วันศุกร์ที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

เสื้อแดงอุบลเครียด เส้นเลือดในสมองแตก เสียชีวิตหลังเข้ารายงานตัวกับทหาร


ที่มาภาพ: เฟซบุ๊ก Krekyut Competdee

ศูนย์ทนายฯเปิดบทสัมภาษณ์ก่อนเสียชีวิตของ ช.อ้วน หรือ ศักดิ์สิทธิ์ กิ่งมาลา แกนนำชมรมคนรักทักษิณอุบลฯ เจ้าตัวระบุเกิดความเครียดจากการถูกคุกคาม กดดันอย่างต่อเนื่องจากทหาร ต้องเข้ารายงานตัวกับทหารทุกสัปดาห์  และรู้สึกผิดหวังต่อกระบวนการยุติธรรมในคดีสลายการชุมนุม เมษา-พฤษภา 53
รายงานระบุว่า 23 ก.พ. 59 ศักดิ์สิทธิ์ กิ่งมาลา หรือ ช.อ้วน แกนนำชมรมคนรักทักษิณอุบลฯ เสียชีวิตที่โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ จ.อุบลราชธานี จากสาเหตุ เส้นเลือดในสมองแตก ด้วยวัย 52 ปี
คนใกล้ชิดเล่าว่า ก่อนเสียชีวิต ศักดิ์สิทธิ์ มีความเครียดจากการถูกทหารติดตามความเคลื่อนไหวตลอดเวลา โดยเขาต้องเข้าไปรายงานตัวที่มณฑลทหารบกที่ 22 (มทบ.22) จ.อุบลราชธานี ทุกวันจันทร์ ยิ่งกว่านั้น ทหารยังโทรศัพท์หา หรือไปพบที่บ้านเป็นประจำ โดยเฉพาะเมื่อมีเหตุการณ์หรือการเคลื่อนไหวสำคัญๆ
ก่อนหน้าวันที่ 1 พ.ย.58 ที่คนเสื้อแดงนัดกันใส่เสื้อแดง ทหารประมาณ 10 นาย มาพบศักดิ์สิทธิ์ที่บ้าน  และสั่งห้ามไม่ให้เขาออกมาเคลื่อนไหวใดๆ  ช่วงปีใหม่ เขาตั้งใจเอาปฏิทินที่พิมพ์ภาพ ทักษิณ-ยิ่งลักษณ์ มาแจกคนรู้จัก แต่เพิ่งแจกไปได้ไม่กี่ใบ ทหารก็มายึดปฏิทินที่เหลือกว่าร้อยใบไป เขาเล่าให้คนรู้จักฟังว่า ‘ผู้การ’ มาพบเขาเอง และขอไม่ให้แจกปฏิทินเหล่านั้น กรณีนี้กระทบความรู้สึกของศักดิ์สิทธิ์เป็นอย่างมาก คนใกล้ชิดตั้งข้อสังเกตว่า “เป็นเรื่องหนักมากสำหรับเขา”
ไม่นับถึงสถานการณ์ทางการเมือง ที่ศักดิ์สิทธิ์เอาใจใส่ติดตาม และมักบ่นเสมอว่า “เราจะอยู่กันได้ยังไง” โดยเฉพาะคดีสลายการชุมนุมปี 2553 ซึ่งล่าสุด เมื่อวันที่ 17 ก.พ. ที่ผ่านมา ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งยกฟ้องยืนตามชั้นต้น ความเห็นของเขาคือ “ไม่ยุติธรรม”
จันทร์ที่ 22 ก.พ.59 ศักดิ์สิทธิ์เข้าไปรายงานตัวที่ มทบ.22 ตามปกติที่เขาปฏิบัติมา นับตั้งแต่รัฐประหารเมื่อ 22 พ.ค.57 หลังออกจากค่ายทหาร เขามีอาการปวดหัวจนครอบครัวต้องนำส่งโรงพยาบาล และเสียชีวิตในเวลาประมาณ 12.00 น. วันที่ 23 ก.พ.59
ในรายงานของศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ระบุว่าได้สัมภาษณ์ ศักดิ์สิทธิ์ กิ่งมาลา เมื่อเดือนกันยายน 2558 เพื่อเป็นการเก็บข้อมูลผู้ถูกคุกคามหลังรัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557  โดยได้ซักถามในประเด็นเรื่องการถูกควบคุมตัวอยู่ในค่ายทหารเป็นเวลา 6 วัน ในช่วงหลังการรัฐประหาร และถูกทหารติดตามมาโดยตลอดหลังจากนั้น ศักดิ์สิทธิ ได้กล่าวความรู้สึกกับศูนย์ทนายความเพื่อสิืทธิมนุษยชนว่า
“เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนขั้นที่รุนแรง… ผมรู้สึกว่าผมกำลังถูกกดขี่ ข่มเหง โดนกระทำ… ทหารมาวันไหนผมจะซึมเศร้าทั้งวัน”
และศูนย์ทนายฯ ได้นำบทบันทึกการพูดคุยในครั้งนั้นมาเผยแพร่ ดังต่อไปนี้
ที่มาภาพ: เฟซบุ๊ก Krekyut Competdee

ขอถามถึงความเป็นมาก่อนที่จะถูกเอาตัวไปปรับทัศนคติ

ผมเห็นว่าการเมืองไทยไม่มีความจริงใจ ไม่มีความเท่าเทียม และที่สำคัญมีการปล้นอำนาจของประชาชนโดยทหาร มีการปิดหู ปิดตาประชาชน มีการละเมิดสิทธิประชาชน คนที่คิดต่างไม่สามารถอยู่ได้ รู้สึกว่าถูกรังแก กดขี่ ผมจึงยึดมั่นอุดมการณ์ว่า “ที่ไหนมีการกดขี่ ที่นั่นมีการต่อสู้”
ผมรู้สึกถูกกดขี่และไม่พอใจในระบอบการปกครองที่มีการกดขี่ ข่มแหง ไม่ให้ความยุติธรรม สองมาตรฐานกับคนบางกลุ่ม ดังนั้น ผมต้องลุกมาต่อสู้กับสิ่งเหล่านี้ สัญลักษณ์การต่อสู้ของผมคือ ‘สีแดง’
ผมเริ่มเคลื่อนไหวและมีความคิดที่ต่อต้านระบบที่กดขี่ตั้งแต่ปี พ.ศ.2549 หลังการรัฐประหารล้มรัฐบาลทักษิณ เพราะเป็นช่วงที่นายกฯ ทักษิณ ถูกกระทำจากอำนาจนอกระบบ ซึ่งท่านเป็นนายกฯ ที่มาจากประชาชนเลือกและเราศรัทธา จึงทำให้ผมเป็นแบบทุกวันนี้คือ ต่อต้านความไม่เป็นธรรมทางการเมือง
ช่วงการเคลื่อนไหวของ กปปส. ผมก็เข้าร่วมเคลื่อนไหวต่อสู้และแสดงจุดยืนทางการเมืองไม่ยอมรับความคิดเห็นของ กปปส. จนถึงวันที่ทหารเข้ารัฐประหารรัฐบาลที่มาจากประชาชนอีกครั้งเมื่อวันที่ 22 พ.ค. 2557

