วันศุกร์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2556

จินตนาการแบบสลิ่มชนของสังคมไทยในอเมริกา

จินตนาการแบบสลิ่มชนของสังคมไทยในอเมริกา

             มีคนถามผมถึงความเป็นไปในเชิง “ลักษณะด้านความคิด” เช่น ความคิดทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมของคนไทยผู้อาศัยอยู่ในสหรัฐอเมริกา ที่สามารถนิยาม หรืออธิบายเพื่อให้เห็นภาพได้อยู่บ่อยครั้งครับ ความจริงก็คือ คงไม่สามารถอธิบาย หรือนิยาม “ความเป็นคนไทยในอเมริกา” ให้ครอบคลุม ได้ทั้งหมดแน่นอน เพียงแต่หากต้องการการนิยามให้เห็นภาพบางส่วน เพื่อความเข้าใจของคนไทย ในเมืองไทย หรือคนไทยที่เดินทางมาสหรัฐฯ ช่วงสั้นๆ ที่มองภาพไม่ค่อยเคลียร์ก็น่าที่จะสามารถทำได้ ในลักษณะของการตั้งข้อสังเกต ซึ่งผู้รับฟังต้องใช้วิจารณญาณประกอบการรับฟังเรื่องราวดังกล่าว
 
        ประการหนึ่ง คือ ไม่เคยมีการตั้งข้อสังเกตจากฝ่ายรัฐและเอกชนไทย 
        ประการสอง ไม่เคยมีการ ทำงานด้านวิจัยทั้งเชิงคุณภาพและเชิงปริมาณเกี่ยวกับลักษณะของคนไทยในสหรัฐฯมาก่อน
 
          ความเห็นต่อไปนี้จึงเป็นข้อสังเกตถึงลักษณะ(สาระนิยาม) ของคนไทยในสหรัฐฯ โดยรวมว่ามี ลักษณะเป็นอย่างไร ซึ่งเป็นการสังเกตเชิงประจักษ์ ตามแนวทางประจักษ์นิยม
 
  • 1.จำนวนคนไทยในสหรัฐฯ เป็นเรื่องที่ไม่สามารถระบุจำนวนอย่างแน่นอนได้ มีผลสำรวจอย่าง เป็นทางการของฝ่ายสหรัฐฯ ที่เรียกว่า Census ซึ่งแจ้งผลการสำรวจทุกๆ 10 ปี  เช่น  ผลจากการสำรวจคนไทยในอเมริกาปี 2010  ปรากฎว่ามีจำนวนรวมทั้งสิ้น 237,629 คน เพิ่มขึ้น 58.0831 เปอร์เซ็นต์จากผลสำรวจประชากรเมื่อปี 2000 ซึ่งเมื่อ 10 ปีก่อนหน้านั้น มีตัวเลขคนไทยในสหรัฐฯเพียง 150,319 คน  รัฐที่มีคนไทยอาศัยอยู่มากที่สุด 10 อันดับได้แก่  1.แคลิฟอร์เนีย 67,707 คน, 2. เท็กซัส 16,472 คน, 3. ฟลอริดา 15,333 คน, 4. นิวยอร์ค 11,763 คน, 5. อิลลินอยส์ 9,800 คน, 6. วอชิงตัน 9,699 คน, 7. เวอร์จิเนีย 9,170 คน, 8. เนวาด้า 7,783 คน, 9. แมรีแลนด์ 5,513 คน และ 10. จอร์เจีย 5,168 คน  ซึ่งก็เป็นไปตามความเห็นของนาย นายกสนิกันติ์ คุณกำจร นายกสมาคมไทยแห่งแคลิฟอร์เนียภาคใต้ ว่า แม้อัตราการเพิ่มขึ้นของคนไทยในอเมริกาจะสูงขึ้นมาก แต่ถ้าดูตัวเลขรวมแล้ว ก็ยังเชื่อว่าน้อยกว่าตัวเลขที่เป็นจริงอยู่ดี อาจจะมีคนไทยในสหรัฐฯราว 400,000 คน ในรัฐแคลิฟอร์เนียที่ผลสำรวจประชากรบอกว่ามีคนไทย 60,000 กว่าคน จึงน่าจะน้อยกว่าตัวเลขจริงอยู่มาก จึงมีความเป็นไปได้มากว่าจำนวนตัวเลข คนไทยจริงๆแล้วต้องเป็นแสนคนขึ้นไป  
 
          สาเหตุที่ตัวเลขอย่างเป็นทางการน้อยกว่าตัวเลขจริง น่าจะมาจาก 2 สาเหตุ คือ หนึ่ง คนไทย กระจายกันอยู่ในภูมิภาคต่างๆของสหรัฐฯทำให้ยากต่อการสำรวจและรวบรวมข้อมูล กับ สอง คือ คนไทย ที่ทำที่มาประกอบอาชีพต่างๆนั้น ไม่อยู่ในฐานะที่จะให้ข้อมูลได้ เพราะเป็นผู้เข้าเมืองอย่างผิดกฎหมาย จึงมีความกลัวต่อการให้ข้อมูลกับองค์กร Census (ว่าที่จริงแล้วองค์กรสำรวจประชากรองค์กรนี้ ไม่เกี่ยวข้องหรือเป็นคนละส่วนกับหน่วยงานอเมริกันที่ดูแลด้านต่างด้าวหรือ Department of Homeland Security หน่วยงานนี้จะไม่มีหน้าที่ให้ข้อมูลการสำรวจประชากรต่อ DHS แต่กระนั้นก็มีคนไทย เข้าใจผิด อยู่มาก จึงไม่ให้ความร่วมมือในการสำรวจจำนวนประชากรของ Census 

 
         ศูนย์กลางของคนไทยในสหรัฐฯ เป็นที่รู้กันว่า คือ เมืองลอสแองเจลิส(แอล.เอ.) แคลิฟอร์เนีย ด้วย เหตุที่เป็นเขตที่มีคนไทยอาศัยอยู่หนาแน่นและจำนวนมากที่สุดมากกว่าพื้นใดๆ แม้กระทั่งในอื่นของ รัฐแคลิฟอร์เนียด้วยกัน  

         ดังนั้น ถ้าจะมองกันถึง “เชิงลักษณะความคิด” ของคนไทยในสหรัฐฯ คนไทยใน พื้นที่แอล.เอ. จึงน่าจะพอหยิบยกเป็นตัวอย่างได้แม้ลักษณะความคิดดังกล่าวจะไม่เหมือนกันไปเสีย ทั้งหมดทุกพื้นที่ก็ตาม แต่เชื่อว่า “ฐานความคิด”ของคนไทยทั้งหมดในสหรัฐฯไม่ได้แตกต่างกันมากนัก ซึ่งก็มีข้อแม้หรือข้อยกเว้นอยู่ว่า คำว่าคนไทยในอเมริกานั้นย่อมต้องจำกัดความไว้เพียงคนไทยที่มาจาก เมืองไทยไม่ใช่ลูกหลานคนไทยที่เกิดในสหรัฐฯและกลายเป็นพลเมืองอเมริกันไปแล้ว โดยผลในประการหลัง ทำให้ลูกหลานหรือเยาวชนไทยในสหรัฐฯสนใจความเป็นไปของเมืองไทยน้อยลงไปด้วย ถ้าหากพวกเขา สนใจเมืองไทย เช่น สนใจการเมืองไทย สนใจวัฒนธรรมไทย มักเป็นไปโดยการกล่อมเกลา และการบังคับ จากพ่อแม่ผู้ปกครองคนไทยที่ย้ายตัวเองไปจากเมืองไทย  

 
         การกล่อมเกลา หมายถึงการพยายามฝังหัววัฒนธรรมไทยต่อเด็กและเยาวชนลูกหลานไทย เช่น การส่งไปเรียนภาษาไทย การพาเข้าไปวัดไทย   
          ส่วนการบังคับ หมายถึง การบังคับให้เด็กและเยาวชน ลูกหลานไทยเรียนรู้วัฒนธรรมไทย เช่น บังคับให้พูดไทยในบ้าน บังคับให้ไปวัดไทย บังคับให้ต้องแสดงความ เคารพผู้ใหญ่ตามแบบอย่างมารยาท(วัฒนธรรม)ไทย ซึ่งผมเชื่อว่าหากมีการประเมินผลในขั้นปลายสุดแล้ว การกล่อมเกลาและการบังคับไม่น่าจะได้ผลในส่วนที่เป็นคุณูปการต่อสังคมไทยทั้งในสหรัฐฯและในเมือง ไทย  อาจได้ผลบ้างในส่วนของปัจเจกหรือของครอบครัว แต่กระนั้นผลของวิธีการทั้ง 2 แบบก็ไม่ได้ก่อให้เกิด การขยายตัวของวัฒนธรรมไทยในสหรัฐฯแต่อย่างใด ภาพที่เห็นจึงเป็นการสนองความต้องการ(ตัณหา) ของผู้ใหญ่(ผู้ปกครองเด็กและเยาวชน)คนไทยที่ย้ายตัวเองมาอยู่สหรัฐฯมากกว่าอย่างอื่น เพราะผู้ใหญ่ เหล่านี้มีแรงเก็บกดทางด้านศีลธรรม (เช่น ศีลธรรมเชิงพุทธ)และวัฒนธรรม(เช่น มารยาทไทย) อย่าง ล้นหลามมาจากเมืองไทย และต้องการระบายถ่ายทอดสู่ความคิดของเด็กเยาวชนที่เป็นลูกหลานของ ตนเอง    

