วันพฤหัสบดีที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

เจ้ากรม ทบ.แจงทูต 25 ชาติ เลือกตั้ง ตค. 2558



               เจ้ากรมข่าว ทบ. พร้อมทีมโฆษก แจงทูตต่างประเทศ 25 ประเทศ ย้ำโรดแมป คสช. 3 ระยะ ตั้ง สนช. สภาปฏิรูป นำสู่เลือกตั้งภาย ใน ต.ค. 2558ระบุ ตปท. ออกหมายจับ 'จักรภพ' มีหลักฐาน ขณะที่ "วินธัย" เผย กลุ่มเรียกร้องแก้กฎหมาย ขอยื่นหนังสือแทนการชุมนุม งดตอบเรื่องปลดผู้ว่าฯ รถไฟ

             พล.ต.ปณต แสงเทียน เจ้ากรมข่าวทหารบก พร้อมด้วย ทีมโฆษกคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. ชี้แจงข้อมูลสถานการณ์ต่างๆ ต่อคณะผู้ช่วยทูตทหารต่างประเทศ และผู้แทนจำนวน 25 ประเทศ โดย พล.ต.ปณต กล่าวว่า สำหรับโรดแมปของ คสช. จะมีทั้งหมด 3 ระยะ คือ 
  • ระยะที่ 1 การร่างรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว นำขึ้นทูลเกล้าฯ และบังคับใช้ภายในเดือนกรกฎาคม 2557 
  • ระยะที่ 2 การจัดตั้งสภานิติบัญญัติแห่งชาติ คณะรัฐมนตรี และสรรหาสมาชิกสภาปฏิรูปภายในเดือนกันยายน 2557 โดยจะมีการจัดตั้งสภาปฏิรูปแห่งชาติ และเริ่มปฏิบัติหน้าที่ภายในเดือนตุลาคมนี้ 
  • จากนั้นสภาปฏิรูปแห่งชาติจะทำข้อเสนอแนะต่อคณะกรรมมาธิการเพื่อร่างรัฐธรรมนูญฉบับถาวร และรัฐธรรมนูญฉบับถาวรจะแล้วเสร็จ ภายในเดือนกรกฎาคม 2558 หลังจากนั้น จะมีการบังคับใช้รัฐธรรมนูญฉบับถาวร และจัดการเลือกตั้งสมาชิกรัฐสภา ภายในเดือนตุลาคม 2558 ซึ่งทุกกระบวนการที่นำไปสู่การเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตยจะแล้วเสร็จภายในปี 2558

คสช. แจง ตปท. ออกหมายจับ "จักรภพ" มีหลักฐาน



            พล.ต.ปณต แสงเทียน เจ้ากรมข่าวทหารบก กล่าวชี้แจงกับผู้ช่วยทหารและผู้แทน 25 ประเทศ ว่า กรณีการเคลื่อนไหวของ นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ อดีตหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ที่มีการยุยงปลุกปั่นในต่างประเทศนั้น มองว่าประเทศส่วนใหญ่ไม่ยอมให้มาเคลื่อนไหวในลักษณะดังกล่าว เพราะอาจถูกมองว่า เป็นการแทรกแซงภายในได้ และเชื่อว่าผู้บริโภคสามารถแยกแยะข่าวสารได้ จึงไม่อยากให้มีการขยายผลสร้างกระแสเกินเหตุ ส่วนกรณีการออกหมายจับ นายจักรภพ เพ็ญแข ในข้อหาเกี่ยวข้องกับอาวุธสงครามนั้นย้ำว่า เป็นไปตามพยานหลักฐาน รวมถึงการถอนพาสปอร์ตของกลุ่มคนเสื้อแดง 6 คน ซึ่งเป็นแนวทางที่เหมาะสม แต่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีข้อจำกัดในการเปิดเผยข้อมูลที่อยู่ในสำนวนการสอบสวน จึงไม่สามารถเปิดเผยข้อมูลการกระทำผิดของบุคคลนั้น ๆ ได้ทั้งหมด เพราะไม่อยากให้สังคมเกิดความแตกแยก

เจ้ากรมข่าว ทบ. แจงทูตทหาร ยัน ไม่มีการปิดกั้น

             พล.ต.ปณต แสงเทียน เจ้ากรมข่าวทหารบก กล่าวยืนยันกับผู้ช่วยทูตทหารและผู้แทนต่างประเทศ 25 ประเทศ ว่า การประชุมคณะกรรมการเพื่อติดตามการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารต่อสาธารณะ เป็นเพียงการติดตามข้อมูลข่าวสารที่มีผลกระทบต่อประชาชนเพื่อประสานข้อมูลที่เป็นระบบปราศจากการบิดเบือน ซึ่งไม่มีการปิดกั้นและกระทบสิทธิ ข้อเท็จจริง ที่ประชาชนควรรู้

             ขณะเดียวกัน พล.ต.ปณต ยังย้ำว่า คสช. ขอความร่วมมือให้บุคคลทั่วไปหลีกเลี่ยงการจัดกิจกรรมที่สังคมมองว่าอาจเป็นกิจกรรมทางการเมือง ซึ่งที่ผ่านมามีการจัดกิจกรรมที่สนามม้านางเลิ้ง ทำให้ทาง คสช. จำเป็นต้องเรียกบุคคลที่เกี่ยวข้องมาทำความเข้าใจ


คสช.งดตอบฟันผว.รฟท.ขอกลุ่มแก้กม.ข่มขืนยื่นหนังสือ

            พ.อ.วินธัย สุวารี รองโฆษกกองทัพบก และทีมโฆษก คสช. กล่าวถึงกรณีที่ในโลกโซเชียลเน็ตเวิร์ก มีกลุ่มประชาชนนัดแต่งกายชุดดำ เพื่อรณรงค์เปลี่ยนกฎหมายคดีโทษข่มขืน และเพื่อไว้ทุกข์ให้แก่ ด.ญ.กชกร พิทักษ์จำนงค์ หรือ น้องแก้ม ในวันเสาร์ที่ 12 กรกฎาคมนี้ ว่า ความจริงแล้วไม่ว่าการชุมนุมในนัยใด ทาง คสช. มีนโยบายขอให้ประชาชนพยายามงด หรือ หลีกเลี่ยงกิจกรรมการชุมนุมต่าง ๆ ในช่วงนี้ แต่ทั้งนี้ รูปแบบการนำเสนอข้อเรียกร้องต่าง ๆ อาจนำเสนอในรูปแบบหนังสือโดยส่งตัวแทนมายื่นประสานเหมือนประชาชนหลาย ๆ กลุ่มและองค์กรก่อนหน้านี้ โดยจะพิจารณาตามความเหมาะสมต่อไป อย่างไรก็ตาม ย้ำว่าทางหัวหน้า คสช. ให้ดำเนินการผู้ที่กระทำความผิดอย่างเต็มที่ เพื่อไม่ให้เป็นแบบอย่าง และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาหามาตรการป้องกันต่อไป

           ส่วนกรณีที่มีกลุ่มประชาชนเรียกร้องให้ผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทยรับผิดชอบและลาออกจากตำแหน่ง จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้น พ.อ.วินธัย ระบุเพียงว่า ทาง คสช. จะมีการพิจารณาในรายละเอียดต่อไป

นี่หรือวะ ปรองดอง








สืบเนื่องจากข่าว...ทหารบุกรุกแกะสติกเกอร์ พรรคเพื่อไทย

             ทหารรังแกประชาชน น้องทหารว่างมากหรือ มาบุกรุกแกะสติกเกอร์พรรคเพื่อไทย เมิงแกะให้หมดทุกพรรคน่ะ และยกเลิกพรรคการเมืองทั้งหมดเลยไอ้สัตว์ คราวที่แล้วก็จับเค้าถอดเสื้อ คราวนี้มาบุกรุกแกะสติ๊กเกอร์พรรค จะกดหัวกันไปถึงไหน

            ป้าเค้าไปทำอะไรเมิงไอ้เด็กเหี๊ย..มารังแกประชาชนอย่างนี้ แค่นี้เค้าก็ คับแค้นใจจะแย่แล้ว... สัส จิตใจเลวทรามมาก

             เขาขายปลาหมึกทอด เขารักทักษิณ เขาใส่เสื้อแดง เขาผิดอะไร? วันก่อนจับเขาถอดเสื้อแดงทิ้ง วันต่อมาขอโทษเขา วันนี้ส่งทหารไปคุกคามร้านเขาอีก ขอสาปแช่งคนที่พร้อมจะพายเรือให้โจรนั่ง เข้าไปร่วมปฏิรูปประเทศบนคราบน้ำตาประชาชน
  •  จนท.ระดับปฏิบัติ มีปัญหาในการแปรคำสั่งไปสู่การปฏิบัติ ?? 
  • แบบนี้เหรอท่านนายพลทั้งหลาย?? 
  • ท่านปล่อยให้ลูกน้องของท่านจาก ร.17.พัน.2 ทำกับประชาชนชาวบ้านแบบนี้เหรอครับ ที่ท่านเรียกปรองดอง .. สลายสีเสื้อ สลายความขัดแย้ง ??

หมายเหตุ : เลิกกฏอัยการศึกเมื่อไร ทุกท่านจะได้รู้ จะได้เห็น ด้วยตาด้วยหูตัวเองชัดๆ ตราบใดที่ลูกน้องปัญญาอ่อนของพวกท่านยังทำงานกันแบบ *โง่ยิ่งกว่าควายแบบนี้* มันไม่มีทางหรอก ที่จะได้ศรัทธาที่แท้จริงจากชาวบ้าน ..
            ตัวพวกท่านเองก็เช่นกัน ..ลองออกไปเดินลำพังตามต่างจังหวัดดูดิ..ไม่ถูกขี้ปาหัวกบาล มาเรียก*แมว*กูไปรายงานตัวได้เลย นี่พูดจริงๆ.. ประชาชนเค้าเกลียดมึงน่ะ นี่พูดตรงๆ เพราะมึงปล่อยลูกน้องโง่ๆ *กดขี่ แหละเหยียบย่ำน้ำใจเค้า* ครั้งแล้วครั้งเล่า


https://www.youtube.com/watch?v=2r-Fl5ZIgbk&feature=youtu.be

Published on Jul 8, 2014


เพจมณฑลทหารบกที่ สามสิบสาม โพสต์โชว์คลิปเหตุการณ์แกะสติ๊กเกอร์ร้านป­ลาหมึกทอด ปฏิเสธ ไม่ได้ข่มขู่ คุกคาม แค่ขอความร่วมมือ

VIDEO: Armed Thai junta troops "peacefully" intimidate elderly Thai street vendor to remove pro-democracy stickers

Andrew Spooner's twitter




กรุงเทพฯตกอันดับ สุดยอด เมืองท่องเที่ยว - Bangkok slips as top destination






Source: Bangkok Post

London has overtaken Bangkok as the top destination for international travellers on the MasterCard Global Destination Cities Index, as political unrest in the Southeast Asian city kept visitors away.

Bangkok may draw 16.4 million international overnight visitors this year, an 11% decline from 2013, the index showed. London retook the top spot with an 8% increase in travellers to 18.7 million. Four other Asian cities — Singapore, Kuala Lumpur, Hong Kong and Seoul — also ranked among the top 10 destinations.

“The prominence of the Southeast Asian cities on the index demonstrates the importance that trade and tourism plays in these economies,” Matthew Driver, Southeast Asia president of MasterCard Inc, said in a statement.