ช่วยเล่าเหตุการณ์ช่วงที่ถูกทหารเอาตัวไปปรับทัศนคติ
ก่อนที่จะถูกทหารมาที่บ้านแล้วเชิญไปปรับทัศนคติ ผมก็ใช้ชีวิตปกติ ค้าขาย ช่วงก่อนหน้านั้นที่บ้านผมก็มีการประชุม รวมกลุ่มพูดคุยทางการเมือง วิพากษ์วิจารณ์การเมืองและความเห็นทางการเมืองของ กปปส.  ที่บ้านผมเหมือนเป็นที่ประสานงานของ ‘ชมรมคนรักทักษิณอุบลฯ’
วันที่ 23 พฤษภาคม 2557 ประมาณ 10 โมงเช้า กำลังทหารจากค่าย มทบ.22 มาที่บ้านซึ่งบอกผมว่ามาเชิญตัวเพราะ “นายจะคุยด้วย” ทหารบอกแค่นี้
รถฮัมวี่ รถเก๋ง 2 คัน รถกระบะ 2 คัน รถจีเอ็มซีพร้อมทหารในชุดพร้อมรบได้วางกำลังล้อมบ้านผม และมีการขอค้นบ้าน ผมไม่ให้ค้น ผมบอกว่า “ไม่มีอะไรในบ้าน”
ทหารชี้แจงรายละเอียดในการเชิญตัว ประมาณ 20 นาที แล้วบอกให้ผมเก็บร้านค้าขึ้นรถไปกับพวกเขา ผมนั่งในรถฮัมวี่มีทหารอาวุธครบมือนั่งแนบข้างผมทั้งสองข้าง ไม่มีการปิดตา ทหารพูดคุยกัน แต่ผมไม่พูด มีแต่ทหารยศใหญ่ที่พูดคุย ผมจำเส้นทางได้หมดว่าจะพาไปไหน
ทหารยังไม่บอกว่าจะเชิญตัวไปไหน ทำอะไร ทหารปฏิบัติกับผมดี ไม่มีการฉุดกระชาก พวกเขาเชิญขึ้นรถแบบให้เกียรติ ไม่ได้แตะเนื้อต้องตัวหรือพูดจารุนแรงกระทบจิตใจผม
ตอนนั้นครอบครัวของผมไม่อยู่ แต่ไม่ถึงสิบนาทีที่ทหารเชิญตัวไปเขาก็ทราบข่าว เพราะญาติพี่น้องแถวนั้นบอก
พอไปถึงที่ค่าย มทบ.22 ผมอยู่ในห้องรับรอง เป็นลักษณะห้องโถง มีหน้าต่างยาว ผมคิดว่าเป็นห้องทำงาน แต่มีการเก็บเฉพาะเพื่อให้ผมไปอยู่ ตอนแรกผมไม่รู้ว่าตัวเองจะได้ค้างคืน ผมไม่ได้เอาเสื้อผ้า ของใช้ส่วนตัวไปด้วย
ไปถึงที่นั่นก็นั่งรอเจ้าหน้าที่ที่จะมาคุยกับเรา โดยเป็นเจ้าหน้าที่คนละชุดที่ไปเชิญตัวผมมาจากบ้าน พวกเขาก็ชี้แจงเหตุผลที่ได้เชิญตัวมาว่า “ต้องได้พักที่นี่ซักระยะหนึ่ง บอกไม่ได้ว่ากี่วัน เจ้านายอยากจะสอบถามเกี่ยวกับข้อมูลหลาย ๆ เรื่อง พวกเราขอเก็บโทรศัพท์และอุปกรณ์สื่อสารทั้งหมด และขอช่วงนี้ไม่ให้พบญาติหรือเพื่อน ไม่ให้ติดต่อกับคนภายนอก”
ผมถูกควบคุมตัวอยู่ที่นั่น ทั้งหมด 6 วัน มีอาหารให้ครบทุกมื้อ กาแฟ ของว่างด้วย ในห้องมีแอร์ มีทีวี ที่รับได้แต่ช่องประกาศของคณะ คสช. ในห้องนั้นมีเพื่อนอยู่อีก 3 คน ที่นอนมีแค่เบาะ หมอน ผ้าห่มเล็ก ๆ ให้ ผมจำได้มีวันหนึ่งมีการตรวจร่างกาย ตรวจสุขภาพ ทั้งสุขภาพกาย สุขภาพจิต ว่ามีจิตบกพร่องหรือไม่ โดยแพทย์ของทหารมาตรวจ
จากนั้นเจ้าหน้าที่จากสถานีตำรวจก็มาสอบปากคำ เหมือนการสอบผู้ต้องหา โดยถามว่า “ทำไมต้องเป็นเสื้อแดง” “เราต่อสู้เพื่ออะไร” “จะล้มล้างระบอบการปกครองหรือมีการติดอาวุธหรือไม่” การสอบปากคำครั้งนี้ใช้เวลาประมาณ 30 นาที เป็นอย่างต่ำ เพราะว่าคำถามยาวมาก การสอบปากคำมีครั้งเดียว แล้วลงลายมือชื่อผู้ที่ให้ปากคำ
ก่อนออกจากค่ายก็มีเอกสารมาให้เซ็นความร่วมมือต่าง ๆ กับทางเจ้าหน้าที่ เช่น การห้ามเคลื่อนไหวทางการเมือง เป็นต้น ไม่มีการซ้อมทรมาน หรือใช้ความรุนแรง แม้กระทั่งการตอบคำถามต่าง ๆ ทหารไม่บังคับให้ตอบ
หลังจากออกจากค่ายมาผมบันทึกความรู้สึกหรือคำพูดอะไรต่าง ๆ ของผมและเจ้าหน้าที่ตอนถูกควบคุมตัวไว้ แต่ผมฉีกมันทิ้งแล้ว เพราะผมไม่อยากจำ มันเป็นความทรงจำที่เลวร้าย

ที่มาภาพ: เฟซบุ๊ก Krekyut Competdee

หลังจากนั้นแล้ว ทหารยังติดตามดูความเคลื่อนไหวของเราอีกมั้ย

จนถึงทุกวันนี้ ทหารก็ยังติดตามมาหาที่บ้านตลอด มาถ่ายรูปเพื่อรายงานเจ้านายของพวกเขา บางครั้งโทรศัพท์มาถามว่า “ทำอะไร อยู่ในพื้นที่หรือไม่ จะไปหาที่บ้านนะว่าจะถ่ายรูป พูดคุยด้วย” ผมสังเกตว่า ถ้ามีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นในกรุงเทพฯ ทหารก็จะมาหาผมตลอด แม้แต่เหตุการณ์ระเบิดกลางกรุงเทพฯ ล่าสุด ก็เช่นกัน หลังๆ ยังเพิ่มหน่วยงาน มี กอ.รมน และสันติบาลมาด้วย และทุกวันจันทร์ผมก็ต้องเข้าค่ายไปรายงานตัว ให้เจ้าหน้าที่รู้ว่าผมยังอยู่ที่อุบลฯ
บางครั้งทหารเชิญไปร่วมงานปรองดองที่โคราช ให้ค่าเดินทางผมแค่ 500 บาท ผมปฏิเสธไม่ได้ต้องไปตามคำสั่งเขา

