วันอังคารที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2557

“ยิ่งลักษณ์” ชี้ รัฏฐาธิปัตย์อยู่นอกกฎหมาย เชื่อ “ประยุทธ์” มีจุดยืนและรู้ว่าควรปฏิบัติหน้าที่อย่างไร


“ยิ่งลักษณ์” ชี้ รัฏฐาธิปัตย์อยู่นอกกฎหมาย เชื่อ “ประยุทธ์” มีจุดยืนและรู้ว่าควรปฏิบัติหน้าที่อย่างไร



             วันที่ 8 เมษายน 2557 go6TV – นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้สัมภาษณ์ภายหลังประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ถึงกรณีที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการกปปส.ประกาศจะจัดตั้งรัฏฐาธิปัตย์ ว่า “ต้องเรียนว่าถ้ากรณีรัฏฐาธิปัตย์ของนายสุเทพอยู่ภายใต้กรอบของกฎหมาย คงจะไม่มีคำถามนี้เกิดขึ้น แต่นายกรัฐมนตรีตามกรอบกฎหมายเป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่ในการทูลเกล้าฯในส่วนของครม. วันนี้เราต้องยึดกฎหมาย ถ้าบ้านเมืองไม่มีกฎหมายแล้วเราจะตอบนานาประเทศได้อย่างไรว่าเราจะใช้กฎหมายอะไรเพี่อเป็นบรรทัดฐานให้กับสังคม ถ้าเราไม่ยึดหลักกติกาใครก็สามารถตั้งครม. หรือตั้งสภานิติบัญญัติในการปกครองได้ ดังนั้นสิ่งสำคัญคือการได้รับการยอมรับ การได้รับความน่าเชื่อถือจากนานาประเทศ จึงอยากให้ประชาชนช่วยกันหาทางออก”

             น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า “เรายังเห็นด้วยกับการพูดคุย ให้มีการพูดคุยกันอย่างสันติ เพราะวันนี้เศรษฐกิจได้รับผลกระทบ ถ้าเราไม่ได้แก้เรื่องของความน่าเชื่อถือของความเป็นประชาธิปไตยที่จะเป็นการแก้ไขปัญหาระยะยาว เป็นพื้นฐานในการแก้ไขปัญหาเพื่อให้ได้รับการยอมรับจากนานาประเทศ และเป็นพื้นฐานในการมีบรรทัดฐาน กฎหมายตามกรอบของรัฐธรรมนูญเป็นสิ่งที่ทำให้เราได้รับการยอมรับได้”

          เมื่อถามว่าได้คุยเรื่องนี้กับพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ในฐานะ รองผู้อำนวยการกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (กอ.รมน.) ว่าจะทำอย่างไร ทำไมถึงปล่อยให้มีการประกาศแบบนี้ได้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า “ดิฉันเชื่อว่า ผบ.ทบ. และในฐานะที่เป็น รองผอ.กอ.รมน.ควรจะมีจุดยืนเองค่ะ เพราะจริงๆแล้ว ท่านก็ควรรู้ว่าท่านควรปฏิบัติหน้าที่อย่างไร การดูแลของฝ่ายความมั่นคง ต้องปฏิบัติอย่างเท่าเทียมกัน คงไม่ต้องถามคิดว่าท่านมีคำตอบในใจอยู่แล้ว”

          เมื่อถามว่าในส่วนของกลุ่ม คปท.ที่มีการชุมนุมข้างทำเนียบรัฐบาลและมีการใช้อาวุธยิงจนทหารได้รับบาดเจ็บ จะสั่งให้กองพลที่1 ช่วยเคลียร์หรือไม่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า “ในการดูแลทำเนียบรัฐบาลทาง ศอ.รส.มอบหมายให้กองทัพบกดูแลสถานที่ตรงนั้นอยู่แล้ว เชื่อว่าการดูแลของทหารและทำงานร่วมกันภายใต้ ศอ.รส.จะปฏิบัติหน้าที่ของตนเองอย่างเต็มที่”

ศิษย์เก่าเตรียมทหาร แถลงต้าน รัฏฐาธิปัตย์ ร้องเหล่าทัพ แสดงท่าทีไม่เห็นด้วยต่อการล้ม ปชต.และ รธน.