These cities “have clearly benefited from a deliberate and ongoing investment in travel capacity and infrastructure,” he said.

Bangkok also lost its position as the top Asian city in terms of international visitor spending on the index that ranks 132 cities on the basis of total international visitors, as well as cross-border spending by them.

The Thai capital may see an estimated $13.04 billion in spending this year, behind Singapore at $14.34 billion, it showed.

แนวคิด ทิศทาง การเดินหน้าสู่ความสำเร็จ ขององค์การเสรีไทย เพื่อสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตย




แนวคิด ทิศทาง การเดินหน้าสู่ความสำเร็จ
ขององค์การเสรีไทย เพื่อสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตย

แนวทางการต่อสู้ ของ เสรีไทย


แนวทางการต่อสู้ จะยึดหลัก
  • 1. องค์การเสรีไทย จะทำงานด้วยอาวุธ คือ สติปัญญา ความรู้ ความจริง โดยใช้ปาก ใช้ปากกา ใช้หนังสือ ใช้ความสัมพันธ์ต่อเนื่องกัน ไปพบผู้นำทุกระดับทุกประเทศ ชี้แจงสถานการณ์ไทยตามหลักการสิทธิมนุษยชน และมนุษยธรรม ให้โลกรู้ว่าคนไทยถูกทหาร เจ้าหน้าที่ผู้รับใช้คณะเผด็จการทหาร คสช. ข่มขู่ คุกคามให้หวาดกลัว
  • 2. องค์การเสรีไทย จะทำการชี้แจงผ่าน โซเชียลมีเดีย กระจายไปทั่วทุกภูมิภาคของประเทศไทย และทั่วโลก ปลุกให้ทุกคนลุกขึ้นสู้กับความกลัว ความกดขี่ เอาเปรียบ โดยเริ่มจากสิ่งที่ทำแล้วไม่กระทบต่อความปลอดภัยของทุกคน
  • 3. องค์การเสรีไทย จะพยายามจัดตั้ง เพื่อขยายกลุ่มคนไทย ทั้งในและต่างประเทศ ให้เข้าใจในแนวทาง และอุดมการณ์ของการต่อสู้ โดย ทุกคนมีอิสระเสรี แต่เป็นแนวร่วมซึ่งกันและกัน อย่าทะเลาะกัน อย่านินทากัน มุ่งเป้าหมายหลักที่อำนาจสูงสุดเป็นของประชาชน
  • ให้โอกาสทุกคนเท่าเทียมกัน 1 สิทธิ 1 เสียง ปัญหาของชาติ ต้องแก้โดยประชาชนไทย ตัดสินด้วยเสียงข้างมาก ทุกปัญหา แต่ต้องเคารพเสียงข้างมาก จึงจะเดินหน้าสร้างชาติไทยได้
  • 4. ทุกคนต้องอยู่ใต้กฏหมายเดียวกัน มีสิทธิเสมอภาค เสรีภาพ สามัคคี 

เรื่องคุณทักษิณ

            คุณทักษิณ คือคนไทยคนหนึ่งที่ไม่ได้รับความยุติธรรม ถูกกดขี่ เช่นกัน องค์การเสรีไทย เราก้าวข้ามที่ต้องฟังทักษิณ และ ตระกูลชินวัตร ไปแล้ว แต่ก็ไม่ทิ้งกัน เพราะเค้าก็ทำความดีมามาก ไม่แตกแยกกัน ใครที่มีอุดมการณ์ตามข้อ 1-4 ก็เป็นแนวร่วมกัน สู้ต่อไปจนชนะ จากความจริง ให้คนไทยตาสว่าง แฉความตอแหลของคณะเผด็จการทหาร คสช. ที่หลอกลวงคนในประเทศไทย

           ซึ่งขณะนี้ ทหารและอำมาตย์ ชูประเด็นความรักสามัคคี ที่ผ่านมามีหลายฝ่าย เหลือง แดง จึงใช้อำนาจกฎอัยการศึกข่มขู่ หลอกลวง ทำร้ายกลุ่มประชาธิปไตย ไม่ให้โงหัวขึ้นมาเรียกร้องสิทธิขั้นพื้นฐานของความเป็นมนุษย์ได้ หวังหลอกลวงกดขี่ ให้คนไทยโง่งมงาย ว่าถ้าไม่มีผู้นำที่เป็นเสมือนเทวดา แล้วสังคมไทยจะอยู่ไม่ได้ จะไม่เจริญ ต้องเชื่ออิทธิฤทธิ์ปาฎิหารย์เท่านั้น นอกจากนี้ยังใช้สื่อ นักวิชาการขายตัว อ้างศาสนา ผ่านเฟสบุค ทีวี วิทยุ หนังสือพิมพ์ ของอำนาจเก่า บิดเบือนสถานการณ์ ปกปิดสภาพควาเป็นจริงของสังคมไทย ให้ตกอยู่ภายใต้ อำนาจเผด็จการทหาร

           เราต้องแสวงจุดร่วมสงวนจุดต่าง เข้าใจปัญหา มีอุดมการณ์ร่วมกัน ขยายแนวคิด ติดอาวุธทางปัญญา ให้คนไทยตาสว่าง ขณะนี้ได้ผลมาเกิน 60-70% แล้ว ตั้งแต่ปี 49-57 เมื่อเทียบกับอำมาตย์ปกครองคนไทยมา 700-800 ปี ก็นับว่า สังคมที่เจริญก้าวหน้า (Globalizations) มีอิทธิพลมาก คนไทยตื่นตัว ทำให้กลุ่มอำนาจเก่าเหล่านั้นไม่สามารถจูงจมูกได้อีก

           กลุ่มคนที่มีหัวใจรักประชาธิปไตยต้องอดทน ช่วยกันทำงาน แสวงจุดร่วม อีกไม่นานและใช้เวลาอีกไม่มาก สถานการณ์ จะผกผัน เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี อย่างรวดเร็ว เมื่อผู้คนได้พิสูจน์ และประจักษ์แจ้งความจริง การกดขี่ให้กลัว จะทำอยู่ได้เพียงระยะหนึ่งเท่านั้น

           สังคมต้องหายจากโรคมึนชา สลัดความกลัวออกไป ยึดความจริงเป็นที่ตั้ง คือ งานที่เราช่วยกันทำ

ด้วยความเชื่อมั่นต่อพลังประชาธิปไตยของประชาชน
จารุพงศ์ เรืองสุวรรณ

คุยกับ "ธนาพล" บก.ฟ้าเดียวกัน หลังถูกคุมตัวครั้งที่ 2 เฉลยของฝากให้ทหารเมื่อคราวรับนัดกินกาแฟ








https://www.youtube.com/watch?v=MupEDE9039U
ที่มา มติชนออนไลน์
สัมภาษณ์โดย ฟ้ารุ่ง ศรีขาว


"มติชนออนไลน์" สัมภาษณ์ "ธนาพล อิ๋วสกุล" บก.วารสาร "ฟ้าเดียวกัน" ช่วงค่ำวันที่ 9 กรกฎาคม ภายหลังจาก ธนาพล เพิ่งได้รับการปล่อยตัวจากการควบคุมตัวที่กองปราบปราม เวลา 15.30 น. ในวันเดียวกัน การถูกควบคุมตัวครั้งนี้ เป็นครั้งที่ 2 ของ "ธนาพล" นับแต่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. เข้าควบคุมอำนาจการปกครองประเทศ ตั้งแต่วันที่ 22 พฤษภาคม 2557 ติดตามเรื่องราวประสบการณ์หลัง "การปรับทัศนคติ" จากบทสัมภาษณ์ชิ้นนี้

-ช่วยเล่าเหตุการณ์ถูกควบคุมตัว ทั้ง 2 ครั้ง

              เริ่มจากวันที่ 24 พ.ค. 2557 หลังจากรัฐประหาร 2 วัน ผมก็ได้รับการเรียกให้ไปรายงานตัว แล้วก็ได้ไปอยู่กองพลทหาร พัฒนาที่1 จังหวัดราชบุรี 7 วัน ได้รับการปล่อยตัวเมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม แล้วก็มีการเซ็นเงื่อนไข 3 ข้อโดยหลักๆ ก็คือไม่ออกมายุยงปลุกปั่น เพื่อให้เป็นสิ่งที่เรียกว่า เป็นการต่อต้านคณะรัฐประหาร รวมทั้งไม่เกี่ยวข้องกับประเด็นที่เกี่ยวเนื่องกับ มาตรา 112

             ผมก็เข้าใจว่า โดยหลัก เราก็ไม่ได้เป็นพวกจัดการชุมนุม หรือไปชุมนุม โอเค ก่อนหน้านั้น ก็ไปชุมนุม แต่หลังออกมาจากการควบคุมเราก็ไม่ได้ไปชุมนุม แต่คิดว่าเป็นเรื่องปกติ คือการแสดงความคิดเห็น จะเรียกว่าวิพากษ์วิจารณ์การดำเนินนโยบายของคณะรัฐประหาร โดยเฉพาะนโยบายเศรษฐกิจ นโยบายทางการเมือง ทางกฎหมาย ก็พูดจริงๆ ก็พูดตามเนื้อผ้ามีอะไรเห็นด้วย หรือไม่เห็นด้วย ซึ่ง อาจจะทำให้ทางคณะรัฐประหารวินิจฉัยแล้วว่า การวิพากษ์วิจารณ์จะกลายเป็นความยุยงปลุกปั่นทำให้เกิดความวุ่นวายได้

            ขั้นแรก พ.ท.ภาสกร กุลรวิวรรณก็มีการโทรมาหาผมเมื่อวันที่4กรกฎาคม ว่าขอเชิญให้ไปพูดคุยว่า อะไรที่พูดได้หรือพูดไม่ได้ เขาโทรมาตอนเย็นวันศุกร์ที่ 4 กรกฎาคม ผมก็บอกว่า ไม่สะดวกเพราะเย็นวันศุกร์มีงาน แล้วก็จะต้องไปงานศพ ก็ขอนัดเป็นวันเสาร์แล้วกันบ่ายโมง

            แล้วทาง พ.ท.ภาสกร เป็นคนโทรมานัดก็แจ้งว่า งั้นเรามาเจอกันที่ร้านกาแฟ มากินกาแฟกัน มาปรับทัศนคติ เพื่อบอกว่าอะไรเขียนได้ เขียนไม่ได้ ผมก็ยินดีให้ความร่วมมือ เพราะเราก็ถือว่าคณะรัฐประหาร ณ ปัจจุบันเป็น รัฏฐาธิปัตย์แล้ว หลังจากนั้น เมื่อวันเสาร์ที่ 5 กรกฎาคม ผมก็ไปเจอกับ พ.ท.ภาสกร ที่ร้าน เดอะคอฟฟี่ ซีเล็คชั่น ซอยอารีย์

          ก็คุยแนะนำตัวได้สัก 15 นาที ทาง พ.ท.ภาสกร ก็บอกว่า ทางหัวหน้า ทางเจ้านายอยากจะคุยด้วย คงไม่สะดวกถ้าให้เจ้านายออกมาคุยที่ร้านกาแฟ ก็ชวนไปที่กองพลทหารม้าที่1 รักษาพระองค์ ตรงสนามเป้า ไปถึงก็หัวหน้าระดับสูงที่กองพลทหารม้าที่ 1 บอกว่า สิ่งที่ผมทำ มันผิดเงื่อนไข เพราะยุยงปลุกปั่น ก่อให้เกิดความวุ่นวาย จะทำให้คนมาต้านคณะรัฐประหาร แล้วผมก็เป็นคนที่ได้รับการปล่อยตัวมาแล้ว ก็คือได้รับการคาดโทษแล้ว ก็ขอให้เห็นใจทางคณะรัฐประหารหน่อยว่า อาจจะต้องปราม

