อภิสิทธิ์ เกิดกรุงเทพฯ
อภิสิทธิ์ เกิดอังกฤษ์
อภิสิทธิ์ ถ่ายที่ โรงเรียนนายร้อย จปร. ในชุด รอ..ดอ
อภิสิทธิ์ กับเพื่อน รอ...ดอ
การตรวจสอบเอกสารดังกล่าวนี้ ได้ปรากฏข้อมูลรายละเอียดของหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับการบรรจุบุคคลพลเรือน เข้ารับราชการเป็นนายทหารสัญญาบัตรแล้ว ปรากฏว่า ไม่สามารถจะดำเนินการบรรจุ นายอภิสิทธิ์ให้เข้ารับราชการทหารได้ เนื่องจากขาดหลักฐานใบรับรองผลการตรวจเลือกฯ(สด43) ด้วยเหตุที่นายอภิสิทธิ์ไม่ได้เข้ารับการตรวจเลือกฯ
ประกอบเป็นข้อมูลรายละเอียดดังต่อไปนี้
1) นายอภิสิทธิ์ เวชาชีวะ เกิดเมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2507
เลข ประจำตัวบัตรประชาชน 3-1009-01830-69-4 เป็นบุตรนายอรรถสิทธิ์และนางสดใส เวชชาชีวะ ซึ่งได้ ลงบัญชีทหารกองเกินตามมาตรา 18 แห่งพระราชบัญญัติรับราชการทหารพ.ศ.2497 เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม 2529 ต่อมาในปี 2530 นายอภิสิทธิ์มีชื่ออยู่ในบัญชีที่พ้นจากฐานะ การยกเว้นผ่อนผันไม่ต้องเข้ารับการตรวจเลือกเป็นทหาร แขวงคลองตัน เขตพระโขนง อยู่ในลำดับที่ 299 เลขที่ สด 43 ลำดับที่ 675
2) ต่อมาในปี 2531 ตามหลักฐานของกรมการกำลังสำรองทหารบก กลับไม่มีชื่อนายอภิสิทธิ์ปรากฏในบัญชีเรียกประจำปีนี้ และเมื่อตรวจสอบรายละเอียดตามข้อเท็จ จริงก็ปรากฏว่า ในบัญชีเรียกเข้ารับการตรวจเลือก ตั้งแต่ปี 2532 จนถึงปี 2536 ปรากฏชื่อนายอภิสิทธิ์ อยู่ในบัญชีคนขาดเข้ารับการตรวจเลือก ประจำแขวงคลองตัน ในลำดับที่ 148 ลำดับที่ 417 ลำดับที่ 685และลำดับที่ 641 ตามลำดับ ในขณะเดียวกันกับที่ เมื่อปี พ.ศ.2530นายอภิสิทธิ์ ได้รับหมายเรียก หลังจากที่ได้แสดงตนขอลงบัญชีทหารกอง เกิน(เกินกำหนด) ณ สำนักงานเขตพระโขนง เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม 2529 แต่ได้มีการขอใบแทนใบสำคัญฉบับนี้เมื่อวันที่ 8 เมษายน 2531 โดยนายอภิสิทธิ์ไม่ยอมเข้ารับการ ตรวจเลือกเกณฑ์ทหาร
3) จึงปรากฏพฤติการณ์เจตนาหลีกเลี่ยงขัดขืนการเข้ารับการตรวจเลือกฯของนาย อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ โดยอ้างเหตุผลว่า เป็นอาจารย์ประจำโรงเรียนนายร้อย จปร. ซึ่ง ปรากฏหลักฐานชัดเจนว่า ได้มีการทุจริต บกพร่องต่อหน้าที่ ในการดำเนินการบรรจุนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะเข้ารับราชการทหารในครั้งนั้นกระทำกันอย่างเป็นทีม ซึ่งประกอบด้วย นายทหารบางนาย ซึ่งได้เกษียณอายุราชการไปแล้ว บางนายรับราชการนอกสังกัดกองทัพบก และบางนายเป็นนายทหารชั้นนายพล ซึ่งไม่สามารถรับโทษทัณฑ์ทางวินัยได้ จึง ปรากฏเอกสารทางราชการให้มีผู้ต้องได้รับโทษทัณฑ์จากการกระทำทุจริตครั้งนี้ ได้เพียงผู้เดียวคือ พ.อ.หญิงสายไสว มาสมบูรณ์ ตำแหน่งประจำกำลังพลทหาร กองทัพบก ขณะปฏิบัติหน้าที่เป็นหัวหน้าแผนก กองจัดการ กรมกำลังพลทหาร กองทัพบก และปรากฏในเวลาต่อมาว่า ได้มีการดำเนินคดีอาญาต่อพันตรีทองคำ เดชเร ในข้อหาละเว้น การปฏิบัติหน้าที่
โดยสมคบกันออกเอกสารทางราชการ อันเป็นเท็จเพื่อให้นายอภิสิทธิ์หลีกเลี่ยงการเข้ารับการตรวจเลือกฯด้วยการ ทำหลักฐานเท็จเพื่อบรรจุนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
ซึ่งเป็นบุคคลที่ มีลักษณะขัดต่อหลักเกณฑ์ของกองทัพบก ที่สามารถจะบรรจุเข้ารับราชการได้ เนื่องจากนายอภิสิทธิ์ ได้ผ่านการตรวจเลือกและไม่มีหลักฐานทางทหารนำมาส่ง มอบ ประกอบเอกสารการบรรจุเข้ารับราชการทหารเพราะเป็นคนขาดการตรวจเลือกฯเมื่อวัน ที่ 7 เมษายน พ.ศ.2530 ถ้าหากจะดำเนินการบรรจุเข้ารับราชการต้องกระทำภายหลัง จากที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ถูกส่งตัวดำเนินคดีตามพระราชบัญญัติรับราชการทหารพ.ศ.2497 มาตรา 27 และมาตรา 45 พร้อมกับส่งตัวเข้ากองประจำการจนครบกำหนดเสีย ก่อน
4) แต่ปรากฏว่า เจ้าหน้าที่กำลังพลของโรงเรียนนายร้อย จปร. กลับเพิกเฉย ไม่ปฏิบัติตามระเบียบของกองทัพบกที่ผู้บัญชาการทหารบกในขณะนั้น เป็นผู้อนุมัติ ระเบียบดังกล่าวนี้ จากเอกสารของทางราชการกองทัพบก
ปรากฏ ว่า กรมสารบรรณ กองทัพบก ได้ทำการทะกท้วงแล้ว แต่ผู้รับผิดชอบในเรื่องนี้ ขณะนั้นของโรงเรียนนายร้อย จปร. กลับไม่นำพา จึงเป็นความบกพร่องของเจ้าหน้าที่กำลังพลประกอบด้วย พ.อ.สมศักดิ์ พุ่มนิคม รอง ลก.บก.ทหารสูงสุด ขณะเป็นหก.กกพ.รร.จปร. ส่วนพล.อ.เผด็จ วัฒนะภูติ ขณะเป็นรองผบ.รร.จปร. ซึ่งรับผิดชอบงานด้านกำลังพล และพล.อ.นิยม ศันสนาคม ขณะเป็น ผบ.รร.จปร.ทั้งสองนายพลนี้ปัจจุบันเกษียณอายุราชการไปแล้ว จึงไม่ สามารถตามไปเอาผิดทางวินัยได้ในปัจจุบัน
