วันพฤหัสบดีที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

เครือข่ายคณาจารย์ผู้ห่วงใยศิษย์ฯ จี้ คสช. หยุดอ้างกฎหมายข่มขู่คุกคามประชาชน


25 พ.ย. 2558 เครือข่ายคณาจารย์ผู้ห่วงใยศิษย์ที่ถูกคุมขัง ออกแถลงการณ์ฉบับที่ 7 เรื่อง หยุดอ้างกฎหมายที่ไร้ความชอบธรรมข่มขู่คุกคามประชาชน โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้
 
แถลงการณ์เครือข่ายคณาจารย์ผู้ห่วงใยศิษย์ที่ถูกคุมขังฉบับที่ 7
หยุดอ้างกฎหมายที่ไร้ความชอบธรรมข่มขู่คุกคามประชาชน
 
ตามที่เครือข่ายคณาจารย์ผู้ห่วงใยศิษย์ที่ถูกคุมขัง ได้ออกแถลงการณ์ฉบับที่ 6 พร้อมรายชื่อแนบท้าย 323 รายชื่อ และยื่นต่อ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (คสช.) เมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา เพื่อเรียกร้องให้ยุติการคุกคามสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของนักวิชาการจำนวน 6 คนที่อ่านแถลงการณ์ “มหาวิทยาลัยไม่ใช่ค่ายทหาร” รวมถึงเรียกร้องให้ยุติการข่มขู่คุกคามนักวิชาการที่แสดงความคิดเห็นทางการเมืองในช่วงที่ผ่านมา ยุติการสั่งห้ามการจัดกิจกรรมทางการเมืองของนักศึกษาและประชาชน ตลอดจนยุติการแทรกแซงการเรียนการสอนในมหาวิทยาให้เป็นไปตามตามความต้องการของ คสช. โดยที่พลเอกประยุทธ์ได้ตอบคำถามของผู้สื่อข่าวเกี่ยวกับข้อเรียกร้องของเครือข่ายคณาจารย์ฯ ตามที่ปรากฏเป็นข่าวนั้น
เครือข่ายคณาจารย์ผู้ห่วงใยศิษย์ที่ถูกคุมขัง มีความเห็นต่อบทสัมภาษณ์และท่าทีของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ดังนี้
 
  • 1. คำสั่ง คสช. ไม่ชอบด้วยกฎหมายตั้งแต่ต้นเพราะเป็นผลของการฉีกรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ ขาดความชอบธรรมเพราะไม่ได้รับการยินยอมจากประชาชนจำนวนมาก อีกทั้งยังขัดกับกฎหมายระหว่างประเทศที่รับรองสิทธิและเสรีภาพในการแสดงออกของประชาชน พลเอกประยุทธ์จึงไม่สามารถอาศัยคำสั่ง คสช. ซึ่งผิดกฎหมายเป็นเกณฑ์ในการกล่าวหาว่าบุคคลกระทำผิดกฎหมาย หรืออาศัยเป็นหลักหมายให้บุคคลประพฤติปฏิบัติตามได้ การกล่าวหาว่านักวิชาการไม่เคารพหรือทำผิดกฎหมายโดยอาศัยคำสั่ง คสช. จึงสะท้อนทั้งการขาดความรู้ความเข้าใจหลักกฎหมายและการตำหนิตนเองของพลเอกประยุทธ์ในเวลาเดียวกัน 
  • 2. การที่พลเอกประยุทธ์กล่าวว่าการแสดงความเห็นของนักวิชาการอาจเป็นเหตุให้มีผู้มายิงหรือปาระเบิดใส่จนล้มตายเป็นคำกล่าวที่มีลักษณะข่มขู่คุกคามแม้จะอ้างว่าตนจะไม่เป็นผู้กระทำก็ตาม เพราะเป็นคำกล่าวที่มีลักษณะยั่วยุชี้นำและสร้างความชอบธรรมให้กับการกระทำผิดกฎหมาย ซึ่งในฐานะผู้นำประเทศการกล่าวโดยไม่ไตร่ตรองให้รอบคอบเช่นนี้จะยิ่งส่งผลเสียหายให้กับประเทศเป็นทวีคูณ  
  • 3. การเปิดโอกาสให้บุคคลได้แสดงความคิดเห็นอย่างแตกต่างหลากหลายเป็นคุณลักษณะพื้นฐานของระบอบประชาธิปไตย หาได้เป็นความสับสนวุ่นวายดังที่พลเอกประยุทธ์เข้าใจไม่ การแสดงความเห็นและเสนอข้อมูลอย่างสันติและไม่ละเมิดสิทธิของผู้อื่นของนักวิชาการรวมถึงนิสิตนักศึกษาและประชาชนเพื่อให้สังคมมีมุมมองรอบด้านเพื่อแสวงหาทางออกร่วมกันซึ่งดำเนินมาในทุกรัฐบาลจึงเป็นวิถีทางประชาธิปไตยที่ไม่ได้เป็นเหตุแห่งความสับสนวุ่นวายแต่อย่างใด จะมีก็แต่รัฐบาลเผด็จการที่ลุแก่อำนาจและไม่ยอมฟังเสียงใครเท่านั้นที่จะเห็นเป็นอื่นได้ 
  • 4. เครือข่ายคณาจารย์ฯ ขอให้ คสช. หยุดการดำเนินคดีและการข่มขู่คุกคามการแสดงความคิดเห็นทางการเมืองโดยสุจริตและอย่างสันติของอาจารย์รวมถึงนิสิตนักศึกษาและประชาชน แทนที่ คสช. จะเรียกประชาชนที่เห็นแตกต่างไป “ปรับทัศนคติ” เครือข่ายคณาจารย์ฯ เห็นว่า คสช. ควรเรียนรู้ที่จะ “แลกเปลี่ยนทัศนคติ” กับประชาชนที่เห็นต่างอย่างเสมอหน้าจึงจะสร้างสรรค์กว่า
 