           พูดตรง ๆ ๆ ก็คือว่า คือ ถ้าผมทำได้เดี๋ยวคนอื่นที่ออกมาอาจจะได้ใจ อาจจะทำให้คณะรัฐประหารรู้สึกไม่มั่นคง ผมก็โอเค เข้าใจ ถ้าอย่างนั้น ก็แล้วแต่ทางคณะรัฐประหาร ผมก็อยู่ในการคุมขังที่กองปราบ 5 วัน ทางคณะรัฐประหารก็ไม่ได้แจ้งข้อความเพิ่มเติม โอเค ก็ถือว่าเราผิดเงื่อนไข หรือว่าเราเข้าใจไม่ตรงกัน

            สำหรับผม คิดว่าเป็นเรื่องปกติของการวิพากษ์วิจารณ์ ขณะที่ทางคณะรัฐประหาร รู้สึกว่า เป็นเรื่องของการยุยงปลุกปั่นทำให้เกิดความวุ่นวาย ก็ว่ากันไป ก็ยอมรับคำตัดสินนี้

-ก่อนหน้านี้ เคยเจอรูปแบบนี้ไหมที่เชิญไปดื่มกาแฟแล้วควบคุมตัว

            ไม่เคยครับ จริงๆ คือก่อนหน้านั้น ในช่วงอื่นๆ การชวนไปคุยโดยฝ่ายความมั่นคง เป็นเรื่องปกติก่อนรัฐประหาร คือก่อนหน้านี้ ก็เคยมีการชวนไปสอบถาม แล้วเราก็ไม่รู้สึกว่า มันเป็นเรื่องผิดปกติที่เราจะไป เพียงแต่ก็อยากบอกแค่ว่า ถ้ามีธงอยู่แล้ว จะให้ไปกองทัพเลยก็ไม่มีปัญหานะครับ ผมก็ยินดีไปอยู่แล้ว

          เพราะหากทำแบบนี้ อาจจะทำให้ความไว้วางใจลดลงไป อาจจะเป็นภาพลักษณ์ที่ไม่ดีของกองทัพด้วยซ้ำ ก็ฝากบอกทางผู้บังคับบัญชาไปว่า วันหลังถ้าจะเชิญให้ไปคุยไปรับทราบข้อกล่าวหา ก็เชิญไปที่กองทัพเลย ไปที่ทำการเลยก็แค่นั้นแหละครับ

-ถ้ามีการเชิญไปดื่มกาแฟอีก โดยเจ้าหน้าที่ของรัฐ จะไปอีกไหม

          ผมคิดว่า ก็ดูความสมเหตุสมผล เช่น เวลาใครชวนที่เราจะบอกว่าไปหรือไม่ไป มันก็มีเหตุผลในการตัดสินใจหลายอย่าง บริบท หัวข้อ คนเชิญ หรือสภาพเหตุการณ์บ้านเมือง ผมคิดว่า อาจจะต้องดูเป็นกรณีกรณีไป

-ระหว่างถูกควบคุมตัว มีการทำร้ายร่างกายไหม

          ไม่มีครับ พูดกันจริงๆ นะ ไม่มีทางกายภาพ แต่ผมคิดว่า ถึงที่สุดการควบคุมตัว การคุมขัง ก็เป็นความรุนแรงชนิดหนึ่งอยู่แล้วแหละ การจำกัดสิทธิเสรีภาพ พูด คิด อ่าน เขียน อาจจะเป็นบทลงโทษ ของคณะรัฐประหาร ที่รู้สึกว่าทำให้เรา หรือทำให้สังคมรู้สึกเข็ดหลาบก็ได้

-ทุกครั้งที่ถูกควบคุมตัวไป มีคนเป็นห่วงมาก อยากจะฝากอะไรถึงคนที่เป็นห่วงบ้าง

         ก็ขอบคุณนะครับ เพราะผมก็ไม่อยากให้ใครเป็นห่วงอยู่แล้ว ไม่มีใครอยากสูญเสียอิสรภาพ ผมคิดว่า จริงๆ ต้องฝากคณะรัฐประหารมากกว่า ถ้าเป็นไปได้เรื่องการควบคุมเสรีภาพก็ไม่ควร เพราะคุยกันได้ พูดกันตรงๆ อย่างกรณีผม ที่เราเห็นเมื่อมีการสอบสวน มีการยกตัวอย่างโพสต์มาเป็น 10 โพสต์ ที่โพสต์ในเฟซบุคส่วนตัว

           ผมก็กำลังคิดว่า ถ้ารู้สึกไม่พอใจ ตั้งแต่โพสต์แรก หรือโพสต์ 2 ก็โทรมาบอกคุยกันก็ได้ ไม่รู้สึกว่าเป็นปัญหา จะให้ปรับปรุงอะไร ไม่เช่นนั้น ผมคิดว่าจะไม่ดีกับทั้ง 2 ฝ่าย คือเราก็สูญเสียเสรีภาพ และไม่ดีกับคณะรัฐประหาร ที่ถูกมองว่า ใช้อำนาจปิดกั้นในการแสดงความคิดเห็น

-ก่อนถูกควบคุมตัว 1 วัน เห็นคุณธนาพล โพสต์ว่า ได้รับการเตือนและจะไม่โพสต์อีก แต่ทำไมถูกควบคุมตัวในวันต่อมา

            เขาก็คงมีธงอยู่แล้ว ไงครับ อันนี้ตีความเองว่า ต้องทำให้คนที่ได้รับการปล่อยตัว ไม่ไปเอาเป็นเยี่ยงอย่าง เพราะอาจจะบริหารลำบาก

-หลังจากนี้ ชีวิตจะเปลี่ยนไปไหม

           ชีวิตก็มีอย่างอื่นให้ทำอีกเยอะ พูดจริงๆ หลังปล่อยตัวรอบแรก ผมก็คิดว่า เราก็สูญเสียเสรีภาพไปพอสมควรแล้ว เราก็ไม่ได้ใช้เต็มที่ หลังจากนี้ อาจจะสูญเสียเพิ่มขึ้นมาสักหน่อย แต่ผมคิดว่า คนเรามันคงมีทางออก คือถ้าเราไม่รู้สึกว่าสิ้นหวังในแง่เรื่องสิทธิเสรีภาพ มันก็อยู่ที่บริบท อยู่ที่โอกาส อยู่ที่จังหวะ

-ระหว่างควบคุมตัว ได้พบกับผู้ที่ถูกควบคุมตัวในการทำกิจกรรมทางการเมืองด้วย

         ครับ ก็เจอทั้งคนที่ไปชูป้ายที่หน้าสถานทูตสหรัฐอเมริกา หรือคนที่ไม่เกี่ยวโดยตรง เช่น จากนโยบายการปราบปรามผู้มีอิทธิพล ซึ่งก็สวนกันไปมา ผมเข้าไป เขาจะออก ระหว่างนั้น ก็มีคนเข้าคนออก อะไรอย่างนี้เป็นเรื่องปกติ

-ได้พูดคุยอะไรบ้าง

          ก็ไม่ได้คุยอะไรเยอะแยะยกเว้นพี่อีกคนหนึ่งคุณ"โหน่งโอเคนิติราษฎร์"อาจจะเจอกันนานหน่อย4 วัน การได้อยู่ด้วยกันตลอดเวลา 24 ชั่วโมง การให้ข้อมูลกัน คงไม่เรียกว่าการปลอบ ผมคิดว่า แต่ละคนคงมีความเข้มแข็งแล้วก็แลกเปลี่ยนทัศนคติกันเป็นอย่างนี้มากกว่า แล้วก็มีอะไรที่เราพอให้ความช่วยเหลือเขาได้ ในแง่การประสานช่วยติดตามคน ก็เป็นการช่วยเหลือกันเป็นปกติอยู่แล้วสำหรับผู้อยู่ในชะตากรรมเดียวกัน

-ตอนถูกคุมตัวไปเมื่อวันที่5กรกฎาคมมีเจ้าหน้าที่ที่อยู่บนรถกี่คน

          มี พ.ท.ภาสกรคนหนึ่งแล้วก็มีเจ้าหน้าที่ อีก2 คน รวมผมด้วย 4 คน นั่งรถไปด้วยกัน

-คุณธนาพล พกหนังสืออะไรไปให้ทหารด้วย

         หนังสือ "การเมืองว่าด้วยการเลือกตั้ง : วาทกรรม อำนาจ และพลวัตชนบทไทย" ของสำนักพิมพ์ฟ้าเดียวกัน มี "ประจักษ์ ก้องกีรติ" เป็นบรรณาธิการ ผมตั้งใจจะเอาไปฝากพันโทภาสกร คนที่เชิญผม

-ทำไมถึงเลือกเล่มนี้ให้เขา


  • 1) คือ หนังสือมันดี (หัวเราะ)
  • 2) ก็คือ ในแง่เราทำหนังสือแบบเปิดเผย มีชื่อ ที่อยู่ ติดต่อได้ ทำหนังสือบนดิน ไม่ได้มีอะไรที่น่ากลัว อยากให้เห็นว่าเราทำอะไร เราทำหนังสือ เท่าที่เห็น แล้วนี่คือการเคลื่อนไหวทางความคิด เราก็มีแค่ปากกา กระดาษ
  • 3) คือ เราคิดว่าหนังสือเล่มนี้สำคัญ ทำให้เห็นความเปลี่ยนแปลงโดยเฉพาะ เรื่องของการเลือกตั้ง มีมิติ ไม่ใช่เรื่องการซื้อเสียงขายเสียง แต่เป็นพลวัตของสังคมไทย โดยเฉพาะชนบทไทยที่ตอบรับการเลือกตั้ง แล้วก็ส่วนหนึ่งก็เป็นเหตุผลเรื่องการเกิดขึ้นของขบวนการเสื้อแดงด้วย ที่ยืนอยู่บนเรื่องของการเลือกตั้ง


เราก็ไม่รู้ว่าเขาจะมีเวลาอ่านหรือเปล่า เราให้ พ.ท.ภาสกร ตอนนั่งรถไปค่ายทหาร

ทหารไทยกำลังประสบปัญหาในการฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศ




ที่มา prachatalk.net

              ตามที่ท่านคูอาข่าได้นำบทความเรื่อง Thailand"s Junta struggles to Turn Around the Economy มาโพสท์ไว้ ในฐานะที่ผมเป็นผู้ประกอบการ คนหนึ่ง ขอเล่าสถานการณ์ทางเศรษฐกิจของตัวผมเองในเวลานี้ให้ทุกท่านได้ฟัง บางที่มันอาจสะท้อนให้เห็นสภาพของเศรษฐกิจของประเทศได้ชัดเจนขึ้น จะไม่บอกว่าทำธุรกิจอะไรเพราะต้องอธิบายยาว แต่บอกว่าสินค้ามีจำหน่ายทั่วประเทศ จากธุรกิจที่เริ่มเมื่อปี 2544 มีการเจริญเติบโตทุกปี มาพีคสุดเมื่อปี 2548 ตอนที่พรรคไทยรักไทยชนะเลือกตั้งเป็นครั้งที่สอง แต่หลังจากสนธิ ลิ้มทองกุล ออกมาประท้วงเมื่อปลายปี 2548 และตามด้วยการปฏิวัติเมื่อปี 2549 ก็ถดถอยมาตลอด บางปีไม่ถึงกับถอยแต่ก็ไม่โต มาค่อนข้างดีในปี 2555 และ 2556 แต่ก็ยังห่างกับปี 2548 ที่สังเกตุก็คือเวลามีข่าวว่าจะมีการประท้วง ยอดขายจะหายไปทุกที อย่างเช่นเพียงแค่มีข่าวว่าเสธอ้ายจะชุมนุม ยอดสั่งซื้อหดทันที สำหรับในปีนี้นั้นไม่ต้องพูดถึง เอาเป็นว่าทั้งปีจะได้ 20 เปอร์เซ็นต์ของปี 2548 หรือเปล่าก็ยังไม่รู้ อยากจะบอกว่าหนทางเดียวที่จะฟื้นเศรษฐกิจได้คือการเอาประชาธิปไตยกลับคืนมา ถ้าหากสถานการณ์มันอึมครึมอยู่อย่างนี้ แก้ให้ตายก็แก้ไม่ได้

             เนื่องจากเห็นว่าบทความดังกล่าวเป็นบทความที่ดี จึงขออนุญาตนำมาแปลเป็นภาษาไทยให้ท่านที่อาจเป็นผู้ประกอบการเหมือนผม หรือผู้ที่สนใจในปัญหาเศรษฐกิจของบ้านเมืองได้รับทราบกันทั่วทุกคน และเตรียมตัวเผชิญกับปัญหาที่กำลังจะเกิดในอนาคตอันใกล้
...

