วันเสาร์ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2556

ทำไม “สหรัฐฯ” ถึงกล้าปิดหน่วยงานรัฐในขณะที่ประเทศทั่วโลกต่างเฝ้ามองด้วยอาการมึนงง


บทวิเคราะห์: ทำไม “สหรัฐฯ” ถึงกล้าปิดหน่วยงานรัฐในขณะที่ประเทศทั่วโลกต่างเฝ้ามองด้วยอาการมึนงง




       เอเจนซีส์/เอเอเฟพี - จากเหตุวิกฤตการปิดตัวชั่วคราวของหน่วยงานรัฐฯในสหรัฐฯที่เริ่มมีผลตั้งแต่เที่ยงคืนของวันจันทร์(30) ทำให้ทั่วดลกที่ต่างจับตาปรากฏการณ์ครั้งนี้ถึงกับตะลึง และหวั่นใจว่าจะมีผลกระทบอย่างไรกับประเทศพวกเขาบ้าง ซึ่งเหตุที่อเมริกากล้าทำเช่นนั้นเป็นเพราะเป็นประเทศถือหลักนิติธรรมเป็นใหญ่ ที่มีระบบการปกคองแบบถ่วงดุลอำนาจที่ถูกวางรากฐานตั้งแต่สมัยก่อตั้งประเทศจากพื้นฐาน “ประนีประนอม” และ “ถกเถียง” รวมไปถึงระบบเศรษฐกิจที่แข็งกร่ง และมี กฏหมาย Anti-Deficiency Act ที่มีอายุยาวนานถึง 143 ปีมารับรองภาวะสูญญากาศนี้ ซึ่งดีลที่สหรัฐฯสู้นี้ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในประเทศต่อระบบการสาธารณะสุขที่เป็นสาเหตุสำคัญของวิกฤตครั้งนี้ เป็นเพราะอเมริกาเป็นตลาดเสรี การใช้เงินรัฐอุดหนุนในระบบสาธารณะสุขเช่นในอังกฤษจึงเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ดังนั้นตั้งแต่วันเริ่มปิดตัวบางส่วนของหน่วยงานรัฐฯ(1)ประชาชนอเมริกันนับล้านที่ยังไม่มีประกันสุขภาพจะสามารถหาซื้อได้ 
     
       สำหรับคนทั้งโลกแล้ว การที่หน่วยงานรัฐต้องปิดตัวลงนั้นถือเป็นข่าวร้ายมาก แม้กระทั่งในซีเรียที่มีสงคราวกลางเมืองมายาวนานกว่า 2 ปี ยังสามารถสั่งจ่ายเงินเดือนให้กับเจ้าหน้าที่รัฐหรือจ่ายค่าใช้จ่ายต่างได้
     
       ในทางกลับกัน ผู้นำคนที่มีอำนาจมากที่สุดในโลกกลับท้าท้ายฝันร้ายนี้ให้เกิดขึ้นจริง ทำให้หน่วยงานบางส่วนของรัฐบาลตัวเองต้องปิดตัวลงชั่วคราว และทำให้การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ้องชะงักงัน การกระทำครั้งนี้เป็นที่ “น่าแปลกใจ” ไปทั่วทั้งโลก
     
       จากบทบรรณาธิการของหนังสือพิมพ์เม็กซิโก ได้วิพากษ์ถึงวิกฤตประชาธิปไตยในสหรัฐฯว่า “สมาชิกสภาคองเกรสของสหรัฐฯ กำลังเผชิญหน้ากับวิกฤตที่น่าตกใจของการปิดตัวลงชองหน่วยงานรัฐบาลกลาง ซึ่งเป็นผลจากสงครามน้ำลายยาวนานกว่า 10 สัปดาห์ในการถกงบประมาณฉุกเฉินฉุกเฉินชั่วคราว”
     
       แต่ทว่าในสหรัฐฯ วิกฤตการปิดตัวลงของหน่วยงานรัฐฯนั้นเป็นเรื่องที่ยอมรับได้ และถือเป็นหนึ่งในแทคติกทางการเมืองที่ใช้ในการต่อรอง ซึ่งต้องขอบคุณกับระบบประชาธิปไตยแบบอเมริกันที่มีการถ่วงดุลอำนาจอย่างเท่าเทียม เช่นในปัจจุบันพรรครัฐบาลที่ทำหน้าที่บริหารคุมวุฒิสภาในขณะที่ฝ่ายค้านนั้นคุมสภาผู้แทนราษฎร เป็นระบบการปกครองที่มีมาตั้งแต่บิดาผู้ก่อตั้งประเทศเป็นผู้วางรากฐานไว้จากพื้นฐาน “ประนีประนอม” และ “ถกเถียง”



เจ้าหน้าที่ทหาร National Guard ในหน่วยทรัพยากรมนุษย์ ประจำรัฐโอกลาโฮมา กำลังอ่านประกาศที่เขาต้องหยุดปฎิบัติหน้าที่เพราะวิกฤตการปิดหน่วยงานรัฐ
     
        เวปไซต์ประกันสุขภาพของสหรัฐฯที่ล่มไปในวันวังคาร(1)ซึ่งเป็นวันที่มีผลบังคับใช้
     
       และเมื่อพิจารณาจากประเทศต่างๆทั่วโลกแล้ว จะพบว่าวิกฤตการคลังที่ได้เกิดขึ้นกับสหรัฐฯในขณะนี้นั้น “ไม่มีทางที่จะเกิดขึ้น” กับประเทศอื่นในโลกนี้ โดยระบบรัฐสภา( Parliament) ที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นผู้บริหารประเทศ ที่ใช้กันในประเทศประชาธิปไตยในยุโรปเป็นส่วนใหญ่นั้นจะมีพรรคเดียวหรือพรรคผสมที่สามารถคุมได้ทั้งฝ่ายบริหารและสภานิติบัญญัติ และหากเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น รัฐสภานั้นสามารถไม่ผ่านงบประมาณการเงินที่นายกรัฐมนตรีเสนอเข้ามาได้
     
       แต่หากเป็นเช่นนั้น อาจจะนำไปสู่การที่นายกรัฐมนตรีต้องประกาศยุบสภาและต้องมีการเลือกตั้งใหม่เกิดขึ้น ซึ่งเกิดขึ้นแล้วในเนเธอร์แลนด์ รัฐบาลของนายกรัฐมนตรี มาร์ค รูตต์นั้นไม่ได้รับเสียงไว้วางใจจากรัฐสภา ในการประชุมถกงบประมาณปี 2014 ที่เขาส่งเข้ามา หรือแม้แต่จากเหตุการณ์ในช่วงการปลี่ยนผ่านรัฐบาลที่ยังไม่มีรัฐบาลใหม่สาบานเพื่อเข้าปฎิบัติหน้าที่ การทำงานของหน่วยงานรัฐยังสามารถดำเนินต่อไปได้
     