รู้สึกอย่างไรบ้างกับสิ่งที่เกิดขึ้น

สำหรับผมการที่ทหารทำกับผมและครอบครัวผมแบบนี้ เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนขั้นที่รุนแรง เริ่มตั้งแต่การนำกำลังทหารพร้อมอาวุธครบมือมาล้อมบ้านผม ทำเหมือนผมเป็นผู้ร้ายอาชญากรรมรุนแรง และควบคุมตัวผมไปโดยไม่บอกสาเหตุ ควบคุมตัวผมไว้ที่ค่ายทหารไม่ให้รับรู้ข่าวสารโลกภายนอกทั้งหมด 6 วัน ถึงจะไม่มีการใช้ความรุนแรงกับผม แต่ในใจลึก ๆ ผมรู้สึกว่าผมกำลังถูกกดขี่ ข่มเหง โดนกระทำ บอกว่าเจ็บกายหรือไม่ ไม่เจ็บ แต่เจ็บใจหรือไม่ โคตรเจ็บ จนเรากลืนความเจ็บปวดนั้นไว้และครอบครัวก็ไม่อยากรับสภาพแบบนี้ มีครั้งหนึ่งครอบครัวเคยบ่นไม่อยากต้อนรับทหาร เพราะบางครั้งผมต้องออกจากบ้าน ถ้ารู้ว่าทหารจะมา แต่ครอบครัวก็ต้องรับหน้าแทน ถ้าวันไหนลูกผมอยู่บ้าน ก็ต้องรับหน้าแทนผม แล้วทหารก็ถามหาผมว่าผมไปไหน ผ่านครอบครัว ผมรู้สึกรำคาญ ทหารมาวันไหนผมจะซึมเศร้าทั้งวัน


มีสิ่งที่ยังไม่ได้ถาม แต่อยากพูดมั้ย

ผมไม่ถือว่ากลุ่มที่บริหารประเทศอยู่ตอนนี้เป็นรัฐบาล ผมถือว่าพวกนี้เป็นกบฏ ยึดทำเนียบรัฐบาล ยึดสภาผู้แทนฯ ของประชาชน นายกฯ ผมไม่เรียกว่าเป็นนายกฯ ผมเรียกว่าผู้นำกบฏ เพราะไม่มีความชอบธรรมใด ๆ ที่จะเข้ามาบริหารประเทศ ประชาชนไม่ได้เลือกเข้ามา ต่างชาติไม่ยอมรับ ผมไม่ยอมรับอำนาจเถื่อนนี้ทุกกรณี ขอให้รีบลงจากอำนาจ

หมายเหตุ: พิธีฌาปนกิจศพ นายศักดิ์สิทธิ์ กิ่งมาลา จะมีขึ้นในวันเสาร์ที่ 27 ก.พ.59 ณ วัดป่าบ้านหว่านไฟ ม.8 ต.บ้านดู่ อ.อาจสามารถ จ.ร้อยเอ็ด

ยันสมาคมนักข่าวฯไม่สยบยอมต่อประยุทธ์ ชี้ตำหนิมากกว่านายกฯคนอื่นๆ


เมื่อวันที่ 25 ก.พ. ที่ผ่านมา Thaisvoicemedia ได้เผยแพร่สัมภาษณ์ นายมาณพ ทิพย์โอสถ โฆษกสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเท­ศไทย ถึงกรณีพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีออกกติกาใหม่ให้สื่อมวลชนประจ­ำทำเนียบรัฐบาลถามได้เพียง 4 คำถามต่อวันและก่อนถามนักข่าวจะต้องแจ้งชื­่อนามสกุลและสังกัดก่อน
โดยโฆษกสมาคมนักข่าวฯ ระบุว่า สมาคมนักข่าวฯเห็นว่าเป็นการริดรอนสิทธิเส­รีภาพของสื่อมากเกินไป เพราะการบริหารราชการแผ่นดินในแต่ละวันย่อ­มมีประเด็น มีข้อสงสัย และมีปัญหาที่ประชาชนต้องการฟังคำตอบจากผู­้นำประเทศมากกว่า 4 คำถาม อย่างไรก็ตามนักข่าวประจำทำเนียบเองบางคนก­็ยอมรับได้เพื่อให้เกิดระเบียบ ส่วนข้อวิพากษ์วิจารณ์ที่ว่าอาชีพสื่อมวลช­น หรือแม้แต่สมาคมนักข่าวฯในยุคปัจจุบันเป็น­ยุคที่ตกต่ำที่สุดหรือไม่เป็นเรื่องที่สัง­คมตัดสินว่าเป็นอย่างไรในฐานะที่อยู่ในองค­์กรคงพูดไม่ได้ว่าสมาคมที่ตัวเองสังกัดตกต­่ำที่สุดหรือไม่ หรือจะมองว่าสมาคมนักข่าวฯสยบยอม หรือเห็นดีเห็นงามกับอำนาจเผด็จการไปด้วยห­รือไม่ก็เป็นเรื่องที่สังคมเป็นคนมอง
กรณีสำนักงานโฆษกรัฐบาล จัดระเบียบการให้สัมภาษณ์นายกรัฐมนตรีต่อน­ักข่าวสายทำเนียบรัฐบาลนั้น นายมาณพ มองว่า เป็นการสะท้อนให้เห็นถึงการไม่ให้เกียรติ การทำหน้าที่ของสื่อมวลชน กับการที่ให้นักข่าวนั่งพับเพียบกับพื้น สะท้อนภาพการกดขี่ที่ผู้นำประเทศมีต่อประช­าชน เพราะสถานะของนายกรัฐมนตรี กับ สถานะของผู้สื่อข่าวในการทำงานให้กับประชา­ชนนั้น ไม่แตกต่างกัน จึงอยากเรียกร้องให้สำนักโฆษกจัดการที่ทางในการแถลงข่าวประจำสัปดาห์ให้มันเหมาะสมมากกว่านี้
โฆษกสมาคมนักข่าวฯ ยืนยันว่า พล.อ.ประยุทธ์ เป็นคนที่ถูกสมาคมนักข่าวฯ ตำหนิมากที่สุด เพียงต่างสิ่งที่ท่านแสดงออก ปรากฏการณ์คำพูดหรือกิริยาของท่านมันถี่มากกว่าคนอื่นเท่านั้นเอง เพราะฉะนั้นการที่จะทำให้สมาคมนักข่าวฯ ออกทุกครั้งนนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเหมือนกัน 
 
"สิ่งที่สมาคมนักข่าวฯ แสดงออกกับท่านประยุทธ์นี่ ผมว่าตำหนิมากกว่านายกรัฐมนตรีคนอื่นๆ เพียงแต่ว่าสิ่งที่ท่านแสดงออกมานั้นมันมากกว่าคนอื่นเป็นจำนวนมากเท่านั้นเอง" นายมาณพ กล่าว พร้อมยืนยันว่าสมาคมนักข่าวฯ ไม่สยบยอม
 
ส่วนข้อเสนอที่จะให้ สมาคมนักข่าว หรือ ทำความเข้าใจหรือปรับทัศนคติ พล.อ.ประยุทธ์ ให้เข้าใจบทบาทหน้าที่ของนักข่าว แตกต่างจากการเป็น พลทหาร หรือเป็นข้าราชการในสังกัดของรัฐบาลนั้น นายมาณพ มองว่า เป็นเรื่องที่ต้องให้สังคมร่วมกดดันด้วย และคงเป็นการยากที่จะเปลี่ยนความคิด ความเชื่อของผู้นำที่มาจากทหาร และมีอายุมากแล้วแบบ พล.อ.ประยุทธ์  