ทหารไทยกำลังประสบปัญหาในการฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศ

Thailand's Junta Struggles to Turn Around the Economy
http://www.businessweek.com/articles/2014-07-07/thailands-junta-struggles-to-turn-around-the-economy


บทความเขียนโดย : Bruce Einhorn – 7 กรกฎาคม 2557

              บรรดาท่านนายพลทั้งหลายที่เวลานี้กำลังบริการประเทศไทยอยู่ ดูเหมือนว่าจะเอาอย่างมาจากการทำรัฐประหารของผู้นำทางทหารของประเทศเพื่อนบ้าน ตอนที่ทหารเมียนม่าร์(ก็พม่านั่นแหละ) บดขยี้ผู้เรียกร้องประชาธิปไตยในปี 2531 คณะรัฐประหารที่มีความคิดว่า สงครามคือการสร้างความสงบ การไม่ฟังเสียงประชาชนคือการสร้างความเข้มแข็ง เรียกตัวเองว่า “คณะฟื้นฟูความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ” เอาตัวออง ซาน ซูจีไปขัง ปิดประเทศไม่ยุ่งเกี่ยวกับใคร ไม่เอาประชาธิปไตย อยู่ในอำนาจมาหลายสิบปีก่อนที่จะปฏิรูปการเมืองเมื่อปี 2554

             หลังเข้ายึดอำนาจเมื่อเดือนพฤษภาคม คณะรัฐประหารเลือกใช้ชื่อที่คล้ายกับชื่อคณะรัฐประหารของพม่า “คณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ” ควบคุมตัวผู้ที่อยู่ตรงข้ามและจับกุมผู้ที่บังอาจอ่านหนังสือ 1984 ของจอร์จ ออร์เวล ในที่สาธารณะ เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา นายทหารใหญ่ของไทยเปรียบเทียบการกระทำของเพื่อนนายพลทั้งหลายกับการกระทำของนายพลทหารพม่า ที่ทำให้ประเทศพม่าไม่มีใครคบมาหลายสิบปี “รัฐบาลพม่าเห็นด้วยกับการกระทำของทหารไทยในการนำความสงบกลับคืนมา” พลเอกธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร ผู้บัญชาการทหารสูงสุดกล่าวเมื่อวันศุกร์ ตามรายงานของรอยเตอร์ “พม่าก็เกิดเหตุการณ์คล้ายกับของเราเมื่อปี 2531 พวกเขาจึงเข้าใจดี”


             คณะรัฐประหารไทยเลยหวังว่าประเทศอื่นๆคงจะเข้าใจเหมือนพม่า ด้วยการกระจายข่าวสารออกไปว่าประเทศไทยกลับมาสงบเหมือนเดิมแล้ว ดังเช่นเมื่อเดือนที่แล้ว คณะรัฐประหารประกาศยกเลิกเคอร์ฟิว ที่ประกาศใช้ ตั้งแต่ตัดสินใจว่ารัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนหมดความเชื่อถือในการบริหารประเทศ การยกเลิกเคอร์ฟิวก็เพื่อส่งข่าวไปยังนักท่องเที่ยวว่า “ประเทศไทยปลอดภัยเหมือนเดิมแล้วนะจ๊ะ” แต่ขอโทษ จำนวนนักท่องเที่ยวในเดือนมิถุนายนหายไป 37 เปอร์เซ็นต์ หลังจากที่หายไปแล้ว 22 เปอร์เซ็นต์เมื่อเดือนพฤษภาคม

              ในภาคอื่นๆคณะรัฐประหารไม่ได้ทำให้สถานการณ์ดีขึ้นเช่นกัน การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญจะช่วยส่งเสริมให้มีการเจริญเติบโตในระยะสั้นและจะช่วยให้ประเทศไทยโงหัวขึ้นได้ในอนาคต หลังจากน้ำท่วมเมื่อปี 2554 ที่สร้างความฉิบหายใหญ่หลวงให้กับประเทศไทยในรอบ 70 ปี รัฐบาลยิ่งลักษณ์ที่บริหารประเทศอยู่เวลานั้นเสนอให้ทุ่มเงินประมาณ 3 แสนล้านบาทเพื่อจัดทำโครงการจัดการน้ำ แต่ตอนนี้โครงการนี้ไม่รู้เป็นอย่างไร ตามรายงานที่ตีพิมพ์เมื่อวันศุกร์ของโนมูระ


             ยังมีอีก สนามบินสุวรรณภูมิที่ตอนนี้จำเป็นต้องขยาย ตอนที่สร้างได้รับการออกแบบให้รองรับผู้โดยสารปีละ 45 ล้านคน แต่ตอนนี้ต้องให้บริการผู้โดยสารถึงปีละ 51 ล้านคน การขยายสนามบินที่วางแผนไว้ว่าจะเริ่มก่อสร้างปลายปีนี้และจะแล้วเสร็จในปี 2560 แต่ท่านนายพลทั้งหลายบอกว่าค่าใช้จ่ายแพงเกินไป เลยต้องหยุดไว้ก่อน ประธานของการท่าอากาศยานฯให้สัมภาษณ์เมื่อวันพฤหัส

             คณะรัฐประหารพยายามที่จะใช้คำพูดสร้างบรรยากาศทางเศรษฐกิจ อย่างเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาพลเอกประยุทธ จันทร์โอชา บอกว่าทหารจะรักษาค่าเงินบาทไม่ให้ผันผวนเพื่อช่วยเหลือผู้ส่งออก เขาบอกว่าต้องการให้ธนาคารของรัฐปล่อยกู้ให้กับคนยากจนเพิ่มมากขึ้น ที่สุดของที่สุดก็คือ คณะนายทหารที่เตะกระเด็นผู้บริหารที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนออกไป แล้วตั้งตนเองขึ้นมาทำหน้าที่แทน ต้องการทำให้ประชาชนเชื่อว่า ผู้ที่เข้ามาทำหน้าที่บริหารในตำแหน่งสำคัญๆเป็นคน “ดีและซื่อสัตย์” ทั้งนั้น


              ความสุขกลับคืนมาแล้วใช่ไหม? ตามที่ท่านประยุทธบอก เศรษฐกิจจะขยายตัวมากกว่า 2 เปอร์เซ็นต์ในปีนี้ ตัวเลขเท่านี้สำหรับประเทศที่กำลังพัฒนาอย่างประเทศไทยเขาถือว่า”ถดถอย” แต่ก็ยังดีกว่าตัวเลขของธนาคารแห่งประเทศไทย ที่เมื่อเดือนที่แล้วออกมาลดการคาดการลงเหลือแค่ 1.5 เปอร์เซ็นต์จากที่เคยคาดว่าจะขยายตัวอยู่ที่ 2.7 เปอร์เซ็นต์

              แต่ได้แค่ 1.5 เปอร์เซ็นต์ก็ขอให้ได้จริงเถอะ เศรษฐกิจของประเทศไทยน่าจะเติบโตที่ 1.1 เปอร์เซ็นต์ในปีนี้ตามรายงานที่ตีพิมพ์ของอียูเบน พาราคูเอลเลส์ กับ ลาวานยา เฟนคาเทสวาราน แห่งโนมูระ ที่แย่กว่านั้น นักพยากรณ์ทางเศรษฐกิจของโนมูระบอกว่ายังมองไม่เห็นสัญญาณการฟื้นตัวในปีหน้า หมายความว่าเศรษฐกิจของประเทศไทยจะขยายตัวเพียงแค่ 3.3 เปอร์เซ็นต์ในปี 2558 ใช่แล้ว ทหารกำลังพยายามทำให้เศรษฐกิจไทยเดินไปข้างหน้าอีกครั้งหลังจากหยุดนิ่งเพราะปัญหาทางการเมืองมาหลายเดือน ได้ประกาศเมื่อวันที่ 2 กรกฏาคม ว่ายังไม่มีแผนขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มกับภาษีนิติบุคคลอย่างน้อยก็อีกปีหนึ่ง แต่แผนการที่ว่า “ไม่ทำให้การเจริญเติบโตเพิ่มขึ้น” ตามรายงานที่ตีพิมพ์ “ตัวเลขล่าสุดของระดับหนี้สินในครัวเรือนและจำนวนนักท่องเที่ยวที่เข้ามาแสดงให้เห็นว่าเศรษฐกิจยังอ่อนแอ ถึงแม้ว่าจะมีสัญญาณบ่งบอกว่าความเชื่อมั่นของผู้บริโภคเพิ่มสูงขึ้น


                ดูเหมือนว่าคนไทยจะรู้สึกดีขึ้น หลังจากที่ความเชื่อมั่นลดลงอย่างต่อเนื่องจากไตรมาสที่สองของปีที่แล้ว ดัชนีที่เป็นตัววัดความเชื่อมั่นผู้บริโภคเพิ่มสูงขึ้นในสองเดือนที่ผ่านมา ตัวเลขของดัชนีอยู่ที่ 84.8 เมื่อเดือนมีนาคม 2556 หล่นมาอยู่ที่ 67.8 ในเดือนเมษายนของปีนี้ ต่ำสุดในรอบ 13 ปี ตอนนี้ถึงจะตีกลับมาได้ ก็ได้เพียงแค่ 75.1 เท่านั้น การเพิ่มขึ้น “อาจสะท้อนให้เห็นผลดีของการทำรัฐประหารที่ทำให้เกิดความสงบที่เป็นตัวช่วยให้เศรษฐกิจเจริญเติบโต” โทมัส จาสทร์ซับ นักวิเคราะห์อุตสาหกรรมของบลูมเบิร์กเขียนไว้ในรายงานที่ตีพิมพ์เมื่อวันศุกร์

คุณเชื่อหรือไม่ ประเทสไทย ยึดอำนาจเพื่อสร้างประชาธิปไตย .....เอ้าาาาาาาาาา ฮา.......