       ในขณะที่ประเทศที่ใช้ระบบรัฐสภา( Congress)ที่มีประธานาธิบดีเป็นผู้บริหารประเทศ เช่น บราซิล นั้นเป็นประเทศที่มีฝ่ายบริหารที่เข้มแข็งสามารถทำให้ทุกอย่างยังดำเนินการต่อไปได้ถึงแม้จะเกิดเดดล็อกทางงบประมาณการคลัง ซึ่งเคยเกิดขึ้นกับสหรัฐฯเมื่อนานแล้วตั้งแต่ในสมัยรัฐบาลของประธานาธิบดีจิมมี คาร์เตอร์ในปี 1980 ที่ทำให้มีการตีความกฎหมาย Anti-Deficiency Act หรือ ADA ที่มีมาตั้งแต่ปี 1870โดยสาระสำคัญของกฏหมายนี้ “ห้ามไม่ให้เจ้าหน้าที่รัฐฯปฎิบัติหน้าที่ใดที่จะเป็นผลผูกพันทางกฏหมายในขณะที่สภาคองเกรสยังไม่ผ่านงบประมาณมารองรับ”
     
       และทั่วโลกต่างกังวลถึงผลกระทบในการเกิดวิกฤตงบการเงินของสหรัฐฯครั้งนี้ เดวิด บลันช์ฟลาวเวอร์ จากเดอะอินดีเพนเดนท์ของอังกฤษ กล่าวว่า “ โลกาภิวัตร...หมายความว่า...ทุกประเทศในโลกนี้อยู่ร่วมกัน เมื่ออมริกาจาม อังกฤษก็เป็นไข้” ส่วนสื่อแคนาดา จอห์น ลิบบิทสัน แห่ง Canada's Global and Mail กล่าวว่า “แคนาดาได้แต่ภาวนาไม่ให้เศรษฐกิจของตนเองย่อยยับไปเพราะวิกฤตของสหรัฐฯครั้งนี้ อะไรก็ตามที่ลากให้เศรษฐกิจอเมริกาตกต่ำก็จะทำให้เศรษฐกิจแคนาดาแย่ตามไปด้วย”
     
       และนี่อาจเป็นสาเหตุว่าทำไมสหรัฐฯถึงกล้าเดิมพันด้วยการปิดหน่วยงานรัฐในขณะที่ประเทศอื่นไม่ เป็นเพราะสหรัฐฯมีศักยภาพที่สามารถทำได้ หรืออย่างน้อยจนกระทั่งในขณะนี้ เศรษฐกิจอเมริกายังสามารถดำเนินต่อไปได้
     
       อย่างไรก็ตาม เมื่อมองจากกลุ่มคนที่มีผลกระทบมากที่สุดคือ เจ้าหน้าที่หน่วยงานรัฐบาลกลาง จากรายงานพบว่า พวกเขาต้องอยู่ภายใต้ความหวาดกลัวภายใต้กฎหมาย ADA อายุ 143 ปี ในช่วงการปิดสำนักงาน ซึ่งหากฝ่าฝืนอาจต้องโดนจำคุก โดยสำนักงาน The Government Accountability Office กล่าวว่า เจ้าหน้าที่รัฐรายใดที่ฝ่าฝืนข้อปฎิบัติตามกฏหมายนี้จะต้องโดนปรับหรือจำคุก หรือทั้งจำทั้งปรับ”
     
       สื่อสหรัฐฯ CBS ได้รายงานว่า เจ้าหน้าระดับสูงในหลายกระทรวงของสหรัฐฯได้ใช้วิจารณญาณเป็นการบุคคลในการดูว่าสิ่งใดที่ทำได้หรือไม่ได้ด้วยกลัวที่จะฝ่าฝืนกฏหมายหยุดปฎิบัติหน้าที่นี้ โดยทางเจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวกล่าวว่า เขาได้แนะนำให้ผู้ใต้บังคับบัญชาไม่ให้เช็กอีเมลหรือใช้โทรศัพท์มือถือ ซึ่งภายใต้กฎหมาย ADA นี้ ถึงแม้จะเป็นการอาสาทำงานในส่วนที่ค้างโดยไม่ได้ค่าตอบแทนนั้น...ยังไม่สามารถที่จะกระทำได้


การปิดตัวลงในหน่วยงานรัฐบาลกลาง

       
การปิดตัวลงในหน่วยงานรัฐบาลกลาง

 
       และจากบันทึกภายในที่กระทรวงการคลังสหรัฐฯได้รับในวันอังคาร(1)นั้น รัฐมนตรีกระทรวงการคลัง จาค็อบ ลิว กล่าวว่า “เหตุผลที่กฏหมาย ADA กำหนดให้ลดอัตรากำลังคนลง เพราะในสถานการณ์ทางตันเช่นนี้ การดำเนินงานนั้นจะต้องถูกจำกัดให้น้อยที่สุดเยกเว้นงานเฉพาะด้านที่ยกเว้นไว้ ตัวอย่างเช่น งานด้านความปลอดภัยสาธารณะ หรือที่เกี่ยวพันกับชีวิตและปกป้องทรัพย์สิน”
     
       นั่นหมายความว่า สนามบินในสหรัฐฯยังเปิดให้บริการ ไปรษณีย์ยังทำงานได้ปกติ เช็คจากประกันสังคมสหรัฐฯ(Social Security checks)ยังถูกสั่งจ่ายได้ เรือนจำและศาลยังทำงานปกติ กองทัพและCIA ยังปฎิบัติหน้าที่ แต่อุทยานแห่งชาติ หรือสวนสาธารณะ หรืออนุสรณ์สถานต่างๆที่รวมไปถึงพิพิธภัณฑ์นั้นปิดให้บริการ รวมไปถึงหน่วยงานด้านพาณิชย์และด้านการศึกษาของสหรัฐฯ
     
       และในวันอังคาร(1) ซึ่งเป็นวันเริ่มปิดทำการบางส่วนของหน่วยงานสหรัฐฯนั้น เป็นวันเดียวที่นโยบายประกันสุขภาพขั้นพื้นฐาน หรือ “โอบามาแคร์” เริ่มมีผลบังคับใช้ และเป็นเหตุให้เวปไซต์ตลาดของ “โอบามาแคร์” เกิดล่มในวันนั้นเนื่องจากชาวอเมริกันนับล้านที่ยังไม่มีประกันสุขภาพต้องการเข้าชมเพื่อเลือกดูข้อเสนอแพคเก็จประกันสุขภาพที่พวกเขาต้องการเลือกซื้อ ซึ่งนโยบาย “โอบามาแคร์” นี้ ฝ่ายรีพับลิกันต้องการไม่ให้บังคับใช้จึงนำไปสู่วิกฤตการปิดตัวลงในที่สุด
     
       ทั้งนี้ประธานาธิบดีสหรัฐฯบารัค โอบามา ได้กล่าวในเปิดตัวท่ามกลางกลุ่มผู้สนับสนุนนโยบายประกันสุขภาพว่า “นี่เป็น “โอกาส” ที่จะทำให้ชีวิตนั้นเปลี่ยนไปของชาวอเมริกันราว 15% ที่ยังไม่มีประกันสุขภาพ มีชาวอเมริกันเรือนหมื่นที่ต้องเสียชีวิตลงไปทุกปีเพราะพวกเขาไม่มีประกันสุขภาพ และมีประชาชนอเมริกันเรือนล้านที่อยู่ในความกลัวว่าจะต้องล้มละลายเนื่องมาจากค่ารักษาพยาบาลเมื่อยามล้มป่วย และในวันนี้ (1) จะเป็นวันที่เราได้ปลดปล่อยชาวอเมริกันออกจากความกลัวอันนั้น”
     
