แฝดนรกออกตัวไม่เหลืองไม่แดงชกเพื่อสถาบัน แต่โดนจับผิดจนได้หน้ากับสันดานคล้ายมือปืนคู่พธม. | |
คู่เหมือนคู่แฝดนรก-1 ในแฝดนรก ใช้ชื่อล็อกอินว่า "สุพจน์ รักในหลวง"เขียนลงในเว็บไซต์ปืนแห่งหนึ่งถึงแรงจูงใจในการทำร้ายร่างกายดร.วรเจตน์ว่าเพราะ"ผมรักสถาบันของผมมาก"ไม่ได้มีเหตุจูงใจว่าเขาสังกัดการเมืองสีใด อย่างไรก็ตามมีผู้นำรูปของทั้งคู่ไปเปรียบเทียบกับมือปืนคู่หนึ่งที่ก่อเหตุตอนพันธมิตรบุกหน้ารัฐสภา เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2551 ว่า ละม้ายคล้ายคลึงกัน เมื่อค่ำวานนี้( 3 มีนาคม) นายสุพจน์ ศิลารัตน์ 1 ในคู่แฝดที่ทำร้ายร่างกายดร.วรเจตน์ ได้ใช้ชื่อล็อกอินว่า "สุพจน์ รักในหลวง" โพสต์ข้อความลงในเว็บไซต์ www.gun.in.th ในหัวข้อว่า "จากใจเลวๆ ของฝาแฝด" โดยมีข้อความว่า " ขอบคุณพี่น้องทุกคนที่เป็นห่วง ตอนนี้กำลังไล่อ่านข้อความอยู่ครับ.. อย่างไรก็ตามได้มีผู้นำรูปพี่น้องฝาแฝดคู่นี้ นำไปลงเฟซบุ๊ค เปรียบเทียบกับมือปืนคู่หนึ่งที่ก่อเหตุใช้อาวุธปืนยิงเจ้าหน้าที่ตำรวจในตอนพันธมิตรบุกหน้ารัฐสภา เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2551 ว่า มีรูปพรรณสัณฐานละม้ายคล้ายคลึงกัน เขาคือผู้ต้องสงสัยชายชุดดำ ในกลุ่มพันธมิตร ขอพรเสด็จพ่อร.5ก่อนขึ้นชก-นายสุพจน์ และ สุพัฒน์ ศิลารัตน์ คู่แฝดนรกให้สัมภาษณ์ด้วยความภาคภูมิใจว่า ไม่พอใจดร.วรเจตน์ กรณีเคลื่อนไหวแก้ไข ม.๑๑๒ และ ก่อนไปก่อเหตุ ได้ขอพร ร.๕ ที่ลานพระบรมรูปทรงม้า สาบานตนว่าจะปกป้องสถาบันฯ และขอให้พบตัวดร.วรเจตน์เพื่อจะได้สั่งสอน ปากคำแม่คู่แฝดชกวรเจตน์-ลูกเขามีความเทิดทูนสถาบัน อาจารย์วรเจตน์จะแก้มาตรา112มันเกี่ยวกับสถาบันใช่ไหมหละ | |
http://redusala.blogspot.com |
ดาวน์โหลดคลิ๊ปคนเสื้อแดง
วันศุกร์ที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2555
คอป.เพิ่งตื่น! แก้โดยเปิดเวทีให้สองฝ่ายซัดกัน? | |
คอป.เพิ่งตื่น! แก้โดยเปิดเวทีให้สองฝ่ายซัดกัน? ผู้เขียน: ดร. กิตติพงษ์ กิตยารักษ์ เป็นนักคิดและนักปฏิบัติที่ทำงานเกี่ยวกับการปฏิรูปกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมมาตลอดชีวิตการทำงาน โดยมีความมุ่งหมายสำคัญคือการทำให้กฎหมายและกระบวนการยุติธรรมสามารถเป็นที่พึ่งด้านความเป็นธรรมให้กับทุกคนได้อย่างแท้จริง ท่านได้เขียนลงในบล็อคส่วนตัวของท่าน จึงขอนำมาเผยแพร่ ณ ที่นี้ เหตุการณ์ทำร้ายอาจารย์วรเจตน์ ภาคีรัตน์ ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แม้ผู้กระทำจะยอมเข้ามอบตัวกับตำรวจ และคดีเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมแล้ว แต่การที่ผู้กระทำบอกว่าทำร้ายอาจารย์วรเจตน์เพราะไม่เห็นด้วยที่ออกมาเคลื่อนไหวให้แก้ไขมาตรา 112 นั้น ถือเป็นเรื่องใหญ่ที่ คอป.จะต้องพิจารณา การแสดงความเห็นต่างกันนั้นเป็นเรื่องธรรมดา แต่เราจะต้องอยู่ร่วมกันและรับฟังความเห็นที่แตกต่างได้โดยไม่มีการใช้ความรุนแรง นี่คือทิศทางที่ทุกฝ่ายต้องตระหนักและรักษาไว้ โดยเฉพาะการแสดงความคิดเห็นอย่างเปิดเผย มิฉะนั้นก็จะมีการใช้แนวทางการไปพูดกันในที่ลับ หรือไปทำอะไรกันในทางที่ไม่เปิดเผย ซึ่งเป็นเรื่องไม่เหมาะสม ฉะนั้นการที่ฝ่ายหนึ่งแสดงความคิดเห็นต่อสาธารณะ เปิดเผย ชัดเจน จึงต้องได้รับความคุ้มครอง และฝ่ายที่เห็นต่างก็ต้องใช้วิธีแสดงความคิดเห็นอีกด้านของตนเองต่อสาธารณะอย่างเปิดเผย ชัดเจนเช่นกัน ประเด็นที่เกิดกับอาจารย์วรเจตน์ถือว่ามีความสำคัญ เพราะอาจารย์เคลื่อนไหวแสดงความคิดเห็นในเวทีเปิด ฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยจึงควรใช้เวทีเปิดในการแสดงความเห็นต่าง ไม่ใช่ใช้ความรุนแรงตอบโต้กลับมาเช่นนี้ จากประสบการณ์การสร้างกระบวนการปรองดองทั่วโลก หลักสำคัญที่ทุกฝ่ายต้องยึดถือคือ ต้องอยู่ร่วมกันได้โดยไม่ใช้ความรุนแรง สำหรับบทบาทของ คอป.นับจากนี้ การป้องกันความรุนแรงซึ่งเป็นบทบาทหนึ่งที่เราทำอยู่แล้ว จะต้องพิจารณาว่าจะทำเพิ่มเติมอย่างไร ซึ่งเป็นความตั้งใจของ คอป.อยู่แล้วเช่นกัน ช่วงที่ ท่านโคฟี อันนัน (อดีตเลขาธิการยูเอ็น) และ ท่านมาร์ตติ อาห์ติซารี (อดีตประธานาธิบดีประเทศฟินแลนด์) เดินทางเยือนประเทศไทย ก็มีข้อเสนออย่างชัดเจนว่า ควรมีไดอะล็อก (การพูดคุยสนทนา) หรือเพิ่มพื้นที่ให้กลุ่มที่เห็นแตกต่างกันได้พูดคุยกัน เพราะคนเราเห็นต่างได้ แต่ไม่ควรใช้ความรุนแรง และวัฒนธรรมการใช้ความรุนแรงกับผู้ที่เห็นต่างต้องหมดไป โดยเฉพาะในห้วงที่สถานการณ์ยังเป็นเช่นนี้ มีการเผชิญหน้าหรือใกล้ที่จะเผชิญหน้ากัน ทุกฝ่ายต้องมีสติ และยึดแนวทางสันติวิธีในการพูดคุยเพื่อแก้ไขปัญหา เรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกันบนความคิดเห็นที่แตกต่างกัน เหมือนกับที่ คอป.