จับตาเพจปล่อยภาพ‘คชาชาติ-สุชาติ’-50 คนโลกออไลน์ภัยคุกคามสถาบัน


26 ก.พ.2559 เว็บไซต์ผู้จัดการออนไลน์ รายงานว่า ที่กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) พล.ต.ท.ฐิติราช หนองหารพิทักษ์ ผบช.ก. กล่าวถึงกรณีที่เพจเฟชบุ๊กการเมืองชื่อดังโพสต์ภาพและข้อความระบุว่า นายคชาชาต บุญดี และนายสุชาติ พรมใหม่ อดีตนายทหารระดับสูง ผู้ต้องหาในคดีหมิ่นสถาบันฯ เครือข่ายนายสุริยัน สุจริตพลวงศ์ หรือหมอหยอง หลบหนีหมายจับไปอยู่อย่างสุขสบายที่ประเทศนิวซีแลนด์ ว่าเพจที่ลงกันอยู่มีข้อมูลสื่อสารสังคมหลากหลาย โดยเฉพาะเพจที่มีการพูดถึงสถาบันฯ ตำรวจสอบสวนกลางเฝ้าระวังอยู่ เพจนี้ก็เป็นหนึ่งในหลายเพจที่เฝ้าติดตามอยู่
      
“ตำรวจเฝ้าติดตามคนผลิตประดิษฐ์เนื้อความต่างๆ ลงในโลกออนไลน์ มีประมาณ 50 คน ขณะนี้พิสูจน์ทราบได้แล้ว โดยเฉพาะเพจที่ออกมาโพสต์เรื่องนี้ก็รู้ตัวแล้ว แต่ไม่ขอเปิดเผยว่าเป็นใคร อยู่ในประเทศไทยหรือไม่ เว็บนี้เคลื่อนไหวหลายมิติ เคลื่อนไหวโจมตีทั้งทหาร ทั้งสถาบันพระมหากษัตริย์ เฝ้าระวังอยู่ ข้อมูลที่ลงที่ผ่านมาก็พิสูจน์ทราบได้ พบว่าหลายบุคคลพยายามพรางตัวเองให้ข้อมูลที่ค่อนข้างคลาดเคลื่อน อยู่อีกที่ แต่มีภาพอีกที่หนึ่งปรากฏให้คนเข้าใจผิดว่าอยู่อีกที่หนึ่งเพื่อให้เกิดความสับสนในการสืบสวนติดตามตัว ข้อมูลที่มีเชื่อมั่นว่าภาพที่แชร์ล่าสุดไม่ถูกต้อง ข้อมูลการสืบสวนล่าสุดก็ไม่สอดคล้องกัน สำหรับทั้งสองคนที่ถูกออกหมายจับนั้นเจ้าหน้าที่กำลังพยายามแสวงหาข้อมูลการสืบสวนให้ชัดเจนว่าทั้งสองคนอยู่ที่ไหน แนวโน้มว่าทั้งคู่ออกไปอยู่ต่างประเทศแล้ว แต่ขอสงวนชื่อประเทศไว้ก่อน ที่ผ่านมาพิสูจน์ทราบได้ว่าหลายเว็บเพจให้ข้อมูลผู้ต้องหาคดีต่างๆ ว่าอยู่ที่นั่นที่นี่ ทั้งที่ไม่ได้อยู่จริงเพื่อทำให้เกิดความสับสน โดยเฉพาะเจ้าของเพจจะลงภาพว่าตัวเองอยู่สถานที่ใดสักแห่ง ทั้งที่ไม่ได้อยู่จริงเพื่อสร้างความสับสน” พล.ต.ท.ฐิติราชกล่าว
      
พล.ต.ท.ฐิติราชกล่าวว่า เมื่อพบมีการลงข้อมูลที่ผิดหรือคลาดเคลื่อนก็สั่งการให้สืบสวนสอบสวนเพื่อดำเนินคดีแล้ว ขณะนี้ให้กองบังคับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยีตรวจสอบว่าเข้าข่ายผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ อย่างไรบ้าง และประสานไปยังกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร หรีอไอซีที เพื่อดำเนินการปิดเว็บเพจดังกล่าวต่อไป เรื่องนี้ พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รอง ผบ.ตร.ด้านความมั่นคง กำลังดูอยู่ส่วนการติดตามจับกุมผู้ต้องหาคดีหมิ่นสถาบันฯ รายอื่นๆ เช่นนายตั้ง อาชีวะ ทั้งนี้ คนไทยส่วนใหญ่รักและเทิดทูนสถาบันฯ มีส่วนน้อยมากจริงๆ ที่แตกต่าง โดยคนกลุ่มนี้เราพิสูจน์ทราบได้ เป็นภัยคุกคาม พยายามทำร้ายและทำลาย เป็นเรื่องไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง
      
“ผมไม่ยอม กำลังสืบสวนติดตามจับกุม คนพวกนี้ใช้ความคิดตัวเองเป็นใหญ่ พยายามสื่อสารความคิดตัวเองไปสู่สังคมโดยไม่ถูกต้อง ตอนนี้รู้ตัวแล้ว คนทำเพจนี้ หลายคนก็สนใจอยู่ ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการสืบสวนสอบสวน ใครทำผิดว่าตามผิด ไม่ละเว้น โดยเฉพาะกลุ่มที่เป็นภัยคุกคามสถาบันฯ ผมไม่ละเว้น ตอนนี้รู้ตัวตนทั้งหมดมี 50 คนที่ยังพยายามสร้างความวุ่นวายในรูปแบบต่างๆ ขัดแย้งกับใครไม่ว่า อย่าล่วงเกินสถาบันฯ” ผบช.ก.กล่าว และว่าคนกลุ่มนี้ยังพยายามแสดงออกใช้ข้อความไม่เหมาะสม ส่วนหนึ่งเป็นกลุ่มเดิมๆ คนพวกนี้ติดต่อเชื่อมโยงสัมพันธ์ทางโซเชียลมีเดีย 

บีบีซีไทยรายงาน วินธัย-ตำรวจ ยังไม่มีใครยอมรับว่าติดต่อครอบครัว 'ปวิน'