       และนอกจากนี้ โอบามาได้ตอกย้ำถึงการต้อนรับนโยบายนี้ว่า มีผู้คนให้การต้อนรับมากกว่าล้านคนจนทำให้เวปไซต์ล่มก่อน 7.00 นของวันเปิดตัว และจากตัวเลขพบว่า มีชาวอเมริกันอย่างน้อย 7 ล้านคนต้องซื้อประกันสุขภาพจากรัฐบาลกลางหรือจากบริษัทประกันเอกชนก่อนปี 2014 หรือไม่เช่นนั้นต้องโดนค่าปรับจำนวนมาก
     
       โดยประกันสุขภาพจากรัฐบาลกลางที่เปิดตัวเป็นทางการไปแล้วนั้น จะให้ประชาชนอเมริกันสามารถเลือกซื้อได้ตามแพคเก็จ ซึ่งมีตั้งแต่แพคเก็จบรอนซ์ที่มีการคุ้มครองต่ำสุด ซิลเวอร์ โกลด์ และไปจนถึงแพคเก็จแพลตินัมที่มีการคุ้มครองสูงสุด โดยมีปัจจัยกำหนดจากรายได้ อายุ จำนวนของสมาชิกในครอบครัว รัฐที่อาศัยอยู่ และระดับของการคุมครองในการประกันเป็นสำคัญ
       

โลกทัศน์ของปัญญาชนมุสลิม หลัง 14 ตุลา 16

เก็บความเสวนา หลัง 14 ตุลา: โลกทัศน์ของปัญญาชนมุสลิม หลัง 14 ตุลา 16

           เอกรินทร์ ต่วนศิริ วิเคราะห์ปัญญาชนมุสลิมรุ่น 3 หลังเหตุการณ์ 9/11 เป็นรุ่นที่ผ่านระบบการศึกษาสายสามัญ ทำให้ปัญญาชนมุสลิมเปิดพื้นที่ทางการเมืองมากขึ้น พร้อมมโนทัศน์ที่ว่าประชาธิปไตยไม่ใช่คำตอบ แต่เป็นเครื่องมือของการต่อรองอัตลักษณ์มุสลิมในสังคมไทย
         เอกรินทร์  นักวิชาการ จากคณะรัฐศาสตร์ มอ. ปัตตานี กล่าวว่า งานชิ้นนี้โดยหลักต้องการกลับไปดูว่าโลกทัศน์ของปัญญาชนมุสลิมหลัง 14 ตุลา 16 เป็นอย่างไร โดยพิจารณาจากงานเขียนต่างๆ ซึ่งคำถามหลักคือหลังเหตุการณ์ 14 ตุลา 16 นั้น ปัญญาชนมุสลิมมีการเปลี่ยนแปลงมโนทัศน์หรือไม่
         โดยกรอบที่ใช้อธิบายงานชิ้นนี้เพื่อที่จะตอบคำถาม คือ กรอบประชาธิปไตยและอิสลาม กระแสการฟื้นฟูอิสลามและเรื่องอัตลักษณ์หรือการเมืองแห่งอัตลักษณ์
ก่อนหน้านี้ภาพพจน์มุสลิมในสังคมไทยหากกลับไปดูงานเขียนทั้งหมดจะมี 2 ส่วนเท่านั้น
  • ภาพพจน์ของมุสลิมแท้ ที่มีความสงบเรียบร้อยในอดีตที่เชื่อราชสำนักไทยมาโดยตลอดตั้งแต่สมัยอยุธยาถึงปัจจุบัน
  • ภาพของมุสลิมที่เป็นกลุ่มที่นิยมใช้ความรุนแรง เป็นภาพที่ถูกตีตราไว้ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
          ดังนั้น สองภาพที่สังคมไทยเข้าใจและสับสนเมื่อเวลาเกิดความรุนแรงขึ้น ก็คือ มุสลิมเป็นอย่างไรกันแน่ และตั้งคำถามว่ามุสลิมจะอยู่ในสังคมไทยอย่างไร  ในที่นี้จะแบ่งปัญญาชนมุสลิมเป็น 3 รุ่น
  • รุ่นแรก ตั้งแต่อภิวัฒน์ 2475 จนถึงก่อน 14 ตุลา ปัญญาชนยุคนี้ที่โดดเด่นที่สุด คือ แช่ม พรหมยงค์ ที่ร่วมกับคณะราษฏร และมีความใกล้ชิดกับอาจารย์ปรีดี พนมยงค์ และใกล้ชิดกับหะยีสุหลงด้วย  หลังการอภิวัฒน์ 2475 แช่มก็มีส่วนอย่างมากในการคุยกับปรีดีในเรื่องการดูแลมุสลิมต่างๆ โดยเฉพาะทางใต้ แต่เมื่อดูงานเขียนแล้วทั้งแช่มและหะยีสุหลงแทบจะไม่มีปรากฏเลย เป็นรุ่นที่ไม่ปรากฏงานเขียนมากนัก
  • รุ่นที่ 2 ปัญญาชนมุสลิมเงียบไปพักใหญ่ แต่หลังจากการปฏิวัติวัฒนธรรมอิหร่านในปี 2522 จนถึงเหตุการณ์ 9/11 โลกทัศน์งานเขียนเปลี่ยนไปอย่างมาก มีการพูดถึงอิสลาม และเน้นแนวทางปฏิวัติวัฒนธรรมจำนวนมาก การคลุมฮิญาบเริ่มเกิดขึ้นหลังจากการปฏิวัติอิหร่าน หนังสือแปลเริ่มมากขึ้นโดยปัญญาชนมุสลิมโดยเฉพาะเรื่องการเมืองการปกครอง ทั้งที่แปลอย่างไม่เป็นทางการและอย่างเป็นทางการ เกิดสำนักพิมพ์ขึ้นเพื่อที่จะแปลหนังสือ ซึ่งในตอนแรกไม่ได้พูดถึงการเมืองการปกครองโดยตรง แต่จะพูดเรื่องวัฒนธรรมอิสลาม งานเขียนชุดนี้ก่อนเหตุการณ์ความรุนแรง 9/11 เป็นการเคลื่อนไหว และถูกอธิบายผ่านหนังสือ “วารสารทางนำ” เป็นหนังสือพิมพ์ของมุสลิมที่ออกมายุคหนึ่งมีงานเขียนที่เผยแพร่อยู่บ้าง แต่ก็ยังไม่ได้พูดถึงประชาธิปไตยหรืออำนาจรัฐโดยตรงเท่าไร หยิบยกแต่กรณีต่างประเทศมาเท่านั้น เพราะตอนนั้นยังกลัว คนมุสลิมไม่กล้าพูดถึงเรื่องอำนาจอธิปไตยเรื่องวิพากษ์วิจารณ์ระบบการเมืองไทยโดยตรงเท่าไร เพราะกลัวว่าจะกระทบต่อตัวเอง แม้งานเขียนเรื่องการปกครองในระบบอิสลามเองก็แทบจะไม่มีอยู่ในตรงนี้ แต่ปัจจุบันนั้นมีมากขึ้น   ส่วนที่ต้องการเน้นคือ การพิจารณารุ่นที่ 3 
  • รุ่นที่ 3 ที่เรียกว่า "อิสลามานุวัตร" (Islamization) ตั้งแต่เหตุการณ์เมื่อปี 2544 (เหตุการณ์ 9/11) จนถึงปัจจุบัน ทำให้งานเขียนของปัญญาชนมุสลิมถูกผลิตออกมามากขึ้น พูดถึงเรื่องประชาธิปไตย พูดถึงอำนาจรัฐมากขึ้น  การพิจารณาปัญญาชนมุสลิมรุ่น 3 มองผ่านการก่อตัวของระบบการศึกษาที่เปลี่ยนแปลงไป ทำให้ปัญญาชนมุสลิมเปิดพื้นที่ทางการเมืองมากขึ้น กลุ่มรุ่นที่ 3 ไม่ได้เรียนเรื่องศาสนาโดยตรง เช่น ผ่านจากโรงเรียนสาธิต โรงเรียนมัธยมทั่วไปและผ่านเข้ามาศึกษาในมหาวิทยาลัยต่างๆ กลุ่มรุ่นนี้เขียนการเมือง ประชาธิปไตยในอิสลามมากกว่าคนที่ศึกษาศาสนาอย่างเดียว

