ปลงสังเวช สภาถ่อย ? | |
ปลงสังเวช สภาถ่อย ? ประวัติศาสตร์ของสภาผู้แทนราษฎรถูกจารึกเอาไว้ด้วยภาพน่าขยะแขยง เมื่อ ส.ส. ผู้ทรงเกียรติที่ประชาชนเลือกตั้งเข้ามา ได้พากันเป็น “ผู้แทนจอมถ่อย” สุดกู่ จนไม่อาจจะหาคำใดมาเปรียบเปรยได้ มันถ่อยเกินกว่าจะบรรยาย และถ่อยแบบคนเถื่อน นึกไม่ถึงว่านักการเมืองของไทยจะพากันเป็นไปได้ถึงเพียงนี้ แต่มันก็ได้เป็นไปแล้ว เป็นให้เห็นเต็มตา ส.ส. รังสิมา พุ่งเข้าไปกระชากเก้าอี้ “ประธานสภา” แบบไม่มียางอาย นึกไม่ถึงว่าเธอจะได้ทำได้ถึงขนาดนั้น (ภาพของเธอได้ถูกบันทึกเอาไว้เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2555) แล้วก็มาถึงวันที่ 31 พฤษภาคม 2555 ยิ่งไปกันใหญ่ นักการเมืองไทย ในนามของพรรคฝ่ายค้านพากันตะโกนโห่ ขว้างปาสิ่งของใส่ท่านประธาน ภาพที่เห็นเป็นแฟ้มหนังสือ และแฟ้มเอกสารถูกปาใส่แบบไม่เลี้ยง ทำให้เกิดความโกลาหลไปทั้งสภา ผมนั่งชมทีวีอยู่ในบ้าน เห็นเต็มตาราวกับได้ไปอยู่ในห้องประชุม หูได้ยินเสียงโห่ดังสนั่นหวั่นไหว ภาพของ “นักการเมืองไทย” ไม่ผิดอะไรกับเด็กนักเรียนเกเรกำลังไล่ปาก่อนหินใส่คู่อริ ผมนั่งมองตาไม่กระพริบ คิดไปตามประสาของผมว่า “การกระทำของ ส.ส. พรรคประชาธิปัตย์” ในครั้งนี้ไม่แตกต่างจากนักเลงอันธพาลสันดานดิบที่ไม่ได้มีจิตสำนึกว่าตัวเองคือผู้แทนราษฎร พวกเขาทำลงไปได้อย่างไร ไม่มียางอายเหลือเอาไว้แม้แต่น้อย ผมมีความเห็นส่วนตัวว่าร่าง พ.ร.บ. ปรองดองเข้าสภารวมทั้งหมด 4 ร่าง ไม่ใช่ร่างเดียว ดังนั้นถ้าไม่มีพอใจร่างไหนก็มีสิทธิ์ที่อภิปราย “ความเห็น” ในสภาได้อย่างอิสรเสรีภาพ ไม่มีผู้ใดมาขัดขวางได้ จึงมีคำถามว่าเหตุไรจึงต้องขัดขวางทุกร่าง โดยมีมติชัดเจนว่าไม่ต้องการให้มีการเสนอ พ.ร.บ. ปรองดอง ไม่ว่ากรณีใดๆ ปชป. ทำแบบนี้ แสดงว่าไม่ต้องการให้เกิดความปรองดอง ใช่หรือไม่ ? ผมถามอยู่ในใจว่า ความปรองดองเป็นเรื่องที่แสนดี เพราะว่าถ้าคนไทย “ปรองดอง” กันได้สำเร็จก็จะเกิดผลดีแก่ประเทศชาติโดยส่วนรวมอย่างแน่นอน เหตุไฉน...? พรรคประชาธิปัตย์จึงไม่ต้องการให้มีการปรองดอง ? ประการสำคัญ พรรคประชาธิปัตย์กับ “กลุ่มพันธมิตร” และพวกเสื้อหลากสีที่ชุมนุมอยู่ด้านหน้าของสภาผู้แทนราษฎรได้ประสานเสียงเกาะเป็นกลุ่มเดียวกัน แสดงออกอย่างปรากฏชัดว่าจะก่อกวนให้เกิดเหตุร้าย เพื่อจะให้คนไทยปะทะกัน จะได้เป็นสาเหตุให้ทหารต้องนำกำลังออกมายึดอำนาจดังที่เคยกระทำมาแล้วเมื่อปี 2549 พ่อแม่พี่น้องเอ๋ย..ผมขอเรียกร้องให้ท่านทั้งหลายโปรด “พิเคราะห์” สันดานดิบของนักการเมืองพวกนี้ได้แล้วขอรับ...โปรดอย่ามีเมตตาและอย่าเหลือความปรารถนาดีกับคนกลุ่มนี้เลย...