วันศุกร์ที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2555

“จาก 6 ตุลา 19 ถึงรายงานคอป.”


จาตุรนต์ ฉายแสง  

หมายเหตุ  ถอดคำต่อคำ เมื่อวันอาทิตย์ที่ 7 ตุลาคม 2555  รร.อมารี เอเทรียม

        จาก หัวข้อ “จาก 6 ตุลา 19 ถึงรายงานคอป.” จะเน้นที่รายงานคอป. เรื่องเกี่ยวกับความขัดแย้ง ปรองดอง ยังเป็นเรื่องใหญ่ ปัญหาใหญ่ต่อไปแน่ๆ ไม่ช้าก็เร็วเรื่องนี้จะมีการหยิบยกขึ้นมาอีก แต่ว่าที่มาพูดในวันนี้ ในวันที่ 7 ตุลา เมื่อวานนี้เป็นครบรอบ 36 ปีของเหตุการณ์ 6 ตุลา 2519  ซึ่งผมก็เป็นผู้ที่ได้รับผลกระทบ ได้รับความเสียหายโดยตรงด้วยคนหนึ่ง   

          ทำให้นึกถึงเหตุการณ์ 6 ตุลา จึงเห็นประเด็นที่เกี่ยวข้องกับรายงานคอป.ค่อนข้างมาก 

          ขอชี้แจงก่อนว่า การให้ความเห็นในวันนี้ เนื่องจากเกี่ยวข้องกับความขัดแย้ง วิกฤต การปรองดองและตัวรายงานคอป.เองมีแง่มุมที่ต้องพูดกันอีก ความเห็นวันนี้จึงยังไม่สมบูรณ์ครบถ้วน จะต้องแสดงความเห็นเพิ่มเติม และหวังว่าหลายฝ่ายจะได้แสดงความในเรื่องนี้ต่อไปอีกด้วย 

บท เรียนจาก 6 ตุลา 2519 ในส่วนที่สำคัญ  ทำให้ควรพูดถึงรายงานคอป. คือ การที่ชนชั้นนำใช้ความรุนแรงเข้าจัดการกับประชาชนที่มีความเห็นแตกต่าง  พบว่ายังเกิดขึ้นซ้ำๆ สังคมไทยยังไม่มีข้อสรุป ที่จะทำให้มีการป้องกันไม่ให้เกิดการใช้ความรุนแรงต่อประชาชน

ที่ สำคัญในเหตุการณ์ 6 ตุลา การวางแผนอย่างเป็นระบบ  เพื่อปราบเพื่อฆ่าประชาชนอย่างโหดเหี้ยมและการรัฐประหาร  ได้รับการนิรโทษตัวเองไปหมด ไม่มีการตรวจสอบค้นหาความจริงว่า รัฐได้ทำผิดอย่างไร ใครควรรับผิดชอบ  ใครควรขอโทษประชาชน

อาจ เป็นเพราะว่าฝ่ายต่างๆได้นิรโทษตัวเองไปแล้ว ประชาชนแม้จะได้รับประโยชน์จากการนิรโทษกรรมอยู่บ้าง ก็ไม่ได้รับความยุติธรรม ประชาชนได้โอกาสร่วมอยู่ในสังคมต่อไปก็ต่อเมื่อการต่อสู้ของประชาชนพ่ายแพ้ แล้ว นี่คือบทเรียนจาก 6 ตุลา

จาก บทเรียน 6 ตุลา ทำให้นึกถึงรายงานคอป.ที่จะต้องตั้งคำถามว่า รายงานนี้ จะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดความรุนแรง การเข่นฆ่ากันของคนในชาติและการที่ชนชั้นนำปราบปรามเข่นฆ่าประชาชนได้หรือ ไม่  หรือพูดอีกแบบหนึ่งก็คือ รายงานคอป.จะช่วยให้เกิดการปรองดองได้หรือไม่ 

ซึ่ง โดยรวมแล้ว รายงานของคอป.มีข้อดีและเป็นประโยชน์อยู่ไม่น้อย เช่น คอป.ได้รับการสนับสนุนทั้งจากรัฐบาลที่แล้วและรัฐบาลปัจจุบัน โดยไม่ปรากฏแรงบีบคั้นใดๆจากทั้ง 2 รัฐบาลหรือองค์กรอื่นใด  มีการรับฟังข้อมูลและความคิดเห็นจากฝ่ายต่างๆในสังคมไทยอย่างกว้างขวาง ทั้งยังได้รับความร่วมมือจากบุคคลและองค์กรจากต่างประเทศด้วย มีหลักการพอสมควร มีข้อเสนอที่ดีและเป็นประโยชน์อยู่ 

แต่ รายงานคอป.เมื่อศึกษาแล้วพบว่ามีข้อจำกัด มีข้อผิดพลาดในสาระสำคัญอยู่หลายประการ จนทำให้รายงานคอป.นี้ไม่อาจนำพาประเทศไปสู่การปรองดองได้ 

ทั้ง นี้ เนื่องจากคอป.ไม่ได้ค้นพบ  ความจริงต้องบอกว่า ไม่ได้ค้นหาความจริงที่จำเป็นต่อการสรุปบทเรียนของสังคม ไม่สามารถเสนอให้เห็นสาเหตุ  รากเหง้าของความขัดแย้งที่ตรงประเด็น  ที่เป็นปัญหาใจกลางของวิกฤต 

ที่สำคัญที่สุด คือ ปัญหาความไม่เป็นประชาธิปไตยนั่งเอง 

รายงานของคอป.ชิ้นนี้ จึงไม่ใช่ชิ้นสุดท้ายที่สังคมจะสามารถฝากความหวังว่า จะทำให้เกิดการปรองดอง   

          ผมขอขยายความดังนี้ ข้อจำกัดของรายงานคอป. การสอบถามข้อมูลและความเห็นยังไม่ครอบคลุมในหลายๆส่วน  เสียงสะท้อนจากผู้ที่เกี่ยวข้องในเหตุการณ์ ผู้เสียหายในเหตุการณ์ ก็สะท้อนอย่างนี้อยู่ 

ข้อ เท็จจริงและความคิดเห็นจำนวนมากไม่ถูกเปิดเผย ไม่มีช่องทางให้คนเข้าถึง ทำให้สังคมได้รับข้อมูลเพียงบางส่วน ที่คอป.เลือกมาให้รับรู้ ทั้งข้อเท็จจริงและความเห็น

ใน ส่วนที่เกี่ยวกับการตรวจสอบและค้นหาความจริงเกี่ยวกับความรุนแรง คอป.ไม่ได้ค้นหาความจริงที่สำคัญ  จำเป็นต่อการให้เกิดความยุติธรรม  การสรุปบทเรียน  การป้องกันความรุนแรง  การใช้ความรุนแรงของรัฐประชาชน  การขอโทษ  การให้อภัย 

ถ้า เทียบกับ 6 ตุลา  คอป.ทำการค้นหาความจริง โดยได้งดเว้นที่จะหาความจริงสำคัญๆเหล่านี้ เหมือนกับว่า กรณีเหตุการณ์ความรุนแรง เมื่อเมษา-พฤษภา 2553 ได้มีการนิรโทษกันไปหมดแล้ว โดยไม่จำเป็นต้องหาว่า ใครผิดอีกต่อไป

ความ จริงประเด็นสำคัญ ที่ไม่ได้มีการค้นหา คือ  ความรุนแรงเกิดจากใคร  ใครผิดมากผิดน้อย การใช้มาตรการรุนแรงของรัฐ  เกินกว่าเหตุ หรือไม่ เป็นไปตามหลักสากลหรือไม่ ซึ่งความจริงลักษณะนี้เป็นประเด็นมาตรฐานทั่วไป ควรจะต้องมีการค้นหาในกรณีที่รัฐเข้าไปในกรณีของความรุนแรงและเกิดเป็นความ สูญเสียของชีวิตประชาชนขึ้นจำนวนมาก 

รายงาน นี้จึงไม่ได้ตอบสิ่งที่เรียกว่า ประเด็นข้อสงสัยที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ต่างๆ ซึ่งคำนี้เป็นถ้อยคำที่อยู่ในคำสั่งตั้งตั้งคอป. เป็นเหตุให้มีการตั้งคอป.  ประเด็นข้อสงสัยที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ต่างๆ ปรากฏว่าประเด็นเหล่านี้ ไม่มีคำตอบ คอป.ไม่ได้ค้น เพราะคอป.ไปทำน้อยกว่าที่ได้รับมอบหมาย  น้อยกว่าวัตถุประสงค์ของการตั้งคอป. โดยให้เหตุผลว่า ไม่ต้องการหาว่าใครผิด    

แต่ ก็มีความขัดแย้งในตัวเอง คอป.บอกว่า ไม่ต้องการหาว่าใครผิด   แต่คอป.กลับบันทึกไว้ในรายงานและจากคำแถลงข่าวของคอป. กลับเน้น “ชายชุดดำ” โดยไม่ได้บอกว่า คือใคร อยู่ฝ่ายไหนกันแน่และใช้ความรุนแรงมากน้อยแค่ไหน แต่การพูดถึงชายชุดดำ เสนอข้อมูลเกี่ยวกับชายชุดดำ โดยให้น้ำหนักอย่างมาก มีผลเท่ากับลดความชอบธรรมการชุมนุมของประชาชน  และเพิ่มความชอบธรรมให้กับรัฐ  ในการจัดการกับผู้ชุมนุม

ทั้งๆ ที่โดยหลักการแล้ว แม้มีชายชุดดำจริง ชายชุดดำเป็นใคร ยังไม่ได้ค้นหานะ เรื่องนี้มีคนวิจารณ์เยอะแล้ว แต่หลักการสำคัญคือว่า  แม้มีชายชุดดำจริง  รัฐก็ไม่มีความชอบธรรม ที่จะใช้ความรุนแรงต่อประชาชน แล้วก็เกิดความเสียหายมากอย่างที่เกิดขึ้น 

ใน ส่วนต่อไปที่เป็นปัญหาคือ ชุดความจริงเกี่ยวกับสาเหตุ  รากเหง้าความขัดแย้ง คอป.ได้กล่าวถึงสาเหตุรากเหง้าความขัดแย้ง เน้นปัญหาเชิงโครงสร้างทางเศรษฐกิจ สังคม  ซึ่งเป็นการวิเคราะห์อย่างกว้าง  และไม่ตรงจุด 

     พอพูดถึงระยะความขัดแย้งปรากฏ และระยะความขัดแย้งในระดับการช่วงชิงอำนาจ  คอ ป.ได้ใช้วิธีนำประเด็นมาเรียงต่อกัน  แล้วบอกว่าปัจจัยเหล่านี้มีผลเชื่อมโยงกันแล้วส่งผลกระตุ้นซ้ำกัน ความรุนแรงไม่ได้เกิดจากปัจจัยใดปัจจัยหนึ่ง ฟังดูเหมือนกับจะเป็นอย่างนั้น แต่ว่าจากการนำมาเรียงกัน แล้วไม่มีข้อสรุปว่าประเด็นไหนสำคัญกว่าประเด็นไหน โดยตัวมันเองได้ลดน้ำหนักเรื่องที่สำคัญ  เพิ่มน้ำหนักเรื่องที่ไม่สำคัญโดยตรง เพราะว่าเอาเรื่องเล็กเรื่องใหญ่มารวมกันหมดแล้วบอกว่า มันเท่าๆกัน กลายเป็นการเพิ่มน้ำหนักบางเรื่องลดน้ำหนักบางเรื่องไปในตัว

     นอกจากนั้นการเพิ่มน้ำหนักลดน้ำหนักในรายงานนี้ ทำให้มีปัญหาอย่างมาก ก็คือ คอป.เน้นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนการรัฐประหารอย่างหนักแน่น ใช้เนื้อที่ยาวมาก พอมาถึงการรัฐประหาร คอป.พูดถึงเพียงไม่กี่คำ สั้นๆ และที่สำคัญคือ การพูดถึงการรัฐประหารว่า เป็นปัจจัยหนึ่งที่กระตุ้นให้เกิดความรุนแรงเช่นกัน เพราะรัฐประหารเป็นกระบวนการที่อาจขัดขวางการแก้ไขปัญหาตามหลักประชาธิปไตย และขัดต่อหลักนิติรัฐด้วย ข้อความนี้เป็นข้อความที่เบาอย่างมากที่พูดถึงการรัฐประหารได้เบามาก

     พอพูดถึงกระบวนการยุติธรรม พูดถึงตุลาการภิวัฒน์ว่า ฝ่ายตุลาการเข้ามามีบทบาทมากขึ้นในการถ่วงดุลอำนาจ ทำให้เกิดข้อวิพากษ์วิจารณ์ในลักษณะการไม่ยอมรับกลไกของกระบวนการยุติธรรม  ทำให้เกิดข้อวิพากษ์วิจารณ์หมายความว่า คอป.ไม่ได้เห็นเป็นปัญหาด้วยตัวเอง พูดถึงกระบวนการยุติธรรมมีสองมาตรฐาน ซึ่งคนทั้งสังคมเห็นปัญหานี้ชัดเจนอยู่แล้ว แต่คอป.บอกว่า มีการกล่าวอ้างว่ามีการแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม และการทำหน้าที่องค์กรอิสระทำให้มีความเคลือบแคลงต่อหลักนิติธรรม เป็นการลดน้ำหนักเรื่องที่มีน้ำหนัก 

พอ พูดถึงองค์กรอิสระจะพบว่าอธิบายถึงปัญหาองค์กรอิสระ แต่อ่านแล้วจะไม่ทราบว่าหมายถึงช่วงไหนกันแน่ ทั้งๆที่องค์กรอิสระในช่วงหลังการรัฐประหารอยู่ในลักษณะที่ไม่เป็นอิสระเลย ตั้งโดยคณะรัฐประหารหลายคณะ แต่ว่าคอป.พูดถึงองค์กรอิสระแบบคลุมเครือ  ทำให้ไม่เห็นชัดว่า ปัญหาขององค์กรอิสระอยู่ที่ไหน