          ปัญญาชนมุสลิมหากจะแบ่งก็สามารถแบ่งได้อีก 2 พวกคือ
  • พวกที่ศึกษาศาสนาอย่างเดียวก็เป็นโต๊ะครูไป 
  • สายที่ 2 ศึกษาเรื่องสามัญอย่างเดียว ศึกษาเรื่องทางโลกอย่างเดียว 
  • รุ่นที่ 3 มีความสำคัญมาก ผ่านการศึกษาทั้งศาสนาและสามัญด้วย รวมทั้งหาความรู้ด้านศาสนามากขึ้น 
          ดังนั้นงานเขียนของกลุ่มที่ 3 นี้ จึงพบเห็นได้มาก ในที่นี้จึงนำมาเสนอโดยพิจารณางาน 16 ชิ้น ที่มาจากโครงการคนหนุ่มสาวกับมุสลิมในโลกสมัยใหม่ ที่รวบรวมนักวิชาการมุสลิม16 คนที่สอนอยู่ในมหาวิทยาลัย เป็นงานเขียนที่ตรงที่สุด ซึ่งยังไม่ได้ตีพิมพ์ แต่กำลังจะเผยแพร่
        งานเขียน 16 ชิ้นนี้พูดถึงโลกาภิวัฒน์ การเปลี่ยนแปลงอัตลักษณ์ สมัยนิยม การสร้างความรู้ในโลกอิสลาม พลวัตรการศึกษา จนถึงประชาธิปไตย
        ทั้งนี้ หลังจากเหตุการณ์ 9/11 พบว่าในมหาวิทยาลัยไทย มีสถาบันที่ศึกษาเรื่องอิสลามอยู่มาก เช่น การพัฒนาจากวิทยาลัยอิสลามยะลา จนเป็นปาตอนียูนิเวอซิตี้ อยู่ที่ปัตตานี มีวิทยาลัยอิสลามอยู่ที่ มอ.ปัตานี มีศูนย์มุสลิมศึกษาอยู่ที่สถาบันเอเชียศึกษา ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีโครงการจัดตั้งอิสลามศึกษาที่มหาวิทยาลัยทักษิณ มีสาขาที่เปิดย่อยๆ ที่ราชภัฏใน กทม. ฯลฯ การเกิดขึ้นของศูนย์ต่างๆ ซึ่งหลังจากเหตุการณ์ 9/11 ก็มีการพูดถึงประชาธิปไตยกันมากขึ้น
มโนทัศน์ที่ว่าประชาธิปไตยไม่ใช่คำตอบ แต่เป็นเครื่องมือของการต่อรอง
           จากงานเขียน 16 ชิ้นนั้น พบมโนทัศน์ที่ว่าประชาธิปไตยไม่ใช่คำตอบ แต่เป็นเครื่องมือของการต่อรองของความเป็นมุสลิมในสังคมไทย ทั้ง 16 บทความ พูดถึง 2 แนวทาง 
  • แนวทางแรกพูดถึงกระแสฟื้นฟูหรือกระแสอิสลามบริสุทธิ์ พยายามเอาแนวความคิดอิสลามดั้งเดิมเข้ามาในสังคมไทย กับอีกแนวทางคือ 
  • เกิดการตีความศาสนาอิสลามมากขึ้น เช่น งานของ อ.สราวุฒิ อารี ที่พูดถึงอิสลามกับแนวความคิดทางโลกหรือ “secular”  เพื่อเรียกร้องให้สังคมมุสลิมมีการตีความมากขึ้นเนื่องจากการมีปัญหาใหม่ๆ มามากขึ้น

