วันเสาร์ที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2554

Thai E-News: วิกิลีกส์ไทยเคเบิลล่าสุด:รองนายกรัฐมนตรีสุเทพจะตกที่นั่งลำบากหรือไม่?

Thai E-News: วิกิลีกส์ไทยเคเบิลล่าสุด:รองนายกรัฐมนตรีสุเทพจะตกที่นั่งลำบากหรือไม่?
พีน๊อกคีโอ้  ..... ได้โปรดเชื่อพวกผมเถอะครับ

ผบ.สส. อ้อน "เชื่อเถอะครับ คำพูดของทหาร เชื่อถือได้"


เมื่อวันที่ 5 เมษายน ที่กองบัญชาการกองทัพอากาศ พล.อ.ทรงกิตติ จักกาบาตร์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด (ผบ.สส.) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) พล.ร.อ.กำธร พุ่มหิรัญ ผู้บัญชาการทหารเรือ (ผบ.ทร.) พล.อ.อ.อิทธพร ศุภวงศ์ ผู้บัญชาการทหารอากาศ (ผบ.ทอ.) พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) เข้าร่วมประชุม ผบ.เหล่าทัพ จากนั้น พล.อ.ทรงกิตติ แถลงถึงจุดยืนทุกเหล่าทัพต่อข่าวลือการปฏิวัติรัฐประหารว่า วิงวอนต่อสื่อมวลชนช่วยถ่ายทอดคำนี้จากกองทัพไทยไปยังประชาชนชาวไทยทุกท่าน อย่าเชื่อข่าวลืออย่าเชื่อข่าวอ้าง กองทัพไทยอยู่ในกรอบของรัฐธรรมนูญแห่งราชอานาจักรไทย ยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ท่านเชื่อเถอะว่าเราจะไม่ล่วงละเมิดสิทธิเสรีภาพของประชาชน ท่านเลิกเชื่อข่าวลือเถอะ ที่บอกว่าทหารจะปฏิวัติ ไม่มีหรอก ท่านเลิกเชื่อข่าวลือทหารจะเกี่ยวข้องการเมืองใดๆ ทั้งสิ้น เรามีสิทธิคือหนึ่งเสียงหากมีการเลือกตั้ง ถ้าเลือกตามวาระก็ปลายปีนี้ก็ไปหยอดบัตรหนึ่งเสียงเท่ากับทุกคน ตามรัฐธรรมนูญ หมวดที่ 4 มาตรา 70 ถึง 74 แห่งราชอาณาจักรไทยปี 2550 ข้าราชการไม่เกี่ยวพันทางการเมือง ข้อบังคับกระทรวงกลาโหม ทหารไม่ไปดำเนินกิจการทางการเมือง หากมีใครจะดำเนินกิจกรรมทางการเมือง เช่น พล.อ.อ.คณิต สุวรรณเนตร อดีตรอง ผบ.สส. ท่านอยากดำเนินกิจกรรมทางการเมืองท่านก็ลาออก

"ท่านเชื่อเถอะครับ คำพูดของกองทัพ ของทหารเชื่อถือได้ เชื่อเถอะไม่มีใครหรอกที่จะก้าวล่วงเข้าไปดำเนินกิจกรรมทางการเมือง ไม่ว่าจะกดดัน ผลักดัน ไปแอบอิงหรือให้อิงแอบ เพื่อทำให้ผิดวัตถุประสงค์ของประชาชน เชื่อเถอะเสียงของท่านแต่ละเสียงมีคุณค่าต่อประเทศไทยในอนาคต ผมยืนยันอีกครั้ง ผบ.ทบ. ผบ.ทร. ผบ.ทอ. ผู้แทน ผบ.ตร. ว่าไม่ยุ่งเกี่ยว" ผบ.สส.ระบุ

พล.อ.ทรงกิตติแถลงต่อว่า ฉะนั้นท่านอย่าไปกลัว ไม่ต้องมามีข่าวอีกแล้วว่าจะมีใครไปเดินตามคอยกดดันไม่ให้มีเสรีในการหาเสียง ทุกพรรคการเมืองสามารถขอเข้ามาหาเสียงได้ในหน่วยทหาร ทหารก็ทำหน้าที่ของเราตามที่ได้รับมอบหมาย นอกเหนือจากนั้นเรายังมีภารกิจอื่นๆ เพิ่มเติม เช่นการตัดไม้ทำลายป่า ลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมาย การป้องกันปราบปรามยาเสพติด โดยใช้คนเท่าที่มีอยู่ ซึ่งการจัดหน่วยในปัจจุบันก็ไม่พอเพียงก็มีการปรับกำลัง และจัดกำลังให้เหมาะสมกับสถานการณ์ในปัจจุบันและภูมิประเทศที่เกิดขึ้น ไม่ใช่เฉพาะการปกป้องอนาธิปไตย แต่รวมถึงงานที่ได้รับมอบหมายจากรัฐบาลทั้งสิ้น ถึงจะมีการจัดตั้งส่วนราชการเพิ่มเติม

พล.อ.ทรงกิตติกล่าวอีกว่า อย่าลือ อย่าอ้าง ไม่มี การดำเนินงานทางการเมืองก็ทำกันไป ขอให้อยู่บนแนวทางทางการเมืองของท่าน ทั้งนี้ คิดว่าการยืนยันในวันนี้จะทำให้ประชาชนมั่นใจได้ว่ากองทัพไม่มีความเกี่ยวพัน กองทัพมีหน้าที่รักษาเกียรติ และเป็นที่มั่นใจของประชาชน เราคือคนของประชาชน เราคือประชาชน เรารู้หน้าที่ของเรา ว่าต้องทำอะไร ควรจะเว้นจากทำอะไร หากมีหน่วยใดเคลื่อนย้ายกำลังโดยไม่ได้รับคำสั่งคือกบฏ ถ้ามีทหารกลุ่มหนึ่งกลุ่มใด ไปเกี่ยวข้องทางการเมืองหรือไปกดดันท่านก็ร้องเรียนมา หากมีมูลก็จะทำการสอบสวน

"หยุดเอากองทัพมาอ้าง หยุดเอากองทัพมาแนบ และหยุดผลักกองทัพออกจากประชาชน เราขอเดินทางในการสร้างสรรค์พัฒนาประเทศรักษาอนาธิปไตย เกาะกลุ่มเกี่ยวแขนไปกับประชาชน เดินหน้าเพื่อพัฒนาประเทศ เดินหน้าเพื่อให้ประเทศไทยมีเกียรติยศ และชื่อเสียงเป็นที่เคารพเป็นที่มีเกียรติต่อนานาอารยประเทศ ขอยืนยันทุกเรื่องในวันนี้ ผมคิดว่านับแต่วันนี้ไปคงไม่มีข่าวอะไรที่ทำให้กองทัพออกจากประชาชน กองทัพแยกออกจากกัน" ผบ.ทหารสูงสุดกล่าว

เมื่อถามว่า การแถลงครั้งนี้ถือว่าเป็นมติของ ผบ.เหล่าทัพส่วนรวมหรือไม่ว่า จะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการเมืองโดยเด็ดขาด และไม่ก้าวก่ายกิจการทางการเมืองในอนาคต พล.อ.ทรงกิตติ ย้อนถามว่า จะถามว่าเป็นฉันทามติใช่หรือไม่ (หันไปมองผบ.เหล่าทัพที่ยืนข้างหลัง) ก่อนกล่าวว่า เมื่อวาน ผบ.ทบ.กล่าวไปแล้ว วันนี้ก็เหมือนกัน ผบ.ทร. ผบ.ทอ.ก็คิดเห็นเหมือนกัน (ผบ.เหล่าทัพยิ้ม) ตำรวจจะไปแทรกแซงไล่บี้ชาวบ้านหรือไม่คงไม่มี ถ้ามีก็ต้องมีหลักฐาน อย่ากล่าวหากันลอยๆ อย่าสร้างข่าวกันลอยๆ พอสร้างข่าวแล้วสังคมบอกคนนี้เลวไปแล้วมันไม่ใช่ เชื่อเถอะ เรารักประเทศชาติ เรายึดมั่นครรลองของประชาธิปไตย ขอให้เชื่อเถอะครับ ณ วันนี้ มีการยืนยันกันขนาดนี้แล้วยังไม่เชื่อ จะให้นอนยันกันหรือไง

เมื่อถามว่า คนที่ออกมาพูดเป็นบุคคลสำคัญทางการเมืองหลายวงการ อาจชี้นำให้ประชาชนเข้าใจผิด พล.อ.ทรงกิตติกล่าวว่า ในส่วนตัวแต่ละท่านตนไม่ทราบ แต่ตนมีหน้าที่ทำงานให้ดีที่สุด ถ้าเชื่อขอให้เชื่อมั่น ถ้ามีความเชื่อมั่นแล้วประเทศชาติจะเดินหน้าต่อไป เมื่อถามย้ำว่า แถลงวันนี้ได้สบตา พล.อ.ประยุทธ์ หรือยัง พล.อ.ทรงกิตติ หัวเราะพร้อมกล่าวว่า ทำไมต้องถามที่ให้เกิดความรู้สึกว่าไม่ดี ทั้งที่ทำงานมาด้วยกันตั้งแต่เด็ก เราเป็นทหารเรายึดมั่นอย่างนี้แล้ว จะมาบอกว่า มีการปฏิวัติเงียบ เป็นการว่ากันไปเอง ขอให้ท่านดำเนินการทางการเมืองของท่านให้ดีที่สุด ประชาชนก็จะพิจารณา ขอให้ทุกคนทำตามหน้าที่และปกป้องประเทศชาติ ประเทศชาติก็จะเจริญยิ่งขึ้น ในช่วง 4-5 ปี ที่ผ่านมา มีแต่กระแสข่าว บางคนไม่ได้รู้เรื่องอะไรเลยก็พูด คนที่ไม่รู้และไม่ได้รับผิดชอบก็พูด แต่พอคนที่รับผิดชอบพูดกลับไม่เชื่อ

เมื่อถามว่า การเลือกตั้งจะมีขึ้นหรือไม่ และหลังเลือกตั้งจะเกิดเหตุการณ์อะไรหรือไม่ พล.อ.ทรงกิตติกล่าวว่า การเลือกตั้งจะมีขึ้นหรือไม่ ไม่เกี่ยวกับกองทัพการเลือกตั้งจะเกิดขึ้นเมื่อหมดวาระการทำงานของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรซึ่งไม่เกี่ยวกับกองทัพ แต่หากมีการยุบสภาก็เป็นเรื่องของรัฐบาล และคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จะเป็นผู้ดำเนินการและจัดให้มีการเลือกตั้ง ในส่วนของทหารก็ทำหน้าที่ของทหาร รวมทั้งตำรวจ เมื่อถามว่ายืนยันได้หรือไม่ว่าหลังเลือกตั้งจะไม่มีเหตุการณ์ใดๆ เกิดขึ้น พล.อ.ทรงกิตติกล่าวว่า ไม่มี เมื่อถามย้ำว่าอาจจะมีรัฐบาลแห่งชาติในมาตรา 7 ตามรัฐธรรมนูญหรือไม่ พล.อ.ทรงกิตติกล่าวว่า ไม่มีครับ เมื่อถามว่าเป็นห่วงน้องๆ ในกองทัพหรือไม่ เพราะใกล้เกษียณแล้วและสถานการณ์การเมืองมีความเชี่ยวกราก พล.อ.ทรงกิตติกล่าวว่า ตนทำงานตามหน้าที่ที่รับผิดชอบเมื่อหมดหน้าที่ของตน ตนก็จะทำหน้าที่เป็นพลเมืองที่ดี


http://redusala.blogspot.com
ทายาทพระยาพหลถามหาเกียรติทหารไทยสมัยนี้



โดย ทีมข่าวไทยอีนิวส์
ที่มา เอเชียอัพเดต


ป้าพวงแก้ว สาตรปรุง บุตรีพันเอกพระยาพหลพลพยุหเสนา กล่าวให้สัมภาษณ์โทรทัศน์เอเชียอัพเดตตอนหนึ่งว่า ‎"สมัยคุณพ่อน่ะ ทหารเขามีเกียรติ มีศักดิ์ศรีสูง ใครเห็นก็ชื่นชม แต่ทำไมสมัยนี้ ทหารไล่ยิงประชาชนล่ะ?... ตอนนี้บอกว่าไม่ใช่ทหารทำ แล้วที่ป้าเห็นน่ะ ดูในทีวีน่ะไม่ใช่ทหารหรือ?... เป็นอะไรกัน ทำผิดไม่ยอมรับผิด?" ( ติดตามบทสัมภาษณ์ในคลิปข้างบน )