 
  • 2. จากข้อ 1. นำไปสู่การปฏิบัติในประเด็นด้าน “ธุรกิจวัฒนธรรมไทย” เพื่อสนองเจตนารมณ์ “กล่อมเกลาและบังคับ” ของผู้ปกครองเด็กและเยาวชน คนที่ประกอบอาชีพธุรกิจวัฒนธรรมไทย ซึ่งมีตั้งแต่ ฝ่ายเอกชนไทยและเจ้าหน้าที่ของรัฐไทย (เช่น สถานกงสุล สถานทูต สายการบินของไทย) ในสหรัฐฯเข้า ใจดีถึงเจตนารมณ์ทำนองนี้จึงดำเนินกิจกรรมแคมป์เยาวชนสัญจรเมืองไทย ท่องเที่ยวไทยขึ้น ที่จริงแล้ว มันเป็นการสนองความอยากของผู้ปกครองคนไทยในสหรัฐฯมากกว่าความอยากรู้เรื่องเมืองไทย ของเด็ก และเยาวชนเชิงปัจเจก หรือมาจากฐานความต้องการอยากรู้อยากเห็นเมืองไทยของเด็ก และเยาวชนจากตัวของพวกเขาเอง ส่วนผลที่คาดหวังกันตามที่โฆษณาไปนั้น ในความเป็นจริงคือ แทบไม่ได้อะไรเลย จากกิจกรรมสัญจรเมืองไทยที่ว่านี้ นอกเสียจากการได้หน้าของผู้จัดเพียงแค่ไม่กี่คน รวมถึงผู้ให้การสนับสนุนซึ่งเป็นแบรนด์สินค้า
  • 3. คนไทยในวัยผู้ใหญ่ ที่ย้ายตัวเองมาจากเมืองไทยส่วนมาก สนใจกิจกรรมรำลึกความหลัง มากกว่านวัตกรรม หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งนวัตกรรมของคนกลุ่มนี้ คือ ประวัติศาสตร์ของเมืองไทยเมื่อ 30-40 ปีที่แล้วที่พวกเขาได้รับการกล่อมเกลาไปจากเมืองไทยเมื่อสมัยเรียนหนังสือตามแบบเรียนในชั้นประถม ชั้นมัธยม หรือแม้กระทั่งการเรียนในระดับมหาวิทยาลัย ในช่วงรัฐบาลเผด็จการ กึ่งเผด็จการหรือ ยุคประชาธิปไตยครึ่งใบ  ถูกฝังหัวไปด้วยระเบียบและความคิดแบบหน้าที่พลเมือง ศีลธรรมเชิงพุทธที่รัฐ ไทยพยายามยัดเยียดให้(เช่น ระบบศีลธรรมในแบบเรียน ) การอยู่ในประเทศสหรัฐฯ พวกเขามีหน้าที่สำคัญ คือ ทำมาหากิน แบกภาระชีวิตรายวัน  (ไปเช้า-เย็นกลับ) ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาได้เรียนรู้และซึมซับ กระบวนการ ความคิดและวิถีประชาธิปไตยในรูปแบบวัฒนธรรมอเมริกันด้วยเสมอไป ดังนั้นความคิดต่อ วิธีการและรูปแบบทางการเมืองของพวกเขาจึงหยุดอยู่ในช่วงประวัติศาสตร์ไทย 30-40 ปีก่อนหน้านี้ เช่นเดียวกับความคิดและกิจกรรมทางด้านวัฒนธรรม  นั่นคือ ทัศนคติการเมืองแบบคนดีปกครองประเทศ หาใช่รูปแบบประชาธิปไตย  ส่งผลต่อกิจกรรมทางการเมืองที่เกี่ยวข้องกับเมืองไทยของพวกเขา เช่น การบริจาคเงินให้กับกลุ่มการเมืองบางเสื้อสีโดยข้ออ้างเพื่อนำไปใช้ในการต่อสู้ทางการเมือง ที่มาเปิดรับบริจาคถึงสหรัฐฯและการรับบริจาคดังกล่าวเป็นไปในรูปแบบที่ผิดกฎหมายอเมริกัน (ตอนนี้กลุ่มเสื้อสีที่ว่าได้ปิดตัวเองไปแล้ว)
  • 4.  ขณะเดียวกันคนไทยในวัยผู้ใหญ่ในสหรัฐฯ ยังมีความเป็นชนชั้นวรรณะสูง พิทักษ์ระบบ อุปถัมภ์และอมาตยาธิปไตยมากกว่าคนไทยในเมืองไทยด้วยซ้ำ ดูได้จากกิจกรรมที่พวกเขาจัด เช่น การจัดงานการกุศลเพื่อหาเงินสนับสนุนองค์กรของรัฐหรือองค์กรกระแสหลักในเมืองไทย(ที่มีฐานการสนับสนุนที่มั่นคงอยู่แล้ว) โดยหวังถึงผลได้ เช่น เหรียญตรา ประกาศ เครื่องเชิดชูเกียรติจากเมืองไทย มีการแข่งขัน กันอย่างออกหน้าออกตาระหว่างสมาคมคนไทยต่างๆ มีการใช้ตัวกลางคือ คนของรัฐไทย เช่น กงสุลใหญ่ หรือทูตไทยเป็นตัวชูโรง ที่สำคัญคือ เวลามีการจัดกิจกรรมทำนองนี้ส่วนใหญ่ฝ่ายอเมริกันหรือ ตัวแทนฝ่ายอเมริกันไม่ค่อยมีส่วนร่วมในกิจกรรมมากนัก กิจกรรมจึงเป็นไปในลักษณะ “คนไทยกับคนไทย” มากกว่า “คนไทยร่วมกับอเมริกัน”ทำให้การจัดตั้งองค์กรไม่หวังผลกำไร(Nonprofit organization) เพื่อ คนไทยส่วนใหญ่ไม่มีประสิทธิภาพจริง แต่จัดตั้งเพื่อหน้าตาของผู้นำองค์กรบางคนมากกว่า หรือตั้งองค์กร ไว้เพื่อดักจับแมลงเม่า(คนที่มีเงินทุน) จากเมืองไทยที่พลัดหลงเข้าไปสหรัฐฯ ทั้งที่จัดการให้ฝ่ายอเมริกัน ซึ่งเป็นสังคมที่ใหญ่กว่าได้ร่วมกิจกรรมด้วยนั้นจะมีคุณูปการต่อชุมชนไทยในสหรัฐฯมากกว่า
  • 5. การยังคงยอมรับรัฐไทยเป็นเจ้านายสูงสุดหรืออีกนัยหนึ่งคือ การอวยรัฐไทยของคนไทยวัยผู้ใหญ่ในสหรัฐฯ จากลักษณะของผลประโยชน์ร่วมหรือผลประโยชน์สมยอมระหว่างฝ่ายรัฐไทยกับ ฝ่ายคน ไทยในสหรัฐซึ่งมี 2 ประเด็นใหญ่คือ  
  • ประเด็นที่หนึ่ง โครงการของรัฐไทยที่เอื้อประโยชน์ต่อคนไทย บางคนบางกลุ่มในสหรัฐฯ  เช่น โครงการเงินกู้ของแบงก์ไทยสำหรับประกอบกิจการร้านอาหารไทย (ซึ่งสุดท้ายก็ ประสบความล้มเหลว) โครงการ Cooking school (ไม่มีการประเมินผล  ซึ่งก็ล้มเหลว เช่นเดียวกัน)  โครงการครัวไทยสู่ครัวโลก (ท้ายที่สุดก็เงียบ ไม่ต่อเนื่องและไม่มีการประเมินผลเช่นกัน) โครงการเหล่านี้ ให้ผลประโยชน์กับคนไทยเพียงบางกลุ่มที่ถือตนว่ามีรัฐไทยเป็นเจ้านาย แต่ไม่กระจายผลประโยชน์ให้ถึงคนไทยในสหรัฐฯอย่างยุติธรรม  
  • ประเด็นที่สอง คือ  บ่วงล่อรางวัลเชิดชูเกียรติจากฝ่ายรัฐไทยที่โยงถึง 2 ส่วน คือ  ส่วนของการเป็น เอเย่นซี(Agency)ขายศิลปวัฒนธรรมไทยในเชิงการผูกขาดศิลปวัฒนธรรมไทยของคนไทยบางคนบางกลุ่ม  เพราะว่ากันตามจริงแล้ววัฒนธรรมไทยในสหรัฐฯไม่ต่างจากโชว์ประเภทหนึ่ง  เพียงแต่เอเยนซีเหล่านี้ เป็นตัวแทนขายของรัฐไทย แม้แต่ในหัวของเด็กเยาวชนไทย ภาพของศิลปวัฒนธรรมไทยก็คือโชว์ประเภท หนึ่ง  ไม่สามารถเชื่อมโยงไปถึง “ความรักชาติ(ไทย-ของเยาวชนไทย)ในอเมริกา” ที่พยายามส่งเสริม กันอย่างไรได้เลย  ซึ่งส่งผลต่ออีกส่วนหนึ่ง ก็คือ  การวุ่นอยู่กับตัวเอง แบ่งแยกแข่งขันกันเองในชุมชนไทยของกลุ่มผู้ใหญ่คนไทยวัยผู้ใหญ่เหล่านี้ โดยไม่สนใจว่ากระบวนทัศน์ของโลกได้เปลี่ยนแปลงไปอยู่ในขั้นไหนแล้ว 
 
       จะพูดไปไยถึงการยกระดับกระบวนทัศน์(Paradigm shift)ที่เป็นประเด็นต่อเนื่องด้วยเล่า.  