เคยรณรงค์ตั้งแต่ช่วงก่อนเลือกตั้งว่า "คิดต่างได้ แต่อย่าทำร้ายประเทศไทย" ขณะนี้บ้านเมืองของเราอยู่ในบรรยากาศของความหวาดระแวง และมีความแตกแยกทางความคิดค่อนข้างสูง ซ้ำยังเคยผ่านความรุนแรงมาระดับหนึ่งแล้ว ประเด็นที่เปราะบางลักษณะนี้ต้องไม่เกิดขึ้นซ้ำเติม เพราะจะนำไปสู่ความรุนแรงที่ขยายวงมากขึ้นได้ คอป.เราได้ประเมินสถานการณ์แล้วจากการเปิดเวทีรับฟังความคิดเห็นช่วงก่อนหน้านี้ว่า ความแตกต่างทางความคิดได้แตกประเด็นไปมากขึ้นหลังจากเหตุการณ์เมื่อเดือน เม.ย.ถึง พ.ค.ปี 53 ซึ่งเป็นเพราะความไม่ไว้วางใจอีกฝ่าย ทำให้เกิดความหวาดระแวงซึ่งกันและกัน ทั้งเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ การเตรียมเสนอกฎหมายปรองดอง และการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ว่าด้วยการละเมิดสถาบัน แม้หลายประเด็นเหล่านี้ ฝ่ายที่เสนอจะเห็นว่าเป็นการเสนอตามแนวทางหรือหลักการที่ถูกต้อง แต่เมื่อเสนอในห้วงเวลาที่มีความแตกแยกแตกต่างทางความคิดและมีความหวาดระแวงสูงเช่นนี้ ย่อมสุ่มเสี่ยงต่อการที่อีกฝ่ายจะไม่รับฟังและเป็นชนวนความขัดแย้งได้ง่าย คอป.ได้เตือนมาตลอดให้สังคมไทยตั้งสติ ไม่ทำให้ความขัดแย้งขยายวง คอป.เองเคยหวังว่าบรรยากาศของบ้านเมืองจะมุ่งไปสู่ความปรองดองเหมือนกับที่เคยเกิดขึ้นช่วงก่อนเลือกตั้งและหลังเลือกตั้งใหม่ๆ แต่เมื่อสถานการณ์เดินมาสู่จุดนี้แล้ว คงยากที่จะรักษาบรรยากาศเช่นนั้นไว้ ฉะนั้น คอป.จึงกำลังพิจารณาเรื่องการเปิด "เวทีกลาง" ให้แต่ละฝ่ายที่เห็นต่างได้พูดคุยแสดงความคิดเห็นโดยไม่ใช้ความรุนแรง ขณะนี้กำลังประเมินกันอยู่ว่าจะเปิดเวทีในรูปแบบใด เมื่อไร และอย่างไร กระนั้นก็ตาม ก็ต้องขอแสดงความชื่นชมผู้นำทางการเมืองทุกฝ่ายที่เป็นตัวอย่างที่ดี ไม่แสดงท่าทีสนับสนุนกลุ่มที่ใช้ความรุนแรง ทั้งยังพยายามเรียกร้องคนในสังคมให้มีสติ เราคิดว่าถ้าสามารถประคับประคองกันด้วยเหตุผลได้เช่นนี้ จะทำให้สถานการณ์ไม่เลวร้ายลงไปกว่าที่เป็น | |
http://redusala.blogspot.com |
เปิดใจ "แฝดนรก" ไหว้ ร.5 ก่อนทำรัญไร | |
คลิปเปิดใจ "แฝดนรก" ไหว้ ร.5 ขอพรก่อนชกหน้า "วรเจตน์" หลังการสอบสวนเสร็จสิ้น สื่อฯหลายสำนักได้ติดตามและค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมอยู่ตลอดเวลา และได้สัมภาษณ์สองฝาแฝดผู้ก่อเหตุชกต่อยอาจารย์วรเจตน์ โดยนายสุพจน์ และ สุพัฒน์ ศิลารัตน์ ได้ให้สัมภาษณ์ว่า ไม่พอใจอาจารย์วรเจตน์ กรณีเคลื่อนไหวแก้ไข ม.๑๑๒ และ ก่อนไปก่อเรื่อง ได้ขอพร ร.