ด้วยความเชื่อมั่นในสิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาค
เครือข่ายคณาจารย์ผู้ห่วงใยศิษย์ที่ถูกคุมขัง
25 พฤศจิกายน 2558

ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้กักขัง 'อ.ตุ้ม' 1 เดือน คดีวางหรีดหน้าศาล


26 พ.ย. 2558 มติชนออนไลน์รายงานว่านางสุดสงวน สุธีสร หรือ อาจารย์ตุ้ม อาจารย์ประจำ คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เดินทางมายังศาลแพ่ง ตามที่ศาลนัดอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดี ละเมิดอำนาจศาล ที่เป็นผู้ถูกกล่าวหา ร่วมกับนางดารุณี กฤตบุญญาลัย และ นายพิชา วิจิตรศิลป์ ทนายความกลุ่ม นปช. ซึ่งเสียชีวิตแล้ว นำกลุ่มมวลชนวางพวงหรีดและชูป้ายข้อความวิจารณ์การทำหน้าที่ของศาลแพ่ง เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2557
 
ซึ่งศาลได้จำหน่ายคดีของนางดารุณี ผู้ถูกกล่าวที่ 1 พร้อมออกหมายจับหลังไม่มาศาลตามนัด และพิพากษาจำคุก นางสุดสงวน และ นายพิชา ฐานละเมิดอำนาจศาล คนละ 2 เดือนแต่คำรับสารภาพเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณา จึงเห็นควรลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุกคนละ 1 เดือน โดยไม่รอลงอาญา
 
ด้านศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนประชุมพร้อมปรึกษาหารือกันแล้วเห็นว่า นางสุดสงวน ให้การรับสารภาพ แต่อุทธรณ์ว่าเป็นการร่วมชุมนุมภายใต้สิทธิตามรัฐธรรมนูญ และไม่ทราบว่ามีการนำพวงหรีดมาศาล ซึ่งตัวเองไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับพวงหรีด ส่วนการร้องเพลงก็เป็นเพลงประจำกลุ่ม ไม่มีเจตนาส่งเสียงดังรบกวนการพิจารณาคดีของศาลแพ่ง นั้น เห็นว่าเป็นการอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ซึ่งต้องห้ามอุทธรณ์ จึงไม่รับวินิจฉัย
 
ส่วนจะมีเหตุให้รอการลงโทษหรือไม่ศาลเห็นว่า นางสุดสงวน จบการศึกษาคณะนิติศาสตร์ ระดับปริญญาตรี จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และจบปริญญาโท จากสหรัฐอเมริกา ย่อมทราบดีถึงขั้นตอนกระบวนการพิจารณาคดีในชั้นศาล การนำพวงหรีดมาวางหน้าศาล และร้องเพลงเสียดสีเกี่ยวกับการตัดสินคดีของศาลแพ่ง ถือว่าไม่เคารพยำเกรงต่อกฎหมาย เป็นเรื่องร้ายแรง แม้ นางสุดสงวน ไม่เคยต้องโทษจำคุกมาก่อน ก็ไม่มีเหตุให้รอการลงโทษ แต่พิพากษาแก้ให้เปลี่ยนจากโทษจำคุกเป็นกักขังนางสุดสงวน แทน เป็นเวลา 1 เดือน นอกนั้นให้เป็นไปตามศาลชั้นต้น
 
