี
เพราะเป็น basecamp ระหว่างทางที่จะต้องแวะพัก ถ้าคิดปีนเขาเอเวอเรสต์นี้
แถมยังต้องปรับปรุงอะไรต่อมิอะไรเพิ่มเข้าไปอีกมาก
เช่น จะทำให้สถาบันสำคัญอื่นๆของชาติ
ทหาร ศาล องค์กรอิสระ สว.สรรหา ฯลฯ
ยึดโยงกับประชาชนอย่างไร
เพราะแท้จริงแล้วอำนาจสูงสุดของประเทศ เป็นของเหล่าราษฎรทั้งหลาย

ไม่ว่าแดงไหน ก็ไม่จำเป็นต้องประกาศดังๆ ตั้งธงไปก่อนว่าต้อง"ล้ม"อย่างนั้นอย่างนี้ เปิดช่องทางให้เขาไปวาดผังล้มเป็นตุเป็นตะ
การวิพากษ์ หรือ ปรับปรุงสถาบันฯ ต้องมาถึงแน่แต่อาจไม่ใช่เวลานี้ สังเกตได้ง่ายที่สุด ขนาดในบอร์ดแดงงงงที่สุดบอร์ดนึงนี้ยังมี Pro and Con ซะขนาดนี้ นอกบอร์ดและสังคมภายนอกจะมีแรงเสียดทานขนาดไหน แค่คิดก็เหนื่อย

แดงสยามไม่ต้องกังวล แนวทางชัดเจนของแดงสยามและอ.สมศักดิ์ที่ชี้นำไว้นี้ จะเป็นหมุดหมายระหว่างทางที่ภาคประชาชนต้องได้ฝ่าฟันอยู่แล้วแน่นอน อุปสรรคแต่ละขั้นตอนเหล่านั้น มวลชนทั้งประเทศที่ต้องการประชาธิปไตยเต็มใบ(ทั้งแดง กลาง แม้กระทั่งเหลืองก็ไม่แปลก)จะตาสว่างเอง เพราะจะกระทบของกับกล่องดวงใจของ ผู้หวงแหนอำนาจ ไม่ต้องการยึดโยง ถูกตรวจสอบโดยประชาชน ซึ่งเมื่อถึงจุดนั้นจริงๆ กฎหมายใดที่ล้าหลัง องค์กรหรือสถาบันใดที่ไม่สามารถปรับตัวได้ ถ้าถ่วงความเจริญหรือต่อต้าน ย่อมถูกยกเลิกไปเองโดยปริยาย ถ้าการเปลี่ยนผ่านโดยสันติวิธีไม่ได้ผล การใช้กำลังบังคับก็เป็นไปตามธรรมชาติเพราะสถานการณ์สุกงอมเต็มที่ มวลชน
พร้อมแล้วนั่นเอง ซึ่งอะไรก็ขวางไม่ได้ อย่างที่ปรากฏเป็นประจักษ์พยานสายตาแล้วทั่วโลกในขณะนี้แล้ว

คลิป รายการ"ลมหายใจที่ไม่แพ้"26/02/54 :จตุพร เผยพรุ่งนี้ให้ระวังอาจมีการ"ปฏิวัติ"
http://www.internetfreedom.us/thread-15121.html
ดูรายการของ "ลมหายใจที่ไม่แพ้" ตอนท้ายๆ ของ จตุพร บอกว่าพรุ่งนี้อาจมีการรัฐประหาร จากแหล่งข่าว ว่าจะมีการก่อเหตุสร้างความวุ่นวายของกลุ่มคน เพื่อสร้างเงื่อนไข โดยให้สังเกตุจากการกลับมาจากการฝึกก่อนกำหนด ของกรมทหารราบที่1 รอ. ลองดูท้ายของคลิป ที่ 6 -7

-บวกกับข่าวนี้ ของเนชั่นทันข่าว
26 กพ. 2554 21:11 น.