เพจบีบีซีไทยรายงานว่า จากกรณีที่สื่อมวลชนหลายสำนักทั้งไทยและต่างประเทศรายงานกรณีที่มีเจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจ ติดต่อครอบครัวของนายปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ นักวิชาการที่วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลทหารและการรัฐประหารอย่างเผ็ดร้อนผ่านเวทีวิชาการ บทความ เวทีเสวนาในต่างประเทศ รวมถึงในหน้าเฟซบุ๊กของตนเองอย่างต่อเนื่อง โดยระบุว่าเป็นการติดต่อเพื่อขอให้ครอบครัวหยุดยั้งนายปวินจากการวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล แต่จากการสอบถามของบีบีซีไทย ไม่ปรากฎว่ามีหน่วยงานใดยืนยันว่ามีการติดต่อเกิดขึ้น ขณะที่นายปวินและครอบครัวยืนยันว่ามีทั้งเจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจติดต่อครอบครัวจริง
ก่อนหน้านี้บีบีซีไทยได้ติดต่อไปยัง พ.อ.วินธัย สุวารี โฆษกคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เพื่อสอบถามถึงกรณีดังกล่าว ได้รับคำตอบว่า สิ่งที่ปรากฏบนหน้าสื่อแม้จะมีการรายงานหลายฉบับไม่ได้แปลว่าเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงเสมอไป และวันนี้ บีบีซีไทยได้ติดต่อไปยังเบอร์โทรศัพท์ของเจ้าหน้าที่ตำรวจรายหนึ่ง ซึ่งที่ผ่านมาเบอร์โทรศัพท์ดังกล่าวเป็นเบอร์ที่ผู้ใช้ระบุชื่อว่าพ.ต.อ. จรูญเกียรติ จากกองบัญชาการสอบสวนกลาง ใช้ติดต่อกับพี่สาวคนหนึ่งของนายปวิน ในเบื้องต้นบีบีซีไทยสอบถามว่าเบอร์โทรศัพท์นี้เป็นเบอร์ของ พ.ต.อ.จรูญเกียรติใช่หรือไม่ ผู้รับระบุว่า ใช่ แต่เมื่อสอบถามถึงกรณีของนายปวิน กลับได้รับคำตอบว่า ผู้สื่อข่าวสอบถามผิดคน และตนเองไม่ทราบเรื่องนี้
ด้านเว็บไซต์ Khaosod English รายงานกรณีที่มีเจ้าหน้าที่ทหารไปพบบุคคลในครอบครัวของนายปวิน พร้อมลงภาพถ่ายของ น.ส. ปราณี พี่สาวของนายปวินที่ถ่ายรูปคู่กับทหาร โดยบอกว่า น.ส. ปราณีให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวข่าวสดภาคภาษาอังกฤษ ยืนยันว่ามีเจ้าหน้าที่ทหารไปพบเมื่อวันที่ 19 ก.พ.จริง โดยเจ้าหน้าที่ได้ขอให้ครอบครัวบอกให้นายปวินหยุดการวิพากษ์วิจารณ์คสช.
ด้านนายปวินให้สัมภาษณ์บีบีซีไทยว่าไม่แปลกใจที่มีการปฏิเสธเช่นนี้ แต่เขายืนยันว่าหากเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องจริงและไม่มีหลักฐานการติดต่อสื่อสารเลย ก็คงไม่กล้าเปิดเผยต่อสื่อมวลชนมากขนาดนี้
“ผมไม่แปลกใจที่คุณวินธัย หรือตำรวจได้ออกมาปฏิเสธเรื่องนี้ ทั้งที่ๆ ได้ทิ้งเบอร์โทรศัพท์ให้ทางบ้านผมโทรกลับไปหาและได้ติดต่อกันบ้างพอควร รวมไปถึงการมาที่บ้านและได้มีการบันทึกภาพถ่ายไว้ กองทัพคงไม่มีความกล้าหาญพอที่จะออกมายอมรับว่าคุกคามและข่มขู่ครอบครัวผม แต่หากเรื่องนี้ไม่เป็นจริง ผมย่อมไม่กล้าเปิดเผยต่อสื่อต่างประเทศขนาดนี้ จึงอยากจะขอให้ทางการออกมาอธิบายเรื่องนี้ให้ชัดเจน ถ้าคุณกล้าทำ ก็ต้องกล้ายอมรับครับ ด้วยศักดิ์ศรีของชายชาติทหาร”

วิษณุแจงเขียนจม.ขอพักโทษผู้ต้องขังรายหนึ่ง ทำอย่างเปิดเผย มีระเบียบรองรับตามกฎหมาย


26 ก.พ. 2559 จากกรณีเฟซบุ๊กแฟนเพจ 'กูต้องได้ 100 ล้าน จากทักษิณแน่ๆ' นำภาพจดหมายที่เขียนด้วยลายมือของนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ขอให้พักโทษผู้ต้องขังรายหนึ่ง มาเผยแพร่นั้น
ล่าสุด สำนักข่าวไทย รายงานว่า  นายวิษณุ กล่าวถึงจดหมายดังกล่าวว่า ญาติผู้ต้องขังคนดังกล่าว เคยเดินทางพบตนเอง แล้วขอให้ช่วยพักโทษผู้ต้องขังรายนั้น ซึ่งดำรงตำแหน่งเป็นนายกสมาคมกล้วยไม้  จึงสอบถามยังอธิบดีกรมราชทัณฑ์ว่า เข้าเงื่อนไขให้สามารถทำได้หรือไม่ ซึ่งได้คำตอบว่า การจะพักโทษผู้ต้องขังได้ บุคคลดังกล่าวต้องผ่านการรับโทษมาแล้วกึ่งหนึ่ง และเป็นนักโทษชั้นดีเยี่ยม ซึ่งผู้ต้องขังรายนั้นเข้าข่าย จึงทำหนังสือและทำจดหมายเกษียณแนบท้าย ให้ญาตินำไปยื่นร้องขอความเป็นธรรม ต่ออธิบดีกรมราชทัณฑ์
นายวิษณุ กล่าวว่า กรณีนี้ถือว่าไม่ใช่รายแรก และหากใครที่เห็นว่า ไม่ได้ความเป็นธรรม ก็สามารถขอให้ช่วยได้ ยืนยันไม่เคยรู้จักกับผู้ต้องขังคนดังกล่าว และไม่เคยรับประโยชน์ใดๆ มาก่อน ทุกอย่างทำอย่างเปิดเผย มีระเบียบรองรับตามกฎหมาย จึงไม่ใช่เป็นการทำจดหมายน้อยแต่อย่างใด เพราะข้อความที่นำมาเผยแพร่ ถูดตัดมาเพียงเล็กน้อย
 
“ยินดีและเต็มใจชี้แจงเรื่องที่เกิดขึ้น โดยไม่รู้สึกผิดปกติหรือตื่นเต้น เนื่องจากขณะที่ทำมีสติครบถ้วน พร้อมยินดีรับผิดชอบทุกอย่าง ส่วนตัวเป็นคนระมัดระวังเวลาทำอะไรอยู่แล้ว หากสิ่งใดที่ไม่ต้องการเปิดเผย ทุกเรื่องจะเป็นความลับ และขณะนี้มีหนังสือร้องขอความเป็นธรรมมาที่ผม โดยข้าราชการระดับสูง ที่ถูกคำสั่งให้พ้นจากตำแหน่ง อยู่ระหว่างการพิจารณาอีก 3 ราย แต่ขอไม่เปิดเผยรายละเอียด” นายวิษณุ กล่าว
 
นายวิษณุ กล่าวด้วยว่า ส่วนตัวได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบดูแลกระทรวงยุติธรรม เรื่องดังกล่าวจึงถือว่าอยู่ในอำนาจหน้าที่ ไม่ถือเป็นการก้าวก่ายแต่อย่างใด
 
มว.ยุติธรรม ชี้เป็นเรื่องปกติคนทั่วไปก็ทำกัน ขออย่าเทียบกับ จม.น้อยวิ่งเต้นขอตำแหน่ง
 
กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ รายงานด้วยว่า พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รมว.ยุติธรรม กล่าวว่า การเขียนจดหมายน้อยของนายวิษณุ สามารถทำได้เป็นเรื่องปกติคนทั่วไปก็ทำกัน แต่อย่านำไปเปรียบเทียบกับจดหมายน้อยของการวิ่งเต้นขอตำแหน่งให้กับข้าราชการตำรวจของศาลปกครองเพราะกรณีนี้เป็นการร้องขอตามสิทธิของผู้ต้องขังซึ่งเปิดโอกาสให้ผู้ต้องขังร้องขอเองหรือญาติร้องขอก็ได้โดยเรื่องนี้นายกสมาคมกล้วยไม้ฯคนปัจจุบัน ร้องขอไปยังนายวิษณุซึ่งเป็นรองนายกรัฐมนตรีที่กำกับดูแลกระทรวงยุติธรรมโดยตรง จึงเป็นเหตุให้รองนายกรัฐมนตรีได้ทำหนังสือปะหน้าส่งถึงกรมราชทัณฑ์พร้อมระบุว่า“กรุณาพิจารณาด้วยหากระเบียบเปิดช่องให้ทำได้“สิ่งที่เกิดขึ้นถือเป็นสิทธิโดยชอบขณะเดียวกันเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์เมื่อได้รับหนังสือจากผู้ร้องก็ต้องพิจารณาตามหลักเกณฑ์ของกรมราชทัณฑ์ 
 