ประชาชนต้องไม่ประมาทภัยจากเผด็จการ

พิชิต ลิขิตกิจสมบูรณ์: ประชาชนต้องไม่ประมาทภัยจากเผด็จการ

            ในระยะสองปีของรัฐบาลพรรคเพื่อไทย สถานะของฝ่ายประชาธิปไตยยังคงเข้มแข็งขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ฝ่ายจารีตนิยมดูเหมือนจะอ่อนแรงลงทั้งในแง่กำลังและเอกภาพ การรุกของพวกเขาที่กระทำต่อรัฐบาลพรรคเพื่อไทยได้ประสบความล้มเหลว ท่าทีของฝ่ายกองทัพที่อ่อนตัวลงอย่างชัดเจน จนทำให้เกิดความรู้สึกในฝ่ายประชาธิปไตยบางส่วนว่า “ได้ชัยชนะแล้ว”
          ความพยายามที่จะระดมพลังมวลชนเสื้อเหลืองให้ออกมาชุมนุมก่อจลาจลบนท้องถนนกรุงเทพฯ เพื่อสร้างเงื่อนไขสถานการณ์ให้ตุลาการและกองทัพเข้าแทรกแซง ได้ประสบความล้มเหลวถึงสองครั้ง
         การเคลื่อนไหวชุมนุมเพื่อ “แช่แข็งประเทศไทย” เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2555 เป็นความพยายามระดมกำลังครั้งใหญ่ที่สุดนับแต่การเคลื่อนไหวของกลุ่มพันธมิตรเสื้อเหลืองเมื่อปี 2551 โดยครั้งนี้ มีการเตรียมพร้อมทั้งเงินทุนและกำลังคนมากที่สุด แต่ก็ประสบความพ่ายแพ้ไปในเวลาเพียงวันเดียว
          การเคลื่อนไหวมวลชนระลอกหลังสุดเมื่อกรกฎาคม-สิงหาคม 2556 ยิ่งแสดงให้เห็นถึงการเสลื่อมสลายของพลังมวลชนเสื้อเหลืองอย่างชัดเจน การเคลื่อนไหวมีลักษณะเกี่ยงแย่ง กระจัดกระจาย และขัดแย้งกันจนต้องสลายไปเองในที่สุด เหลืออยู่แต่พวกกากเดนการเมือง เช่น กลุ่มสันติอโศก และกลุ่มมวลชนอดีตพันธมิตรเสื้อเหลือจำพวกเหลือขอเท่านั้น ขณะที่ผู้คนจำนวนมากท้อแท้สิ้นหวังและได้ถอยออกมา คนกลุ่มหลังนี้แม้จะไม่หันมาอยู่ฝ่ายประชาธิปไตย แต่ก็ไม่สนับสนุนพวกเผด็จการอย่างเอาการเอางานเหมือนในอดีต
           ความอับจนของฝ่ายเผด็จการยังเห็นได้จากการดิ้นรนกระเสือกกระสนอย่างหนักของพรรคประชาธิปัตย์ ที่ก่อความวุ่นวายในรัฐสภา ขัดขวางการทำงานของฝ่ายนิติบัญญัติทุกขั้นตอน สร้างบรรยากาศที่ไร้ระเบียบ ล้มเหลวและเสื่อมทรุดของรัฐสภา ขณะเดียวกัน พรรคประชาธิปัตย์ก็ไม่สามารถแอบอยู่ข้างหลังคอยสนับสนุนการเคลื่อนไหวมวลชนนอกสภาอย่างที่เคยทำมาตลอดได้อีกต่อไป จำต้องออกมาเคลื่อนไหวมวลชนด้วยตัวเองอย่างเปิดเผย เริ่มด้วยการระดมพลังมวลชนของตนในกรุงเทพฯ ให้ออกมาสู่ถนน เลียนแบบพวกพันธมิตรเสื้อเหลืองเมื่อปี 2551 แต่ก็ประสบความล้มเหลว ไม่สามารถแปรฐานคะแนนเสียงเลือกตั้งในกรุงเทพฯ ให้กลายเป็นพลังมวลชนสู้รบบนท้องถนนได้
          การเคลื่อนไหวนอกสภาของพรรคประชาธิปัตย์จึงหันไปยังฐานกำลังที่แท้จริงของตนเองคือ ในภาคใต้ โดยอาศัยเครือข่ายอิทธิพลและกลุ่มติดอาวุธในท้องถิ่นของตน ระดมมวลชนออกมาก่อจลาจลบนถนนหลวงในภาคใต้ อ้างปัญหาราคาสินค้าเกษตร เช่น ยางพารา ปาล์ม เป็นเครื่องบังหน้า แต่เป้าหมายที่แท้จริงคือ การติดอาวุธให้กับมวลชนของตน ให้เกิดการปะทะกันระหว่างมวลชนกับตำรวจ สร้างเป็นสถานการณ์ความรุนแรงนองเลือดให้จงได้ ควบคู่กับการสร้างความปั่นป่วนภายในสภา เป้าหมายคือ การสร้างสถานการณ์จลาจลและล้มเหลวของทั้งรัฐสภาและรัฐบาล เพื่อเปิดโอกาสให้ตุลาการและฝ่ายทหารเข้าแทรกแซง ดังเช่นที่ทำกับรัฐบาลพรรคพลังประชาชนเมื่อปี 2551
          ฝ่ายประชาธิปไตยจะต้องเข้าใจว่า แม้ฐานมวลชนเสื้อเหลืองของฝ่ายจารีตนิยมจะเสื่อมสลายไปมากแล้ว แต่อำนาจรัฐที่แท้จริงที่ควบคุมตุลาการและกองทัพก็ยังคงอยู่ในมือพวกเขาอย่างมั่นคง แม้ฝ่ายประชาธิปไตยจะชนะเลือกตั้งเมื่อปี 2554 แต่ก็ได้มาเพียงเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎรและอำนาจบริหารบางส่วนในมือคณะรัฐมนตรีเท่านั้น สถานการณ์ปัจจุบัน จึงยังไม่ใช่ชัยชนะของฝ่ายประชาธิปไตยแต่อย่างใด
        ท่าทีของบุคคลบางคนในคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ปปช.) และในคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ตลอดจนการสรรหาบุคลากรใหม่ของศาลรัฐธรรมนูญ แสดงสัญญาณอย่างชัดเจนว่า ฝ่ายจารีตนิยมกำลังจัดกำลังฝ่ายตนเพื่อเตรียมการรุกใหญ่ต่อรัฐบาลพรรคเพื่อไทยอีกครั้ง และที่สำคัญคือ พวกเขาอาจอับจนถึงขั้นก่อการรุกแบบสุ่มเสี่ยง โดยที่ไม่มีพลังมวลชนเสื้อเหลืองและกระแสความปั่นปวนทางการเมืองเป็นเครื่องสนับสนุนเพียงพอ
        ดาบแรกที่พวกเขาจะใช้ฟาดฟันรัฐบาลพรรคเพื่อไทยจะยังคงเป็นการใช้ตุลาการเช่นเดิม แต่การใช้ตุลาการมีจุดอ่อนคือ มีขั้นตอนเชื่องช้า มีผลเป็นรายบุคคล และไม่สามารถเปลี่ยนดุลกำลังภายในรัฐสภาได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด การ “ชี้มูล” ให้นายกรัฐมนตรีต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ หรือกระทั่งปลดนายกรัฐมนตรี จะมีผลเพียงเปลี่ยนตัวนายกรัฐมนตรีหรือเปลี่ยนคณะรัฐมนตรีที่มาจากพรรคเพื่อไทย ส่วนการ “ยุบพรรค” ก็มีผลเพียงให้มีการย้ายพรรคและเปลี่ยนชื่อพรรคเท่านั้น แม้แต่การถอดถอน สส.และสว.ทั้งหมดที่ยื่นแก้ไขรัฐธรรมนูญ ก็ไม่สามารถกระทำได้โดยง่ายและรวดเร็ว ฉะนั้นจึงต้องมีดาบสองที่ตามด้วยการแทรกแซงของฝ่ายทหาร เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจบริหารอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด
         จุดวิกฤตคือ การแก้ไขรัฐธรรมนูญรายมาตรา ที่จะเข้าสู่วาระสองและวาระสามในเดือนตุลาคม-พฤศจิกายนนี้  แล้วฝ่ายประชาธิปไตยจะตระเตรียมการอย่างไรเพื่อรับมือกับการรุกใหม่ของพวกเผด็จการ หัวใจสำคัญคือ ยุทธศาสตร์และยุทธวิธีของพรรคเพื่อไทย
  • ประการแรก พรรคเพื่อไทยจะต้องเดินหน้าผลักดันพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมและการแก้ไขรัฐธรรมนูญต่อไปให้เสร็จสิ้นโดยเร็วที่สุด
  • ประการที่สอง พรรคเพื่อไทยและรัฐบาลจะต้องแสดงท่าทีชัดเจน ไม่ยอมรับและไม่ปฏิบัติตามการวินิจฉัยตัดสินที่ไม่ชอบธรรมและขัดต่อหลักนิติรัฐของกลุ่มตุลาการ ที่กระทำต่อนายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรี และต่อพรรคเพื่อไทย
  • ประการที่สาม พรรคเพื่อไทยจะต้องไม่หาทางออกด้วยการยุบสภาอย่างเด็ดขาด หากพรรคเพื่อไทยตัดสินใจยุบสภาโดยเข้าใจอย่างผิด ๆ ว่า เป็นการ “ต่อสู้” กับเผด็จการแล้ว นั่นก็เป็นการกระทำผิดพลาดอย่างมหันต์ การยุบสภาในขั้นตอนปัจจุบันจะเป็นผลดีอย่างเลิศต่อฝ่ายจารีตนิยม เพราะเท่ากับเป็นการฆ่าตัวตายของพรรคเพื่อไทย สภาผู้แทนราษฎรจะหมดสภาพ วุฒิสภาจะทำหน้าที่แทนรัฐสภาทั้งหมด ทั้งนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีจะไม่มีอำนาจบริหาร เป็นได้เพียง “รักษาการ” ข้าราชการ ตำรวจและทหารที่สนับสนุนรัฐบาลจะถอยห่าง ทั้งหมดนี้จะเป็นช่องว่างทางอำนาจให้ฝ่ายจารีตนิยมใช้วุฒิสภา ตุลาการ และกองทัพเข้ามาแทรกแซง จนไม่มีการเลือกตั้งใหม่อย่างแน่นอน นำไปสู่วิกฤตที่ไม่มีทางออกที่พวกเขาต้องการพอดี ดังเช่นสถานการณ์ก่อนรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 นั่นเอง พรรคเพื่อไทยจะต้องไม่ลืมบทเรียนอันเจ็บปวดของรัฐบาลพรรคไทยรักไทยเมื่อปี 2548-49
  • ประการสุดท้าย รัฐบาลและพรรคเพื่อไทยมีอาวุธที่สำคัญที่สุดคือ พลังมวลชนฝ่ายประชาธิปไตยที่เข้มแข็งและมีจำนวนไพศาลในปัจจุบัน พรรคเพื่อไทยจะต้องเชื่อมั่น ให้การสนับสนุน และอาศัยมวลชนฝ่ายประชาธิปไตยอย่างเต็มที่ ขจัดความระแวงสงสัยในหมู่มวลชนให้หมดไป ให้พวกเขาเชื่อมั่นในจุดยืนและแนวทางการเมืองของพรรคเพื่อไทย

        ปัจจุบัน แม้ฝ่ายจารีตนิยมจะสูญเสียฐานมวลชนไปมากแล้ว แต่กำลังในอำนาจรัฐก็ยังคงเข้มแข็ง ฝ่ายประชาธิปไตยยังไม่ได้รับชัยชนะ การต่อสู้เพื่อช่วงชิงประชาธิปไตยที่แท้จริงจะยังคงยืดเยื้อต่อไปอีกระยะหนึ่ง พรรคเพื่อไทยและประชาชนจะต้องไม่ประมาท ไม่ประเมินสถานะของตนสูงเกินไป เตรียมพร้อมรับการรุกอีกครั้งของฝ่ายเผด็จการที่จะเกิดขึ้นในเร็ววัน

