วันจันทร์ที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2558

โฆษก ทบ.ปัดข่าวปฏิวัติซ้อน



Sat, 2015-06-13 16:06

'วินธัย สุวารี' โฆษกกองทัพบก ระบุแค่ข่าวปล่อยไม่สร้างสรรค์ ทุกเหล่าทัพมีความสามัคคีและแน่นแฟ้นสนองนโยบาย คสช. ย้ำยังใช้คำสั่งของ คสช. ฉบับที่ 3/2558 ห้ามหน่วยราชการเคลื่อนย้ายอาวุธโดยเด็ดขาด

13 มิ.ย. 2558 เว็บไซต์โลกวันนี้รายงานว่า พ.อ.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก ปฏิเสธกระแสข่าวปฏิวัติซ้อนว่าไม่เป็นความจริง เป็นเพียงการปล่อยข่าวที่ไม่สร้างสรรค์ และเชื่อว่าอาจเป็นความพยายามของคนบางกลุ่มที่ต้องการสร้างความสับสนในสังคมและเป็นกลุ่มคนไม่หวังดีคิดไม่ดีกับประเทศ ซึ่งปัจจุบันการทำงานของหน่วยงานราชการทั้งหมดและทุกเหล่าทัพมีความสามัคคีและแน่นแฟ้น มีการทำงานที่รองรับการทำงานตามนโยบายของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และที่ผ่านมาทุกหน่วยราชการตอบสนองการทำงานของรัฐบาล และ คสช. รวมทั้งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จึงขอให้สังคมอย่าให้ความสำคัญกับข่าวที่ไม่เป็นความจริงและระมัดระวังบริโภคข่าวสารด้วยความระมัดระวังและไตร่ตรองให้รอบคอบ

ทั้งนี้ พ.อ.วินธัย ยังชี้แจงถึงคำสั่งของ คสช. ฉบับที่ 3/2558 เรื่องการควบคุมอำนาจการปกครองประเทศ กำหนดให้ข้าราชการทหาร อาสาสมัคร และเจ้าหน้าที่ของส่วนราชการที่มีอาวุธ เพื่อใช้ในการราชการของหน่วย ห้ามเคลื่อนย้ายอาวุธโดยเด็ดขาดเว้นแต่จะได้รับคำสั่งจากหัวหน้า คสช. และหากมีความประสงค์จะเคลื่อนย้ายให้รายงานต่อแม่ทัพ กองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อยแต่ละกองทัพ ภายใน 15 วันเป็นอย่างน้อยว่า เป็นคำสั่งที่ยังคงประกาศใช้และไม่ได้ยกเลิก แต่นำมาประกาศย้ำเตือนและส่งหนังสือเวียนถึงผู้ว่าราชการจังหวัดทั่วประเทศ เพื่อย้ำเตือนให้หน่วยราชการทราบว่าให้คงปฏิบัติตามกฎระเบียบเดิม และกระตุ้นเตือนการทำงานให้เป็นระเบียบเรียบร้อย เนื่องจากมีปืนของอาสาสมัครหายจึงต้องนำเรื่องนี้กลับมาพูดอีกครั้ง แต่ไม่ได้มีเหตุการณ์อะไรที่เกี่ยวข้องกับการเมืองหรือกลุ่มทางการเมืองหรือจะมีเหตุการณ์ต่อต้านอะไรกับรัฐบาลและ คสช. ส่วนกรณีปืนของอาสาสมัคร จังหวัดนครราชสีมาหายไปนั้น เป็นเรื่องที่กระทรวงมหาดไทยต้องดำเนินการสอบสวนหาคนกระทำผิด และสืบสวนหา

ค้นบ้านอดีตกรมวังผู้ใหญ่คดี ม.112




Sun, 2015-06-14 16:51

ตำรวจนำหมายค้นพร้อมอดีตกรมวังใหญ่ เข้าเก็บพยานหลักฐานเพิ่มเติม โดยยึดสมุดบัญชีเงินฝากและอื่นๆรวมมูลค่า 10 ล้านบาทไปตรวจสอบที่มาที่ไปหากได้มาหลังรับราชการจะส่งให้ ป.ป.ง.อายัดทรัพย์ต่อไป

14 มิ.ย. 2558 สำนักข่าวไทยรายงานว่าตำรวจนำหมายค้นพร้อมอดีตกรมวังใหญ่ เข้าเก็บพยานหลักฐานเพิ่มเติมคดี ม.112 โดยยึดสมุดบัญชีเงินฝากและอื่นๆรวมมูลค่า 10 ล้านบาทไปตรวจสอบที่มาที่ไปหากได้มาหลังรับราชการจะส่งให้ ป.ป.ง.อายัดทรัพย์ต่อไป

พลตำรวจโทประวุฒิ ถาวรศิริ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พร้อมด้วยพนักงานสอบสวน คุมตัว นายมนตรี โสตางกูร อดีตกรมวังผู้ใหญ่สำนักพระราชวัง ผู้ต้องหาหมิ่นเบื้องสูง พร้อมหมายค้นศาลของอาญากรุงเทพใต้ มาเก็บรวบรวมหลักฐานเพิ่มเติม ที่บ้านพักย่านถนนพระราม 3 เขตบางคอแหลม กรุงเทพมหานคร

ทันทีที่พบหน้าบิดาและมารดา นายมนตรีได้ก้มลงกราบแทบเท้า ก่อนบิดาจะเป็นคนนำตำรวจเข้าตรวจค้นห้องพักของนายมนตรี เพื่อยึดสมุดบัญชีธนาคาร 8 เล่ม ,เอกสารการครอบครองรถยนต์รวม 2 คัน และเอกสารการจองคอนโดมิเนียม ย่านสุขุมวิท โดยตรวจสอบพบว่านายมนตรี มีทรัพย์สินเงินสดและอสังหาริมทรัพย์ มูลค่าประมาณ 10 ล้านบาท

พลตำรวจโทประวุฒิ กล่าวว่า จะตรวจสอบว่าเป็นทรัพย์สินก่อนเข้ามารับราชการ เมื่อปี 2554 หรือไม่ถ้าพบว่าเป็นทรัพย์สินที่ได้มาโดยมิชอบ ต้องส่งให้ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน หรือ ป.ป.ง. ดำเนินการ ส่วนประวัติของนายมนตรี ก่อนมารับราชการในสำนักพระราชวัง ทราบว่า ทำธุรกิจออแกไนซ์เซอร์ จากนั้นขั้นนำตัว นายมนตรี ไปสอบสวนเพิ่มเติมที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล ก่อนส่งตัวคืนศาลอาญารัชดา

