วันจันทร์ที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2560

หมายกำหนดการพระราชพิธีประกาศใช้รัฐธรรมนูญใหม่ 6 เม.ย.นี้


วิษณุ ขอรอฟังความชัดเจน 4 เม.ย.นี้ ชี้โรดแมปนับ 1 ตั้งแต่ประกาศใช้ รธน. ปธ.สนช. คาด รธน.ใหม่มีผลบังคับใช้ 2-3 วันนี้
3 เม.ย. 2560 รายงานข่าวระบุว่า สำนักพระราชวัง เผยแพร่หมายกำหนดการ พระราชพิธีประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2560 ระบุว่า นายกรัฐมนตรีในตำแหน่งบังคับบัญชาสำนักพระราชวัง รับพระราชโองการเหนือเกล้าฯ สั่งว่า สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้กำหนดการประกาศพระราชพิธีประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2560 โดยในวันพฤหัสดีที่ 6 เม.ย. เวลา 15.00 น. สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินโดยรถยนต์พระที่นั่งมายังพระที่นั่งอนันตสมาคม พระราชวังดุสิต มีพระบรมวงศานุวงศ์ องคมนตรี คณะรัฐมนตรี คณะทูต สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ ประธานศาลฎีกา ประธานองค์กรอิสระ ข้าราชการฝ่ายทหารและพลเรือน เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท
จากนั้นทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ราชเลขานุการในพระองค์สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อัฐเชิญรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2560 ถวายสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงลงพระปรมาภิไธยแล้วพระราชทานแก่นายกรัฐมนตรี ก่อนจะมีการประทับพระราชลัญจกรแล้วเชิญไปประดิษฐานบนพานทองที่เสาบัวหน้ามหาสมาคม ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้ กองอาลักษณ์และเครื่องราชอิสริยาภรณ์ สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี อ่านกระแสพระราชปรารภประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2560 จบแล้ว ชาวพนักงานประโคม ฆ้องชัย สังข์ แตร ดุริยางค์ ทหารเกียรติยศถวายความเคารพ วงดุริยางค์บรรเลงเพลงมหาฤกษ์ ทหารบก ทหารเรือ ทหารอากาศ ยิงปืนใหญ่ฝ่ายละ 21 นัด และวัดทั่วราชอาณาจักรย่ำระฆังและกอง ครั้นสุดเสียงปืนใหญ่ มหาดเล็กรัวกรับ ชาวม่านปิดพระวิสูตร ชาวพนักงานประโคมกระทั่งแตร มโหระทึก วงดุริยางค์บรรเลง เพลงสรรเสริญพระบารมี สมเด็จพระเจ้าอยู่ เสด็จพระราชดำเนินกลับ

วิษณุ ขอรอฟังความชัดเจน 4 เม.ย.นี้ ชี้โรดแมปนับ 1 ตั้งแต่ประกาศใช้ รธน.

วิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายกฏหมาย กล่าวถึงกำหนดพระราชพิธีประกาศใช้รัฐธรรมนูญ 2560 ในวันที่ 6 เม.ย.นี้ ว่า ขอให้รอฟังความชัดเจนในวันที่ 4 เม.ย.นี้ โดยจะมีการแถลงอย่างเป็นทางการโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. ซึ่งคาดว่าจะนำเรื่องดังกล่าวเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี เพื่อพิจารณาต่อไป 
วิษณุ ยังกล่าวว่า เบื้องต้นส่วนตัวยังไม่เห็นตัวร่างรัฐธรรมนูญฉบับผ่านประชามติ แต่ได้รับแจ้งไม่กี่นาทีที่ผ่านมาว่า ยังมีความไม่ชัดเจนในบางจุดประมาณ 2-3 จุด พร้อมยืนยันด้วยว่าเอกสารกำหนดการที่ออกมานั้นเป็นเอกสารจริง ส่วนจะมีความชัดเจนเรื่องทามไลน์โรดแมปหลังจากนี้นั้น ยังไม่ทราบ แต่ว่าโรดแมปจะเริ่มนับ 1 ตั้งแต่มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ 

ปธ.สนช. คาด รธน.ใหม่มีผลบังคับใช้ 2-3 วันนี้

พรเพชร วิชิตชลชัย ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.)ซึ่งชี้แจงความคืบหน้าการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับการเลือกตั้ง 2 ฉบับ ที่คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ หรือ กรธ.พิจารณาเสร็จแล้ว ว่า จะส่งมาให้ สนช.พิจารณาอย่างเป็นทางการหลังรัฐธรรมนูญฉบับใหม่มีผลบังคับใช้ โดยคาดการณ์ว่า ภายใน 2-3 วันนี้ จะมีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่
“เข้าใจว่าในเร็ว ๆ นี้จะพระราชทานลงมา โดยจะมีพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) เป็นผู้ลงนามรับสนองพระราชโองการ จากนั้นจะมีพระราชพิธีประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย โดยทุกหน่วยงานเข้าร่วมในพระราชพิธี” ประธานสนช. กล่าว  