5) จากพฤติการณ์ตามข้อ1-4 ข้างต้นนี้ แสดงให้เห็นว่า การขอบรรจุ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เข้ารับราชการ ในตำแหน่งรักษาราชการ อาจารย์ส่วนการศึกษาโรงเรียน นายร้อย จปร. มีวัตถุประสงค์จงใจหลีกเลี่ยงความผิดที่จะเกิดขึ้นตามกฏหมายพระราชบัญญัติ รับราชการทหาร พ.ศ.2497 มาตรา 45 ซึ่งมีบทบัญญัติพอสรุปได้ว่า บุคคลใดหลีก เลี่ยง หรือขัดขืน ไม่มาให้คณะกรรมการตรวจเลือกฯ ทำการตรวจเลือกเข้ารับราชการทหารตามหมายเรียกของอำเภอ หรือมาแต่ไม่เข้ารับการตรวจเลือกหรือไม่อยู่ จนกว่าการตรวจ เลือกแล้วเสร็จ หรือหลีกเลี่ยง หรือขัดขืนด้วยประการใดก็ดี เพื่อจะไม่ให้เข้ารับราชการทหาร ตามพระราชบัญญัติฉบับนี้ ต้องระวางโทษไม่เกิน 3 ปี
ประกอบเป็นข้อมูลรายละเอียดดังต่อไปนี้
1) นายอภิสิทธิ์ เวชาชีวะ เกิดเมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2507
เลข ประจำตัวบัตรประชาชน 3-1009-01830-69-4 เป็นบุตรนายอรรถสิทธิ์และนางสดใส เวชชาชีวะ ซึ่งได้ ลงบัญชีทหารกองเกินตามมาตรา 18 แห่งพระราชบัญญัติรับราชการทหารพ.ศ.2497 เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม 2529 ต่อมาในปี 2530 นายอภิสิทธิ์มีชื่ออยู่ในบัญชีที่พ้นจากฐานะ การยกเว้นผ่อนผันไม่ต้องเข้ารับการตรวจเลือกเป็นทหาร แขวงคลองตัน เขตพระโขนง อยู่ในลำดับที่ 299 เลขที่ สด 43 ลำดับที่ 675
2) ต่อมาในปี 2531 ตามหลักฐานของกรมการกำลังสำรองทหารบก กลับไม่มีชื่อนายอภิสิทธิ์ปรากฏในบัญชีเรียกประจำปีนี้ และเมื่อตรวจสอบรายละเอียดตามข้อเท็จ จริงก็ปรากฏว่า ในบัญชีเรียกเข้ารับการตรวจเลือก ตั้งแต่ปี 2532 จนถึงปี 2536 ปรากฏชื่อนายอภิสิทธิ์ อยู่ในบัญชีคนขาดเข้ารับการตรวจเลือก ประจำแขวงคลองตัน ในลำดับที่ 148 ลำดับที่ 417 ลำดับที่ 685และลำดับที่ 641 ตามลำดับ ในขณะเดียวกันกับที่ เมื่อปี พ.ศ.2530นายอภิสิทธิ์ ได้รับหมายเรียก หลังจากที่ได้แสดงตนขอลงบัญชีทหารกอง เกิน(เกินกำหนด) ณ สำนักงานเขตพระโขนง เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม 2529 แต่ได้มีการขอใบแทนใบสำคัญฉบับนี้เมื่อวันที่ 8 เมษายน 2531 โดยนายอภิสิทธิ์ไม่ยอมเข้ารับการ ตรวจเลือกเกณฑ์ทหาร
3) จึงปรากฏพฤติการณ์เจตนาหลีกเลี่ยงขัดขืนการเข้ารับการตรวจเลือกฯของนาย อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ โดยอ้างเหตุผลว่า เป็นอาจารย์ประจำโรงเรียนนายร้อย จปร. ซึ่ง ปรากฏหลักฐานชัดเจนว่า ได้มีการทุจริต บกพร่องต่อหน้าที่ ในการดำเนินการบรรจุนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะเข้ารับราชการทหารในครั้งนั้นกระทำกันอย่างเป็นทีม ซึ่งประกอบด้วย นายทหารบางนาย ซึ่งได้เกษียณอายุราชการไปแล้ว บางนายรับราชการนอกสังกัดกองทัพบก และบางนายเป็นนายทหารชั้นนายพล ซึ่งไม่สามารถรับโทษทัณฑ์ทางวินัยได้ จึง ปรากฏเอกสารทางราชการให้มีผู้ต้องได้รับโทษทัณฑ์จากการกระทำทุจริตครั้งนี้ ได้เพียงผู้เดียวคือ พ.อ.หญิงสายไสว มาสมบูรณ์ ตำแหน่งประจำกำลังพลทหาร กองทัพบก ขณะปฏิบัติหน้าที่เป็นหัวหน้าแผนก กองจัดการ กรมกำลังพลทหาร กองทัพบก และปรากฏในเวลาต่อมาว่า ได้มีการดำเนินคดีอาญาต่อพันตรีทองคำ เดชเร ในข้อหาละเว้น การปฏิบัติหน้าที่
โดยสมคบกันออกเอกสารทางราชการ อันเป็นเท็จเพื่อให้นายอภิสิทธิ์หลีกเลี่ยงการเข้ารับการตรวจเลือกฯด้วยการ ทำหลักฐานเท็จเพื่อบรรจุนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
ซึ่งเป็นบุคคลที่ มีลักษณะขัดต่อหลักเกณฑ์ของกองทัพบก ที่สามารถจะบรรจุเข้ารับราชการได้ เนื่องจากนายอภิสิทธิ์ ได้ผ่านการตรวจเลือกและไม่มีหลักฐานทางทหารนำมาส่ง มอบ ประกอบเอกสารการบรรจุเข้ารับราชการทหารเพราะเป็นคนขาดการตรวจเลือกฯเมื่อวัน ที่ 7 เมษายน พ.ศ.2530 ถ้าหากจะดำเนินการบรรจุเข้ารับราชการต้องกระทำภายหลัง จากที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ถูกส่งตัวดำเนินคดีตามพระราชบัญญัติรับราชการทหารพ.ศ.2497 มาตรา 27 และมาตรา 45 พร้อมกับส่งตัวเข้ากองประจำการจนครบกำหนดเสีย ก่อน
4) แต่ปรากฏว่า เจ้าหน้าที่กำลังพลของโรงเรียนนายร้อย จปร. กลับเพิกเฉย ไม่ปฏิบัติตามระเบียบของกองทัพบกที่ผู้บัญชาการทหารบกในขณะนั้น เป็นผู้อนุมัติ ระเบียบดังกล่าวนี้ จากเอกสารของทางราชการกองทัพบก
ปรากฏ ว่า กรมสารบรรณ กองทัพบก ได้ทำการทะกท้วงแล้ว แต่ผู้รับผิดชอบในเรื่องนี้ ขณะนั้นของโรงเรียนนายร้อย จปร. กลับไม่นำพา จึงเป็นความบกพร่องของเจ้าหน้าที่กำลังพลประกอบด้วย พ.อ.สมศักดิ์ พุ่มนิคม รอง ลก.บก.ทหารสูงสุด ขณะเป็นหก.กกพ.รร.จปร. ส่วนพล.อ.เผด็จ วัฒนะภูติ ขณะเป็นรองผบ.รร.จปร. ซึ่งรับผิดชอบงานด้านกำลังพล และพล.อ.นิยม ศันสนาคม ขณะเป็น ผบ.รร.จปร.ทั้งสองนายพลนี้ปัจจุบันเกษียณอายุราชการไปแล้ว จึงไม่ สามารถตามไปเอาผิดทางวินัยได้ในปัจจุบัน