๕ ที่ลานพระบรมรูปทรงม้า สาบานตนว่าจะปกป้องสถาบันฯ และขอให้พบตัวอาจารย์วรเจตน์เพื่อจะได้สั่งสอน และก็ได้จริงๆ ตลอดเวลาได้พูดอย่างร่าเริงและภาคภูมิใจ ในขณะเดียวการ จากการสืบสวนเชิงลึก ยังพบว่าทั้งคู่ เป็นคนชอบถ่ายภาพและเล่นปืน โดยเฉพาะในปืนสั้นแบบเซมิออโตเมติค ยี่ห้อสปริงฟิลด์ขนาด ๑๑ มม. ซึ่งยังมีปืนบางรุ่นที่สามารถติดกล้องเล็งยิงระยะไกลและขาทรายเหมือนปืนสไนเปอร์ได้ด้วย ทั้งสองคน เคยมีคดีมาก่อน โดยนายสุพจน์ ศิลารัตน์ แฝดผุ้พี่มีคดี " มีอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต ที่แยกประชาอุทิศ ถนนสรงประภา เมื่อวันที่ ๑๗ ม.ค.๕๓ ส่วนแฝดน้องที่ตะโกนด่า "อยากเตะนักข่าว" มีคดีทำร้ายร่างกายผู้อื่น ที่สี่แยกไฟแดง กม.๒๗ ถนนพหลโยธิน แขวงสีกัน เขตดอนเมือง วันที่ ๒ ก.พ. ๒๕๔๔ อีกทั้งสองจากนี้ สองคนนี้ยังมีพิรุธมากมายอาทิ ครอบครองปืนราคาร่วมสองแสน แต่ไม่มีอาชีพ ไม่มีรายได้เป็นหลักแหล่ง แต่มีเงินไปยิงปืนที่สนามสามโคก ซึ่งการไปฝึกแต่ละครั้งใช้เงินไม่ต่ำว่า ๒-๓ พันบาทต่อครั้งในการฝึกซ้อมปืน ซึ่งจากข้อมูล สองคนนี้เข้าฝึกซ้อมยิงปืนที่สนามนี้เป็นประจำทุกสัปดาห์ จนชำนาญชนะเลิศได้ถ้วยรางวัลนักแม่นปืนต่างๆมากมาย รายละเอียดทั้งหมดจะนำมาเสนอต่อไป ขอขอบคุณคลิปจาก http://www.youtube.com/watch?v=wT6GU-1a6EY | |
http://redusala.blogspot.com |
ทำเหี้ย แล้วยังอ้างว่า ทำเพื่อสถาบัน | |
"แฝดนรก" โผล่โพสท์ข้อความเว็บปืนย้ำ "ทำเพื่อสถาบัน ที่ผมรัก" www.gun.in.th มีผู้ใช้นามแฝงว่า "สุพจน์ รักในหลวง" ได้เขียนข้อความหัวข้อว่า "จากใจเลวๆ ของฝาแฝด" เพื่อบอกเล่าความในใจจากกรณีข่าวดังสะท้านเมือง ที่ฝาแฝดคู่หนึ่งตะบันหน้าอาจารย์วรเจตน์ ภาคีรัตน์ อาจารย์คณะนิติศาสตร์ โดยมีข้อความว่า " ขอบคุณพี่น้องทุกคนที่เป็นห่วง ตอนนี้กำลังไล่อ่านข้อความอยู่ครับ.. ตอนนี้ข่าวเล่นผมเละ.... ผมขอบอกไว้ตอนนี้เลยว่า ผมไม่เหลือง ผมไม่แดง ผมไม่เคยไปเผาหุ่น ปืนผมซื้อมายิงแต่เป้ากระดาษ ผมรักกีฬานี้.....และผมรักสถาบันของผม...มาก ชีวิตผมไม่รู้จะอยู่ได้อีกนานเท่าไร.... อย่างน้อยในซักครั้ง ที่ผมได้ทำเพื่อชาติ เพื่อสถาบัน ที่ผมรัก.... ผลที่ตามมา....ผมรับได้.... วันที่ 12 มีนา ตำรวจนัดที่ สน ชนะสงคราม และจะพาไปศาลแขวงล่ะมั้ง...ผมไม่แน่ใจ และน้ำใจของพี่น้องและคุณน้าทั้งสามท่าน...ที่นำดอกไม้ไปมอบที่โรงพักพร้อมทั้งยินดีมอบเงินเพื่อเป็นค่าใช้จ่าย... ผมต้องขอบอกว่า ผมไม่รับเงินช่วยเหลือนะครับ เกรงว่าจะมีคนแอบอ้างหลอกเงินกัน... ผมทำด้วยใจจริงๆครับ...และเข้าใจในความหวังดีของทุกท่าน..แต่ผมอยากคงความภูมิใจผมไว้อย่างนี้....ตลอดไป อดเยี่ยงอย่างเสือ...สงวนศักดิ์ โซก็เซาะใส่ท้อง...หาเนื้อกินเอง..." | |