ผบ.มทบ. 45 สั่งเด้ง 2 นายทหารมีเอี่ยวซ้อมทรมาน หลัง ผบ.ทบ. จี้สอบด่วน

"พล.อ.เฉลิมชัย" จี้ "มทบ.45" เร่งสอบสวนปมพลทหารเสียชีวิต ระบุถ้าผลสรุปพบว่ามีกำลังพลคนใดได้กระทำความผิดจะถูกดำเนินการไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ด้าน ผบ.มทบ. สั่งเด้ง 2 นายทหารทันที

2 เม.ย. 2560 เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ รายงานว่า พ.อ.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก ชี้แจงถึงกรณี พลทหารยุทธอินันท์ บุญเนียม ทหารเกณฑ์ค่ายวิภาวดีรังสิต จ.สุราษฎธานี เสียชีวิตระหว่างเนื่องถูกสั่งขังคุกทหารเพื่อเป็นการทำโทษ เนื่องจากทำผิดวินัยว่า กรณี พลทหารยุทธอินันท์ บุญเนียม สังกัด มณฑลทหารบก 45 (มทบ.45) ค่ายวิภาวดีรังสิต ได้เสียชีวิตหลังจากมารักษาตัวที่โรงพยาบาล โดยก่อนนั้น พลทหารยุทธอินันท์ ได้ถูกลงโทษให้จำขังในเรือนจำ มทบ.45 ซึ่งทางญาติติดใจสาเหตุการเสียชีวิต 
 
พ.อ.วินธัย กล่าวว่า จากกรณีดังกล่าวหน่วยต้นสังกัดต้องดำเนินการการตามนโยบายของ พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ต่อการดำเนินการเกี่ยวกับงานด้านกำลังพลโดยเคร่งครัด ต่อกรณีการเกิดเหตุในลักษณะดังกล่าว ซึ่งเริ่มจากการสอบสวนในข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นซึ่งขอให้มั่นใจถ้าผลสรุปพบว่ามีกำลังพลคนใดได้กระทำความผิด จะถูกดำเนินการไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ทั้งกฎหมายบ้านเมือง และกฎหมายของวินัยทหารขั้นรุนแรงสูงสุดอย่างแน่นอน 
  
"ยืนยันทุกขั้นตอนต้องดำเนินการอย่างเป็นธรรมและตรงไปตรงมาซึ่ง ผบ.ทบ.จะติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิดอย่างเช่นทุกกรณีที่ผ่านมา ซึ่งล่าสุดทางหน่วยอยู่ระหว่างดำเนินการ ในเบื้องต้นหน่วยได้เข้าไปดูแลทางญาติแล้วอย่างใกล้ชิด เพื่อสร้างความมั่นใจว่าทุกฝ่ายจะต้องได้รับความเป็นธรรมภายใต้สภาพข้อเท็จจริงที่ควรเป็น" พ.อ.วินธัย กล่าว
 
ด้านเดลินิวส์ออนไลน์ รายงานด้วยว่า พล.ต.วิชัย ทัศนมณเฑียร ผบ.มทบ.45 ได้มีคำสั่งให้นายทหาร 2 นาย ที่คาดว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์รุมทำร้ายพลทหารยุทธอินันท์ มาช่วยราชการที่ มทบ.45 เพื่อให้การสอบสวนของฝ่ายตำรวจและฝ่ายทหารเป็นไปอย่างเรียบร้อย ไม่ให้ทหารทั้ง 2 นาย เข้าไปยุ่งเหยิงข่มขู่กับพยานหลักฐาน พร้อมทั้งมีคำสั่งให้ พ.อ.สมศักดิ์ บุญชรัตน์ หัวหน้าฝ่ายสรรพกำลัง มทบ.45 เป็นหัวหน้ากรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง และให้รายงานผลปฎิบัติทันที
 