ศิษย์เก่าเตรียมทหาร แถลงต้าน รัฏฐาธิปัตย์ ร้องเหล่าทัพ แสดงท่าทีไม่เห็นด้วยต่อการล้ม ปชต.และ รธน.


        กลุ่มศิษย์เก่าโรงเรียนเตรียมทหาร ออกแถลงการณ์ต่อต้านการตั้งรัฏฐาธิปัตย์ของนายสุเทพ พร้อมเรียกร้องให้ผู้บัยชาการเหล่าทัพ และผุ้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ แสดงท่าทีที่ชัดเจน เพื่อปกป้องรัฐธรรมนูญที่เป็นประชาธิปไตย / ร่วมมือกับประชาชนปฏิบัติตามรับธรรมนูญ มาตรา 70 ที่ว่าด้วย บุคคลมีหน้าที่พิทักษ์รักษาไว้ซึ่งชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และการปกครองระบอบประชาธิปไตย เพื่อให้เกิดความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง

แถลงการณ์ศิษย์เก่าโรงเรียนเตรียมทหาร

เรียน ปลัดกระทรวงกลาโหม ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ผู้บัญชาการทหารบก ผู้บัญชาการทหารเรือ ผู้บัญชาการทหารอากาศ และผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ

           จากสถานการณ์การเมืองในปัจจุบันที่กำลังจะเดินหน้าเข้าสู่วิกฤตที่อาจจะทำให้เกิดการเสียเลือดเสียเนื้อครั้งใหญ่ของพี่น้องประชาชนชาวไทย เหมือนกับที่เคยเกิดขึ้นในหลายๆประเทศ  กลุ่มศิษย์เก่าโรงเรียนเตรียมทหาร หรือที่ประชาชนรู้จักกันดีในนามของนักเรียนเตรียมทหารรุ่นต่าง ๆ ซึ่งได้ผ่านการศึกษาจาก โรงเรียนนายร้อย จปร. โรงเรียนนายเรือ โรงเรียนนายเรืออากาศ และโรงเรียนนายร้อยตำรวจ และได้เข้ารับราชการในกระทรวงกลาโหม และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ทั้งที่เกษียณอายุไปแล้วและยังคงรับราชการอยู่ในปัจจุบัน ต่างต้องการให้ผู้บัญชาการเหล่าทัพทุกท่าน ระลึกและยึดมั่นในคำพูดที่ทุกท่านได้เคยปฏิญานต่อหน้าพระบรมรูปรัชกาลที่ 5 ว่า “ข้าพเจ้าจักรักษามรดกของพระองค์ท่าน..ไว้ด้วยชีวิต”

           ซึ่งที่ผ่านมา พวกเราทุกคน เห็นด้วยกับการประกาศอย่างแข็งกร้าวของผู้บัญชาการทหารบกในการสั่งการให้แม่ทัพภาคที่ 3 จัดการกับกิจกรรมเคลื่อนไหวของมวลชนบางกลุ่ม ที่แสดงออกถึงการแบ่งแยกดินแดน ซึ่งเป็นเรื่องที่ผู้บัญชาการทหารบก ได้ดำเนินการอย่างถูกต้องเพราะรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 1 ได้เขียนไว้อย่างชัดเจนว่า“ประเทศไทยเป็นราชอาณาจักรอันหนึ่งอันเดียว จะแบ่งแยกมิได้” ดังนั้นการดำเนินการของผู้บัญชาการทหารบก จึงเป็นไปตามรัฐธรรมนูญมาตรา 77 และ พรบ.จัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม มาตรา 19