เปิดปมคดี ‘แหวน’ ปาระเบิด+112 คำถามถึงการทำลายพยานปากเอกคดี 6 ศพวัดปทุม

ศาลทหารรับฟ้องคดีปาระเบิดลานจอดรถศาลอาญาแล้ว จำเลยเกือบ 20 คนอยู่ในเรือนจำรวมถึงณัฐฏธิดา มีวังปลา แกะรอยจำเลยทั้งสิบกว่าคนพร้อมสนทนากับทนายวิญญัติ ชาติมนตรี ผู้ส่งต่อข้อมูลจากปากคำแหวนและข้อสังเกตเรื่องการทำลายน้ำหนักพยานปากเอก

       ณัฐฏธิดา มีวังปลา หรือแหวน วัย 37 ปี ถูกคุมขังอยู่ในทัณฑสถานหญิงกลางมาตั้งแต่วันที่ 17 มี.ค.ที่ผ่านมา จนครบ 7 ผลัดและอัยการศาลทหารส่งฟ้องไปแล้วเมื่อวันที่ 8 มิ.ย.2558 โดยแจ้งข้อหา ก่อการร้าย, อั้งยี่ซ่องโจร, ใช้และครอบครองอาวุธสงครามโดยไม่ได้รับอนุญาต, พยายามฆ่า

       แม้จะมีข้อหาจำนวนมากและล้วนหนักหน่วง แต่เหตุที่เจ้าหน้าที่ตำรวจเชื่อมโยงเธอคือ เธออยู่ในระหว่างเส้นทางการโอนเงินในการจ้างวานการปาระเบิดอาร์จีดี 5 ใส่ลานจอดรถศาลอาญา

      เหตุการณ์เกิดขึ้นในคืนวันที่ 7 มี.ค.เจ้าหน้าที่จับกุมผู้กระทำการในที่เกิดเหตุได้ 2 คนและขยายผลจาก LINE ไปจับกุมผู้ต้องหาเพิ่มอีก รวมแล้ว 16 คน และตามข่าวที่ปรากฏยังจับไม่ได้ตามหมายจับอีกหลายราย

       ขณะเดียวกันแหวนก็เป็นพยานปากสำคัญในคดี 6 ศพวัดปทุมวนาราม สำคัญขนาดที่อธิบายการตายของทั้ง 6 คนได้แม่นยำ เพราะเป็นพยาบาลอาสาอยู่ในเต๊นท์เดียวกับผู้ตายทั้งหลาย อยู่ห่างจากกมนเกด อัคฮาด หนึ่งในผู้เสียชีวิตเพียง 5 เมตร ทนายความคดีนี้บอกว่าอันที่จริงเธอคือ “ผู้รอดชีวิต”

      นี่ยังไม่นับรวมข้อกล่าวหาตามความผิดมาตรา 112 ที่ตำรวจแจ้งเพิ่มในภายหลังและมีการเข้าไปสอบปากคำแหวนในเรือนจำเมื่อวันที่ 4 มิ.ย.2558



       ย้อนเรื่องราวกลับไปในจุดเริ่มต้น คนใกล้ชิดของแหวนระบุว่า หลังเกิดเหตุปาระเบิด 4 วัน คือในวันที่ 11 มี.ค. แหวนถูกทหารในเครื่องแบบ 2 คน นอกเครื่องแบบ 3 คนควบคุมตัวจากบ้านและไม่มีใครทราบข่าวอีกเลย สองสามวันหลังจากนั้นวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความจากกลุ่มนักกฎหมายอาสาเพื่อสิทธิมนุษยชน (กนส.) ซึ่งเป็นทนายความที่เกี่ยวข้องกับคดี 6 ศพวัดปทุมด้วย ได้โพสต์เรียกร้องให้ทหารปล่อยตัวแหวน ในเวลานั้นทั้งพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และพ.อ.วินธัย สุวารี หัวหน้าและโฆษก คสช.ปฏิเสธเป็นเสียงเดียวกัน ผ่านไปได้วันเดียว วันรุ่งขึ้นเจ้าหน้าที่ทหารได้นำตัวแหวนไปให้พนักงานสอบสวนสอบปากคำ กลายเป็นข่าวโด่งดัง ทั้งคู่จึงอธิบายใหม่ว่าเป็นการเชิญตัว ‘น้องแหวน’ มาให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ในกรณีปาระเบิดนี้

        ฟังดูเหมือนจะเป็นพยาน แต่ท้ายที่สุดแหวนซึ่งอยู่ในความควบคุมของทหาร 7 วันก่อนปรากฏตัว ก็ถูกแจ้งข้อกล่าวหามากมาย พ่วงด้วยมาตรา112 ซึ่งตำรวจระบุว่าขยายผลจากกลุ่มไลน์ ขณะที่แหวนยืนกรานว่าไม่ใช่ข้อความของเธอ รายละเอียดจะกล่าวต่อไป

       ธนชาติ สามีของแหวน เล่าว่า เขาได้รู้จักกันแหวนหลังผ่านเหตุการณ์สลายการชุมนุมปี 2553 มาแล้ว โดยพบแหวนระหว่างที่เธอเข้ามายื่นขอรับค่าชดเชยกับกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ธนชาติเข้ามาในช่วงที่แหวนเผชิญมรสุมหนักในชีวิตเนื่องจากเลิกรากับสามีเก่า และต้องให้ลูกทั้งสองอยู่ในความดูแลของสามี นอกจากนี้ยังต้องอยู่ด้วยความหวาดกลัวการติดตาม การคุกคาม เนื่องจากเป็นพยานปากสำคัญของโศกนาฏกรรมครั้งนั้น

    “เขาหวาดกลัว ต้องหลบๆ ซ่อนๆ ตลอดช่วงนั้น รู้สึกไม่ปลอดภัย แล้วก็ยังมีสภาวะบอบช้ำจากเหตุการณ์ พูดกับใครก็ไม่รู้เรื่องตอนนั้น” ธนชาติกล่าวและว่าช่วงหนึ่งแหวนต้องเข้ารับการบำบัด เพราะไม่สามารถสื่อสารกับผู้คนได้เนื่องจากไม่สามารถควบคุมอารมณ์ได้

     “เขาเห็นเหตุการณ์ชัดที่สุด ลูกเกด (กมนเกด อัคฮาด) ที่โดนยิงก็อยู่เต็นท์เดียวกัน เขาเล่าไปก็ยังร้องไห้ไป ศพคนสุดท้าย เขาพยายามเอาคนนี้ซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์จะเอาไปหาหมอ แต่ไปไม่ได้ มีการยิงสกัดมาตลอด ทั้งที่โรงพยาบาลตำรวจอยู่แค่ฝั่งตรงข้าม ถ้าส่งโรงพยาบาลทันก็อาจไม่ตาย เขารู้สึกเจ็บใจมากที่ช่วยคนไม่ได้” ธนชาติถ่ายทอดสิ่งที่แหวนเล่าให้เขาฟัง