รมว.ยุติธรรม กล่าวต่อว่า ตามปกติเมื่อผู้ต้องขังจะร้องขอให้มีการพักการลงโทษมักจะอ้างเรื่องคุณงามความดีโดยแบ่งออกเป็น2ช่วง คือ ช่วงที่อยู่ในเรือนจำเจ้าหน้าที่จะเป็นผู้ประเมินจากความประพฤติผู้ต้องขังส่วนช่วงที่ใช้ชีวิตอยู่นอกเรือนจำก็ต้องอ้างบุคคลอื่นมาให้การรับรอง จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่มีการอ้างถึงบุคคลที่น่าเชื่อถือต่างๆส่วนกรณีที่มีการยืนยันถึงตำแหน่งอดีตนายกสมาคมกล้วยไม้ฯก็เพื่อให้มีการรับรู้ถึงอาชีพและรายได้ที่แน่นอนหากได้รับการพักการลงโทษจะไม่หลบหนีหรือกระทำผิดเงื่อนไข ดังนั้นสิ่งที่นายวิษณุกระทำเป็นการทำหน้าที่ดูแลสิทธิของผู้ต้องขังไม่ใช่การละเมิดสิทธิ์ผู้อื่น แต่กลับถูกโยงไปเป็นประเด็นใส่ร้ายกันในทางการเมือง วัตถุประสงค์เพื่อให้คนทำงานหมดกำลังใจ 
 
สำหรับผู้ต้องขังรายดังกล่าวจะได้รับการพิจารณาพักการลงโทษหรือไม่ขึ้นอยู่กับคุณสมบัติคือจะต้องเหลือโทษจำคุกไม่เกิน1ใน3และจะต้องผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการพักการลงโทษที่มีปลัดกระทรวงยุติธรรมหรือรองปลัดกระทรวงยุติธรรมนั่งเป็นประธาน 

เปิดสถิติจับกุม-คุมขังด้วย 112 หลังรัฐประหาร ชี้สิทธิตามกระบวนการยุติธรรมถูกละเมิด


สมาพันธ์เพื่อสิทธิมนุษยชนสากล (FIDH) และ สมาคมสิทธิเสรีภาพของประชาชน (สสส.) ออกรายงานสถานการณ์การใช้กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพหลังรัฐประหาร เปิดสถิติผู้ถูกคุมตัว-ลงโทษ มีผู้ถูกจับกุมตามข้อหา 112 เพิ่มขึ้นเกือบ 9 เท่า และมีเพียง 6% ที่ได้รับการประกันตัวระหว่างรอพิจารณาคดี 

 
26 ก.พ. 2559 สมาพันธ์เพื่อสิทธิมนุษยชนสากล (International Federation for Human Rights: FIDH) องค์กรสิทธิมนุษยชน ซึ่งมีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่กรุงปารีส และ สมาคมสิทธิเสรีภาพของประชาชน (สสส.) ออกรายงานเรื่อง “36 and counting - Lèse-majesté imprisonment under Thailand’s military junta” (36 และที่ต้องนับต่อไป การคุมขังตามกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพภายใต้รัฐบาลทหารไทย) โดยระบุว่า การควบคุมตัวในคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพสูงขึ้นในระดับน่าตกใจ ภายหลังการรัฐประหารในไทยเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 พร้อมแสดงความกังวลอย่างจริงจังต่อแบบแผนการละเมิดสิทธิที่จะมีเสรีภาพ สิทธิที่จะได้รับการพิจารณาคดีอย่างเป็นธรรม และสิทธิที่จะมีเสรีภาพในการแสดงความเห็นและการแสดงออก อันเป็นผลมาจากการฟ้องร้องดำเนินคดีตามมาตรา 112 ของประมวลกฎหมายอาญา โดยชี้ว่า การละเมิดทั้งหลายเหล่านี้ถือว่าขัดต่อพันธกรณีของไทยที่มีต่อกฎบัตรสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศที่สำคัญ
คาริม ลาฮิดจี (Karim Lahidji) ประธานของ FIDH กล่าวว่า การปฏิบัติมิชอบกรณีกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ส่งผลให้สถิติด้านสิทธิมนุษยชนของไทยเสื่อมทรามลงอย่างมากภายหลังรัฐประหาร ในช่วงที่จะมีกระบวนการทบทวนสิทธิมนุษยชนตามวาระกรณีประเทศไทย (Universal Periodic Review) ประชาคมระหว่างประเทศต้องเสนอให้ประเทศไทยแก้ไขปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชน อันเนื่องมาจากการฟ้องร้องดำเนินคดีตามกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ และต้องกดดันให้มีการปฏิรูปมาตรา 112
ข้อมูลจากรายงานระบุว่า ภายใต้การปกครองของรัฐบาลทหารในไทยหรือคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) การสอบสวนคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพมักนำไปสู่การตั้งข้อหาอาญามากกว่าช่วงก่อนรัฐประหารถึงเกือบ 3 เท่า นับแต่วันที่ 22 พฤษภาคม 2557 มีผู้ถูกศาลตัดสินลงโทษจำคุกตามมาตรา 112 เป็นเวลายาวนาน 36 คน ในช่วงที่ทหารยึดอำนาจ มีผู้ที่ถูกศาลตัดสินจำคุกตามมาตรา 112 อยู่ก่อนแล้วหกราย จนถึงวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2559 จำนวนบุคคลที่ถูกจับกุมในคดีนี้เพิ่มขึ้นเป็น 53 คน หรือเพิ่มขึ้นเกือบ 9 เท่า โดยในจำนวนนี้มีอยู่ 35 คนที่ได้รับโทษจำคุก และอีก 18 คนที่อยู่ระหว่างรอการพิจารณา
จำเลยคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพหลายคนต้องถูกควบคุมตัวเป็นเวลานานระหว่างรอการพิจารณา และมักถูกปฏิเสธอย่างเป็นระบบไม่ให้ได้รับการประกันตัว ส่งผลให้มีการละเมิดอย่างมากต่อสิทธิขั้นพื้นฐาน รวมทั้งสิทธิขั้นพื้นฐานที่จะมีเสรีภาพและสิทธิที่จะได้รับการพิจารณาคดีอย่างเป็นธรรม โดยในจำนวน 66 คนที่ถูกจับกุมในข้อหาละเมิดมาตรา 112 หลังรัฐประหารเดือนพฤษภาคม 2557 มีเพียง 4 คน (6%) ที่ได้รับการประกันตัวระหว่างรอการพิจารณา จนถึงวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2559 61% ของจำเลยคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพต่างถูกควบคุมตัวมาแล้วอย่างน้อย 1 ปีระหว่างรอการพิจารณา โดย 28% ถูกควบคุมตัวมาเกือบ 6 เดือนแล้ว
นอกจากนั้น รายงานให้ข้อมูลว่า การให้อำนาจศาลทหารในการพิจารณาคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพทั้งหมดที่เกิดขึ้นหลังรัฐประหารแทนที่จะใช้ศาลพลเรือนส่งผลกระทบอย่างมากต่อสิทธิที่จะได้รับการพิจารณาคดีอย่างเป็นธรรมของบุคคลที่ถูกดำเนินคดีตามมาตรา 112 นับแต่รัฐประหาร ศาลทหารได้พิจารณาและลงโทษจำเลยคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ 24 คน โดยมีโทษจำคุกโดยเฉลี่ยสูงกว่าโทษจำคุกในช่วงก่อนรัฐประหารที่เป็นการตัดสินของศาลพลเรือนถึง 2 ปีครึ่ง
นับแต่รัฐประหารวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 เกือบ 75% ของการจับกุม การควบคุมตัว และการจำคุกกรณีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพภายหลังรัฐประหาร มักเป็นผลมาจากการใช้สิทธิที่จะมีเสรีภาพในการแสดงความเห็นและการแสดงออก การควบคุมตัวบุคคลในข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพรวมทั้งการควบคุมอย่างเข้มงวดต่อการเผยแพร่ข้อมูลอย่างเสรีเกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์ไทย เป็นการละเมิดอย่างชัดเจนต่อพันธกรณีของไทยที่มีต่อกฎหมายระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้องกับสิทธิที่จะมีเสรีภาพในการแสดงความเห็นและการแสดงออก
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาหน่วยงานสหประชาชาติและกลไกพิเศษหลายแห่งต่างได้แสดงความกังวลอย่างเปิดเผยต่อการฟ้องร้องดำเนินคดี การควบคุมตัวเป็นเวลานาน และคำสั่งจำคุกเป็นเวลาหลายปีตามมาตรา 112 พวกเขาได้เรียกร้องครั้งแล้วครั้งเล่าให้มีการแก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 112 และให้ปล่อยตัวผู้ถูกควบคุมตัวในคดี หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ คณะทำงานว่าด้วยการควบคุมตัวโดยพลการแห่งสหประชาชาติ (UN Working Group on Arbitrary Detention - UNWGAD) ได้ประกาศว่าการควบคุมตัวบุคคลในคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพสามคนคือ สมยศ พฤกษาเกษมสุข ปติวัฒน์ สาหร่ายแย้ม และภรณ์ทิพย์ มั่นคง เป็นการกระทำโดยพลการ คณะทำงานว่าด้วยการควบคุมตัวโดยพลการแห่งสหประชาชาติได้ร้องขอให้ทางการไทยปล่อยตัวบุคคลทั้งสาม และให้ชดเชยค่าเสียหายกรณีที่มีการควบคุมตัวพวกเขาโดยพลการ
จตุรงค์ บุณยรัตนสุนทร ประธาน สสส. กล่าวว่า จนกว่าจะมีการเริ่มต้นปฏิรูปมาตรา 112 โดยทันที เชื่อว่าจำนวนผู้ถูกควบคุมตัวในคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ จะเพิ่มขึ้นต่อไป การปฏิรูปมาตรา 112 จะทำให้ภาพลักษณ์ของไทยในประชาคมโลกดีขึ้น และตอบสนองต่อข้อกังวล ด้านสิทธิมนุษยชนของประชาคมระหว่างประเทศ
รายงานนี้ยังครอบคลุมรายละเอียดกรณีบุคคล 6 คน เป็นชาย 3 และหญิง 3  ซึ่งถูกศาลตัดสินจำคุกตั้งแต่ 5-30 ปีในคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพและการละเมิดพระราชบัญญัติการกระทำผิดทางคอมพิวเตอร์ เรื่องราวของพวกเขาสะท้อนให้เห็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างกว้างขวาง อันเป็นผลมาจากการที่ทางการบังคับใช้กฎหมายมาตรา 112 อย่างจริงจังเกินไป