มันชั่วเกินกว่าที่จะหาคำพูดใดๆมาบรรยายยกย่องสรรเสริญได้อีกแล้ว...ได้แต่รุมด่านั้นแหละจึงจะสาสม ผมปลงสังเวช ส.ส. ถ่อยพวกนี้ โปรดลากอกไปเสียเถิด อย่าอยู่ให้หนักสภาเลยครับ .? “สอาด จันทร์ดี” สภาไทย ถ่อย! 30 พ.ค. 55 - 31 พ.ค. 55 ภาพเหตุการณ์ความวุ่นวายในห้องประชุมสภาฯ ระหว่างการประชุมพิจารณาเลื่อนวาระการพิจารณา พรบ.ปรองดอง ถ่ายโดยนายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรครักประเทศไทย พีเพิลแชนเนิล ขอนำเสนอเหตุการต่าง ๆ ดังต่อไปนี้ สถานการณ์่ข่าว ล่าสุด.... สถานการณ์ปัจจุบัน ก็มีความพยายามเรียกร้องให้เกิด | |
http://redusala.blogspot.com |
ดาวน์โหลดคลิ๊ปคนเสื้อแดง
วันศุกร์ที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2555
ตายน้ำตื้น ? | |
ตายน้ำตื้น โดย สมิงสามผลัด คอลัมน์ ทิ้งหมัดเข้ามุม ในข่าวสดออนไลน์ วันศุกร์ที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2555 เวลา 00:01 น. ท่าทางจะหนักหนาเอาการ สำหรับกรณี นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ อดีต ส.ว. สรรหา ร้องทั้งกกต.และดีเอสไอตรวจสอบกรณีเงิน 1 ล้านบาทที่ "อีสท์ วอเตอร์" บริจาคให้พรรคประชาธิปัตย์ แต่กลับไม่มีอยู่ในบัญชีของพรรคประชาธิปัตย์ที่รายงานต่อกกต. โดยนายเรืองไกรตั้งข้อสงสัยอาจเข้าข่ายความผิด พ.ร.บ. พรรคการเมือง มาตรา 62, 45, 82 ประกอบมาตรา 42 วรรคสอง และมาตรา 93 มีความผิดถึงขั้นยุบพรรค นอกจากเงินบริจาค 1 ล้านบาท ยังมีข้อมูลเพิ่มว่า พรรคประชาธิปัตย์ได้รับเงินจากผู้บริจาคช่วยเหลือน้ำท่วม 191 ราย 36 ล้านบาท โดยไปซื้อแคชเชียร์เช็คที่ธนาคารกรุงไทย สาขากระทรวงการคลัง ก่อนนำแคชเชียร์เช็คไปให้ที่สำนักนายกฯ เมื่อวันที่ 1 ธ.ค.54 และวันที่ 2 ธ.ค.54 สำนักนายกฯ ออกใบเสร็จให้ แต่ไม่มีการลงบันทึกบัญชีของพรรคไว้ตามที่พ.ร.บ.พรรคการเมืองอีกเช่นกัน นายเรืองไกรเรียกร้องให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ โชว์หลักฐานและเอกสารทั้งหมด และนำไปชี้แจงต่อกกต.ด้วย ถ้าไม่พบความผิดก็พร้อมขอขมา ถ้าชี้แจงไม่ได้ก็ต้องว่ากันไปตามกระบวน การกฎหมาย เพราะเข้าข่ายความผิดถึงขั้นยุบพรรค ในส่วนของดีเอสไอตรวจสอบกรณีนี้ในเบื้องต้นแล้วพบว่าเข้าข่ายความผิด นายธาริต เพ็งดิษฐ์ เตรียมเสนอเข้าที่ประชุมกคพ.พิจารณาเป็นคดีพิเศษในเดือนมิ.ย.นี้ เพราะเห็นว่าเข้าข่ายความผิดอาญา พ.ร.