5) จากพฤติการณ์ตามข้อ1-4 ข้างต้นนี้ แสดงให้เห็นว่า การขอบรรจุ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เข้ารับราชการ ในตำแหน่งรักษาราชการ อาจารย์ส่วนการศึกษาโรงเรียน นายร้อย จปร. มีวัตถุประสงค์จงใจหลีกเลี่ยงความผิดที่จะเกิดขึ้นตามกฏหมายพระราชบัญญัติ รับราชการทหาร พ.ศ.2497 มาตรา 45 ซึ่งมีบทบัญญัติพอสรุปได้ว่า บุคคลใดหลีก เลี่ยง หรือขัดขืน ไม่มาให้คณะกรรมการตรวจเลือกฯ ทำการตรวจเลือกเข้ารับราชการทหารตามหมายเรียกของอำเภอ หรือมาแต่ไม่เข้ารับการตรวจเลือกหรือไม่อยู่ จนกว่าการตรวจ เลือกแล้วเสร็จ หรือหลีกเลี่ยง หรือขัดขืนด้วยประการใดก็ดี เพื่อจะไม่ให้เข้ารับราชการทหาร ตามพระราชบัญญัติฉบับนี้ ต้องระวางโทษไม่เกิน 3 ปี
6) ดังนั้นการที่ ว่าที่ ร.ต.อภิสิทธิ์ เมื่อได้รับคำสั่งบรรจุเป็นนายทหารสัญญาบัตรในตำแหน่ง รรก.อจ.สกศ.รร.จปร. แล้วเพียง 35 วัน ก็ได้แจ้งความจำนงว่า จะขอลา ออกจากราชการ ดังนั้นโดยสามัญสำนึก จึงแปลเจตนารมณ์ไปได้ว่า ว่าที่ ร.ต.อภิสิทธิ์ ไม่มีเจตนาที่จะปฏิบัติหน้าที่ในขณะรับราชการ ดังปรากฏหลักฐานทางราชการว่า ว่าที่ ร.ต.อภิสิทธิ์ ได้ขอลากิจไปเยี่ยมญาติที่ประเทศอังกฤษ 2 ครั้ง ตั้งแต่วันที่ 22 สิงหาคม 2531 ถึง 30 กันยายน 2531 รวม 40 วัน และได้ขอลากิจอีกครั้งหนึ่ง ตั้งแต่วันที่ 4 ตุลาคม 2531 ถึงวันที่ 9 ธันวาคม 2531 รวม 67 วัน พฤติการณ์เยี่ยงนี้ แสดงให้เห็นว่า นายอภิสิทธิ์ไม่มีเจตนาที่จะเข้ารับราชการทหารอย่างแท้จริงการสมัครเข้ารับ ราชการ ทหาร จึงเป็นเพียงการหาเหตุผลที่จะแก้ปัญหาความผิดทางอาญาจากกรณีการขาดตรวจเลือก เข้าเป็นทหารกองประจำการเท่านั้น
7) การณีการบรรจุให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นอาจารย์ประจำส่วนการศึกษาโรงเรียนนายร้อย จปร. จึงเป็นการบรรจุที่ขัดระเบียบของกองทัพบก ซึ่งอนุมัติโดยผู้ บัญชาการทหารบก(พล.อ.อาทิตย์ กำลังเอก) ตามท้ายหนังสือที่ กห.0401/1916 ลงวันที่ 28 พฤศจิกายน 2528 ประกอบกับนังสือกรมกำลังพลทหารบกที่กพ.ทบ. ลงวันที่ 31 พฤษภาคม 2522 ทำให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่า การบรรจุนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เข้ารับราชการทหาร เป็นการบรรจุผู้ไม่มีคุณสมบัติตามระเบียบกองทีพบกกำหนด จากข้อเท็จจริง ที่รวบรวมจากเอกสารหลักฐานของทางราชการดังกล่าวทั้ง 7 ประการนี้ ทำให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์คนปัจจุบันเป็นบุคคล ผู้จงใจหลีกเลี่ยง ขัดขืน ไม่ไปแสดงตนเพื่อเข้ารับการตรวจเลือกทหารกองเกินเข้ากองประจำการ แปลความง่าย ๆว่า "หนีการเกณฑ์ทหาร" ตามที่กฏหมายกำหนดให้ลูกผู้ชายไทย ทุกคน ต้องเข้ารับการตรวจเลือกฯอย่างเสมอหน้ากันทุกคน
นายอภิสิทธิ์จึงเป็นบุคคลที่มีพฤติการณ์หนีการเกณฑ์ ทหารอย่างชัดแจ้ง จึงเป็นนักการเมืองประเภทโมฆะ บุรุษตาม ระบอบประชาธิปไตยในหลักสากลปฏิบัติ ทำให้ไม่สามารถที่จะเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองระดับผู้บริหารประเทศได้ และยังเป็นบุคคลที่เห็นแก่ตัวอย่างน่ารังเกียจ เพราะคิด แต่จะเอาเปรียบผู้ชายไทยทั้งประเทศ โดยจงใจที่จะหลีกเลี่ยงกฎเกณฑ์และระเบียบของทางราชการ จนไม่สมควรที่จะไว้วางใจให้ทำกิจการใดๆ ของชาติบ้างเมืองอีกต่อไป จดหมายเปิดผนึกฉบับนี้ ขอฝากคำถามถึงนายชวน หลีกภัย ที่เคยพร่ำพูดอยู่เสมอว่า จะยึดมั่นในหลักการความถูกต้อง และจะปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับและ กฎหมายอย่างเคร่งครัด เมื่อนายอภิสิทธ์ หัวหน้าพรรคคนปัจจุบัน มีพฤติกรรมเยี่ยงที่กล่าวมานี้
จึง เป็นสิ่งที่นายชวนและชาวพรรคประชาธิปัตย์ทั้งมวล จะพิจารณาอย่างถ่องแท้ว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ มีความชอบธรรมและมีความเหมาะสมที่จะเข้าไปดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีภายหลัง การเลือกตั้งทั่วไปหรือไม่ ? เพราะเป็นหน้าที่ของสมาชิกพรรคประชา ธิปัตย์ทุกคนที่จะต้องแก้ปัญหาส่วนตัวของหัวหน้าพรรคคนปัจจุบันด้วยกันเอง เสียก่อน ดีกว่าที่จะปล่อยให้ข้อมูลเหล่านี้ กลายเป็นปัญหาติดตัวคนในพรรคประชาธิปัตย์ จนเป็นเหตุ ให้นักการเมืองฝ่ายค้านในอนาคตนำไปเป็นประเด็นเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจพรรค ประชาธิปัตย์
หากได้เป็นรัฐบาลในเร็ววันนี้ตามความต้องการของ ประชาชน คมช. นี่คือ คำถามที่นายอภิสิทธิ์ และคนในพรรคประชาธิปัตย์ทุกคนต้องตอบให้ประชาชนทราบอย่างตรงไปตรงมาโดยไม่ เล่นลิ้น หรือให้ความกะล่อนปลิ้นปล้อนตลบตะแลง อีกต่อไป
จากกลุ่มนายทหารประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการ คมช.