เรื่อง รัฐธรรมนูญ ฉบับ 2550  พบว่า คอป.ไม่ได้เห็นรัฐธรรมนูญปี 2550 เป็นปัญหาอะไร  โดยบอกว่า รัฐธรรมนูญและการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เนื่องจากคนบางส่วนยังให้ความสำคัญกับรธน.แห่งราชอาณาจักรไทยฉบับ 2540 ซึ่งเป็นรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน จึงมีทัศนคติทางลบกับรัฐธรรมนูญปี 2550 คือ ไม่ได้วิเคราะห์เลยว่า รัฐธรรมนูญปี 2550 มีปัญหาอย่างไร

การ ที่คอป.มีความเห็นไปอย่างหนึ่ง ไม่เห็นตรงกับสิ่งที่ผมพูด ไม่ได้เป็นปัญหา เพราะถือว่ามีสิทธิคิดอย่างนั้น เพียงแต่ว่า คอป.ได้ใช้วิธีไปเน้น ไปให้น้ำหนักอย่างที่ตนต้องการ แล้วก็ไม่ได้กล่าวถึงความเห็นของฝ่ายต่างๆ ถ้าบอกว่าต้องการเป็นกลางจริงๆ แต่ก็ไม่ได้ยกเอาความเห็นของฝ่ายต่างๆมานำเสนอ 

คอ ป.บอกว่า ต้องการเป็นกลางจึงไม่ต้องการสรุป  แต่การลดน้ำหนักเพิ่มน้ำหนักอย่างที่ผมกล่าวไป กลายเป็นคล้ายกับสรุป  อาจจะพูดได้ว่า เอียงไปทางใดทางหนึ่งอย่างมาก ทำให้สิ่งที่เรียกว่าชุดความจริงเกี่ยวกับสาเหตุ รากเหง้าความขัดแย้ง ไม่ใช่ชุดความจริงร่วมกันอย่างที่คอป.บอกว่าจะทำ

คอ ป.บอกว่ามีชุดความจริงได้หลายชุด  คอป.ต้องการทำชุดความจริงร่วมกัน แต่ปรากฏว่าชุดความจริงนี้ ในที่สุดก็เป็นชุดความจริงที่ค่อนข้างจะคล้ายกัน หรือสอดคล้องกับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไป และชุดความจริงนี้ จึงไม่ควรจะเรียกว่า ชุดความจริง ควรจะเรียกว่า ชุดข้อมูลที่ประกอบด้วยข้อเท็จจริงและความเห็น ซึ่งไม่เพียงพอที่จะทำให้เห็นพ้องต้องกันของสังคม              
 
 สิ่ง ที่เป็นปัญหาสำคัญที่สุด ในการนำเอาเหตุการณ์ต่างมาเรียงกัน คือ ในการมองปัญหาของคอป. ไม่มีเส้นแบ่งประชาธิปไตยกับเผด็จการ ไม่มีเส้นแบ่ง ไม่เห็นความต่างระหว่างระบอบประชาธิปไตยที่มีปัญหา แต่สามารถแก้ไขในระบบและตรวจสอบได้กับการรัฐประหารและระบบที่ต่อเนื่องจาก การรัฐประหาร ซึ่งขัดกับหลักประชาธิปไตย ขัดหลักนิติธรรมและตรวจสอบไม่ได้

 เมื่อ ไม่เห็นความแตกต่างนี้ ไม่ทำให้เห็นความแตกต่างอันนี้ ทำให้เป็นปัญหาใหญ่ปัญหาสำคัญในการวิเคราะห์ของคอป. การไม่เห็นความแตกต่างนี้ไปสะท้อนที่ความเห็นประธานคอป.ที่ว่า..... “แม้ถึงว่าข้าพเจ้าจะไม่เห็นพ้องด้วยกับการยึดอำนาจรัฐไม่ว่าในครั้งใด แต่เผด็จการทางรัฐสภากับเผด็จการทหารดูจะไม่แตกต่างกัน ข้าพเจ้าจึงเห็นว่าเผด็จการทั้งสองรูปแบบต่างทำลายการพัฒนาประชาธิปไตยด้วย กันทั้งสิ้น” 

เมื่อ พูดถึงเหตุการณ์ก่อนการรัฐประหาร หลังการรัฐประหาร แล้วรวมไปทำให้คนเข้าใจว่า ก่อนการรัฐประหารคือเผด็จการรัฐสภา หลังการรัฐประหารคือเผด็จการทหาร เลยกลายเป็นว่ามีปัญหาเท่าๆกัน

 คอป.แบ่งความแตกต่างทางความเชื่อในเรื่องประชาธิปไตยเป็นสองแบบอย่างไม่ชัดเจน  คือ ประชาธิปไตย แบบเลือกตั้ง ไม่ต้องตรวจสอบ กับแบบ คนดี มีคุณธรรม ตรวจสอบได้ ซึ่งไม่ตรงกับความเข้าใจของฝ่ายต่างๆที่มีการพูดการแสดงความเห็นกันอยู่

 ฉะนั้น ในการวิเคราะห์จึงทำให้ไม่เห็นปัญหาใหญ่ของประเทศ คือ การที่คนไม่เชื่อการเลือกตั้ง  ไม่ เชื่อว่าประชาชนจะปกครองบ้านเมืองได้ และการใช้ความรุนแรงเข้ายึดอำนาจรัฐ ทำลายหลักนิติรัฐ นิติธรรมอย่างต่อเนื่อง คือ ปัญหาใจกลางของวิกฤต

 พอมาถึงข้อเสนอ เมื่อคอป.ไม่เข้าใจปัญหาวิกฤตของประเทศ แม้จะมีข้อเสนอที่ดีหลายๆข้อ  ทำให้ข้อเสนอของคอป.ในส่วนที่สำคัญมากๆ จึงขาดน้ำหนัก ไม่ตรงจุด  

 คอ ป.เสนอได้ชัดเจนว่า จะต้องไม่ทำรัฐประหาร แต่เนื่องจากไม่ได้เน้นความเลวร้ายของการรัฐประหารมาตั้งแต่ต้น ความสำคัญของประเด็นนี้จึงลดน้อยลงไป

 คอป.เสนอว่า ต้องไม่เร่งแก้รัฐธรรมนูญ และเสนอให้เป็นมาตรการระยะยาว ทั้งๆที่ปัญหารัฐธรรมนูญเป็นปัญหาใหญ่มาก  ทำให้เกิดวิกฤตอย่างต่อเนื่อง

 คอป.เสนอให้ปรับกระบวนการยุติธรรม  แต่ในข้อเสนอจะพบว่า ทั้งการวิเคราะห์และข้อเสนอไม่ได้เน้นชัดเจน โดยเฉพาะในส่วนที่พูดถึงตุลาการก็จะเป็นเพียงข้อเรียกร้อง  แต่จะไปเรียกร้องให้ปรับปรุงกระบวนการยุติธรรมในส่วนที่เกี่ยวกับฝ่ายบริหารมากกว่า

 และเมื่อไม่เร่งแก้รัฐธรรมนูญ การจะปรับกระบวนการยุติธรรมทั้งระบบ ก็ไม่ทางเกิดขึ้นได้ เพราะสองเรื่องนี้มีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กัน

 นอกจากนั้น ในการกล่าวถึงการคืนความยุติธรรมแก่ผู้ได้รับผลกระทบจากการกระทำที่ไม่เป็นไปตามหลักนิติธรรม คอป.พูดถึงอยู่บ้าง  แต่พอถึงบทสรุป  ใน ตารางข้อเสนอต่างๆ ไม่ปรากฏอีก แล้วจะมีการคืนความยุติธรรมแก่ผู้ได้รับผลกระทบจากการกระทำที่ไม่เป็นไปตาม หลักนิติธรรมอย่างไร หรือไม่

  แต่คอป.กลับเรียกร้องให้ผู้ได้รับผลกระทบจากการผิดหลักนิติธรรมต้องเสียสละ

          เมื่อ ข้อเสนอคอป.ไม่เพียงพอที่จะทำให้สังคมไทยพ้นจากวิกฤต หรือทำให้เกิดการปรองดองได้ จะทำอย่างไรกับข้อเสนอของคอป. ผมมีความเห็นอย่างนี้ คือ  ข้อเสนอของคอป.จำนวนมาก นำไปปฏิบัติแล้วจะเป็นประโยชน์  แต่ถ้าทำตามคอป.ทุกข้อโดยไม่แยกแยะ  อาจไม่เป็นประโยชน์ หรือเป็นอุปสรรคต่อการปรองดอง หรือทำให้ประเทศพ้นวิกฤต  ผมเห็นว่าผู้เกี่ยวข้องไม่จำเป็นต้องทำตามข้อเสนอคอป.ทุกข้อ  แล้วการปฏิบัติตามเพียงบางส่วน ไม่หมายความว่า ทำไปเพื่อประโยชน์ของตนเอง เพราะว่าผู้เกี่ยวข้องสามารถใช้วิจารณญาน คำนึงถึงประโยชน์ส่วนรวมแล้ว ก็ยังสามารถเห็นต่างจากคอป.ได้ เนื่องจากการวิเคราะห์ของคอป.มีข้อจำกัดและจุดผิดพลาดอยู่

          ข้อเสนอที่เป็นรูปธรรมขึ้น คือ  

ข้อ เสนอแรก  เมื่อคอป.ยังค้นหาความจริงได้ไม่พอ ควรส่งเสริมให้มีการค้นคว้า ค้นหาความจริงเพิ่มเติมต่อไป ทั้งในส่วนที่เกี่ยวกับเหตุการณ์ความรุนแรง ทั้งในส่วนที่เกี่ยวกับรากเหง้า สาเหตุความขัดแย้งในสังคม การค้นหาความจริงนี้ อาจจะทำเหมือนคอป. แต่เพิ่มเติมข้อมูล ข้อเท็จจริง ข้อเสนอ  หรือทำนองเดียวกับที่ศปช. หรือศูนย์ข้อมูลประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากการสลายการชุมนุมเดือน เม.ย-พ.ค. 53 (ศปช.) ทำมาแล้ว

นอก จากนั้น อาจส่งเสริมให้หลายๆฝ่ายที่สนใจได้ทำการค้นหาความจริงได้ทำมากขึ้น โดยฝ่ายรัฐส่งเสริม สนับสนุน ให้ความร่วมมือ และนำเอาข้อค้นพบ ความจริงที่ค้นพบเหล่านั้นมารวบรวม  รวมทั้งเปิดโอกาสให้ประชาชนรับรู้ 

 ที่ผมเสนออย่างนี้ คือ จะหวังจากรายงานชิ้นเดียว แล้วเป็นข้อสรุปไม่ได้แล้ว  หา คนกลางที่เป็นที่ยอมรับมากๆไม่ได้แล้ว ควรจะเปลี่ยนแนวมาให้หลายฝ่ายค้นหาความจริง แล้วให้สังคมได้ศึกษา เรียนรู้ หากเป็นเรื่องการเมืองก็ให้ประชาชนใช้วิจารณญาน ตัดสินใจ 

 ข้อเสนอที่ 2 ข้อเสนอใดที่เป็นประโยชน์ ซึ่งมีอยู่จำนวนมาก และมีความเห็นแตกต่างน้อย ควรจะดำเนินการไปเลย  ซึ่งดูจากบทเรียน จากเหตุการณ์ 6 ตุลาแล้ว เพียงประเด็นหนึ่งเท่านั้น นอกนั้นก็ให้ฝ่ายรับผิดชอบพิจารณากันไปเอง คือ การนิรโทษกรรม  ซึ่งผมคิดว่าขณะนี้ ทางคอป.และหลายฝ่ายคงไม่เห็นด้วยกับการนิรโทษกรรมผู้ที่เป็นแกนนำ  ผู้ที่เป็นตัวการสำคัญทั้งหลาย    

แต่สิ่งที่น่าสนใจ คือ จากเหตุการณ์ 6 ตุลา ถึงแม้จะมีการนิรโทษกรรมตัวเองของผู้มีอำนาจ  แต่ผู้ที่ได้รับอานิสงส์ไปด้วย คือ ประชาชนทั่วๆไป  เพราะ ฉะนั้นในขณะนี้ หากจะศึกษาในกรณี 6 ตุลาและนำแง่มุมที่เป็นประโยชน์มาใช้คือ ควรจะมีการนิรโทษประชาชนที่ไม่ใช่แกนนำทุกฝ่ายไปก่อน  ส่วนกระบวนการศึกษาที่จะนิรโทษส่วนอื่นอย่างไร ต้องใช้เวลา

 ข้อ เสนอที่ 3 ในกรณีที่เห็นว่า มีเรื่องที่จำเป็นต้องทำ แต่ยังเห็นแตกต่างกัน เช่น การแก้รัฐธรรมนูญ รวมถึงการปรับปรุงกระบวนการยุติธรรม ปรับปรุงบทบาทองค์กรอิสระ เมื่อยังมีความเห็นต่างกัน  ควรมีกระบวนการรับฟัง แลกเปลี่ยนความเห็น และอาศัยประชามติมาหาข้อยุติ  แต่ ที่ผมเห็นต่างจากคอป.เรื่องที่จำเป็นต้องทำและเห็นต่างกันนี้ ควรจะเร่งดำเนินการให้ได้ข้อยุติโดยเร็ว ไม่ใช่เรื่องระยะยาว ไม่รู้ว่ากี่ปีจะทำ ซึ่งจะทำให้ความขัดแย้งและวิกฤตปะทุขึ้นมาได้อีก 

ตามหาแพะกันหย่าย




        “เดินหน้าผ่าความจริง ใครบงการคนชุดดำ รับจ้างฆ่าประเทศไทย” อีเวนท์แรงๆตามสไตล์พรรคประชาธิปัตย์ ที่มีโปรแกรมจัดกันในวันเสาร์ที่ 13 ต.ค. นี้ ที่อาคารสโมสรพลเมืองอาวุโสแห่งเมืองกรุงเทพฯ (ลุมพินีสถาน) สวนลุมพินี งานนี้จัดเต็ม มีถ่ายทอดสดผ่านทีวี.สีฟ้าที่พรรคประชาธิปัตย์ปฏิเสธว่าไม่เกี่ยวข้องทางช่องบลูสกาย