ส่องปฏิกิริยาหลัง 'ชวลิต' ขอ คสช. สละอำนาจ เลือกตั้งภายในปีนี้


คสช. ขอบคุณสำหรับความเห็น 'ชวลิต' ระบุไม่เชิญปรับทัศนคติ 'วิษณุ' ย้ำจัดเลือกตั้งตามกำหนดการเดิมในโรดแมป 'จตุพร' ชี้เป็นคำแนะนำที่ถูกต้อง มองขาด ด้านรอง หน.ปชป. ชี้ สอดคล้องกับการเคลื่อนของทักษิณ  แต่คสช.สะเทือน
หลังจากวานนี้ (25 ก.พ.59) พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรี เปิดบ้านในซอยปิ่นประภาคม ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนเพื่อเสนอแนะสถานการณ์บ้านเมืองแก่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. และประชาชน  พร้อมทำจดหมายเปิดผนึกถึงประชาชนชาวไทยผู้รักชาติโดยเรียกร้องให้ คสช. เสียสละอำนาจ ส่งต่อภาระหน้าที่ให้กับคณะกรรมการกลางที่จะมาจากภาคส่วนต่างๆ ร่วมกันบริหารจัดการให้มีการเลือกตั้งภายในปี 2559 เพื่อให้ได้รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ทำหน้าที่แก้ไขปัญหาประเทศ ส่วนทหารให้ดูแลความมั่นคงร่วมกับรัฐบาลนั้น (อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม)
ส่งผลให้เกิดปฏิกิริยาจากหลายฝ่าย เช่น คสช. นปช. และพรรคประชาธิปัตย์ ดังนี้
คสช. ขอบคุณสำหรับความเห็น ระบุไม่เชิญปรับทัศนคติ
26 ก.พ. 59 พ.อ.ปิยพงศ์ กลิ่นพันธุ์ ทีมโฆษกคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวถึงกรณีที่พล.อ.ชวลิต แสดงความคิดเห็นดังกล่าวว่า ขอบคุณพล.อ.ชวลิตที่แสดงความคิดเห็น ซึ่งพล.อ.ชวลิตเป็นผู้มีประสบการณ์ในการแก้ไขปัญหาและบริหารบ้านเมืองมาก่อน ดังนั้นข้อเสนอของพล.อ.ชวลิตถือว่าเป็นประโยชน์อยู่บ้าง แต่สถานการณ์ปัจจุบันได้เปลี่ยนไปมาก เพราะกำลังเข้าสู่โหมดการปฏิรูปประเทศชาติ จึงจำเป็นที่คนไทยทั้งชาติต้องผ่านความยากลำบากด้วยกัน แต่คิดว่าจะใช้เวลาอีกไม่นานจะเห็นความสำเร็จของประเทศชาติร่วมกันในอนาคต ส่วนที่มีความเป็นห่วงเรื่องปัญหาเศรษฐกิจนั้น เนื่องจากเศรษฐกิจของโลกชะลอตัวส่งผลกระทบโดยตรงต่อสภาวะเศรษฐกิจทุกประเทศ รวมถึงประเทศไทยด้วย ซึ่งทีมเศรษฐกิจก็มีความตั้งใจเร่งแก้ไขปัญหาเพื่อให้เดินหน้าต่อไปได้ในระยะนี้ 
"ยืนยันว่าทุกอย่างต้องเดินตามโรดแม็พ เพราะมีกรอบเวลา ทั้งเรื่องการร่างรัฐธรรมนูญ การทำประชามติ และการเลือกตั้ง ทุกอย่างไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง สิ่งใดที่เป็นข้อคิดเห็นที่เป็นประโยชน์ ทางคสช.ยินดีรับฟังทุกเรื่อง และนำมาคิดวิเคราะห์ เพื่อแก้ไขปัญหาบ้านเมือง ส่วนข้อห่วงใยว่าคสช.จะต่ออำนาจไปอีก 5 ปีนั้น อาจจะเป็นข้อกังวลของพล.อ.ชวลิต แต่ข้อเท็จจริงเมื่อมีการเลือกตั้งแล้วก็ต้องคืนอำนาจให้กับประชาชน" พ.อ.ปิยพงศ์ กล่าว 
 