ขณะที่บรรยากาศที่ศาลแพ่ง มีกลุ่มแนวร่วม นปช. เดินทางมาให้กำลังใจพร้อมมอบดอกไม้ให้ นางสุดสงวน จำนวนมาก โดยมีกำลังตำรวจจากกองบังคับการตำรวจนครบาล 2 จัดชุดเคลื่อนที่เร็ว ดูแลความเรียบร้อยบริเวณถนนรัชดาภิเษก และ มีกำลังตำรวจจาก สน.พหลโยธิน ดูแลความเรียบร้อย บริเวณภายในอาคาร และ บริเวณโดยรอบศาลแพ่ง

'ประยุทธ์' ระบุกลุ่มที่ถูกจับอยู่ในขบวนการขอนแก่นโมเดล


'ประยุทธ์' ย้ำไม่กลัวยังลงพื้นที่ภาคอีสานได้ แม้เจ้าหน้าที่จะจับกุมกลุ่มคนที่เตรียมทำร้าย ระบุอยู่ในขบวนการเดียวกับขอนแก่นโมเดล 'ประวิตร' ยันมีขบวนการจ้องทำร้ายบุคคลสำคัญในรัฐบาล แจง 'พล.ต.สุชาติ'  ไม่เกี่ยวข้องกับกระทรวงกลาโหม เพราะลาออกราชการทหารนานแล้ว ให้เป็นหน้าที่ของตำรวจ
 
26 พ.ย. 2558 สำนักข่าวไทยรายงานว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวถึงกรณีเจ้าหน้าที่จับกุมกลุ่มบุคคลที่เตรียมสร้างความวุ่นวายและจะทำร้ายบุคคลสำคัญ ว่า ขณะนี้เจ้าหน้าที่กำลังสอบสวนว่ามีการเตรียมการที่จะกระทำดังกล่าวจริงหรือไม่ แต่เบื้องต้นมีความผิดตามพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ที่โพสต์ข้อความเข้าข่ายผิดกฎหมาย เมื่อเจ้าหน้าที่ตรวจพบจึงออกหมายจับ ยืนยันว่าทุกขั้นตอนมีหลักฐาน ไม่ใช่การบิดเบือนว่ารัฐบาลสร้างเรื่องเพื่อกลบกระแสข้อกล่าวหาว่ามีการทุจริตโครงการอุทยานราชภักดิ์
 
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า  กรณีอุทยานราชภักดิ์ต้องดำเนินการต่อไป แต่มีบางคนพูดเอาแต่ได้ พูดให้ตัวเองถูกทั้งหมด คนอื่นทำอะไรผิดบ้างเล็กน้อยก็นำไปอ้าง หาเหตุผลว่าตัวเองถูก ตนเองไม่เคยเข้าไปยุ่งกระบวนการยุติธรรม ให้คดีเข้าสู่ระบบ ทุกเรื่องมีหลักฐานชัดเจน กรณีอุทยานราชภักดิ์ หากหลักฐานชัดเจนก็ดำเนินการ มีคนไม่กี่คนก็ไปตรวจสอบ อย่าเอาเรื่องนี้มาโยงว่าต้องการกลบเกลื่อนโครงการอุทยานราชภักดิ์ และจะเอามาโยงกับโครงการรับจำนำข้าว ตนไม่เคยนำโครงการรับจำนำข้าวไปโยงกับใคร ทั้งที่มีตัวละครมากมาย แล้วยังมากล่าวหาว่ารัฐบาลเร่งรัดแต่โครงการรับจำนำข้าว แต่โครงการอุทยานราชภักดิ์กลับดึงเรื่องให้ล่าช้า ต้องไปดูด้วยว่าคดีโครงการรับจำนำข่าวเกิดขึ้นเมื่อใด และโครงการราชภักดิ์เกิดขึ้นเมื่อใด ทุกคดีต้องดำเนินไปตามกระบวนการ จะเร็วงหรือช้าขึ้นอยู่กับการดำเนินโครงการ
 
