วันเสาร์ที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2557

นปช. เริ่มชุมนุมถนนอักษะ กปปส.ยืนยันไม่เคลื่อนไหวเผชิญหน้า

นปช. เริ่มชุมนุมถนนอักษะ กปปส.ยืนยันไม่เคลื่อนไหวเผชิญหน้า

ช่วงเช้าการชุมนุมทางการเมืองของกลุ่ม นปช. บนถนนอักษะเป็นไปด้วยความสงบเรียบร้อย ขณะที่เจ้าหน้าที่ยังคงดูแลความปลอดภัยอย่างเข้มงวด ด้าน กปปส.ระบุยืนยันจะไม่เคลื่อนไหวไปในพื้นที่ใด แต่จะจัดกิจกรรมอยู่ในพื้นที่การชุมนุม เพื่อหลีกเลี่ยงการยั่วยุและเหตุเผชิญหน้า










 
5 เม.ย. 2557 สำนักข่าวกรมประชาสัมพันธ์รายงานว่าการชุมนุมใหญ่ของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) บริเวณถนนอุทยาน (ถนนอักษะ) เป็นไปด้วยความสงบเรียบร้อย โดยนายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธาน นปช. ได้ทำพิธีบวงสรวงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ที่บริเวณพุทธมณฑล ก่อนจะเดินทางไปยังเวทีปราศรัยที่ถนนอุทยาน พร้อมยืนยันว่า ไม่มีการนำคนต่างด้าวเข้ามาร่วมชุมนุมและจะไม่ให้เกิดการปะทะกับกลุ่ม กปปส. แน่นอน ทั้งนี้ยังคงมีผู้ชุมนุมจากต่างจังหวัดเดินทางมาสมทบในพื้นที่การชุมนุมอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้การจราจรในเส้นทางถนนพุทธมณฑลสาย 3 สาย 4 และถนนเลียบคลองทวีวัฒนา ติดขัดมาก ขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจได้มีการรักษาความปลอดภัยบริเวณโดยรอบการชุมนุมอย่างเข้มงวด
 
กปปส.ยืนยันไม่เคลื่อนไหวเผชิญหน้า
 
สำนักข่าวกรมประชาสัมพันธ์ยังรายงานว่ากลุ่มผู้ชุมนุมทางการเมืองบริเวณเวทีสวนลุมพินี ยืนยันจะไม่เคลื่อนไหวไปในพื้นที่ใด แต่จะจัดกิจกรรมอยู่ในพื้นที่การชุมนุม เพื่อหลีกเลี่ยงการยั่วยุและเหตุเผชิญหน้า
 
บรรยากาศการชุมนุมทางการเมืองของกลุ่ม กปปส. ที่เวทีสวนลุมพินี นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส. จะมีการบรรยายพิเศษและกล่าวถึงสถานการณ์บ้านเมือง ในหัวข้อ "ปฏิวัติประชาชน ปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง" ขณะที่แกนนำคนอื่นๆ และเครือข่ายจะให้ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับสถานการณ์บ้านเมืองอย่างต่อเนื่อง จากนั้นในช่วงบ่าย นายสุเทพ เทือกสุบรรณ จะมีหารือและมอบภารกิจให้แกนนำและแนวร่วมทั่วประเท พร้อมนัดหมายตัวแทนและเครือข่าย กปปส.ทั่วประเทศ รวมถึงตัวแทนในต่างประเทศ เพื่อเป็นการชี้แจงทำความเข้าใจถึงสถานการณ์ในปัจจุบัน และซักซ้อมกลยุทธ์ต่างๆ เตรียมพร้อมกับการชุมนุมใหญ่



เปิดภาพมุมสูงแดงชุมนุมที่ถนนอักษะ

 
อย่างไรก็ตาม การเคลื่อนไหวของกลุ่ม กปปส. วันนี้จะเป็นการประชุมหารือร่วมกันที่บริเวณเวทีสวนลุมพินี แต่จะไม่มีการเคลื่อนไปในที่ใดเพื่อไม่ให้มีการยั่วยุ หรือเผชิญหน้า โดยแกนนำ กปปส. กล่าวว่า หากมีสถานการณ์ใดเกิดขึ้นกับกลุ่ม นปช. ทางกปปส. ยืนยันว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง ขณะที่การรักษาความสงบเรียบร้อยของผู้ชุมนุมเจ้าหน้าที่อาสาสมัครดูแลผู้ชุมนุม (การ์ด กปปส.) ได้ประจำจุดตรวจทางเข้า- ออก และพื้นที่โดยรอบการชุมนุมอย่างเข้มงวด เพื่อป้องกันกลุ่มผู้ไม่หวังดีสร้างสถานการณ์