      ถามว่าแหวนเข้าร่วมกับการเมืองอย่างไร ธนชาติเล่าว่า ก่อนหน้าที่เขาจะเจอแหวนในปี 2554 แหวนทำงานเป็นอาสาพยาบาลของโรงพยาบาลวชิระมานานแล้วและมักเข้าไปดูแลผู้ชุมนุมทุกกลุ่มทุกสี ไม่เลือกฝ่าย

    “จนปี 2553 เขามาอยู่ในที่ชุมนุมเสื้อแดงซึ่งชุมนุมกันนาน เขาก็ได้เห็นสภาพว่าเป็นชาวบ้านต่างจังหวัดทั้งนั้น เขาสงสารก็เลยอยู่ช่วยที่นี่ตลอด แล้วก็เลยพลอยคุ้นเคยกับผู้ชุมนุม เขาเองก็เป็นคนอุดรด้วย เลยคถูกมองว่าเป็นแดงโดยปริยาย”
ธนชาติกล่าว



     “เขาตั้งเต๊นท์จ่ายยาสามัญให้ชาวบ้านเองเลยด้วยความสงสาร หมดไปกับม็อบนี้สามสี่แสน เพราะจะไปขอระดมบริจาคจากคนอื่นมันก็ได้ยาก” ธนชาติเล่า ในปี 2554 แหวนเริ่มเดินเรื่องเพื่อขอค่าชดเชยต่อกระทรวงพัฒนาสังคมฯ เพราะหยูกยาและอุปกรณ์ทางการแพทย์หลายอย่างสูญหาย เสียหายไประหว่างการสลายการชุมนุม

     “ทุกวันนี้ผมก็มาเยี่ยมเขาตลอด เกือบจะทุกวัน แรกๆ เขาร้องไห้ตลอด แต่ตอนนี้ก็ดีขึ้นแล้ว สงสารเขามาก เราพยายามประกันตัวแล้วแต่ก็ไม่สามารถช่วยเขาได้” สามีของแหวนกล่าว

       วิญญัติ ชาติมนตรี เป็นทนายความที่ทำคดีเคียงบ่าเคียงไหล่กับพยานคนสำคัญอย่างแหวนจนกระทั่งศาลมีคำสั่งไต่สวนการตายระบุว่ากรณี 6 ศพวัดปทุมฯ นั้นกระสุนมาจากฝั่งทหาร (อ่านที่นี่)

       วิญญัติตั้งข้อสังเกตว่า การที่แหวนเข้าไปเกี่ยวข้องกับคดีนี้ไม่ใช่เพียงเรื่องการโยนระเบิด แต่เป็นการสร้างสถานการณ์ขึ้นมาเพื่อทำลายแหวน และทำลายกระบวนการ พยานหลักฐานในคดีไต่สวนการตายทั้งหมด โดยแหวนยืนยันว่าขณะที่ถูกสอบสวนในค่ายทหาร เจ้าหน้าที่มีการข่มขู่ในเรื่องนี้ด้วย

      “หลังจากนี้ผมจะทำเรื่องร้องและหาตัวบุคคลที่เอาแหวนไปสอบ ว่าใครเป็นคนอยู่ในขณะที่สอบทั้ง 7 วัน ใครเอาตัวมา แล้วใครเป็นคนพูดว่า ต่อไปนี้กูจะทำให้มึงเป็นพยานในคดีการตายไม่ได้ เพราะสิ่งที่มึงพูดทั้งหมดจะใช้ไม่ได้ นั่นหมายความว่าหลังจากนี้ไปแหวนจะโดนหนัก แหวนคิดด้วยซ้ำว่าเขาไม่น่าจะมีชีวิตรอดกลับมา เพราะมีการพูดตั้งแต่วันแรกจนวันที่สองที่สาม แต่เริ่มมีการติดตามการหายตัวไปของแหวน ผมโพสต์เฟซบุ๊กบ้างอะไรบ้าง มีการประโคมข่าวกัน ทหารจึงออกมาปฏิเสธ แต่ไปๆ มาๆ ทนกระแสสังคมไม่ไหวเลยต้องออกมา แล้วแหวนก็ได้ของแถมเลย (คดีปาระเบิดและม.112)” วิญญัติกล่าว

     “ขณะที่สอบก็ปิดตาตลอด ให้เข้าห้องน้ำ อาบน้ำอยู่แต่ก็ปิดตา มีการทำร้ายร่างกายโดยเอาโทรศัพท์ของแหวนทุบหน้าอกครั้งหนึ่ง แหวนร้องไห้เขาเลยหยุด ใช้คำพูดอย่างเดียว แต่การปิดตาตลอดแล้วใช้คำพูดข่มขู่ก็เข้าข่ายทรมานแล้ว” วิญญัติกล่าว

ถามว่าทำไมจึงเห็นว่าแหวนสำคัญกับคดีปี 2553 ถึงเพียงนั้น เขาย้ำอย่างหนักแน่นว่า

    “คำพูดแหวนในฐานะพยานเป็นระบบที่สุด เห็นตั้งแต่ศพแรก และพูดถึงแนวกระสุน ผมคิดว่าพยานอย่างแหวนมีความสำคัญสูง ตอนนี้สิ่งที่เขาต้องการคือ ต้องการข้อเท็จจริงแนวราบ ให้มีกองกำลังแนวราบตามตอม่อยิงเข้าไปในวัด มันเปิดช่องคำพูดของแหวนอยู่นิดนึง ซึ่งถ้าแหวนพลิกนิดหนึ่งก็เปิดโอกาสให้พยานที่เขาเซ็ทไว้เข้ามาได้ สุเทพฯ พูดเรื่องนี้อยู่ตลอดเวลา เขาพยายามบอกแต่ศาลไม่เชื่อเพราะไม่เห็นภาพ ไม่เห็นวิถีกระสุน แต่มันมีอยู่ศพหนึ่งที่เสียชีวิตจากวิถีกระสุนแนวราบ นอกนั้นล้วนเป็นบนล่าง”