นอกจากนี้ในวันที่ 30 เมษายนที่จะถึงนี้ยังจะมีกิจกรรม Unseen2475 ด้วย ประวัติศาสตร์การเมืองตั้งแต่ 24 มิถุนายน 2475 โดย พันเอกพระยาพหลพลพยุหเสนา หัวหน้าคณะราษฏร และคณะ หลังจากวันนั้นเป็นต้นมา การยื้ออำนาจระหว่างฝ่ายอนุรักษ์นิยม กับ คณะราษฏร ก็มีเรื่อยมา จนเกิด กบฏบวรเดช ตุลาคม 2476 (สงครามกลางเมืองครั้งแรกของประเทศไทย)

กาลเวลาผ่านมาเกือบ 80 ปี การยื้ออำนาจของทั้งสองฝ่าย กลายมาเป็นเสื้อเหลืองและเสื้อแดง ที่แย่งยิงอำนาจทางการเมืองประวัติศาสตร์การเมืองไทย จะถูกเปิดเผยขึ้นโดยบุคคลที่เป็นประวัติศาสตร์ยังมีชีวิตอยู่ และขอเชิญทุกท่านได้ ร่วมแสดงความคิดเห็นเพื่อจะลดปมขัดแย้งทางการเมืองที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน โดยอิงเหตุการณ์จากอดีต

เชิญเข้าร่วมสัมมนา ผู้สนใจประวัติศาสตร์การเมือง(ไม่จำกัดสีเสื้อ) ฟรี ไม่เสียค่าใช้จ่ายใด ๆ ทั้งสิ้น ที่โรงแรม Metropoint Bangkok รามคำแหง 81 หรือ ลาดพร้าว 130

14.00 - 14.30 รถไฟสายสงครามกลางเมือง (กบฏบวรเดช 2476) จุดเริ่มต้นเสื้อแดงและเสื้อเหลือง จากอดีตจนถึงปัจจุบัน
โดย ชีพธรรม คำวิเศษณ์ นักจัดรายการวิทยุด้านประวัติศาสตร์การเมือง รายการเดินหน้าประวัติศาสตร์ FM102 วิทยุเนชั่น

14.30-15.30 เปิดตำนานอภิวัฒน์ 2475 เรื่องเล่าจากปัจจุบันสู่อดีต โดย ทายาทสองท่านที่ยังมีชีวิตอยู่

-พ.ต. พุทธินารถ พหลพลพยุหเสนา (บุตรชาย พันเอกพระยาพหลพลพยุหเสนา หัวหน้าคณะราษฏร 2475)
-คุณ พวงแก้ว ศาสตรปรุง (ธิดาพันเอกพระยาพหลพลพยุหเสนา หัวหน้าคณะราษฏร 2475)

ดำเนินรายการโดย คุณบุญเลิศ ช้างใหญ่ ที่ปรึกษาสำนักพิมพ์มติชน และคุณอรภัค สุวรรณภักดี (นักเรียนปริญญาเอกด้านผู้นำ)

15.30-15.45 น. พักรับประทานอาหารว่าง

15.45-16.15 น. แสดงความคิดเห็นและถามตอบปัญหา

******

เรื่องเกี่ยวเนื่อง:ทายาทพระยาพหลฯ"พ.ต.พุทธินาถ พหลพลพยุหเสนา:ไม่มีหรอกที่ราชาธิปไตยจะเอาประชาธิปไตยมาให้

http://redusala.blogspot.com
เสื่อม!เสียชื่อข้าราชการในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 
นอภ.ต่อยม็อบ-อมเงินอาสาปกป้องสถาบันฯ

โดย ทีมข่าวไทยอีนิวส์
15 เมษายน 2554

คลิปนายอำเภอสมเด็จ กาฬสินธุ์สาวหมัดใส่ม็อบไล่มาร์ค-เทือก

ฉาวไม่เว้นแต่ละวัน สำหรับพฤติกรรมของข้าราชการปกครอง วันก่อนมีการแฉคลิปวิดิโอนายอำเภอสมเด็จ จ.กาฬสินธุ์ สาวหมัดใส่ชาวบ้านที่มาม็อบไล่เทือก-มาร์คที่ไม่ยอมแก้ไขปัญหาที่ดินทำกิน ส่วนก่อนหน้านี้มีการแฉคลิปข้าราชการปกครองแจกเงินโครงการอาสาสมัครปกป้องสถาบัน (อสป.)

โดยเฉพาะโครงการอสป.กำลังอื้อฉาวไปทั่วประเทศ ภายหลังจากนายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทย สังกัดพรรคภูมิใจไทย ได้ตั้งเป้าจะอบรมอสป.ทั่วประเทศ 10 ล้านคน ตอนนี้อบรมไปแล้วราว 6 ล้านคน ก็ปรากฎข่าวอื้อฉาวว่า นอกจากนำเงินไปแจกชาวบ้านที่เข้าอบรมเพื่อให้รักสถาบันแล้ว หน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็มีการเบียดบังทุจริต ทั้งที่อ้างว่าเป็นข้าราชการในพระบาทสมเด็จพตะเข้าอยู่หัวฯก็ตาม

คลิปแจกเงินอบรมอาสาสมัครปกป้องสถาบัน ชาวบ้านบอก"โคตรซาบซึ้งเลย"

คลิปแจกเงินชาวบ้านอบรมอาสาสมัครปกป้องสถาบันหัวละ 100 บาท หลังจากได้รับแจกแล้ว ในคลิปตอนท้ายชาวบ้านคนหนึ่งทำท่าล้อเล่นกับกล้องแล้วพูดว่า"ปลาบปลื้มมาก โคตรซึ้งเลย" แต่พอพิธีกรถามว่า แล้วจะปกป้องสถาบันยังไง กลับตอบว่า"ช่างมัน.." ซึ่งทำให้เกิดคำถามว่า รัฐบาลนี้ถึงขั้นนำเงินมาแจกเพื่อให้คนไทยรักสถาบันกษัตริย์กันแล้วหรือ และได้ผลจริงๆหรือ?


เละ!โครงการอสป.อ้างเป็นราชการในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสียเปล่า

ผู้สื่อข่าวไทยอีนิวส์รายงานว่า ที่อำเภอแห่งหนึ่งในจังหวัดกาฬสินธุ์ มีเรื่องร้องเรียนกันว่า เจอปัญหาทุจริตเหมือนกับทุกพื้นที่ทั่วประเทศในเวลานี้

โดยจังหวัดกาฬสินธุ์ได้งบประมาณจัดทำโครงการอสป.เหมือนกับทุกจังหวัด และมีการจัดโครงการ ค่ายเยาวชนพลังแผ่นดิน ปกป้องสถาบัน จำนวน 135 ตำบล มีงบประมาณให้ตำบลละ 100,000 บาท โดยกำหนดให้มีระยะเวลาในการดำเนินงาน 3 วัน 2 คืน มีกลุ่มเป้าหมายเป็นเยาวชนที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยง จำนวน 100 คน ต่อตำบลให้รักและปกป้องสถาบัน

ซึ่งการทุจริตเกิดขึ้นนับตั้งแต ก่อนเงินจะออกจากจังหวัดมาสู่อำเภอต่างๆนั้น โดนหั่นทันทีตำบลละ 10,000 บาท โดยทางจังหวัดแจ้งว่าเป็นค่าเสื้อ อสป. ก็เลยตกมาถึงตำบลละ 90,000 บาท สำหรับกิจกรรม 3 วัน 2 คืน

สำหรับที่อำเภอแห่งนี้มีงงบประมาณมาให้ 450,000 บาท เพื่อจัดค่ายเยาวชนพลังแผ่นดิน อสป. จำนวน 5 ค่าย ค่ายละ 3 วัน 2 คืน กับกลุ่มเป้าหมายค่ายละ 100 คน รวม 5 ค่าย 500 คน

แต่พอมาถึงระดับอำเภอ เมื่อมีการตั้งคณะทำงานจากส่วนราชการและวิสาหกิจต่างๆมาเป็นคณะทำงานเพื่อดำเนินการ ได้ตัดวันอบรมเหลือเพียง 3 ค่ายๆละ 2 วัน 1 คืน แต่จำนวนกลุ่มเป้าหมายให้เหมือนเดิม คือ 500 คน แต่แตกต่างตรงที่ กลุ่มเป้าหมาย 2 ค่ายหลัง เป็นเด็กมัธยมในค่ายที่สอง และเด็กประถมในค่ายที่สาม ซึ่ง 2 ค่ายนี้มีจำนวน 350 คน

ทำให้คณะทำงานเห็นว่า จำนวนวันที่ถูกตัดทอนลง และกลุ่มเป้าหมายที่ผิดเพี้ยนมาเป็นระดับเด็กประถม ไม่ใช่เยาวชนเหมือนที่จังหวัดสั่งมา จึงมีการปิดปากด้วยการให้งบประมาณดังกล่าวมอบให้คณะทำงานเป็นผู้บริหารงบประมาณ ส่วนเบื้องบนต้องการเพียงรายงานผลการดำเนินงาน

แต่พอเริ่มงาน กลับไม่มีการปล่อยเงินงบประมาณออกมา เบื้องบนเข้ามาคุมทุกอย่าง แล้วจ่ายเบี้ยเลี้ยงคณะทำงานอำเภอละ 10 คนราวกับเป็นนายจ้าง นายอำเภอจะมาที่ค่ายอบรมช่วงสายๆ ส่วนตอนเย็นก็แวะมากินข้าวเย็น และดื่มสุรา แล้วกลับไปนอนบ้าน แต่บางค่ายนายอำเภอจะมากินเหล้ารอแต่บ่าย หลังจากเป็นประธานเปิดในตอนเช้า โดยนั่งกินเหล้าที่สวนอาหารในสถานอบรม จนเย็นย่ำถึงยามกิจกรรมตอนเย็น ก็มาขอขึ้นเวทีร้องเพลง ซึ่งก็ปรากฎว่า"ออกอาการเมาอย่างแรง พูดแทบไม่เป็นภาษา ร้องเพลงก้ออ้อแอ้ จนเด็กๆ เรียกว่า "พี่รั่ว" แทนที่จะเรียนว่า ท่านนายอำเภอ"

"พ่อจัดทำค่ายผ่านพ้นไปทั้งสามค่าย เงินที่เหลือในมือมัน ประมาณ 80,000 บาท หรืออาจมากกว่าด้วยซ้ำ คณะทำงานก็หวังว่า มันจะแบ่งมาให้เป็นขวัญและกำลังใจให้คณะทำงานบ้าง แต่หลังจากวันที่ปิดค่ายเมื่อ 15 มีนาคมที่ผ่านมา จวบจนปัจจุบันเลยครึ่งเดือนแล้ว มันหายไปไหนไม่รู้ ไม่เข้าอำเภอหลายวันแล้ว คณะทำงานขยันโทรหา มันก็ขยันหาข้ออ้างเบี่ยงไปเรื่อย ทั้งที่คณะทำงานมีเป็นสิบคน ก็ควรได้ค่าตอบแทนในส่วนที่พึงได้ ตามที่มันรับปากไว้ มันต้องอธิบายต่อคณะทำงาน และต่อชุมชน ว่า มันเอาเงินที่เหลือไปทำอะไร เป็นกองทุนให้เด็ก หรือเอาคืนรัฐ หรือมันอมไว้ซะเอง"คณะทำงานรายหนึ่งเปิดเผย