           อย่างไรก็ตาม จากเหตุการณ์เมื่อวันที่ 5 เมษายน 2557 ที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส. ได้ประกาศว่าจะยึดอำนาจประเทศไทย โดยอ้างว่าอำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ มีสิทธิ์อันชอบธรรมที่จะประกาศให้ตนเองเป็นรัฏฐาธิปัตย์ และคนที่เป็นรัฏฐาธิปัตย์มีคำสั่งที่ถือว่าเป็นกฎหมาย ที่จะดำเนินการออกคำสั่งแต่งตั้ง นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี โดยที่นาย สุเทพ เทือกสุบรรณ จะได้นำรายชื่อนายกรัฐมนตรีและ คณะรัฐมนตรี ขึ้นทูลเกล้าฯถวายต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ฯ เพื่อให้พระองค์ท่านทรงลงพระปรมาภิไธยโปรดเกล้าฯ โดยนาย สุเทพ เทือกสุบรรณ จะเป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการ ในฐานะเป็นร่างทรงของประชาชน จากนั้นจะได้ตั้งสภานิติบัญญัติของประชาชนเพื่อทำการปฏิรูปการเมืองต่อไป

             จากการประกาศเจตนารมย์ ด้วยคำพูดและการแสดงออกบนเวทีของนายสุเทพ เทือกสุบรรณในวันนั้น จักเห็นเป็นที่ประจักษ์อย่างชัดแจ้ง ถึงการแสดงออกในการเป็นกบฏต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข และเป็นการล้มล้างการปกครองที่ไม่เป็นไปตามแนวทางที่กำหนดไว้รัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 68

             นอกจากนั้นแล้วการกระทำที่นาย สุเทพ เทือกสุบรรณ ประกาศว่าจะเข้าเฝ้าเพื่อให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ฯ ทรงลงพระปรมาภิไธยโปรดเกล้าฯ คำสั่งแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีที่ไม่ได้มาตามวิถีทางประชาธิปไตยนั้น ยังถือว่าเป็นการบีบบังคับให้พระองค์ท่านมีพระบรมราชวินิจฉัย จึงถือเป็นการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพแห่งองค์พระมหากษัตริย์อีกด้วยเนื่องจากสิ่งที่นาย สุเทพ เทือกสุบรรณ ประกาศจะดำเนินการนั้นเข้าข่ายการกระทำที่ผิด รัฐธรรมนูญ 2550 ในมาตรา 8 ที่กำหนดให้ “องค์พระมหากษัตริย์ทรงดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้”
ซึ่งการที่นาย สุเทพ เทือกสุบรรณ คิดว่าจะให้พระองค์ท่านทรงลงพระปรมาภิไธยนั้น จึงถือเป็นการบังคับและล่วงละเมิดให้พระองค์ท่านทำในสิ่งที่พระองค์มิได้ต้องการทำ ตามที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ เคยมีพระราชดำรัสไว้เมื่อ 25 เมษายน 2549 ความว่า

           “ขอยืนยันว่า มาตรา 7 นั้น ไม่ได้หมายถึงมอบให้พระมหากษัตริย์มีอำนาจที่จะทำอะไรตามใจ ไม่ใช่ มาตรา 7 นั้น พูดถึงการปกครองแบบมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ไม่ได้บอกว่าให้พระมหากษัตริย์ตัดสินทำได้ทุกอย่าง ถ้าทำเขา จะนึกว่าพระมหากษัตริย์ทำเกินหน้าที่ ซึ่งข้าพเจ้าไม่เคยพูด ไม่เคยทำเกินหน้าที่ ถ้าทำเกินหน้าที่ก็ไม่ใช่ประชาธิปไตย”และ “เขาอยากจะได้นายกฯ พระราชทานกัน ขอนายกฯ พระราชทาน ไม่ใช่เป็นเรื่องของนายกฯ ที่เป็นประชาธิปไตย เป็นการปกครองแบบ ขอโทษ แบบมั่ว คือแบบไม่มีเหตุมีผล”

           ซึ่งเจตนาการกระทำของนาย สุเทพ เทือกสุบรรณ ในเรื่องนี้เท่ากับการประทุษร้ายต่อเสรีภาพของพระองค์ ซึ่งถือเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 108 ที่กำหนดว่า “ผู้ใดกระทำการประทุษร้ายต่อพระองค์ หรือเสรีภาพ ของพระมหากษัตริย์ ต้องระวางโทษประหารชีวิต หรือจำคุกตลอดชีวิต”