   “แหวนเป็นประจักษ์พยาน ระดับพยานปากเอกที่รู้เห็นการเสียชีวิตทั้ง 6 ศพ จริงๆ เรียกว่าเป็นผู้รอดชีวิตก็ว่าได้ เล่าเรื่องราวใกล้ชิดเหตุการณ์ได้มากที่สุดเพราะอยู่ตรงนั้น น้ำหนักของแหวนถือเป็นพยานหนึ่งในไม่กี่ปากที่ศาลรับฟังให้เป็นข้อเท็จจริงยุติได้ว่า การเสียชีวิตของหกศพมาจากแนววิถีกระสุนของเจ้าหน้าที่ทั้งบนรางรถไฟและด้านล่าง และแหวนก็ให้การในลักษณะเป็นโทษกับฝ่ายเจ้าหน้าที่รัฐ เจ้าหน้าที่ปฏิบัติตามคำสั่งของนายทหารระดับสูงและรองนายกรัฐมนตรีในฐานะ ผอ.ศอจ.และนายกรัฐมนตรีที่ออกคำสั่ง เป็นบุคคลที่ต้องรับผิดชอบการกระทำที่เกินกว่าเหตุตรงนี้”

      “แน่นอนว่ามันอาจเปลี่ยนคำพูดของแหวนไม่ได้ในเชิงเอกสารที่มันเป็นที่ยุติไปแล้ว แต่มันสามารถที่จะทำให้พยานหลักฐานที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนให้ปรากฏ สร้างพยานขึ้นมาใหม่ วิธีการนี้ก็ทำกันเยอะแยะทั่วโลก มันจำเป็นต้องทำลายพยานเก่า แม้จะเกิดขึ้นในภายหลังที่เป็นพยานไปแล้ว แต่น้ำหนักของพยานเหล่านั้นที่เป็นมนุษย์จะมีความมั่นคงน้อยลงไป ถ้าเคยเห็นในคำเบิกความต่างๆ ในศาล สุดท้ายทนายหรืออัยการจะต้องถามว่าเคยมีสาเหตุโกรธเคืองกันมาก่อนหรือไม่ นี่คือความสำคัญของการรับฟังพยานหลักฐานของศาล ถ้ามีลักษณะอย่างนี้ ทำให้เห็นว่าเป็นคู่ขัดแย้งกันอย่างนี้ แม้เกิดขึ้นในภายหลังก็ทำให้ความน่าเชื่อถือของพยานลดน้อยลงได้ มีผลแน่นอน”



      เมื่อถามถึงความเป็นไปได้ของการสร้างสถานการณ์ในหมู่ฝั่งตรงข้ามรัฐและเหตุผลความเป็นมาของปฏิบัติการเหล่านั้น วิญญัติวิเคราะห์ว่า

“คงต้องยอมรับว่า จริงๆ มันมีคนที่อยากจะทำแบบนี้ ที่หัวรุนแรง แต่คนอื่นไม่เอาด้วย เขาก็ทำของเขา มัน กลายเป็นว่าสิ่งที่เกิดขึ้นหลังปี 53 กลายเป็นการสร้างประวัติศาสตร์ย้อนกลับไปปี 53 ก่อนหน้าปี 53 มันไม่มีอะไรมากนอกจากพลังของประชาชนที่อยากจะมาชุมนุมขับไล่รัฐบาลอภิสิทธิ์ แต่หลังปี 53 มา หลังการสลายการชุมนุมด้วยความนรุนแรงของรัฐ มันกลายเป็นพัฒนาการของประชาชนที่ต่อสู้ บางคนมันหัวรุนแรงจริง คับแค้นจริงเขาก็หาทางตอบโต้ และตอนนี้กลายเป็นว่าคนเขียนประวัติศาสตร์ได้เล่าเรื่องทั้งหมดย้อนไปใหม่ ปี 52-53 พวกมึงก็ทำจริง” วิญญัติอธิบาย

      “ดิฉันเป็นเพียงอาสาพยาบาลเบื้องต้น ไม่สามารถฆ่าหรือทำร้ายผู้ใดได้ และที่สำคัญ ดิฉันไม่เห็นด้วยกับความรุนแรงและขอยืนยันว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ ทั้งสิ้น”
แหวนกล่าวในจดหมายร้องขอความเป็นธรรมฉบับแรกที่ส่งถึงทนายความ

*********************************

        คดีนี้ไม่ได้มีเพียงแหวนที่ถูกควบคุมตัวในเรือนจำและไม่ได้รับกาประกันตัว หากแต่ยังมีผู้ต้องหารายอื่นที่ถูกจับกุมอีก 16 รายเป็นอย่างน้อย (ชาย 11 คน หญิง 5 คน) ที่อยู่ในเรือนจำ ยกเว้นธัชพรรณ ปกครอง วัย 19 ปี ภรรยาของยุทธนา ผู้ต้องหาคนสำคัญ ซึ่งตั้งครรภ์ 7 เดือนในขณะนั้น และได้รับการประกันตัวหลังจากอยู่ในเรือนจำ 54 วัน อีกรายคือ สมชัย อภินันท์ถาวร วัย 53 ปีพ่อค้าเสื้อผ้าที่รับจ้างโอนเงินที่ได้รับอนุญาตให้ประกันตัวหลังอยู่ในเรือนจำกว่า 70 วัน

        การรวบรวมข้อมูลจากสอบถามตัวผู้ต้องหาบางราย ทนายความที่ได้สอบคำให้การจำเลยหลายราย และญาติผู้ต้องหาบางรายเท่าที่จะสามารถเข้าถึง เราสามารถจำแนกจากความเกี่ยวพันเบื้องต้นในเหตุการณ์ได้หลายชุด ดังนี้
ผู้ถูกจับได้ในที่เกิดเหตุ 2 ราย

        มหาหิน ขุนทอง กับ ยุทธนา เย็นภิญโญ ทั้งคู่อายุ 34 ปี กำลังหาอาชีพ อาศัยในห้องเช่าชานเมืองกรุงเทพฯ เขาถูกจับกุมได้ในที่เกิดเหตุ ยุทธนาเป็นผู้ขับขี่มอเตอร์ไซค์ ส่วนมหาหินเป็นผู้ซ้อนท้าย โดยยุทธนาถูกยิงหลายนัดได้รับบาดเจ็บต้องรักษาตัวในโรงพยาบาล ก่อนจะถูกนำตัวไปยังเรือนจำเช่นเดียวกับมหาหิน

       เจ้าหน้าที่ตำรวจนำตัวมหาหินมาแถลงข่าวคนเดียวเพราะยุทธนาได้รับบาดเจ็บ ตำรวจและทหารระบุว่า ทั้งคู่มีอาวุธปืน .357 กระสุนยิงไปแล้ว 6 นัด กลุ่มนี้มีแผนจะสร้างสถานการณ์อีก 100 จุดทั่วประเทศในวันที่ 15 มี.ค. ทั้ง