         สิ่งที่พบอีกประการหนึ่งที่สำคัญคือ เวลาพูดถึงประชาธิปไตย มุสลิมไทยจากงานเขียนเหล่านั้นมองเป็น 2 อย่าง
  • ประชาธิปไตยไม่ใช่อิสลามเลย ไม่ใช่ระบบศาสนา หรือมาจากพระผู้เป็นเจ้าเลย
  • ประชาธิปไตยเป็นส่วนหนึ่งของอิสลาม เราสามารถใช้พื้นที่ประชาธิปไตยในการต่อรองได้
        มีการอภิปรายกันมากในเหล่าปัญญาชนมุสลิมว่าจะเอาอย่างไรกับประชาธิปไตย นำเอาแนวคิดเรื่องของประชาธิปไตยมาเป็นข้อถกเถียง ซึ่งส่วนใหญ่มีรูปแบบเป็นการจัดงานสัมมนา
        ประการต่อมา งานเขียนใน 16 ชิ้นที่วิเคราะห์ พบว่ามีหลายชิ้นที่อธิบายเรื่องอัตลักษณ์ของมุสลิมกับขันติธรรมในการอยู่ร่วมกันในสังคมไทย เช่นงานเขียนของอาจารย์คนหนึ่งที่ขอนแก่น เขียนถึงมุสลิมในอีสาน ที่มีการต่อรองเรื่องอัตตลักษณ์ มีการเข้าไปมีส่วนร่วมทางการเมืองของมุสลิมในอีสาน เป็นต้น  งานเขียนบางส่วนพยายามเสนอหลักการประชาธิปไตยในโลกอิสลาม พยายามจะเสนอระบบวิธีคิดแบบใหม่ที่เรียกว่า ชูรอ หรือการเลือกตั้งในอิสามขึ้นมาเพื่อจะเติมเต็มไม่ให้ขัดหลักการ เป็นการอธิบายว่าใช้หลักการบางอย่างที่มากกว่าการเลือกตั้ง
ไม่ยอมรับประชาธิปไตยอย่างสนิทใจ แต่เป็นเวทีเสนออัตลักษณ์ เลี่ยงความรุนแรง
           จากงานเขียน 16 ชิ้น ชี้ให้เห็นว่าปัญญาชนมัสลิมไทยมีแนวโน้มที่จะไม่ยอมรับอย่างสนิทใจกับระบบประชาธิปไตย แต่ก็แสดงออกมาว่าประชาธิปไตยสิ่งที่สำคัญ เนื่องจากเป็นเวทีที่ยอมรับให้สามารถหลีกเลี่ยงความรุนแรง เป็นช่องทางที่สามารถเสนออัตลักษณ์ทางการเมืองของตัวได้
          ปัญญาชนมุสลิมมีงานเขียนที่เรียกร้องให้รัฐบาลและสังคมไทยเข้าใจอัตลักษณ์ของมุสลิม แต่ก็มีความอิหลักอิเหลื่อพอสมควรเนื่องจากภาพลักษณ์ที่อาศัยราชสำนักมาตลอด แม้จะมีกรณีของแช่ม พรหมยงค์ ที่เข้าร่วมในการเปลี่ยนแปลงการปกครอง แต่หลังจากนั้นไม่มีผู้นำมุสลิมที่แตกออกจากราชสำนัก มีแต่สายประณีประนอมตลอดมา
         พิจารณาปัญญาชนมุสลิมในประเทศไทย จาก 3 รุ่น จะพบว่า โดยเนื้อหา ปัญญาชนมุสลิมรุ่นที่ 1 มีความเข้มข้นของการเคลื่อนไหวมากกว่ารุ่นถัดมา ทั้งรุ่น 2 และ 3
ปัญญาชนมุสลิมไทยไม่ค่อยแคร์ประชาธิปไตย
          ท้ายที่สุด จะเห็นว่าการเมืองอัตลักษณ์ของมุสลิมไม่มีแนวโน้มที่เป็นอุปสรรคกับปกครองในระบอบประชาธิปไตย แต่ก็พูดได้อีกทางหนึ่งว่าปัญญาชนมุสลิมไทยไม่ค่อยแคร์ประชาธิปไตย อย่างเช่นการรัฐประหารที่เกิดขึ้นเมื่อปี 2549 กลับพบว่า ปัญญาชนมุสลิมนิ่งเฉย ไม่ได้พูดอะไร
           งานที่ศึกษาทั้งหมด 16 ชิ้นซึ่งเป็นผลผลิตของปัญญาชนมุสลิมในรุ่นที่ 3 นั้นมองว่าประชาธิปไตยไม่ใช่คำตอบ แต่เป็นวิธีการหนึ่งที่จะอยู่ในสังคมไทย ในปัจจุบัน มีการพูดถึง Islamization มีชุดความคิดที่สำคัญในการนำมาอธิบาย อย่างเช่นเรื่องของการเมืองการปกครอง เรื่องเศรษฐกิจ โดยใช้พื้นที่เหล่านี้และตีความให้เข้ากับ Islamization มากขึ้น ดังนั้นปัญญาชนยุค 3 เน้นเรื่องของ Islamization พูดถึงอิสลามกับประชาธิปไตยมากขึ้น โดยพยายามพูดถึงการใช้อำนาจในการออกแบบระบบการเมืองการปกครองมากขึ้น
000
วิจารณ์โดย ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์
          ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์นักวิชาการด้านรัฐศาสตร์ร่วมวิจารณ์โดยตั้งข้อสังเกตการนำเสนอของ ภิญญพันธุ์ พจนะลาวัณย์ “วิหารไม่ว่างเปล่า : ประวัติศาสตร์ของพุทธศาสนาหัวก้าวหน้า หลัง 14 ตุลา 2516 (พ.ศ.2516-2541)”และ เอกรินทร์ ต่วนศิริ “โลกทัศน์ของปัญญาชนมุสลิม หลัง 14 ตุลา 16” ว่าการพูดถึง 2 เรื่องนี้ในการครบรอบ 40 ปีเหตุการณ์ 14 ตุลา หรือในโอกาสหลัง 14 ตุลา มีความน่าสนใจเนื่องจากเวลาพูดถึงหลัง 14 ตุลา ความหมายที่มันควรจะเป็นคือมันเป็นเรื่องของการแบ่งยุค หลัง 14 ตุลา มันควรจะมีอะไรที่สำคัญที่เปลี่ยนแปลงบ้าง แต่เมื่ออ่านงานเขียน 2 ชิ้นนี้พบว่า เหตุการณ์ 14 ตุลา แทบจะไม่ได้ส่งผลกับสิ่งที่งานทั้ง 2 ชิ้นนี้ที่กำลังพูดเกี่ยวกับปัญญาชนพุทธหรือโลกทัศน์อิสลามเลย มันแสดงให้เห็นว่า มีหลายปริมณฑลมากที่ไม่ได้รับการกระทบกระเทือนจากการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในเหตุการณ์ 14 ตุลา
14 ตุลา แทบไม่มีความหมายหากมองผ่านเลนส์ศาสนา
          ในทางกลับกันแปลได้หรือไม่ว่ามีการให้ความสำคัญกับ 14 ตุลา มากเกินไปแล้ว เกิดขึ้นเพราะเรามองเหตุการณ์ผ่านเลนส์ประวัติศาสตร์การเมือง ถ้าเรามองเหตุการณ์ 14 ตุลา ผ่านเลนส์เรื่องศาสนาอย่าง 2 บทความนี้ 14 ตุลา แทบไม่ได้ทำให้ศาสนาเปลี่ยนแปลงเลย ในแง่หนึ่งการพูดเรื่อง 14 ตุลา มีลักษณะของการประเมินค่า 14 ตุลาสูงเกินความจริงมาก
         งาน 2 ชิ้นนี้มีวิธีการศึกษาที่ไม่เหมือนกัน เรื่องพุทธศาสนา นั้นพยายามศึกษาผ่านคนที่เป็นไอคอนทางศาสนา เป็นประกาศก เป็นศาสดา หน้าใหม่ๆในวงการพุทธศาสนารุ่นต่างๆ และดูว่าประกาศกแต่ละคนนั้นมีลักษณะจัดตั้งองค์กรทางสังคมของเขาอย่างไร มีการปะทะกันอย่างไรบ้าง คิดว่าสิ่งที่บทความนี้ชี้คือบรรดาประกาศกและองค์กรต่างๆของพุทธศาสนาเป็นส่วนหนึ่งของพุทธศาสนาราชาชาตินิยมมาโดยตลอด คำถามคือจริงหรือไม่ แต่ดูจากงานชิ้นนี้จะเห็นทุกองค์กรได้รับอิทธิพลของพุทธศาสนาราชาชาตินิยม ไม่ว่าประกาศกคนไหนขึ้นมาทุกคนเป็นแค่ร่างทรงของพุทธศาสนาราชาชาตินิยมเท่าๆกันหมด ความเข้มข้นจริงๆแล้วมันมีเฉดของมันหรือไม่ ความเป็นจริงมันเข้มข้นมากน้อยกว่ากันหรือไม่ ซึ่งคิดว่ามันมีความละเอียดอ่อนซึ่งอยากจะเห็นในการอธิบายเรื่องแบบนี้มากขึ้น
         ประเด็นต่อมาคือ บรรดาประกาศกของพุทธศาสนาไม่ว่าจะเปลี่ยนรุ่นไปแต่ไม่ได้ทำให้มีการท้าทายอุดมการณ์พุทธศาสนาแบบราชาชาตินิยม อะไรที่ทำให้องค์กรพุทธศาสนาใหม่ ๆ ในที่สุดกลายเป็นส่วนหนึ่งของการผลิตซ้ำอุดมการณ์ดังกล่าว
การขยายตัวของตลาดกับการบริโภคของชนชั้นกลาง