ยกฟ้องคดี 112 พี่ฟ้องน้อง หลังถูกขัง 1 ปี ศาลชี้พยานหลักฐานไม่เพียงพอ

ยกฟ้องคดี 112 พี่ฟ้องน้อง หลังถูกขัง 1 ปี ศาลชี้พยานหลักฐานไม่เพียงพอ


          สำหรับนายยุทธภูมินั้นถูกคุมขังในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ตั้งแต่วันที่ 19 กันยายน 2555 หลังจากอัยการสั่งฟ้องคดี โดยศาลไม่ให้ประกันตัวเนื่องจากเห็นว่าเป็นคดีร้ายแรง เกรงว่าจำเลยจะหลบหนี แม้จะมีการยื่นขอประกันต่อมาอีกหลายครั้ง คดีนี้เริ่มต้นจากพี่ชายแท้ๆ ของยุทธภูมิเป็นผู้ร้องทุกข์กล่าวโทษกับตำรวจว่า ยุทธภูมิกล่าวถ้อยคำและเขียนข้อความไม่เหมาะสมต่อหน้าพี่ชายในบ้านพักเมื่อราวเดือนสิงหาคม 2552  
          ศาลให้เหตุผลในการพิพากษาว่า ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข นับแต่การเปลี่ยนแปลงการปกครอง ปี 2475 จนถึงปัจจุบัน กฎหมายรัฐธรรมนูญทุกฉบับมีบทบัญญัติคุ้มครองพระมหากษัตริย์ว่า ทรงดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้ ผู้ใดจะกล่าวหาหรือฟ้องร้อง ในทางใดๆ ไม่ได้ รวมทั้งยังมีมาตรา 112 ของประมวลกฎหมายอาญาเขียนคุ้มครองไว้เช่นเดียวกับนานอารยประเทศและการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชนโดยทั่วไปในกฎหมายหมิ่นประมาท
         ในประเด็นตามฟ้อง หากมีบุคคลดูภาพข่าวที่ปรากฏพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวประทับรถเข็น แล้วกล่าวถ้อยคำไม่เหมาะสม ทั้งที่เป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระประชวร การกล่าวถ้อยคำดังกล่าว ผู้พูดย่อมเจตนาเหมือนเป็นการสาปแช่งให้สวรรคตเร็ว ๆ ซึ่งเป็นคำพูดที่ก่อให้เกิดความรู้สึกไม่ดีต่อประชาชนที่มีความเคารพสักการะต่อพระมหากษัตริย์ คำพูดดังกล่าวยังแสดงออกถึงเจตนาผู้พูดได้ว่าเป็นการจาบจ้วงและแสดงความอาฆาตมาดร้ายต่อองค์พระมหากษัตริย์ อันเป็นการกระทำความผิดตามมาตรา 112 ส่วนการเขียนถ้อยคำด้วยปากกาเมจิกในวงเล็บส่อแสดงถึงอวัยวะเพศชายบนซีดีซึ่งมีถ้อยคำว่า “หยุดก้าวล่วงพระเจ้าอยู่หัว” ผู้เขียนจงใจให้มีการอ่านต่อเนื่องกัน ในทางวัฒนธรรมหรือการรับรู้ของประชาชนชาวไทยถือว่าเป็นของต่ำ และเป็นถ้อยคำหยาบคาย  เป็นการจาบจ้วง ดูหมิ่นและเหยียดหยาม ทำให้เสื่อมเสียพระเกียรติยศ ถูกดูหมิ่นเกลียดชัง การกระทำดังกล่าวจึงถือเป็นความผิดตามมาตรา 112 เช่นกัน
        แต่สำหรับคดีนี้ โจทก์มีพี่ชายเพียงปากเดียวที่เบิกความยืนยัน แต่ก่อนหน้านั้นทั้งคู่ทะเลาะเบาะแว้งกันรุนแรงหลายครั้งแทบจะใช้อาวุธมีดทำร้ายร่างกายกัน จึงถือว่ามีสาเหตุโกรธเคืองกันอย่างรุนแรงการรับฟังประจักษ์พยานปากนี้จึงต้องรับฟังด้วยความระมัดระวังอย่างยิ่ง ซึ่งในชั้นสอบสวนพยานปากนี้ให้การว่า ขณะที่พยานนั่งดูโทรทัศน์ช่องเสื้อแดงทางเคเบิลกับจำเลย จำเลยเอาเมจิกมาเขียนแผ่นซีดีขณะเดียวกับที่มีข่าวพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวประทับรถเข็นจำเลยก็ได้กล่าวถ้อยคำไม่เหมาะสม เมื่อจำเลยเผลอจึงเก็บซีดีซ่อนไว้ แต่เมื่อพยานมาเบิกความในศาลกลับระบุว่า  จำเลยเขียนข้อความไม่สมควรภายหลังจากที่กล่าวถ้อยคำไม่สมควรแล้วเป็นเวลา 5 วัน อีกเดือนเศษภรรยาพยานเอาแผ่นมาให้จึงเก็บไว้ โดยฝ่ายโจทก์ก็ไม่ได้นำภรรยาพยานมาเบิกความยืนยัน คำเบิกความพยานคลาดเคลื่อนในข้อเท็จจริงอันเป็นสาระสำคัญ ถือเป็นข้อพิรุธและไม่มีน้ำหนักในการรับฟัง ลักษณะเป็นการกลั่นแกล้งก็เป็นได้
        ในส่วนของการตรวจพิสูจน์ลายมือ แม้ผู้เชี่ยวชาญให้ความเห็นว่าเป็นลายมือคนคนเดียวกัน และความคิดเห็นตามหลักวิชาการของพยานผู้เชี่ยวชาญเป็นพยานที่ศาลรับฟังได้ แต่มิใช่ว่าศาลจะต้องเชื่อพยานผู้เชี่ยวชาญนั้นเสมอไป จะมีน้ำหนักหรือไม่ต้องพิจารณาตามรูปเรื่องและอาศัยพยานหลักฐานอื่นประกอบ คดีนี้ตัวอักษรเขียนด้วยปากกาเคมีเส้นใหญ่ ยากที่จะพิสูจน์ทราบได้ และอักษร “ห” ที่ปรากฏในซีดีก็มีลักษณะในทำนองเดียวกับลายมือของประจักษ์พยานโจทก์ด้วย ความเห็นของพยานผู้เชี่ยวชาญจึงยังไม่อาจรับฟังได้โดยสนิทใจ ประกอบกับจำเลยและมารดาจำเลยเบิกความยืนยันว่ามีความเคารพสักการะและจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์
        พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมาจึงไม่มีน้ำหนักมั่นคงเพียงพอให้ปราศจากข้อสงสัยว่าจำเลยกระทำความผิดตามฟ้อง พิพากษายกฟ้องแต่ให้ริบแผ่นซีดีของกลางไปทำลายเสีย
        ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า หลังจากถูกคุมขังมาเกือบ 1 ปีเต็ม คาดว่ายุทธภูมิจะได้รับการปล่อยตัวจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ภายในเย็นวันนี้

เวชชาชีวะ แบบที่หนึ่ง หรือ เวชชาชีวะ แบบที่สอง


"สุรนันทน์" สอยมวยอภิสิทธิ์ แนะเลิกพูดจาดูถูกผู้หญิง


          9 กันยายน 2556 go6TV - ผู้สื่อข่าวรายงานว่าจากกรณีที่นาย อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้กล่าวพาดพิงถึงโครงการ Smart Lady ในระหว่างการ ในการปราศรัยเวทีผ่าความจริง เมื่อวันที่ 7 กันยายน 2556 ที่ผ่านมาว่าและกล่าวถึงโครงการสมาร์ทเลดี้ รวมถึงระบุว่า ทำไมต้องประกวดผู้หญิงฉลาด เพราะว่าเขาบอกว่า ถ้าแข่งขันหาอีโง่ ไม่มีใครไปแข่งได้ ทำให้ นายสุรนันทน์ เวชชาชีวะ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ซึ่งขณะนี้กำลังเยือนประเทศแถบยุโรปกับนายกรัฐมนตรีได้ส่งอีเมล์ตอบโตต้กรณีดังกล่าวมายังผู้สื่อข่าว โดยระบุว่าโครงการดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการพัฒนาศักยภาพความเป็นผู้นำ และจุดประกายสังคมไทยให้หันมามองความสวยของผู้หญิงที่ความคิด ซึ่งจะสะท้อนออกมาในรูปแบบของคำพูด การกระทำ พรรคประชาธิปัตย์ควรกลับไปคิดพิจารณาทบทวนว่าสมัยเป็นรัฐบาลเคยทำอะไรให้ผู้หญิงบ้าง ซึ่งเท่าที่ทราบไม่ปรากฏชัดเจนว่ามีผลงานอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน หรือเพราะวันๆ มัวแต่พูดจาดูถูก ดูแคลน ไม่ให้เกียรติผู้หญิง

          ทั้ง ๆ ที่ทุกวันนี้มีงานวิจัยมากมายที่ชี้ให้เห็นว่าความเท่าเทียมเป็นพื้นฐานสำคัญในพัฒนา หรือองค์กรระหว่างประเทศ เช่น องค์การสหประชาชาติ ก็ให้ความสำคัญกับการพัฒนาผู้หญิง และต้องยอมรับด้วยว่า ทุกวันนี้ ผู้หญิงมีความรู้ความสามารถไม่ได้ด้อยไปว่าผู้ชาย ประเทศทรงอิทธิพลอย่างเยอรมนี หรือประเทศในแถบเอเชียอย่างเกาหลีใต้ ก็มีผู้นำประเทศเป็นผู้หญิง

         นายสุรนันท์ระบุต่อว่า ประเทศไทยเป็นประเทศที่ให้โอกาสผู้หญิง และรัฐบาลโดย น.ส. ยิ่งลักษณ์ นายกรัฐมนตรี ก็มีนโยบายที่เน้นส่งเสริมให้ผู้หญิงได้เข้าถึงโอกาสด้านเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง เพิ่มขึ้นโดยการสร้างค่านิยมการให้คุณค่าที่เรื่องความสามารถ นักการเมืองฝ่ายค้านไม่ควรยึดติดอยู่กับกรอบแนวคิดแบบเดิมๆ ไม่อย่างนั้นจะไม่สามารถเดินไปข้างหน้าได้ อย่าให้ประเทศไทยถูกโลกทิ้งไว้ข้างหลังเพราะไม่ยอมปรับปรุงตัวเองให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของโลก ทั้งนี้ ขอให้ระวังคำพูด เพราะ คำพูดที่ออกจากปากทุกคำจะเป็นสิ่งที่ประชาชนใช้ตัดสินได้ว่าใครโง่ ใครฉลาด นายสุรนันทน์กล่าว