แหล่งที่มา....
จากคุณ : SUNWINDY - [ 10 ก.ค. 50 15:10:19 A:125.24.243.48 X: ]
http://topicstock.pantip.com/rajdumnern/topicstock/2007/07/P5595569/P5595569.html
++++++++++++++++++++
มีภาพถ่าย สด.9 พิมพ์เผยแพร่ใน หนังสือประชาทรรศน์ ฉบับที่ 43
ประจำวันเสาร์ที่ 24 - วันศุกร์ที่ 30 พฤศจิกายน 2550
อยู่ในหน้าที่ 42 เป็นเอกสารใบสำคัญเลขที่ 5352
สด.9 ฉบับที่ อภิสิทธิ์ อ้างว่าสูญหาย
http://topicstock.pantip.com/rajdumnern/topicstock/2009/03/P7656348/P7656348-62.jpg
หลังจาก ผบ.รร.จปร. ทำหนังสือถึง ผบ.ทบ. เพื่อขออนุมัติบรรจุนายอภิสิทธิ์๊ฯ แล้ว ต่อมาวันที่ 31 มี.ค. 30 กรมสารบรรณทหารบก ได้มีหนังสือถึง ผบ.รร.จปร. แจ้งว่า ได้ตรวจหลักฐานต่างๆ แล้ว ปรากฎว่าต้องแก้ไข และเพิ่มเติมหลักฐาน ซึ่งไฮไลท์คือ "ขาดหลักฐานหนังสือผ่อนผันการเกณฑ์ทหาร ซึ่งนายอภิสิทธิ์๊ฯ" ได้ลงลายมือชื่อไว้เป็นหลักฐานด้วย (วงกลมแดง)
หนังสือรับรอง ที่ออกโดยผู้ช่วยสัสดีกรุงเทพฯ
(ซึ่งไม่มีอำนาจในการออกหนังสือ เพราะผู้มีอำนาจออกหนังสือคือ รมต.มหาดไทย หรือ ผู้ว่าราชการจังหวัดเท่านั้น)
เอกสารหนังสือ จาก รร.จปร. ขออนุมัติบรรจุ อภิสิทธิ์
ภาพประกอบจากคลิปอภิปรายไม่ไว้วางใจวันที่ 19 มี.ค. 52 ช่วงนาทีที่ 38-39
http://baygon2.no-ip.org/savefiles/2009 ... n-Mark.wmv
แถมยังมีคนหน้าไม่อาย ออกมาแถลงข่าวแบบไร้ยางอายเป็นรายวัน
นายศิริโชค โสภา แถลงยืนยันหัวหน้าพรรค ปชป.ไม่ได้หนีทหาร พร้อมแสดงหลักฐานครบในการสมัครเป็นอาจารย์ รร.นายร้อย จปร.เชื่อรัฐมนตรีกลาโหมถูกบีบให้ออกมากแถลงเรื่องนี้
นายศิริโชค โสภา ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ แถลงพร้อมโชว์เอกสาร สด.9 ของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และทะเบียนบัญชีรายชื่อนักเรียนที่ออกไปศึกษาในต่างประเทศ ซึ่งได้รับการผ่อนผัน และมีหนังสือสด.41 ซึ่งเอกสารเหล่านี้สามารถสมัครเป็นอาจารย์โรงเรียนนาย จปร.ได้แล้ว พร้อมตั้งข้อสังเกตว่าการแถลงของ พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นการยืนแถลง และดูลุกลี้ลุกลนเสมือนถูกใครบังคับให้มาแถลง ถือเป็นกระบวนการทางการเมือง เพราะมีการปล่อยข่าวต่อเนื่องมา 2-3 วันแล้ว เช่นเดียวกับทนายความของ นายจตุพร พรหมพันธุ์ อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ที่ถูกนายอภิสิทธิ์ฟ้องหมิ่นประมาทเรื่องเกณฑ์ทหารก็ออกมาพูดว่า วันนี้จะมีหลักฐานเด็ดออกมา แต่เป็นเรื่องน่าเศร้าใจที่การแถลงของ พล.อ.อ.สุกำพล ไม่มีประเด็นใหม่ เพียงแต่ยืนยันหลักฐานเดิม ซึ่งเคยมีการตรวจสอบมาก่อนหน้านี้ พร้อมโยนเรื่องให้กับผู้ตรวจการแผ่นดิน ซึ่งเชื่อว่าทั้งหมดเป็นการแถลงเพื่อต้องการช่วยเหลือนายจตุพร ที่ถูกหัวหน้าพรรค ปชป.ฟ้องหมิ่นประมาท
อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้จเรทหารทั่วไป ออกมายอมรับว่าถ้านายอภิสิทธิ์ ยื่น สด.9 คือใบขึ้นทะเบียนทหาร และยื่นหลักฐานว่าไปเรียนต่างประเทศก็ถือว่าได้เข้ารับราชการอย่างถูกต้องแล้ว ทั้งนี้ ยืนยันว่านายอภิสิทธิ์ ได้เข้ารับราชการทหาร โดยไม่ได้หนีทหาร ขณะเดียวกัน ทางทีมกฎหมายพรรคประชาธิปัตย์ กำลังพิจารณาถ้อยคำของ พล.อ.อ.สุกำพล ว่าเข้าข่ายหมิ่นประมาทหรือไม่ โดยจะขอดูบันทึกเทปของ พล.อ.อ.สุกำพลอีกครั้ง เพราะถือว่าเป็นผู้ได้รับความเสียหายจากการพาดพิงดังกล่าว
แต่รายนี้ของจริง อิอิ เป็นเป็นผู้ร้อง นาย กมล บันไดเพ็ชร
ลงโทษผู้เกี่ยวข้อง คำสั่งลงโทษ สัสดี ทองคำ
เอกสารคำสั่งลงโทษ สัสดี พต.ทองคำ เดชเร ดำเนินคดีอาญา กรณีนายอภิสิทธิ์
**************************************************
บทนี้เป็นข่าวในสยามรัฐนะครับ ลงค่อนข้างครบถ้วนเกี่ยวกับข้อกล่าวหา และหลักฐานอ้างอิงของทาง สส พรรคฝ่ายค้านครับ แล้วเดี๋ยวจะลงบทที่เป็นข้อชี้แจงของทางกองทัพ และพรรคประชาธิปัตย์สมัยนั้นนะครับ
--------------------------------------------
หวังใหม่หัวชนฝา อภิสิทธิ์ต้องติดคุก
สยามรัฐ : วันเสาร์ที่ 6 มีนาคม พ.ศ .2542
ฝ่ายค้านโชว์หลักฐานยัน สด.9 ของ "อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" เป็นของปลอม เพราะไม่เคยผ่านเกณฑ์ทหาร เป็นการแสดงข้อความอันเป็นเท็จ
ในการเข้ารับราชการทหาร ถือว่าขาดคุณสมบัติตั้งแต่ต้น โทษความผิดติดคุก 3 ปี ขณะที่ "บุญยัง บูชา" ยันอีกรอบชี้ สด.9 ของรัฐมนตรี ไม่ใช่ของปลอม ด้าน ผบ.ทบ.แบ่งรับแบ่งสู้ หากปลอมก็แค่ปรับ แต่ทุกอย่างให้ดูที่เจตนา "หมอเปรม" ยื่นฟ้อง "เสรี เตมียเวส" ฐานหมิ่นประมาทที่ศาลจังหวัดขอนแก่น เตือนอย่าทำตัวเป็นผู้พิพากษาให้มากนัก
