สมาคมนักข่าวฯเตรียมเคลื่อนไหวให้ยกเลิกประกาศ คสช.97 และ 103 สัปดาห์หน้า เหตุจำกัดสิทธิเสรีภาพสื่อ-ประชาชน จี้ทบทวนการใช้กฎอัยการศึกสร้างบรรยากาศแสดงความคิดเห็นร่วมของทุกฝ่าย ระบุกรณี "ณาตยา" ถือเป็นการคุกคามสื่ออย่างรุนแรง
15 พ.ย. 2557 นายมานพ ทิพย์โอสถ อุปนายกฝ่ายสิทธิเสรีภาพและการปฏิรูปสื่อ และโฆษกสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย กล่าวถึงสถานการณ์การคุกคามและแทรกแซงสิทธิและเสรีภาพสื่อมวลชนของฝ่ายความมั่นคงว่า ฝ่่ายสิทธิเสรีภาพและการปฏิรูปสื่อ สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ขอเรียกร้องรัฐบาลให้ทบทวนท่าทีที่แสดงออกต่อสื่อมวลชน ที่มีการคุกคามแทรกแซงสิทธิเสรีภาพของสื่อมวลชนในทุกรูปแบบ เพราะประเทศอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านเพื่อนำสังคมไปสู่ความสมานฉันท์ปรองดอง การแแทรกแซงสื่อของฝ่ายความมั่นคงในรูปแบบต่างๆ ถือเป็นการปิดก้ั้นโอกาสอันดีที่จะทำให้เกิดบรรยากาศการเแลกเปลี่ยนความคิดเห็นที่แตกต่างของสังคมที่ีมีความหลากหลาย โดยกรณีของ น.ส.ณาตยา แวววีรคุปต์ ผู้ดำเนินรายการ และบรรณาธิการกลุ่มข่าววาระทางสังคม สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส ถือเป็นการคุกคามและแทรกแซงสื่ออย่างรุนแรง แม้ประเทศไทยจะอยู่ในช่วงการประกาศกฎอัยการศึก แต่รัฐธรรมนูญการปกครองชั่วคราว 2557 ก็ได้รับรองสิทธิเสรีภาพของประชาชนที่เคยมีอยู่แต่เดิมไว้ในมาตรา 4 จึงขอให้รัฐบาลกำชับไปยังฝ่ายความมั่นคงระมัดระวังในการใช้ดุลพินิจในการดำเนินการต่างๆ ต่อการปฏิบัติหน้าที่สื่อมวลชนทุกแขนง ทั้งวิทยุ โทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ และสื่อออนไลน์
นายมานพ กล่าวว่า สิ่งที่เกิดขึ้นกับ น.ส.ณาตยาถือเป็นปรากฏการณ์ที่สื่อมวลชนไทยไม่อาจนิ่งเฉยได้ เพราะเป็นการละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐานในการแสดงความคิดเห็นของประชาชนโดยรวม การแสดงออกด้วยวาจาของนายทหารที่ส่งผ่านไปยัง น.ส.ณาตยาและผู้บริหารของสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส จนเป็นเหตุให้ น.ส.ณาตยาต้องยุติการทำหน้าที่พิธีกรของสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส เป็นบรรยากาศที่ไม่ควรเกิดขึ้นในประเทศไทยที่ต้องการให้เกิดการปฏิรูป เพราะสื่อมวลชนเป็นพื้นที่สาธารณะสำคัญที่สุดในการระดมความคิดเห็นและความต้องการของประชาชน แม้ฝ่ายความมั่นคงจะระบุว่าไม่ได้เป็นผู้สั่งการให้นายทหารคนดังกล่าวไปดำเนินการใดๆ กับ น.ส.ณาตยาและผู้บริหารสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธความรับผิดชอบดังกล่าวได้
ฝ่ายสิทธิเสรีภาพและการปฏิรูปสื่อ สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย จึงขอเรียกร้องให้รัฐบาลและฝ่ายความมั่นคงยุติการกระทำดัังกล่าว เพื่อสร้างบรรยากาศในการเดินหน้าไปสู่การปฏิรูปสร้างประเทศไปสู่ความสันติสุข เพราะแม้จะมีความเห็นต่าง แต่ก็เป็นความเห็นที่รัฐบาลและฝ่ายความมั่นคนต้องรับฟัง
อุปนายกฝ่ายสิทธิเสรีภาพและการปฏิรูปสื่อฯ กล่าวด้วยว่า ในฐานะที่เป็นสื่อมวลชนภาคสนาม ได้หารือกับเพืี่อนร่วมวิชาชีพว่าในสัปดาห์หน้าจะมีการเคลื่อนไหวของสื่อมวลชนทุกแขนงและองค์กรวิชาชีพ เพื่อให้มีการยกเลิกประกาศหรือคำสั่งที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติหน้าที่ของสื่อมวลชน โดยเฉพาะประกาศฉบับที่ 97 และ 103 ซึ่งจำกัดสิทธิเสรีภาพของสื่อมวลชน ที่ส่งผลกระทบไปยังสิทธิเสรีภาพโดยรวมของประชาชนในการแสดงความคิดเห็น โดยการยกเลิกประกาศของ คสช.สามารถดำเนินการได้โดยการเสนอเป็นร่าง พ.ร.บ.ต่อสภานิติบััญญัติแห่งชาติ หากรัฐบาลมีความตั้งใจที่จะทำให้เกิดความเห็นที่หลากหลายของทุกฝ่่ายในประเทศ สามารถดำเนินการได้ในทันที ทั้งการเสนอร่าง พ.ร.บ.โดยคณะรัฐมนตรี และสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ โดยสื่อมวลชนภาคสนาม จะรวมตัวเข้ายื่นข้อเรียกร้องต่อประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ และประธานสภาปฏิรูปแห่งชาติ เพื่อส่งผ่านความคิดเห็นไปยังรัฐบาลและฝ่ายความมั่นคงถึงประเด็นดังกล่าว นอกจากนี้ ฝ่ายสิทธิเสรีภาพและการปฏิรูปสื่อฯ ยังเห็นว่ารัฐบาลและฝ่ายความมั่นคงควรทบทวนการคงไว้ซึ่งกฎอัยการศึกโดยเร่งด่วน เพื่อเปิดพื้นที่ให้ประชาชนทุกกลุ่มได้แสดงความคิดเห็นร่วมกันอย่างมีเสรี เพื่อสร้างความเห็นร่วมกันของคนในประเทศ ซึ่งจะเป็นหนทางหนึ่งในการนำประเทศกลับไปสู่ความสันติสุข