*******
เรื่องเกี่ยวเนื่อง:ผ่าขบวนการซาบซึ้งแล้วรวย Man behind the sceneควายบาวคือวินิจ คนอยู่ฉากหลังวินิจตะคุ่มๆคือเนวิน

http://redusala.blogspot.com
โมเดล6ตค.19 นำออกมาอีกครั้ง ไพ่ใบสุดท้ายที่ต้องทิ้งออกมา
http://surf4easy.appspot.com/u?purl=bG10aC43NTkwMi1kYWVyaHQvc3UubW
9kZWVyZnRlbnJldG5pLnd3dy8vOnB0dGg%3D%0A


          ข่าวคราวปลุกกระแสให้คนไทยฆ่ากันเองกลับมาอีกครั้ง นวพลใหม่กำลังถูกสร้าง ลูกเสือชาวบ้านกำลังปลุกปั้นใหม่เคาะสนิมอีกครั้ง พระปลอมกำลังรีบเร่งผลิต ผู้นำชุมชน นักจิตวิทยาที่ใช้ในงานกอ.รมน. เรียกมาอบรมย์ ในนโยบาย “ไทยฆ่าไทย ล้างไทยให้สิ้นก่อนแผ่นดินไม่มีให้กูอยู่”

          ปี 2554 ลบด้วยปี 2519 หักลบแล้ว35 ปีพอดี ที่วงจรนี้จะนำกลับมาใช้อีกครั้ง ใครที่เกิดทันจะรู้ว่ามันคืออะไร

วันนี้ขอให้ข้อมูลอีกด้านที่ท่านไม่เคยรู้กัน มาเล่าให้ฟังเล็กน้อยครับ


                    ท้องทุ่งมหาเมฆ ที่เรียกขานกันในตอนนั้นว่า “เทคนิคกรุงเทพฯ” เป็นที่รวมพลก่อนจะเข้าสังหารโหดนักศึกษาผู้บริสุทธิ์ในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ทุกอาชีวะในมหานครใหญ่เหล่านักเรียนที่นุ่งกางเกงขาสั้นเรียกขานตนเองว่าเด็กช่างกล เด็กก่อสร้าง รวมตัวกันในค่ำคืนวันนั้น ทั้งหญิงและชายรวมกันเต็มท้องทุ่งไปหมดคล้ายว่าในค่ำคืนวันนั้นมีงานมหกรรมใหญ่ แผนกคหกรรมฯเร่งผลิตอาหารออกมาเสริฟนักรบกล้าเพื่อพรุ่งนี้เช้าจะไปบุกธรรมศาสตร์
รถบรรทุก รสพ. วิ่งเข้าออกเทคนิคกรุงเทพฯเป็นว่าเล่น ข้าวสารอาหารสดบรรณทุกกันเข้ามา ค่ำคืนนั้น ทั้งกัญชาทั้งสุรานานาชนิดมีกันเพียบ น้ำ เครื่องดื่มไม่ต้องพูดถึงมีให้กินให้อาบกันอย่างหนำใจ ไก่ในสวนลุมฯ กะเทยในสวนลุมฯ วันนั้นเจ็บหนัก เสียงวิ่งร้องไห้ดังเป็นระยะๆ “ช่วยด้วย ช่วยด้วย” กันอยู่แบบนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า



                  บนหอประชุมใหญ่ ไอ้ตึ๋งหรือผู้พันตึ๋งเป็นหัวเรือใหญ่ มีนายตำรวจนายทหารขนาบข้าง ตัวแทน นศ.เทคนิคกรุงเทพฯแต่ละคณะฯรับนโยบายจากไอ้ตึ๋ง มีนายทหารแจกซองสีน้ำตาลกับผู้ร่วมประชุมจำได้เมื่อเปิดดูมันมากโขเอาการในนั้นมีเงิ​น2500บาท มากพอค่าลงทะเบียนและค่าหอพักอีกสามเดือนได้เลยในตอนนั้น


                  เสียงจากนายตำรวจยศพ.ต.ต. สั่งการลงมา พร้อมแผนที่ประกอบคำบรรยาย “เอ็ง” หมายถึงคุณอาของกระผม “คุมกนกอาชีวะ ปิดประตูธรรมศาสตร์ด้านท่าพระจันทร์ อย่าให้ใครออกมาได้” คนอื่นๆถูกระบุตำแหน่งกันไป เรียงกันจนครบคน

                  เช้าวันวันนั้น 6ตค.19 วันที่เทคนิคกรุงเทพฯจะทำการสอบเลยไม่ได้สอบ พวกเหล่านักรบกล้าไม่ได้เปลี่ยนเสื้อผ้ากันเลย น้ำไม่ได้อาบ ฟันไม่ได้แปลง กลิ่นเหล้ากลิ่นกัญชาเต็มร่างกาย รถ ร.ส.พ. บรรทุกพวกเขามาลงที่ท้องสนามหลวง บริเวณด้านมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์


                 ณ.ทันทีนั้น คุณอาของผมเล่าให้ฟังว่าท่านเองไม่ได้ทำอะไรเลย มัวแต่มองหานักเรียนช่างกลที่ปักตัวอักษรสีแดงว่า ก.น.ก.เท่านั้น พร้อมขยับลิบบิ้นสีฟ้าออกมาคาดที่แขนแสดงให้นักเรียนกลุ่มนั้นได้รู้ว่าพวกเขาต้องตา​มใคร ใครเป็นคนสั่งการ


               พลัน..นักเรียนโข่งผมเกรียนก็โผล่ออกมาแต่งเครื่องแบบใหม่เอี่ยมคล้ายว่าแต่งตัวอาบน้ำมาอย​่างดีแล้ว ปืนสั้นถูกชักออกมาถือไว้ในมือพร้อมยิงเปรี่ยงๆๆๆไปที่ตัวอาคารในธรรมศาสตร์ มีบางส่วนกระโดดข้ามรั้วเข้าไปในธรรมศาสตร์ มีรถเบนซ์คันหนึ่งจอดอยู่ในนั้นและก็เรียบร้อยไม่ถึงห้านาทีรถเบนซ์คันนั้นถูกไฟลุกท​่วม


              มีรถขนน้ำอัดลมวิ่งผ่านมา ไม่ทันได้ระวัง รถคันนั้นโชคร้ายจริงๆ นักเรียนกลุ่มที่ปักอักษรย่อ ก.น.ก.ก็กระโดดขึ้นไปบนรถเรียบร้อยแล้ว ลังน้ำอัดลมถูกถีบลงมา โครมโครมโครม กระจายไปทั่วท้องถนน ไม่รู้จะกี่ลัง มีบางขวดที่ไม่แตก ถูกนำมาเปิดจุกออกแล้วถูกกรอกด้วยน้ำมันสามทหารที่มีปั้มอยู่ตรงข้างกระทรวงกลาโหมนั​่นเอง ขวดแล้วขวดเล่าถูกกรอกลงไป คล้ายมืออาชีพ คล้ายกับว่าเตรียมการกันมาอย่างดี ผ้าไม่รู้ว่าเอามาจากไหน แต่มันถูกยัดเป็นไส้ไว้บนขวดเรียบร้อยพร้องที่จะจุดไฟแล้วเขว้างเข้าไปใช้งานได้ทันท​ี

               เสียงกล้องถ่ายรูปดัง “แช๊ะ!!!” คุณอาผมเหลือบไปดูเห็นเป็นฝรั่งแก่ๆคนหนึ่ง ยืนถ่ายรูปอยู่ แต่ช้าเกินไปแล้ว พลันฝรั่งแก่ๆคนนั้นก็เลือดอาบศีรษะด้วยขวดน้ำอัดลมที่ถูกปะเคนเข้าไป พร้อมกล้องถ่ายรูปนั้นก็ถูกกระชากจากมือเอาไปด้วย


                คุณอาของผมเล่าต่อ ท่านขยับแขนเสื้อให้เห็นลิบบิ้นสีฟ้าว่าท่านคือใคร หวังว่าพวกมันจะฟังและมองท่านบ้าง แต่เปล่าเลย มันหันมามองแล้วขยับเอวพร้อมเปิดเสื้อให้ดูปืนอีกกระบอกที่เอวของมัน

               คุณอาผมหันรีหันขวางอยู่แบบนั้น มองไปทั่วเพื่อหานายตร.ยศพ.ต.ต. ที่มอบหมายงานให้ แต่ก็ต้องตลึงเมื่อสายตามองไปเห็นนายตำรวจท่านนั้น ท่านไม่ใช่ตำรวจอีกแล้วท่านกลายเป็นชาวบ้านไปซะแล้ว มีผ้าพันคอลูกเสือชาวบ้านผูกอยู่ที่คออีกต่างหาก ท่านกำลังนำมวลชนอีกกลุ่มหนึ่งที่มีทั้งหญิงและชายส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุเดินเข้ามา​ มีป้ายบอกมาเสร็จสรรพว่าเป็นลูกเสือชาวบ้านตลิ่งชัน

              “อะไรกันวะ” คุณอาผมคิดในใจอะไรกันแน่ ไหนเมื่อกี้ยังเป็นตำรวจอยู่ดีๆทำไมกลายเป็นลูกเสือชาวบ้านไปแล้ว มันหลอกกันนี่หว่า ไหนบอกว่าให้มาปิดล้อมเฉยๆ ไหนบอกว่าเราจะเข้าตรวจค้นในธรรมศาสตร์แค่นั้น ทั้งหมด มันวางแผนกันมาแล้วนี่หว่า มันเอาอาวุธมาด้วยมันตั้งใจมาฆ่าน.ศ.ชัดๆ


                เหตุการณ์ต่อจากนั้นไม่ต้องพูดถึง ต.ร.ในเครื่องแบบเองเลยบุกเข้าไปในธรรมศาสตร์ ทหารตามมาสมทบ ไม่ได้ปิดล้อมกันแล้ว ไม่มีตาข่ายมาปิดกั้นอย่างที่ประชุมกันไว้


                มันบุกเข้าไป ยิงปืนใส่เข้าไปด้วย น.ศ.ในนั้นวิ่งหนีกันอลหม่าน นศ. สาวๆนอนหมอบ มีบางคนถึงกับสติแตกฉี่ราดก็มี ด้านนอกกำลังเมามันและบ้าคลั่ง ใครวิ่งออกมาโดนตีเข้าไปที่หัวทันทีด้วยแป๊บด้วยไม้หน้าสามจอดอยู่กับที่กองอยู่ตรงน​ั้น ต่อจากนั้นก็รุมประชาทัณฑ์กันไป แล้วแต่ความถนัดของแต่ละคน จนสิ้นชีวิตทุกคน ตายเหมือนสุนัขข้างถนน

                ด้านในธรรมศาสตร์ อาของผมเดินตามนายตำรวจท่านนั้นเข้าไปด้วย และได้เห็นแท้จริงไอ้ขวดน้ำมันนั้นที่เอามาจากรถบรรทุก ซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่รู้กี่ขวดต่อกี่ขวดถูกขว้างไปที่แห่งเดียวคือยอดโดม เสียงที่ทุกคนตะโกนออกมา “เผามันให้หมด ไอ้โดมหัวอวย” แต่ก็แปลกมาก โดมนั้นไม่ได้ถูกไฟไหม้จนหมดทั้งที่ ไฟลุกท่วมอยู่ตลอดเวลา