นายประพันธ์ คูณมี โฆษกการชุมนุมรวมพลังปกป้องแผ่นดิน เปิดเผยว่า แต่เดิมคณะกรรมการปกป้องราชอาณาจักร จะแถลงถึงท่าทีการชุมนุมในช่วงเวลา 20.00 น. ของคืนนี้นั้น คณะกรรมการฯ มีมติเห็นตรงกันว่าควรแถลงท่าทีเพื่อให้ทุกคนทราบพร้อมๆกันในเวลา 10.00 น.ของวันพรุ่งนี้ ( 27 ก.พ. )
 
















ท้ายๆ ของคลิปนี้ ที่ 6-7




วิพากษ์สังคมไทยตั้งแต่ 14 ตุลา 16 ถึง 6ตุลา 19

คำ ผกา หรือ ลักขณา ปันวิชัย
เป็นนักเขียน นักแปล และคอลัมนิสต์
วิพากษ์สังคมไทยตั้งแต่ 14 ตุลา 16 ถึง 6ตุลา 19
จากงานรำลึก 35 ปี 6 ตุลา 19
"เบื้องหลัง 6 ตุลา เบื้องหน้าประชาธิปไตยไทย"
ณ หอประชุมศรีบูรพา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์
เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2554
http://www.internetfreedom.us/thread-15147.html

นักข่าวญี่ปุ่นโดน AK


นี่งัย ชายชุดดำ กับปืน AK
สะพายกะเป๋า มีตัวหนังสือที่กระเป๋าว่า ARMY  
แต่ไอ้คนนี้ไม่ได้ยิงนักข่าวญี่ปุ่นนะึครับ
ได้นี่มันเป็นคนยิง ร่มเกล้าฯ  อิอิ
            http://www.pantip.com/cafe/wahkor/topic/X10282128/X10282128-10.jpg

หรือไอ้คนนี้ ที่ถืออาวุธปืน วิ่งมาพร้อมกับตะหาน



หรือไอ้โจรสะพายปืน ที่ใส่เสื้อแดง แต่เข้าไปคุยกะตะหาน


อีกไม่เกิน10ปีครับ  ความจริงจะปรากฏเราคงได้ข้อสรุป    รอให้คนไม่กี่คนตายก่อนครับ







ใครบอกกองทัพไทยไม่มีอาก้าใช้จ๊ะ คนบอกนี่น่าไล่ออกได้แล้วขาดความรู้ทั้ง ๆ ที่ทำงานด้านความมั่นคง เป็นใหญ่มาได้ไง




หรือวินาทีที่ผู้สื่อข่าว ถูกยิงที่ผู้ยิงยิงลงมาจาก รพ.จุฬาลงกรณ์


http://www.pantip.com/cafe/wahkor/topic/X10282128/X10282128-73.jpg
วิถีกระสุน การทะลุทะลวงแบบต่าง ๆ



คลิปของอาจารย์สมศักดิ์ที่พูดที่ธรรมศาสตร์
http://www.internetfreedom.us/thread-15153.html











ยุแหย่.....ยิ้มเยาะ.....ทะเลาะกัน

http://www.internetfreedom.us/thread-15154.html
[Image: 538702egxe8cz1nxgp1.gif]

แสงตะวัน พลันสว่าง กระจ่างฟ้า
เสียงตะโกน แว่วมา ว่าเหนื่อยท้อ
เคยร่วมเรียง เคียงรัก เคยถักทอ
หวังเกิดก่อ สิ่งดี ที่ฝันกัน....

อคติ เอ็ง-ข้า อย่างบ้าเลือด
เอาวาจา เฉือนเชือด จนเดือดนั่น
พวกมึงเลว แต่พวกกู ดูดีพลัน
ช่วยผลักดัน แบ่งแยก แตกกระเจิง....