     นอกจากการปราศรัยของบรรดาขุนพลที่ถูกยกย่องว่าเป็นคนฝีปากกล้าแล้ว ในงานยังมีการเปิดตัวหนังสือ “ความจริงไม่มีสี”  หนังสือนี้เขียนโดยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ผู้นั่งเป็นนายกรัฐมนตรีในช่วงที่มีการปราบปรามประชาชนกลางเมือง

       การปราศรัยมีชื่อบุคคลและหัวข้อเรื่องที่น่าสนใจ นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน รองหัวหน้าพรรค พูดหัวข้อ  “เวทีประชาชนผ่าความจริง เวทีของความจริง” นายกรณ์ จาติกวณิช อดีตรัฐมนตรีคลัง พูดหัวข้อ “ผลกระทบเหตุการณ์รุนแรงปี 53 ต่อคนไทย” นายกษิต ภิรมย์ อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศ พูดหัวข้อ “มุมมองประชาคมโลกต่อเหตุการณ์ชุมนุมปี 53” ที่ถูกวางเอาไว้เป็นไฮไลท์ของงานคือ หัวข้อ “ความมีจริงของคนชุดดำ” ที่จะขึ้นพูดโดยนายสาธิต ปิตุเตชะ ส.ส.ระยอง

       จากนั้นต่อด้วยหัวข้อ “การชุมนุมรุนแรงกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ” รับผิดชอบโดยนายวิทยา แก้วภราดัย ส.ส.นครศรีธรรมราช นายบัญญัติ บรรทัดฐาน รองประธานสภาที่ปรึกษาพรรค มาในหัวข้อ “สาระในรายงาน คอป.” ขาดไม่ได้คือวอลเปเปอร์ นายศิริโชค โสภา ส.ส.สงขลา พูดหัวข้อ “ข้อเท็จจริงสำคัญในเหตุการณ์รุนแรง” นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ ทีมกฎหมายพรรค พูดหัวข้อ “หยุดบิดเบือนกระบวนการยุติธรรม”

       ปิดท้ายด้วยผู้เกี่ยวข้องโดยตรงกับเหตุการณ์ที่ทำให้มีคนตาย 98 ศพ บาดเจ็บกว่า 2,000 คน นายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรีและอดีตผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ผู้ที่ยืดอกรับว่าทุกคำสั่งเป็นคนลงนามเอง จะมาในหัวข้อ “ความสูญเสียจากเหตุการณ์รุนแรง”

       พระเอกของงานอย่างนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ มาพูดก่อนปิดงานหัวข้อ “เปิดใจเหตุการณ์รุนแรงปี 53” ยังไม่นับรวมนิทรรศกาลภาพถ่าย คลิปวิดีโอในคอนเซ็ปต์ “ฉีกหน้ากากจอมบงการ” และก่อนหน้าเวทีปราศรัยวันศุกร์ที่ 12 ต.ค. จะมีกิจกรรมตามหาชายชุดดำ โดยลงพื้นที่ 5 จุดที่รายงานของ คอป. ระบุว่าพบชายชุดดำก่อความรุนแรง นอกจากนี้ยังเล็งขยายการจัดงานไปตามต่างจังหวัด ประชาธิปัตย์จัดเต็ม จัดหนัก จัดแน่น
นับเป็นการดิ้นรนครั้งใหญ่ก่อนที่พนักงานสอบสวนของดีเอสไอจะตั้งข้อกล่าว หาต่อนายอภิสิทธิ์และนายสุเทพ “พยายามฆ่า หรือฆ่าคนตายโดยเจตนา” เพราะเล็งเห็นผลจากการปฏิบัติในการออกคำสั่ง

      ความจริงพรรคประชาธิปัตย์ชี้แจงเรื่องนี้มานานแล้ว ทั้งชี้แจง ทั้งกล่าวหาฝ่ายตรงข้ามอย่างรุนแรงในช่วงที่เป็นรัฐบาล มีสื่อของรัฐอยู่ในมือ ตั้งเวทีปราศรัยโค้งสุดท้ายของการเลือกตั้งเมื่อปี 2554 ที่แยกราชประสงค์ มีทั้งบีบน้ำตา ร่ำไห้ สะอึกสะอื้น แต่ยังแพ้เลือกตั้งเพราะคนส่วนใหญ่ไม่เชื่อถือ ครั้งนี้คดีความเริ่มใกล้ตัวจึงต้องออกแรงดิ้นรนสร้างความชอบธรรมให้ตัวเอง ทั้งๆที่ครั้งหนึ่งเรียกร้องฝ่ายตรงข้ามว่าอย่าจัดชุมนุม อย่าจัดปราศรัย อย่าเคลื่อนไหวนอกสภาขยายความขัดแย้ง ใครมีอะไรให้ไปสู้กันในชั้นศาลตามกระบวนการยุติธรรม พอจะถึงคิวตัวเองบ้างกลับเลือดเข้าตา ยอมทำในสิ่งที่เคยขอไม่ให้คนอื่นทำ
ก็เหมือนกับการร้องตะโกนถามหาจริยธรรมจากคนอื่น เช่น กรณีนายยงยุทธ วิชัยดิษฐ และอีกหลายกรณี แต่ไม่เคยมองดูจริยธรรมของตัวเอง

“หลักการ” ที่แท้จริงอยู่ตรงไหน

หรือ “หลักการ” คืออะไรก็ได้หากเป็นฝ่ายได้ประโยชน์ และทำให้ตัวเองพ้นผิด

“ความรับผิดชอบทางการเมืองต้องสูงกว่าความรับผิดชอบทางกฎหมาย”

ใครเอ่ย? เคยพูดไว้

อีเวนท์ “ตามหาชายชุดดำ” จึงเป็นแค่อีเวนท์ตามหา “แพะ” มารับบาปแทนใช่หรือไม่?

"ดารุณี" เดือด! โต้ "ครูสาว" ยืนยัน "จะดำเนินคดีถึงที่สุด"

"ดารุณี" เดือด! โต้ "ครูสาว" ยืนยัน "จะดำเนินคดีถึงที่สุด"

http://www.youtube.com/watch?v=rB6ruqdiceM&feature=player_embedded
        go6TV (วันที่ 11 ตุลาคม2555) นางดารุณี กฤตบุญญาลัย ไฮโซเสื้อแดงให้สัมภาษณ์พิเศษแก่โกซิคทีวี ตอบโต้ อดีตครูสาวโรงเรียนนานาชาติ วนัสนันท์ หนูคำ ที่กล่าวหมิ่นประมาทคุณดารุณี กฤตบุญญาลัยกลางห้างสรรพสินค้า โดยครูสาวดังกล่าวยังไม่สำนึกผิด โดยกล่าวซ้ำในคลิปดังกล่าวว่า “ตนนั้นไม่ผิด ตนรักในหลวงและเชื่อว่านางดารุณีด่าในหลวงจริงๆ”

         นางดารุณี กฤตบุญญาลัยได้กล่าวว่า  ดิฉันไม่ต้องการมาตอบโต้วิธีนี้ แต่ดิฉันก็ต้องทำ คุณมาด่าดิฉันกลางห้างสรรพสินค้า หมิ่นประมาทดิฉันต่อคนทั้งห้างว่าดิฉันพูดหมิ่นฯ คุณอ้างว่าดูจากคลิปทั่วๆป ใช่ค่ะ ดิฉันขึ้นเวทีเสื้อแดงร้องเพลงบนเวที  หากหญิงคนนั้นฟังดิฉันตั้งแต่ต้นจนจบ คุณจะรู้ว่าดิฉันไม่เคยพูดหมิ่นหรือทำผิด หากคิดว่าดิฉันไม่จงรักภักดีหรือพูดหมิ่น เชิญเอาคลิปทั้งหมดที่คุณมีไปแจ้งความได้เลย  หากเป็นคลิปจริงดิฉันยินดีให้คุณดำเนินคดี หากไม่ใช่คลิปจริง เป็นคลิปที่ตัดต่อมาใส่ร้ายดิฉัน ดิฉันก็จะฟ้องคุณ

         หนูอ้างว่าหนูรักในหลวง  ถ้าเรารักต่อสถาบันแสดงออกได้หลายรูปแบบ ไม่จำเป็นต้องแสดงออกพูดออกมา แต่ควรแสดงออกด้วยการทำความดี แต่ไม่ใช่แสดงความรักสถาบันออกมาจากการด่าคนอื่น  ความรักต้องแสดงออกมาด้วยความอ่อนโยนไม่ใช่บอกคนอื่นว่าตนรักสถาบันแต่ด่าคนอื่น มันไม่ใช่ความรัก”

        นางดารุณียังย้ำอีกว่า “ในกรอบของกฎหมายนั้น  หนูหมิ่นประมาทแล้ว หนูทำผิดไปแล้ว และหนูเป็นคนที่ก่อให้เกิดความขัดแย้งขึ้นแล้ว จนเชียร์หนูจนแทบกลายเป็นจลาจล หนูรู้ไหม ว่าทนายความของหนูขู่ออกมาว่า หากดำเนินคดีกับหนู จะก่อความวุ่นวายให้มีคนตาย”

       สุดท้ายนางดารุณียืนยันว่า “หนูพูดถึงครอบครัวหนูอย่างน่าสงสาร แต่ครอบครัวป้าดาโดนผลกระทบอย่างมหาศาลจากข้อความใส่ร้ายของหนู ดังนั้นดิฉันจึงยืนยันว่าจะดำเนินคดีจนถึงที่สุด”
อ้างอิง

คลิปที่ “วนัสนันท์” เผยแพร่ก่อนหน้านี้

มนัสนันท์ โผล่แล้ว!!! อ้างไปกบดานเกาหลี ยืนยันคำเดิม "ด่าในหลวงทำไม?"

สลิ่มสะดุ้ง!!! "บก.ลายจุด" สวดยับ "พวกที่ชอบอ้างรักในหลวง แต่ไม่สร้างสรรค์"


วิธีคิดยังไม่พัฒนา

"พานทองแท้" สับ "อภิสิทธิ์" เละ!!! ระบุ "วิธีคิดยังไม่พัฒนา"

11 ตุลาคม 2555 go6TV - ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชายของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้โพสต์ข้อความผ่านทางเฟซบุ๊ก Oak Panthongtae Shinawatra ถึงกรณีที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อมวลชนยุให้รัฐบาลเอาเงินไปแจกชาวนาทดแทนการจำนำข้าว โดยนายพานทองแท้ ได้ตำหนิ นายอภิสิทธิ์ ว่า "วิธีคิดยังไม่พัฒนา" รวมทั้งถามกลับไปที่นายอภิสิทธิ์ว่าการนำเงินไปแจกชาวนา ดีกว่าการจำนำข้าวอย่างไรบ้าง...

ทั้งนี้ นายพานทองแท้ โพสต์ข้อความดังต่อไปนี้



'อภิสิทธิ์'แนะรัฐเอาเงินแจกชาวนา แทนรับจำนำข้าวให้ประเทศเสียหาย

อภิสิทธิ์ : “ผมยืนยันว่าถ้าแต่ละปีเราจะต้องเสียเงิน 1.5 แสนล้านช่วยชาวนา ผมอยากให้ใช้วิธีเอาเงินจำนวนนี้แจกเฉลี่ยให้ชาวนาไปเลย จะได้ไม่สร้างความเสียหายให้กับประเทศในด้านอื่น ผมขอถามรัฐบาลว่า ถ้ายืนยันว่า รักชาวนา รักเกษตรกร พร้อมจะสูญเงิน 1.5 แสนล้าน ทำไมไม่ใช้วิธีเอาเงินจำนวนนี้แจกให้เกษตรกรชาวนาไปเลย" 
นี่คือไฮไลท์ที่ ยืนยันเจตนารมณ์ ของหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ตามข่าว"ไทยรัฐออนไลน์"นี้ครับ

http://www.thairath.co.th/content/pol/297560 

ผม อ่านข่าวแล้วอึ้งเลยครับ ไม่รู้จะพูดยังไงดี ไม่ทราบว่าที่เขาพูดแบบนี้ เป็นการกระแนะกระแหน? หรือเขาเข้าใจแบบนี้จึงเสนอให้นำเงินไปแจก? แต่ไม่ว่าจะอย่างไรผมว่า คนเป็นถึงอดีตนายกฯและผู้นำฝ่ายค้าน ก็ไม่น่าที่จะพูดหรือมีวิธีคิดแบบนี้

ประเด็น กระแนะกระแหน ไม่ต้องพูดถึงครับ เด็กอมมือมันยังรู้ว่า คนเป็นถึงผู้หลักผู้ใหญ่ของบ้านเมืองนั้นไม่ควรทำ แต่การให้นำเงินไปแจกชาวนา ใครมีข้าว1เกวียนรัฐบาลแถมให้อีก7พันบาท ใครมีข้าว10เกวียนรัฐบาลแถมให้อีก70,000บาท เฮ้อออ!!! เอาสมองส่วนไหนคิดเนี่ย?

คน ที่มีความรู้ด้านเศรษฐศาสตร์ กับคนที่รู้เรื่องการคำนวณอย่างเดียว มันต่างกันแบบนี้แหละครับ การจำนำข้าวใช้หลักเศษฐศาสตร์บวกกับการตลาดขั้นพื้นฐาน เข้าใจในเรื่องดีมานด์-ซัพพลาย ข้าวไทยก็มีโอกาสราคาดีขึ้นได้ จะเป็นหนึ่งหมื่น, หมื่นสอง, หมื่นห้าหรือมากกว่านั้น ก็ถือเป็นโอกาสของชาวนาไทย และเป็นรายได้เข้าประเทศ ไม่ใช่รวยกระจุกเฉพาะนายทุน แต่เงินจะกระจายไปยังชาวนาทั่วทั้งประเทศ

ส่วน วิธีที่นายอภิสิทธิ์ฯเสนออย่างเข็มแข็ง โดยถึงกับใช้คำว่า "ผมยืนยันว่า...ผมอยากให้....แจกเงินชาวนาไปเลย"นั้น วิธีคิดมิได้ต่างจากเช็คช่วยชาติแจกหัวละ2,000บาทเลยครับ อธิบายง่ายๆ ก็คือการประกันราคาข้าว ที่15,000บาทนั่นแหละ หักราคาโรงสีรับซื้อตันละ8,000 ที่เหลือก็แจกชาวบ้านไป7,000 เด็กที่เรียนคำนวณบวกเลข4-5หลักเป็นก็คิดเป็นครับแบบนี้

อุปมา ก็คล้ายๆกับ ที่เขาบอกกันว่า "คุณจะแจกปลากับชาวบ้าน หรือคุณจะสอนชาวบ้านให้จับปลา" นั่นแหละครับ แต่นี่พรรคเพื่อไทยเขา Advance ไปถึงขั้น "ทำอย่างไร ให้ขายปลา ได้ราคาดี" กันแล้ว ถ้ายังไม่พัฒนาวิธีคิดกันอยู่ละก็ ตามพรรคเพื่อไทยเขาไม่ทันหรอกครับ

อาจารย์ อะไร ดิศดิศ ที่ออกมาทั้งค้านทั้งยื่นคำร้องต่อศาลรธน. ไหนท่านลอง วิพากษ์ แนวความคิด แจกเงินดีกว่าจำนำข้าว ของนายอภิสิทธิ์ฯ ให้ฟังแบบเป็นกลางหน่อยซิครับว่า มีข้อดีอย่างไร และท่านเห็นด้วยหรือไม่อย่างไร

เอาแบบเป็นกลางทางการเมืองนะครับ ไม่ใช่กลางใจพรรคประชาธิปัตย์......!!!


ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า มีผู้ใช้งานอินเตอร์เน็ตจำนวนมาก ต่างแสดงความเห็นไปในทิศทางเดียวกันกับนายพานทองแท้ อาทิ "อภิสิทธิ์หัวมีแต่ขยะจริงๆ เอาเงินแจกแล้วจะเอาข้าวที่ไหนกิน ไม่มีคนปลูก รอเงินแจกดีกว่า หรือต้องซื้อข้าวนำเข้าแทน" และ "ให้มันไปรับโทษ 91 ศพก่อนละกันคับ ถ้ายังไม่รับผมก็ยังไม่เชื่อขี้หน้ามันหรอก" เป็นต้น

"นักข่าวอัลจาซีรา" ยืนยัน "ไม่เห็นชายชุดดำ" คืน 10 เม.ย.


        go6TV (วันที่ 11 ต.ค.2555)  ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ผู้สื่อข่าว "ข่าวสด" รายงานว่า นายเวย์น์ เฮย์  ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวอัลจาซีรา ประจำกรุงเทพ เดินทางเข้าพบ พ.ต.อ.ประเวศน์ มูลประมุข รองอธิบดีดีเอสไอ ในฐานะหัวหน้าคณะพนักงานสอบสวนคดี 98 ศพ  เพื่อให้ปากคำคดีเหตุการณ์ความรุนแรงทางการเมืองที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 10 เม.ย.ที่บริเวณสี่แยกคอกวัว พร้อมกับนำภาพถ่ายและคลิปเหตุการณ์ดังกล่าวมาให้นายเฮย์ ตรวจสอบ เนื่องจากภาพในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมีการระบุว่า ถ่ายโดยผู้สื่อข่าวของสำนักข่าวอัลจาซีรา ซึ่งปรากกฎภาพชายชุดดำถือปืนยาว และคลิปภาพขณะที่กลุ่มชายชุดดำยิงปืนและมีลูกไฟออกมาจากปากกระบอกปืน


           โดยหลังจากนายเฮย์ตรวจสอบภาพคลิปดังกล่าวแล้วได้ปฎิเสธว่า ตนเองไม่ได้เป็นผู้ถ่ายคลิปดังกล่าวไว้ และได้ให้การว่า ตนเองเข้าไปทำข่าวการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงตั้งแต่เริ่มมีการชุมนุมเมื่อเดือนมีนาคมปี 2553 และเหตุการณ์ชุมนุมเมื่อวันที่ 10 เม.ย.ซึ่งทางสำนักข่าวอัลจากซีราได้ส่งนักข่าว 1 คนและช่างภาพอีก 4 คนเข้าร่วมทำข่าวในวันเกิดเหตุ โดยตนเป็นผู้รายงานข่าวเหตุการณ์ส่งเข้าไปยังสำนักข่าวเท่านั้น ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับฝ่ายช่างภาพ และในบริเวณแยกคอกวัวที่ตนเข้าไปสังเกตการณ์และทำข่าวในวันนั้น ไม่เห็นชายชุดดำถือปืนยาวแต่อย่างใด


           ขณะที่พ.ต.อ.ประเวศน์ กล่าวว่า การเชิญผู้สื่อข่าวสำนักข่าวอัลจาซีรามาให้ปากคำเนื่องจากต้องการทราบว่าชายชุดดำที่ปรากฎภาพในคลิปเมื่อวันที่ 10 เม.ย.นั้นนายเฮย์เป็นผู้ถ่ายหรือไม่ ซึ่งได้รับการปฎิเสธ ดังนั้นดีเอสไอจึงต้องประสานไปยังสำนักงานใหญ่ของสำนักข่าวอัลจาซีราเพื่อค้นหาตัวบุคคลที่ถ่ายภาพชายชุดดำต่อไป 

กสทช. ลุ้นศาลปกครองจะล้ม 3G ไหม? ยืนยันเดินหน้าประมูล 16 ตุลาตามเดิม

        go6TV (วันที่ 12 ต.ค.2555) แหล่งข่าวรายงานว่า สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ กสทช. เปิดเผยว่า หลังจากก่อนหน้าทางกสทช.คาดว่า ในช่วงบ่ายของวันนี้ ศาลปกครองกลางน่าจะมีคำสั่งว่าจะรับคำร้องไต่สวนฉุกเฉินเพื่อคุ้มครองชั่ว คราว หรือไม่ กรณีที่นายอนุภาพ ถิรลาภ นักวิชาการอิสระ ด้านโทรคมนาคมฟ้องให้คณะกรรมการกสทช. แก้ไขหลักเกณฑ์การประมูลใบอนุญาต 3 จี นั้น ล่าสุดแหล่งข่าวระบุว่าอาจจะไม่มีคำสั่งลงมาแล้ว

ก่อน หน้านี้นายฐากร ตัณฑสิทธิ์ เลขาธิการ กสทช. เปิดเผยว่า กสทช. ได้จัดชี้แจงรายละเอียดการเปิดประมูลใบอนุญาตโครงข่ายโทรศัพท์ระบบ 3 จี ให้ตัวแทน 3 บริษัทที่เข้าประมูลแล้ว จากนั้น จะจับฉลากว่าบริษัทใดจะเป็นผู้เข้าชมสถานที่ประมูล และพรุ่งนี้ (13 ต.ค.55) และในอาทิตย์ที่ 14 ต.ค. ตัวแทนผู้เข้าประมูลทั้ง 3 ราย จะทดสอบการใช้อุปกรณ์ ก่อนจะถึงวันที่ 16 ตุลาคม ซึ่งเป็นวันประมูล

ทั้ง นี้ กสทช .พร้อมทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นระบบการประมูล ระบบสำรอง ระบบรักษาความปลอดภัย และเตรียมเสนอที่ประชุมกสทช. ประกาศให้วันที่ 16 ตุลาคม เป็นวันหยุดเฉพาะสำนักงานกสทช. ส่วนกลาง ตามมาตรการรักษาความปลอดภัย หากการประมูลยืดเยื้อจากวันที่ 16 ตุลาคม อาจขยายวันหยุดเพิ่มเติมตามสถานการณ์ พร้อมได้ขอกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจและทหาร ดูแลความปลอดภัยระหว่างการประมูลด้วย
 

ฉะกันเละ!!! "บลูสกาย" ฟ้อง ASTV

ฉะกันเละ!!! "บลูสกาย" ฟ้อง ASTV ป้ายสีใช้เงินโกงตั้งทีวี สาวกซัดกันนัว

           13 ตุลาคม 2555 go6TV - สถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมบลูสกาย กระบอกเสียงพรรคประชาธิปัตย์ เตรียมฟ้องร้องดำเนินคดีกับสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม ASTV และสื่อในเครือผู้จัดการ ASTV ผู้จัดการ หลังจากที่นายสนธิ ลิ้มทองกุล ออกอากาศและเผยแพร่เนื้อหาโจมตีสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมบลูสกายว่าใช้เงิน โกงตั้งทีวี นอกจากนี้ ผู้บริหารสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมบลูสกายยังท้า ให้ ASTV ตรวจสอบสถานะทางบัญชีว่าโปร่งใส

นายวิทเยนตร์ ผู้บริหาร BlueSky ยืนคู่กับ
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย

          ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายวิทเยนตร์ มุตตามระ ผู้จัดการสถานีโทรทัศน์ดาวเทียมบลู สกายแชนแนล โพสต์ เฟสบุ๊คส่วนตัว ระบุเตรียมฟ้องร้องดำเนินคดี นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และ "สถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม ASTV-ผู้จัดการ" หลังจากกล่าวหาว่าสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมบลูสกายก่อตั้งขึ้นมาด้วยเงิน ทุจริตคอร์รัปชั่น โดยนายวิทเยนตร์ ระบุว่ามีความพยายามใส่ร้ายป้ายสีบลูสกายแชนแนลว่าก่อตั้ง มาจากเงินที่มาจากการทุจริตคอร์รัปชั่น การกล่าวหาเช่นนี้ทำให้บลูสกายแชนแนลได้รับความเสียหาย เสื่อมเสียชื่อเสียง

           ทั้ง นี้ นายวิทเยนตร์ ยังอ้างด้วยว่าบลูสกายแชนแนลเป็นสถานีโทรทัศน์ดาวเทียมที่มุ่งมั่นนำเสนอ ข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้องแก่สังคมและร่วมเสริมสร้างค่านิยมที่ดี มีจุดยืนชัดเจนต่อสู้กับความไม่ถูกต้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชั่นทุกรูปแบบ

           "ผม ในฐานะกรรมการผู้จัดการบลูสกายแชนแนล จะทำหน้าที่ปกป้องชื่อเสียงของบลูสกายแชนแนลด้วยการปรึกษาทีมกฏหมายเพื่อ ดำเนินการฟ้องร้องดำเนินคดีกับผู้ที่ใส่ร้ายป้ายสีบลูสกายแชนแนลให้เสื่อม เสียชื่อเสียงต่อไป"

          สำหรับ เงินลงทุนของบลูสกายแชนแนลนั้นมีการบันทึกทางบัญชีที่ถูกต้องตามมาตรฐานทาง บัญชีทุกประการ พร้อมที่จะได้รับการตรวจสอบทุกเวลา นายวิทเยนตร์กล่าว

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ส่งสายตาถึงกันบ่อยครั้ง

         ทั้ง นี้ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า กลุ่มแฟนคลับคู่กรณีทั้ง 2 สถานีแม้จะมีไม่มากนัก แต่ก็โพสต์ความเห็นด่าทอและโจมตีกันอย่างต่อเนื่องทั้งในโซเขี่ยลเน็ตเวิร์ค และกระดานสนทนาสาธารณะด้วยถ้อยคำหยาบคายและรุนแรงอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน และแฟนเพจสายตรงภาคสนาม กระบอกเสียงในโลกออนไลน์พรรคประชาธิปัตย์ก็ร่วมโจมตี ASTV ผู้จัดการด้วยเช่นกัน สร้างความประหลาดใจให้กับผู้ใช้งานอินเตอร์เน็ตเป็นจำนวนมาก

รุมยิงนกในกรง

"พล.อ."ซัดบทความทหาร สลายม็อบ"รุมยิงนกในกรง"

หมาย เหตุ - มีผู้ส่งอีเมล์ผ่านเว็บไซต์ www.rajdumnern.net ถึงนางธิดา ถาวรเศรษฐ ประธานกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เมื่อวันที่ 6 ตุลาคมที่ผ่านมา โดยแนบสาส์นของนายทหารราบระดับนายพลผู้หนึ่งที่เขียนลงเว็บบอร์ดของอดีตนัก เรียนเตรียมทหารรุ่น 11 แสดงความไม่พอใจบทความเรื่อง "7 บทเรียนยุทธการกระชับวงล้อมพื้นที่ราชประสงค์ 14-19 พฤษภาคม พ.ศ.2553" ซึ่งตีพิมพ์ในวารสารเสนาธิปัตย์ กรมยุทธศึกษาทหารบก ปีที่ 59 ฉบับที่ 3 กันยายน-ธันวาคม 2553 โดยวิจารณ์บทความดังกล่าวว่าเป็นการอวดโอ้แผนการสังหารประชาชนมือเปล่า เปรียบเหมือนการ "รุมยิงนกในกรง"

            ผมขออนุญาตเพื่อนๆ อีกครั้งหนึ่งครับ ด้วยที่ผมคงต้องเขียนอะไรแรงๆ ลงไปในตอนนี้ เนื่องจากความรู้สึกที่อดสูและสมเพชในบุคคลหลายคนที่ไม่ควรจะเป็นได้ถึง ตำแหน่งเหล่านั้น ทั้งพี่และน้องเหล่านั้นพูดเหมือนกันว่า "มันเป็นทหารกันหรือเปล่าวะ" สามารถออกคำสั่งให้ผู้ใต้บังคับบัญชาใช้อาวุธสงครามที่จัดหามาจากภาษีอากร ของประชาชน สังหารประชาชนมือเปล่า แล้วยังมีหน้ามาวิเคราะห์บทเรียนจากการปฏิบัติการนั้นว่าสำเร็จอย่างเลอเลิศ สรรเสริญและชื่นชมกันราวกับ "วีรบุรุษสงคราม" ผู้พิชิตชัยชนะในสงครามเต็มรูปแบบกับประชาชน ภายในชาติของตนเองที่มีแต่มือเปล่า และเต็มไปด้วยเด็ก ผู้หญิง และคนแก่

           ผม มีความภาคภูมิใจมากในอดีตที่เคยดำรงตำแหน่งสำคัญอยู่ในทั้ง 2 หน่วยนี้ คืออาจารย์อำนวยการส่วนวิชายุทธวิธี รร.เสนาธิการทหารบก และก่อนหน้าที่จะเป็นพลเอกนี้ผมเป็นเจ้ากรมยุทธศึกษาทหารบก เป็นตำแหน่งที่เขาขนานนามกันว่า "ครูใหญ่ของกองทัพบก" ผมไม่เคยแม้แต่จะคิดว่าหน่วยที่ผมภาคภูมิใจจะทำเอกสารทางวิชาการออกมาได้แบบ นี้