บ. พรรคการเมือง 2550 มาตรา 71 ห้ามมิให้หน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาห กิจ หรือกิจการที่รัฐถือหุ้นใหญ่ บริจาคแก่พรรคการเมือง ที่สำคัญ "อีสท์ วอเตอร์" ก็เป็นบริษัทที่รัฐบาลถือหุ้นเกินครึ่งเสียด้วย หากมีการพิสูจน์ออกมาว่า "อีสท์ วอเตอร์" บริจาคเงินให้พรรคประชาธิปัตย์จริงๆ ก็เข้าข่ายผิดมาตรา 71 นอกจากมีโทษจำคุก 10 ปีแล้ว ยังต้องยุบพรรคด้วย ถ้าผลพิสูจน์ออกมาว่าผิดจริง ก็แทบไม่เชื่อเลยว่าพรรคเก่าแก่จะตายน้ำตื้นแบบนี้ ที่มาของ‘แคชเชียร์เช็ค'' หากตรวจพบว่า...การรับจ่ายเงินดังกล่าวไม่มีการบันทึกบัญชี ไม่มีการรายงานตามที่กฎหมายกำหนด ก็ต้องดูต่อไปว่า กฎหมายมีบทกำหนดโทษหรือไม่ การแถลงข่าวที่รัฐสภาเกี่ยวกับเงินบริจาคช่วยเหลืออุทกภัยที่ได้รับมาจากผู้บริจาค 191 รายเป็นเงินประมาณ 36 ล้านบาทเศษนั้น มีหลายประเด็นน่าติดตาม ประเด็นแรก มีการแถลงและโชว์สำเนาใบเสร็จรับเงินของผู้บริจาคที่เป็นบริษัทจำกัด(มหาชน) ว่าได้รับเงินบริจาคมา 1 ล้านบาท เป็นเช็คธนาคารกรุงไทย สาขาย่อยกระทรวงการคลัง จากการแถลงข่าว ทำให้ทราบว่า สำนักนายกรัฐมนตรีได้รับเงินเป็นแคชเชียร์เช็คหนึ่งฉบับเป็นเงิน 36 ล้านบาทเศษ และได้ออกใบเสร็จให้กับผู้บริจาคทั้ง 191 รายไปเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2553 ต่อมาผู้ร่วมแถลงคนหนึ่ง ได้ออกมาบอกว่า เรื่องนี้ไม่มีอะไรที่จะต้องตรวจสอบเลย เพราะการรับเงินมาเท่าใด ก็นำเงินออกไปเท่ากัน แต่จากการแถลงนั้น ประเด็นที่น่าติดตามคือ เช็คที่นำไปจ่ายนั้น เป็นแคชเชียร์เช็คของธนาคารกรุงไทยเพียงฉบับเดียวแต่ออกใบเสร็จให้ทั้งหมด 191 ราย แปลว่า ถ้าอยากรู้ว่า เงินที่ซื้อแคชเชียร์เช็คมาจากไหน บัญชีใคร ก็คงตรวจสอบได้ง่าย ๆ ด้วยการไปสอบถามจากธนาคารกรุงไทยว่า...แคชเชียร์เช็คใบนี้ใครซื้อ และเอาเงินจากบัญชีไหนมาซื้อ ซึ่งการสอบถามอย่างนี้ ก็จะทราบได้ทันทีว่า...เงินที่ซื้อนั้นมาจากเงินในบัญชีที่มีอยู่กับธนาคารกรุงไทย ใช่หรือไม่ ถ้าใช่ ก็ดูได้ทันทีว่า เจ้าของบัญชีเป็นใคร ประเด็นต่อมา ถ้าอยากรู้ว่า...ผู้บริจาคทั้ง 191 ราย มีใครบ้าง ก็ดูได้โดยง่ายอีกเช่นกัน เพราะเพียงไปขอดูสำเนาใบเสร็จรับเงินที่สำนักนายกรัฐมนตรี ก็จะรู้ว่า มีใครบ้างที่บริจาคอยู่ในเงินก้อนนี้ เมื่อได้รายชื่อผู้บริจาคมาแล้ว ก็ตามต่อได้ว่า ผู้บริจาคแต่ละรายให้เงินมาเป็นเงินสดหรือเช็ค และให้เงินบริจาคมาตั้งแต่เมื่อวันที่เท่าใด การตรวจสอบง่าย ๆ ข้างต้น เรียกว่า การตรวจสอบยันยอดรายรับรายจ่ายจากฝ่ายต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง และจะสามารถตรวจสอบตามมาได้อีกว่า...