http://redusala.blogspot.com |
รักในหลวงต้องคลั่ง ? | |
''ใบตองแห้ง'' ออนไลน์: รักในหลวงต้องคลั่ง? ใบตองแห้ง 1 มี.ค.55 เมื่อวันพุธ บังเอิญผมโทรคุยกับ อ.วรเจตน์อยู่ 2 ครั้ง เพราะอยากปรึกษาหาความรู้เรื่องศาลเดี่ยว (ศาลพระภูมิ) ศาลคู่ (ศาลเจ้าพ่อศาลเจ้าแม่) แต่ไม่ทันคุยเป็นน้ำเป็นเนื้อ เพราะช่วงเช้า วรเจตน์ไปจุฬาฯ อ.ไชยันต์ ไชยพร เชิญไปบรรยายพิเศษให้นิสิตฟัง (ขอชื่นชม อ.ไชยันต์ไว้ ณ ที่นี้ ในฐานะผู้มีความเห็นต่างแต่เปิดใจกว้าง) ช่วงบ่าย ราวบ่ายสามกว่า ก็โทรคุยกันอีกครั้ง ตอนวรเจตน์แวะทำธุระส่วนตัวระหว่างเดินทางกลับธรรมศาสตร์. แค่อีกครึ่งชั่วโมงต่อมา ก็มีคนโทรบอกผมว่า วรเจตน์ถูกทำร้าย อย่างอุกอาจกลางคณะนิติศาสตร์ ธรรมศาสตร์ สิ่งที่น่าสลดใจคือ คนร้ายไม่ได้เกรงกลัวต่อกฎหมาย ไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองกระทำเรื่องชั่วช้าเลวทราม เพราะยังบอกว่า ถ้าอยากรู้กูเป็นใครให้ไปดูในวีดิโอ (วงจรปิด) จากนั้นก็เข้ามอบตัวอย่างสง่าผ่าเผย... พูดง่ายๆ ว่าเขาอยากโชว์ และคิดว่าตัวเองเป็นฮีโร่ด้วยซ้ำ แน่นอน จะมีอะไรต้องเกรงกลัวละครับ เพราะในทางกฎหมาย การทำร้ายร่างกายที่ไม่ได้รับอันตรายสาหัส ไม่ใช่โทษรุนแรง มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี รับสารภาพลดครึ่ง แถมจำเลยคงคิดว่าศาลจะให้ความปรานี รอลงอาญา เพราะทำไปด้วยความจงรักภักดี (นี่ก็ได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว ทั้งที่ในเฟซบุคระบุว่า ผู้ต้องหาชอบเล่นปืน ผมเห็นด้วยว่าเขาควรได้รับการปล่อยตัว แต่ควรขอคำสั่งศาลคุมประพฤติ ห้ามครอบครองอาวุธร้ายแรง) ขณะที่ในทางสังคม แทนที่จะประณามการกระทำดังกล่าว พวก “สลิ่ม” และ พธม.