               หนังสือในห้องสมุดถูกนำออกมากองมากมายแล้วก็เผา ควันไฟลอยโขมงบังมิดไปหมดทั่วทั้งบริเวณ จน คนภายนอกเข้าใจว่าธรรมศาสตร์โดนเผาไปหมดแล้ว

              อาของผมสุดทนแต่ก็ไม่สามารถทำตัวเป็นแกะดำได้ เลยแอบกลับก่อนไม่อยากดูอะไรอีกแล้ว มันสะเทือนใจเหลือเกิน และกลับมานอนร้องไห้อยู่ที่บ้าน ไม่ดูอะไรทั้งนั้น ไม่ฟังอะไรทั้งนั้น ข่าวทุกข่าวล้วนโกหกทั้งสิ้น นึกรู้ทันที ประเทศนี้มีแต่เรื่องโกหก ไอ้ที่เราเชื่อถือมากนั่นแหละตัวดี ในสมัยนั้นเครื่องแบบตำรวจเครื่องแบบทหารถือว่าศักดิ์สิทธิ์มากคำพูดทุกคำคือสัจจะขอ​งลูกผู้ชายเรื่องตลบตะแลงจะไม่มีให้เห็นกับคนสองอาชีพนี้ เป็นอันขาด


แต่..ทุกคนคิดผิด แท้จริงสองอาชีพนี้สั่งสอนให้หน้าด้านตอแหลมากที่สุดต่างหาก และ จากนั้นเป็นต้นมาอาของผมไม่เคยเชื่อถือคำพูดทหารกับตำรวจอีกเลย อะไรที่ว่าจริงคือเท็จทั้งสิ้นเพราะมันอบรมย์สั่งสอนกันมาแบบนั้นจริงๆ

ที่ผมเอาเรื่องนี้มาเล่าให้ฟัง มิใช่จะมาอวดอ้าง มิใช่จะเอามาประณามกัน แต่ที่เล่าให้ฟังก็เพราะอยากจะบอกเรื่องราวอะไรบางอย่างที่ผู้คนในสมัยนั้นไม่ทันได้​คิดและยังเชื่อสนิทใจว่า“เทวดาต้องดีเสมอ เทวดาต้องแตะต้องไม่ได้ เทวดาเป็นผู้มีบุญมาเกิด มีความรักและเมตตากับมนุษย์เท่านั้น ผิดจากนี้ไม่ใช่เหล่าเทวดากระทำ”


เมื่อเป็นเช่นนั้น อาผม ยังคงงมงายอยู่กับเทวดาไม่รู้ลืม มั่นใจสุดๆเทวดาไม่รู้เรื่อง เรื่องทั้งหมดเกิดจากการเมืองทั้งสิ้น เป็นแผนของทหารที่เอาเงินจากงบประมาณของแผ่นดินมาเล่น ในเกมส์ช่วงชิงอำนาจกันเองของมวลหมู่มนุษย์ด้วยกัน ไม่ใส่ใจว่าจะมีมือหรือเท้าที่มองไม่เห็นอยู่ข้างหลังอีกที

เวลาล่วงเลยไป เข้ามาปี 2549 เค้าลางเริ่มแสดงออกมาใหม่ “เจ๊กกบฏลิ้ม” สำแดงออกมาให้เห็น เทวดานั้นอยู่เบื้องหลังทั้งหมดจริงๆ มันไม่แค่พูดด้วยปากเฉยๆ บางครั้ง “นางมารฟ้า”ก็ยังสำแดงเดชให้ประจักษ์แก่สายตามนุษย์อีกด้วย เช่นกัน


เรื่องทั้งหมดที่เป็นเหตุมันจึงเริ่มมาจากตรงนี้

และปี 5 2 และ 53 ก็ชัดแจ่มแจ้งแดงแจ๋ขึ้นมาอีก ฆ่ากันอีกแล้วเหมือนหมูเหมือนหมาอีกเช่นเคย มันชัดยิ่งกว่าชัด เหล่าเทวดานางฟ้าบนสวรรค์ทั้งนั้นที่เป็นคนเปิดเกมส์ล่ามนุษย์ขึ้น หลายพันคนต้องคมกระสุนปืน เกือบร้อยศพที่ต้องสิ้นลมหายใจ จากไปเหตุเพราะมันย่างเข้าฤดูเปลี่ยนถ่ายอำนาจในสรวงสวรรค์แล้ว จึงต้องเร่งสังเวยมนุษย์เพื่อการดำรงคงอยู่ของหมู่มวลเทพเอง

จนกระทั้ง ณ.นาทีนี้เวลานี้ มันถลำลึกเกินกว่าจะแก้ไข เทพกลายเป็นมารกันไปหมด ไม่ว่าเทพตนไหนที่ยกย่องกันหนักหนา แท้จริงมันไม่ใช่เทพทั้งนั้นมันคือเหล่ามารแอบจุติกันลงมาเกิดกันทั้งสิ้น


เหล่าเทวดานางฟ้าแม้จะเสียรางวัดความนิยมไปมาก แต่ก็ไม่คิดกลับตัวกลับใจ คล้ายกับว่าตนเองนั้นจะทำอะไรก็ถูกต้องเสมอ เกิดมาเพื่อทำอะไรก็ไม่ผิด ระยำตำบอนแค่ไหนมนุษย์ก็ยังซื่อสัตย์กันตนเองอยู่ แล้วก็เริ่มสั่งการอย่างต่อเนื่อง วางแผนแยบยลอย่างไม่หยุด

ทาสในเรือนเบี้ยเห็นช่องการใช้เงินจึงคิดแผนกันขึ้นมา
เป็นการประจบ เป็นการเอาใจในหมู่มาร เป็นการยืดอายุตนเองให้คงกระพันตามหมู่มารเข้าไปด้วย โดยหวังว่าการยุยงส่งเสริมแล้วเอากองทัพหนุนหลังให้มนุษย์ฆ่ากันตายเองอีกซักยกเท่าน​ั้นจึงสามารถรักษาเสถียรภาพการเป็นเหล่าเทพฯเอาไว้ได้

โมเดล 6ตค.19ถูกนำมาปัดฝุ่นใหม่ หวังให้มนุษย์ฆ่ามนุษย์เองอีกครั้ง เพื่อตนเองจะได้อยู่คงกระพัน โดยลืมไปว่าเมื่อ35ปีก่อนกับเวลานี้มันไม่เหมือนกันเสียแล้ว โลกเจริญไปมาก ข่าวสารต่างๆมันพรั่งพรูออกมาอย่างไม่รู้จบ จริงบ้างเสริมแต่งบ้างแต่มนุษย์เกินกว่าครึ่งประเทศก็เลือกที่จะเชื่อข้อมูลใหม่นั้น​ๆเพราะมันเห็นกันจะจะด้วยตาตนเอง


แท้จริง ถ้ามีใครประเมินและศึกษาให้ถ่องแท้ เหตุการณ์6ตค,19มันไม่ใช่โมเดลที่จะสามารถกลับนำมาใช้ได้ซ้ำสองอีกเลย มันมีข้อบกพร่องมากมายในโมเดลนั้น และมันคนละสถานการกันด้วย


ประการที่1. วันนั้นประชาชนยังคงรักบูชาเทพฯเจ้าอยู่อย่างไม่เสื่อมคลาย


ประการที่2. วันนั้นข้อมูลข่าวสารยังล้าสมัยมาก ประชาชนส่วนใหญ่ยังไม่รู้ความจริง


ประการที่3. คู่ต่อสู้ยังเป็นผู้ด้อยประสบการณ์ส่วนใหญ่ ยังเป็นเยาวชนจึงไม่มีแผนที่จะรองรับในการตอบโต้ข้อมูลนั้นๆ


ประการที่4. ไม่มีเงินหนุนหลัง มีแต่ความศรัทธาในความเชื่อของตัวเองเท่านั้น และ ยังต้องอาศัยเงินทองจากบุพการีของตนเองอยู่


ประการที่5. เป็นแนวคิดใหม่สำหรับพวกเขา ที่ประเทศไทยถูกอเมริกาล้างสมองประชาชนมาอย่างเนิ่นนาน มากพอ จนประชาชนไม่อาจยอมรับในข้อมูลใหม่ได้


ประการที่6.คนไทยส่วนหนึ่งเชื่อจริงๆว่า ผู้ที่อยู่ในธรรมศาสตร์คือภัยของประเทศชาติจริง ต้องฆ่าทิ้งมันจริงๆ


ทั้ง6ข้อนี้ เป็นเหตุให้แผนการโมเดล 6 ตค.19ทำได้สำเร็จ

แต่..มาบัดนี้เกิดอะไรขึ้น


ประการที่1.ที่ราชประสงค์เมื่อมีคนถามว่าใครฆ่าประชาชน ทุกคนไม่มีเคอะเขินที่จะกล่าวร่วมกันว่า “ไอ้เหี้ยสั่งฆ่า” และคำๆนี้มันกระจายไปทั่วประเทศไทยแล้ว แม้แต่คนต่างประเทศยังเข้าใจสื่อความหมายอันนี้ออกกันทุกคน แท้จริงใครเข่นฆ่าประชาชนกันแน่


ประการที่2. มีใครเชื่อบ้าง ผู้สูงอายุที่เกิดมาพิมพ์ดีดไม่เป็น แต่ กลับมาหัดเล่นอินเตอร์เน็ตกันหมด ซื้อหาง่ายไม่แพง โทรศัพท์มือถือมีให้ติดต่อคุยกัน ทุกคนได้ข้อมูลเหมือนกันหมด มีภาพถ่ายมีคลิปเสียงพร้อม ชาวไร่ชาวนาถูกดึงให้มาเปิดอินเตอร์เน็ตของลูกๆกันอย่างไม่น่าเชื่อ


ถ้าใครไปต่างจังหวัดไกลๆแล้วลองไปถามคนเหล่านี้กันดู คนเหล่านี้จะรู้เรื่องการเมืองมากกว่าคนในกรุงเทพฯที่เอาแต่ทำงาน ซะอีก


ประการที่3.การฆ่าประชาชนอย่างมากมาย การใช้การประชาสัมพันธ์แบบบิดเบือน ผู้ที่ร่วมอยู่รู้ดีกันอยู่แล้ว พวกต่อต้านอำนาจเทวดาจึงมีปริมาณเพิ่มขึ้นมากมาย อันนี้ทุกฝ่ายทราบดีแต่ยับยังไม่ทัน แผนต่างๆถูกกำหนดโดยธรรมชาติของตัวมันเองเพื่อป้องกันตัวเอง จึงอย่าได้หวังว่ากลุ่มประชาชนพวกนี้จะไร้เดียงสาเช่นนักศึกษาในปี19อีก การออกมาใส่ร้ายแล้วฆ่าคงไม่เกิดขึ้นง่ายดายเหมือนตอนนั้นเป็นแน่แท้


ประการที่4. มีการระดมทุนร่วมกันออกมาต่อต้านทั้งประเทศ จะเห็นได้ว่าเกือบทุกอาทิตย์มีการสัมมนามีการหาเงินทุนสำรองกันเองมากมาย ไม่จำเป็นต้องไปขอใครมาด้วย เขาสู้ด้วยพลังและเงินของตัวเองล้วนๆ


ประการที่5.แนวคิดที่จะเอาประชาธิปไตยกลับคืนมา มันถูกเพาะบ่มมากว่า5ปีเข้าไปแล้ว มันซึมเข้าไปในสายเลือดกันหมดแล้ว อะไรมาล้างสมองใหม่ก็คงไม่สำเร็จ หรือจะกล่าวแบบนี้ก็ได้ แผนการที่จะทำการล้างคนไทยด้วยกันด้วยฝีมือคนในชาติเดียวกันเพราะถูกล้างสมองคงไม่เก​ิดขึ้นแน่