       ข้อขัดแย้งสำคัญประเด็นหนึ่งคือ เจ้าหน้าที่ระบุว่าทั้งคู่มีปืนและยิงต่อสู้กับเจ้าหน้าที่ แต่จำเลยทั้งคู่ยืนยันว่า พวกเขาไม่มีอาวุธปืน มีก็เพียงระเบิดลูกดังกล่าวที่ได้มาจากวีระศักดิ์ โตวังจร หรือ ‘ใหญ่ พัทยา’ ที่ยังจับตัวไม่ได้ ในการจับกุมไม่มีการยิงต่อสู้ มีแต่วิ่งหนี และในที่เกิดเหตุนั้นพบว่าเจ้าหน้าที่ทหารนอกเครื่องแบบได้ดักซุ่มอยู่แล้ว ราวกับเตรียมพร้อมเพื่อการนี้

       พ.อ.วินธัย กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า เป็น ‘การข่าว’ ของหน่วยงานความมั่นคง ทำให้ทหารไปปักหลักอยู่ที่นั่นเพื่อรอจับกุมได้ทันท่วงที และเกิดการปะทะกันเล็กน้อย

       ข้อสงสัยประการหนึ่งในหมู่ผู้ต้องหาคือ ใหญ่ พัทยา ผู้ต้องหารายสำคัญที่ไม่ได้ถูกจับกุมและหายตัวไปหลัง ‘ยุยง’ และอำนวยความสะดวกให้ทั้งคู่ดำเนินการ ทั้งคู่ระบุว่ารู้จักใหญ่ พัทยา ผ่านเฟซบุ๊ก

การประชุมที่ขอนแก่น 6 คน
      การประชุมที่ขอนแก่นเกิดขึ้นเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2558 การประชุมเกิดขึ้นจากกลุ่มไลน์ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อขยายการขายตรง สร้างอาชีพให้ผู้ที่สนใจและสามารถนำเงินไปเคลื่อนไหวทางการเมือง ติดอาวุธทางความคิดได้

ผู้ต้องหาในเซ็ทนี้เป็นกลุ่มใหญ่ที่สุด แบ่งเป็น
  • เจษฎาพงษ์ วัฒนพรชัยสิริ
  • นายณเรศ อินทรโสภา 
  • นรภัทร เหลือผล หรือ บาส
  • วิชัย อยู่สุข หรือ ตั้ม
  • ชาญวิทย์ จริยานุกูล
  • สรรเสริญ ศรีอุ่นเรือน
      นอกเหนือจากเจษฎาพงษ์ที่เป็นวิทยากรบรรยายเกี่ยวกับการขายตรงสบู่สมุนไพร และยาสมุนไพร ในครึ่งวันแรก ก็ยังมีชาญวิทย์และสรรเสริญ วิทยากรสูงวัยที่มาบรรยายเรื่องการเมือง ประวัติศาสตร์การเมือง ส่วนที่เหลือก็เป็นผู้เข้าร่วมอบรม บรรดาผู้ร่วมอบรมนี้ถูกจับกุมจากเหตุที่อยู่ในไลน์กลุ่มเดียวกับผู้ก่อเหตุทั้งสองคือมหาหินและยุทธนา ซึ่งไลน์ที่ว่าก็มีหลากหลายกลุ่ม มีคนตั้งแต่หลายสิบไปจนถึงไม่กี่คน

       อย่างไรก็ตาม คนเหล่านี้ตั้งต้นจากการรู้จักกันในโซเชียลมีเดีย มีไม่กี่คนที่รู้จักตัวกันจริงๆ จังๆ พวกเขายืนยันว่าตั้งกลุ่มคุยและวิเคราะห์การเมืองในแบบผู้ที่มีอุดมการณ์ทางการเมืองใกล้เคียงกัน และรวมถึงแลกเปลี่ยนช่องทางการทำมาหากิน หรือการจัดกิจกรรมทางการเมืองเล็กๆ น้อยๆ เช่นการอบรมให้ความรู้เรื่องประชาธิปไตย รัฐธรรมนูญ หรือจัดกลุ่มพูดคุยการเมือง

      ที่น่าแปลกคือ ชาญวิทย์และสรรเสริญ ไม่ได้ใช้สมาร์ทโฟน ไม่ได้อยู่ในกลุ่มไลน์กับใครเขา แต่ก็ถูกจับกุมมาด้วยโดยตำรวจกล่าวหาว่าเขาทั้งสองเป็น ‘ตัวการวางแผน’ ในการปฏิบัติการครั้งนี้ที่ขอนแก่น หรือวันที่เขาไปร่วมบรรยายเรื่องการเมืองนั่นเอง

      กล่าวสำหรับสรรเสริญนั้น เป็นอดีตสหาย มีอาชีพขับแท็กซี่ และมีประวัติการต่อสู้ทางการเมืองมาตั้งแต่หลังรัฐประหาร 2549 เขาต่อสู้ในแนวทางของรัฐสภา เคยพยายามตั้งพรรคกสังคมประชาธิปไตยในช่วงปี 2553 แต่ไม่ประสบความสำเร็จ ขณะที่ชาญวิทย์ก็เป็นนักเคลื่อนไหวรุ่นใกล้เคียงกัน ทั้งคู่มีลักษณะเป็นปัญญาชนค่อนข้างสูงและมีแฟนคลับให้ความสนใจติดตามศึกษาแนวคิด นรภัทรก็เป็นคนหนึ่งจึงได้ชวนชาญวิทย์มาบรรยายที่ขอนแก่น และชาญวิทย์ก็ได้ชวนสรรเสริญให้มาช่วยบรรยายด้วย

     ทั้งสรรเสริญ ชาญวิทย์ นรภัทร และวิชัย ศูนย์ทนายเพื่อสิทธิมนุษยชนระบุว่าถูกซ้อมระหว่างการสอบสวนของเจ้าหน้าที่ทหาร โดยเฉพาะสรรเสริญมีร่องรอยการช็อตไฟปรากฏที่ขาและรอยช้ำตามลำตัว (อ่านที่นี่)

การโอนเงิน 7 ราย + 1 ราย

     นั่นคือ สุภาพร มิตรอารักษ์ หรือ เดียร์, แหวน, วาสนา บุษดี, สุรพล เอี่ยมสุวรรณ, วสุ เอี่ยมลออ, สมชัย อภินันท์ถาวร, ( +มนูญ ชัยชนะ หรือเอนก ซานฟาน ยังจับกุมตัวไม่ได้)