นี่หรือ พวกเดียวกัน เคยสรรค์สร้าง
ช่างอำพราง หมายมุ่ง ให้ยุ่งเหยิง
สร้างยุแหย่ เฉไฉ ให้เปิดเปิง
หลงระเริง "พวกตน" คนสู้จริง....

แล้วเอาตีน กดหัว ระรัวซ้ำ
เพื่อตอกย้ำ อันธพาล สันดานยิ่ง
หรือพวกเรา เหนื่อยหนัก อยากพักพิง
จึงอ้างอิง ยั่วโมโห แล้วโกรธา....

พวกศัตรู หัวร่อ จนงอหาย
ช่างน่าอาย แว้งกัด ฟัดเหมือนหมา
สู้กันเอง หรืออย่างไร ให้บอกมา
หมดเวลา ยิ้มเยาะ ทะเลาะกัน....

๓ บลา / วันอาทิตย์สีแดง ๒๗ ก.พ.๕๔
http://3blabla.blogspot.com

โฆษณา-กาลี...อัปรีย์สุดขีด!!!


วาทตะวัน สุพรรณเภษัช

        มื่อต้นสัปดาห์นี้ เว็บไซด์ต่างๆ รวมถึงสื่อมวลชนอื่นๆ ได้พากันวิพากษ์วิจารณ์โฆษณาชิ้นหนึ่ง ซึ่งได้สร้างความขัดเคืองให้กับประชาชนผู้พบเห็นเป็นอย่างยิ่ง นั่นคือ
content/picdata/282/data/seat.jpg
        โฆษณาชื่อ ‘อะมิโนพลัส’ ของบริษัทน้ำดื่มค่ายโออิชิ ที่ทะลึ่งไปติดป้ายบนรถไฟฟ้า BTS ว่า

     
 "สำรองที่นั่งสำหรับ...คนขาว"‏

        ข้อความดังกล่าวนำมาซึ่งอาการ “เม้าท์แตก” เกิดขึ้นในแวดวงต่างๆ มีวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างกว้างขวาง รวมทั้งมีการชักชวนกันไม่ให้ซื้อสินค้าดังกล่าว ซึ่งท่านผู้อ่านที่ยังไม่เคยเห็น สามารถหาดูได้จากเว็บพันทิพและอื่นๆ
        ผมเองเคยเขียนวิพากษ์วิจารณ์งานโฆษณา ตั้งแต่ยังอยู่ค่าย “ผู้จัดการ” (manager.co.th)บางชิ้นที่ผมเห็นว่ามันไม่เข้าท่าหรือ “ห่วยแตก” ทำลายความรู้สึกของผู้คน และที่แย่ยิ่งไปกว่านั้น โฆษณาบางชิ้น ก็ยังดันเป็นงานของหน่วยงานราชการด้วยซ้ำไป

       
เหตุที่ต้องวิจารณ์หนักหน่วง แบบต้อง “ทุบกันให้แหลก” เพราะหากปล่อยไว้จะเป็นผลเสียหาย ไม่ว่าจะเป็นความเสียหายที่เกิดขึ้นกับสังคม หรือกับเยาวชน ลูกหลานของคนในชาติของเรา

      
จะละไว้หรือมองข้าม...ไม่ได้เด็ดขาด!
        อยากจะยกมารื้อฟื้นความทรงจำ ให้กับท่านผู้อ่าน ชิ้นแรกคือโฆษณาของ “บริษัทการบินไทยจำกัด (มหาชน)”  เกี่ยวกับการกระตุ้นเชิญชวนประชาชน “ซื้อหุ้น” ของบริษัท ซึ่งออกฉายเมื่อปี พ.ศ.2548

      
ภาพโฆษณาฉายให้เห็น หญิงชายคู่หนึ่งนั่งติดกันในสนามบิน ผู้จะโดยสารเครื่องบินคนอื่นๆ นั่งกันเต็มห้องพักผู้โดยสาร มีเสียงเรียกพาสเซ็นเจอร์ออนบอร์ด หรือผู้โดยสารขึ้นเครื่อง ดังกังวานขึ้น

       
ผู้โดยสารอื่นเขาลุกขึ้นเดินไปประตูทางออก จะไปขึ้นเครื่อง ที่ห้องพักผู้โดยสารคงเหลือหนุ่มสาวคู่นี้นั่งเฉยอยู่     

       
ฝ่ายหญิงหันคอเอี้ยวหน้ามาทางฝ่ายชาย เอ่ยถามขึ้นว่า
     

     
 “จองตั๋วหรือยัง?”    