         บทความของภิญญพันธ์ที่พูดถึงการขยายตัวของตลาด เอาลักษณะดังกล่าวมาวิเคราะห์การแพร่ระบาดของสินค้าหรือหนังสือ รายการทีวี ถือว่างานชิ้นนี้ทำได้ดี แต่คิดว่ามีบางด้านที่ไม่แน่ใจคือการสรุปว่าการแพร่ระบาดของสินค้าเหล่านี้เช่น เทปพระพยอม รายการทีวี ฯลฯ นั้น ทำให้เข้าถึงคนชั้นกลางมากขึ้น คิดว่าเป็นข้อสรุปที่เร็วเกินไปหรือไม่ คิดว่าสินค้าเหล่านี้จำนวนมากไม่ได้ถูกบริโภคโดยชนชั้นกลางอย่างเดียว แต่ถูกบริโภคโดยชนชั้นล่างด้วย เรื่องแบบนี้อยากจะให้ศึกษาละเอียดมากขึ้นว่าตลาดกับชนชั้นกลางและชนชั้นล่างมันทำหน้าที่ต่างกันอย่างไร
       บทความนี้อาจจะวิจารณ์เรื่องที่พูดถึงพุทธศาสนาแบบชนชั้นกลาง โดยที่กำลังจะบอกว่าพุทธศาสนามีปัญหาเพราะชนชั้นกลาง หรือไม่ หรือพุทธศาสนาของชนชั้นล่างอาจมีปัญหาด้วย หรือพุทธศาสนาของชนชั้นสูงอาจจะสามานย์แบบชนชั้นกลางหรือเปล่า เวลาฟังแล้วทำให้รู้สึกว่าพุทธศาสนามีปัญหาเพราะการบริโภคของชนชั้นกลาง เป็นไปได้หรือเปล่าที่เราอยู่ในยุคของการทำให้ชนชั้นกลางเป็นแพะรับบาป จนทำให้เราไม่เข้าใจอะไรมากพอ
          คิดว่าจุดที่แหลมคมที่สุดของบทความนี้ที่น่าจะได้รับการขยายความต่อคือการพยายามจะชี้ให้เห็นว่าพุทธศาสนาจาก 3 ขบวนการใหญ่ คือ ธรรมกาย สันติอโศก และสวนโมกข์ กับ อนันต์ เสนาขันธ์ กับ วชิรญาณภิกขุ มีลักษณะหรือความสืบเนื่องอะไรบางอย่างนั้น คิดว่าเป็นประเด็นที่สำคัญและน่าสนใจ
จุดที่ประทับใจคือ หลัง 14 ตุลา พุทธศาสนาไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรเลย
บทความปัญญาชนมุสลิม ทำตรงกันข้ามกับอีกบทความปัญญาชนพุทศาสนา
         ประการเด็นแรก คือบทความนี้ไม่ได้สนใจเรื่องของประกาศกของศาสนาอิสลาม และไม่สนใจว่าองค์กรศาสนาคิดเรื่องอะไร สิ่งที่บทความนี้สนใจคือปัญญาชนสมัยใหม่ นักวิชาการมหาวิทยาลัยที่นับถือศาสนาอิสลาม การบอกว่าคนเหล่านี้เป็นตัวแทนของปัญญาชนทางศาสนามันครบถ้วนหรือไม่ เมื่อเทียบกับปัญญาชนผู้นำศาสนาอย่างโต๊ะครู อิหม่าม หรือสื่งพิมพ์ทางศาสนา ซึ่งคิดว่ามันมีช่องว่างอยู่
          ประเด็นที่ 2 บทความเรื่องพทุธศาสนาพูดถึงชนชั้นกลางจำนวนมาก และพุทธศาสนาที่ได้รับอิทธิพลจากอุดมการณ์ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ มาก แต่บทความอิสลามนี้ไม่พูดเรื่องนี้เลย ทำให้เห็นว่าศาสนาอิสลามในบทความนี้มองอิสลามเป็นระบบที่ปิดมาก แทบไม่ถูกคนกลุ่มไหนเข้าไปแตะ น่าสนใจว่าจริงหรือไม่ และอะไรที่ทำให้อิสลามถูกปกป้องได้จากชนชั้นกลางหรืออุดมการณ์หลักของชาติ ด้านหนึ่งมันทำให้เห็นความเข้มแข็งของอิสลามเมือเทียบกับพุทธ
14 ตุลา ไม่มีผลกระเทือนกับศาสนา
           สิ่งที่คล้ายกัน คือบทความนี้แสดงให้เห็นว่า14 ตุลา ไม่มีผลอะไรกับปัญญาชนอิสลามเช่นกัน
          จุดแข็งของบทความอิสลามคือ การให้เห็นการพยายามต่อรองต่อสู้กันระหว่างปัญญาชนแนวครูสอนศาสนาที่เข้าถึงมวลชน กับปัญญาชนสมัยใหม่ที่อยู่ตามมหาวิทยาลัย มีการพูดถึงชัยวัฒน์ สถาอานันท์ ที่ให้ลากเส้นแบ่งระหว่าง อิสลามศึกษากับมุสลิมศึกษา ที่ให้การศึกษาอยู่ในมือของปัญญาชนสมัยใหม่มากขึ้น เป็นด้านเด่นของบทความนี้และน่าจะมีการทำต่อ
ศาสนาที่ถูกบีบด้วยคุณค่าประชาธิปไตยและวิทยาศาสตร์
          ปัญญาชนอิสลามเจอกับปัญหาคลายกับปัญญาชนพุทธ ที่ถูกบีบ ด้วยคุณค่าแบบสมัยใหม่เรื่องประชาธิปไตยและความรู้เรื่องวิทยาศาสตร์ ที่บอกว่าพุทธหรืออิสลามต้องเป็นเป็นวิทยาศาสตร์ต้องเป็นประชาธิปไตย
การมอง 14 ตุลา นอกรั้วมหาวิทยาลัย
         บทความสะท้อนความไม่พอเพียงของการมอง 14 ตุลา ผ่านการเมือง ถ้ามองผ่านอย่างอื่น 14 ตุลา อาจไม่สำคัญมากนักก็ได้ สองคือการศึกษา 14 ตุลา ผ่านปัญญาชนในมหาวิทยาลัยนั้นมันไม่พอ จากที่ผ่านมาศึกษา 14 ตุลา ผ่าน นักวิชาการปัญญาชนในยุคนนั้นเขียนอะไร กลายเป็น 14 ตุลา ที่เราศึกษาและผลิตซ้ำเป็นเรื่องของคนที่อยู่มหาวิทยาลัย ทำให้เราไม่เห็นคนนอกวงมหาวิทยาลัยคิดอย่างไร
        การโฟกัส ไปที่ปัญญาชน ทำราวกับว่ามวลชนแต่ละศาสนารับความคิดของแต่ละคน คิดว่ามุมมองแบบนี้จะถูกหรือไม่ ทำให้เรามองไม่เห็นรอยแยกหรือความไม่ลงรอยระหว่างปัญญาชนกับมวลชน และทำให้เราประเมินความสำคัญของศาสนามากกว่าความเป็นจริง เนื่องจากเวลาที่ปัญญาชนนำเสนอความคิดคนที่อยู่ในแต่ละศาสนาเขาเชื่อจริงๆหรือเลือกเชื่อเฉพาะที่เขาพอใจจึงเป็นสิ่งที่ต้องตระหนักว่าไม่ควรประเมินมากเกินไป
โจทย์ของปัญญาชนศาสนากับศักยภาพในการจรรโลงสังคม
       ไม่มีอะไรน่าตืนเต้นที่ปัญญาชนของทั้ง 2 ศาสนาไม่ท้าทายสังคม เพราะทุกคนก็รู้อยู่แล้วว่าศาสนาเป็นส่วนหนึ่งของโครงสร้างส่วนบนการที่ศาสนาจรรโลงสังคมเป็นเรื่องปกติ การคาดหวังให้ปัญญาชนของศาสนาท้าทายสังคมต่างหากเป็นเรื่องประหลาด คิดว่าคำถามสำคัญคือปัญญาชนศาสนามีศักยภาพที่จะจรรโลงสังคมต่อไปอีกนานแค่ไหนมากกว่า โจทย์มันคนละชุด
ปัญญาชนศาสนาแบบก่อนสมัยใหม่
          ถ้าอ่านจากงานทั้ง 2 ชิ้น และเมื่อเทียบกับสิ่งที่เป็นอยู่ในสังคม คิดว่าปัญญาชนศาสนามีศักยภาพที่จะจรรโลงสังคมต่อไปอีกไม่นาน จากความพยายามทำให้ศาสนามีความเป็นสมัยใหม่หรือมีเหตุผล ซึ่งจากบทความพุทธศาสนานั้นแสดงให้เห็นว่าปัญญาชนพุทธศาสนาไม่มีความลึกซึ้งทางภูมิปัญญาในการอธิบายสังคมสมัยใหม่ ในระยะยาวแล้วทำให้ความสามารถในการผลิตซ้ำศาสนาที่เป็นอยู่ยากขึ้น แต่โจทย์แบบนี้มีตัวช่วยคือการสร้างมวลชนของศาสนาโดยพื้นฐานไม่ได้มาจากเหตุผล ดังนั้นปัญญาชนของศาสนามีลักษณะที่ไม่สมัยใหม่ หรือไม่มีเหตุผล แต่ถึงจุดหนึ่งมันไม่ใช่ปัญหาของคนที่เชื่อเรื่องศาสนา ความไร้เหตุผลเป็นพลังของศาสนา ความเป็นปัญญาชนที่ไม่สามารถตอบปัญหาอะไรอย่างจริงจังได้นั้นคือหัวใจของปัญญาชนแบบพุทธในสังคมไทย
          ศาสนาในสังคมไทย ไม่ได้เป็นแบบเทววิทยาแบบตะวันตก ดังนั้นการอธิบายเรื่องที่ซับซ้อนจึงต่ำ เกณฑ์ในการรับคนในวงการศาสนาต่ำ เพราะฉะนั้นโอกาสในการทำให้เป็นสมัยใหม่ของศาสนาจึงต่ำลงไปด้วย ในที่สุดฐานที่มั่นของศาสนาในสังคมไทยคือการเป็นทางออกของคนที่ปรับตัวเข้ากับโลกสมัยใหม่ไม่ได้ เวลาคนค้าขายในโลกสมัยใหม่ล้มเหลว ไม่มีใครไปบอกว่าโง่หรือหากินไม่เก่ง ทุกคนจะบอกว่าดีเกินไปถูกคนอื่นเอาเปรียบ ธรรมชาติของศาสนาในโลกสมัยใหม่คือเรื่องแบบนี้ ทำให้เรารู้สึกดีในเวลาที่เราแพ้ในโลกสมัยใหม่ อธิบายโลกสมัยใหม่ในแบบที่ไม่อธิบายอะไร