           ผมอยากจะถามว่า พวกท่านมีความรู้สึกเป็นวีรบุรุษและมีความภาคภูมิใจมากนักหรือกับความเป็นจริงเหล่านี้

           1. ท่าน ใช้กำลังทหาร 4 กองพล ซึ่งเท่ากับ 1 กองทัพน้อย (corps) ที่กองทัพ US ใช้เป็น Main effort (ME) ในการขับไล่กองทัพอิรักออกจากการยึดครองประเทศคูเวต แต่พวกท่านเอามาใช้ล้อมปราบประชาชน ที่ไม่มีอาวุธ และเต็มไปด้วยเด็ก ผู้หญิง และคนแก่

           2. ท่านใช้พลซุ่มยิงทั้งกองทัพ รุมยิงเป้าหมาย ผู้ชุมนุม ที่ถูกล้อมอยู่ ดุจดังยิงนกในกรง

           3. ท่าน ประกาศว่าเป็นการทำสงครามเต็มรูปแบบกับประชาชน ภายในชาติ ด้วยกำลังรบผสมเหล่า ทั้งทหารราบ ทหารม้า ยานเกราะ หน่วยบิน พลซุ่มยิง หน่วยรบพิเศษ หน่วยส่งทางอากาศ ขาดแต่อาวุธปืนใหญ่ นี่ยังไม่นับหน่วยข่าวกรองอีกจำนวนมาก

          4. ท่านมีความภูมิใจว่ามีการวางแผนประณีต มีการซักซ้อมกันมาเป็นอย่างดี

          5. ท่าน ให้ข้อมูลที่ทำให้แน่ใจได้ว่ามีการสมรู้ร่วมคิดกันระหว่างฝ่ายการเมืองและ ฝ่ายทหารเป็นอย่างดี เพราะทั้งรัฐบาลและกองทัพมีความเป็นเอกภาพ มีการสั่งและควบคุมการปฏิบัติการอย่างสมบูรณ์แบบตามลำดับสายการบังคับบัญชา

          6. ท่านชี้ให้เห็นถึงการใช้กระสุนจริงเป็นผลดีต่อขวัญและกำลังใจของทหาร โดยเฉพาะมีการประกาศเขตการใช้กระสุนจริง ใน down town ของ กทม.

              ผม คิดว่าท่านกำลังจะทำให้นายทหารรุ่นหลังๆ เข้าใจผิดไปว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเหล่านี้เป็นเรื่องที่ถูกต้อง เป็นบทบาทและหน้าที่ของทหารของชาติอย่างแท้จริง หรือก็เพราะไอ้ชัยชนะแบบนี้เองหรือเปล่าที่ทำให้หลงคิดว่ารบเก่งกันทั้งกอง ทัพอยู่ทุกวันนี้ เคยคิดในมุมมองอื่นกันบ้างหรือไม่ว่า เหตุการณ์นี้ต้องทำบทเรียน แน่นอน แต่ทำอีกด้านหนึ่ง คือวิจารณ์ว่าจะทำอย่างไรไม่ให้เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นได้อีก และถ้ามันเริ่มมีอาการเราจะหยุดอาการเหล่านั้นตั้งแต่แรกอย่างไร

             บท วิเคราะห์ของ ยศ.ทบ. กรณีนี้ไม่ได้ให้อะไรแก่สังคม นอกจากการขยายช่องว่างของความขัดแย้งและความแตกแยกในสังคมไทยให้มากขึ้นไป อีก และได้คิดกันบ้างหรือเปล่าว่า ข้อเท็จจริงที่ท่านเอามาเป็นหลักฐานในการวิเคราะห์นั้น มันจะกลับมาเป็นพยานหลักฐานว่า บรรดาฝ่ายการเมืองและผู้นำทหารกล่าวเท็จกับสาธารณชนไว้อย่างไรบ้าง แล้วมันจะนำไปฟ้องร้องเป็นคดีความกันได้มากน้อยขนาดไหน

             ที่สำคัญเป็น อย่างยิ่ง คือ มันเป็นการยอมรับกับผู้ชุมนุมว่ารัฐบาลไม่เคยมีความมุ่งหมายในการเจรจานอก จากการสลายการชุมนุมเท่านั้น จึงเท่ากับส่งสัญญาณให้ฝ่ายชุมนุมตระหนักว่า ในการชุมนุมครั้งต่อไปไม่ว่าจะชุมนุมด้วยความสงบและปราศจากอาวุธหรือไม่ พวกเขาจะต้องถูกปราบปรามด้วยความรุนแรงและด้วยกำลังทหารแน่นอน ดังนั้นจะเป็นอะไรไปถ้าพวกเขาจะนำอาวุธประจำบ้านตามมีตามเกิดติดตัวมาด้วย เพื่อป้องกันตนเอง แล้วอะไรมันจะเกิดขึ้น ผมไม่อยากนึกถึงภาพเลย

             (ปกปิดชื่อเพื่อความเป็นส่วนตัว)
           
             พลเอก, ทหารราบ

                 30 มิ.ย. 54

Source : Webboard Prachatalk











Comment : 

Chalee


  "มันเป็นโศกนาฏกรรมที่คนไทยทุกคนต้องจดจำ....เป็นประวัติศาสตร์อัปยศที่ทหาร ไทยทุกคนต้องเจ็บปวดต่อคำก่นด่าสาปแช่งในการกระทำของเพื่อนร่วมอาชีพ

อย่าง ไรเสีย ก็ไม่เท่าความเจ็บปวดของประชาชนผู้สูญเสีย ทหารบางคนที่เสียชีวิตถ้าคิดให้ดีก็น่าจะสมควรแล้วหรือไม่ เพราะตั้งใจจะมาฆ่าเขา

แต่ ที่เลวชาติที่สุดคือคนที่สั่งการหรือรู้เห็นในการสั่งการให้มาฆ่าประชาชน วางแผนมาเสร็จสรรพเรียบร้อยสร้างเรื่องว่ามีผู้ก่อการร้ายเป็นชายชุด ดำ...แต่จับใครไม่ได้เลย  เลยแก้ตัวไม่ขึ้น โกหกถูกจับได้ยังหน้าด้านแถกไถไม่เลิก..แต่ก็พอเข้าใจได้ว่าเป็นธรรมชาติตาม สันดานของคนพวกนั้น

ถ้า ไม่ได้วางแผนสร้างเรื่องมาล่วงหน้า  ประชาชนมือเปล่าตายศพแล้วศพเล่า บาดเจ็บนับไม่ถ้วน  ผู้สั่งการต้องสั่งหยุดการกระทำอัปยศนั้นแล้ว  แต่กลับยิ่งระดมสรรพกำลังและอาวุธและยังลอบยิงผู้บริสุทธิ์อยู่อย่างต่อ เนื่องทั้งๆที่รู้เห็นกันทั่วโลกว่าในบรรดาคนตายคนเจ็บไม่มีใครมีอาวุธอยู่ ในมือเลย ก็ยังใส่ร้ายป้ายสีอย่างไร้สำนึกของความเป็นคน  นั่นเป็นเพราะไอ้ทรราชฆาตกรใจสัตว์มันจงใจจะทำเช่นนั้น...ใช่หรือไม่??

แต่ นั่นแหละ  กรรมใดใครก่อ  มันต้องได้รับผลอย่างแน่นอน  ไม่ว่ามันจะเป็นใครก็ตาม  แม้กระทั่งไอ้คนที่เห็นดีเห็นงามกับการกระทำชั่วชาติแต่หลับหูหลับตาชื่นชม ว่าเป็นความสำเร็จก็อย่านึกว่าจะรอดพ้น"


ชาดสิริ :

"เลิก ศรัทธาในสีเขียวมาตั้งแต่ 10 เมษา 52 มาเจอประสบการณ์จริงกับตัวเองเมื่อ 17 พ.ค. 53(ถ้าจำวันที่ไม่ผิด) วันนั้นต้องไปสอบที่ ร.ร.ศรีอยุธยา ไปโดยไม่ทราบว่ามีการเริ่มล้อมปราบ ปชช.แล้ว  สงสัยแค่ตอนเช้าขาไปทำไมรถมันติดมาก ตอนผ่านสะพานข้ามถนนตรงราชปรารถ เห็นกองทหารด้านล่างเต็มไปหมด รถก็ติด เราก็รีบกล้วไปสอบไม่ทัน แล้วก็ไม่มีใครรู้เรื่องอะไร กว่าจะสอบเสร็จก็บ่ายแก่ เห็น ตชด.หรือกองปราบ ไม่แน่ใจสวมชุดสีเข้มๆลงมาจากอาคารเรียนที่เป็นที่พัก ในสภาพพร้อม สำหรับเรากว่าจะมีคนมารับกลับบ้านได้ก็เกือบค่ำ (ก็ยังไม่รู้ตัวอยู่ดีว่าอันตรายอยู่รอบตัว  สื่อฟรีทีวี ไม่ออก ไม่เตือนเลย) เหตุผลที่มารับเกือบค่ำคือรถติดและทหารเยอะแยะบิดถนน มาไม่ได้(เริ่มมีการยิงกันแล้ว) รถที่มารับเป็นมอเตอร์ไซด์ เราซ้อนมอเตอร์ไซด์ออกมาทางรางน้ำ  ผ่านราชปรารถ ออกแยกดินแดง  ช่วงราชปรารถเห็นกองทหาร เห็นลวดหนาม เห็นทหารถือปืนพร้อมยิงเต็มถนน  เห็นประชาชนเป็นกลุ่มๆเกาะกันวิ่งหนีทหาร เราซ้อนมอเตอร์ไซด์รู้สึกเสียวสันหลัง ถ้าทหารยิงปืนออกมาเราตายแหงๆ  กลับถึงบ้านจึงเปิดเนต หาที่ออกข่าวถ่ายทอดจากราชประสงค์ ถึงรู้เรื่องแล้วก็เลยติดตามมาจนปัจจุบัน  แล้วก็เห็นภาพข่าวคนตายริมถนน  นักร้องถูกยิงบนคอนโดที่พักของตัวเอง เฮ้อ ถอนหายใจ เรายังโชคดีนะ ตกอยู่กลางวงนรกแท้ๆแต่บุญยังมี เลยรอดปลอดภัยไม่เป็นอันตราย...........

นี่คือประสบการณ์จริง ถึงไม่ตื่นเต้นอะไร  แต่ก็สลดใจกับภาพที่เห็นจริงๆ" 

ฯลฯ ..............


คน :
ถ้ารัฐบาลชุดนี้ ไร้นำยาที่จะนำคนผิดมาลงโทษ  มอบประชาธิปไตยให้แก่ผู้ที่ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย ไม่ได้   

รัฐบาลชุดนี้ ก็ไร้ค่า หมดราคา สำหรับนักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย
 
รายงานพิเศษ เตรียมทหาร 11 วิพากษ์ยุทธการสลายการชุมนุม 9-10-55

"อนันต์ ดาโลดม"จวกยับโครงการรับจำนำข้าว

"อนันต์ ดาโลดม"จวกยับโครงการรับจำนำข้าว


วันอังคารที่ 9 ตุลาคม 2555 เวลา 19:42 น.นสพ.เดลินิวส์


          "อนันต์ ดาโลดม" จวกยับหากรัฐไม่หยุดทำลายชาติ ปล่อยให้ทุจริตมหาศาลในโครงการรับจำนำยังเดินหน้ารับจำนำต่อ ประเทศเจ๊งหมดภายในปี 2 ปีนี้ ร้อง สตง สำนักงบ ปปช.เข้าตรวจสอบโครงการก่อนให้งบโครงการใหม่
วันนี้ (9 ต.ค.) นายอนันต์ ดาโลดม นายกสมาคมพืชสวนแห่งประเทศไทย ในฐานะอดีตประธานกรรมาธิการเกษตรวุฒิสภา เปิดเผยถึงปัญหาทุจริตโครงการรับจำนำข้าวว่าตนได้ต่อสู้ให้ยกเลิกเรื่องการ รับจำนำสินค้าเกษตรมาหลายรัฐบาล แต่รัฐบาลชุดนี้ตนสิ้นหวัง และท้อแท้ เพราะคนที่ออกมาเรียกร้องล้วนแต่เป็นสิ่งที่รัฐบาลต้องรับฟัง นำไปแก้ไข กลับถูกโยนให้ไปเป็นศัตรูของชาวนา และอ้างข้างๆคูๆว่าทำเพื่อประโยนช์เกษตรกร แต่เมื่อมีคนอื่นได้ประโยนช์มากว่าชาวนาชาวไร่เป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่ต้อง เร่งหาทางออก แต่คนในรัฐบาลปลุกระดมให้ออกมาต่อต้านนี่คืออันตรายของประเทศแท้จริง และกำลังทำลายประเทศชาติอีกไม่เกินปี 2 ปีต้องเจ๊งแน่นอน ไม่มีเงินมาใช้ในโครงการต่อไป และเงินสำรองโครงการอื่นๆถูกดูดมาถมให้กับการรับจำนำจนหมด 

            "เรียกร้องให้ สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน สำนักงบประมาณ สำนักงานป้องกันปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ดำเนินการตรวจสอบรายรับ รายจ่ายทั้งหมดของโครงการและเปิดเผยให้สาธารณะชนรับทราบการดำเนินโครงการ ทั้งหมดของรัฐบาล ว่ามีกำไร ขาดทุนเท่าไหร่ ก่อนที่จะจ่ายเงินให้กับรัฐบาลในการนำไปใช้จ่ายโครงการรับจำนำข้าวนาปีและ นาปรังรอบใหม่ ในปี 55/56 ใช้วงเงินเกือบ 2 แสนล้าน หากรวมปี 54/55 ด้วยรัฐบาลใช้เงิน กว่า 5 แสนล้าน แต่การชี้แจงของรัฐบาลที่ผ่านมาไม่น่าเชื่อว่าผู้รับผิดชอบบ้านเมือง ทำงานเกี่ยวข้องคนทั้งประเทศ ไม่ยอมรับความเห็นจากหลายภาคส่วนที่มองเห็นว่าประเทศชาติเสียประโยนช์ โดยรัฐบาลพยายามบิดเบือนว่าผู้ที่มาคัดค้านไม่เห็นอกเห็นใจชาวนา โดยออกมาปลุกเร้าให้ชาวนาลุกฮือเพื่อให้ชาวนาเป็นตัวประกันเพื่อให้โครงการ นี้ยกเลิกไม่ได้"นายอนันต์ กล่าว