“ผมไม่กลัวและยังเดินทางไปในพื้นที่ภาคอีสานได้ เพราะขณะนี้ก็เสี่ยงชีวิตอยู่แล้ว การทำงานจะสำเร็จหรือไม่ยังไม่ทราบ คนไทยยังไม่รู้สึกว่าสถานการณ์อันตรายเพียงใด  ยังห่วงเรื่องจะทะเลาะกัน สถานการณ์ขณะนี้ไม่เฉพาะประเทศไทย แต่อยากให้ดูสถานการณ์โลก ไม่รู้ว่าจะต่อสู้ด้วยอาวุธสงครามหรือไม่ มัวแต่ทะเลาะกัน ทุกเรื่องทั้งเรื่องร่างรัฐธรรมนูญ เดี๋ยวทำประชามติก็ทะเลาะกันอีก  เลือกตั้งก็ไม่รู้จะเลือกได้หรือไม่ แต่ผมพยายามทำอย่างดีที่สุด ซึ่งที่ผ่านมาได้ให้ความมั่นใจขกับนักลงทุน ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างไร จะดูแลให้การลงทุนต่าง ๆ ไม่มีปัญหา แล้วที่มาขู่ว่าจะทำร้ายผมและ พล.อ.ประวิตร ประชาชนจะไม่ดูแลและปล่อยให้คนไม่ดีมาทำร้ายผมหรือ ขณะนี้กำลังสอบสวนว่า กลุ่มที่ถูกจับมีศักยภาพเพียงพอที่จะก่อเหตุหรือไม่ แต่คนเหล่านี้ส่วนหนึ่งมีความผิดและอยู่ระหว่างการประกันตัว อยู่ในขบวนการเดียวกับขอนแก่โมเดล ก็ต้องถามว่าผิดหรือไม่ ไม่ใช่แค่จะทำร้ายผมหรือ พล.อ.ประวิตร แต่คนเหล่านี้จะไปทำร้ายใครก็ไม่ได้” นายกรัฐมนตรี กล่าว
 
ส่วนจะมีนักการเมืองอยู่เบื้องหลังหรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ไม่ทราบ แต่ต้องตรวจสอบว่ากลุ่มคนเหล่านี้อยู่สีไหน ซึ่งที่ผ่านมาประกาศตัวว่าเป็นกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) แล้วนปช.จะไม่รับผิดชอบบ้างเลยหรือ ใครผิดก็ว่ากันไป  แต่ในส่วนของการดูแลรักษความปลอดภัยผู้นำมีอยู่แล้ว เพียงแต่เกรงว่าหากมีการก่อเหตุ จะทำให้คนอื่นได้รับความเดือดร้อนไปด้วย
 
พล.อ.ประวิตร ยันมีขบวนการจ้องทำร้ายบุคคลสำคัญในรัฐบาล
 
สำนักข่าวไทยรายงานว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงกลุ่มจ้องป่วนรัฐบาลและหวังลอบทำร้ายบุคคลสำคัญในรัฐบาล ว่า เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างสืบสวนสอบสวน ซึ่งได้ออกหมายจับไปแล้ว จากนี้คงไปตรวจสอบว่าขบวนการเป็นอย่างไร ส่วนข้อมูลรายละเอียด ต้องถามเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพราะเป็นการข่าวของทางตำรวจที่แจ้งข้อมูลมา
 
“ยืนยันว่าขบวนดังกล่าวมีจริง ศาลออกหมายจับมีหลักฐานชัดเจน ส่วนรายละเอียดต่อไปให้ตำรวจไปสืบต่อ” พล.อ.ประวิตร กล่าว
 
เมื่อถามว่าบุคคลสำคัญที่เป็นเป้าหมายคือใคร พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ไม่ทราบ แต่ที่ผ่านมาตนทำเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติ ไม่ขัดแย้งกับใครและไม่ต้องการขัดแย้งกับใคร ทำทุกอย่างเพื่อประชาชน
 
เมื่อถามว่ามีกลุ่มที่เหนือกว่านี้หรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ไม่ทราบ ถ้ามีข้อมูลก็ไปหารายละเอียดมา
 
รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่ศาลออกหมายจับนายทหารซึ่งมีความผิดตามมาตรา 112 ว่า ในส่วนของ พล.ต.สุชาติ พรมใหม่ ได้ลาออกจากราชการทหารนานแล้ว และไม่ใช่การขาดราชการเหมือน พ.อ.คชาชาต บุญดี
 
“จากนี้จะเป็นหน้าที่ของตำรวจดำเนินการ ไม่เกี่ยวข้องกับกระทรวงกลาโหม  และไม่ทราบว่าขณะนี้ พล.ต.สุชาติ อยู่ในการควบคุมหรือไม่ รวมถึงไม่ทราบว่าอยู่ในประเทศหรือไม่ ขอให้ไปถามเรื่องนี้จากตำรวจ” พล.อ.ประวิตร กล่าว