ม็อบสวนลุมระยำรายวัน! ล่าสุดไล่ยิงวินมอเตอร์ไซต์หน้าสวนลุมกระเจิง


ม็อบสวนลุมระยำรายวัน! ล่าสุดไล่ยิงวินมอเตอร์ไซต์หน้าสวนลุมกระเจิง


        วันที่ 10 กันยายน 2556 (go6TV) ม็อบสวนลุมสุดระยำไล่ยิงวินมอเตอร์ไซต์หน้าสวนลุมฯ กระเจิง ทิ้งรถหนี ล่าสุดพบผู้บาดเจ็บเลือดสาดกลางดึก ม็อบสวนลุมฯโง่ เขียนรับสารภาพบนเฟสบุ๊คเล่าเหตุการณ์สอดคล้องกัน

         เมื่อเวลาประมาณ 20.00 น. ได้เกิดเหตุท้าทายกฎหมาย เมื่อมีกลุ่มการ์ดม็อบสวนลุมประมาณ 10 คน ได้ก่อเหตุทะเลาะวิวาทกับวินมอเตอร์ไซต์หน้าสวนลุมฯ ที่จอดรอรับผู้โดยสารในวินของเขา ที่บริเวณทางลงรถไฟฟ้าใต้ดินMRT โดยกลุ่มการ์ดมีประมาณ 10 คนได้เดินมาทะเลาะกับคนขับรถมอเตอร์ไซต์ จำนวน 5 คน ขณะกำลังทะเลาะวิวาทนั้น ม็อบสวนลุมได้ยิงปืนใส่รถมอเตอร์ไซต์ เสียงปืนดังขึ้น 2 นัด กลุ่มคนขับวินมอเตอร์ไซต์ตกใจมาก จึงรีบพากันวิ่งหนีตายข้ามจากฝั่งสวนลุมไปฝั่งสีลม

        จากนั้น ทางเพจของกลุ่มม็อบสวนลุม ได้เขียนเฟสบุ้คหลังจากนั้น รับสารภาพว่าได้มีทีมการ์ดของม็อบสวนลุมวิ่งไล่จับคนขี่วินมอเตอร์ไซต์ 2 คนเพราะเชื่อว่าวินมอเตอร์ไซต์นั้น เป็นแก๊งขโมยรถ วิ่งไล่ไปฝั่งตรงข้ามและม็อบการ์ดสวนลุมได้ยึดรถเอาไว้จนเวลาประมาณ 21.50 น. ก็ไม่กลับมาเอารถคืน

         จากนั้น ได้เกิดเหตุการณ์ต่อเนื่อง เมื่อเวลาประมาณ 01.15 น. ได้เกิดเหตุทะเลาะวิวาทอีกครั้งที่แยกสุรศักดิ์ ไกล้ป้อมยามตำรวจ โดยมีชายไทยไม่ทราบชื่อ สวมเสื้อช็อปคล้ายเสื้อนักเรียกอาชีวะ เดินมาจากฝั่งสวนลุมฯ ไล่ยิงชายคนหนึ่งขณะเดินอยู่บนถนนด้วยอาวุธปืนที่ขา ได้รับบาดเจ็บและส่งตัวไปรักษาที่โรงพยาบาลมเหสักข์แล้ว




         ล่าสุดผู้เสียหายที่เป็นกลุ่มวินมอเตอร์ไซต์หน้าสวนลุม กำลังให้ปากคำต่อตำรวจที่สถานีตำรวจลุมพินีในขณะนี้

นั่งอยู่บนภู ดูหมากัดกันครับทั่น

"สมาน ศรีงาม" แฉ "หม่อมกร" ยกพวกยำตีนเลือดอาบ เรียกตำรวจมาจับซ้ำ




           วันที่ 10 กันยายน 2556 (go6TV) นายสมาน ศรีงาม กลุ่มสภาประชาชนแฉ ฝ่ายหม่อมกรยำตีนสาวกและเรียกตำรวจมาจับกันเอง

         นายสมาน ศรีงาม ได้เขียนลงเฟสบุ้คส่วนตัว เล่าเหตุการณ์ชุมนุมที่หน้าสำนักงานใหญ่ ปตท. เมื่อวานนี้ ว่ามีเหตุการณ์ทะเลาะวิวาทกัน ระหว่างฝ่ายม็อบของหม่อมหลวงกรกสิวัฒน์ (หรือหม่อมกร) และฝ่ายนายสมาน ศรีงาม โดยที่ฝ่ายหม่อมกร เป็นฝ่ายรุมตีสาวกฝ่ายของตนอย่างป่าเถื่อนเหมือนสุนัขหมู่ท่ามกลางสื่อมวลชน และเรียกตำรวจมาจับกุม โดยตะโกนว่า “ให้จับกุมและดำเนินการให้เต็มที่เลย” และตำรวจตอบว่า “ครับ จะดำเนินการให้เต็มที่เลยครับ” โดยมีข้อความดังนี้

         ฝ่ายหม่อมกรว่าฝ่ายสภาประชาชนฯปืนรั้ว ปตท.เพื่อปักธง "ปตท.เป็นของประชาชน"และยื่นคำขาดผู้ว่าฯว่าจะอยู่ข้างประชาชนหรืออยู่ข้างเผด็จการรัฐสภา...ว่าเป็นการกระทำที่รุนแรง...แต่การที่ฝ่ายหม่อมกรรุมตีคุณอนุสรณ์นับสิบอย่างป่าเถือนเหมือนสุนัขหมู่ท่ามกลางสื่อมวลชนและประชาชนเห็นมากมาย...และผมประกาศผ่านเครื่องเสียงขอให้หยุดรุมตีรุมทำร้ายคุณอนุสรณ์ก็ไม่หยุด ไม่ฟัง ผมก็บอกว่าพวกเราเป็นพวกเดียวกัน เป็นคนอยู่ในคณะธรรมยาตราฯ หรือสภาประชาชนฯเดียวกับผม...ที่สำคัญเป็นประชาชนเหมือนกันต้องสามัคคีกัน...ลักษณะเช่นนี้ไม่รุนแรงหรือครับ...??? 
          และฝ่ายหม่อมกรมาขอร้องให้ทางฝ่ายสภาประชานฯหยุดปราศรัยเราก็ยินดีหยุดปราศรัยเพื่อให้ท่านทำกิจกรรมเราก็นั่งฟังกันตั้งแต่เวลา 13.00 น.ไปถึง 17.00 น. ผ่านทาง พ.ท.หมอกลมพันธุ์ ชีวพรรณศรี และคุณดินนาแห่งสันติอโศก และทั้ง ท่านนี้ยังบอกว่าจะเชิญฝ่ายสภาประชาชนฯโดยเฉพาะกระผมไปขึ้นเวทีหม่อมกรในครั้งนี้ด้วย ผมก็ยินดีร่วมมือทุกประการ แต่ทำไม่ไม้ปฏิบัติตามคำสัจจวาจาที่ว่ากันไว้ และผมบอกว่าผมจะทำกิจกรรมเวลาประมาณ 17.00 น. เมื่อประชาชนฝ่ายสภาประชาชนฯ ไปทำกิจกรรมเชิงสัญลักษณ์ปักธง "ปตท.เป็นของประชาชน" และยื่นคำขาดผู้ว่า ปตท.ว่าจะอยู่ข้างประชาชนหรือเผด็จการรัฐสภา ซึ่งคน คนนั้นก็ยอมเสียสละ ยอมเจ็บ ยอมติดคุกตะราง ยอมอดเพื่อให้ประชาชนได้อิ่มได้อุ่นได้มีความผาสุก
         ...แล้วหม่อมกรไปบอกตำรวจว่า..."ให้จับกุมและดำเนินการให้เต็มที่เลย"...และตำรวจก็ตอบว่า..."ครับผมจะดำเนินการให้เต็มที่เลยครับ"...ทำเราฝ่ายประชาชนด้วยกันจึงต้องทำลายและทำร้ายกันเช่นนี้...??? 
            และเมื่อฝ่ายหม่อมกรรุมตีคุณอนุสรณ์อย่างป่าเถือนแล้ว...ก็ไม่มีคำขอโทษหรือความเห็นใจหรือห้ามปรามฝ่ายการ์ดของฝ่ายหม่อมเองแม้แต่สักคำเดียว...ในขณะที่ฝ่ายสภาประชาชนฯหรือคณะธรรมยาตราฯไม่ได้ด่าว่าโจมตีฝ่ายหม่อมกรเลย และเราก็ให้ความร่วมมือด้วยดี และเราก็ยืนยันว่าเราเป็นประชาชนเหมือนกันจะต้องรักสามัคคีกันไว้ แม้ว่าเราจะถูกรุมตีอย่างป่าเถื่อนแบบหมาหมู่เราและคุณอนุสรณ์ สมอ่อนก็ไม่โกรธเคืองอะไรและให้อภัยอโหสิกรรมกัน เราประชาชนเหมือนกัน หนักนิดเบาหน่อยก็ไม่ว่ากันไม่เอาเรื่องเอาราวอะไรกัน เพราะเราต่อสู้อย่างสันติอหิงสาพุทธ คือ ไม่เบียดเบียนกัน ไม่กระทำรุนแรงต่อกัน และรักเมตตากัน และเป็นพี่น้องกัน(มีภราดรภาพ)...พอพี่น้องฝ่ายหม่อมกรเลิกเวทีกำลังกลับผมและพวกเราก็อวยพรขอให้พี่น้องเราทุกคนเดินทางกลับโดยสวัสดิภาพ และขอให้รักสามัคคีกันไว้มีอะไรก็อภัยให้กัน และร่วมมือกันเพื่อ เอา ปตท.มาเป็นของประชาชน เอาประเทศชาติมาเป็นของประชาชนให้จงได้ โดยเฉพาะอย่างอย่าง "ต่อสู้เอาชนะเผด็จการรัฐสภา สร้างประชาธิปไตยให้สำเร็จ" ทำอำนาจให้เป็นของประชาชนทุกคน...แล้วต่างฝ่ายก็โบกไม้โบกมือให้กันด้วยมิตรไมตรีที่ดีต่อกัน ไม่มีใครจะมาทำลายความสามัคคีของประชาชนได้ และประชาชนจะต้องมีชัยชนะอย่างแน่นอนในท้ายที่สุด...

ฝากขังลิ่วล้อม็อบป่วน ปตท. ไร้แกนนำเหลียวแล!


ฝากขังลิ่วล้อม็อบป่วน ปตท. ไร้แกนนำเหลียวแล!