ที่พรรคความหวังใหม่ เมื่อเวลา 10.30 น. วันที่ 5 มี.ค.นี้ คณะทำงานด้านกฎหมายของพรรคนำโดย นายโภคิน พลกุล รองหัวหน้าพรรคฯ และนายลิขิต ธีระเวคิน รองเลขาธิการพรรคฯ พร้อมคณะทำงาน ได้ประชุมพิจารณาสถานภาพการหนีทหาร ของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ภายหลังการประชุม นายกมล บันใดเพชร หนึ่งในคณะทำงานและ รองโฆษกพรรคฯ แถลงว่า จากการตรวจสอบพบว่านายอภิสิทธิ์ ไม่ได้เข้ารับการเกณฑ์ทหาร เท่ากับหนีทหารถือว่าผิด พ.ร.บ. ข้าราชการทหาร พ.ศ. 2479 มีโทษจำคุก 3 ปี
นายกมล กล่าวว่า ตามเอกสารทางราชการ ในบัญชีรายชื่อของทหารกองเกินที่เรียกมาตรวจเลือกเข้ากองประจำการปี 2530 เมื่อ 7 เม.ย. 30 ระบุว่านายอภิสิทธิ์ได้รับหมายเรียกไปแล้ว แต่ไม่มาเข้ารับการตรวจเลือกและไม่มีการผ่อนผัน หลายคน เข้าใจผิดว่า ... เมื่อ นายอภิสิทธิ์ เข้าไปเป็นอาจารย์ในโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้าได้ยศ ร.ต. แล้วจึงไม่ต้องไปเกณฑ์ทหาร จะอ้างไม่ได้ เพราะการสมัครเข้าเป็นอาจารย์ นายอภิสิทธิ์ จะต้องแสดงหลักฐานทางทหารเช่น สำเนาสำคัญทหารกองเกิน (สด.9) หากอายุอยู่ระหว่างการตรวจเลือกต้องมีหลักฐานการผ่อนผัน แต่ปรากฎว่า นายอภิสิทธิ์ ไม่มีหลักฐานเหล่านี้ ไปแสดงกับกองทัพ ในวันสมัครเป็นอาจารย์ เพราะได้หนีทหารมาตั้งแต่ต้น
รองโฆษกพรรคความหวังใหม่ กล่าวอีกว่า ตนขอถามกองทัพว่า ได้ตรวจสอบหลักฐานทางทหารอะไรบ้าง ถึงได้รับนายอภิสิทธิ์ เข้าเป็นทหาร การที่กองทัพอ้างว่านายอภิสิทธิ์มีใบ สด.9 แต่ทำหายจึงไปแจ้งขอออกใบแทนโดยได้ใบแทนเมื่อ 8 เม.ย.31 แต่การออกใบแทนครั้งนี้ ถือว่าผิดที่ไม่คัดลอกจากใบเดิม ที่ชำรุดสูญหาย ไม่ใช่การกรอกข้อความใหม่ทั้งที่ใบเดิมต้องเป็นวันที่ 4 ก.ค.29 วันที่ลงบัญชีทหารกองเกินและได้รับใบ สด.9 มา แต่เนื่องจากนายอภิสิทธิ์ไม่เคยได้ใบนี้มาก่อน จึงอ้างว่าใบเดิมหาย ขอออกใบใหม่ เพื่อนำไปสมัครเป็นอาจารย์ การออกใบแทนครั้งนี้ แสดงว่าได้ปกปิดความจริงที่ได้เคยหนีทหารไปก่อนหน้านี้แล้ว
นายกมล กล่าวต่อว่า การกรอกข้อความในการสมัครเป็นอาจารย์ครั้งนี้ถือว่าเป็นเท็จ และ ถือว่าได้ปลอมเอกสารทางราชการ และ ใช้เอกสารปลอมสมัครเข้ารับราชการ จึงขอเรียกร้องไปยัง นายชวน หลีกภัย นายกรัฐมนตรี ที่ได้ตอบกระทู้ในสภาว่าไม่มีนโยบายที่จะนิรโทษกรรมการหนีทหาร
จะขอดำเนินคดีกับทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน จึงขอให้ดำเนินคดีกับ นายอภิสิทธิ์ด้วย การออกมาเปิดเผยก็เพื่อต้องการทำความจริงให้ปรากฎ คนเราความเลวร้ายในอดีตเปลี่ยนแปลงแก้ไขไม่ได้แต่สามารถทำความดีใน อนาคตได้
" แม้ นายอภิสิทธ์ จะไม่มีเจตนาทำผิด แต่ถ้ายอมรับความจริงประชาชนจะให้อภัย ขอฝากบอกทางกองทัพว่ากองทัพเป็น สถาบันหลักของชาติ หาก ทหารในกองทัพ ไม่ปกป้อง กองทัพ แต่ไปปกป้อง นักการเมือง ที่ชอบใช้อำนาจโดยไม่ชอบจะทำให้ กองทัพ เสื่อมเสีย
ขอให้กองทัพเป็นตัวของตัวเอง ทำอะไรให้ถูกต้อง ที่ผ่านมา กองทัพ พยายามบอกมาตลอดว่า นายอภิสิทธิ์ มีใบแทน คือ สด.9 แต่ทำไมถึงไม่เอาบัญชีทหารกองเกิน ที่เรียก นายอภิสิทธิ์ มาตรวจเลือกออกมาให้ประชาชนดู แต่วันนี้ พรรคความหวังใหม่ นำออกมาให้ดูแล้วทาง กองทัพ ว่าอย่างไรก็ชี้แจงออกมา ส่วนการแจ้งความดำเนินคดีกับ นายอภิสิทธิ์ พรรคจะหารือกันอีกครั้ง " ...... รองโฆษกพรรคความหวังใหม่กล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การแถลงข่าวครั้งนี้ คณะทำงาน ได้นำเอกสารทุกชิ้นที่เกี่ยวกับ นายอภิสิทธิ์ มาแจกกับผู้สื่อข่าว เพื่อยืนยันว่า นายอภิสิทธิ์ ได้หนีทหาร นอกจากนั้น ทางพรรคความหวังใหม่ ยังได้รับหนังสือร้องเรียนจากนายทหารยศ พล.ต.คนหนึ่งใน กองทัพ ขอให้ พรรคความหวังใหม่ ตรวจสอบการเกณฑ์ทหารของ สมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ หลายคน อาทิ ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ บริพัตร รมช.ต่างประเทศ นาย อรรคพล สรสุชาติ ส.ส.กรุงเทพฯ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และนายจักรพันธ์ ยมจินดา ส.ส.กรุงเทพฯ
ซึ่งในหนังสืออ้างว่าเมื่อตรวจสอบ นายอภิสิทธิ์ และ นายศิริวัฒน์ ขจรประศาสน์ บุตรชาย พล.ต.สนั่น ขจรแระศาสน์รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย แล้วก็ควรจะตรวจสอบบุคคลดังกล่าวด้วย เพราะทราบว่ามีลักษณะคล้ายกับ นายอภิสิทธิ์ ซึ่งพรรคกำลังตรวจสอบอยู่
พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ผบ.ทบ.เปิดเผยเรื่องเอกสารการเข้ารับราชการทหารของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะว่า ขณะนี้ทางกรมการสำรองทหารบกกำลังตรวจสอบอยู่ ซึ่งต้องตรวจสอบไปยังโรงเรียนนายร้อย จปร.ได้คำตอบมาแล้วจะได้แจ้งให้ผู้ร้อง ทราบต่อไป ตอนนี้ตนยังให้คำตอบไม่ได้ เพราะยังไม่ได้รับรายงาน แต่เท่าที่ทราบเป็นไปอย่างที่ นายอภิสิทธิ์ ให้สัมภาษณ์ คือ
เมื่อ นายอภิสิทธิ์ เดินทางกลับจากต่างประเทศ ก็ได้สมัครเข้ารับราชการ โดยยังไม่ทราบแน่นอนว่ามีเอกสาร สด.43 หรือไม่ แต่ถ้าไม่มี สด.9 แล้วมาสมัครรับราชการทหารก็มีความผิด แต่เป็นความผิดเล็กน้อยมีโทษแค่ปรับเท่านั้น
ผู้สื่อข่าวถามว่า การไม่ไปเกณฑ์ทหารแล้วมาสมัครรับราชการทหาร ถือว่าเป็นการทดแทนกันได้หรือไม่ พล.อ.สุรยุทธ์ กล่าวว่า เมื่อพูดถึงเจตนาแล้วถือว่ามีเจตนาที่ไม่ได้หลีกเลี่ยง และตนไม่มีข้อคิดเห็นกรณีที่จะนิรโทษกรรมผู้ที่หลีกเลี่ยงการหนีทหาร ในอดีตที่ผ่านมาไม่เคยมีการนิรโทษกรรม ต่อข้อถามว่า กรณีของ นายอภิสิทธิ์ จะถือว่าเป็นการเลือกปฏิบัติหรือไม่ ผบ.ทบ. ตอบว่า ไม่ได้เลือกปฏิบัติ แต่ต้องให้เวลาในการตรวจสอบย้อนหลัง เพื่อจะได้คำตอบที่ชัดเจนและถูกต้อง
พล.ต.บุญยัง บูชา ผบ.มณฑลที่ 11 กล่าวถึงใบ สด.9 ของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ใช้เข้ารับราชการทหารเป็นของปลอมว่า เท่าที่ได้ตรวจสอบพบว่าไม่ใช่ของปลอมอย่างแน่นอน เพราะไม่จำเป็นจะต้องทำปลอม เนื่องจากเป็นเพียงแค่การมาขึ้นบัญชีเป็นทหารกองเกินเท่านั้น และเมื่อนายอภิสิทธิ์ ทำหายก็สามารถไปแจ้งขอทำใหม่ได้ ไม่ได้ผิดอะไร นายอภิสิทธิ์ ไม่ได้ใช้เอกสารปลอมสมัครเข้ารับราชการทหาร ขออย่าได้ให้ข่าวบิดเบือน เขาเข้าเป็นอาจารย์สอน โรงเรียน จปร.เอกสารทั้งหมดทางโรงเรียนเป็นผู้ตรวจสอบ และสด.9 ใหม่ทางกองทัพก็เป็นผู้ออกให้
สำหรับผลสำรวจของเอแบคโพลเรื่องผลกระทบของกองทัพในเรื่อง สด.43 พล.อ.สุรยุทธ์ กล่าวว่า ตนพยายามทำหน้าที่ให้ดี แต่แน่นอนว่ามันต้องมีข้อบกพร่องบ้าง เป็นเรื่องที่ต้องพิจารณากัน ในระดับกระทรวงกลาโหมและหารือกันว่าจะแก้ไขอย่างไร ในส่วนของตนไม่หนักใจแต่อย่างใด
จดหมายเปิดผนึกถึงพรรคประชาธิปัตย์
20 มิ.ย.2550
เรื่อง ถามหาความชอบธรรมของผู้ที่จะเป็นหัวหน้ารัฐบาลจากหัวหน้าพรรคประชา ธิปัตย์
เรียน นายชวน หลีกภัย ประธานที่ปรึกษาพรรคประชาธิ ปัตย์
ด้วยปรากฏหลักฐานเป็นที่แน่ชัดว่า นาย อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ในปัจจุบัน ได้ เคยปรากฏพฤติการณ์หลีกเลี่ยงขัดขืน ไม่ไปแสดงตนเพื่อเข้ารับการตรวจเลือก ทหารกองเกินเข้ากองประจำการ ตามที่แผนกสัสดี เขตพระโขนง กรุงเทพมหานคร กำหนด เมื่อวันที่ 7 เมษายน 2530
การกระทำและ พฤติการณ์ของนายอภิสิทธิ์ในครั้งนั้นได้ปรากฏหลักฐานทางราชการที่เป็นบันทึกข้อ ความลับ ด่วนมาก ที่ กห.0421/54 ลงวันที่ 16 เมษายน พ.ศ.2542 เรื่อง การตรวจสอบเอกสารการบรรจุนาย อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เข้ารับราชการทหารที่โรงเรียนนายร้อย จปร. ที่ลงนามโดย พล.อ.ชาญ บุญประเสริฐ เสนาธิการทหารบก ทำ การแทนผู้บัญชาการทหารบกในขณะนั้น
การตรวจสอบเอกสารดังกล่าวนี้ ได้ปรากฏข้อมูลรายละเอียดของหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับการบรรจุบุคคลพลเรือนเข้า รับราชการเป็นนายทหารสัญญาบัตรแล้ว ปรากฏว่า ไม่สามารถจะดำเนินการบ รรจุ นายอภิสิทธิ์ให้เข้ารับราชการทหารได้ เนื่องจากขาดหลักฐานใบรับรองผล การตรวจเลือกฯ(สด43) ด้วยเหตุที่นายอภิสิทธิ์ไม่ได้เข้ารับการตรวจเลือกฯ ประกอบ เป็นข้อมูลรายละเอียดดังต่อไปนี้
1) นายอภิสิทธิ์ เวชา ชีวะ เกิดเมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2507 เลขประจำตัวบัตรประชาชน 3- 1009-01830-69-4 เป็นบุตรนายอรรถสิทธิ์และนางสดใส เวชชาชีวะ ซึ่งได้ลงบัญชีทหารกองเกินตามมาตรา 18 แห่งพระราชบัญญัติรับราชการทหาร พ.ศ.2497 เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม 2529 ต่อมาในปี 2530 นายอภิสิทธิ์ มีชื่ออยู่ในบัญชีที่พ้นจากฐานะการยกเว้นผ่อนผันไม่ต้องเข้ารับการตรวจเลือกเป็น ทหาร แขวงคลองตัน เขตพระโขนง อยู่ในลำดับ ที่ 299 เลขที่ สด 43 ลำดับที่ 675
2)ต่อมาในปี 2531 ตามหลัก ฐานของกรมการกำลังสำรองทหารบก กลับไม่มีชื่อนายอภิสิทธิ์ปรากฏในบัญชีเรียก ประจำปีนี้ และเมื่อตรวจสอบรายละเอียดตามข้อเท็จจริงก็ปรากฏว่า ใน บัญชีเรียกเข้ารับการตรวจเลือก ตั้งแต่ปี 2532 จนถึงปี 2536 ปรากฏชื่อนายอภิสิทธิ์ อยู่ในบัญชีคนขาดเข้ารับการตรวจเลือก ประจำแขวง คลองตัน ในลำดับที่ 148 ลำดับที่ 417 ลำดับที่ 685และ ลำดับที่ 641 ตามลำดับ ในขณะเดียวกันกับที่ เมื่อ ปี พ.ศ.2530 นายอภิสิทธิ์ ได้รับหมายเรียก หลังจากที่ได้แสดง ตนขอลงบัญชีทหารกองเกิน(เกินกำหนด) ณ สำนักงานเขตพระโขนง เมื่อวัน ที่ 4 กรกฎาคม 2529 แต่ได้มีการขอใบแทนใบสำคัญฉบับนี้เมื่อวัน ที่ 8 เมษายน 2531 โดยนายอภิสิทธิ์ไม่ยอมเข้ารับการตรวจเลือก เกณฑ์ทหาร