หมายเหตุ
การสัมมนา "หลัง 14 ตุลา" จัดโดย สำนักพิมพ์ฟ้าเดียวกัน ร่ามกับ คณะกรรมการ 14 ตุลา เพื่อประชาธิปไตยสมบูรณ์
ในวันที่ 5-6 ตุลาคม 2556 ณ ห้องประกอบ หุตะสิงห์ ชั้น 3 ตึกอเนกประสงค์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์
ดูกำหนดการที่ http://prachatai.com/activity/2013/09/48526

หลัง 14 ตุลา ปัญญาชนภายหลังยุค พคท. กลายเป็นพวกอนุรักษ์นิยม

         เมื่อวันที่ 5 ต.ค. 56 ที่ผ่านมา มีการสัมมนา "หลัง 14 ตุลา" เป็นวันแรกที่ห้องประกอบ หุตะสิงห์ ชั้น 3 ตึกอเนกประสงค์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ โดยการสัมมนาดังกล่าวจัดโดยสำนักพิมพ์ฟ้าเดียวกัน ร่วมกับ คณะกรรมการ 14 ตุลาเพื่อประชาธิปไตยสมบูรณ์
        ในช่วงเช้า ธิกานต์ ศรีนารา อาจารย์ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ และผู้เขียน "หลัง 6 ตุลาฯ: ความขัดแย้งระหว่างขบวนการนักศึกษากับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย" ได้นำเสนอบทความหัวข้อ "การหันเข้าไปหาความคิดทางการเมืองแบบอนุรักษ์นิยมของปัญญาชนฝ่ายค้านไทยภายหลังความตกต่ำของ พคท. ในช่วงระหว่าง พ.ศ. 2524-2534" โดยมีรายละเอียดของวิดีโอการนำเสนอดังนี้
          การนำเสนอโดย ธิกานต์ ศรีนารา ในหัวข้อ "การหันเข้าไปหาความคิดทางการเมืองแบบอนุรักษ์นิยมของปัญญาชนฝ่ายค้านไทยภายหลังความตกต่ำของ พคท. ในช่วงระหว่าง พ.ศ. 2524-2534" ในการสัมมนา "หลัง 14 ตุลา" ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ เมื่อ 5 ต.ค. 56

"พานทองแท้" วอนผู้ใหญ่ "เลิกเอาเปรียบคู่แข่งทางการเมือง ประเทศชาติจะเจริญกว่านี้"


"พานทองแท้" วอนผู้ใหญ่ "เลิกเอาเปรียบคู่แข่งทางการเมือง ประเทศชาติจะเจริญกว่านี้"


           วันที่ 5 ตุลาคม 2556 (go6TV) นายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชายอดีตนายกรัฐมนตรี ได้โพสต์ข้อความในเฟสบุ้คส่วนตัวแสดงความคิดเห็นถึงเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่มีปัญหาอยู่ในขณะนี้ โดยมีข้อความดังนี้

         “ คุณพ่อผมเคยพูดไว้ว่า เขียนกฎหมายประเภท รธน.ปี 50 แบบนี้ เขียนไปตั้งหลายมาตราทำไมให้ยุ่งยาก ก็แค่เขียนเพิ่มมาตราเดียวว่า

         "ห้ามคนชื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และพวก ยุ่งเกี่ยวกับการเมืองเด็ดขาด"
สั้นๆแค่นี้ ง่ายและตรงตามวัตถุประสงค์ ที่ต้องการกว่าเยอะครับ..!!