        วันที่ 10 กันยายน 2556 (goo6TV) วันนี้ที่ศาลอาญารัชดา ตำรวจได้นำตัวสาวกสภาประชาชน ที่บุกรุกเข้าไปยังสำนักงานใหญ่ ปตท. จำนวน 6 คนเมื่อเย็นของวันที่ 9 กันยายน 2556 และไปนอนค้างคืนในสำนักงานใหญ่ ปตท. ไปยังศาลอาญารัชดา เพื่อขออำนาจศาลฝากขังตามคดีหมายเลขดำที่ พ.2137/2556 โดยล่าสุด ตำรวจกำลังนำตัวผู้ต้องหาทั้งหมดไปเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร ศาลได้กำหนดหลักเกณฑ์วางเงินประจำตัวคนละ 90000 บาท แต่จนบัดนี้ ไม่มีคนไปประกันตัวเลย

ส.ส.หญิง พท.จี้"มาร์ค"ขอโทษกล่าวคำ"อีโง่"ถ้าเมินจะมอบผ้าถุงให้


ส.ส.หญิง พท. จี้"มาร์ค"ขอโทษกล่าวคำ"อีโง่"ถ้าเมินจะมอบผ้าถุงให้


          วันที่ 10 กันยายน 2556 (go6TV) - ที่รัฐสภา ส.ส.หญิงพรรคเพื่อไทย ประมาณ 20 คน นำโดยนางสาวสุณีย์ เหลืองวิจิตร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พท. แถลงถึงกรณีคำปราศรัยของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ บนเวทีผ่าความจริง ที่โรงเรียนวัดดอกไม้ เขตยานนาวา วันที่ 7 กันยายน โดยนายอภิสิทธิ์ได้เปรียบเทียบโครงการสมาร์ทเลดี้ ของรัฐบาลว่าทำถูกต้องแล้วที่ประกวดผู้หญิงฉลาด คงไม่มีใครมาประกวดอีโง่ เพราะคงไม่มีใครชนะได้

         นางสาวสุณีย์ระบุว่า คำปราศรัยดังกล่าวของนายอภิสิทธิ์ ถือเป็นการดูถูกผู้หญิงอย่างรุนแรง ตนจึงอยากให้นายอภิสิทธิ์ออกมาขอโทษกับคำพูดดังกล่าวต่อผู้หญิงทั้งประเทศ เพื่อเป็นการแสดงความเป็นสุภาพบุรุษออกมา

          เนื่องจาก ส.ส.หญิงทั้งพรรคได้รับการเลือกตั้งจากประชาชนและยังมีผู้นำท้องถิ่นที่เป็นผู้หญิงจำนวนมาก แสดงว่าผู้หญิงไม่มีใครโง่ แต่ถึงแม้ว่าผู้หญิงมีความโง่ก็ควรให้กำลังใจ เพราะฉะนั้นอยากให้นายอภิสิทธิ์ออกมาขอโทษ หากไม่ทำพวกตนจะนำผู้หญิงทั้งประเทศไปมอบผ้าถุงให้กับนายอภิสิทธิ์ เพื่อเอาไว้คลุมหัวด้วย

ชาวเน็ตแห่แชร์! "พานทองแท้" FB ปล่อยการ์ตูน "อาโอ๊ค" กับหนูน้อย "เลดี้มิลค์"


ชาวเน็ตแห่แชร์! "พานทองแท้" FB ปล่อยการ์ตูน "อาโอ๊ค" กับหนูน้อย "เลดี้มิลค์"

             10 กันยายน 2556 go6TV - ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 20.00น. ที่ผ่านมา นายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชาย พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้โพสต์ภาพการ์ตูนชุด "อาโอ๊ค" กับหนูน้อย "เลดี้มิลค์" ซึ่งมีผู้กดถูกใจภาพดังกล่าวสูงถึง 5,000 ครั้งในระยะเวลาหลังจากการโพสต์เพียง 60 นาที รวมทั้งมียอดการแชร์และส่งต่ออีกจำนวนมาก โดยมีเนื้อหาดังนี้


"อาโอ๊ค" กับหนูน้อย "เลดี้มิลค์" ตอนที่1

อาโอ๊ค : เลดี้มิลค์ครับ
หนูน้อย : คะ..เอ้ย..คับ
อาโอ๊ค : ใครสอนให้พูดคำหยาบว่า "อีโง่"ครับ
หนูน้อย : หนูเรียนรู้ด้วยตัวเองจากเว็ปไซต์ หยาบยังงัยอ่ะคะคับ
อาโอ๊ค: พูดจาดูถูกผู้หญิงแบบนี้ ไม่ใช่ผู้ดีอังกฤษนะครับ
หนูน้อย : หนูไม่ได้หมายถึงใคร ทำไมต้องมีคนร้อนตัวด้วยคะคะคับ
อาโอ๊ค : ไม่ได้หมายถึงใคร เลดี้มิลค์กล้าสาบาน แบบลูกผู้ชายมั๊ยครับ
หนูน้อย : หนูไม่ใช่ลูกผู้ชาย ไม่ต้องสาบานหรอกคะคะคะคับ
อาโอ๊ค : อ้าว..!! ทำไมถึงคิดว่า ตัวเองไม่ใช่ลูกผู้ชายละครับ
        หนูน้อยเดินขึ้นโพเดี้ยมอย่างทรนง ด้วยท่าทางที่เชื่อมั่นว่าตัวเองฉลาดล้ำเหนือใคร พร้อมทั้งกล่าวด้วยสำเนียงอักขระชัดเจน โดยไม่ต้องอ่านโพยแม้แต่นิดเดียวว่า :

        "พ่อแม่พี่น้องที่เคารพ คุณพ่อคุณแม่หนูสอนว่า ลูกผู้ชายต้องรับใช้ชาติด้วยการเกณฑ์ทหาร กล้าพูดต้องกล้ายอมรับ กล้าทำต้องกล้ารับผิด ลูกผู้ชายต้องให้เกียรติสุภาพสตรี ยกย่องเพศแม่ ไม่ดูถูกผู้หญิง ไม่ยกตนข่มท่าน ไม่พูดกระแนะกระแหนใคร ไม่ดูถูกผู้อื่นว่าโง่กว่าตน และไม่สั่งฆ่าคนในวัด หนูทำไม่ได้สักอย่าง แล้วหนูจะเป็นลูกผู้ชายได้ยังไงอ่ะ คะคะคะคะคร้า"

อาโอ๊ค : เฮ้ยยย.....คุ้นมาก หนูหมายถึงใครละคราวนี้ห๊าาา..!!

เด็กน้อย : หนู search คำว่า "พรรคฆาตรกร" ในเน็ตดูอ่ะคร่า ไม่ได้หมายถึงใคร
มีใครร้อนตัวป่าวคร้าาาา
มีใครร้อนตัวป่าวคร้าาาา
มีใครร้อนตัวป่าวคร้าาาา

เอ้า...ใครร้อนตัว ยกมือขึ้น...!!!

“ชวน” เลิกอาย “ถ่อยเถื่อนเพื่อชาติ” ไม่เป็นทาสใคร


“ชวน” เลิกอาย “ถ่อยเถื่อนเพื่อชาติ” ไม่เป็นทาสใคร



       ที่รัฐสภา นายชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะอดีตประธานรัฐสภา กล่าวถึงปัญหาความวุ่นวายที่เกิดขึ้นในรัฐสภาบ่อยครั้งนั้น ว่า หัวใจสำคัญอยู่ที่ความเป็นอิสระในการทำหน้าที่ของประธานในที่ประชุม ซึ่งในอดีตไม่ว่าพรรคการเมืองไหนเลือกคนมาเป็นประธานรัฐสภาก็จะปล่อยให้ทำหน้าที่ได้โดยอิสระ เพราะคนเป็นประธานรัฐสภาต้องตระหนักตัวเองว่า ต้องวางตัวเป็นกลางโดยไม่ต้องมีใครมาสั่งได้ แต่ขณะนี้ไม่ใช่ กลายเป็นว่าต้องรอคำสั่งให้ทำอะไรอย่างไร จึงหมดความเป็นอิสระ ทำให้การตีความข้อบังคับตามเงื่อนไขที่ตัวเองต้องการไม่ได้เป็นไปตามหลัก เช่น การจำกัดสิทธิของผู้ที่แปรญัตติในสมัยก่อนไม่ค่อยมี ดังนั้นสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นปรากฏการณ์ชัดเจนว่าสภาฯ ได้เปลี่ยนแปลงไป เพราะประธานไม่สามารถทำหน้าที่ได้อย่างอิสระ แต่อยู่ในเงื่อนไขที่พรรคหรือผู้มีอำนาจสั่งมา ทำให้บทบาทของประธานรัฐสภาไม่เป็นไปอย่างที่ควรจะเป็นจนเกิดข้อขัดแย้งในการประชุมรัฐสภา ที่มาจากเงื่อนไขการทำหน้าที่ของคนเป็นประธาน


          นายชวน กล่าวอีกว่า จากความขัดแย้งที่เกิดขึ้นอาจทำให้ประชาชนมองว่าพรรคประชาธิปัตย์เป็นจำเลยเพราะประชาชนไม่ได้เห็นหรือฟังการประชุมต่อเนื่อง เขาเห็นเฉพาะช่วงที่มีปัญหา เช่น ที่มีการทุ่มเก้าอี้แต่ไม่ได้ติดตามว่าถูกกดดันอย่างไร ทั้งการถูกตัดสิทธิไม่ให้พูดทั้งที่สงวนคำแปรญัตติ และอีกหลายอย่างจนทำให้เกิดอารมณ์ ทั้งนี้ตนได้เตือนเพื่อนสมาชิกร่วมพรรคให้อดทน และยอมรับว่าสิ่งที่เกิดขึ้นอาจทำให้ประชาชนเข้าใจพรรคประชาธิปัตย์ผิดว่าเป็นตัวป่วนของสภาฯ ส่วนการทำงานในรัฐสภาโดยไม่สูญเสียภาพลักษณ์ของพรรคนั้น ก็ต้องสยบยอมเขากลายเป็นเด็กดี ซึ่งไม่ใช่วิถีของพรรคประชาธิปัตย์ และไม่ต้องการอย่างนั้น ส่วนว่าพรรคประชาธิปัตย์ยืนยันว่า จะไม่ยอมเป็นเด็กดีของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดดีตนายกฯใช่หรือไม่นั้น นายชวน กล่าวว่า คนที่เป็นเด็กดีเขาต้องสั่งได้ แต่ประชาธิปัตย์คือกลุ่มหนึ่งที่เขายังคุมไม่ได้ในบ้านเมืองนี้ แม้สิ่งที่พรรคกำลังต่อสู้อยู่จะทำให้พรรคตกเป็นเป้าในการถูกโจมตี ก็ต้องชี้แจงให้ประชาชนรู้ถึงสถานการณ์ว่ามีต้นเหตุอย่างไร ชาวสวนยางพาราเดือดร้อน แต่ ส.ส.กลับละเลยไม่สนใจ แม้จะมีการชุมนุมประท้วงก็ไม่มีใครไปดูแล คนที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน ถ้าทำอย่างนั้นต้องถูกตำหนิ ดังนั้นคนที่เป็นผู้แทนฯ ต้องตระหนักภาระหน้าที่ของตัวเอง