เมื่อถามว่าคสช.ได้ตั้งข้อสังเกตหรือไม่ว่าทำไมช่วงนี้มีคนออกมาแสดงความคิดเห็นกันถี่มากขึ้น พ.อ.ปิยพงศ์ กล่าวว่า ช่วงนี้เป็นช่วงจัดทำร่างรัฐธรรมนูญและรับฟังความคิดเห็นเพื่อไปปรับร่างรัฐธรรมนูญเพื่อแก้ไข เชื่อว่าไม่มีอะไรเป็นพิเศษ เมื่อถามต่อว่าจำเป็นต้องเชิญพล.อ.ชวลิต มาปรับทัศนคติหรือไม่ พ.อ.ปิยพงศ์ กล่าวว่า ไม่จำเป็นต้องเชิญมาปรับทัศคติ เพราะพล.อ.ชวลิตเป็นผู้ใหญ่ของบ้านเมือง และมีคุณูปการต่อบ้านเมืองเสมอมา ส่วนพลเรือนคนอื่นก็สามารถแสดงความคิดเห็นได้เช่นกัน ทุกคนมีความเสมอภาคกัน แต่ขอร้องว่าต้องไม่เป็นเรื่องที่จะนำไปสู่ความขัดแย้ง ส่วนกรณีที่นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รักษาการรองโฆษกพรรคเพื่อไทย บอกว่าอย่ามโน พร้อมไล่ไปศึกษาการให้ข่าวบนพื้นฐานความจริงนั้น ตนเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ คงไม่ตอบโต้พวกมดงานที่เป็นลิ่วล้อ เพราะไม่สร้างสรรค์ ดังนั้นขอไม่ตอบโต้อะไร 
 
 
วิษณุ ย้ำจัดเลือกตั้งตามกำหนดการเดิมในโรดแมป
 
นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงข้อเสนอของพล.อ.ชวลิต ว่า ต้องขอบคุณพล.อ.ชวลิตที่เป็นห่วงรัฐบาลและคสช. แต่ขอชี้แจงว่า รัฐบาลยังคงยึดตามโรดแมปเดิมที่จะจัดเลือกตั้งประมาณเดือนกรกฎาคม 2560 เนื่องจากมีกรอบหลักเกณฑ์ตามขั้นตอนต่าง ๆ ที่ต้องปฏิบัติตามตาราง ทั้งการจัดให้ออกเสียงประชามติรัฐธรรมนูญ การออกกฏหมายลูก และการให้เวลาสำหรับผู้ลงเลือกตั้งเข้าสมัครเป็นสมาชิกพรรคหรือตั้งพรรคการเมืองใหม่ ข้อเสนอของพล.อ.ชวลิตจึงเป็นไปไม่ได้
 
“เรายังคงยึดโรดแมปเดิม แต่หากไม่ได้เป็นคนในรัฐบาลจะใช้โรดแมปไหนก็ได้ ถือเป็นเรื่องปกติที่จะมีการแสดงความเห็น โรดแมปขยับได้เพียงเล็กน้อยหากเร่งทำประชามติ รวมถึงจะต้องทำกฏหมายลูก  แต่ถามว่าหากเร่งให้เร็วขึ้น ประชามติก็จะถูกมองว่าเป็นประชามติจอมปลอมไม่ทั่วถึง หรือหากจะเร่งกฏหมายลูกในช่วงนี้ก็ต้องเห็นใจกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ(กรธ.) ที่ถูกคนนอกโจมตีรัฐธรรมนูญแล้วไม่มีโอกาสชี้แจง อีกทั้งหากจะเร่งออกกฏหมายลูกก็เกรงว่าอาจจะไม่สอดรับกับรัฐธรรมนูญ เนื่องจากการร่างรัฐธรรมนูญยังไม่เสร็จสิ้น”  นายวิษณุ  กล่าว
 
 
รอง หน.ปชป. ชี้ สอดคล้องกับการเคลื่อนของทักษิณ แต่คสช.สะเทือน
 
นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่พล.อ.ชวลิต ออกมาแสดงความคิดเห็นทางการเมือง ว่า เป็นสิ่งที่สอดคล้องกับการเคลื่อนไหวทางการเมืองของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี แต่ความเห็นของพล.อ.ชวลิตต้องแยกออกเป็น 2 ส่วน คือ1.ส่วนที่สอดคล้องกับนายทักษิณนั้น ไม่มีน้ำหนัก เพราะเสนอให้มีการเลือกตั้งในปี 2559 เป็นไปไม่ได้ เนื่องจากยังไม่มีรัฐธรรมนูญ  และส่วนที่ 2.เป็นสิ่งที่พูดกันอยู่บ่อยๆ ว่าทหารปฏิวัติมาด้วยไม้ แต่ไปด้วยก้อนอิฐ ซึ่งคนทั่วโลกก็เป็นเช่นนี้ เพียงแต่ว่าใครจะรู้ตัวหรือไม่เท่านั้นเอง และการออกมาของพล.อ.ชวลิตในครั้งนี้อาจทำให้รัฐบาลและ คสช. กังวลได้ เพราะคนส่วนหนึ่งก็เห็นคล้อยตามสิ่งที่พล.อ.ชวลิตพูด โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาเศรษฐกิจที่ว่าถ้ารัฐบาลนี้ยิ่งอยู่นาน จะยิ่งมีปัญหา
 
(ที่มา : เดลินิวส์)
 
จตุพร ชี้เป็นคำแนะนำที่ถูกต้อง มองขาด
 
ขณะที่ นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) กล่าวในรายการมองไกล ว่า คำแนะนำของพล.อ.ชวลิต ให้ คสช. รีบคืนอำนาจประชาธิปไตยให้กับประชาชนและประเทศ เป็นสิ่งที่ถูกต้อง เพราะเป็นบุคคลที่มีประการสบการณ์ ผ่านการรับรู้และแก้ปัญหาของประเทศมามากมาย คงเข้าใจถึงปัญหาอันจะส่งผลเสียหายต่อประเทศในอนาคต
 
นายจตุพร กล่าวต่อว่า พล.อ.ชวลิต ผ่านตำแหน่งสำคัญในกองทัพมาอย่างครบถ้วน เคยเป็นผู้บัญชาการทหารบก ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ได้ลาออกจากกองทัพเพื่อให้นายทหารรุ่นหลังๆ ได้เติบโต แล้วยังเป็นนายทหารประชาธิปไตย ไม่เคยยึดอำนาจ แต่มาตั้งพรรคการเมืองหาเสียงเลือกตั้งให้ประชาชนตัดสินในฐานะนักการเมือง จนได้เป็นนายกรัฐมนตรีจากการเลือกตั้งของประชาชน ซึ่งเมื่อวานนี้ (25 ก.พ.) ได้แถลงความเห็นต่อสถานการณ์บ้านเมืองในปัจจุบัน และทำจดหมายเปิดผนึกแจกสื่อมวลชนด้วย
 
"มุมมองของพล.อ.ชวลิต เป็นการมองที่ขาด ใช้ความเป็นผู้ใหญ่ที่เห็นสภาพประเทศไทยมายาวนานว่า เวลานี้คนเดือดร้อน บ้านเมืองไม่เป็นประชาธิปไตยจึงบอกน้องๆ กลับไปเป็นรั่ว เพราะการแก้ไขปัญหาของชาติไม่ใช่ใครเข้ามามีอำนาจแล้วจะแก้ไขได้ วันนี้มีอำนาจเบ็ดเสร็จแต่แก้ไขไม่ได้ เนื่องจากโลกไม่ยอมรับในความแตกต่างในระบอบการปกครอง ดังนั้น ถ้าบ้านเมืองนี้ต้องการเสียสละเพื่อผลประโยชน์ของชาติแล้ว แนวทางของ พล.อ.ชวลิต จึงถูกต้องที่สุด" นายจตุพรกล่าว