      
ฝ่ายชายทำไม่รู้ร้อนรู้หนาว ตอบว่า     

     
 “ยัง”     

      
ภาพแช่นิ่งนิดหนึ่ง ฝ่ายหญิงหันกลับมาถามอีก ว่า     

      
“จองหุ้นการบินไทยหรือยัง?”     

      
ฝ่ายชาย ตอบทื่อมะลื่อว่า     

     
 “ยัง”     

      
ต่อไปนี้สำคัญคือ...

      
พอฝ่ายชายตอบจบ ภาพตัดวูบ มืดไปสองวิฯ ระหว่างความมืดมีเสียงดัง

        ‘เพียะ!’

        (คล้ายเสียงฝ่ามือกระทบหน้า ของกริยาคือการ ‘ตบ’ )     

       
สว่างขึ้นอีกครั้ง ก็ปรากฏภาพ...     

       
ฝ่ายผู้ชายมีรอยนิ้วมือเป็นปื้นที่หน้า ห้านิ้วครบ แต่ยังดันนั่งทำหน้าโง่ ตาปะหลับปะเหลือก มือลูบคลำแก้ม ฝ่ายหญิงนั่งทำหน้าตูบ แล้วเมินไปอีกทางหนึ่ง!!       


      
(มีเสียงประกาศ เชิญชวนให้จองหุ้นการบินไทยติดตามมา)     

     
 ผมไม่เข้าใจเลยว่า...ทำไมถึงมีการนำเสนอกันอย่างนี้!!!?
        ดูภาพยนตร์โฆษณาชุดนี้แล้ว ต้องปลงอนิจจัง บอกกับเพื่อนที่นั่งดูด้วยว่า ประหลาดใจ ไม่รู้ว่าเขาคิดโฆษณาอย่างนี้ได้อย่างไร หัวคิดดีจริงๆ     

       
เพราะเขาทำให้ฝ่ายชายนั้นดู “โง่” ได้มากที่สุดในโลก     

     
 หนอยแน่!...ดันอุตส่าห์พาเมียมาถึงสนามบิน จะขึ้นเครื่อง แต่...ตั๋วก็ยังไม่ได้ซื้อ!!     

       
ฝ่ายหญิงผู้เป็นภริยา กริยามารยาทก็ช่างทรามเหลือกำลังรับ กำลังลาก เพราะแค่ผัวหรือแฟนตัวเอง ไม่ได้จองหุ้นการบินไทย ก็ลงมือตบตีทำร้ายผัวกลางสนามบิน ซึ่งเป็นที่สาธารณะเข้าให้แล้ว        

       
ผมไม่รู้ว่าเขา จะสื่ออะไรกันกับท่านผู้ชม ? แต่หากให้ฝรั่งดู เขาคงบอกว่า       

       
ผู้ชายไทยบ้านยูโง่บัดซบดีจังเลย ไอเกิดจากท้องพ่อท้องแม่ไม่เคยเห็นคนอะไรมันถึงโง่ได้เด็ดขาดอะไรอย่างนี้วะ!       

       
และคงวิจารณ์ว่าผู้หญิงไทยนั้น โหดเหี้ยมและใจร้ายมาก คงจะมีนิสัยคล้ายฆาตกรหรือคนร้ายที่นิยมแต่ความรุนแรง และฝรั่งคงจะพูดต่อว่า       

     
 “...ถ้าจะให้ไอเอาผู้หญิงไทยมาเป็นเมีย คงต้องตอบว่า

       
โน! โน ! ไอกลัวว่ะ เพราะแค่ดูโฆษณาของสายการบินระดับชาติของยู ไอก็อกสั่นขวัญแขวน ฉี่แทบราดแล้ว...       