            ไทม์ ฟอร์บส์ ซีเอ็นเอ็น รอยเตอร์ เอเอฟพี นิวยอร์คไทม์ บีบีซี ฯลฯ ถ้าลองว่าคณะรัฐประหารไทย เวลาให้สัมภาษณ์ แล้วตอบคำถามเค้าแบบประมาณว่า นานาชาติไม่เข้าใจไทย นานาชาติไม่เข้าใจคนไทย .. เวลาสื่อพวกนี้เอาไปเขียน มึงจะเละเหมือนบราซิลเมื่อคืนนี้ทุกครั้ง .. ไม่เชื่อเด๋วดูตอน ไทม์เอาไปเขียนหลังการตอบคำถามครั้งนี้ก็แล้วกัน..

             เพราะสื่อพวกนี้มันไม่ชอบ และเค้าจะหมั่นไส้มึง เพราะในทางสากลเค้าถือว่ามึงดูถูกเขา. . นี่จิตวิทยาสื่อสารการเมืองล้วนๆ ต่างประเทศเค้าคิดแบบสากล แบบภาษาการทูต เค้าไม่ได้คิดแบบเวลาไทยรัฐมาสัมภาษณ์ เดลินิวส์มาสัมภาษณ์ ที่เวลากลับไปพิมพ์ ต้องเอาไปพิมพ์แบบ เลีย5ด่า1 เพียงแค่ทำให้นสพ.ขายดี..และไม่ถูกผู้มีอำนาจเพ่งเล็ง แค่นั้นจริงๆ

            รัฐบาลระดับโลก ระดับมหาอำนาจ เค้าเกรงสื่อพวกนี้ทั้งนั้น เพราะมันมีอิทธิพลชี้นำทิศทางมาก ในสังคมประเทศอารยะ

หมายเหตุ : จริงๆทั้งโฆษกฯเอง ทั้งปลัดกระทรวงการต่างประเทศเอง ก็โดนแบบที่ผมบอกแบบนี้มาหลายครั้ง หลายสำนักแล้วนะ แต่ก็ยังไม่คิดปรับปรุงทิศทางการให้ข่าวซักที ทำไมหนังหนา อีโก้สูงแบบนี้วะ

ยึดเพื่อสร้าง ปชต 555

ยั่งยืน พ่อง มรึงดิ

               คุณไปพูดแบบนี้ในประเทศประชาธิปไตย ใครเขาจะเข้าใจตรรกะป่วยๆแบบกะลาแลนด์ของพวกคุณ
ยึดทรัพย์สมบัติเขา แล้วบอกว่าจะหางานให้ทำจะได้มีทรัพย์ใหม่นี่นะ

  • นิสัยอันยอมรับความคิดแบบสากลไม่ได้ 
  • เขาไม่ยอมรับหาว่าเชาโง่ 
  • เขาติเตียนหาว่าเขาด่าแทนที่คิดจะปรับปรุง 
  • น่าละอายที่สุดนิสัยไทไท 
  • เที่ยวหลอกตัวเองไปวันๆว่าไทนี้ไซ้ใครๆก็รัก ถุยยยย 
  • กูอาย !!!!

อีโก้สูงประมาณนี้อ่ะค่ะSee Translation
ขำอ่ะ เละเหมือนบราซิลเมื่อคืนนี้ ^_*


             อิตาปลัด กต.นี่ คู่รัก-คู่กรรม ของคุณเด็ดเค้าเลย...อิอิ  ก็สมองซีกซ้ายเค้ามีน้อยมั้งจึงคิได้แค่ไหนตอบแค่นั้นไงคุณเด็ด  ไอ้ฟายยยยยยยยยยยยย   ปชตแบบยั่งยืน ที่กล่าวอ้าง สำหรับไทยแล้วคือระบบกษัตริย์  ยืนกะพ่องเมิงอะดิ กะอีแค่ป้ายชื่อพรรคเพื่อไทยมึงยังปลดเลย แสรดดดดมั้ยล่ะ

             คุณจเด็ด ตอนน้ีท่ีเขามาปรองดอง ให้กรอกในแบบฟอร์ม การเลือกต้ัง หรืออะไรท่ีเขากำลังทำมันบีบให้ต้องทำตามถ้าเป็นแบบน้ันจริงๆเราจะถามหาปชต.จากไหน


             Same as bad troops, the Yellow Ministry of Foteign Affaires got to keep lying from 1 to infinity as they have just done all the bad things. So, they got to try hard to make all the bad things gave them credit & be accepted among developed countries, but it is not sounds right to anyone.


ทีพวกกูจะให้อยู่ดักดานแบบไทยๆ
ปล่อยแม่งโง่ไปเหอะ


พูดไม่ออก อายSee Translation
ตกลงเสียงบไปชี้แจงสื่อต่างชาติ UN EU ไม่ต้อนรับ ไอ้ลิงเอ๊ย แล้วมึงก็มาหลอก เจ้..า คนไทย


               มีแต่เขาใช้หลักประชาธิปไตยสร้างประชาธิปไตย รัฐประหารที่่ไหนสร้างประชาธิปไตย กำนำความคิด

               คุณเด็จแนะนำได้ดีครับ. ว่าแต่ว่าพวกมันจะเชื่อและนำไปปฏิบัติหรือ !!!!! ตอนนี้เขามั่นใจว่าเขาทำถูกต้องเดินมาถูกทาง. เขาเก่งพวกฝรั่งโง่ ////_หนังสือพิมพ์บ้านเราเป็นงี้จริงๆ เลิกอ่านตั้งนานแล้ว เงินไม่ได้แดกตรูหรอก. ///__ คสชไทยรัฐ //_คสชเดลินิวส์ /////_____เลียฉิบหาย อุดมการณ์ไม่เคยมีในสมอง ขายแต่ข่าว !!!!!!ถุย !!!!

  • มีความคิดตื้นๆแค่นี้
  • ยังอยากบริหารประเทศ
  • ควายต้องเรียกพี่

               จับคนแดกแซนวิช อ่านหนังสือ จับคนชูสามนิ้ว ชูป้าย ไล่แกะสติกเกอรหาเสียง เอารถถังไปล้อมสถานทูต ใคร ๆ ก็งง กันทั้งโลก กูยังไม่เข้าใจเลยว่า หน้ามืดทำไปได้ไง เที่ยวนี้ เลขายูเอ็นไม่ให้เข้าพบ กะล่อน หน้ามืดแบบนี้ เที่ยวหน้าก็ต้องไปคุยกับหัวหน้ายามยูเอ็น ก็พอ   เหมือนเอาโจรมาบอกตำรวจให้ทำในสิ่งที่ถูกต้อง only thailand

จริงด้วยคะ


บอกแล้วพูดไม่ออก อาย
น่าเชื่อถื่อ ชิ หาย เรอ


น่าเชื่อตายอีเวรปลัด

ต่างชาติไม่โง่น๊ะโว้ยสื่อต่างประเทศออกไปทั่วโลกเรื่องเกี่ยวกับทุยแลนด์


        แสบสีข้างไม๊ เห็นแถซะขนาดนั้น ปล.ต่างชาติเกลียดคนตอแหลนะครับ เค้าไม่โง่เหมือนไอ้ไทยนะครับ ที่จะไปตอแหลเค้าแล้วจะเชื่อมึงน่ะ  การสร้างประชาธิปไตยที่ยั่งยืน ควรใช้วิธีประชาธิปไตยเท่านั้น ไม่สามารถใช้วิธีเผด็จการได้  สมกับเป็นมหาอำมาตย์โทจริงๆ   ต้องรอให้ไดโนศุกร์และใดโนเสาร์มันตายเสียก่อนปชตจึงจะเต็มใบ

.....โง่แบบยั่งยืน....


               "เค้า" ที่ไม่ฟังคุณเด็ดนี่ หมายถึงรัฐบาลเพื่อไทยหรือเปล่าครับ  เพราเราคือมหารอำนาจ ( เทียบกับประเทศ บูดู บูดู ) ก็เลยไม่ต้องง้อพวกสื่อตะวันตก เหอ ๆ ๆ

         ก็ยังด้านหน้าตอบแบบยัดเยียดให้เขายอมรับอีก เอาอีโก้ไปใช้กับประเทศที่เขายึดหลักสิทธิเสรีภาพไม่ได้หรอก  มันเอาหัวเดินแทนส้นตีน  ยังงี้เรียกว่า โง่ แล้วยังเสือก นอนเตียง อีกคริ คริ
บ้า ไม่มีในโลก ไม่เชือ หน้าไม่อาย.  เอาปืนไปจอหัวบังคับเขาให้เข้าใจสิ  ก็ลองใช้สื่อทางออนไลน์ให้มาก ๆ ด้วยซิครับ ว่าจะทราบความจริง


ขำคนแก่ว่ะ
แม่ง! ไม่อายเขาหรือ coup land
ตลก


เพ้อเจ้อ ไร้สาระ

เผื่อท่านผู้นำยังไม่ทราบ...มูลค่าความเสียหายจากความไม่สงบทางการเมือง




ผู้แถลง: ดร.โสภณ พรโชคชัย

ประธานกรรมการบริหาร ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย
บจก. เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส
sopon@area.co.th; www.facebook.com/dr.sopon4

เมื่อเร็ว ๆ นี้ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช) ได้แถลงว่า "จากข้อมูลของธนาคารแห่งประเทศไทยประเมินว่า เศรษฐกิจของเราจะโตขึ้นทั้งปี เพียงแค่ 1.5%" {1} กรณีนี้มีนัยสำคัญทางเศรษฐกิจเป็นอย่างยิ่ง ดร.โสภณ พรโชคชัย ประธานกรรมการบริหาร ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก. เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส จึงขอนำเสนอตัวเลขเพื่อสังคมและ คสช. ได้พิจารณาดังนี้