เงินที่แต่ละรายบริจาคมานั้น ถ้าผู้บริจาคเป็นนิติบุคคลและจ่ายเป็นเช็ค ก็สามารถขอดูสำเนาเช็คกับใบสำคัญจ่ายของแต่ละบริษัทได้ เนื่องจากจะต้องมีการทำเอกสารไว้ลงบัญชีของผู้บริจาค ดังนั้น ประเด็นที่จะตรวจสอบได้ตามมาก็คือ เงินบริจาคนั้นมีการเรียกเก็บเงินตามเช็คไปเข้าบัญชีธนาคารใด ใครเป็นเจ้าของบัญชี ตรวจกันง่าย ๆ เพียงเท่านี้ ก็จะทราบที่มาที่ไปของเงินบริจาคทั้ง 191 ราย รวม 36 ล้านบาทเศษ ได้โดยไม่ยาก เพียงแต่ผู้ที่จะตรวจสอบใช้อำนาจหน้าที่ตามกฎหมาย ความกระจ่างชัดก็จะปรากฏออกมา และเมื่อทราบถึงบัญชีที่เป็นแหล่งเงินที่ใช้ในการซื้อแคชเชียร์เช็คแล้ว ที่เหลือก็เพียงแค่นำเงินตามที่ตรวจพบว่าอยู่ในบัญชีใครนั้น มาตรวจสอบกับข้อกฎหมายว่า...เจ้าของบัญชีนั้น มีหน้าที่อย่างไรบ้าง ต้องลงบัญชีรายรับ บัญชีแยกประเภท และต้องรายงานไปยังหน่วยงานของรัฐใดหรือไม่ หากตรวจพบว่า...การรับจ่ายเงินดังกล่าวไม่มีการบันทึกบัญชี ไม่มีการรายงานตามที่กฎหมายกำหนด ก็ต้องดูต่อไปว่า กฎหมายมีบทกำหนดโทษหรือไม่ ถ้ามี โทษนั้นเป็นอย่างไรบ้าง เป็นโทษทางอาญา หรือโทษปรับ หรือโทษให้ยุบพรรคด้วยหรือไม่ กรณีข้างต้นกำลังน่าติดตาม ส่วนผลจะออกมาเช่นไร คงต้องลุ้นให้ผู้ปฏิบัติตามกฎหมาย ทำงานอย่างตรงไปตรงมา ไม่นานก็คงจะรู้ผลว่า...ออกหัวหรือก้อย สำหรับที่มาของแคชเชียร์เช็คใบที่กำลังเป็นปัญหาอยู่นี้ ข้อมูลที่มา : http://www.bangkok-today.com/node/12984 | |
http://redusala.blogspot.com |
ทีใคร ! ทีมัน ! | |
ทีใครทีมัน โดย มันฯ มือเสือ คอลัมน์ ทิ้งหมัดเข้ามุม
จะมีก็แต่เมื่อ 5-6 ปีก่อน ในประเทศหนึ่งแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (ประเทศไทย)ภายหลังการรัฐประหารมีการใช้คนในแวดวงตุลาการเป็นเครื่องมือขุดรากถอนโคนฝ่ายบริหาร
| |
http://redusala.blogspot.com |
เอาเด็กอมมือ มาเป็นหัวหน้าพรรค มีแต่ฉิบหาย | |
รายงานพิเศษ พิชัย จี้ อภิสิทธิ์ รับผิดชอบพฤติกรรม ส.ส. ฆ่าตัวตายทางการเมือง | |
http://redusala.blogspot.com |
นังปีศาจ แมลงสาบ | |
คลิป "ชูวิทย์" รังสิมาลากเก้าอี้ประธานสภาฯ ภูมิใจในความดิบถ่อย คลิปจากกล้องนายชูวิทย์ กลมวิศิษฏ์ แสดงถึงภาพในขณะที่นางสาวรังสิมา รอดรัศมี สส.ปชป. ฉุดกระชากลากเก้าอี้ประธานสภา ลงไปด้านหลังโยนทิ้ง พร้อมหัวเราะแสดงความดิบเถื่อนสะใจแฟนคลับ ภาพคลิปจากกล้องนายชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ แสดงให้เห็นภาพชุลมุนในสภาฯ ขณะที่ สส.ปชป. ฉุดกระชากลากดึงแขนประธานสภาฯ ลงจากเก้าอี้อย่างเถื่อนที่สุด | |
http://redusala.blogspot.com |
โอ้อนาถรัฐสภาไทยแลนด์ | |