          และคุณพ่อยังพูดเสมอว่า ผลไม้ของต้นไม้ที่เป็นพิษ อย่างไรก็เป็นพิษครับ ถ้าไม่ใช่จากพิษของมันโดยตรง ก็เป็นพิษของคนที่ได้ประโยชน์ ที่มักจะเอาพิษของมันมาทำร้ายผู้อื่น คนพวกนี้จะพยายามปกปักรักษา ผลพวงของต้นไม้พิษนี้ไว้ เพื่อยังผลประโยชน์ให้กับพวกตัวเองต่อไป

         พล.อ.สนธิฯ ผู้ที่เคยปลูกต้นไม้พิษเองกับมือ ด้วยการทำปฏิวัติรัฐประหาร ภายหลังเมื่อได้ทราบความเลวร้ายของมัน จึงหันมาลงเลือกตั้งยืนอยู่ฝั่งประชาธิปไตย คิดจะขุดรากถอนโคนโค่นต้นไม้พิษ และทำลายดอกผลของต้นไม้พิษนี้ ยังทำลายได้ยากเลยครับ

        กลุ่มคนที่ได้ประโยชน์จากผลไม้พิษนี้ ที่เห็นได้ชัดเจนก็คือ กลุ่มขั้วการเมืองขั้วตรงข้ามกับคุณพ่อผมครับ และคนกลุ่มนี้ยังยืนตรงข้ามกับพี่น้องประชาชน ที่ออกมาเรียกร้องประชาธิปไตยอีกด้วย ซึ่งนอกจากกลุ่มการเมืองในสภาล่างแล้ว ในกลุ่มสว.ก็มีผู้ที่อยู่ในข่ายนิยมผลไม้พิษนี้ด้วย โดยเฉพาะผู้ที่ไม่เคยทำตัวให้เป็นประโยชน์ต่อท้องถิ่นของตน จะลงเลือกตั้งเป็นสว. ชาวบ้านเขาก็ไม่เลือก วิธีเดียวที่ตัวเองจะได้เป็นสว.ก็คือ ต้องเสนอตัวเข้าไปเป็นสว.แบบสรรหา ยอมปวารณาตัวไปเป็น ดอก-ผล ของผลไม้พิษแห่งการรัฐประหาร คนกลุ่มนี้อย่างไรก็ต้องคัดค้าน ไม่ยอมให้แก้รัฐธรรมนูญปี50เด็ดขาด

          การคัดค้านจึงออกมาในรูปแบบ "หัวชนฝา ตะบี้ตะบันค้าน" อย่างที่เห็นกันครับ ค้านทุกสระ-ตัวอักษรจนกระทั่งกฏหมายผ่านสภาฯไป ทั้งๆที่กฏหมายระบุชัดเจนว่า เมื่อร่างกฏหมายฯผ่านสภาฯแล้ว นายกฯต้องนำขึ้นทูลเกล้าฯภายใน20วัน แสดงว่าถ้าเกิน 20 วันยังไม่ทูลเกล้าฯ ย่อมเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง คนพวกนี้ก็พยายามคัดค้านบอกว่าควรชะลอไว้ก่อน เพราะยังติดเรื่องโน้นเรื่องนี้ แปลกดีครับสนับสนุนรธน.ปี50 แต่ดันเสนอให้นายกฯปู กระทำผิดรัฐธรรมนูญที่ตัวเองเสนอ ที่น่าสังเกตุก็คือ คนกลุ่มนี้แหละที่ในปี50 ล้วนเป็นผู้ที่ออกมารณรงค์ให้คนออกไปลงมติรับร่าง รธน.ปี50ทั้งนั้น

           รัฐธรรมนูญปี50 ที่ทั้งพรรคประชาธิปัตย์ และคนไทยหัวใจอำมาตย์ทั้งหลาย ชื่นชมว่าดีเด่นและออกมาปกป้องกันสลอนนั้น ตอนช่วงทำประชามติ ได้มีการส่งทั้งทหารและฝ่ายปกครอง กระจายลงไปตามหมู่บ้านต่างๆทั่วประเทศเลยครับ ทั้งขู่ทั้งปลอบชาวบ้าน บ้างก็บอกยอมรับว่า รธน.ปี50มีข้อบกพร่องเยอะแต่ขอให้ผ่าน บ้างก็หลอกว่าให้รับๆไปก่อนแล้วเดี๋ยวค่อยแก้ภายหลัง

         หนักเข้าถึงกับขู่ว่าถ้าประชามติไม่ผ่าน ก็จะไม่มีการเลือกตั้ง และที่แย่ที่สุดคือแอบอ้างว่า เบื้องบนขอให้ รธน.ปี 50 ผ่านประชามติก็มีครับ ทำกันถึงขนาดนี้ แล้วทำไมช่วงนั้น ไม่มีพวกโหนเจ้า-อ้างเจ้า ออกมาคัดค้านกันบ้างว่า เอารัฐธรรมนูญที่มีตำหนิ ผ่านประชามติมาด้วยวิธีหลอกลวง-ข่มขู่ชาวบ้าน เอารัฐธรรมนูญที่บอกว่าให้รับๆไปก่อน แล้วค่อยมาแก้กันภายหลัง สุขเอาเผากินกันแบบนี้ ทำไมไม่กลัวว่านำขึ้นฯแล้ว จะทำให้ระคายเคืองฯกันบ้างหละครับ

        กลับมาสู่โลกแห่งความจริงกันเถอะครับ "คนไทยหัวใจอำมาตย์"ทั้งหลาย โลกเขาเป็นประชาธิปไตยกันจนไปถึงไหนต่อไหนกันแล้ว ยังจะกอดอำนาจเสียดายอำนาจผิด ๆ ที่ไม่ได้มาจากมวลมหาประชาชนกันอยู่อีกหรือ อยากได้อำนาจรัฐ ก็ควรแข่งกันทำความดีให้เข้าตาพี่น้องประชาชน เขาจะได้แบ่งคะแนนให้บ้างในวันเลือกตั้ง วันๆคิดแต่จะโหนเจ้า แอบอ้างเบื้องสูงมาโจมตีคู่แข่งทางการเมือง ยุแยงให้ทหารเอารถถังออกมาแอ่นแอ๊นบนท้องถนน เดินสายปลุกระดม รัฐบาลทำไอ้โน่นก็ไม่ดี ทำไอ้นี่ก็หมิ่นฯ แบบนี้ประเทศชาติ ถอยหลังตกคลองแน่นอนครับ

        ทำตัวให้เป็นผู้ใหญ่โดยไม่เอาเปรียบคู่แข่งทางการเมือง เลิกกอดกฏหมายที่ทำลายคู่แข่ง ไม่โหนเจ้า ไม่ออดอ้อนอำมาตย์ เลิกเดินสายปลุกระดมเล่าเรื่องโกหกให้ชาวบ้านฟัง แข่งขันกันในเชิงนโยบาย ไม่ขัดขวางการพัฒนาประเทศ ทำแบบนี้ให้ได้ทุกกลุ่มการเมือง ประเทศไทยจะเจริญกว่านี้เยอะครับ..!