       
...ฮุ้ย! ผู้หญิงบ้านยูนี่ เป็นลูกหลานยักษ์มาร หรือ มิสเตอร์ ซีอุย มาเกิดหรือไงกันน่ะ!?”
     

     
 ดุบรรลัยเลย!      
        ถ้าจะให้ผมให้เรทติ้งภาพยนตร์โฆษณาชุดนี้ เลียนตามตำแหน่งที่นั่งของผู้โดยสารเครื่องบิน ว่าควรจะให้นั่งที่ใด หรือสมควรจะให้อยู่ในชั้นไหน First Class, Business Class, หรือ Economy Class ?      

       
ผมก็ต้องขอตอบ อย่างไม่ต้องลังเลเลยว่า

       
เห็นโฆษณาอย่างนี้ไม่ต้องให้นั่ง First Class, Business Class, หรือ Economy Class แล้ว เพราะไม่เหมาะสมด้วยประการทั้งปวง       

       
แต่โฆษณาหัวคิดแปลกประหลาดอย่างนี้ ผมจะต้องกำหนดชั้นใหม่ให้นั่งคือ

       
ต้องเอาไปนั่งชั้น  Low Class เขียนเป็นภาษาไทยได้ว่า      

      
“โลว์ คลาส !”

        โน่น...ไปไกลๆ เลย...เอาไปให้พ้นหูพ้นตาเชียว !!
        มว่าโฆษณาของการบินไทยชุดนี้ “ห่วยแตก” และ “ไร้รสนิยม” เป็นที่สุดแล้ว แต่ดันมีโฆษณาอีกชิ้นหนึ่ง ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐอีกเหมือนกัน ซึ่งนอกจากจะ “ห่วยแตก” และ “ไร้รสนิยม” แล้ว ยัง...

      
น่ารังเกียจและน่าขยะแขยง เป็นอย่างยิ่งอีกด้วย!      

       
โฆษณาชิ้นดังกล่าวนี้ เป็นของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)     

        สสส. นั้นเป็นหน่วยงานของรัฐ ที่มิใช่ส่วนราชการ อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของนายกรัฐมนตรี จัดตั้งขึ้นโดยพระราชบัญญัติกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ พ.ศ.2548

       
สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) มีหน้าที่ผลักดัน กระตุ้น สนับสนุน และร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ ในสังคม ในการขับเคลื่อนกระบวนการสร้างเสริมสุขภาพ ซึ่งผมเห็นว่าเป็นของดีต่อสังคมมาก เพราะองค์กรนี้เขาวางเป้าหมาย ในการลดอัตราการเจ็บป่วย และเสียชีวิตก่อนวัยอันควร กระตุ้นให้เกิดการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ความเชื่อ และการปรับภาพแวดล้อม ให้เอื้อต่อคุณภาพชีวิต ช่วยลดภาระทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ     

       
พูดง่ายๆก็คือ อะไรที่เป็นพิษเป็นภัย ต่อสุขภาพพลานามัยแล้ว สสส.ก็จะช่วยชี้ให้เห็นโทษภัย วางแนวทางการต่อสู้เพื่อให้สุขภาพของชนในชาติดีขึ้น ผู้คนมีชีวิตที่ยืนยาวออกไป
        สาเหตุการเสียชีวิต ของคนไทยส่วนใหญ่นั้น ก็สืบเนื่องมาจาก ปัญหาด้านพฤติกรรม เช่น การสูบบุหรี่ การดื่มสุรา อุบัติเหตุ การมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่เหมาะสม ฯลฯ และตัวเลขทาง สสส.เขาระบุมานั้น โดยคนไทยต้องใช้จ่ายเป็นค่ารักษาพยาบาลถึงปีละกว่า 2 แสนล้านบาท