3) จึงปรากฏพฤติการณ์เจตนาหลีกเลี่ยงขัดขืนการเข้ารับการ ตรวจเลือกฯของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ โดยอ้างเหตุผลว่า เป็น อาจารย์ประจำโรงเรียนนายร้อย จปร. ซึ่งปรากฏหลักฐานชัดเจนว่า ได้มี การทุจริต บกพร่องต่อหน้าที่ ในการดำเนินการบรรจุนายอภิสิทธิ์ เวช ชาชีวะเข้ารับราชการทหารในครั้งนั้นกระทำกันอย่างเป็นทีม ซึ่งประกอบด้วย นายทหารบางนาย ซึ่งได้เกษียณอายุราชการไปแล้ว บางนายรับราชการนอก สังกัดกองทัพบก และบางนายเป็นนายทหารชั้นนายพล ซึ่งไม่สามารถ รับโทษทัณฑ์ทางวินัยได้ จึงปรากฏเอกสารทางราชการให้มีผู้ต้องได้รับโทษ ทัณฑ์จากการกระทำทุจริตครั้งนี้ได้เพียงผู้เดียวคือ พ.อ.หญิงสายไสว มา สมบูรณ์ ตำแหน่งประจำกำลังพลทหาร กองทัพบก ขณะปฏิบัติ หน้าที่เป็นหัวหน้าแผนก กองจัดการ กรมกำลังพลทหาร กอง ทัพบก
และปรากฏในเวลาต่อมาว่า ได้มีการดำเนินคดีอาญาต่อพันตรี ทองคำ เดชเร ในข้อหาละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ โดยสมคบกันออก เอกสารทางราชการอันเป็นเท็จเพื่อให้นายอภิสิทธิ์หลีกเลี่ยงการเข้ารับการตรวจ เลือกฯด้วยการทำหลักฐานเท็จเพื่อบรรจุนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ซึ่ง เป็นบุคคลที่มีลักษณะขัดต่อหลักเกณฑ์ของกองทัพบก ที่สามารถจะบรรจุเข้ารับ ราชการได้
เนื่องจากนายอภิสิทธิ์ ได้ผ่านการตรวจเลือกและไม่ มีหลักฐานทางทหารนำมาส่งมอบ ประกอบเอกสารการบรรจุเข้ารับราชการทหารเพราะ เป็นคนขาดการตรวจเลือกฯเมื่อวันที่ 7 เมษายน พ.ศ.2530 ถ้าหากจะดำเนินการบรรจุ เข้ารับราชการต้องกระทำภายหลังจากที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ถูกส่งตัวดำเนินคดีตามพระราชบัญญัติรับราชการทหารพ.ศ.2497 มาตรา 27 และ มาตรา 45 พร้อมกับส่งตัวเข้ากองประจำการจนครบกำหนดเสียก่อน
4) แต่ปรากฏว่า เจ้าหน้าที่กำลังพลของโรงเรียนนายร้อย จปร. กลับเพิกเฉย ไม่ ปฏิบัติตามระเบียบของกองทัพบกที่ผู้บัญชาการทหารบกในขณะนั้น เป็นผู้ อนุมัติระเบียบดังกล่าวนี้ จากเอกสารของทางราชการกองทัพบก ปรากฏ ว่า กรมสารบรรณ กองทัพบก ได้ทำการทะกท้วงแล้ว แต่ผู้รับผิดชอบในเรื่องนี้ ขณะนั้นของโรงเรียนนายร้อย จปร. กลับไม่นำพา จึงเป็นความบกพร่องของเจ้าหน้าที่กำลังพลประกอบด้วย พ.อ.สมศักดิ์ พุ่มนิคม รอง ลก.บก.ทหารสูงสุด ขณะเป็นหก.กกพ.รร.จปร. ส่วน พล.อ.เผด็จ วัฒนะภูติ ขณะเป็นรองผบ.รร.จปร. ซึ่งรับผิดชอบงานด้าน กำลังพล และพล.อ.นิยม ศันสนาคม ขณะเป็น ผบ.รร.จปร.ทั้งสองนายพลนี้ ปัจจุบันเกษียณอายุราชการไปแล้ว จึงไม่สามารถตามไปเอาผิดทางวินัยได้ใน ปัจจุบัน
5) จากพฤติการณ์ตามข้อ1-4 ข้างต้นนี้ แสดงให้ เห็นว่า การขอบรรจุ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เข้ารับราชการ ใน ตำแหน่งรักษาราชการ อาจารย์ส่วนการศึกษาโรงเรียนนายร้อย จปร. มี วัตถุประสงค์จงใจหลีกเลี่ยงความผิดที่จะเกิดขึ้นตามกฏหมายพระราชบัญญัติรับ ราชการทหาร พ.ศ.2497 มาตรา 45 ซึ่งมีบทบัญญัติพอสรุปได้ว่า บุคคลใด หลีกเลี่ยง หรือขัดขืน ไม่มาให้คณะกรรมการตรวจเลือกฯ ทำการตรวจ เลือกเข้ารับราชการทหารตามหมายเรียกของอำเภอ หรือมาแต่ไม่เข้ารับการตรวจ เลือกหรือไม่อยู่ จนกว่าการตรวจเลือกแล้วเสร็จ หรือหลีก เลี่ยง หรือขัดขืนด้วยประการใดก็ดี เพื่อจะไม่ให้เข้ารับราชการ ทหาร ตามพระราชบัญญัติฉบับนี้ ต้องระวางโทษไม่เกิน 3 ปี
6) ดังนั้นการที่ ว่าที่ ร.ต.อภิสิทธิ์ เมื่อได้รับคำสั่ง บรรจุเป็นนายทหารสัญญาบัตรในตำแหน่ง รรก.อจ.สกศ.รร.จปร. แล้วเพียง 35 วัน ก็ได้ แจ้งความจำนงว่า จะขอลาออกจากราชการ ดังนั้นโดยสามัญสำนึก จึงแปลเจตนารมณ์ไปได้ว่า ว่าที่ ร.ต.อภิสิทธิ์ ไม่มีเจตนาที่ จะปฏิบัติหน้าที่ในขณะรับราชการ ดังปรากฏหลักฐานทางราชการ ว่า ว่าที่ ร.ต.อภิสิทธิ์ ได้ขอลากิจไปเยี่ยมญาติที่ประเทศ อังกฤษ 2 ครั้ง ตั้งแต่วันที่ 22 สิงหาคม 2531 ถึง 30 กันยายน 2531 รวม 40 วัน และได้ขอลากิจอีกครั้งหนึ่ง ตั้งแต่ วันที่ 4 ตุลาคม 2531 ถึงวันที่ 9 ธันวาคม 2531 รวม 67 วัน พฤติการณ์เยี่ยงนี้ แสดงให้เห็นว่า นายอภิสิทธิ์ไม่มีเจตนาที่จะ เข้ารับราชการทหารอย่างแท้จริง การสมัครเข้ารับราชการทหาร จึงเป็น เพียงการหาเหตุผลที่จะแก้ปัญหาความผิดทางอาญาจากกรณีการขาดตรวจเลือกเข้าเป็น ทหารกองประจำการเท่านั้น