พล.ต.วิชัย กล่าวว่า ได้กำชับไปยังทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะในการสอบสวนทางคดีของตำรวจ หากมีการร้องขอเพื่อสอบปากคำบุคคล รวมถึงพยานทาง มทบ.ที่ 45 พร้อมให้ความร่วมมือ และเปิดโอกาสให้สอบสวนอย่างเต็มที่ ยืนยันว่าจะไม่ช่วยเหลือกันเด็ดขาด คนทำผิดจะต้องได้รับโทษ ปัญหาคือ คู่กรณีไม่สามารถพูดได้แล้ว ดังนั้นต้องเป็นหน้าที่ของเราที่จะต้องให้ความเป็นธรรมกับเขา ใครก็ตามที่อ้างว่าผู้ตายทำผิดกฎระเบียบแล้วต้องได้รับผลกระทำแบบนี้ถือว่าไม่ถูกต้อง เพราะเราไม่มีหน้าที่พิพากษาชีวิตเขา

'เรืองไกร' เตรียมร้องเรียนให้ 'วิษณุ' เปิดเผยประวัติเสียภาษี

2 เม.ย. 2560 มติชนออนไลน์ รายงานว่านายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ คณะทำงานกฎหมายพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวว่า หลังจากติดตามข่าวการเรียกเก็บภาษีของกรมสรรพากรในกรณีต่างๆ ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) โดยเฉพาะนายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ ที่เคยกล่าวเมื่อปลายพฤศจิกายน 2558 ระบุทุกคนมีหน้าที่เสียภาษี ว่า ตนเห็นด้วยกับนายวิษณุ ด้วยเหตุนี้จึงสนใจว่านายวิษณุ ได้เสียภาษีให้รัฐไว้ครบถ้วนหรือไม่ ประกอบกับนายวิษณุเคยเป็นรองนายกฯ สมัยนายทักษิณก่อนมาเป็นรองนายกฯสมัย พล.อ.ประยุทธ์จึงพอมีประวัติการยื่นบัญชีทรัพย์สินให้ตรวจสอบได้ จากประวัติการยื่นบัญชีทรัพย์สินทั้ง 4 ครั้ง คือวันที่ 14/3/2548 , 24/6/2549 , 24/6/2550 และ 4/9/2557 เมื่อนำมาใส่ตารางเปรียบเทียบแล้วจะพบว่านายวิษณุตลอดเวลา 9 ปี มีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นกว่า 87.5 ล้านบาท โดยครั้งล่าสุดเมื่อ 4/9/2557 นายวิษณุและคู่สมรสยื่นแสดงว่ามีรายได้หลังหักค่าใช้จ่ายรวม 1.2 ล้านบาทและ 1.8 ล้านบาท ตามลำดับ เมื่อคำนวณตัวเลขทรัพย์สินที่เพิ่มขึ้นเฉลี่ยต่อปี 9.7 ล้านบาท กับรายได้ที่ยื่นไว้ครั้งล่าสุด กลับไม่สัมพันธ์กัน เมื่อย้อนไปดูยอดรวมทรัพย์สินช่วงที่พ้นจากตำแหน่งรองนายกฯสมัยนายทักษิณ กับพ้นครบหนึ่งปี คือจากวันที่ 24/6/2549 ถึง 24/6/2550 ปรากฏว่าทรัพย์สินของนายวิษณุและคู่สมรสเพิ่มขึ้นกว่า 11 ล้านบาท และช่วงดังกล่าวอาจเป็นช่วงที่นายวิษณุมีค่าใช้จ่ายในการส่งลูกเรียนต่อปริญญาโทและเอกที่อเมริการวมอยู่ด้วย ซึ่งจากข้อมูลข่าวที่พบลูกชายนายวิษณุบอกว่า “แต่สมัยผมไปเรียนต่อกฎหมาย ก็ไม่ได้สอบชิงทุนอะไร แต่ใช้ทุนของคุณพ่อ”
นายเรืองไกรกล่าวต่อว่า ตนจะไปยื่นหนังสือถึงนายวิษณุที่ศูนย์รับเรื่องตรงข้ามทำเนียบ ในวันจันทร์ที่ 3 เมษายน เวลา 10.00 น. ขอให้นายวิษณุเป็นผู้เปิดเผยประวัติการเสียภาษีที่ผ่านมาตลอดเวลา 9 ปี และตัวเลขค่าใช้จ่ายในการส่งลูกเรียนที่อเมริกาว่ามีจำนวนเท่าใด ทั้งนี้ หวังว่านายวิษณุจะเป็นผู้นำข้อมูลต่าง ๆ มาเปิดเผยต่อสื่อมวลชนด้วยตัวเอง และตนจะนำข้อมูลนั้นมาวิเคราะห์เรื่องภาษีต่อไป หากพบว่ามีเหตุอันควรสงสัยที่ควรตรวจสอบ ก็คงจะทำเรื่องไปยังสรรพากรเพื่อประเมินภาษีอีกครั้ง แต่หากนายวิษณุได้ยื่นภาษีไว้ถูกต้องแล้ว ก็จะใช้เป็นแนวทางในการตรวจสอบนักการเมืองที่อาจยื่นไม่ถูกต้องต่อไป