          นายชวนกล่าวอีกว่า สำหรับการจะยับยั้งการใช้อำนาจโดยไม่ถูกต้อง จึงต้องยึดพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯที่พระราชทานให้ไว้เมื่อวันที่ 5 ธ.ค.เมื่อ 3-4 ปีก่อนที่ว่า ให้ทุกคนกลับไปทบทวนว่ามีหน้าที่ทำอะไร แล้วทำหน้าที่นั้นให้ดีที่สุด เพราะสังคมนี้เป็นสังคมที่เรียกร้องให้คนอื่นทำแต่ตัวเองไม่ทำ เหมือนที่เราได้ยินผู้ใหญ่พูดว่าการโกงไม่ดี แต่ตัวเองกลับโกง หรือพูดถึงประชาธิปไตยสวยหรูแต่มาจากการซื้อเสียงโกงการเลือกตั้ง ดังนั้นทุกคนต้องถามตัวเองว่าทำหน้าที่ของตัวเองดีพอหรือยัง

ขอขอบคุณข่าวสดออนไลน์

"สมเด็จฮุนเซน" โต้เดือด! หนังสือพิมพ์เดอะเนชั่น ไร้จริยธรรม บิดเบือนข่าวสาร


"สมเด็จฮุนเซน" โต้เดือด! หนังสือพิมพ์เดอะเนชั่น ไร้จริยธรรม บิดเบือนข่าวสาร

          วันที่ 11 กันยายน 2556 (go6TV) โฆษกสมเด็จฮุนเซ็นร่อนจดหมายประจาน สำนักข่าวเดอะเนชั่น กรณีเสนอบทความเรื่อง Cambodian Oppsition can only get STRONGER ว่าเสนอบทความและวิเคราะห์อย่งบิดเบือนโดยปราศจากความจริงและหลักฐานใดๆ

        เมื่อวันที่ 10 กันยายนที่ผ่านมา โฆษกนายกรัฐมนตรีแห่งกัมพูชา ได้ส่งหนังสือตำหนิบทความในหนังสือพิมพ์เดอะเนชั่นอย่างดุเดือด โดยแสดงให้เห็นข้อความที่สำนักข่าวเดอะเนชั่นบิดเบือนโดยไม่มีข้อเท็จจริงและเอกสารใดๆรองรับเป็นหลักฐาน โดยจดหมายดังกล่าวได้ส่งถึงสื่อไทยจำนวน 2 ฉบับ ส่งถึงสำนักข่าวเดอะเนชั่น 1 ฉบับ และส่งถึงนักเขียนคอลัมน์ อีก 1 ฉบับ โดยสรุปของจดหมายมีใจความโดยรวมดังต่อไปนี้

เรียน นายเทพชัย หย่อง
เดอะเนชั่น กรุงเทพ


อ้างอิงถึง   บทความชื่อ Cambodian Oppsition can only get STRONGER

เรียน บรรณาธิการหนังสือพิมพ์

          เป็นอีกครั้งที่หนังสือพิมพ์เดอะเนชั่น ได้แสดงความน่ารังเกียจด้วยการเผยแพร่บทความทางการเมืองที่อคติ ชื่อว่า Cambodian Oppsition can only get STRONGER บทความนี้เต็มไปด้วยคำโกหก สำนักพิมพ์เดอะเนชั่นได้กระทำการอย่างปราศจากความละอาย ไร้จริยธรรม และไร้ซึ่งความเป็นมืออาชีพ โดยสามารถสรุปเป็นประเด็นได้ดังนี้

        หนึ่ง บทความดังกล่าวต้องการทำลายความน่าเชื่อถือของสมเด็จฮุนเซ็น โดยโดยใส่ร้ายต่อสาธารณ สำนักข่าวเนชั่นได้เขียนบทความโดยปราศจากข้อเท็จจริงและหลักฐานเพื่อสนับสนุนสิ่งที่ตนเองเขียนขึ้น บทความดังกล่าวได้บอกว่า ก่อนการเลือกตั้ง ฝ่ายรัฐบาลได้ใช้กำลังทหารสลายการชุมนุม ทั้งที่ในข้อเท็จจริงคือตั้งแต่ก่อนเลือกตั้ง จนถึงวันเลือกตั้งนั้น ฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลได้มีการจัดการประท้วงอย่างน้อย 3 ครั้งด้วยกัน และไม่มีการสลายการชุมนุมแต่อย่างไร มากกว่านั้น ฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลต่างหากที่ใช้ภาษาที่หยาบคาย เสื่อมเสียและไม่เหมาะสม แต่ยืนยันชัดเจนว่า ไม่เคยมีการสลายการชุมนุมแม้แต่ครั้งเดียว ในข้อเท็จจริงนี้ สำนักข่าวเดอะเนชั่นได้กล่าวเท็จ

       สอง ข้อความว่าที่ว่า "จุดจบทางการเมืองได้เริ่มต้นนับขึ้นแล้ว" ซึ่งจะเริ่มแล้วหรือไม่ ไม่ใช่สำหรับ "เดอะเนชั่น" จะเป็นคนตัดสิน แต่มันเป็นเสียงอิสระของประชาชนจะเป็นผู้ตัดสินเลือกผู้นำของเขาด้วยเจตจำนงค์อันบริสุทธิ์และอิสระ

      อย่างไรก็ตาม ในการณีของการเคลื่อนไหวที่ใช้ความรุนแรง อันอาจนำไปสู่ความไม่สงบสุข เป็นอนาธิปไตย และการปล้นสดมภ์นั้น ในสังคมทุกแห่งทั่วโลก ก็ล้วนเป็นหน้าที่ของรัฐบาลอยู่แล้ว ที่จะต้องรักษาความสงบ ใช้กฏหมายเพื่อให้สังคมประเทศชาติสงบสุข

เราหวังว่าสำนักพิมพ์เดอะเนชั่น จะได้ตีพิมพ์เผยแพร่ข้อความของจดหมายเต็มฉบับต่อไป

ขอแสดงความนับถือ

KOY Kuong
โฆษกสมเด็จฮุนเซ็นฯ

“ยิ่งลักษณ์” เข้าเฝ้าฯ พระสันตะปาปา เยือนวาติกันครั้งแรกในรอบ 58 ปี


“ยิ่งลักษณ์” เข้าเฝ้าฯ พระสันตะปาปา เยือนวาติกันครั้งแรกในรอบ 58 ปี


              วันนี้ (12 ก.ย.) ที่นครรัฐวาติกัน เมื่อเวลา 11.10 น.(ตามเวลาท้องถิ่น) น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ได้เข้าเฝ้าสมเด็จพระสันตะปาปา ฟรานซิส ประมุขแห่งคริสตจักรนิกายโรมันคาทอลิก ณ พระราชวังสมเด็จพระสันตะปาปา ฟรานซิส (His Holiness Pope Francis) โดยนายกฯ ได้แสดงความยินดีต่อความสัมพันธ์ไทย-วาติกัน ที่มีมาอย่างราบรื่น และเป็นการเยือนนครรัฐวาติกันในรอบ 58 ปีของนายกรัฐมนตรีไทย นับตั้งแต่การเยือนของจอมพล ป.พิบูลสงคราม ซึ่งเยือนครั้งแรกเมื่อปี 2498 พร้อมกันนี้ นายกฯ ยังได้กล่าวชื่นชมบทบาทของคริสตจักรนิกายโรมันคาทอลิกที่ส่งเสริมสิทธิมนุษยชนและช่วยเหลือผู้ไร้ที่อยู่อาศัย ตลอดจนการแก้ไขปัญหาต่างๆ ทั่วโลก รวมทั้งประเทศไทยด้วย ขณะที่ไทยเป็นประเทศที่เคารพและเข้าใจในความหลากหลาย รัฐบาลไทยส่งเสริมให้คนทุกชาติและทุกศาสนา สามารถประกอบศาสนพิธีของตนได้อย่างเสรี และอยู่ร่วมกันในสังคมไทยได้ ชาวไทยที่นับถือนิกายโรมันคาทอลิกมีส่วนสำคัญอย่างมากในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมไทย ขณะที่สมเด็จพระสันตะปาปา ทรงยินดีต่อการให้เสรีภาพในการนับถือศาสนาของไทย จากนั้นนายกฯและคณะพบหารือกับเลขาธิการนครรัฐวาติกัน






              เมื่อวันที่ 12 ก.ย. เวลา 11.00 น. ตามเวลาท้องถิ่นซึ่งช้ากว่าประเทศไทย 5 ชั่วโมง น.ส.ยิ่งลักษณ์ เข้าเฝ้าสมเด็จพระสันตะปาปา ฟรานซิส ประมุขแห่งคริสตจักรนิกายโรมันคาทอลิก ณ พระราชวังสมเด็จพระสันตะปาปา ฟรานซิส (His Holiness Pope Francis) ณ นครรัฐวาติกัน โดย นายกรัฐมนตรี ได้แสดงความยินดีต่อความสัมพันธ์ไทย-วาติกันที่มีมาอย่างราบรื่น ซึ่งการเยือนนครรัฐวาติกันครั้งนี้ เป็นการเยือนในรอบ 58 ปีของนายกรัฐมนตรีไทย นับตั้งแต่การเยือนของจอมพล ป.พิบูลสงครามในครั้งแรกเมื่อปี 2498

             นายกรัฐมนตรี ยังได้กล่าวชื่นชมบทบาทของคริสตจักรนิกายโรมันคาทอลิกที่ส่งเสริมสิทธิมนุษยชนและช่วยเหลือผู้ไร้ที่อยู่อาศัย ตลอดจนการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ทั่วโลกรวมทั้งประเทศไทยด้วย ขณะที่สมเด็จพระสันตะปาปาฯ ทรงยินดีต่อการให้เสรีภาพในการนับถือศาสนาของไทย ซึ่งนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวว่า ไทยเป็นประเทศที่เคารพและเข้าใจในความหลากหลาย รัฐบาลไทยส่งเสริมให้คนทุกชาติและทุกศาสนา สามารถประกอบศาสนพิธีของตนได้อย่างเสรีและอยู่ร่วมกันในสังคมไทยได้ ชาวไทยที่นับถือนิกายโรมันคาทอลิกมีส่วนสำคัญอย่างมากในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมไทย

         นอกจากนี้ สมเด็จพระสันตะปาปาฯ ทรงสนทนากับนายกรัฐมนตรี แลกเปลี่ยนความคิดเห็นในเรื่องสถานการณ์ความยากจนทั่วโลก ซึ่งต่างเห็นว่าการแก้ไขความอดอยากและการพัฒนาความเป็นอยู่ของประชาชนให้ดีขึ้น นับเป็นเรื่องสำคัญ นโยบายของไทยและวาติกันต่างสนับสนุนให้ประชาชนเข้าถึงการบริการทางด้านสาธารณสุข การรักษาสันติภาพระหว่างทุกศาสนา และการส่งเสริมการเสวนาระหว่างศาสนา ความเชื่อ และวัฒนธรรม เพื่อเป็นเครื่องมือในการสร้างสันติภาพระหว่างประเทศ ในโอกาสนี้ นายกรัฐมนตรี ทูลเชิญสมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสมาเยือนไทยอย่างเป็นทางการด้วย

อดีตผู้สมัคร ส.ส.ประชาธิปัตย์! "สรวิศ ขุนจันทร์" ข่มขืน "เด็กอายุ 12 ปี"


อดีตผู้สมัคร ส.ส.ประชาธิปัตย์! "สรวิศ ขุนจันทร์" ข่มขืน "เด็กอายุ 12 ปี"




            เมื่อเวลา 12.00 น.วันที่ 13 ก.ย. 2556 นายสรวิศ ขุนจันทร์ อายุ 39 ปี อยู่ อ.เมือง จ.นนทบุรี อดีตผู้สมัคร ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ ลำดับที่ 87 ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญา ที่ 1446/2556 ลงวันที่ 22 สิงหาคม 2556 ข้อหาข่มขืนกระทำชำเราเด็กหญิงอายุไม่เกิน 15 ปี ซึ่งมิใช่ภรรยา โดยเด็กนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม ได้เดินทางเข้ามอบตัวกับ พ.ต.ท.เทพพิทักษ์ แสงกล้า พนักงานสอบสวนผู้ชำนาญการพิเศษ สน.พญาไท เพื่อรับทราบข้อกล่าวหาดังกล่าว

          สืบเนื่องจากก่อนหน้านี้ น.ส.เอ (นามสมมติ) ได้เข้าแจ้งความต่อพนักงานสอบสวน สน.พญาไท ว่า ระหว่างที่กำลังคบหากับ นายสรวิศ ได้พาด.ญ.บี (นามสมมติ) อายุ 12 ปี บุตรสาว มาอาศัยอยู่บ้านเดียวกัน ต่อมา นายสรวิศ ได้ฉวยโอกาสตอนที่ตนไม่อยู่ก่อเหตุข่มขืนกระทำชำเรา ด.ญ.บี จากนั้นลูกสาวได้เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้ฟัง จึงพาเข้าแจ้งความดำเนินคดีดังกล่าว

          ต่อมาพนักงานสอบสวนได้รวบรวมพยานหลักฐานต่างๆ จนศาลอาญาได้อนุมัติออกหมายจับกระทั่งนายสรวิศ ติดต่อขอเข้ามอบตัวเพื่อต่อสู้คดีดังกล่าว โดยผู้ต้องหาให้การปฏิเสธข้อกล่าวหา พนักงานสอบสวนจึงปล่อยตัวชั่วคราว เนื่องจากผู้ต้องหาเข้ามอบตัวเอง และไม่มีพฤติการณ์หลบหนี อย่างไรก็ตามพนักงานสอบสวนจะได้นัดหมายผู้ต้องหาเพื่อส่งฟ้องคดีต่อไป

"ทักษิณ" FB เผยเตรียมเดินสายพบผู้นำเอเชีย 1 เดือนเต็ม

           13 กันยายน 2556 go6TV - ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โพสต์เฟชบุ๊กส่วนตัว Thaksin Shinawatra ภายหลังเดินทางกลับจากท่องเที่ยวอิตาลี โดยมีเนื้อหาดังต่อไปนี้



               ไม่ได้คุยกันมาหลายวัน ผมกลับมาถึงดูไบตั้งแต่วันที่ 5 พอมาถึงก็ไม่ได้พักเลยมีแขกทั้งไทยและแขกจริงๆ มาพบเยอะมาก บางวันเจอไป 6 รายการ เล่นเอาทั้งเหนื่อยทั้งอ้วนเพราะถ้าไม่ใช่ช่วงมื้อหลักก็ต้องมีกาแฟกับของว่าง วันที่ 16 นี้จะออกเดินทางอีกครั้งหนึ่งเพื่อไปอินเดีย แล้วก็จะไปแถบบ้านเราต่อ และอยู่แถบบ้านเรานานหน่อยเพราะผมต้องไปพูดที่กรุงโซล เกาหลีใต้ วันที่ 15 ตุลาคมครับ เพราะฉะนั้นหนึ่งเดือนเต็มทางเอเชียก็จะพยายามพบปะผู้นำทั้งภาคธุรกิจและการเมืองเพื่อ update ตัวเองมาเล่าสู่พี่น้องฟัง

             วันก่อนได้คุยกับเพื่อนที่นี่ เขาเล่าให้ฟังว่า อเมริกาเขาก็บ่นตัวเองว่าปรับตัวช้า โดยเฉพาะเรื่องการต่างประเทศ เขาเล่าว่าเขามีเจ้าหน้าที่ทำงานด้านการต่างประเทศทั้งหมดรวมทั้งของกระทรวงการต่างประเทศและกระทรวงอื่น เช่น CIA พาณิชย์ ในต่างประเทศ มีจำนวนน้อยกว่าทหารดุริยางค์ของอเมริกาเองเสียอีก ผมฟังแล้วก็ทั้งตกใจทั้งขำ เขาพูดต่อไปว่า เจ้าหน้าที่พาณิชย์ของอเมริกาที่มีอยู่ในอาฟริกาทั้งทวีปมีไม่ถึง 10 คน แต่จีนมีหลายสิบคน ทั้งๆ ที่อาฟริกาตอนนี้เริ่มมีความสำคัญมาก โดยเฉพาะเป็นแหล่งทรัพยากรที่สำคัญของโลก ไม่ว่าจะเป็น ก๊าซ ทองคำ ทองคำขาว ถ่านหิน เพชร ยูเรเนียม Rare Earth

             ที่ผมเล่ามาให้ฟังก็เพื่อจะบอกว่าประเทศยิ่งใหญ่อย่างอเมริกาก็ยังตระหนักว่าเขาต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงของสังคมโลก เหมือนที่พระพุทธเจ้าตรัสว่าใด ๆ ในโลกล้วนอนิจจัง หรือที่ผมเคย quote คำพูดของ Jack Welch อดีตประธานของ GE บริษัทยักษ์ใหญ่ของอเมริกาที่พูดว่า Change before you have to หรือเปลี่ยนก่อนที่คุณจำเป็นต้องเปลี่ยน เพราะการเปลี่ยนเพราะจวนตัวเลยต้องเปลี่ยน จะเป็นการเปลี่ยนแบบไม่มียุทธศาสตร์ ไม่ได้วางแผนที่ดี จะเป็นยการเปลี่ยนที่เสียเปรียบ เสียหาย เพราะฉะนั้นทุกองค์กร เริ่มต้นที่เล็กสุดคือครอบครัว บริษัท หรือประเทศต้องตื่นตัวตลอดเวลาว่าอะไรกำลังเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางไหน จะมีผลกระทบต่อองค์กรของเราหรือเปล่า หรือถ้าเราปรับตัวรองรับทันเราจะได้ประโยชน์ไหม เพราะสังคมปัจจุบันมีพลวัต (Dynamism) สูงกว่าสมัยก่อน เพราะระบบ Internet ระบบสื่อสาร Social media เพราะฉะนั้นเราจะทำตัวเฉื่อยชาไม่กระตือรือร้น อะไรก็ช่าง เราจะลำบากและสูญเสียศักยภาพในการแข่งขันทุกวัน

           เราไม่มีเวลาชี้นิ้วใส่กัน เราต้องมาเสนอความคิดสร้างสรรค์ต่อกันให้การเปลี่ยนแปลงมีได้ตลอดเวลาและทันโลกทันกาลครับ ห้ามอยู่ไปวันๆ เพื่อรอวันหมดลม เราต้องอยู่สูดลมที่บริสุทธิ์เป็นประโยชน์ต่อเราและองค์กรของเราให้ได้ทุกวัน และก็อยู่ให้เท่ เป็นที่เคารพของคนอื่น องค์กรอื่น ประเทศอื่นครับ

ขอให้ประเทศไทยมีสันติสุขและรุ่งเรืองครับ

ชาวเน็ตถล่ม "กรณ์" เงิบ! หลังกลับลำทวิตหนุนรถไฟฟ้าความเร็วสูง


ชาวเน็ตถล่ม "กรณ์" เงิบ! หลังกลับลำทวิตหนุนรถไฟฟ้าความเร็วสูง

         12 กันยายน 2556 go6TV - ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายกรณ์ จาติกวณิช ว่าที่หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้โพสต์ข้อความผ่านทวิตเตอร์ส่วนตัวสนับสนุนโครงการรถไฟฟ้าความเร็วสูง โดยระบุว่า "เราเดินหน้าแน่นอนในการลงทุนรถไฟทางคู่ทั่วประเทศ ลงทุนแน่นอนในรถไฟฟ้าสิบสายในกทม. ลงทุนแน่นอนในถนนสี่เลน มอร์เตอร์เวย์" และ "เราเดินหน้าแน่นอน ในรถไฟความเร็วสูงเส้นทางอีสาน-ใต้ ที่เกิดจากการร่วมลงทุนกับประเทศอื่นที่ได้ประโยชน์..."



          ปรากฏว่า หลังจากนายกรณ์โพสต์ข้อความดังกล่าว ผู้ใช้งานอินเตอร์เน็ตจำนวนมากต่างโพสต์ข้อความตอบโต้นายกรณ์โดยเป็นไปในทิศทางเดียวกัน บ้างก็ระบุว่า

             "อ้าวจะสร้างรถไฟความเร็วสูงแล้วเหรอคับ??
              เมื่อไม่นานมานี้ยังด่ารัฐบาลอยู่เลยนะ" และ

              "อะไรคือ @KornDemocrat อาสาจะสร้างรถไฟฟ้าความเร็วสูง รถไฟรางคู่ มอเตอร์เวย์ ก็ขนาดสร้างโรงพัก สนามฟุตซอล สนามบินสุวรรณภูมิยังสร้างไม่เสร็จเลย"

เป็นต้น