ประการที่6.สำคัญที่สุดคนไทยเกินครึ่งประเทศตาสว่างกันหมดแล้ว


ทั้ง6.ข้อนี้ ต้องคิดหนักหน่อยถ้าใครจะคิดเอาโมเดล6ตค.19งัดออกมาใช้อีก มันจะสำเร็จสมประสงค์เหมือนเดิมหรือไม่

ก็อยากจะบอกต่อ


ไพ่ใบสุดท้ายที่ทิ้งออกมานี้ โมเดลนี้ทำได้หรือไม่ได้ก็ไม่ว่า แต่ มันจะกลายเป็นศรย้อนกลับมาที่ตัวมันเองอีกด้วยหรือไม่ การให้อาวุธกับประชาชนเพื่อฆ่าประชาชนกันเอง


มีคนคิดกันไว้แล้ว หลอกเอาเงินมาใช้ฟรีๆกันก่อนถ้ามีการรับสมัครนวพลหรือลูกเสือชาวบ้าน เมื่อถึงเวลาอาวุธอันนั้น จะเอามาแก้แค้นให้พวกพี่น้องของเขาแทน ตำรวจและทหารจะควบคุมแบบ6ตค.19ได้ไหม คิดเอาเอง ถ้า10เปอร์เซ็นต์ของ นวพลใหม่คือไส้ศึกที่แฝงกายเข้าไป ลูกเสือชาวบ้านยุคใหม่คือคนเสื้อแดงที่เข้าไปร่วมกว่าครึ่ง..ถ้ามีสมองก็คิดกันเอาเองครับ


หรือเทวดากำลังหน้ามืดตามัวกันอยู่ แผนชั่วๆแบบนี้จึงถูกนำเอามาใช้อีก

ประเทศไทยจะได้เป็น “ไท”จริงๆก็เพราะเรื่องนี้เอง ใช่ไหม? เวลาใกล้เข้ามาแล้ว

http://redusala.blogspot.com
ท่าทีรัฐบาลปรีดี-ธำรงต่อกรณีสวรรคต

http://somsakwork.blogspot.com/2007/11/blog-post_15.html


ผมหวังว่าจะมีโอกาสเขียนถึงประวัติศาสตร์กรณีสวรรคตทั้งหมดโดยละเอียดในอนาคต ในทีนี้ ผมขอนำเสนอข้อมูลบางประการเกี่ยวกับท่าทีของรัฐบาลปรีดี-ธำรงหลังเกิดกรณีสวรรคต โดยเฉพาะในส่วนที่ (เท่าที่ผมทราบ) ไม่เคยมีการเปิดเผยหรือพูดถึงมาก่อนในหนังสือเกี่ยวกับกรณีสวรรคตต่างๆ

ก่อนอื่น ขอเตือนความจำว่า กรณีสวรรคตบังเอิญเกิดขึ้นขณะที่ไม่มีรัฐบาลจริง มีแต่รัฐบาลรักษาการ เพราะนายกรัฐมนตรี ปรีดี พนมยงค์ และคณะรัฐมนตรีได้ถวายบังคมลาออกในวันที่ 1 มิถุนายน 2489 เพื่อให้มีการตั้งรัฐบาลใหม่หลังการประกาศใช้รัฐธรรมนูญใหม่และมีเลือกตั้งสมาชิกพฤฒสภาเพื่อประกอบเป็นรัฐสภาใหม่แล้ว ก่อนวันสวรรคตวันเดียว มีประกาศตั้งปรีดีเป็นนายกอีกครั้ง แต่ยังไม่ทันตั้งคณะรัฐมนตรีใหม่ ก็เกิดการสวรรคตขึ้น

ในการประชุมสภาในคืนนั้น ปรีดีให้ ทวี บุณยเกตุ แถลงในนามรัฐบาลเสนอให้อัญเชิญพระอนุชาเจ้าฟ้าภูมิพลเป็นพระมหากษัตริย์องค์ต่อไป ในหนังสือบางเล่มอ้างว่า มีการประชุมคณะรัฐมนตรีและลงมติในเรื่องนี้ด้วย ผมไม่สามารถยืนยันเรื่องนี้ได้ เพราะปัจจุบัน ไม่มีรายงานการประชุมคณะรัฐมนตรีระหว่างวันที่ 1 ถึง 11 มิถุนายน เหลืออยู่ มีรายงานการประชุมครั้งสุดท้ายของ ครม.ชุดก่อนลาออก ในวันที่ 31 พฤษภาคม (การประชุมครั้งที่ 19/2489) และมีรายงานการประชุมของ ครม.ที่ตั้งใหม่ ตั้งแต่ครั้งแรกในวันที่ 12 มิถุนายน (การประชุมครั้งที่ 1/2489 เริ่มต้นนับครั้งที่ใหม่) แต่ไม่มีรายงานการประชุมระหว่าง 11 วันนั้นเลย อาจเป็นไปได้ว่า มีการประชุม ครม.รักษาการในคืนวันสวรรคต แต่ไม่มีการทำรายงานไว้หรือทำไว้แต่สูญหายไป หรือมิฉะนั้น ก็อาจไม่มีการประชุม ครม. และข้อเสนอเรื่องอัญเชิญพระอนุชาเป็นการตัดสินใจของปรีดี (อาจจะร่วมกับอดีต รมต.ที่ใกล้ชิดบางคน) เท่านั้น โดยส่วนตัว ผมสงสัยว่าน่าจะเป็นกรณีหลัง

เมื่อมีการตั้งคณะรัฐมนตรีใหม่ เป็นธรรมดาที่การจัดการเรื่องงานพระบรมศพจะเป็นวาระต่อเนื่องสำคัญของรัฐบาลใหม่ เริ่มตั้งแต่การประชุมครั้งแรกในวันที่ 12 มิถุนายน ทวี บุณยเกต ในฐานะรัฐมนตรีสั่งราชการแทนนายกรัฐมนตรี (เทียบเท่า รมต.สำนักนายก ในสมัยหลัง) อธิบายว่า “ในการจัดการพระราชกุศลถวายพระบรมศพคราวนี้ ได้สั่งให้จัดถวายตามแบบอย่างเมื่อครั้งพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัวทุกประการ” โดยสำนักพระราชวังได้คำนวนค่าใช้จ่ายจากการประดิษฐานพระบรมศพถึงงานทำบุญ 7 วัน ไม่รวมค่าก่อสร้างพระเมรุและงานถวายพระเพลิง เป็นเงินไม่เกิน 1,832,304 บาท (รายงานการประชุม ครม. 1/2489)

กำเนิด “ศาลกลางเมือง”

แต่ที่สำคัญยิ่งกว่าเรื่องการจัดงานพระบรมศพ ก็คือ วิกฤตการเมืองที่ก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็วจากการสวรรคต ปัจจุบันเราได้รู้แล้วว่า ภายใน 2 วันหลังการสวรรคต ราชนิกูลชั้นสูงบางคน (ระดับพระเจ้าบรมวงศ์เธอ หรือ พระเจ้าวรวงศ์เธอ) ได้ไปพบทูตอังกฤษประจำไทย ปล่อยข่าวว่าในหลวงอานันท์ถูกลอบปลงพระชนม์อย่างแน่นอน เจ้านายองค์นี้อ้างว่าเห็นพระศพด้วยตัวเอง กระสุนเข้าทางท้ายทอยออกทางหน้าผาก และว่านี่เป็นฝีมือของปรีดีเพื่อข่มขวัญให้พระราชวงศ์ทั้งหมดยอมทำตาม เป็นส่วนหนึ่งของแผนการสร้างสาธารณรัฐ (ดูรายงานของทูตอังกฤษที่ปรีดีเอามาเปิดเผยใน คำพิพากษาใหม่กรณีสวรรคต ร.8, 2523, หน้า199-201) แน่นอน ขณะนั้นรัฐบาลปรีดีอาจจะยังไม่ตระหนักถึงการเคลื่อนไหวที่ทำกับวงการทูตฝรั่งของพวกนิยมเจ้านี้ แต่การปล่อยข่าวในพระนครที่ดำเนินไปพร้อมกัน เช่น โทรศัพท์ไปตามหน่วยราชการตั้งแต่บ่ายวันสวรรคต บอกว่า อย่าเชื่อแถลงการณ์รัฐบาล ในหลวงถูกลอบปลงพระชนม์แน่ๆ ได้เข้าถึงหูรัฐบาลแล้ว (เพิ่งอ้าง, หน้า 48-49) เพื่อสยบข่าวลือเช่นนี้ ในการประชุมคณะรัฐมนตรีวันที่ 15 มิถุนายน ปรีดีจึงเสนอให้ตั้งคณะกรรมการเพื่อสอบสวนสาเหตุการสวรรคต ที่จะถูกเรียกกันทั่วไปว่า “ศาลกลางเมือง” โดยให้มีลักษณะเป็นสาธารณะมากที่สุด (รายงานการประชุม ครม. 3/2489):
1. เรื่องตั้งกรรมการสอบสวนการสวรรคต

นายปรีดี พนมยงค์ – เรื่องสวรรคตมีสงสัยและพูดกันมาก ถ้าจะตั้งกรรมการของรัฐบาลที่จะสอบสวนเรื่องนี้ คือ 1.ประธานกรรมการศาลฎีกา 2.อธิบดีศาลอุทธรณ์ 3.อธิบดีศาลอาญา 4.อธิบดีอัยยการ 5.ประธานสภาอาวุโส 6.ประธานสภาผู้แทน และ 7.เจ้านาย พระองค์ธานี ทำนอง Court of Inquiry ให้ทำหน้าที่สอบสวนพฤติการณ์เรื่องนี้ ให้พิจารณาอย่างเปิดเผย ใช้สถานที่ของศาลยุติธรรม ประชาชนได้ฟังได้ ทางตำรวจจะได้นำพะยานมาสอบถามทีละคน ประชาชนจะยกมือให้กรรมการถามก็ถามได้ จะสมควรไหม ได้ถามแล้ว ทางตำรวจก็พร้อมที่จะทำให้เช่นนี้แล้ว เราก็ทำ fair play ทุกอย่าง

พระยาสุนทรพิพิธ – ที่จะให้ประชาชนให้กรรมการถามจะเกินไป

นายปรีดี พนมยงค์ – ผู้มีสิทธิถาม 1.กรรมการ 2.ตำรวจ กรรมการจะมีอะไรต้องการรู้ จากพระเจ้าอยู่หัว พระราชชนนี ก็ไปขอเฝ้าได้ ไม่ใช่เรียกพระองค์ท่านมาที่ศาล

นายทวี บุณยเกตุ – เราควรแถลงว่า ไม่ได้ขึ้นไปเฝ้าขณะเกิดเหตุนั้น แถลงเกี่ยวกับพระราชประเพณี ควรแถลง

พระยาสุนทรพิพิธ – สถานที่ควรเป็นในพระราชวัง ไม่ใช่เป็นการกลางเมือง

นายปรีดี พนมยงค์ – เอาศาลาสหทัย

หลวงสุขุมนัยประดิษฐ์ – ก.พ. อยู่

นายปรีดี พนมยงค์ – เราก็เคารพพระมหากษัตริย์จริงๆ พวกอื่นมันไม่ได้เคารพ ผู้ใดเห็นควรจะถามอย่างไร ก็เขียนข้อถามให้กรรมการถามได้ ส่งล่วงหน้าหนึ่งวัน

พล.ร.ต.หลวงธำรงนาวาสวัสดิ์ – เอาอย่างนี้ ใคร จะมีอะไร รู้อะไรในเรื่องนี้ ให้ไปแจ้งแก่อธิบดีกรมตำรวจ กรณีที่เจ้าตัวจะปิด ก็รับว่าจะไม่เปิดเผย สถานที่เอาที่ยุตติธรรม ผมก็จะจัดให้