ราชกิจจาฯ ประกาศใช้ พ.ร.บ.แก้ประมวลรัษฎากร เลี่ยงภาษีถือเป็นคดีร้ายแรง


ราชกิจจานุเบกษาเผยแพร่พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 45) พ.ศ. 2560 รายได้สิบล้านขึ้นไปต่อปี เลี่ยงภาษีถือเป็นคดีร้ายแรง
 
เมื่อวันที่ 1 เม.ย. 2560 ที่ผ่านมา ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ พระราชบัญญัติ แก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 45) พ.ศ. 2560 มีรายละเอียด ระบุว่า สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร มีพระราชโองการโปรดเกล้าฯให้ประกาศว่าโดยที่เป็นการสมควรแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้โดยคําแนะนําและยินยอมของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ดังต่อไปนี้ มาตรา 1 พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า “พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 45) พ.ศ. 2560”
 
มาตรา 2 พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา เป็นต้นไป
 
มาตรา 3 ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นมาตรา 37 ตรี ในส่วน 3 บทกําหนดโทษ ของหมวด 2 วิธีการเกี่ยวแก่ภาษีอากรประเมิน ของลักษณะ 2 ภาษีอากรฝ่ายสรรพากร แห่งประมวลรัษฎากร
 
"มาตรา 37 ตรี ความผิดตามมาตรา 37 มาตรา 37 ทวิ หรือมาตรา 90/4 ที่ผู้กระทําความผิดเป็นผู้มีหน้าที่เสียภาษีอากรหรือนําส่งภาษีอากร และเป็นความผิดที่เกี่ยวกับจํานวน ภาษีอากรที่หลีกเลี่ยงหรือฉ้อโกงตั้งแต่สิบล้านบาทต่อปีภาษีขึ้นไป หรือจํานวนภาษีอากรที่ขอคืนโดยความเท็จ โดยฉ้อโกงหรืออุบาย หรือโดยวิธีการอื่นใดทํานองเดียวกัน ตั้งแต่สองล้านบาทต่อปีภาษีขึ้นไป และผู้มีหน้าที่ เสียภาษีอากรหรือนําส่งภาษีอากรดังกล่าวได้กระทําในลักษณะที่เป็นกระบวนการหรือเป็นเครือข่าย โดยสร้างธุรกรรมอันเป็นเท็จหรือปกปิดเงินได้พึงประเมินหรือรายได้ เพื่อหลีกเลี่ยงหรือฉ้อโกงภาษีอากร และมีพฤติกรรมปกปิดหรือซ่อนเร้นทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทําความผิดเพื่อมิให้ติดตามทรัพย์สินนั้นได้ ให้ถือว่าความผิดดังกล่าวเป็นความผิดมูลฐานตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน เมื่ออธิบดีโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการพิจารณากลั่นกรองความผิดทางภาษีอากรที่เข้าข่าย ความผิดมูลฐานส่งข้อมูลที่เกี่ยวข้องให้สํานักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินแล้ว ให้ดําเนินการ ตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินต่อไป คณะกรรมการตามวรรคหนึ่งประกอบด้วยอธิบดี รองอธิบดีและที่ปรึกษากรมสรรพากรทุกคน" ผู้รับสนองพระราชโองการ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี
 
ทั้งนี้เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ เนื่องจากประเทศไทยในฐานะสมาชิกผู้ร่วมก่อตั้ง Asia Pacific Group on Money Laundering (APG) มีเหตุผลความจําเป็นที่จะต้องปฏิบัติตามข้อบังคับ (Terms of References) ที่กําหนดให้ประเทศสมาชิกต้องปฏิบัติตามข้อแนะนําของ Financial Action Task Force (FATF) ในการกําหนดให้อาชญากรรมเกี่ยวกับภาษีอากรที่มีลักษณะร้ายแรงเป็นความผิดมูลฐานตามกฎหมายว่าด้วย การป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน และเพื่อให้เป็นไปตามเหตุผลดังกล่าว อีกทั้งเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ในการปราบปรามการหลีกเลี่ยงและการฉ้อโกงภาษีอากร สมควรกําหนดให้การกระทําความผิดเกี่ยวกับ การหลีกเลี่ยงหรือพยายามหลีกเลี่ยงภาษีอากรและการฉ้อโกงภาษีอากรที่มีลักษณะเป็นอาชญากรรมร้ายแรง เป็นความผิดมูลฐานตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน จึงจําเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้