  • 1. ตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติของไทย ณ ปี 2556 อยู่ทีประมาณ 12 ล้านล้านบาท {2}
  • 2. หากการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจในปี 2557 อยู่ที่ 1.5% ก็จะเป็นเงิน 180,000 ล้านบาท
  • 3. อย่างไรก็ตามอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจในประเทศอาเซียนในปี 2555 สูงถึง 5.7% {3}
  • 4. ถ้าไทยสงบสุขดังเช่นประเทศเพื่อนบ้านก็น่าจะมีอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจตามค่าเฉลี่ยนี้ แต่หากมองในแง่ลบ ก็น่าจะมีอัตราการเติบโตอย่างน้อย 4% แทนที่จะเป็น 1.5% หากประเทศไทยมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ ณ 4% ก็จะเป็นเงิน 480,000 ล้านบาท
  • 5. ดังนั้นประเทศไทยจึงสูญเสียไปถึงประมาณ 300,000 ล้านบาทจากความไม่สงบทางการเมือที่เกีดขึ้นในระยะที่ผ่านมา ซึ่งเป็นมูลค่ามหาศาลเป็นอย่างยิ่ง ความสูญเสียนี้ย่อมส่งผลต่อสังคมโดยเฉพาะประชาชนคนเล็กคนน้อยที่จะมีรายได้ฝืดเคือง ทำให้ประชาชนต้องพึ่งพิงและขึ้นต่อรัฐมากขึ้น และย่อมส่งผลต่อความสงบสุขในสังคมโดยอาจมีอัตราเพิ่มขึ้นของอาชญากรรมตามมา อย่างไรก็ตามข้าราชการและพนักงานเอกชนที่รับเงินเดือนประจำ อาจไม่ได้รับผลกระทบจนกว่าองค์กรที่ตนทำงานอยู่จะได้รับผลกระทบจนต้องลดคน ลดเงินเดือนก่อน
  • 6. ความสูญเสียถึง 300,000 ล้านบาทนี้ หากเทียบกับราคาที่อยู่อาศัยในประเทศไทย ณ ราคา 1 ล้านบาทต่อหน่วยโดยเฉลี่ย ก็จะเท่ากับการทำให้บ้านและห้องชุดราบพนาสูญไปถึง 300,000 หลัง แต่หากเทียบกับราคาบ้านเฉพาะในกรุงเทพมหานครที่ค่าเฉลี่ย 3 ล้านบาทต่อหน่วย ก็เท่ากับการสูญเสียบ้านและห้องชุดไป 100,000 หน่วยนั่นเอง
  • 7. หากเปรียบเทียบในอีกแง่หนึ่ง ความสูญเสียมูลค่า 300,000 ล้านบาทนี้ ก็เท่ากับการสูญเสียอาคารสำนักงานใหญ่ของธนาคารกรุงเทพจำกัด (มหาชน) ซึ่งมีมูลค่าราว 6,000 ล้านบาท ไปถึงประมาณ 50 อาคารเลยทีเดียว
  • 8. ความสูญเสียนี้ไม่ควรจะเกิดขึ้น เพราะทำให้เกิดการสูญเสียต่อเนื่อง เช่นในส่วนของการท่องเที่ยว เมื่อนักท่องเที่ยวต่างชาติมาท่องเที่ยวน้อยลง ทำให้รายได้จากการท่องเที่ยวในด้านต่าง ๆ ในแต่ละปีลดลง และยิ่งนักท่องเที่ยวเบนเข็มไปที่อื่นแล้ว โอกาสที่จะกลับมาก็คงต้องใช้เวลา และทำให้การรณรงค์ให้นักท่องเที่ยวกลับมาต้องสิ้นเปลืองเวลาและงบประมาณไปอีกมหาศาล

บทเรียนนี้น่าจะสะท้อนให้เห็นว่าปัญหาบ้านเมืองนั้นควรทำตามกติกาในรัฐสภามากกว่าที่จะออกนอกกติกาและสร้างความเสียหาย อย่างมหาศาลต่อประเทศชาติ และประชาชน และคงต้องใช้เวลาเยียวยาอีกนานทีเดียว แต่จากการหยุดกิจกรรมทางการเมืองข้างถนนเช่นในห้วงหลายเดือนที่ผ่านมา ซึ่งรวมการปิดกรุงเทพมหานคร และการแห่แหนเดินขบวนไปในที่ต่าง ๆ การยึดสถานที่ราชการจำนวนมาก บ้านเมืองในขณะนี้จึงสงบสุขลง บทเรียนนี้จึงชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นที่ต้องยึดถือกติกาประชาธิปไตยโดยเคร่งครัด

ประยุทธ์ ว่าไง จะลาออกไหม




            สลิ่มศรีสลิ่มศักดิ์ทั้งหลายชอบถามหาความรับผิดชอบของคุณประพัฒน์ ผู้ว่าการรถไฟ ต่อกรณีน้องแก้ม แล้วมาดูสิว่าพวกนี้จะมาเรียกร้องความรับผิดมาตรฐานเดียวกันมะ มาดูกัน

2 ทหารเกณฑ์ขืนใจสาวปัตตานี มอบตัว ตร.แจ้ง3ข้อหาหนัก

            ทหารเกณฑ์ 2 นายขืนใจสาวปัตตานีวัย16ปี เข้ามอบตัวแล้ว ตำรวจแจ้ง 3ข้อหาหนัก ด้านผู้เสียหายร้องขอความเป็นธรรมที่ถูกประจานและปิดกั้นโอกาสทางการศึกษา

http://m.springnewstv.tv/news/12326

เรื่องเกี่ยวเนื่อง...

ปลดฟ้าผ่า ผู้ว่ารถไฟ



             ท้ายสุดคุณประภัสร์อำลาตำแหน่งไปอย่างเจ็บปวด ผมเคยเตือนแล้วว่าออกเองดีกว่าให้เขาไล่ออก คุณประภัสร์ออกจากตำแหน่งนี้ ไม่ใช่เพราะไร้ความสามารถ  แต่เพื่อสังเวยต่อ "ความรับผิดชอบ" ที่ผู้นำองค์กรต้องมีในกรณี "น้องแก้ม"

              คสช. ประกาศปลดผู้ว่าการรถไฟ นายประภัสร์ จงสงวน ออกจากตำแหน่ง ด้วยเหตุผลเพื่อให้การบริหารงานของการรถไฟแห่งประเทศไทย เป็นไปด้วยความเรียบร้อยและเหมาะสมยิ่งขึ้น

            ปัญหาของการรถไฟแห่งประเทศไทยไม่ใช่มีเฉพาะเรื่องความปลอดภัยอย่างที่เป็นข่าวเท่านั้น แต่รถไฟไทยเป็นองค์กรที่โบราณคร่ำครึ เหนียวแน่น ยึดติดกับความเก่าแก่ ไม่มีการปรับปรุงพัฒนาบุคลากร เพราะคิดว่าตัวเองเป็นรัฐวิสาหกิจและมีสหภาพแรงงานที่แข็งแกร่งคอยปกป้อง

            ไม่ว่าการบริหารงาน การเดินรถ สภาพภายในขบวนรถ ความปลอดภัยทั้งจากการตกราง ไปจนถึงผู้โดยสารที่เสี่ยงภัยบนรถไฟ การบริการของพนักงานเจ้าหน้า การรับเข้าทำงานที่ใช้เส้นสาย ระบบจัดซื้อจัดจ้างผูกขาดอยู่กับผู้รับเหมาที่ผูกปิ่นโตกันมานาน เป็นแดนสนธยาที่ไม่เคยมีใครกล้าแตะต้อง แม้แต่นักการเมืองหรือรัฐบาลยุคไหนสมัยไหน อย่างเก่งทำได้เพียงส่งคนมาเป็นผู้ว่าฯหรือบอร์ดบริหาร

การบริหารงานของรถไฟ ไม่เคยพัฒนาให้ทันกับโลกสมัยที่เปลี่ยนแปลงไปแต่อย่างใด

            รถไฟประเทศเพื่อนบ้านพัฒนาทิ้งห่างรถไฟไทยไปอย่างไม่เห็นฝุ่น การกู้เงิน 2 ล้านล้านของรัฐบาลสมัยที่แล้ว ที่จะใช้ลงทุนในระบบราง กลับให้องค์กรที่ล้าหลังอย่างรถไฟเป็นผู้รับผิดชอบ ทั้งที่เดิมยังเอาตัวเองไม่รอด มีหนี้สินและขาดทุนอยู่เป็นแสนล้าน ที่ดินที่มีอยู่มากมายมหาศาลทั่วประเทศไทยก็พัฒนาอย่างขอไปที รายได้จิ๊บจ๊อย

ปัญหาสารพันทำให้รถไฟไทยถอยหลังกลับไปเหมือน 40 ปีที่แล้วยังไงอย่างงั้น

             ผมหวังว่า คสช. คงจะได้โอกาสปรับปรุงพัฒนา รื้อระบบครั้งใหญ่ของรถไฟไทย ไม่ใช่เฉพาะส่งตัวผู้ว่าฯคนใหม่มาแทน คุณประภัสร์ จงสงวน เท่านั้น  เพราะผู้ว่าฯคนเดียวไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้เลย หากคนที่อยู่ในรถไฟอีก 99 เปอร์เซ็นต์ไม่เปลี่ยนแปลงพัฒนา ท้ายสุดคุณประภัสร์อำลาตำแหน่งไปอย่างเจ็บปวด ผมเคยเตือนแล้วว่าออกเองดีกว่าให้เขาไล่ออก

  • คุณประภัสร์ออกจากตำแหน่งนี้ ไม่ใช่เพราะไร้ความสามารถ
  • แต่เพื่อสังเวยต่อ "ความรับผิดชอบ" ที่ผู้นำองค์กรต้องมีในกรณี "น้องแก้ม"

ภาพล่าสุด สนามบินสุวรรณภูมิ หมอชิต ยังคึกคักกว่า









ลางฉิบหายกำลังมาเยือนคนไทย




             ตอนนี้ มีลางบอกเหตุ ชัดเจนมาก ! ว่าความฉิบหาย ครั้งใหญ่ของประเทศกำลังจะมา
ระดับมหาสึนามิทางเศรษฐกิจ !


  • 1. ผู้ว่าการแบ็งค์ชาติ ออกมาเตือนนโยบายเศรษฐกิจของ คสช.
  • 2. ราคายางพาราเหลือกก.ละ 50 บาท ต่ำที่สุดในรอบเกือบสิบปี
  • 3. ราคาข้าวเปลือก เหลือเกวียนละ 6,000 บาท
  • 4. มีการปล่อยข่าว ว่าจะลดหรือไม่มีโบนัส ของรัฐวิสาหกิจ
  • 5. บริษัท ขนส่ง จำกัด แถลงรายได้ลดลง 50%
  • 6. ยอดการส่งออกประจำไตรมาสที่ 3 และ 4 มีแนวโน้มดิ่งเหว
  • 7. มีการย้ายฐานการผลิตของบริษัทอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ไป ต่างประเทศมากมาย
  • 8. แรงงานชาวกัมพูชากว่า 200,000 คน อพยพกลับประเทศ
  • 9. นักท่องเที่ยวต่างประเทศหายไปมากกว่าร้อยละ 70 
  • 10. มีการปิดตัวของโรงแรมขนาดใหญ่ในกรุงเทพมหานครและเมืองท่องเที่ยว
  • 11. มีการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจ จากสหภาพยุโรป 28 ประเทศและประเทศอื่นๆ กำลังจะตามมา
  • 12. กรมสรรพากรเก็บภาษีต่ำกว่าเป้าไป 100,000 ล้าน
  • 13. ประเทศไทยไม่สามารถกู้เงินจาก ธนาคารโลกและหรือ IMF ได้อีกแล้วเนื่องด้วยการถูกลดระดับการค้ามนุษย์
  • 14. คสช.ประกาศออกคำสั่งยึดเงิน กสทช.จำนวน 58,000 ล้านบาท ให้เป็นรายได้แผ่นดิน
ลองอาการเป็นแบบนี้ กูว่า ให้ 10 คสช.+ ซุปเปอร์แมน ก็เอาไม่อยู่ แน่ๆ

UN ไม่ได้ให้ราคาอะไรกับเด็กเลี้ยงแกะ

ดูเอกสารฉบับจริง  http://www.un.org/News/Press/docs//2014/ecosoc6639.doc.htm

อาการถังแตกเริ่มแล้ว




ภาพจาก ไทยรัฐออนไลน์
***ศิลาแรง Silareang***
7 กค.57 --- อาการถังแตกเริ่มแล้ว

             หลังจากที่คสช.เข้ามายึดอำนาจแค่เดือนกว่าๆ คสช.สั่งเบิกจ่ายเงินจ่ายออกไปหลายแสนล้านบาทแล้ว คสช.ใช้เงินอย่างมือเติบ ใช้เงินเกินตัว เพื่อสร้างภาพว่า พอคสช.มาแล้ว เงินไหลสะพัด เศรษฐกิจจะฟื้นตัวแน่ๆ...แต่ก็มีคนสงสัยว่า คสช.มีความรู้เรื่องเศรษฐกิจไหม? คสช.มีความสามารถในการหาเงินเข้าคลังเป็นไหม?

             หลังจากนั้นไม่นาน กระทรวงการคลังแจ้งข่าวออกมาว่า ครึ่งแรกของปีนี้ การจัดเก็บภาษีไม่เป็นไปตามเป้า นั่นหมายความว่า ภาษีซึ่งเป็นรายได้หลักของประเทศ ลดน้อยลงอย่างน่าใจหาย และคาดการณ์ว่า ปีนี้รายได้จากการจัดเก็บภาษีจะน้อยลงมาก

             มาตอนนี้ โครงการต่างๆ ที่มีแผนในการดำเนินการ ต่างก็ต้องเจรจาจากผู้ชนะการประมูลเพื่อขอลดราคาลงเป็นกรณีพิเศษ หากลดลงไม่ได้ตามที่ต้องการ ก็ไม่ให้ทำ เพราะเจอกับปัญหางบน้อย มีไม่พอจ่าย แล้วโครงการต่างๆ ที่มีแผนจะทำด้วยงบประมาณปี 2558 ไม่ว่า โครงการบริหารจัดการน้ำ หรือโครงการระบบการขนส่งทั่วไทย และโครงการอื่นๆ ที่ต้องใช้เงินอีกนับล้านๆ บาท คสช.หรือรัฐบาลที่คสช.จะแต่ตั้งขึ้นมา จะมีปัญญาหาเงินมาได้ไหม?

             อย่าลืมนะว่า ถึงแม้จะมีรัฐบาลก็จริง แต่ก็เป็นรัฐบาลแต่งตั้งมาจากเผด็จการคสช. ไม่ใช่รัฐบาลที่ประชาชนเลือกมาด้วยระบอบประชาธิปไตย ต่างชาติเขาไม่โง่นะ

           รอดูกันต่อไปว่า คสช.และรัฐบาลนอร์มินี่ จะสามารถพาประเทศไทยเจริญขึ้น หรือดิ่งลงเหว  อาการน่าเป็นห่วงนะ ว่ารัฐบาลไทยจะเจอกับสภาวะถังแตก เหมือนที่เกิดขึ้นในปี 2540 หรือไม่?

..... เวรกรรมประเทศไทย ....


            อธิบดีกรมศุลฯ เผย ครึ่งปีแรกปีงบฯ 57 เก็บภาษีหลุดเป้า 1.2 หมื่นล้านบาท หลังมูลค่านำเข้าสินค้าลดลง ด้านปลัดคลัง ย้ำคงเป้าจัดเก็บรายได้ที่ 2.275 ล้านล้านบาท...


            นายราฆพ ศรีศุภอรรถ อธิบดีกรมศุลกากร เปิดเผยว่า ในช่วง 6 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2557 (ต.ค.56-มี.ค.57) ต่ำกว่าเป้าหมายที่วางไว้ถึง 12,000 ล้านบาท คิดเป็น 18.46% และคาดว่าช่วงที่เหลือของปีจะจัดเก็บรายได้รวมเพียง 106,500 ล้านบาท จาก เป้าหมายที่ตั้งไว้ 131,800 ล้านบาท

          ทั้งนี้ ปัญหาการนำเข้าสินค้าลดลงมีผลทำให้การจัดเก็บของกรมฯ ลดน้อยลงนั้น ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา เพราะศุลกากรเก็บภาษีจากสินค้านำเข้าเท่านั้น และเป็นไปตามมาตรฐานโลก จึงไม่สามารถที่จะขยายกรอบการจัดเก็บภาษีให้เหมือนกับกรมสรรพามิต หรือกรรมสรรพากรได้

           สำหรับในช่วง 6 เดือนหลัง กรมศุลกากรจะเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดเก็บภาษี โดยจะใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการจัดเก็บให้เพิ่มมากขึ้น ประกอบกับจะเร่งรัดคดีที่ยังคงค้างอยู่ในการพิจารณา โดยคาดว่าจะสามารถเก็บภาษีจากการเร่งรัดคดีดังกล่าวได้ประมาณ 5,000 ล้านบาทภายในปีนี้

             ด้านนายรังสรรค์ ศรีวรศาสตร์ ปลัดกระทรวงการคลัง กล่าวว่า ได้สั่งการไปยังอธิบดีทั้ง 3 กรมภาษีให้จัดทำแผนการจัดเก็บรายได้ในช่วง 6 เดือนหลังของปีงบประมาณ 2557 ว่าจะดำเนินการอย่างไร เพื่อไม่ให้เป้าหมายการจัดเก็บรายได้ต่ำกว่าเป้าหมายที่วางไว้ 2.275 ล้านล้านบาท และยังมั่นใจว่าการจัดเก็บรายได้จะเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ ซึ่งกระทรวงการคลังยังคงยืนยันเป้าหมายจัดเก็บเดิมและไม่ปรับเป้าหมายลงอย่างแน่นอน

            อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่าการจัดเก็บรายได้ที่ลดลงมาจากปัญหาการเมืองทำให้เศรษฐกิจโตไม่ได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ ซึ่งหากสามารถมีรัฐบาลใหม่ได้ภายในไตรมาส 3 คาดว่า จะช่วยฟื้นความเชื่อมั่น และช่วยทำให้เศรษฐกิจปรับตัวดีขึ้น รวมถึงส่งผลให้การจัดเก็บภาษีปรับตัวดีขึ้นตามไปด้วย.

เรื่องเกี่ยวเนื่อง...

ททท. ปิดถนนจัด "สตรีต เฟสติวัล" ชู Thailand Happiness ฟื้นความเชื่อมั่น



             การจัดบิ๊กอีเวนต์ "สตรีต เฟสติวัล" (Street Festival) ถือเป็นหนึ่งในกลยุทธ์หลักของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย หรือ "ททท." เพื่อฟื้นความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติ หลังเผชิญปัญหาความวุ่นวายทางการเมืองซึ่งส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมท่องเที่ยวอย่างหนัก


            ธวัชชัย อรัญญิก ผู้ว่าการ ททท. เปิดเผยว่า การจัดสตรีต เฟสติวัล จะช่วยสร้างภาพลักษณ์ที่ดี พร้อมตอกย้ำสถานการณ์ในประเทศไทยสู่ภาวะปกติ และเป็นการประกาศว่าเมืองไทยสวยงามปลอดภัย

           โดยเชิญชวนต้อนรับนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกภายใต้แนวคิด "Thailand Happiness" ระหว่างวันที่ 25-26 กรกฎาคม 2557 ณ บริเวณถนนพระราม 1 และถนนราชประสงค์


           กิจกรรมดังกล่าวจะเป็นความร่วมมือร่วมใจครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดของคนไทยทุกภาคส่วนและในการส่งคำเชิญนับล้าน เพื่อให้นักท่องเที่ยวจากทั่วโลกได้กลับมาสัมผัสกับความเป็น "Land of Smiles" อีกครั้ง

           ภายในบริเวณงานจะตกแต่งรูปแบบสไตล์ไทยประยุกต์ อาทิ กำแพงดอกไม้นานาชนิด หลังคาร่มจากภาคเหนือ ตกแต่งต้นไม้ด้วยผ้าขาวม้าเอกลักษณ์ของภาคอีสาน เป็นต้น  ทั้งนี้กิจกรรมแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ Happiness Concert และ Happiness Street 


           โดยในส่วนของ Happiness Concert ณ ถนนราชประสงค์ จัดขึ้นในวันที่ 25 กรกฎาคม 2557 ตั้งแต่เวลา 15.00-24.00 น. โดยกิจกรรมไฮไลต์สำคัญจะมีศิลปินระดับประเทศเข้าร่วมงานอย่างคับคั่ง อาทิ ดา เอ็นโดรฟิน, โปเตโต้, หญิงลี, ปาล์มมี่, ป็อด โมเดิร์นด็อก เป็นต้น

           ส่วน Happiness Street จะปิดถนนพระราม 1 บริเวณด้านหน้าสยามพารากอน-สี่แยกราชประสงค์ ในวันที่ 25-26 กรกฎาคม 2557 แบ่งออกเป็น 4 โซน ได้แก่ 


           โซนที่ 1 "Happiness Show off" สนุกสนานกับขบวนพาเหรดหรรษากับสากลในความเป็นไทยด้วยขบวนอีสานดรัมไลน์ โชว์เอกลักษณ์แฟชั่นไทยหนึ่งเดียวในโลกกับการรวมนางงามไทยแต่งกายชุดประจำชาติแบบประยุกต์ อิ่มเอมกับครัวไทยสู่ครัวโลก พาความสนุกเที่ยวไทยไปทุกที่ กับขบวนจักรยานสามล้อถีบท่องเที่ยวไทยสุขใจ ประเทศไทยเมืองผลไม้

          ปิดท้ายกับความมันส์กับลูกทุ่งสุดอลังการจากเยาวชนไทย พร้อมกิจกรรมโชว์ในรูปแบบของ Thai Style ได้แก่ โขนเด็กแรป ฝรั่งร้องเพลงไทย คีตไทยเล่นของนอก โปงลางอีสานอินดี้ และชฎาทองอมยิ้ม เป็นต้น
           โซนที่ 2 "Happiness Gifts Market" พบกับ 80 ร้านค้าแนว "Street Style" แบ่งเป็น Fashion Market สินค้าแฟชั่น เสื้อผ้า สินค้าแฮนด์เมด, Online on Street ยกสินค้าออนไลน์มาไว้บนถนน, Restaurant in Trend โดยจะยกร้านอาหารชื่อดังย่านราชประสงค์-ราชดำริไปจนถึงร้านอาหารแบบสตรีตฟู้ดทั่วไป และ Star on Street ตลาดนัดดาราและเซเลบชื่อดังมากมาย


           โซนที่ 3 "Happiness Surprise" พบกล่องของขวัญยักษ์ในถนนคนเดิน จำนวน 2 กล่อง โดยกล่องของขวัญจะเปิดออกได้ด้วยรอยยิ้มของคนมาร่วมงาน ที่รวมตัวกันถ่ายภาพลง Instagram คืนความสุขให้เมืองไทย และเมื่อครบ 5,000-10,000 รอยยิ้มกล่องก็จะเปิดออก 


            และพบกับกิจกรรมสุด Surprise ของแต่ละกล่องที่แตกต่างกันจากศิลปินที่จะมาร่วมให้ความสุข นอกจากนี้ยังมี Star Tunnel อุโมงค์ไฟดาว LED นับหมื่นดวง และ Landmark Lighting วัดอรุณราชวราราม ราชวรมหาวิหาร

            และโซนที่ 4 "Happiness Activity" ภายในงานจะมีการจัดกิจกรรมที่คืนความสุขให้คนไทยมากมาย อาทิ Happiness Refill มองหาลูกโป่ง Happiness จากคนขายในราคา 50 บาท เพื่อร่วมบริจาคเงินให้มูลนิธิต่าง ๆ และรับของแถมน่ารัก ๆ และเป็นการรีฟิลความสุขให้ตัวเองและคนอื่นไปพร้อม ๆ กัน และ Connect to Happiness ตู้ไอศกรีมแจกฟรี เพียงแค่กดปุ่มที่ตู้พร้อมกับกดปุ่มที่วัว ไอศกรีมก็จะออกมา แต่วัวและตู้จะถอยห่างจากกันเรื่อย ๆ คนที่จะกดต่อไป ต้องหาตัวช่วยมาต่อกัน สร้างความสามัคคีให้คนแปลกหน้า รวมไปถึงกิจกรรมโชว์จากซูเปอร์ฮีโร่มาช่วยกันทำดี 