            อย่างไรก็ตามหากรัฐบาลจะเดินหน้าต่อ ต้องรู้ปริมาณข้าวที่แท้จริงในสต็อก ตนทราบมาว่ามีการประมูลข้าวแล้วเอามาขายในประเทศแล้วหลายหมื่นตัน ซึ่งหากทำจริงผิดกฏหมายร้ายแรงต้องตัดสิทธิบริษัทนั้นห้ามทำธุรกรรมกับรัฐ อีกต่อไป  และต้องป้องกันรับจำนำข้ามเขต ป้องกันทรุจิต เป็นเรื่องใหญ่มากที่ต้องทำจริงจังไม่ใช่ไปเอารายเล็กๆน้อยมาแสดง 

           "จริงอยู่ชาวนามีปัญหา ในเรื่องต้นทุนการผลิตที่สูงก็ควรไปดูจุดนี้ จัดหาพันธุ์ข้าว ช่วยเหลือลดค่าปุ่ย ดูแลดอกเบี้ยเงินกู้ชาวนาไม่ต้องเสียเลย  ปรับปรุงระบบชลประทาน มีวิธีการอีกมากมายที่พัฒนาช่วยชาวนาอยู่ได้ยั่งยืนและได้ประโยชน์ตกกับ ชาวนาแน่นอนไม่ตกหล่นไปให้พ่อค้า โรงสี เจ้าของโกดัง ที่ได้ประโยนช์มหาศาล ปัญหาคือตัวเลขการส่งออกไม่มีใครทราบ ถ้ามีการส่งออกจริงตัวเลขจากกรมศุลากร ข้อมูลใช้เรือบริษัทไหน วงการข้าวรู้หมด ว่าสิ่งที่รัฐบาลพูดมาเป็นตัวเลขมาได้อย่างไร ฝ่ายเอกชนไปดูข้อมูลไม่มี ในสต็อกไม่มีข้าวเชื่อว่ามีข้าวลมเยอะ จ่ายเงินตามใบประทวน ข้าวไม่มี เอาข้าวราคาถูกจากประเทศเพื่อนบ้าน ลาว เขมรมาสวมสิทธิจำนำในไทย ซื้อมาตันละ 5-6 พันบาทจ ตนรับประกันว่ามีการทุจริตมหาศาล รัฐบาลต้องแก้ไขให้ได้ก่อนเดินหน้าต่อไป" นายอนันต์ กล่าว

-------------------------------
แต่ขอโทษ อนันต์  ดาโลดม   ย้อนไปดูกำพืดพฤติกรรมตัวเองก่อนนะ... 

เลขเสร็จ 309/2526

เรื่อง  ผู้ถูกลงโทษทางวินัยที่จะได้รับการล้างมลทินตามพระราชบัญญัติ ล้างมลทิน ในโอกาสสมโภชกรุงรัตนโกสินทร์ 200 ปี พ.ศ.2526 (กรณีนายอนันต์ ดาโลดม)

                                         ---------

           กรมส่งเสริมการเกษตรมีหนังสือ ลับ ที่ กส.1002/72 ลงวันที่ 21  เมษายน 2526  ถึงสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ความว่า  เนื่องจากกรมส่งเสริม การเกษตรได้มีคำสั่งที่ 1035/2525 ลงวันที่ 16 มิถุนายน 2525 ลงโทษภาคทัณฑ์ นายอนันต์ ดาโลดม ผู้อำนวยการกองพัฒนาการบริหารงานเกษตร ฐานกระทำผิดอัน ได้ชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติชั่วตามมาตรา 81 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ.2518 เพราะได้กระทำอนาจารต่อผู้อยู่ใต้บังคับบัญชา เหตุเกิดเมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2525  และปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้พิจารณาเห็นชอบกับการสั่ง ลงโทษดังกล่าว โดยได้รับทราบการลงโทษภาคทัณฑ์แล้วตามนัยมาตรา 92 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ.2518

          แต่ต่อมาเมื่อกรมส่งเสริมการเกษตรได้รายงานการสั่งลงโทษไปยังสำนักงาน ก.พ.  สำนักงาน ก.พ.ได้มีหนังสือ ลับ ที่ สร.0711/ล 90 ลงวันที่ 10 มีนาคม 2526 แจ้งว่า  ก.พ.เห็นว่าการกระทำของนายอนันต์ ดาโลดม มีมูลเป็นการกระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรงฐานประพฤติชั่วอย่างร้ายแรงตามมาตรา 81 วรรคสองแห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ.2518 

          การที่ผู้บังคับบัญชาสั่งลงโทษ
นายอนันต์ ดาโลดม เพียงภาคทัณฑ์นั้นยังไม่เหมาะสมกับความผิดและไม่ได้มาตรฐานระดับโทษ  แต่เมื่อเรื่องนี้ยังมิได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยอย่างร้ายแรงตามนัยมาตรา 86 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ.2518  ก.พ. จึงลงมติให้รายงานนายกรัฐมนตรีตามมาตรา 8 (5) แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ.2518 เพื่อพิจารณาและสั่งการให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ดำเนินการแต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นทำการสอบสวนนายอนันต์ ดาโลดม ฐานกระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรงตามมาตรา 86 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ.2518 ต่อไป ซึ่งปรากฏว่านายกรัฐมนตรีได้มีคำสั่งให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ดำเนินการตามมติของก.พ.แล้ว  จึงขอให้ดำเนินการตามคำสั่งของนายกรัฐมนตรีตามนัยมาตรา 9 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ.2518 ต่อไป

          แต่โดยที่พระราชบัญญัติล้างมลทินในโอกาสสมโภชกรุงรัตนโกสินทร์ 200 ปี พ.ศ.2526 ได้มีผลใช้บังคับแล้วตั้งแต่วันที่ 12 มีนาคม 2526 และปรากฏว่า ผู้ถูกลงโทษรายนี้ได้กระทำผิดก่อนวันที่ 6 เมษายน 2525 กล่าวคือวันเกิดเหตุได้แก่ วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2525 และได้ถูกลงโทษภาคทัณฑ์ไปแล้วตั้งแต่วันที่ 16 มิถุนายน 2525 กรมส่งเสริมการเกษตรจึงขอให้คณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณาให้ความเห็นว่า ผู้ถูกลงโทษรายนี้จะได้รับการล้างมลทินตามพระราชบัญญัติล้างมลทิน ฯ หรือไม่  และกรมส่งเสริมการเกษตรจะต้องดำเนินการตามคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่สำนักงาน ก.พ.แจ้งมาหรือไม่

          คณะกรรมการกฤษฎีกา (กรรมการร่างกฎหมาย คณะที่ 2) ได้พิจารณาปัญหาดังกล่าวแล้วมีความเห็นว่า  การที่นายอนันต์ ดาโลดม ได้กระทำผิดวินัยในวันที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2525 และกรมส่งเสริมการเกษตรได้มีคำสั่งให้ลงโทษภาคทัณฑ์ในการกระทำผิดนั้นไปแล้วเมื่อวันที่ 16 มิถุนายน พ.ศ.2525  ย่อมถือได้ว่านายอนันต์ ฯ เป็นผู้ถูกลงโทษทางวินัยในกรณีซึ่งได้กระทำก่อนวันที่ 6 เมษายน พ.ศ.2525 และได้ ถูกลงโทษก่อนวันที่พระราชบัญญัติล้างมลทิน ฯ ใช้บังคับ*(1) จึงได้รับการล้างมลทิน ตามนัยมาตรา 5*(2) แห่งพระราชบัญญัติล้างมลทิน ฯ ด้วย  เมื่อนายอนันต์ ฯ ได้รับ

-----------------------------------------------------------------

     *(1) พระราชบัญญัติล้างมลทินในโอกาสสมโภชกรุงรัตนโกสินทร์ 200 ปี พ.ศ.2526 ใช้บังคับเมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2526

     *(2) มาตรา 5  ให้ล้างมลทินให้แก่บรรดาผู้ถูกลงโทษทางวินัยในกรณีซึ่งได้กระทำก่อนหรือในวันที่ 6 เมษายน พ.ศ.2525 และได้ถูกลงโทษหรือลงทัณฑ์ก่อนหรือในวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ  รวมทั้งบรรดาผู้กระทำผิดวินัยที่ได้รับนิรโทษกรรมก่อนหรือในวันที่ 6 เมษายน พ.ศ.2525 แล้ว ไม่ว่าจะได้มีการสอบสวนทางวินัยแล้วหรือไม่ก็ตาม โดยให้ถือว่าผู้นั้นมิได้เคยถูกลงโทษหรือลงทัณฑ์ทางวินัยหรือมิได้กระทำผิดทางวินัย แล้วแต่กรณี

          การล้างมลทินแล้วเช่นนี้  กฎหมายได้บัญญัติรับรองผลของการล้างมลทินไว้ว่า "ให้ถือว่าผู้นั้นมิได้เคยถูกลงโทษหรือลงทัณฑ์ทางวินัย" ฉะนั้น แม้ว่านายกรัฐมนตรีจะได้มีคำสั่งให้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินการแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนนายอนันต์ ฯ ฐานกระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรง ดังปรากฏตามหนังสือสำนักงาน ก.พ. ที่ สร.0711/ล 90 ลงวันที่ 10 มีนาคม 2526 ที่ได้แจ้งให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ทราบก็ตาม ก็ไม่มีผล ทำให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์มีอำนาจดำเนินการประการใด ๆ เพื่อลงโทษ นายอนันต์ ฯ ได้อีกต่อไป

                                                      (ลงชื่อ)  อมร จันทรสมบูรณ์

                                                      (นายอมร จันทรสมบูรณ์)

                                                 เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา

 สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา

รายงาน คอป.ไม่ได้เสนอข้อเท็จจริงทั้งหมด



สมชายรับ รายงาน คอป.ไม่ได้เสนอข้อเท็จจริงทั้งหมด
Posted: 11 Oct 2012 06:10 AM PDT (อ้างอิงจากเวบไซท์ประชาไท)
            สำนักข่าวอิศรา สัมภาษณ์ สมชาย หอมลออ ประธาน อนุกรรมการค้นหาความจริงกรณีการสลายการชุมนุม เมษา-พฤษภา 2553 ซึ่งจากที่ผ่านมาประเด็นดังกล่าวเป็นข้อถกเถียงที่ยังคงหาข้อสรุปไม่ได้ ประชาไทจึงได้นำบทสัมภาษณ์ดังกล่าวมานำเสนออีกครั้ง

*****************************
              การค้นหา “ข้อเท็จจริง” ในเหตุการณ์ความรุนแรง ปี 2553 ยังไม่จบ แม้ว่า “คณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.)” จะปิดรายงานฉบับสมบูรณ์ไปแล้ว 

             โดยเฉพาะ “แกนนำเสื้อแดง-พรรคเพื่อไทย (พท.)” ที่ไม่พอใจ ผลสรุป คอป.อย่างยิ่ง และยื่นเรื่องให้รัฐบาลของเขาไม่ยอมรับรายงานฉบับนี้

            ประเด็น “ชายชุดดำ” ที่ คอป.สรุปว่า มีส่วนสร้างความรุนแรงและสังหาร ไป 9 คน ระหว่างเหตุการณ์ “เม.ย.-พ.ค.เลือด 53” ยังคงร้อนเมื่อฝ่าย นปช.ตอบโต้ว่า ชุดดำไม่มีจริง ถ้ามีแต่ก็เป็นเจ้าหน้าที่รัฐ ขณะที่พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ที่บริหารประเทศครั้งนั้น ก็ใช้รายงาน คอป. ทำกิจกรรมตามล่าหาชายชุดดำต่อไป

            “ทีมข่าวอิศรา” สนทนากับ “สมชาย หอมลออ” อดีตกรรมการ คอป.  ซึ่งรับผิดชอบผลสอบข้อเท็จจริงความรุนแรง 53  

            ล่าสุดเจ้าตัว เดินทางไปชี้แจงกับ คณะกรรมาธิการตำรวจ สภาผู้แทนราษฎร เปิดข้อมูลใหม่ ยืนยันว่า คนชุดดำนอกจากโยงใย พล.ต. ขัตติยะ สวัสดิผล หรือ เสธ.แดง อดีตผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก ยังมีความเกี่ยวพันกันกับทหารพรานค่ายปักธงชัย จ.นครราชสีมา ด้วย

            ทำให้เกิดข้อสงสัยว่า ยังมีข้อมูลอะไรที่ คอป.มีอยู่ในมือ แต่ไม่ถูกเปิดเผยออกมา ???
.......................................................