      การโอนเงินที่ตำรวจกล่าวหาว่า ต้นทางคือ เอนก ซานฟราน จนมาถึงผู้ปฏิบัติการ ดูเหมือนจะเลี้ยวลดไปตวัดเอาหลายคนเข้าเกี่ยวข้อง

       พ.อ.วิจารณ์ จดแตง จาก กอ.รมน.แถลงข่าวเรื่องเส้นทางการเงินในวันที่นำตัวเดียร์ส่งให้ตำรวจที่ บช.น. ว่า กลุ่มนี้เตรียมก่อเหตุ 2 ครั้ง ครั้งแรกในเดือน ก.พ.2558 โดยเอนก ซานฟาน ติดต่อทางไลน์กับเดียร์เพื่อจ้างวานสร้างสถานการณ์ 5 จุดในกทม. พบการโอนเงิน 50,000 บาท ผ่านนายวสุ ส่งต่อให้นางวาสนา บุษดี และมีการติดต่อแหวน จากนั้นแหวนติดต่อนายสุรพลให้รับงาน แต่ไม่ทราบด้วยเหตุใดนายสุรพลยกเลิกภารกิจ จึงดำเนินการอีกเป็นครั้งที่ 2 ในเดือน มี.ค. เดียร์เปลี่ยนไปติดต่อผ่านวิชัยหรือตั้ม และนรภัทรหรือบาส ก่อนติดต่อว่าจ้างใหญ่ พัทยา เพื่อไปว่าจ้างมหาหินและนายยุทธนาปาระเบิดที่จอดรถศาลอาญาอีกที

        ขณะที่วิญญัติ ทนายความของแหวนระบุว่า แหวนรู้จักคนกลุ่มนี้ในไลน์ เกือบทั้งหมดไม่เคยเจอตัวกัน ตำรวจอ้างว่าวาสนาโอนเงินให้แหวน แต่แหวนยืนยันว่าไม่รู้จักวาสนา แหวนได้รับการโอนเงินจริง แต่เป็นเงินที่ขอยืมจากสุรพลจำนวน 5,000 บาทเพื่อมาชำระหนี้สินที่ทำร้านซักอบรีด และตัวแหวนเองยืนยันว่าไม่เคยมีแนวคิดสนับสนุนความรุนแรงแต่อย่างใด (อ่านที่นี่)

        สำหรับวาสนารู้เพียงคร่าวๆ ว่า วาสนาซึ่งมีอาชีพรับจ้างขายเสื้อผ้าที่ จ.มุกดาหารนั้น รับโอนเงินให้คนอื่นจริงจำนวน 40,000 บาท โดยได้ค่าจ้างจากเดียร์ 200 บาท เหตุที่รู้จักกันเนื่องจากเดียร์เช่าบ้านแม่ของวาสนา

       ขณะที่วสุระบุว่าเขาติดต่อสื่อสารทางไลน์กับกลุ่มเป็นร้อยกลุ่มเนื่องจากตัวเองจะนำคลิปรายการที่เขาผลิตไปเผยแพร่ในกลุ่มไลน์ แต่ไม่เคยโพสต์หรือพูดคุยข้อความที่มีลักษณะสนับสนุนให้ใช้ความรุนแรง สำหรับความสัมพันธ์กับเอนก ซานฟราน นั้นเคยสื่อสารโต้ตอบกันในเรื่องทั่วไปในทางสาธารณะ ไม่เคยคุยหลังไมค์

       ส่วนเดียร์ที่วสุและหลายคนรู้จักผ่านโซเชียลมีเดียนั้น ดูเหมือนจะเป็น ‘เดียร์’ ที่ยังสาวและอยู่ต่างประเทศ ต่างจากเดียร์ที่เจ้าหน้าที่จับกุมมา

       ส่วนสมชัยวัย 53 ปี โดนจับที่บ้านพัก เขาระบุว่ามีอาชีพเสริมในการรับจ้างโอนเงินแทนคนในต่างประเทศอยู่แล้ว และดีลนี้มาจากลูกชายของเขาที่ทำงานอยู่ที่ร้านก๋วยเตี๋ยวของเอนก ซานฟาน ตัวเขามีอาชีพค้าขายเสื้อผ้ากีฬาและไม่ได้สนใจการเมือง 

***********

        วิญญัติยืนยันว่า จำเลยในคดีนี้ถูกฟ้องโดยแบ่งเป็นกลุ่ม 14 คน และ 6 คนโดยแหวนอยู่ในกลุ่มหลัง ทั้งหมดถูกฟ้องในข้อหาก่อการร้าย, อั้งยี่ซ่องโจร, ใช้และครอบครองอาวุธสงครามโดยไม่ได้รับอนุญาต, พยายามฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อน รวมถึงแหวน พยานปากเอกคดี 6 ศพวัดปทุมฯ

       “แม้มีเรื่องเกิดขึ้นแบบนี้ เขาก็ยังยืนยันคำพูดเดิมของเขาที่เบิกความต่อศาล แม้มีคนพูดให้เขาเปลี่ยนเขาก็ไม่เปลี่ยน เขาเป็นพยาบาลอาสา มีจิตที่อยากช่วยคนอยู่แล้ว เขาจึงไม่มีความกลัวต่อการที่จะพูดความจริง ในส่วนที่เป็นความจริงที่เขาประจักษ์ ที่เขาเห็น เขาไม่หวั่นไหว” วิญญัติกล่าว

       ไม่เฉพาะคดีร้ายแรงที่เกี่ยวข้องกัการปาระเบิด แต่แหวนยังถูกแจ้งข้อหาเพิ่มเติมในข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ หรือตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ซึ่งสร้างความตระหนกและกังวลใจให้เธออย่างยิ่ง

        วิญญัติเล่ารายละเอียดเกี่ยวกับคดีนี้ว่า หลักฐานสำคัญของเจ้าหน้าที่นำมาจากไลน์กลุ่มที่พูดคุยกันไม่กี่คน โดยเจ้าหน้าที่จับกุมบุคคลที่ก่อเหตุได้และบังคับเข้าถึงทุกบัญชีในโลกออนไลน์ กลุ่มไลน์ที่ว่าก็มีหลายห้องจำเลยบางคนอยู่เกือบทุกห้อง บางคนอยู่บางห้อง ในห้องเป็นกลุ่มลับกลุ่มหนึ่งมีสมาชิกคนหน่งโพสต์ข้อความคึกคะนองที่เข้าข่ายความผิดตามมาตรา 112 แหวนแสดงความไม่เห็นด้วยในห้องนั้น แล้วแค็ปหน้าจอที่ปรากฏข้อความนั้นส่งไปถามเจ้าตัวว่าทำไมจึงพูดแบบนี้ แต่สุดท้ายตำรวจกล่าวหาว่าข้อความดังกล่าวเป็นของแหวน