       
สถิติดังกล่าวนี้เอง เขาเห็นว่าล้วนมาแต่โรคที่ ที่สามารถป้องกันเกือบทั้งสิ้น เขาจึงวางยุทธศาสตร์การสร้างเสริมสุขภาพ มุ่งเน้นไปที่การวางน้ำหนักด้านการ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม วิถีชีวิตและสภาพแวดล้อม เช่น เลือกบริโภคอาหารที่มีประโยชน์ งดสุราและบุหรี่ สัญจรอย่างปลอดภัย อยู่อาศัยในสภาพแวดล้อมที่ดี ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ป้องกันโรคขณะมีเพศสัมพันธ์ เพราะดอกเอดส์เบ่งบานไปทั่วประเทศ ตรงนี้สำคัญมาก อย่างนี้เป็นต้น     

       
สสส. รับเงินอุดหนุนจากรัฐ และมีการพิจารณานำเอาภาษีสรรพสามิต หรือที่เรียกอย่างไม่เป็นทางการว่า  “ภาษีบาป” ประเภทเหล้า บุหรี่ ของบั่นทอนสุขภาพทั้งหลาย มาสนับสนุนกิจกรรมของ สสส.

       
ผมเห็นด้วยทุกประการ เพราะโดยส่วนตัวแล้วเชื่อในระบบป้องกัน ว่าดีกว่าการรักษาพยาบาล ซึ่งจะเป็นการลดความเสียหายทางเศรษฐกิจ ทั้งส่วนตัวและที่เป็นของรัฐลง
        ที่ผมต้องออกมาตำหนิ การดำเนินการของ สสส.ในครั้งนั้น ก็เพราะเรื่องการโฆษณาขององค์กรนี้ ที่เผยแพร่ออกไปทางวิทยุ สู่ประชาชนท่าวประเทศ     

       
บทโฆษณา เป็นเรื่องของการรณรงค์ต่อต้านการเสพสุรา เขาวางบทไว้ทำนองนี้ คือ

      
เป็นคำพูดของผู้ชาย ที่เข้าใจว่าเป็นอาชญากร ที่ต้องโทษอยู่ออกมาสารภาพว่า เขาก่อกรรมทำเข็ญ โดยก่ออาชญากรรมร้ายแรง โดยบรรยายการกระทำความผิดของเขาเป็นคำพูดชัดเจน ดังนี้ คือ     

      
“ผมอุดปากเธอ”     

       
“ผมชกท้องเธอ”        

       
“ผมข่มขืนเธอ” (แสดงโดยนัย)       

       
“ผมถ่ายรูปเธอ”
      

       
สรุปลงท้ายก็  คือ “ผมกระทำผิด...เพราะดื่มเหล้า !” .....แค่นั้นจริงๆ

       
โฆษณาชิ้นนี้ ผมได้ฟังด้วยตนเองหลายครั้ง และได้รับเสียงบ่นจากผู้ปกครองเด็กสามสี่ราย รวมทั้งได้พูดคุยกับนายตำรวจผู้ใหญ่ ซึ่งพูดตรงกันหมดว่า       

     
 “นี่เป็นการนำแผนประทุษกรรม ของผู้ร้ายทางเพศ มาตีแผ่ทางวิทยุ!”      

       
ที่เลวร้ายอย่างยิ่ง ก็คือ       

    
  มันแพร่ไปยังหมู่เยาวชน ที่กำลังเดินทางไปโรงเรียนหรือสถานศึกษา เพราะออกในช่วงเวลาเหมาะเจาะพอดีคือหลังข่าว!