พ.อ.พระยาสุรพันธ์เสนี – ดีแล้ว

พระยาสุนทรพิพิธ – เราตกลงกันแล้ว ควรนำความกราบบังคมทูลในหลวงเสียก่อนว่าจะทำวิธีนี้ ให้ท่านเห็นพ้องด้วย ให้มันขาวกระจ่าง

นายปรีดี พนมยงค์ – เราเอาหลักการอันนี้ไว้ เมื่อตั้งผู้สำเร็จฯพรุ่งนี้แล้ว ก็ขอให้ผู้สำเร็จฯนำความกราบบังคมทูล ส่วนที่เราจะเปิดโอกาสผู้ใดมีข่าวอย่างไรให้แจ้งไปกรมตำรวจ เพื่อที่กรมตำรวจจะได้รวบรวมประกาศไป สำหรับผู้มีความจงรักภักดีทั้งหลาย ที่จะช่วยเหลือการสอบสวนของกรมตำรวจ ให้ดียิ่งขึ้น ผู้ใดมีหลักฐาน หรือรู้อะไร ขอได้โปรดให้หลักฐาน ให้แจ้งมาแล้วผู้ใดจะปิดลับ เราก็จะปิดเป็นความลับ เป็นมติคณะรัฐมนตรี โฆษณาก็ทำประกาศได้ แล้วบอกไปกรมตำรวจ ขอให้แจ้งตรงไปอธิบดีตำรวจ ส่วนที่ทำการก็ใช้ห้องในกระทรวงยุตติธรรม

ที่ประชุมตกลง

1. ให้ตั้งกรรมการ ประกอบด้วย
(1) ประธานกรรมการศาลฎีกา
(2) อธิบดีศาลอุทธรณ์
(3) อธิบดีศาลอาญา
(4) อธิบดีกรมอัยยการ
(5) ประธานพฤฒสภา
(6) ประธานสภาผู้แทน
(7) พระองค์เจ้าธานีนิวัต
เป็นกรรมการสอบสวนพฤตติการณ์เกี่ยวกับการสวรรคตคราวนี้ โดยเปิดเผย

2. ให้ใช้ห้องในกระทรวงยุตติธรรมเป็นที่พิจารณาสอบสวน

3. เมื่อตั้งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์แล้ว ให้นำความขึ้นกราบบังคมทูลขอพระบรมราชานุญาต

4. ให้กรมโฆษณาการทำประกาศให้ผู้จงรักภักดีที่จะช่วยเหลือการสอบสวนของกรมตำรวจให้ดียิ่งขึ้น แสดงหลักถานหรือความรู้ความเห็นต่ออธิบดีกรมตำรวจ
จะเห็นว่า เดิมปรีดีเสนอให้ตั้งเจ้านายเพียงองค์เดียวเป็นกรรมการ คือ พระองค์เจ้าธานี แต่ในการประชุมในอีก 3 วันต่อมา ได้มีการเสนอเพิ่มเจ้านายอีก 2 พระองค์เป็นกรรมการด้วย (รายงานการประชุม ครม. 4/2489):
1. เรื่องตั้งกรรมการสอบสวนพฤตติการณ์เนื่องในการที่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลเสด็จสวรรคต

นายปรีดี พนมยงค์ – เรื่องการสอบสวนสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้เสนอคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์เห็นชอบด้วยแล้ว ที่จะตั้งกรรมการขึ้นสอบพฤตติการณ์ นี่ก็ได้เชิญ (กรรมการ) ไป ขอที่ (พิจารณา) ที่กระทรวงยุตติธรรม

พล.ร.ต.หลวงธำรงนาวาสวัสดิ์ – ผมจัดให้แล้ว เอาห้องโถงหน้ากระทรวง ขอไมโครโฟน 2 น ติดสปี๊กเกอร์ที่หลังบางธารณี ขอให้กรมโฆษราจัด

นายปรีดี พนมยงค์ – ในวันนี้ใคร่จะได้เปิดพระบรมโกศออกตรวจ โดยว่าข้อนี้มีผู้สงสัยว่ามีผู้ลอบปลงพระชนม์ท่าน ได้เชิญพระราม หลวงนิตย์ และให้เตรียมแพทย์ เครื่องเอ๊กเรย์ กรมชัยนาทท่านก็รับสั่งให้ทำได้

นายทวี บุณยเกตุ – เป็นลายลักษณ์อักษรหรือ เดี๋ยวจะว่าเปล่า แพทย์ที่จะตรวจก็ต้องหลายคน

นายปรีดี พนมยงค์ – เราทำหนังสือถึงคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ด้วย แพทย์เท่าที่คิดไว้มีใคร

พันตรี หลวงนิตย์เวสวิศิษฐ์ – เจ้าคุณดำรง พลตรีสงวน ผม หลวงพิณ หมอเช้ง......

พล.ร.ต.หลวงธำรงนาวาสวัสดิ์ – ผมอยากจะเรียนเรื่องการระมัดระวังความปลอดภัยในหลวงองค์นี้ต้องจัดเสีย

นายปรีดี พนมยงค์ – นี่ก็เอาพระองค์จุมภฏ พระองค์ธานีนั้นเดี๋ยวจะว่าเป็นญาติกับผม

พระยาสุนทรพิพิธ – เอาเสียอีก 2 พระองค์ก็ดี พระองค์ธานี พระองค์ภาณุ

นายปรีดี พนมยงค์ – เชิญพระองค์ภาณุ พระองค์ธานีมาด้วย พระบรมศพเปิดเอาพรุ่งนี้ก็ได้

พล.ร.ต.หลวงธำรงนาวาสวัสดิ์ – ผมสั่งไว้แล้วเรื่องสถานที่ ทีนี้กรรมการแกมาหาถามว่า terms of reference …. อย่างไร ผมก็บอกว่าเป็นกรรมการ ไม่ใช่ศาล เดี๋ยวหนังสือพิมพ์จะว่าผิดรัฐธรรมนูญ ตัด Court of Inquiry ออกดีกว่า แล้วในกรณีนี้ ถ้าเกิดมีคดีหมิ่นประมาทขึ้น จะว่าอย่างไร

นายปรีดี พนมยงค์ – เป็นการสอบสวนของตำรวจ แต่ต่อหน้ากรรมการ (อ่านประกาศตั้งกรรมการ ........แนบท้ายรายงาน)

พล.ต.ท.พระรามอินทรา – ประชาชนซักไม่ได้

นายปรีดี พนมยงค์ – การพูดต้องตามความจริง

พล.ร.ต.หลวงธำรงนาวาสวัสดิ์ – หลักเราถือเป็นการสอบสวนของกรมตำรวจ แต่ต่อหน้ากรรมการ เรื่องเอ๊กเรย์ ถ้าทำได้เป็นการดี

นายทวี บุณยเกตุ – กรรมการก็ให้ซักได้ เดี๋ยวจะว่าตั้งเป็นจะเหว็ด

พล.ต.ท.พระรามอินทรา – ให้กรรมการซักได้ เราจด

นายปรีดี พนมยงค์ – สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระชนนี ก็เผชิญสืบเอา ไม่ต้องเอามา

พระยาสุนทรพิพิธ – บัตรสนเท่ห์ก็ควรเสนอกรรมการด้วย

พล.ร.ต.หลวงธำรงนาวาสวัสดิ์ – ดี ถ้าหากว่าเรื่องเป็นไปในการลอบทำร้ายแล้ว ตำรวจก็ทำต่อไป ไม่ใช่เรื่องกรรมการ

นายปรีดี พนมยงค์ – ขอมอบให้เลขาศาลฎีกาเป็นเลขาด้วย

พล.ร.ต.หลวงธำรงนาวาสวัสดิ์ – (นาย) สัญญา เงินค่าใช้จ่าย ให้มาเบิกทางกรมเลขาธิการคณะรัฐมนตรี

นายปรีดี พนมยงค์ – ให้นายสัญญา เป็นเลขานุการ นายสอาด เป็นผู้ช่วย

พล.ต.ท.พระรามอินทรา – ขอ (พ.ต.ต.) เอ็จ สักคนหนึ่ง

นายปรีดี พนมยงค์ – การย้ายพระศพวันนั้น ใครสั่ง

พล.ต.ท.พระรามอินทรา – พระยาอนุรักษ์สั่ง

พล.ร.ต.หลวงธำรงนาวาสวัสดิ์ – ได้ความว่ามีรอยไหม้ไหม

พ.ต.ต.ขุนประสงค์สิทธิการ – ไม่ได้สังเกตุดู

นายปรีดี พนมยงค์ – อย่าลืมว่าชีพจรยังอยู่ เวลาพระอนุชาเสด็จไป

พระยาสุนทรพิพิธ – อย่าลืม ท่านกินยาถ่าย คนกินยาถ่าย ท่านต้องรอให้ถ่าย ระหว่างนั้นอาจเล่นอะไรฆ่าเวลาก็ได้

พล.ร.ต.หลวงธำรงนาวาสวัสดิ์ – เสียงประชาชนนึกว่า นายชิต อยู่คนเดียว

พล.ต.ท.พระรามอินทรา – คุยกับนายบุศย์

นายปรีดี พนมยงค์ – ต้องบันทึกการตรวจเพดานพระที่นั่ง มีรูยิงไหม

ที่ประชุมตกลง

1. ให้ตั้งกรรมการเพิ่ม คือ
พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจุมภฏพงศ์บริพัตร
พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภาณุพันธยุคล
พลตรี วิเชียร สุตันตานนท์
พลเรือตรี แชน ปัจจุสานนท์
พลอากาศตรี หลวงเชิดวุฒากาศ
นายสัญญา ธรรมศักดิ์ เป็นเลขานุการ
นายสอาด นาวีเจริญ เป็นผู้ช่วยเลขานุการ

2. เงินค่าใช้จ่ายให้เบิกทางกรมเลขาธิการคณะรัฐมนตรี

3. ให้กรมโฆษณาการจัดเรื่องกระจายเสียง

การตั้งผู้สำเร็จราชการให้ในหลวงองค์ใหม่
และการเกือบจะตั้งให้ในหลวงอานันท์


การตั้งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ที่ปรีดีพูดถึงในการประชุมวันที่ 15 ข้างต้น จำเป็นเพราะในหลวงองค์ใหม่ยังไม่ทรงบรรลุนิติภาวะ ในที่ประชุมวันนั้นเครม.ได้ตกลงเสนอกรมขุนชัยนาทนเรนทรและพระยามานวราชเสวี (ดูข้างล่าง) และสภาให้การรับรองในวันต่อมา โดยสภามีมติกำกับว่า “ในการลงนามในเอกสารราชการนั้น ให้ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ทั้งสองเป็นผู้ลงนาม” เรื่องนี้จะมีความสำคัญในปีต่อมา เมื่อทหารกับพวกนิยมเจ้าร่วมกันทำรัฐประหาร 8 พฤศจิกายน และประกาศใช้รัฐธรรมนูญชั่วคราวที่เรียกว่า “ฉบับใต้ตุ่ม” กรมขุนชัยนาทนเรนทรจะเป็นผู้ลงพระนามเพียงผู้เดียวในรัฐธรรมนูญนั้นอย่างขัดกับมติของสภา


http://redusala.blogspot.com
“พระบารมีปกเกล้า: พระสุรเสียงราชินีบนเวทีพันธมิตร”

ปัจฉิมลิขิต บทความ “พระบารมีปกเกล้า: พระสุรเสียงราชินีบนเวทีพันธมิตร”

http://somsakwork.blogspot.com/2011/04/blog-post.html

วันที่ 12 สิงหาคม 2551 ผมได้เผยแพร่บทความเรื่อง "พระบารมีปกเกล้า: พระสุรเสียงราชินีบนเวทีพันธมิตร" ที่ประชาไทและที่อื่นๆ ขณะนั้น นัยยะความสำคัญของสิ่งที่บทความกล่าวถึง ยังไม่เป็นที่ตระหนักกันอย่างเต็มที่ ในบทความดังกล่าว ผมได้เล่าถึงการปรากฏของเทปบันทึกพระสุรเสียงของสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถบนเวทีชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ในช่วงวันเข้าพรรษา-อาสาฬหบูชา กลางเดือนกรกฎาคมปีนั้น โดยที่เทปบันทึกพระสุรเสียงนั้นเป็นเทปส่วนพระองค์ที่ไม่เคยเผยแพร่ที่ใดมาก่อน แต่สนธิ ลิ้มทองกุล ผู้นำกลุ่มพันธมิตร กลับสามารถนำมาเปิดให้ผู้ร่วมชุมนุมฟังได้อย่างประหลาด 



ยิ่งกว่านั้น สนฺธิยังได้เสนอการตีความเทปบันทึกพระสุรเสียงในลักษณะที่สอดคล้องสนับสนุนการต่อสู้ของกลุ่มพันธมิตรในขณะนั้น ที่กำลังจัดชุมนุมยืดเยื้อเพื่อโค่นรัฐบาลจากการเลือกตั้งของพรรคพลังประชาชน


บทความของผมยังเสนอด้วยว่า ลำพังเทปพระสุรเสียงส่วนพระองค์บนเวทีพันธมิตรก็นับว่าสำคัญอย่างมากแล้ว บันทึกและคำบอกเล่าของผู้นำพันธมิตรในช่วง 2 ปีก่อนหน้านั้น เกี่ยวกับการต่อสู้ของพันธมิตรในปี 2549 ที่นำไปสู่การรัฐประหาร 19 กันยา ก็ยิ่งทำให้เกิดคำถามมากขึ้น ได้แก่ 


บันทึกของคำนูญ สิทธิสมาน (ตุลาคม 2549) ที่กล่าวถึง “ผ้าพันคอสีฟ้า” ที่มีข้อความ 


“902...74...12 สิงหาคม 2549...แม่ของแผ่นดิน” ซึ่งคำนูญเล่าว่า มี “ท่านผู้ปรารถนาดี” มอบให้ผู้นำพันธมิตรในช่วงการชุมนุมไม่กี่วันก่อนรัฐประหาร และเงินจำนวน 2.5 แสนบาท ที่ “สุภาพสตรีสูงศักดิ์” และ “ผู้ใหญ่ที่ท่าน[สุภาพสตรีสูงศักดิ์]เคารพ” มอบให้ในช่วงเดียวกัน ซึ่งได้ทำให้ผู้นำพันธมิตร “มีความมั่นใจอย่างยิ่งว่าพวกเราจะประสบชัยชนะแน่นอน” และ “ความทรงจำที่จะไม่มีวันลืมเลือนไปจวบวันตายก็คือ ครั้งหนึ่งในชีวิต ประชาชนช่วยจ่ายเงินเดือนเราโดยตรง แผ่นดินช่วยจ่ายเงินเดือนพวกเราโดยตรง” 


ซึ่งต่อมา สนธิ ลิ้มทองกุล ได้กล่าวในระหว่างการอภิปรายในสหรัฐ เมื่อเดือนสิงหาคม 2550 ว่า 


มีของขวัญชิ้นหนึ่ง มาจากราชสำนัก ผ่านมาทางท่านผู้หญิงบุษบา ซึ่งเป็นน้องสาวพระราชินี....ผมเข้าไปรับด้วยตัวเองกับท่านผู้หญิงบุษบา 


และอีกครั้งบนเวทีพันธมิตรในเดือนมิถุนายน ปีต่อมาว่า 


ผ้าพันคอนี้ ข้าราชบริพารในสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถได้เอามาให้พวกเราคืนนั้น แล้วบอกว่า พระองค์ท่านพระราชทานมา เป็นผ้าพันคอพระราชทาน


           ดังที่ผมกล่าวข้างต้นแล้วว่า ขณะที่บทความของผมได้รับการเผยแพร่เมื่อ 2 ปีก่อน นัยยะความสำคัญของเรื่องเหล่านี้ยังไม่เป็นที่ตระหนักกันดี แม้แต่ในหมู่ผู้อ่านที่สนับสนุนรัฐบาลพรรคพลังประชาชนและเป็นปฏิปักษ์กับพันธมิตร หลายคนยังมองว่า เรื่องทั้งหมดนี้เป็นเพียงการกล่าวอ้างของผู้นำพันธมิตร (ผมไม่คิดว่า เรื่องใหญ่และสำคัญเช่นนี้ พวกเขาจะกล้ากล่าวอ้าง) แต่ไม่ถึง 2 เดือนต่อมา ก็เกิดเหตุการณ์ 7 ตุลาคม ที่ผู้ชุมนุมพันธมิตรปะทะกับเจ้าหน้าที่ตำรวจบริเวณหน้ารัฐสภาและกองบัญชาการตำรวจนครบาล โดยมีพันธมิตรเสียชีวิต 2 คน คือ น.ส.อังคณา ระดับปัญญาวุฒิ หรือ “น้องโบว์” และ พ.ต.ท.เมธี ชาติมนตรี หรือ “สารวัตรจ๊าบ”


           สิ่งแรกที่น่าจะสร้างความรู้สึกตกใจคาดไม่ถึง ให้กับผู้ติดตามเหตุการณ์ในวันนั้น คือ ภายในชั่วโมงแรกๆของการปะทะ บนเวทีและทางสื่อพันธมิตร ได้ประกาศว่า สมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถทรงพระราชทานเงิน 1 แสนบาท รักษาพันธมิตรที่บาดเจ็บ ที่เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลวชิระพยาบาล(1)  แม้ว่าในตอนเย็นวันนั้น จะมีรายงานข่าวจากโรงพยายาลรามาธิบดีทางสื่อพันธมิตรเองว่า ทรงพระราชทานเงินช่วยรักษาผู้บาดเจ็บจากเหตุการณ์ที่เข้ารับการรักษาที่นั่น “อย่างเท่าเทียมกัน” แต่ก็ดูเหมือนจะไม่ได้หมายถึงว่า รักษาผู้บาดเจ็บทั้งที่เป็นพันธมิตรและเจ้าหน้าที่ เพราะดูเหมือนจะไม่มีเจ้าที่บาดเจ็บอยู่ที่นั่น(2) 


              และใน 2 วันต่อมา ท่านผู้หญิงจรุงจิตต์ ทีฆะระ รองราชเลขานุการในพระองค์สมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถ ได้แถลงว่า พระราชินีทรงติดตามข่าวเหตุการณ์ชุมนุมทางสถานีวิทยุโทรทัศน์และสิ่งพิมพ์ ทอดพระเนตรเห็นประชาชนที่ได้รับบาดเจ็บและถูกนำส่งโรงพยาบาล ทรงสลดพระราชหฤทัยและทรงห่วงใยประชาชนทุกหมู่เหล่า "การพระราชทานความช่วยเหลือในครั้งนี้เป็นการช่วยเหลือประชาชนทุกคน โดยไม่แบ่งว่าเป็นฝ่ายใด เพราะประชาชนทุกคนนั้นคือพสกนิกรของพระองค์ทุกคน"(3) 


              แต่ความจริง “ประชาชน” ในครั้งนั้นมีเฉพาะฝ่ายพันธมิตรเท่านั้น เพราะไม่ใช่การปะทะระหว่างประชาชนฝ่ายพันธมิตรกับประชาชนฝ่ายอื่น ที่เหลือที่ได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์คือเจ้าหน้าที่รัฐ อย่างไรก็ตาม ในวันเดียวกัน มีรายงานข่าวว่า ทรงพระราชทานเงินช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ได้รับบาดเจ็บตามโรงพยาบาลต่างๆด้วย ถึงกระนั้น ผมคิดว่าการพระราชทานเงินช่วยเหลือครั้งแรกสุดในชั่วโมงแรกๆของเหตุการณ์ที่มีแต่ฝ่ายพันธมิตรบาดเจ็บ ก็ยังเป็นการกระทำที่มีนัยยะทางการเมืองที่สำคัญมาก(4)


            ถ้าจะยังมีความไม่แน่นอนอยู่บ้าง เกี่ยวกับเรื่องเงินพระราชทานรักษาผู้บาดเจ็บในวันที่ 7 ตุลาคม 2551 สิ่งที่เป็นเรื่อง “ช็อค” อย่างแท้จริงยังกำลังจะตามมา


            วันที่ 9 ตุลาคม สมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถ ได้ทรงพระราชทานพวงมาลามาร่วมเคารพศพ น.ส.อังคณา ระดับปัญญาวุฒิ หรือ “น้องโบว์” 


             แต่ที่สำคัญที่สุดคือ วันที่ 13 ตุลาคม 2551 สมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถได้ทรงเสด็จไปพระราชทานเพลิงศพให้ “น้องโบว์” ด้วยพระองค์เอง (โดยมีองคมนตรีหลายคน ผู้บัญชาการ 3 เหล่าทัพ ร่วมตามเสด็จ)(5) 
ในระหว่างงาน ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ครอบครัวระดับปัญญาวุฒิเข้าเฝ้า มีพระราชปฏิสันถารด้วยโดยใกล้ชิด ทั้งยังทรงมีพระราชปฏิสันถารเป็นการส่วนพระองค์กับสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้นำพันธมิตรในที่นั้นด้วย นายจินดา ระดับปัญญาวุฒิ บิดา “น้องโบว์” ได้เปิดเผยว่าทรงมีรับสั่งกับครอบครัวเขาว่า

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับนางสาวอังคณา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงรับรู้เรื่องราวโดยตลอด รวมทั้งกรณีพระราชทานทรัพย์ส่วนพระองค์ช่วยเหลือผู้บาดเจ็บ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานทรัพย์ช่วยเหลือมาด้วย..... [อังคณา] เป็นเด็กดี ช่วยชาติ ช่วยรักษาสถาบันพระมหากษัตริย์....ยังไงก็ต้องมางานนี้ เพราะ [อังคณา] ทำเพื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และพระองค์ [สมเด็จพระนางเจ้าฯ] ด้วย....เป็นห่วงพันธมิตรทุกคน ไว้จะฝากดอกไม้ไปเยี่ยมพันธมิตร(6)
          
         แทบไม่จำเป็นต้องย้ำว่า น.ส.อังคณา ผู้ตาย (และสนธิ ลิ้มทองกุลเอง) เป็นส่วนหนึ่ง (และเป็นผู้นำ) ของกลุ่มการเมืองที่กำลังชุมนุมยืดเยื้อโดยมีเป้าหมายที่ประกาศเปิดเผยว่า เพื่อโค่นล้มรัฐบาลที่ชอบด้วยกฎหมายในขณะนั้น ทั้งยังได้กำลังยึดครองทำเนียบรัฐบาล ซึ่งในแง่การบริหารราชการแผ่นดิน (คือไม่นับวังหรือวัด) ต้องถือเป็นสถานที่ราชการที่มีความสำคัญสูงสุด เป็นเวลากว่า 1 เดือนแล้ว 

          การเสด็จพระราชทานเพลิงศพ “น้องโบว์” และพระราชดำรัสที่บิดา “น้องโบว์” นำมาเปิดเผย เป็น “สันปันน้ำ” (watershed) สำคัญของวิกฤติการเมืองไทยครั้งนี้ ซึ่งได้ส่ง “คลื่นแห่งความตกใจ” (shock wave) ทางการเมือง อย่างกว้างขวางใหญ่โต
          