            ผู้ว่าการ "ททท." ย้ำว่า "การจัดกิจกรรมครั้งนี้ถือเป็นการจัดครั้งยิ่งใหญ่ เพื่อคืนความสุขให้คนไทยตามนโยบายของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และเป็นการกระตุ้น เผยแพร่ไปยังทั่วโลก"

            ที่สำคัญ ยังได้สั่งการให้สำนักงาน ททท.ทั่วโลกจัดกิจกรรม "เมกะเฟมทริป" เชิญสื่อมวลชน บล็อกเกอร์และเอเย่นต์จำนวน 1,000 คน จาก 37 ประเทศทั่วโลกเข้ามาดูสถานการณ์ท่องเที่ยวในประเทศไทยและร่วมกิจกรรมดังกล่าว ในวันที่ 25 กรกฎาคมนี้ โดยจะมาร่วมกิจกรรมนี้ที่กรุงเทพฯ ก่อนแบ่งออกเป็น 5 กลุ่ม กระจายไปยังภูมิภาคต่าง ๆ ทั่วประเทศอีกด้วย

คสช. สั่งแก้ พ.ร.ฎ. เพิ่มเบี้ยหวัด ขรก.บำนาญ




Thu, 2014-07-10 23:12


                10 ก.ค.2557 คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ออกประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่ 81/2557 เรื่อง แก้ไขเพิ่มเติมพระราชกฤษฎีกาเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญ พ.ศ.2521
ประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่ 81/2557

เรื่อง แก้ไขเพิ่มเติมพระราชกฤษฎีกาเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญ พ.ศ.2521 


               โดยที่เป็นการสมควรปรับปรุงเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญ เพื่อกำหนดให้ผู้ได้รับหรือมีสิทธิได้รับเบี้ยหวัดหรือบำนาญซึ่งเมื่อรวมกับเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญแล้ว ต่ำกว่าเดือนละเก้าพันบาทได้รับเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญเพิ่มอีกตามอัตราที่กำหนดอันเป็นการช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อนแก่บุคคลดังกล่าวในการครองชีพ จึงให้แก้ไขเพิ่มเติมพระราชกฤษฎีกาเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญ พ.ศ.2521 ดังต่อไปนี้

            ให้ยกเลิกความในมาตรา 4 นว แห่งพระราชกฤษฎีกาเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญ พ.ศ.2521 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกฤษฎีกาเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญ (ฉบับที่ 13 ) พ.ศ.2552และให้ใข้ความต่อไปนี้แทน

           “มาตรา 4  ผู้ได้รับหรือมีสิทธิได้รับเบี้ยหวัดตามข้อบังคับกระทรวงกลาโหมผู้ได้รับหรือมีสิทธิได้รับบำนาญปกติ บำนาญพิเศษเพราะเหตุทุพพลภาพ บำนาญพิเศษ หรือบำนาญตกทอดในฐานะทายาทหรือผู้อุปการะหรือผู้อยู่ในอุปการะ ตามกฎหมายว่าด้วยบำเหน็จบำนาญข้าราชการถ้าได้รับเบี้ยหวัดหรือบำนาญรวมกันทุกประเภทเมื่อรวมกับ ช.ค.บ.แล้ว ต่ำกว่าเดือนละเก้าพันบาทให้ได้รับ ช.ค.บ. เพิ่มอีกในอัตราเดือนละเท่ากับส่วนต่างของจำนวนเงินเก้าพันบาทหักด้วยจำนวนเบี้ยหวัดหรือบำนาญทุกประเภท และ ช.ค.บ.ที่ได้รับหรือมีสิทธิ์ได้รับ


ทั้งนี้ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป


ประกาศ ณ วันที่ 10 กรกฎาคม พุทธศักราช 2557 

พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา 

หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ

'คสช.'พระเอกหรือผู้ร้าย?

มีนาคม 2553 กลุ่มคนเสื้อแดงจำนวนมากได้มาชุมนุมที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เรียกร้องให้รัฐบาลในขณะนั้นที่มีพรรคประชาธิปัตย์เป็นแกนนำ ลาออกหรือยุบสภาเพื่อให้มีการเลือกตั้งใหม่ การชุมนุมยืดเยื้อมาหลายเดือน แต่จบลงด้วยการ “สังหารหมู่” ที่รัฐบาลใช้คำว่า “กระชับพื้นที่” จนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตทั้งทหารและพลเรือนกว่า 100 คน

หลังการนองเลือดในครั้งนั้น กลุ่มคนเสื้อแดงได้เรียกร้องให้รัฐบาลชุดใหม่ที่มีพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำ เดินหน้าเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับผู้เสียชีวิตเหล่านั้น ดีเอสไอจึงได้ตอบสนองโดยดำเนินการร้องต่อศาลยุติธรรมเพื่อให้ไต่สวนการเสียชีวิต
หลายคดีอยู่ในระหว่างการไต่สวน ขณะที่อีกหลายคดี ศาลมีคำสั่งว่า ผู้ตายตายจากการปฏิบัติหน้าที่ หรือจากกระสุนที่ยิงมาจากอาวุธของ “เจ้าหน้าที่รัฐ” ซึ่งแน่นอนก็คือ “ทหาร” โดยเฉพาะคดี 6 ศพวัดปทุมวนาราม ที่สามารถระบุหน่วยงานทหารได้อย่างชัดเจน จนนำไปสู่การฟ้องร้องคดีอาญาต่อนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรีในสมัยนั้น และผู้ที่เกี่ยวข้อง แน่นอนว่าสิ่งนี้ได้สร้างความกังวลใจให้กับทหารไม่น้อย

ขณะที่ญาติของผู้เสียชีวิตกำลังรอคอยอย่างมีความหวังต่อการเอาผิดฆาตกร และผู้ที่อยู่เบื้องหลังการสังหารหมู่ในครั้งนั้น พรรคเพื่อไทยกลับสร้างความผิดหวังครั้งใหญ่ให้กับญาติฯ และกลุ่มคนเสื้อแดง ด้วยการเสนอ พ.ร.บ. นิรโทษกรรมฉบับ “เหมาเข่ง” หรือที่เรียกกันติดปากว่า ฉบับ “สุดซอย” เพื่อลบล้างความผิดให้กับทุกฝ่าย รวมถึงฆาตกรและผู้ที่อยู่เบื้องหลังด้วย จะด้วยความหวังดีหรือมีวาระซ่อนเร้นก็ตาม แต่สิ่งนี้ได้สร้างความแตกแยกทางความคิดอย่างรุนแรง โดยเฉพาะในกลุ่มคนเสื้อแดงและญาติของผู้เสียชีวิตที่ให้การสนับสนุนรัฐบาลชุดนี้
แกนนำพรรคประชาธิปัตย์บางคนจึงสบโอกาสจัดตั้งมวลชน ซึ่งต่อมาเรียกตนเองว่า “กปปส.” เพื่อต่อต้าน พ.ร.บ. นิรโทษกรรมฉบับนี้ รัฐบาลที่ดันเปลี่ยนบทบาทจาก “พระเอก” ไปเป็นผู้ร้ายกะทันหัน จึงต้องยอมถอย พ.ร.บ. ฉบับนี้ แม้จะต้องเสียหน้าอย่างหนักก็ตาม แต่สุภาษิตที่ว่า “ได้ทีขี่แพะไล่” ยังคงใช้ได้อยู่เสมอ รัฐบาลจึงต้องเผชิญหน้ากับการกดดันอย่างหนักจาก กปปส. จนต้องยุบสภาในเวลาต่อมา
แม้รัฐบาลจะยุบสภาไปแล้ว แต่ความขัดแย้งทางการเมืองยังคงอยู่ แถมทำท่าบานปลายมากขึ้น กปปส. ยังคงขัดขวางการทำงานของรัฐบาลรักษาการ ทั้งการปิดล้อมสถานที่ราชการ ขัดขวางการจ่ายหนี้ค่าข้าว รวมทั้งขัดขวางการเลือกตั้ง ส.ส. ครั้งล่าสุด
ความวุ่นวายทางการเมืองกว่าครึ่งปีที่ผ่านมา และความอ่อนแอของรัฐบาลรักษาการ ถือเป็นการเปิดโอกาสให้ทหารที่กำลังต้องการ “ลบล้างความผิดของตนเอง” ใช้เป็นข้ออ้างในการทำรัฐประหารครั้งล่าสุด โดยอ้างเหตุผลอันสวยหรูเพื่อยุติความขัดแย้งทางการเมือง
ขณะนี้กลุ่มทหารที่ก่อการรัฐประหารซึ่งเรียกตนเองว่า “คสช.” พยายาม “สร้างภาพ” ให้ตนเอง ทั้งการสลายสีเสื้อ จ่ายหนี้ค่าข้าวให้กับชาวนา กวาดล้างการทุจริตในหน่วยงานรัฐและรัฐวิสาหกิจ รวมทั้งการเดินหน้าโครงการเมกกะโปรเจ็กของรัฐบาลชุดที่ผ่านมา แต่สิ่งเหล่านี้อาจเป็นเพียงน้ำตาลที่เคลือบยาพิษให้กับวาระซ่อนเร้นของตนเอง
ในหน้าประวัติศาสตร์ไทย ไม่มีการรัฐประหารและการสังหารหมู่ครั้งใดที่ไม่มีการนิรโทษกรรม ทั้งเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516, 6 ตุลาคม 2519 รวมทั้งพฤษภาทมิฬ 2535 ทุกเหตุการณ์จบลงด้วยการนองเลือด และนิรโทษกรรม ในเวลาต่อมาโดยรัฐบาลที่ส่วนใหญ่ได้รับการสนับสนุนจากทหาร
รัฐบาลชุดใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้น แน่นอนว่าจะต้องได้รับการสนับสนุนจากทหาร ผมเชื่อมั่นว่า 1 ในภารกิจสำคัญคือ การนิรโทษกรรมให้กับทุกฝ่าย รวมถึงฆาตกรและผู้อยู่เบื้องหลังการสังหารหมู่ 2553 โดยอ้างเรื่องความ “ปรองดอง” งานนี้จึงเท่ากับพรรคเพื่อไทย ซึ่งรับบทเป็นผู้ร้าย เตะ “ลูกบอลนิรโทษกรรม” ไปเข้าเท้าทหารที่รับบทเป็นพระเอก เพื่อเตะลูกบอลนั้นเข้าประตู
ผู้ที่น่าสงสารมากที่สุดคือ ญาติของผู้เสียชีวิต รวมทั้งผู้ที่ได้รับบาดเจ็บจากการสังหารหมู่ 2553 ที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม ขณะที่ผู้ที่น่าสมน้ำหน้ามากที่สุดคือ พรรคเพื่อไทย ที่ไม่ว่าจะมองมุมไหนก็ไม่เห็นช่องของความน่าเห็นใจใด ๆ  ส่วนผู้ที่ได้รับการชมเชยมากที่สุดคือ ทหาร ที่ได้ทั้งผลงานและการนิรโทษกรรมให้กับตนเอง หากจะแบ่งบทบาทตามละครน้ำเน่า พรรคเพื่อไทยก็คือผู้ร้าย ที่มักจะตายอย่างโง่ ๆ  ขณะที่ทหารกลายเป็นพระเอกแบบฟลุค ๆ  ทั้ง ๆ ที่ความเป็นจริงกลับตรงกันข้ามกันอย่างสิ้นเชิง