      “มีการใช้ข้อความที่แหวนก็อปข้อความของคนอื่นไปฟ้อง 112 เป็นข้อความในไลน์ หาว่าจะก่อความรุนแรงในที่ที่มิควรอย่างยิ่ง และพยายามบอกว่าพวกนี้คือขบวนการเดียวกัน กำลังจะก่อเหตุ” วิญญัติกล่าวจากสิ่งที่แหวนเห็นขณะถูกกล่าวหา

คุยกับทูตอังกฤษ : 800 ปีแมคนา คาร์ตา รากนิติรัฐอังกฤษ-วิเคราะห์สังคมไทย



       มาร์ค เคนท์ (Mark Kent) เอกอัครราชทูตอังกฤษให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับแมคนา คาร์ตา และการเมืองไทย ( 1 พ.ค.2558)


วันที่ 15 มิถุนายน 2558 เป็นวันครบรอบ 800 ปี กฎบัตรแมคนา คาร์ตา (Magna Carta)
      800 ปีที่แล้วตามหนังสือเรียนประวัติศาสตร์ไทยน่าจะเป็นช่วงเวลาที่ย้อนไปไกลกว่ากรุงสุโขทัย แต่ที่อังกฤษเริ่มมีการลุกฮือของเหล่าขุนนางเพื่อต่อรองกับกษัตริย์

      แมคนา คาร์ตา เป็นเอกสารข้อตกลงทางการเมืองฉบับแรกๆ ของอังกฤษ มันถูกนับให้เป็นจุดตั้งต้นของความเปลี่ยนแปลงใหญ่อันหนึ่งในสังคม เป็นการสร้างโครงร่างของคร่าวๆ ของระบบนิติรัฐ เป็นข้อตกลงที่ ‘บีบ’ ให้กษัตริย์ต้องอยู่ภายใต้กฎหมาย อันที่จริงถ้าพูดให้ตรงกว่า มันคือการที่บารอนทั้งหลายอยู่ภายใต้ระบบกฎหมายที่สร้างความอุ่นใจมั่นใจให้ชีวิตได้ ไม่ใช่ทุกอย่างขึ้นตามอำเภอใจกษัตริย์ ทั้งการเรียกทรัพย์สินต่างๆ หรือการลงโทษ

       แม้มันจะไม่ใช่ ‘สิทธิ’ สำหรับทุกคน มีไว้แต่บารอนเท่านั้น (ไม่รวมทาสของบารอนหรือประชาชนสามัญ) แต่มันก็ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญ

       ที่ผ่านมาแมคนา คาร์ตา อาจไม่ได้รับการพูดถึงมากนัก ในสังคม แต่ปลายปีที่แล้วจนถึงปีนี้ รัฐบาลอังกฤษโปรโมตการเฉลิมฉลองครบรอบ 800 ปีของแมคนา คาร์ตา อย่างจริงจัง ฉบับจริงที่ยังหลงเหลือถูกนำออกมาจัดแสดงในศูนย์ศึกษาใกล้ปราสาทลินคอล์น

      เอกสารเก่าแก่นี้ถูกเขียนขึ้นในภาษาลาติน มีความยาว 63 ประโยค มีการปรับแก้กันอยู่หลายครั้ง และเมื่อผ่านมาหลายร้อยปีทุกวันนี้ยังหลงเหลือ 3-4 ประโยคอยู่ในกฎหมายของอังกฤษ


       ก่อนจะเดินทางสู่ประวัติศาสตร์ของแมคนา คาร์ตา ‘ประชาไท’ พูดคุยกับ มาร์ค เคนท์ (Mark Kent) เอกอัครราชทูตอังกฤษประจำประเทศไทย ถึงความสำคัญของกฎบัตรหรือความตกลงนี้ ความเกี่ยวพันกับโลกสมัยใหม่ จนกระทั่งเชื่อมโยงกับประเทศไทยซึ่งมีระบอบการปกครองแบบเดียวกัน ลักษณะเฉพาะของสังคมไทย ไปจนถึงร่างรัฐธรรมนูญของไทย ซึ่งในขณะพูดคุยนั้น(1 พ.ค.) เริ่มมีการเปิดเผยร่างแรกแล้วแม้จะกระแสวิพากษ์วิจารณ์ยังไม่มีมากนักก็ตาม


      “มันเป็นเอกสารที่แสดงให้เห็นจริยธรรมของสังคมช่วงหนึ่งและมีหลายเรื่องที่ยังอยู่เป็นพื้นฐานของระบบกฎหมาย ระบบยุติธรรมของอังกฤษ เป็นพื้นฐานของหลักนิติธรรม ทำให้ไม่มีใครในประเทศอังกฤษที่อยู่เหนือระบบกฎหมาย”

      “เรื่องอื่นที่สำคัญมากคือ สิทธิบุคคล ทำให้ทุกคนมีสิทธิถ้าถูกฟ้อง ถ้าไปศาลก็มีสิทธิมีเสียงในระบบกฎหมาย และสุดท้ายกฎบัตรแมคนา คาร์ตา เป็นรากฐานระบบประชาธิปไตยของประเทศอังกฤษ”



      “คนที่ประเทศอังกฤษที่สนับสนุนสถาบันกษัตริย์ส่วนใหญ่มาก แต่ว่าคนที่อาจจะไม่เห็นด้วย ก็แสดงความคิดเห็นได้ โดยทั่วไปคิดว่าสิ่งที่สำคัญที่ประเทศอังกฤษและประเทศที่มีระบบการปกครองอย่างเป็นประชาธิปไตย ทำให้ประเทศพัฒนาต่อไปได้โดยที่ทุกคนสามารถแสดงความคิดเห็นอย่างสันติได้ แลกเปลี่ยนความคิดเห็นโดยสันติได้ เราอาจจะไม่เห็นด้วย แต่ว่ามีความอดทนอดกลั้นเพื่อทำให้ทุกฝ่ายทุกส่วนพูดคุยกันได้โดยสันติ เราอาจจะไม่เห็นด้วยกัน แต่ว่าเราเคารพกันและกัน ถ้าเรามีระบบประชาธิปไตยส่วนรัฐบาลมาจากประชาชนส่วนใหญ่ เป็นตัวแทนของประชาชนส่วนใหญ่ แต่ว่าประชาชนที่อาจจะอยู่ส่วนน้อยทุกคนก็เคารพความคิดเห็นด้วยเป็นหลักการของระบบประชาธิปไตย เป็นหลักการของนิติธรรมนิติรัฐ เพราะฉะนั้นเราพูดคุยกัน เรามีการอภิปรายในรัฐสภาแต่ว่าถ้าเรามีสังคมที่ประสบความสำเร็จต้องทำให้ทุกคนมีส่วนร่วมในการปกครองประเทศ”