@ เสียงวิจารณ์ต่อรายงานคอป.ที่
ออกมา สะท้อนอะไร

             ผมขอท้าวความก่อน ในแง่การตรวจสอบค้นหาความจริงและทางทฤษฎี เราก็ระบุชัดเจนว่า ความจริงมันมีหลายชุด แต่สิ่งที่เราทำ เราพยายามรวบรวบรวมความจริงโดย การรับฟังจากทุกฝ่าย ไม่เฉพาะฝ่าย นปช.เท่านั้น เรารับฟังฝ่ายรัฐบาลขณะนั้น สื่อมวลชน นักกิจกรรมด้านสันติวิธี รวมทั้งคนที่อาจเกี่ยวพันกับคนชุดดำด้วย  

            ความจริงที่เราเสนอมีหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ออกมาชุดหนึ่ง และเราก็บอกว่า ความจริงอันนี้มันอาจมีความจริงที่เพิ่มเติมเข้ามาอีกก็ได้ เพราะเหตุการณ์ผ่านไป การรับรู้ของคน การเปิดเผยข้อมูลของคนอาจมีเพิ่มมากขึ้น  ซึ่งเราไม่ได้บอกว่า เราเป็นความจริงหนึ่งเดียวเที่ยงแท้แน่นอน เพราะไม่มีความจริงอะไรที่สมบูรณ์แน่นอน แต่เราคิดว่าทุกคนสามารถโต้แย้งเสนอความจริง พยานหลักฐานเพิ่มเติม แต่ก็ต้องโดยเหตุผลและหลักฐานทางวิทยาศาสตร์

            แต่ที่น่าเสียดายคือ การวิจารณ์รายงาน คอป.ที่ผ่านมาเป็นเรื่องของการใช้อารมณ์ คนจำนวนมากพูดถึงรายงานฉบับนี้โดยที่ยังไม่ได้อ่านเลย เพียงแต่ฟังเขาอีกที และที่น่าเสียใจคือ ในส่วนของนักวิชาการ ผมไม่ได้ห่วงตัวนักวิชาการนะ แต่ห่วงตัวลูกศิษย์ของนักวิชาการเหล่านี้ เพราะการวิจารณ์ของนักวิชาการกลุ่มนี้ไม่ได้ตั้งอยู่บนพื้นฐานของหลักวิชา และคนเหล่านี้ก็เป็นครูอาจารย์ในมหาวิทยาลัยไทย แล้วอย่างนี้ในมหาวิทยาลัยไทยมันจะเป็นอย่างไรในอนาคต ก็เป็นเรื่องน่าห่วงมากนะ  

ประเด็นอะไรที่คิดว่า ไม่เป็นธรรม


            เรื่องที่ว่าเราไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ หรืออคติ จริงๆ แล้วก็ต้องพูดมาว่า หลักฐานของเราไม่ถูกอย่างไร แล้วเขามีหลักฐานที่ถูกต้องอย่างไร ก็ต้องเสนอมา เพื่อทำให้ความจริงมันสมบูรณ์ยิ่งขึ้น

            รวมทั้ง กระทั่งเอาเรื่องส่วนตัว ประวัติของบุคคล  ไม่ว่าจะเป็นของผม หรือ อ.คณิต ณ นคร ประธาน คอป. ออกมาวิจารณ์  ซึ่งมันไม่ถูก เพราะรายงานฉบับนี้ไม่ได้เกิดจากผมคนเดียว หรือจาก อ.คณิตกับผม แต่มันเป็นการทำงานร่วมกันของคนนับร้อยคนและประชุมนับร้อยครั้ง กระทั่งออกมาโจมตีว่า มีคนเสื้อเหลืองอยู่ในกรรมการ ซึ่งความจริงแล้วมันก็มีคนหลากหลายอยู่ในคณะกรรมการหรือคณะอนุกรรมการ ดังนั้น อย่ามาพูดแบบตัดตอนหรือบิดเบือน

            สิ่งที่เราต้องการชี้ให้เห็นก็คือ ข้อเสนอแนะให้กับรัฐบาล ฝ่ายค้าน ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องกับความขัดแย้งเพื่อให้เกิดการผลักดัน เปลี่ยนแปลงเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความรุนแรงขึ้นอีกในอนาคต ซึ่งส่วนนี้สำคัญมากนอกจากนี้ จาก การตรวจสอบค้นหาความจริง เราพบว่า ทหารที่ปฏิบัติงานในพื้นที่นี้ ใช้กำลังเกินแก่เหตุในหลายกรณี เช่นมีการใช้อาวุธสงคราม มีการนำเอารถหุ้มเกราะออกมา รวมทั้งเราได้ศึกษาลักษณะการปฏิบัติการธรรมชาติต่างๆ ของทหารแล้ว ก็นำมาสู่ข้อเสนอของเราที่บอกว่า หากเกิดการชุมนุมในอนาคต  รัฐบาลต้องไม่นำทหารออกมาใช้ในการควบคุมฝูงชนอีก เพราะการใช้กำลังทหารโดยธรรมชาติแล้ว ไม่เหมาะที่จะนำมาใช้ควบคุมฝูงชน ไม่เฉพาะเหตุการณ์ปี 2553 เท่านั้น เหตุการณ์ก่อนๆ นั้นมันก็พิสูจน์ในจุดนี้อยู่ เราจึงมีข้อเสนอจุดนี้ออกมาเพื่อวางแนวทางให้รัฐบาลต่อไป เราจึงมีข้อเสนอที่ว่า ต้องมีการสร้างหน่วยดูแลฝูงชน เช่น ตำรวจที่ได้รับการฝึกเป็นอย่างดี ซึ่งน่ายินดีที่รัฐบาลชุดนี้ได้ตอบสนองเรื่องนี้ และมีการจัดตั้งหน่วยตำรวจฝึกดูแลฝูงชน

            เรายังพบว่า การชุมนุมของ นปช.ไม่อยู่ในกรอบของการชุมนุ
มโดยสงบและปราศจากอาวุธ เพราะว่า มีความรุนแรง หรือมีการยุยงให้ใช้ความรุนแรงโดยผู้นำในการชุมนุม และก็มีความรุนแรงเกิดขึ้นหลายครั้ง จึงนำมาสู่ข้อเสนอของเราว่า ผู้นำในการชุมนุม ไม่ว่าใครจะจัดขึ้น ต้องให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ในการดูแลความสงบเรียบร้อย ไม่ใช่คุณจัดชุมนุมแล้ว คุณห้ามเจ้าหน้าที่เข้า ทำให้พื้นที่การชุมนุมกลายเป็นเขตปลอดกฎหมาย เจ้าหน้าที่ไม่สามารถใช้บังคับกฎหมายในเขตพื้นที่การชุมนุมได้ ผู้ชุมนุมและผู้นำการชุมนุมหลายคนมีหมายจับ เจ้าหน้าที่ก็ไม่สามารถเข้าไปจับกุมได้

            บางคนบอกว่า ข้อเสนอของเราเป็นข้อเสนอปกติ ก็อาจจะใช่ แต่สำหรับ นปช.อาจไม่ใช่ข้อเสนอที่เป็นปกติก็ได้ เพราะ นปช.ยืนยันมาตลอดว่า การชุมนุมของตัวเองเป็นไปโดยสงบและปราศจากอาวุธ  แต่จากการตรวจสอบของเรามันต่างจากที่เขายืนยัน และนี่ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ผมคิดว่า ผู้นำ นปช.บางส่วนไม่พอใจ เพราะสิ่งที่เราเสนอนั้น มันตรงข้ามกับสิ่งที่เขาโฆษณามาตลอด รวมทั้งเรื่องคนชุดดำด้วย ซึ่งก็เป็นเรื่องปกติเมื่อมีการเสนอความจริงที่แตกต่างไปจากที่เขาพูด

@ แกนนำ นปช.ไม่เห็นด้วยกับ รายงาน คอป.ระบุว่า คอป.มีธง และมีอคติ

             เฉพาะบางคน แค่คู่ผัวเมียคู่หนึ่ง แต่แทนที่เขาจะพูดมาว่า ข้อมูลเราไม่ตรงกับข้อเท็จจริงอย่างไร กลับมาบอกว่า คอป.รับคำสั่งใครมาหรือไม่ ผมบอกเลยว่า ผมกับเหวง ก็เคยอยู่พรรคคอมมิวนิสต์มาด้วยกัน แต่ผมไม่เคยเปลี่ยนไปอยู่พรรคนายทุน  ผมไม่เคยเป็นเครื่องมือพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่ง

@ เสียงตอบรับเป็นไงบ้าง มีแกนนำเสื้อแดงโทรมาบ้างไหม

             ของผมยังดีนะ  ผมไม่เคยถูกคุกคามหรือถูกข่มขู่ แต่ที่ผ่านมาก็มีโทรไปด่าที่ออฟฟิศ คอป. 1-2 ราย

เรื่องชายชุดดำ นปช.พยายามโต้แย้งว่า ถ้ามีก็อยู่ฝ่ายทหาร หรือถ้ามี
จริง ทำไมรัฐบาลอภิสิทธิ์ไม่ดำเนินการจับกุม

             ถ้าอ่านรายงาน คอป.โดยละเอียดจะเห็นชัดว่า เราก็มีพยานหลักฐานชัดเจนเป็นรูปถ่าย และยังมีการปรากฏตัวของกลุ่มนี้ในหลายๆ ที่  ถ้าบอกว่า เป็นเรื่องของทหาร แต่สิ่งที่เรากำลังตรวจสอบคือ ความสัมพันธ์ระหว่างประชาชน  เช่น ผู้ชุมนุมหรือประชาชนที่ไม่ใช่ผู้ชุมนุม แต่ได้รับผลกระทบจากการชุมนุมกับรัฐ ยกตัวอย่างเช่น การที่ เสธ.แดงออกมา วิพากษ์วิจารณ์ผู้บังคับบัญชาที่เป็นผู้นำกองทัพ และปฏิบัติงานในฐานะเป็นส่วนหนึ่งของรัฐ หมายถึงอะไร หมายถึง เสธ.แดงเป็นตัวแทนของกองทัพ ที่แตกแยกกันหรือ อันนั้นก็เป็นเรื่องส่วนบุคคลของ เสธ.แดง ไม่ใช่ในนามของกองทัพ ซึ่งในกลุ่มชายชุดดำนั้น อาจมีบางคนที่มีแบ๊คกราวน์เป็นทหารพราน

             แต่การปฏิบัติการของชายชุดดำไม่ได้ปฏิบัติในฐานะ “รัฐ” หรือ หน่วยงานของรัฐ ถ้าจะบอกว่า เป็นแผนการณ์หรือนโยบายของกองทัพ ที่ส่งคนแบบนี้ออกมาเพื่อสร้างสถานการณ์  เราก็ไม่มีพยานหลักฐานที่จะโยงไปถึงขนาดนั้นได้ ซึ่งถ้าอีกฝ่ายมีหลักฐานว่า กองทัพเป็นผู้จัดตั้งคนชุดดำออกมาเพื่อปฏิบัติการบางอย่าง ก็ต้องแสดงออกมา แต่เราไม่พบ ไม่ว่าทางการข่าวหรือพยานหลักฐานต่างๆ มันก็เป็นเรื่องของบุคคล ทั้งเป็นบุคคลที่อยู่ในกองทัพบางคน หรือบุคคลที่อยู่นอกกองทัพรวมตัวกันปฏิบัติการโดยใช้อาวุธสงครามต่อต้านการปฏิบัติการของรัฐ ซึ่งในอนาคตเรื่องเหล่านี้ จะค่อยๆ พิสูจน์เอง แต่ที่แน่ๆ คือ มันมีกลุ่มบุคคลหนึ่งที่โจมตีทหารในพื้นที่ด้วยอาวุธสงคราม และคนกลุ่มนี้ได้รับการสนับสนุนจากการ์ด นปช.บางส่วน เรามีข้อยืนยันแน่นอน

@ เสื้อแดงวิจารณ์ว่า รายงาน คอป.เป็นอนุญาตสั่งฆ่าประชาชน  

             ผมเข้าใจ... เพราะสิ่งที่เราเสนอนั้นมันขัดแย้งกับสิ่งที่เขาโฆษณา และสิ่งที่เขาโฆษณานั้น เขาไม่ได้โฆษณาให้สังคมเชื่อเขานะ เขาโฆษณาให้คนของเขาเชื่อเขา  ดังนั้น เมื่อเราเสนอข้อเท็จจริงในลักษณะที่แตกต่างกัน บางคนก็อาจจะกลัวว่า คนในกลุ่มเขาอาจจะแตกแถวออกมา ดังนั้น เวลาเขาให้สัมภาษณ์สื่อ เขาไม่ได้โจมตีผมนะ แต่เขาพูดให้คนของเขาฟังเพื่อต้องการที่จะรักษาขบวนของเขาไว้

@ รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ควรมีท่าทีหรือจุดยืนอย่างไรต่อรายงาน คอป.หลังจาก แกนนำรัฐบาลส่งสัญญาณว่าไม่ยอมรับรายงานฉบับนี้ ขณะที่เสื้อแดงฉีกรายงานทิ้ง และยื่นเรื่องให้รัฐบาลปรับปรุงรายงาน คอป.ใหม่       

             รัฐบาลยิ่งลักษณ์ทั้งก่อนและหลังเลือกตั้งได้แถลงนโยบายชัดเจนต่อรัฐสภา นอกจากนั้นยังได้แถลงในที่ประชุมองค์การสหประชาชาติในหลายการประชุมด้วยว่า สนับสนุนการทำงานของ คอป. ดังนั้น ในแง่นี้รัฐบาลก็คงต้องทำตามนโยบายที่ได้แถลงไว้โดย นำข้อเสนอของ คอป.ไปปฏิบัติ ก็จะถือว่า เป็นการสนับสนุน คอป. เนื่องจาก คอป.มีรายงานที่หนา 300 หน้า แน่นอน นายกฯคงต้องใช้เวลาศึกษา ซึ่งก็มอบหมายให้ “คณะกรรมการติดตามผลการดำเนินงานตามข้อเสนอของคอป.” หรือ ปคอป.ที่ได้ตั้งขึ้นมาเพื่อที่จะ นำข้อเสนอของ คอป. ไปปฏิบัติเป็นการเฉพาะ เท่าที่ทราบ ปคอป.ได้ประชุมแล้วมีมติว่า จะเอาข้อเสนอแนะของ คอป.ไปปฏิบัติ  ในเรื่องนี้ก็ต้องชมรัฐบาลว่า ข้อเสนอหลายข้อของ คอป.เขาก็เอาไปปฏิบัติแล้ว ไม่ว่าเรื่องการเยียวยา การควบคุมตัวจำเลยในคดีที่เกี่ยวกับการเมือง การย้ายที่คุมขัง กระบวนการสานเสวนา ที่รัฐบาลได้อนุมัติงบ 90 ล้านบาทเพื่อการนี้โดยให้กรมพัฒนาชุมชนดำเนินการ รวมถึง ร่าง พ.ร.บ.ปรองดอง ที่เราเสนอให้ชะลอไปเพื่อให้เป็น พ.ร.บ.ปรองดองจริงๆ รวมทั้งเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เป็นต้น ซึ่งก็ล้วนแต่เป็นข้อเสนอเพื่อนำไปสู่การปรองดองของคนในชาติ 

             นายกฯเองก็ประกาศหลังจาก คอป.เปิดเผยรายงานมาว่า อยากให้มีการปรองดองเกิดขึ้น ดังนั้น ผมก็มีความเชื่อว่า รัฐบาลคงจะนำข้อเสนอของ คอป. ไปปฏิบัติ และผมก็เชื่อว่า จะได้รับความร่วมมือจากฝ่ายค้านและประชาชนทั่วไปรวมทั้ง นปช.ด้วย  ผมเชื่อว่า จะมีคนเพียงจำนวนน้อยที่พยายามไม่สนใจรายงาน คอป.