กลับแสดงความสะใจ หรือบอกว่าน้อยไปด้วยซ้ำ ยกตัวอย่างสลิ่มรายหนึ่ง โพสต์ในเฟซบุคของวรกร จาติกวณิช ว่า “อยากมอบโล่ห์เกียรติยศ พร้อมเกียรติบัตรให้ผู้ที่ชกวรเจตน์ ถือเป็นบุคคลแห่งปี สมควรลงหนังสือไทม์” ขณะเดียวกันก็รีบปัดป้องว่าไม่ใช่การกระทำของพวกตัว ตั้งข้อสงสัยว่าเป็นการจัดฉาก สร้างสถานการณ์ เรียกความสนใจ หรือฝ่ายรัฐบาลต้องการเบี่ยงเบนประเด็น อันนี้ไม่ใช่แค่พวกสลิ่ม แต่พวกนักข่าว นักเล่าข่าวตอนเช้า บางเจ้าก็วิเคราะห์เป็นตุเป็นตะ ว่าอาจจะมีมือที่สามที่สี่ ผมเรียกว่า “สันดานนักข่าว” คือเป็นพวกที่คิดไว้ก่อนว่าทุกอย่างต้องมีการเมืองอยู่เบื้องหลัง ทุกคนสกปรกหมด ยกเว้นพวกกรูฐานันดรที่สี่ มีเซอร์ไพรส์จากสื่ออยู่เจ้าเดียวคือ ไทยโพสต์ บ้านเก่าผม พาดหัวข่าวแหกโผ ดีที่สุดบนแผงหนังสือพิมพ์ ดีกว่ามติชน ข่าวสด ด้วยซ้ำ เพราะประณามว่า “เถื่อนชกหน้าวรเจตน์” บุกคุกคามกลาง ‘ธรรมศาสตร์’ หลายฝ่ายผวา 112บานปลาย! อันที่จริงก็ไม่น่าประหลาดใจถ้าอยู่ในสถานการณ์ปกติ เพราะไทยโพสต์เคยเป็นสื่อที่ปกป้องสิทธิเสรีภาพมาตลอด เคยโดนคุกคามด้วยตัวเอง ทั้งสมัย ปชป.และ ทรท. เพียงแต่ฉบับนี้สงสัยว่า จะเหลือคาแผงบานเบอะ เพราะขัดใจแฟนคลับ (เผลอๆ จะมีรายการเรียกร้องให้ทบทวนจุดยืน คริคริ) ตลกร้ายคือในขณะที่พวกสลิ่มอ้างว่าไม่ใช่การกระทำของพวกตัว “คนรักในหลวงไม่ทำอย่างนั้น” พวกเขากลับแสดงความสะใจ เย้ยหยัน กระทืบซ้ำทางวาจา ทั้งในความเห็นท้ายข่าวผู้จัดการ ASTV ทั้งในเฟซบุคของวรกร ของหมอตุลย์ “ดีใจที่สุดเลยค่ะ” “โดนก้านคอด้วยไหมคะ” (วรกร จาติกวณิช) “อย่าดีใจค่ะ เดี๋ยวเค้าจะว่า เราโหดร้าย คนชกวรเจตน์น่ะเป็นคนร้าย แต่คนทุบรถอภิสิทธิ์เป็นคนรักประชาธิปไตยนะคะ เราต้องอย่าลืม...” “โดนชกรัวที่หน้า แตก ทั้งหน้าและแว่นตา. น่าจะเสียหล่อ” “ชกเสด น่าจะสาดน้ำกรด” ทั้งหมดมีรายเดียวที่บอกว่า “ผมว่าเราไม่ควรสนับสนุนการใช้ความรุนแรงกับคนคิดต่าง ไม่ว่าจากฝ่ายใดนะ” คุณหมอตุลย์บอกว่า “คนไทยรักในหลวง แม้จะไม่ชอบใจการกระทำของวรเจตน์ แต่ผมเชื่อว่าไม่มีใครลงมือทำร้ายวรเจตน์หรอกครับ ผมคิดว่าวรเจตน์ถูกใช้เป็นเหยื่อสร้างสถานการณ์กลบกระแสคัดค้านการล้มล้างรธน.” แต่ความเห็นถัดมาบอกว่า “คุณหมอก็ต้องระวังนะคะ เพราะเรากำลังเล่นงานคนที่ไม่สำนึกบุญคุณแผ่นดิน เอาง่ายๆคนที่พร้อมจะทรยศผู้มีพระคุณหนูไม่ถือว่าเป็นคนดี..โดยเฉพาะพวกที่วันๆคิดว่าตัวเองเก่ง ทั้งที่กระจอก อ๋อ กรณีวรเจตน์หนูไม่เห็นด้วที่โดนชกนะคะ แต่อยากให้กระทืบให้สมองส่วนที่ทำงานมากกว่า..” คำถามคือคนไทยรักในหลวงไม่มีใครลงมือทำร้าย แต่คนไทยรักในหลวงพร้อมจะสะใจ ยุให้กระทืบสมองเลยดีกว่า อย่างนั้นหรือครับ นี่รักในหลวงแบบไหนกัน ทำไมความรักในหลวงต้องมาพร้อมกับความโกรธ เกลียดชัง คลั่งแค้นผู้ที่มีความเห็นต่าง มาพร้อมกับความคับแคบ ไร้สติ ไม่ฟังอะไรทั้งสิ้น ทั้งๆ ที่แฟนคลับหมอตุลย์หรือวรกร น่าจะเป็นคนกรุงผู้มีการศึกษา ไม่ใช่ชนชั้นกลางทำมะดาๆ ด้วยซ้ำ แต่น่าจะเป็นพวกมีคลาส มีตระกูล จบปริญญาโทปริญญาเอก ไม่ได้บอกว่าคนเสื้อแดงแสนดีมีมารยาท มวลชนเสื้อแดงที่โห่ฮาหมอตุลย์ตอนไปธรรมศาสตร์ก็ทำไม่ถูก หรืออย่างแท็กซี่ที่ตะโกนด่าพร้อมให้อวัยวะ อ.แก้วสรรกลางถนน ก็ทำไม่ถูก แต่ระหว่าง “ผู้ดีรักในหลวง” กับ “ไพร่รักทักษิณ” ผมควรจะเรียกร้องใครมากกว่ากัน เฮ้ย คนรักในหลวงควรจะมีเมตตาธรรม มีขันติ มี ฯลฯ มากกว่าคนรักทักษิณสิ ก็คุณรักในหลวงเพราะพระองค์มีพระมหากรุณาธิคุณต่อประชาชนทั้งแผ่นดินไม่ใช่หรือ (คนรักทักษิณมันก็แค่ได้ผลประโยชน์ประชานิยม จริงไหม) แล้วนี่เป็นความร้กในหลวงแบบไหนกัน 35 ปีผ่านไป จาก 6 ตุลา 2519 ที่อ้างความรักสถาบันปลุกระดมให้เกิดการเข่นฆ่ากลางเมือง เก้าอี้ฟาดศพ ใช้ไม้แทงอวัยวะเพศ จนถึงวันนี้ ก็ดูเหมือนไม่ได้เปลี่ยนไปซักเท่าไหร่เลย อย่าลืมว่าพฤษภา 35 สุจินดาก็กล่าวหาชวลิต เป็นพวกสภาเปรสิเดียม รสช.ยึดอำนาจก็อ้างคดีลอบสังหาร ม็อบมือถือก็ถูกหาว่าขัดขวางขบวนเสด็จฯ และพวกทหาร (ของ พล.อ.สุรยุทธ์) ที่เข้าไปลุยกระทืบคนในโรงแรมรอแยล ก็ให้การว่า ถูกปลุกปั่นว่าพวกนี้เป็นคอมมิวนิสต์เป็นภัยต่อสถาบัน “คนดี” อย่างสุเมธ ตันติเวชกุล หรือ พล.ต.อ.วสิษฐ เดชกุญชร ช่วยชี้แจงทีว่า ท่านปลูกฝังความรักในหลวงแบบไหนกัน รักแล้วต้องคลั่ง ต้องยกย่องเทิดทูนสดุดีสถานเดียว โดยไม่สามารถพูดกันอย่างมีเหตุผลอย่างนั้นหรือ แค่สดุดีน้อยหน่อย ก็อาจถูกเขม่น แค่บอกว่าอย่าคลั่งมากนัก ก็เห็นเป็นศัตรู ที่พูดนี่ไม่ใช่ไม่เคยเห็นคนรักในหลวงที่มีเมตตาธรรม รับความรักมาเผื่อแผ่ให้ทุกสีทุกขั้ว มีเหมือนกันครับ แต่น้อยนิด ยกตัวอย่าง คุณดนัย จันทร์เจ้าฉาย เป็นคนที่ผมชื่นชม เพราะแกไม่เคยเอาความรักมาใช้เพื่อเกลียดใคร แต่ทำไมคนแบบนี้มีน้อยจังหว่า เรื่องแปลกแต่จริงคือ “สลิ่ม” ส่วนใหญ่เป็นคนกรุงคนชั้นกลาง ที่ปลาบปลื้มกับภาพถ่ายเก่าๆ หรือภาพในจอทีวี ที่ในหลวงปฏิบัติพระราชกรณียกิจ เสด็จเยี่ยมคนชนบท ไม่ใช่คนเหล่านี้ได้รับพระมหากรุณาธิคุณด้วยตัวเองซักหน่อย แต่พวกเขาได้รับการปลูกฝังมาตั้งแต่เด็กจนโต กระนั้นมันน่าจะเป็นเรื่องดี ที่มีคน “รักในหลวง” เยอะๆ แล้วยึดมั่นในพระบรมราโชวาท ในวัตรปฏิบัติที่พระองค์เป็นแบบอย่าง