           ในความเห็นของผม นี่คือปัจจัยผลักดันสำคัญที่สุดที่แท้จริงให้เกิด “จิตสำนึก” หรือ “อัตลักษณ์” ของ “ความเป็นเสื้อแดง” การชุมนุมมวลชนนับหมื่นที่พร้อมใจกันใส่เสื้อแดงเป็นครั้งแรก มีขึ้นในวันที่ 11 ตุลาคม 2551 (ที่เมืองทองธานี) ในท่ามกลางกระแสคลื่น shock wave เช่นนี้เอง แม้การชุมนุมครั้งแรกจะมีก่อนการเสด็จพระราชทานเพลิงศพ “น้องโบว์” แต่ข่าวเรื่องเงินพระราชทานช่วยพันธมิตรที่บาดเจ็บในเช้าวันที่ 7 ตุลาคม และพวงมาลาพระราชทานหน้าศพ “น้องโบว์” เป็นที่ทราบกันดีแล้ว(7) และเมื่อถึงการชุมนุมมวลชน “เสื้อแดง” ครั้งที่สอง ที่ใหญ่กว่าเดิม เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2551 (ที่สนามกีฬาราชมังคลา) “จิตสำนึก” เช่นนี้ก็ได้รับการทำให้เข้มข้นอย่างสูง จากเหตุการณ์วันที่ 13 ตุลาคม ซึ่งถึงตอนนั้นได้รับการ “ขนานนาม” กันในหมู่ “คนเสื้อแดง” ที่เพิ่งเกิดใหม่ว่าเป็น “วันตาสว่าง” (แห่งชาติ) 

           ผมตระหนักดีว่า ไอเดียของการใส่ “เสื้อแดง” เพื่อรณรงค์ทางการเมืองในหมู่ประชาชนที่ต่อต้านการรัฐประหาร 19 กันยา มีมาตั้งแต่ช่วงปี 2550 โดยเฉพาะในกลุ่มของสมบัติ บุญงามอนงค์ (“บ.ก. ลายจุด”) 

           แต่การใส่ “เสื้อแดง” ในช่วงนั้น เป็นเพียงการกระทำในลักษณะ “ชั่วคราว” สั้นๆ ในคนกลุ่มเล็กๆ และก็ยังมีการ “เปลี่ยนสีเสื้อ” ไปตามกรณี (เช่น สีดำ ในระหว่างรณรงค์ไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ คมช.) 

            อันที่จริง ถ้าจะกล่าวว่า มี “สี” อะไรที่เป็นสีเสื้อซึ่งประชาชนที่คัดด้านรัฐประหารในปี 2550 ใส่กันมากที่สุด สีนั้นคือ “สีเหลือง” (แบบเดียวกับพันธมิตร)! ประเด็นที่ผมพยายามเสนอในที่นี้คือ เราต้องแยกพิจารณาระหว่าง “กำเนิด” (ในทาง “เทคนิค”) ของไอเดียนี้ กับสิ่งที่ต่อมาได้กลายเป็นปรากฏการณ์ทางการเมืองขนาดใหญ่ที่มีคนเข้าร่วมด้วยหลายหมื่นหรือกระทั่งนับแสนคนทั่วประเทศ ที่พร้อมใจกัน “นิยามตัวเอง” (self-identification) ว่าเป็นพวกที่ไมใช่สีเหลือง (ซึ่งในหมู่พวกเขาจำนวนมากเคยนิยามตัวเอง) ปรากฏการณ์ทาง “การเมืองวัฒนธรรม” ขนาดมหึมาเช่นนี้ จะต้องมองบริบทที่มากกว่าการ “คิดค้น” ทางเทคนิคเรื่องการใส่สีเสื้อ (ที่มีมาก่อนเป็นปี) ดังกล่าว

               ไม่เพียงแต่เรื่องการแสดงออกของ “อัตลักษณ์” ทางสีเสื้อที่ไม่ใช่สีเหลืองนี้ การแสดงออกในด้านอื่นๆ ก็เปลี่ยนไปอย่างสำคัญอย่างเห็นได้ชัดหลัง 13 ตุลาคม 2551 ใครที่ติดตามการแสดงความเห็นทางเว็บบอร์ดการเมืองโดยเฉพาะในกลุ่มคนที่เรียกได้ว่า “พวกเชียร์ทักษิณ” ก็จะเห็นความเปลี่ยนแปลงนี้ ความคิดหรือการแสดงออกที่ภายหลังถูกศัตรูทางการเมืองของพวกเขากล่าวหาว่า “หมิ่นสถาบัน” หรือ “ล้มเจ้า” นั้น หาใช่สิ่งที่มีอยู่อย่างแพร่หลายในคนกลุ่มนี้ตั้งแต่ต้นแต่อย่างใด อารมณ์ความรู้สึกทั้งในแง่ “ช็อค”, ผิดหวังรุนแรง, “น้อยเนื้อต่ำใจ”, ขณะเดียวกันก็มีด้านที่ “ฮึดสู้” อย่างท้าทาย (defiance) ผสมผสานกันไปในการแสดงออกของกลุ่ม “คนเสื้อแดง” ที่เพิ่ง “เกิดใหม่” นี้ บางส่วนถึงกับ “กระฉอก” (spilling over) เข้าไปในแวดวงสภาผู้แทนราษฎร เมื่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยของพรรคพลังประชาชน 

            พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ กล่าวต่อสภาฯ เมื่อถูกตั้งกระทู้ถามเรื่องการยึดครองทำเนียบรัฐบาลของพันธมิตร

           ผมต้องพูดเปิดอกกับท่านทั้งหลายว่า ทุกท่านที่อยู่ในห้องนี้ทราบดีว่า ม็อบนี้เป็นม็อบมีเส้น ถ้าเป็นม็อบธรรมดาจบไปแล้วครับ จบไปนานแล้ว(8) 

            หรือเมื่อ ส.ส.พรรคพลังประชาชน-เพื่อไทย คนหนึ่งอ้างว่า สส.กลุ่ม “เพื่อนเนวิน” (กลุ่มที่ถอนตัวจากพรรคพลังประชาชน-เพื่อไทย ไปสนับสนุนประชาธิปัตย์ ทำให้ประชาธิปัตย์สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้) 2 คน บอกกับเขาว่า "รู้ไหม ขณะนี้กำลังสู้อยู่กับใคร สู้อยู่กับสถาบันไม่มีทางชนะหรอก"(9)

           แต่ที่สะท้อน อารมณ์ความรู้สึกของ “คนเสื้อแดง” หลัง 13 ตุลาคม 2551 ได้อย่างสมบูรณ์แบบที่สุดจนเป็นที่กล่าวขวัญกันคือ คำปราศรัยสด (“ไฮด์ปาร์ค”) เมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2551 ของณัฐวุฒิ ไสยเกื้อ ที่พูดด้วยอารมณ์สะเทือนใจอย่างลึกซึ้ง เมื่อเรายืนอยู่บนดิน เราจึงห่างไกลเหลือเกินกับท้องฟ้า ... ต้องแหงนคอตั้งบ่า แล้วเราก็รู้ว่า ฟ้าอยู่ไกล .... คนเสื้อแดง จะบอกดินบอกฟ้าว่า คนอย่างข้าฯก็มีหัวใจ ... คนเสื้อแดง จะถามดินถามฟ้าว่า ถ้าไม่มีที่ยืนให้สมคุณค่า..จะให้ข้าฯหาที่ยืนเองหรืออย่างไร...(10)

………….......………..

              หลังวันที่ 13 ตุลาคม 2551 ไม่ปรากฏข่าวสารทางสาธารณะเรื่องพระราชกรณียกิจของสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถในส่วนที่เกี่ยวกับพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยอีก กลุ่มพันธมิตรเองได้ยุติการชุมนุมยืดเยื้อที่รวมถึงการยึดครองทำเนียบรัฐบาลและ (ตั้งแต่ปลายเดือนพฤศจิกายน) สนามบินสุวรรณภูมิ ในวันที่ 3 ธันวาคม 2551 หลังจากรัฐบาลพรรคพลังประชาชนของสมชาย วงศ์สวัสดิ์ และพรรคพลังประชาชนเอง สิ้นสุดลงตามคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญ 

              อย่างไรก็ตาม ในช่วงวันเฉลิมพระชนม์พรรษาปีต่อมา สมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ ชิงชัย อุดมเจริญกิจ ศิลปินนักวาดรูปที่ร่วมชุมนุมกับพันธมิตรและเสียมือขวาในระหว่างเหตุการณ์ 7 ตุลาคม พร้อมภรรยา เข้าเฝ้าเพื่อทูลเกล้าฯถวายภาพพระบรมสาทิสลักษณ์ของพระองค์ ที่ชิงชัยวาดด้วยมือซ้ายที่เขาหัดใช้แทนมือขวา ทรงรับสั่งต่อชิงชัยว่า “เก่งมาก”(11)

              อีก 1 ปีต่อมา ในเรื่องที่ไม่ได้เกี่ยวกับกลุ่มพันธมิตรโดยตรง แต่เกี่ยวกับ “คนเสื้อแดง” ที่เป็นปฏิปักษ์กับพันธมิตร ในต้นเดือนสิงหาคม 2553 ได้มีผู้เผยแพร่ทางอินเตอร์เน็ต ภาพถ่ายพระราชหัตถเลขาของสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถ ถึง นภัส ณ ป้อมเพ็ชร แสดงความชื่นชมที่ นภัส เขียนจดหมายเปิดผนึกถึง CNN วิพากษ์วิจารณ์การรายงานข่าวของ CNN ระหว่างเหตุการณ์ที่รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ใช้กำลังทหารเข้าสลายการชุมนุมของ “คนเสื้อแดง” ที่ราชประสงค์ในเดือนพฤษภาคม ว่าเป็นการรายงานข่าวที่ให้ร้ายรัฐบาลและเข้าข้าง “คนเสื้อแดง” อย่างไม่ถูกต้อง 

              ในจดหมายที่เริ่มเผยแพร่ทางอินเตอร์เน็ตในเย็นวันที่ 16 พฤษภาคม (คือยังอยู่ในช่วงที่การปราบปรามของรัฐบาลเริ่มดำเนินไป 2-3 วัน และห่างจากวันที่ยุติ 3 วัน)(12) นภัสได้โจมตี “คนเสื้อแดง” อย่างรุนแรงหลายตอน เช่นกล่าวว่า “คนเสื้อแดง” ได้ “terrorised and harmed innocent civilians” ทำให้ชาวกรุงเทพเช่นเธออยู่ในภาวะ “state of constant terror and anxiety” ว่าจะถูกพวกนั้นโจมตีหรือปาระเบิดเข้าใส่ การกระทำของ “คนเสื้อแดง” เข้าข่าย “terrorist activities” ฯลฯ 

             ในพระราชหัตถเลขาถึง นภัส ลงวันที่ 24 กรกฎาคม 2553 (คือ 2 เดือนหลังเหตุการณ์ยุติและความเสียหายต่างๆเป็นที่ทราบแน่นอนแล้ว) สมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถทรง “รู้สึกภูมิใจ” ที่นภัส “ยืนขึ้นทำหน้าที่ของคนไทยตอบโต้นักข่าวต่างชาติอย่างองอาจ...ทำให้ประชาคมโลกที่ได้อ่านจดหมายของคุณต้องทบทวนความเชื่อถือที่มีต่อ CNN” ทรง “ชื่นชมยิ่งที่คุณช่วยฟื้นฟูภาพลักษณ์ของประเทศชาติ


เขียนเสร็จ
12 สิงหาคม 2553
(เผยแพร่ครั้งแรก ประชาไท 12 สิงหาคม 2553)
posted by somsak jeamteerasakul @ 12:54 AM
http://redusala.blogspot.com