        โฆษณานี้อาจทำให้พวกเยาวชนมีจินตนาการไกลไปถึงเรื่องเพศสัมพันธ์ ที่ไม่ใช่เซ็กส์ตามปกติมนุษย์ธรรมดาพึงมี แต่เป็นเรื่องการประพฤติที่วิปริตผิดสามัญ ตามติดด้วยอาชญากรรมและความรุนแรง ซึ่งเป็นความชั่วร้าย เป็นเสนียดจัญไร เรียกว่าเป็นความกาลีโดยแท้     

      
น่ากลัวมาก ไม่คิดเลยว่าจะมี โฆษณากาลี อย่างนี้ในบ้านในเมืองของเรา และร้ายที่สุดเป็นหน่วยงานของรัฐเสียอีก     

       
ช่างไร้ความคิด…เสียเหลือเกิน!!

        การสอบสวนคดีทางเพศนั้น ตำรวจเขาสอนกันอย่างเป็นทางวิชาการจริงๆ ไม่เผยแพร่ออกมาให้ผู้คนภายนอกรู้ นอกจากผู้มีหน้าที่ เพราะมันไม่เหมาะด้วยประการทั้งปวง

       
เด็กๆไม่ควรทราบพฤติกรรมของคนร้าย จนถึงขั้นรายละเอียด ด้วยการบอกลำดับขั้นตอน เริ่มตั้งแต่การอุดปากเหยื่อไม่ให้ร้อง ชกเข้าที่ท้อง บอกถึงการทำร้ายร่างกายในจุดอ่อนของผู้หญิง ที่มีอวัยวะภายในไม่เหมือนชาย จากนั้นก็ยังข่มขืนหลังทำร้าย และร้ายที่สุด     

      
ถ่ายรูป...เอาไว้แบล๊คเมล์อีก !     

     
 ระยำ…สุดขีด!!      

       
ผมไม่รู้ว่า สติของทั้งคนคิดโฆษณา และผู้บริหารของ สสส.ยังดีกันหรือเปล่า? ที่ปล่อยให้โฆษณาอัปรีย์ อย่างนี้อออกมาสู่เยาวชน ที่กำลังอยากรู้อยากลองได้อย่างไร !!!
        หลังจากที่ผมเขียนบทความ ถล่มงานโฆษณาทั้ง 2 ชิ้น ในผู้จัดการออนไลน์เพียงไม่กี่วันเท่านั้น...

     
 โฆษณากาลีทั้งสองชิ้น ก็หายวับไปจากทั้งสื่อโทรทัศน์และวิทยุ!
        าถึง พ.ศ. 2554 ได้มีโฆษณากาลีได้เกิดขึ้นอีก คราวนี้เกิดขึ้นบนรถไฟฟ้า อย่าง BTS อย่างที่เล่าให้ฟังตั้งแต่เริ่มต้น

       
ผมดูแล้วไม่เชื่อสายตา เพราะการนำเรื่องเชื้อชาติมาเล่นสนุก เป็นประเด็นที่อ่อนไหวมาก
content/picdata/282/data/dog.jpg
        ความจริงเรื่องแบบนี้ ได้จางหายไปจากโลกครึ่งศตวรรษแล้ว เช่น สมัยอังกฤษปกครองฮ่องกง ก็สงวนสวนสาธารณะไว้ให้พวกตน โดยมีประกาศ

     
 No Chinese Or Dogs Allowed.

        หรือ “ห้ามคนจีนหรือหมาเข้าสวน” ซึ่งเป็นเรื่องที่คนจีนจดจำ และฝังใจโกรธแค้นมาจนถึงทุกวันนี้

       
การที่สงวนสิทธิเอาไว้สำหรับคนขาว ในสหรัฐอเมริกานั้น คนผิวสีต้องเจ็บช้ำน้ำใจกับการกีดกันมานานนับศตวรรษ เพราะมีสถานที่ซึ่งเป็นสาธารณะหลายแห่ง เช่นโรงแรม ร้านอาหาร ร้านเหล้าฯลฯ มีป้ายสงวนสิทธิสำหรับคนผิวขาวว่า