สมมติเช่น รถติดสติกเกอร์ “รักในหลวง” ก็ควรขับรถถูกกฎ เคารพวินัยจราจร (ผมจะได้ปาดง่ายหน่อย-ฮา) แต่ที่ไหนได้ บางคันทาสีเป็นตัวหนังสือตัวใหญ่ๆ “รักในหลวงทั้งครอบครัว” ฝ่าไฟแดงเฉยเลย ความรักในหลวงควรเป็นความรักที่สูงส่ง ไม่ใช่หรือครับ ควรเป็นหลักยึดเหนี่ยวให้ทำความดี ไม่ใช่หรือครับ ไม่ใช่เป็นหลักยึดเหนี่ยวให้ฆ่ากัน ทำร้ายกัน อย่างบ้าคลั่ง แต่ทำไมมันกลายเป็นเหมือนความคลั่งศาสนา หรือคลั่งลัทธิ แบบตาลีบัน ซึ่งอันที่จริง ตัวศาสนาก็สอนให้ทำดี แต่การปลูกฝังด้านเดียวทำให้คลั่ง ธงชัย วินิจจะกูล จึงบอกว่า “กษัตริย์นิยมล้นเกิน” เป็นกึ่งศาสนา คือไม่ใช่ศาสนา แต่บางด้านหนักกว่าศาสนา เพราะเรายังมีเสรีภาพในการนับถือศาสนา ปรากฏการณ์ของพวกสลิ่ม “รักในหลวง” ถ้าให้ผมเทียบในฐานะคนออกจากป่า ก็คล้ายกับพวกเรดการ์ด ที่ชูสรรนิพนธ์ประธานเหมา เข้าไปลากคอคนออกมาติดป้ายประจานว่าปฏิปักษ์ปฏิวัติ ถึงแม้พฤติกรรมจะไม่ถึงขั้นนั้น แต่ในเชิงความคิดครอบงำ ก็คล้ายๆ กัน หรือถ้าเทียบอเมริกา ก็คือยุคแมคคาร์ธี ที่กีดกันผู้ถูกกล่าวหาเป็นคอมมิวนิสต์ แบบเดียวกับที่มหาวิทยาลัยไม่ยอมรับก้านธูปเข้าเป็นนักศึกษา หรืออาจารย์แจ้งจับลูกศิษย์ข้อหาหมิ่นสถาบัน ช่วยวิเคราะห์หน่อยสิครับ คนรักในหลวงทั้งหลาย คนดีๆ ที่ได้ใกล้ชิดเบื้องยุคลบาท อย่าง ดร.สุเมธ อย่าง พล.ต.อ.วสิษฐ หรือใครก็แล้วแต่ ความรักในหลวงที่ควรจะสร้างสุขสันติแก่สังคมกลายเป็นสร้างความเกลียดชังได้อย่างไร หรือพวกท่านอยากให้เป็นอย่างนี้ | |
http://redusala.blogspot.com |
“เดี่ยวไมค์ ดารุณี ”
“เดี่ยวไมค์ ดารุณี ” | |
สู่นักแสดงไทย สู่สุดยอดแฟนพันธุ์แท้ สู่แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ ขอเชิญพบกับ พี่ดา แดงเดือด “ดารุณี กฤตบุญญาลัย” “เดี่ยวไมค์ ดารุณี ” เจ้าของคำขวัญประจำตัวว่า สู้ไป สวยไป พร้อมกับเล่าเรื่องในการหลบหนีภัยในข้อหาผู้ก่อการร้ายจากรัฐบาลราบ 11 ไปยังประเทศเพื่อนบ้านและการเดินทางไปเยี่ยมเยียนพี่น้องคนเสื้อแดงยังประเทศต่าง ๆ เป็นเวลาปีกว่า ณ. Thai Kitchen 2730 West Burbank Blvd Burbank, CA 91505-2305 (818) 842-8222 ในวันอาทิตย์ที่ 18 มีนาคม ตั้งแต่เวลา บ่ายสามโมงเป็นต้นไป ค่าอาหาร บัฟเฟ่ $ 17 รวมเครื่องดื่ม รายละเอียดติดต่อ
| |
http://redusala.blogspot.com |
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)