             ข้อเสนอที่ด่วนที่สุดที่เราอยากให้รัฐบาลดำเนินการ คือรัฐบาลต้องดูแลหน่วยงานด้านกระบวนการยุติธรรมโดยต้องให้ความยุติธรรมกับทุกฝ่ายที่ขัดแย้งกันและเที่ยงธรรม ผู้นำรัฐบาลต้องไม่แสดงท่าที ส่งสัญญาณ ที่ทำให้เห็นว่า กระบวนการยุติธรรมได้ถูกใช้เป็นเครื่องมือของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ที่ผ่านมาในรัฐบาลชุดก่อน คอป.ก็พยายามท้วงติงว่า ความยุติธรรมนั้นจะต้องมีให้กับฝ่ายที่อยู่ตรงข้ามกับรัฐบาลด้วย ก็คือ นปช. แต่ตอนนี้รัฐบาลที่ นปช.สนับสนุนขึ้นมาเป็นรัฐบาล ก็ต้องอย่าละเลยที่จะให้ความยุติธรรมกับอีกฝ่ายหนึ่งด้วย เช่น ปัญหาผู้เสียชีวิต บาดเจ็บกับประชาชนที่อยู่ตรงข้ามกับ นปช. ชาวบ้าน ร้านค้า ที่ได้รับผลกระทบจากการชุมนุม  แต่ว่าที่ผ่านมา ผู้นำรัฐบาลบางคนยังส่งสัญญาณที่ทำให้มองเห็นว่า กระบวนการยุติธรรมชั้นต้นถูกแทรกแซง และถูกใช้เพื่อประโยชน์ของกลุ่มการเมืองบางกลุ่มเท่านั้นทำให้กลุ่มอื่นสงสัย ซึ่งรัฐบาลจะต้องเรียกความเชื่อมั่นในส่วนนี้คืนมา เพราะรัฐบาลชุดนี้เป็นรัฐบาลของทุกคน ไม่ใช่เป็นรัฐบาลของนปช.  

              ความเชื่อมั่นต่อกระบวนการยุติธรรมนั้น คอป.เน้นมาก เช่น ฝ่ายการเมืองต้องไม่ออกมาพูดถึงการชี้นำในคดีให้กับเจ้าหน้าที่ไม่ว่าจะเป็นดีเอสไอ หรือ สตช. ต้องให้เขาทำงานเป็นอิสระและเป็นมืออาชีพจริงๆ กล่าวคือ ในขณะที่ยังไม่สามารถหาพยานหลักฐานมาดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิดได้ ก็ต้องไม่ออกมาพูดในทำนองที่ทำให้ผู้ที่กำลังแสวงหาความยุติธรรมนั้นเสียกำลังใจ  แต่ผมก็เชื่อว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังหาตัวผู้ที่กระทำความผิดอยู่ เช่น คนที่ยิง M79 ยิง RPG ใส่จนทหารตายหลายคน และทำให้กลุ่มคนรักสีลมเสียชีวิต แต่ว่าในส่วนนี้ก็คงได้รับความร่วมมือจากผู้ชุมนุมด้วย

@ องค์กรต่างประเทศ ให้ความสำคัญกับ รายงานคอป.แค่ไหน


             ในวงการทูตในประเทศไทยเขาสนใจและให้การสนับสนุนข้อเสนอของ คอป.และเขาก็เห็นว่า สิ่งที่ คอป.ตีแผ่ออกไปนั้นเรียกว่า เป็นประวัติศาสตร์ของสังคมไทยก็ได้ คือได้ตีแผ่ข้อเท็จจริงออกไปต่อสังคมซึ่งในประเทศไทยยังไม่มีใครตีแผ่ข้อเท็จจริงที่เกิดจากปัญหาความขัดแย้งมาเลย และเขายังให้ความสำคัญกับข้อเสนอแนะของเรามาก เพราะเราต้องการป้องกันไม่ให้เกิดความรุนแรงขึ้นในอนาคต เป็นการเสนอแนะเพื่อสร้างพื้นฐานของประชาธิปไตยให้เข้มแข็งขึ้น  ข้าหลวงใหญ่ของสหประชาชาติก็ออกมาสนับสนุนชัดเจน ซึ่งรัฐบาลไทยเองก็รับปากแล้วว่า จะเอาข้อเสนอของ คอป.ไปปฏิบัติ รัฐบาลก็ต้องรักษาคำมั่นสัญญานี้ต่อสังคมนานาชาติ

@ คุณทักษิณ (ชินวัตร อดีตนายกฯ) ไม่วิจารณ์และไม่ยอมรับคอป.


              อย่างที่บอก คอป.ไม่ได้ทำงานคนเดียว และประธาน คอป.ก็ไม่ใช่คนกำหนดหรือชี้ขาดอะไรได้ แม้แต่เรื่องที่บอกว่า คุณทักษิณยังไม่ควรกลับมาเมืองไทย อันนี้ก็ความเห็นของประธาน คอป. ไม่ใช่ของ คอป. ส่วนเรื่องที่คุณทักษิณกับ อ.คณิต จะมีความสัมพันธ์กันอย่างไรในอดีตหรือในปัจจุบัน อันนี้ก็คงไม่สามารถพูดได้

@ อยากเรียกร้องอะไรต่อคุณทักษิณ


              ผมคิดว่ากระบวนการปรองดองมันต้อง inclusive คือ เปิดโอกาสให้ทุกฝ่ายที่เห็นขัดแย้งกัน ได้มีพื้นที่ในกระบวนการนี้  ต้องไม่ใช่เป็นกระบวนการ exclusive คือกีดกันคนบางคนออกไป อันนี้ต้องคิดกันเองเพราะหน้าที่ของ คอป.หมดแล้ว แต่เป็นหน้าที่ของรัฐบาล ฝ่ายค้าน ภาคประชาสังคม ต้องไปพูดคุยกัน

@ จากการค้นหาความจริงมา 2 ปี ส่วนตัวได้อะไรจากประสบการณ์ครั้งนี้

               ได้ความรู้ใหม่ ประสบการณ์ในการตรวจสอบ ยิ่งทำเราได้เรียนรู้ แต่ก็ต้องยอมรับว่า เราเริ่มทำจากการที่เราไม่มีบทเรียนประสบการณ์เลย  เราอาศัยนักวิชาการของไทยส่วนหนึ่ง และการสนับสนุนของยูเอ็นดีพี ผู้เชี่ยวชาญด้านต่างประเทศ ไอทีซีเจ  สถานทูตสวิสเซอร์แลนด์ ในการเรียนรู้ประสบการณ์จากที่อื่น

            ปีแรกเราจึงคลำทาง ฝึกอบรมเจ้าหน้าที่ อีกอัน เราไม่มีอำนาจ เราก็เลยต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกฝ่าย ก็ต้องสร้างความเชื่อมั่นว่า เราพยายามทำงานอย่างเป็นทางการ  ฉะนั้น ช่วงแรกๆ ก็เป็นการพบปะพูดคุยกับคนเยอะแยะไปหมด  ส่วนการตรวจสอบ ค้นหาความจริง ก็เริ่มปีหลัง

             ช่วงแรกความร่วมมือจากหลายฝ่ายน้อย รัฐบาลของคุณอภิสิทธิ์ (เวชชาชีวะ) ก็บอกว่าให้ความร่วมมือ แต่เอาเข้าจริง เจ้าหน้าที่ก็ไม่ได้ให้ความร่วมมือ ไม่ว่าเจ้าหน้าที่ทหารหรือตำรวจ ทหารเราได้รับความร่วมมือบ้าง ส่วนตำรวจเราไม่ได้รับความร่วมมือเลย ก็มาในช่วงหลังนี้ที่ได้รับความร่วมมือมากขึ้น  แต่ก็ยังไม่เต็มที่ นปช.ก็ให้ความร่วมมือ แต่ผู้ที่รู้เห็นเหตุการณ์จริงๆ ก็ไม่ค่อยมีโอกาสที่จะได้มาพบกับ คอป. หรือในหลายกรณี เราก็ไม่มีอิสระที่จะสัมภาษณ์โดยตรง เพราะมีแกนนำในบางระดับ ก็มานั่งอยู่ด้วย 

             ช่วงหลังเราได้สัมภาษณ์เหยื่อ ครอบครัวของผู้เสียชีวิตได้รับบาดเจ็บมากขึ้น แต่ก็เป็นข้อมูลที่ไม่เต็มที่ เพราะเราตรวจสอบค้นหาความจริง ในขณะที่การดำเนินคดีอาญาควบคู่กันไป  คนที่จะเป็นพยานหรือผู้เสียหาย หรือ ผู้ละเมิดคดีก็มีความระมัดระวังในการที่จะให้ข้อเท็จจริงกับเรา ดังนั้น เราจึงไม่สามารถพึ่งข้อเท็จจริงจากกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งได้ ก็ต้องเอาหลายส่วนมาประกอบกัน จนกระทั่งเอาผู้เชี่ยวชาญไปดูสถานที่เอง

             นอกจากนี้ พยานหลักฐานชิ้นสำคัญถูกทำลายไปเยอะ ด้วยเหตุต่างๆ เช่น หลักฐานจำนวนมาก ผู้ชุมนุมเก็บไปเพราะคิดว่า นี่แหละจะใช้เป็นหลักฐานเอาตัวผู้ฆ่ามาดำเนินคดี เช่น ปลอกกระสุนในพื้นที่ แต่หารู้ไม่ว่า เก็บไปมันใช้ไม่ได้ในทางพยานหลักฐาน กระนั้น รายงานหลายอย่างเราได้มาและเราเองก็ตรวจสอบได้เป็นประโยชน์มาก เช่น ทิศทางของกระสุนที่ยิงมาจากทิศทางไหน จากทหาร หรือมีทิศทางที่สวนกันไหมกับทหาร แต่ก็น่าเสียดายที่บางพื้นที่ เจ้าหน้าที่นิติวิทยาศาสตร์เก็บข้อมูล จะเรียกว่าเป็นข้อมูลด้านเดียวก็ได้ในบางรายงาน เช่น แถวบ่อนไก่ มีการตรวจทิศทางกระสุนที่มาจากทหารเท่านั้น แต่ไม่ตรวจว่า มีทิศทางกระสุนที่มาจากทิศทางตรงข้ามหรือไม่ ซึ่งเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานให้เหตุผลว่า เพราะพนักงานสอบสวนบอกให้เก็บในส่วนนี้  มันก็ต้องตั้งคำถามต่อไปว่า พนักงานสอบสวนได้ดำเนินการอย่างเที่ยงธรรมไหม

             สิ่งที่เราได้คือ ต่างฝ่ายต่างมีเหตุผลของตัวเองทั้งนั้น เช่น ทำไมผู้ชุมนุมบางกลุ่มจึงมีความรู้สึกว่าคนชุดดำเป็นคนที่มา คุ้มครอง ปกป้องเขา บางคนถึงกับบอกว่า ถ้าไม่มีคนชุดดำมาช่วย คนชุดดำจะตายมากว่านี้ เพราะว่าเขามีความเชื่อ จากการโฆษณาหรือการพูดกรอกหูของ คนบางกลุ่มจากสื่อต่างๆ เช่น วิทยุชุมชน แกนนำบางคนของผู้ชุมนุม ทำให้เขาเชื่อว่า ทหารที่ออกมานั้น จะมาปราบฆ่าเขา รวมทั้งการที่ทหารเอารถหุ้มเกราะ มีอาวุธสงครามออกมา ก็ยิ่งทำให้เขาเชื่ออย่างนั้นมากยิ่งขึ้น อันนี้เราก็ต้องเสนอออกไปว่า การที่เจ้าหน้าที่มาดูแลการชุมนุมจะต้องทำให้ผู้ชุมนุมเข้าใจว่า เจ้าหน้าที่เป็นมิตร ไม่ใช่มาปราบ ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นก็ต้องไม่ใช้ทหาร เพราะทหารเป็นนักสู้ และต้องไม่นำอาวุธสงครามออกมา

             สำหรับเจ้าหน้าที่ก็เหมือนกัน ทำไมเขาถึงต้องยิงไปในทิศทางนั้น เพราะความเชื่อและประสบการณ์เขา หรือการข่าวที่เจ้าหน้าที่ได้รับมาว่า จะมีเหตุการณ์ต่างๆ รวมทั้งการที่เจ้าหน้าที่ถูกยิงตายไปหลายคนในวันที่ 10 เม.ย.2553 รวมทั้งถูกยิงด้วย M79 อีกไม่ว่าจะที่แยกศาลาแดงหรือบ่อนไก่หรือถนนราชปรารภ มันก็ทำให้เจ้าหน้าที่เข้าใจได้ว่า เขากำลังตกเป็นเป้าของการโจมตี

@ ถ้ายังมีเวลาในการค้นหาความจริงอีก ในใจลึกๆแล้วหรืออยากรู้ความจริงหรือ เคลียร์จุดไหนเป็นพิเศษ

              จริงๆ มีความจริงอีกหลายอย่าง ที่เราไม่ได้เปิดเผยนะ  ต้องยอมรับ เพราะความจริงบางอย่างถ้าเปิ
ดเผยไปแล้ว ก็อาจจะไม่เป็นผลดี หรือ อาจเป็นลักษณะซ้ำเติมต่อคนบางกลุ่มด้วย หรือเป็นความจริงที่เราไม่มีหลักฐานชัดเจน แต่เป็นเรื่องที่คุยมากับบางคนที่เขาอาจจะพูดในเชิงวิเคราะห์ หรือ เป็นลักษณะข่าวกรอง เราก็ไม่ได้เปิดเผยหมด