"บิ๊กบัง" ปีนกะไดลิง หนีตาย "ลูกทรพี" เวลา 14.00 น. วันที่ 1 มิ.ย. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่บริเวณด้านหลังอาคารรัฐสภา3 ทางเชื่อมบันไดลิงที่ทางสภาฯ ได้จัดทำเตรียมให้ส.ส.ใช้หลบหนีไปยังพระที่นั่งวิมานเมฆเมื่อเกิดสถาการณ์ฉุกเฉิน อย่างไรก็ตาม ทันทีที่ นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานสภาฯ สั่งเลื่อนเวลาการประชุมอย่างไม่มีกำหนดนั้น ความสนใจถูกมุ่งไปที่การเคลื่อนไหวของกลุ่มส.ส.ที่เตรียมนั่งรถตำรวจออกจากพรรคชาติไทยพัฒนา ตรงเข้าสู่การประชุมสภาฯ โดยอาศัยเส้นทางถนนพิชัยตัดแยกราชวิถี เพื่อเข้าทางประตูสยามเทวฤทธิ์ ซึ่งมีกลุ่มพธม.ผลักดันเข้าปิดเส้นทางไว้ ปรากฏกลับพบว่า พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคมาตุภูมิ ซึ่งใส่แว่นดำ พร้อมนายอาณันย์ วัชโรทัย ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ที่ใส่สูทสีเทา กำลังเดินไปยังที่บริเวณดังกล่าวอย่างเงียบๆ เพื่อเตรียมพร้อมที่จะออกจากอาคารรัฐสภา เนื่องจากถูกปิดล้อมรอบโดยกลุ่มพธม.แต่เนื่องจากยังไม่สามารถออกไปได้ทันที เพราะยังไม่ได้มีการประสานกับทางพระที่นั่งวิมานเมฆไว้ล่วงหน้า ซึ่งต้องทำเรื่องขออนุญาติก่อน ทำให้ทั้งคู่ต้องใช้เวลารอประมาณ 10 นาที ผ่านการประสานโดยตรงทางโทรศัพท์ เพื่อให้ พล.อ.สนธิ และนายอาณันย์ ปีนบันไดลิงข้ามไปได้ พร้อมกับมีรถตู้มาจอดรอในฝั่งพระที่นั่งวิมานเมฆ ทั้งนี้ ทางเจ้าหน้าที่แจ้งว่า ไม่สามารถออกไปเส้นทางใดได้ นอกจากต้องอ้อมไปทานถนนราชวิถี ซึ่ง นายอาณันย์ มีทีท่ากังวล แต่ภายหลังก็ยอมให้พาออกในเส้นทางดังกล่าว ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะที่มีการเตรียมปีนบันไดลิง พล.อ.สนธิ มีสีหน้าเขินอาย และไม่ยอมตอบคำถามผู้สื่อข่าวว่าจะไปที่ใดต่อ ซึ่งคนติดตามได้ตอบคำถามแทนว่า "ไม่มีอะไร แค่มาเดินเล่น" "ปชป." ถ่อย! เขวี้ยงแฟ้มใส่ประธานรัฐสภา+กระโดดขย้ำคอ คลิปนายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานสภาฯ โดน สส.ปชป. เขวี้ยงแฟ้มเอกสารห้องประชุมใส่หน้า คลิปถ่อย นายธานี เทือกสุบรรณ สส. ปชป. กระโดดขย้ำคอ นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ สส.เพื่อไทย วันที่ 31 พ.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เวลา 16.30 น. ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร มีนายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานสภาผู้แทนราษฎร เป็นประธานการประชุม โดยแจ้งต่อที่ประชุม ถึงผลการหารือระหว่างประสภาฯกับประธานคณะกรรมาธิการสามัญประจำสภาฯ 35 คณะ มีมติ 22 ต่อ 1 ว่าร่างพ.ร.บ.ทั้ง 4 ฉบับ ไม่เป็นร่างพ.ร.บ.ที่เกี่ยวกับการเงิน นายศุภชัย ศรีหล้า ส.