            ดังนั้นพวกเราซึ่งเป็นตัวแทนของนักเรียนเตรียมทหารรุ่นต่าง ๆ ที่มารวมตัวแถลงการณ์จดหมายเปิดผนึกในวันนี้ ต้องการให้อดีตนักเรียนเตรียมทหารซึ่งในปัจจุบันดำรงตำแหน่งผู้บังคับบัญชาสูงสุดของเหล่าทัพและสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ไม่ว่าจะเป็น ปลัดกระทรวงกลาโหม ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ผู้บัญชาการทหารบก ผู้บัญชาการทหารเรือ ผู้บัญชาการทหารอากาศ และผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้ออกมาปฏิบัติหน้าที่แทนพวกเราทุกคน ให้สมกับที่พวกเราได้เคยปฏิญาณต่อหน้าพระพักตร์พระองค์ท่านในหลายๆ วาระว่า  “ข้าพเจ้าฯ จักเทิดทูนและรักษาไว้ ซึ่งพระบรมเดชานุภาพแห่งพระมหากษัตริย์เจ้า” และ “ข้าพเจ้าฯ จักรักษาไว้ซึ่งการปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข”


             ดังนั้น “ศิษย์เก่าโรงเรียนเตรียมทหารทุกคน ขอเรียกร้องให้ผู้บัญชาการเหล่าทัพและผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้โปรดแสดงท่าทีที่ชัดเจนและปฏิบัติในเรื่องนี้อย่างถูกต้องและเป็นไปตามกฎหมาย เหมือนกับกรณีที่ผู้บัญชาการทหารบกได้เคยปฏิบัติต่อเรื่องการมีมวลชนบางกลุ่มที่แสดงออกถึงการแบ่งแยกดินแดน เพราะการกระทำของทุกท่านในเรื่องนี้ถือเป็นการแสดงออกถึงความจงรักภักดีของอดีตนักเรียนเตรียมทหารต่อจอมทัพไทย ซึ่ง รัฐธรรมนูญ มาตรา10 ได้กำหนดให้ พระมหากษัตริย์ทรงดำรงตำแหน่งจอมทัพไทย

           นอกจากนี้แล้วยังเป็นการทำให้ประชาชนลดความคลางแคลงใจและหันกลับมาให้ความเชื่อมั่นในทหารและตำรวจว่า ทุกเหล่าทัพและสำนักงานตำรวจแห่งชาติจะปฏิบัติตามกฎหมายโดยทำทุกวิถีทางที่ถูกต้อง เพื่อรักษาไว้ซึ่งการปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ซึ่งจะเป็นการแสดงให้เห็นว่า ทหารและตำรวจ พร้อมร่วมมือกับประชาชน เพื่อปฏิบัติตามที่รัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 70 กำหนดไว้ว่า “บุคคลมีหน้าที่พิทักษ์รักษาไว้ซึ่งชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญนี้”

             ตัวแทนของนักเรียนเตรียมทหารรุ่นต่าง ๆ ที่มารวมตัวแถลงการณ์จดหมายเปิดผนึกในวันนี้ หวังเป็นอย่างยิ่งว่าอดีตนักเรียนเตรียมทหารซึ่งในปัจจุบันดำรงตำแหน่งผู้บังคับบัญชาสูงสุดของเหล่าทัพและสำนักงานตำรวจแห่งชาติ คงจะได้ออกมาปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวอย่างตรงไปตรงมา เพื่อให้พี่น้องประชาชนชาวไทยเห็นว่า ทุกเหล่าทัพและสำนักงานตำรวจแห่งชาติพร้อมจะปฏิบัติทุกอย่างตามที่รัฐธรรมนูญ 2550 และ กฎหมายต่าง ๆได้กำหนดเพื่อให้เกิดความสงบเรียบร้อยของบ้านเมืองให้สมกับคำปฏิญาณที่เคยกล่าวไว้ว่า

“ข้าพเจ้าฯ จักยอมตาย เพื่ออิสรภาพ และความสงบสุขแห่งประเทศชาติ”