7) การณีการบรรจุให้นายอภิสิทธิ์ เวชชา ชีวะ เป็นอาจารย์ประจำส่วนการศึกษาโรงเรียนนายร้อย จปร. จึงเป็นการ บรรจุที่ขัดระเบียบของกองทัพบก ซึ่งอนุมัติโดยผู้บัญชาการทหารบก(พล.อ. อาทิตย์ กำลังเอก) ตามท้ายหนังสือที่ กห.0401/1916 ลงวันที่ 28 พฤศจิกายน 2528 ประกอบกับหนังสือกรมกำลังพลทหารบกที่กพ. ทบ. 015/10006 ลงวันที่ 31 พฤษภาคม 2522 ทำให้เห็นได้อย่างชัดเจน ว่า การบรรจุนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เข้ารับราชการ ทหาร เป็นการบรรจุผู้ไม่มีคุณสมบัติตามระเบียบกองทัพบกกำหนด
จาก ข้อเท็จจริง ที่รวบรวมจากเอกสารหลักฐานของทางราชการดังกล่าวทั้ง 7 ประการ นี้ ทำให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์คน ปัจจุบัน เป็นบุคคลผู้จงใจหลีกเลี่ยง ขัดขืน ไม่ไปแสดงตน เพื่อเข้ารับการตรวจเลือกทหารกองเกินเข้ากองประจำการ
แปลความง่าย ๆ ว่า "หนีการเกณฑ์ทหาร" ตามที่กฏหมายกำหนดให้ลูกผู้ชายไทยทุกคน ต้อง เข้ารับการตรวจเลือกฯอย่างเสมอหน้ากันทุกคน นายอภิสิทธิ์จึงเป็นบุคคลที่ มีพฤติการณ์หนีการเกณฑ์ทหารอย่างชัดแจ้ง จึงเป็นนักการเมืองประเภทโมฆะ บุรุษตาม ระบอบประชาธิปไตยในหลักสากลปฏิบัติ ทำให้ไม่สามารถที่จะเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทาง การเมืองระดับผู้บริหารประเทศได้
และยังเป็นบุคคลที่เห็นแก่ตัวอย่างน่า รังเกียจ เพราะคิดแต่จะเอาเปรียบผู้ชายไทยทั้งประเทศ โดยจงใจที่จะหลีกเลี่ยง กฎเกณฑ์และระเบียบของทางราชการ จนไม่สมควรที่จะไว้วางใจให้ทำกิจการใดๆ ของชาติ บ้างเมืองอีกต่อไป
จดหมายเปิดผนึกฉบับนี้ ขอฝากคำถามถึงนายชวน หลีก ภัย ที่เคยพร่ำพูดอยู่เสมอว่า จะยึดมั่นในหลักการความถูกต้อง และจะปฏิบัติตาม ระเบียบข้อบังคับและกฎหมายอย่างเคร่งครัด เมื่อนายอภิสิทธ์ หัวหน้าพรรคคนปัจจุบัน มีพฤติกรรมเยี่ยงที่กล่าวมานี้ จึงเป็นสิ่งที่นายชวนและชาวพรรคประชาธิปัตย์ทั้งมวล จะพิจารณาอย่างถ่องแท้ว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ มีความชอบธรรม และมีความเหมาะสมที่จะเข้าไปดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีภายหลังการเลือกตั้งทั่วไป หรือไม่ ?
เพราะเป็นหน้าที่ของสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ทุกคนที่จะต้องแก้ปัญหา ส่วนตัวของหัวหน้าพรรคคนปัจจุบันด้วยกันเองเสียก่อน ดีกว่าที่จะปล่อยให้ข้อมูล เหล่านี้ กลายเป็นปัญหาติดตัวคนในพรรคประชาธิปัตย์ จนเป็นเหตุให้นักการเมือง ฝ่ายค้านในอนาคตนำไปเป็นประเด็นเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจพรรคประชาธิปัตย์ หากได้ เป็นรัฐบาลในเร็ววันนี้ตามความต้องการของประชาชน คมช.
นี่คือ คำถามที่ นายอภิสิทธิ์ และคนในพรรคประชาธิปัตย์ทุกคนต้องตอบให้ประชาชนทราบอย่างตรงไปตรง มาโดยไม่เล่นลิ้น หรือให้ความกะล่อนปลิ้นปล้อนตลบตะแลงอีกต่อ ไป
จากกลุ่มนายทหารประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จ การ คมช.
ยังไม่คืนรถหลวง
ทั้งนี้ นายอภิสิทธิ์ ทะเบียน ฌอ 5999 สีดำ เบิกไปใช้ครั้งแรกในฐานะนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 2 ต.ค. 2553 ต่อมาเมื่อกลายมาเป็นฝ่ายค้าน ได้เบิกในนามของกลุ่มงานผู้นำฝ่ายค้าน สภาผู้แทนราษฎร เพื่อรับรองผู้นำฝ่ายค้าน แต่ไม่ได้อ้างภารกิจถึงความจำเป็นในเรื่องความปลอดภัยแต่อย่างใด เมื่อ ก.ย. 2554 โดยไม่มีกำหนดระยะเวลาส่งคืน ทั้งนี้ ในการซ่อมบำรุง หน่วยผู้เบิกเป็นผู้รับผิดชอบในการซ่อมบำรุงทั้งหมด ซึ่งหมายถึงการเติมน้ำมันเชื้อเพลิง และดูแลรักษาสภาพรถให้อยู่ในสภาพพร้อมปฏิบัติงานได้ นอกจากนี้ ยังมีรถกันกระสุนหุ้มเกราะอีกจำนวน 12 คัน ที่สำรองไว้ให้รัฐมนตรีกลาโหม จำนวน 2 คัน สำนักนายกรัฐมนตรีอีก 3 คัน โดยอยู่ในความดูแลของ ศรภ.จำนวน 7 คัน เพื่อสำรองไว้รับรองแขกวีไอพีของรัฐบาล ทั้งนี้ ทาง ศรภ.มีแผนจะนำส่งคืนให้สำนักนายกรัฐมนตรีกลับไปดูแลจำนวน 10 คัน ซึ่งกำลังทำเรื่องเสนอคืนในเร็วๆ นี้.
เสื้อ แดงนิวยอร์ก นัดร่วมตัวกัน เพื่อต้อนรับ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีของไทย ที่เดินทางไปร่วมประชุมสมัชชาใหญ่และประชุมผู้นำกลุ่มอาเซียนและสหรัฐ ในวันศุกร์นี้ เวลา 16.00 น. ตามเวลาท้องถิ่น บริเวณหน้าอาคารสำนักงานใหญ่ของ องค์การสหประชาชาติ เพื่อสอบถามความเป็นจริง ในข้อข้องใจ ช่วงวิกฤตการณ์การเมืองไทยตลอดหลายปีที่ผ่านมา และเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับคนเสื้อแดง