ส.อุบลราชธานี พรรคประชาธิปัตย์ แจ้งต่อประธานว่า มีส.ส.ได้ยื่นถอดถอนการทำหน้าที่ของประธานแล้ว ดังนั้นท่านควรจะอยู่บนบัลลังก์ต่อไปหรือไม่ควรพิจารณา ขณะที่นายสุนัย จุลพงศธร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย อภิปรายว่า คิดว่าฝ่ายค้านจะยื่นถอดถอนประธานนานแล้ว และเมื่อถูกยื่นถอดถอนแล้วก็ไม่มีการระบุว่าจะไม่สามารถทำหน้าที่ได้ ยืนยันว่าประธานได้กระทำถูกต้องทุกอย่าง นายธนา ชีรวินิจ ส.ส.กทม. พรรคประชาธิปัตย์ อภิปรายว่า ถ้าท่านคิดว่า 35 คณะของท่านเป็นเสียงเบร็ดเสร็จแล้ว ก็ว่ากันไป แต่เมื่อกลับมาเข้ามาในสภาฯ ก็ต้องชี้แจงให้ที่ประชุมทราบว่าร่างพ.ร.บ.ดังกล่าวไม่เกี่ยวกับการเงินตรงไหน เรื่องนี้เป็นเรื่องของประเทศชาติและส่วนรวม ต้องชี้แจงว่าใน กรรมาธิการ 35 คณะ พิจารณาในประเด็นใดบ้างที่ไม่เกี่ยวกับการเงิน เพราะเป็นภาษีของประชาชน และถ้ามีการจ่ายเงิน 4.6 หมื่นล้านบาท ท่านจะรับผิดชอบหรือไม่ ดังนั้นต้องปล่อยให้สมาชิกซักถามว่ากรรมาธิการ 35 คณะมีความเห็นอย่างไร นายพีรพันธุ์ พาลุสุข ส.ส.ยโสธร พรรคไทยเพื่อ ลุกขึ้นประท้วง ว่า เรื่องนี้ที่ประชุมพิจารณาแล้วว่าไม่เกี่ยวกับการเงิน เรื่องก็ยุติ และควรที่จะดำเนินการญัตติที่ค้างอยู่ จึงขอให้ประธานดำเนินการต่อไป ขณะนี้นายสุนัย ประท้วงว่า นายธนาไม่เป็นเป็นประธานกรรมาธิการ ไม่ได้นั่งอยู่ในที่ประชุม และการพิจารณาก็เวลา 5ชั่วโมง และฝ่ายค้านไม่ได้วอล์กเอาท์ ทั้งหมด เพราะนายเชน เทือกสุบรรณ ส.ส.สุราษฎร์ธานี ก็อยู่และโหวตด้วย นายประกอบ รัตนพันธ์ ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ การที่บอกว่าไม่มีใครวอล์กเอาท์ ไม่เป็นความจริง และมีการพูดคุยกัน 3-4 ชั่วโมง แต่ไม่ได้พิจารณากันในเนื้อหา เพียงแต่หารือว่าควรที่จะชิญใครมาให้ข้อมูลหรือไม่ และควรจจะพิจารณาป็นรายมาตรา ท่านก็ไม่เอา บอกว่าประธานได้วินิจฉัยแล้ว และประธานก็เมตตาให้พูดคุยกันถึงขนาดนี้ ซึ่งไม่เนื้อหาสาระอะไรเลย จนเราต้องเดินออกจากห้องประชุม ทั้งนี้นายสมศักดิ์ ชี้แจงว่า การประชุมร่วมกับปรานคณะกรรมาธิการฯ ใช้เวลา 4 ชั่วโมง 45 นาที จากนั้นก็ขอให้ดำเนินการต่อ ทำให้นายธนาทักท้วงว่าตนอภิอปร่ายค้างอยู่ เพราะมีผู้ทักท้วง ซึ่งทำให้บรรยากาศวุ่นวายเล็กน้อย เพราะนายสมศักดิ์ ไม่ยอมที่จะให้นายธนาอภิปรายต่อ ทำให้นายธนา ต่อว่าประธานที่ไม่ยอมให้อภิปราย ว่าพออารมณ์เสียขึ้นมาก็จะตัดบท นายสมศักดิ์ จึงแย้งกลับไปว่า “ไม่ได้อารมณ์เสีย นี่สภาฯ” จึงเกิดเสียงโห่ดังขึ้น จนทำให้นายสมศักดิ์ ยอมที่จะให้อภิปรายฝ่ายละ 2 คน นายวัชระ เพชรทอง ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ ได้พูดเสียงดังว่า ประธานต้องสั่งให้ตำรวจสภาฯปลดอาวุธ เพราะมีการนำเอาอาวุธเข้ามาในสภา ฯ ด้วย จากนั้นนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ ประธานวิปฝ่ายค้าน อภิปรายว่า ขอสอบถามประธานคณะกรรมาธิการและผู้เข้าประชุมใน 2 ประเด็น ข้อทราบกระบวนการพิจารณา ทำให้ถูกนายพิชิต ชื่นบาน ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ประท้วงว่า กระบวนการชี้ขาดสิ้นสุดแล้ว ไม่ให้อำนาจใครสอบถามอีก เพราะถือว่าขัดรัฐธรรมนูญ ขณะที่นายสมศักดิ์ ชี้แจงว่า ขั้นตอนได้ดำเนินการตามที่ฝ่ายค้านเสนอ และไดดข้อสรุปชัดเจน จึงไม่มีเหตผลอะไรเลยที่จะต้องมา ถกกันต่อ เพราะฉะนั้นควรต้องมาดำเนินการต่อ จากนั้นนายสมศักดิ์ ได้ถามทันทีว่ามีผู้เสนอเลื่อนญัตติ ขอถามว่ามีท่านใดเห็นเป็นอื่นหรือไม่ ท่ามกลางเสียงโห่จากพรรคประชาธิปัตย์ แต่ประธานก็ยังดึงดันถามมติต่อไปโดยไม่สนใจคำค้าน ส่งผลให้ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ทั้งนพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ส.ส.พิษณุโลก ตามาด้วยนายอรรถพร พลบุตร ส.ส.เพชรบุรี นพ.สุกิจ อัถโถปกรณ์ ส.ส.ตรัง เดินปรี่ตรงไปยังหน้าบังลังก์ประธาน พร้อมถือข้อบังคับการประชุม โดยนพ.วรงค์ชูข้อบังคับ และยกมือขอพูด แสดงความไม่เห็นด้วยว่าผิดข้อบังคับ แต่ประธานก็ไม่สนใจ สั่งตรวจสอบองค์ประชุม ซึ่งมีผู้เข้าประชุม 276 เสียงถือว่าครบองค์ประชุม จากนั้นนายสมศักดิ์ ขอมติทันที ว่าเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับการเลื่อนญัตติของ นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน พรรคเพื่อไทย ท่ามกลางเสียโห่จากพรรคประชาธิปัตย์ ทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจสภากรูเข้ามาอารักขาประธานสภา สุดท้ายนายสมศักดิ์ สั่งให้ลงมติ พร้อมขอผลคะแนน และขานผลคะแนนอย่างรวดเร็ว ว่า เห็นด้วยกับการเลื่อนญัตติ 272 ต่อ 2 งดออกเสียง1 ไม่ลงคะแนน 1 พร้อมทั้งนัดประชุมในวันที่ 1 มิ.ย. เวลา 09.30 น. แล้วสั่งปิดการประชุมในเวลา 17.00 น. ทำให้ส.ส.ประชาธิปัตย์ ส่งเสียงประท้วงและโห่ฮา สนั่นสภา และมีการขว้างปาสิ่งของขึ้นไปบนที่นั่งประธานสภาฯ อีกด้วย โดยเมื่อดูจากภาพพบว่าหนึ่งในส.ส.ประชาธิปัตย์ ที่ปาเอกสารใส่นายสมศักดิ์ คือ น.พ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ส.ส.พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ | |
http://redusala.blogspot.com |
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)