     
 White Only

        นอกจากนั้น บริการสาธารณะบางอย่างก็กีดกัน เช่นรถประจำทาง คนดำจะต้องไปนั่งข้างหลัง พวกคนขาวจะได้รับสิทธิในการนั่งด้านหน้า และหากรถมีการนั่งเต็มหมดแล้ว คนดำก็จะต้องลุกให้คนขาวนั่ง จนเกิดปรากฏการณ์มหัศจรรย์ คือ

       
เย็นวันหนึ่งเป็นวันที่ 1 ธันวาคม 2498 ที่ Montgomery, Alabama, สหรัฐอเมริกา ผู้หญิงช่างเย็บเสื้อผิวสีคนหนึ่งชื่อ Rosa Parks ที่ผู้หญิงผิวดำคนหนึ่งไม่ยอมลุก จนโดนจับ และเหตุการณ์ลุกลาม จนกลายเป็นประวัติศาสตร์ของสหรัฐ ที่ต้องแก้ไขกฎหมาย เพื่อให้เกิดความเท่าเทียมกัน ระหว่างคนผิวขาวและผิวสี (หากมีโอกาสจะเล่าให้ท่านผู้อ่านฟังอีก)
        หากข่าวสารเรื่อง “โฆษณากาลี” บนรถไฟฟ้า BTS นี้ ถูกเผยแพร่ออกไปยังสหรัฐ หรือประเทศที่เคยมีปัญหาเรื่องการเหยียดผิวมาก่อน ผมรับรองได้เลยว่า 

     
 ประเทศไทยจะเป็นที่รังเกียจเดียดฉันท์ และถูกต่อต้านอย่างหนัก จากผู้คนในชาติเหล่านั้น!
        น่าสงสารบ้านเมืองของเราจริงๆ ที่มาถึงวันนี้ ประเทศไทยซึ่งเคยขึ้นชื่อว่า เป็นดินแดนแห่งอิสรเสรี แต่ภาพลักษณ์ได้เสียหายไป เพราะการสังหารหมู่ประชาชน อย่างทมิฬหินชาติ โดยฝีมือทหารไทยและรัฐบาล จนข่าวสาร แพร่หลายไปทั่วโลกแล้ว...

       
...มาถึง พ.ศ.นี้ ยังดันมี “โฆษณา-กาลี...อัปรีย์สุดๆ” เกิดขึ้นมาบนแผ่นดินไทย กระทืบซ้ำภาพลักษณ์แห่งความเสียหาย ให้กับบ้านนี้เมืองนี้...

       
...จนโทรมทรุด หนักยิ่งขึ้นไปอีก

        โฆษณาที่ปรากฏบนรถไฟฟ้า BTS ชิ้นนี้ เหมือนจะแข่งความระยำกับ “รัฐบาล-กาลี...อัปรีย์สุดๆ” !!

      
ท่านผู้อ่าน ลองคิดกันเล่นๆหน่อยเถอะครับ ว่า
        อันไหนจะ ‘ระยำ’ มากกว่ากัน!!!?
..................
หมายเหตุ เราควรแสดงความจริงใจว่า คนไทยไม่เห็นด้วยกับโฆษณากาลี ที่สื่อสัญลักษณ์ของการเหยียดผิว ด้วยการต่อต้าน ไม่ซื้อสินค้าต้นเหตุ ที่สร้างความขัดแย้งในครั้งนี้ รวมทั้งสินค้าอื่นของบริษัทผู้ผลิตด้วย

       
ชาวไทยเราสามารถกระทำได้ ด้วยการเผยแพร่

คำขวัญของการต่อต้าน คือ
        “เซย์ ‘No’ ทู...อะมิโนพลัส!!!”
        “เซย์‘No’ ทู...โออิชิ!!!”
        (บทความประจำสัปดาห์ ตอน โฆษณา-กาลี...อัปรีย์สุดขีด!!! ออนไลน์วันเสาร์ ที่ 26 กุมภาพันธ์ 2554)