ทหารเรียกตัวอาจารย์ ม.สารคาม สอบเกี่ยวโยงกับ ‘ดาวดิน’



Mon, 2015-06-15 17:25


ทหารเรียกสอบ ‘ไชยณรงค์ เศรษฐเชื้อ’ อาจารย์ ม.สารคาม โยงการเคลื่อนไหวของกลุ่มดาวดิน เจ้าตัวยันไม่ฝักใฝ่สีเสื้อสีใด เคลื่อนไหวประเด็นความยุติธรรมจากการพัฒนาและความยุติธรรมทางสิ่งแวดล้อม ทำมาทุกรัฐบาล ทุกยุค ทุกสมัย

หลังจากเมื่อวันที่ 12 มิ.ย. ที่ผ่านมา เสนาธิการกองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อยจังหวัดมหาสารคาม (กกล.รส.จว.ม.ค.) ได้โทรศัพท์หา ไชยณรงค์ เศรษฐเชื้อ อาจารย์ประจำคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม เพื่อสอบถามข้อมูลว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหวของกลุ่มดาวดินหรือไม่ จากนั้น ได้นัดหมายให้ ไชยณรงค์ เพื่อไปเซ็นหนังสือยืนยันไม่เกี่ยวข้องการเมือง ในวันที่ 13 มิ.ย.58 ณ หอประชุมศาลากลางจังหวัดมหาสารคาม ซึ่งทาง อ.ไชยณรงค์ ได้ขอเลื่อนเป็นวันที่ 15 มิ.ย.58 นั้น

ล่าสุด ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน รายงานผ่านเฟซบุ๊กแฟนเพจว่า วันนี้ (15 มิ.ย.58) เวลาประมาณ 09.00 น. อ.ไชยณรงค์ ได้เดินทางไปที่ศาลากลางจังหวัดมหาสารคาม ตามที่นัดหมายไว้ เจ้าหน้าที่ ซึ่งประกอบด้วย เสธ. กกล.รส.จว.ม.ค., สวป.สภ.เมืองมหาสารคาม และฝ่ายปกครอง ได้สอบถามถึงเหตุการณ์ที่ทางกลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมบ้านนามูล-ดูนสาดไปถือป้ายที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยร่วมกับขบวนการประชาธิปไตยใหม่ เมื่อวันที่ 8 มิ.ย. ที่ผ่านมา อันเป็นเหตุให้ทางผู้บังคับบัญชาสั่งให้ กกล.รส.จว.ม.ค. ตรวจสอบว่า ไชยณรงค์ กับกลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมบ้านนามูล-ดูนสาด และกลุ่มนักศึกษา “ดาวดิน” มีความเกี่ยวข้องกันอย่างไร

ไชยณรงค์ ชี้แจงว่า ที่ผ่านมาเขาให้ความช่วยเหลือทางด้านวิชาการแก่กลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมบ้านนามูล-ดูนสาด คือให้ข้อมูลด้านผลกระทบ และสิทธิชุมชนที่ถูกละเมิดภายใต้ระบบสัมปทานปิโตรเลียม ส่วนกลุ่มดาวดิน เขาไม่เคยติดต่อหรือเกี่ยวข้อง เจ้าหน้าที่ยังได้ถามด้วยว่า กลุ่มดาวดินเกี่ยวข้องยังไงกับกลุ่มอนุรักษ์ฯ บ้านนามูล ไชยณรงค์อธิบายว่า นักศึกษากลุ่มดาวดินได้ไปช่วยเหลือชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบจากการขุดเจาะก๊าซ ชาวบ้านจึงถือว่า ดาวดินเป็นลูกหลาน เมื่อดาวดินถูกจับจากการพูดเรื่องความเดือดร้อนของชาวบ้าน ชาวบ้านก็ไปให้กำลังใจกัน

หลังการพูดคุยโดยใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง เจ้าหน้าที่ได้ให้เขาเซ็นบันทึกข้อตกลง เพื่อยืนยันว่า จะไม่เกี่ยวข้องและเคลื่อนไหวกับกลุ่มที่ไปเกี่ยวข้องกับกลุ่มทางการเมือง

ทั้งนี้ ก่อนหน้าเข้าพบทหาร 14 มิ.ย.ที่ผ่านมา ไชยณรงค์ ได้โพสต์เฟซบุ๊ก มีข้อความ้พื่อผยืนยันเจตนารมณ์ของเขาดังนี้

  • 1) การเคลื่อนไหวของผมคือการเคลื่อนไหวทางสังคม สิ่งแวดล้อม ชาติพันธุ์ สิทธิมนุษยชน และสิทธิชุมชน โดยเฉพาะประเด็นความยุติธรรมจากการพัฒนาและความยุติธรรมทางสิ่งแวดล้อม ซึ่งผมทำมาทุกรัฐบาล ทุกยุค ทุกสมัย ทำมาตั้งแต่ผมเป็นนักศึกษา และเมื่อผมเป็นนักวิชาการผมก็ยึดแนวทางนำวิชาการมารับใช้สังคม ทั้งการวิจัย การบริการวิชาการ และการแสดงความคิดเห็นต่อสาธารณะ ถึงวันนี้ผมขอยืนยันถึงจุดยืนตรงนี้ของผม
  • 2) ผมขอยืนยันอีกครั้งว่าผมไม่ฝักใฝ่สีเสื้อสีใด หรือกลุ่มอำนาจใด ขออย่าได้โยงผมหรือผลักผมไปสีนั้นสีนี้ ถ้าผมจะมีสี สีของผมมีสีเดียวนั่นก็คือสีเขียว (ธรรมชาติ/สิ่งแวดล้อม/การพัฒนาที่ยั่งยืนและเป็นธรรม)
  • 3) หากการเคลื่อนไหวของผมไปเกี่ยวโยงกับประเด็นความสัมพันธ์เชิงอำนาจ ก็ไม่ได้มีความหมายว่าเป็นการเคลื่อนไหวทางการเมืองในความหมายแคบๆ ที่เป็นการต่อสู้ช่วงชิงอำนาจกัน แต่คือการที่ผมยืนอยู่ข้างคนตัวเล็กตัวน้อย คนชายขอบ และคนกลุ่มรองทางสังคม ที่ไร้ซึ่งอำนาจในการต่อรองในบริบทของการพัฒนา การแย่งชิงทรัพยากร และความไม่เป็นธรรมทางสังคม