ออก พ.ร.ฎ.แบ่งส่วนราชการหน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัยรักษาพระองค์ฯ

ออก พ.ร.ฎ.แบ่งส่วนราชการหน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัยรักษาพระองค์ฯ

ราชกิจจานุเบกษาเผยแพร่ "พระราชกฤษฎีกาแบ่งส่วนราชการและกำหนดหน้าที่หน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัยรักษาพระองค์ กระทรวงกลาโหม" มีสำนักงานนายทหารปฏิบัติการพิเศษ และสำนักงานฝ่ายเสนาธิการในพระองค์ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ และหน่วยทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์อยู่ในสังกัด
             6 เม.ย. 2557 - เมื่อวันที่ 4 เม.ย. ที่ผ่านมา ในราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 131 ตอนที่ 38 ก ลงวันที่ 5 เม.ย. 2557 มีการได้เผยแพร่ "พระราชกฤษฎีกา แบ่งส่วนราชการและกำหนดหน้าที่ของส่วนราชการ หน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัยรักษาพระองค์ กระทรวงกลาโหม พ.ศ. 2557" โดยพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวมี 8 มาตรา ดังนี้
  • มาตรา 1 พระราชกฤษฎีกานี้เรียกว่า “พระราชกฤษฎีกาแบ่งส่วนราชการและกำหนดหน้าที่ ของส่วนราชการหน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัยรักษาพระองค์ กระทรวงกลาโหม พ.ศ. 2557”
  • มาตรา 2 พระราชกฤษฎีกานี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา เป็นต้นไป
  • มาตรา 3 ให้แบ่งส่วนราชการหน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัยรักษาพระองค์ กระทรวงกลาโหม ดังต่อไปนี้

  • (1) ส่วนบัญชาการ
  • (2) สำนักงานนายทหารปฏิบัติการพิเศษในพระองค์สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร
  • (3) สำนักงานฝ่ายเสนาธิการในพระองค์สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร
  • (4) หน่วยทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์

  • มาตรา 4 ส่วนบัญชาการ มีหน้าที่วางแผน อำนวยการ ประสานงาน บังคับบัญชา ควบคุม และกำกับดูแล การปฏิบัติงานในการถวายอารักขาและถวายพระเกียรติสำหรับองค์พระมหากษัตริย์ พระราชินีพระรัชทายาท และพระบรมวงศานุวงศ์ รวมทั้งปฏิบัติหน้าที่ทางพระราชพิธีตามที่ได้รับมอบหมาย และรักษาความสงบเรียบร้อยภายในเขตพระราชฐาน ตลอดจนวางแผน อำนวยการ ประสานงาน ดำเนินการและกำกับงาน ในหน้าที่ของสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช ฯ สยามมกุฎราชกุมาร มีผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัยรักษาพระองค์เป็นผู้บังคับบัญชารับผิดชอบ
  • มาตรา 5 สำนักงานนายทหารปฏิบัติการพิเศษในพระองค์สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช ฯ สยามมกุฎราชกุมาร มีหน้าที่วางแผน อำนวยการ ประสานงาน ดำเนินการ และกำกับดูแล ในเรื่องของการประสานสนองตอบความต้องการของผู้บังคับบัญชา ตลอดจนปฏิบัติงานโดยตรงต่อสมเด็จพระบรม โอรสาธิราช ฯ สยามมกุฎราชกุมาร และสายงานที่เกี่ยวข้อง มีหัวหน้าสำนักงานนายทหารปฏิบัติการพิเศษ ในพระองค์สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช ฯ สยามมกุฎราชกุมาร เป็นผู้บังคับบัญชารับผิดชอบ

  • มาตรา 6 สำนักงานฝ่ายเสนาธิการในพระองค์สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช ฯ สยามมกุฎราชกุมาร มีหน้าที่วางแผน อำนวยการ ประสานงาน และดำเนินการ ตามภารกิจที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ มอบหมาย ถวายงานในการสนับสนุนพระราชกรณียกิจและพระราชกิจทั้งปวง ตลอดจนควบคุมอำนวยการปฏิบัติ เพื่อให้ภารกิจบรรลุผลสำเร็จและเป็นไปด้วยความเรียบร้อยตรงตามพระราชบัณฑูรหรือพระราชประสงค์ มีหัวหน้าสำนักงานฝ่ายเสนาธิการในพระองค์สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช ฯ สยามมกุฎราชกุมาร เป็นผู้บังคับบัญชารับผิดชอบ
  • มาตรา 7 หน่วยทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ มีหน้าที่เกี่ยวกับการถวายพระเกียรติการถวายความปลอดภัย การถวายอารักขา และการปฏิบัติตามพระราชประสงค์ของสมเด็จพระบรม โอรสาธิราช ฯ สยามมกุฎราชกุมาร การรักษาความสงบเรียบร้อยภายในโดยรอบเขตพระราชฐานในพระองค์สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช ฯ สยามมกุฎราชกุมาร ตลอดจนการปฏิบัติภารกิจอื่นตามที่ได้รับ มอบหมาย มีกองบังคับการหน่วยทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ทำหน้าที่ปกครองบังคับบัญชาอำนวยการ ประสานงาน และกำกับดูแล หน่วยขึ้นตรงของหน่วยทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ให้สามารถปฏิบัติหน้าที่เป็นไปด้วยความเรียบร้อยเกิดผลในทางปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม มีผู้บัญชาการ หน่วยทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์เป็นผู้บังคับบัญชารับผิดชอบ
  • มาตรา 8 ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมรักษาการตามพระราชกฤษฎีกานี้

ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
นายกรัฐมนตรี

สุเทพให้ กปปส.รอนกหวีด "ขั้นเผด็จศึก" จะเอาชนะเพื่อเป็นรัฏฐาธิปัตย์

สุเทพให้ กปปส.รอนกหวีด "ขั้นเผด็จศึก" จะเอาชนะเพื่อเป็นรัฏฐาธิปัตย์

เลขาธิการ กปปส. เผยมติที่ประชุมแกนนำทั่วประเทศ รอสัญญาณจากคำตัดสิน ป.ป.ช. - ศาล รธน. เตรียมระดม กปปส. สู้ขั้นเผด็จศึกให้รู้แพ้-ชนะใช้เวลา 15-20 วัน เมื่อได้อำนาจอธิปไตยแล้วจะเป็นรัฏฐาธิปัตย์ จะตั้งนายกรัฐมนตรีและ ครม ตั้งสภานิติบัญญัติแห่งชาติที่ไม่มีนักการเมืองปน และจะเริ่มปฏิรูปตามแนวทาง กปปส.
สุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส. ปราศรัยเมื่อคืนวันที่ 5 เม.ย. ที่เวที กปปส. สวนลุมพินี ชี้แจงมติแกนนำ กปปส. ทั่วประเทศ ที่หารือกันในช่วงกลางวันที่ผ่านมา (ที่มา: Blue Sky Channel)

5 เม.ย. 2557 - ภายหลังการประชุมแกนนำ กปปส. ทั่วประเทศ มีตัวแทนเข้าร่วม 1,800 กลุ่มเมื่อช่วงเช้านั้น ต่อมาเมื่อเวลาประมาณ 21.59 น. ที่เวที กปปส. สวนลุมพินี นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส. ได้ปราศรัยสรุปมติของการประชุมแกนนำ กปปส. อีกครั้ง
โดยสุเทพกล่าวถึงมติว่า "เราตกลงกันว่าทุกเครือข่ายของ กปปส.หลังจากกลับจากการประชุมใหญ่ครั้งพิเศษวันนี้แล้ว ให้กลับไปรวบรวมกำลังผู้ที่รักชาติ รักแผ่นดิน เช็คจำนวนไว้ให้ชัดเจนว่า แต่ละเครือข่าย แต่ละพื้นที่มีจำนวนสักเท่าไร และใครบ้างสามารถเดินทางมาร่วมกิจกรรมในวันเผด็จศึก ให้คัดเลือกดูคนที่สุขภาพดี แข็งแรง เป็นหญิงเป็นชาย เป็นหนุ่มเป็นสาว ให้ตรวจสอบกันให้ดีก่อนว่าสุขภาพดีแข็งแรง"
"และให้เตรียมตัวสะสางภารกิจส่วนตัวให้เรียบร้อย เพราะการออกมาต่อสู้คราวนี้ จะเป็นการต่อสู้ขั้นเผด็จศึก ออกมาสู้คราวนี้ อาจจะต้องใช้เวลาการต่อสู้ยืดเยื้อมากกว่า 15 วัน ไม่ใช่มาชุมนุมวันเดียวแล้วกลับ ไม่ใช่มาเดินขบวนวันเดียวแล้วกลับ ออกมาเที่ยวนี้ไม่ยอมกลับบ้านมือเปล่าแล้ว ต้องรู้ดีรู้ชั่วกันไปเลย แพ้หรือชนะให้รู้กันไปเลย"
"ออกมาคราวนี้ไม่มีคำว่าเจ๊า ไม่มีคำว่าเสมอตัว ชนะหรือแพ้เท่านั้น พอแล้ว สู้มาครึ่งปีแล้ว สู้อะไรกันหนักหนา มันถึงเวลาต้องเผด็จศึกกันแล้ว จะได้กลับไปทำมาหากินกันเสียที"
"เพราะฉะนั้น มติคณะกรรมการแกนนำ 1,800 เครือข่ายลงมติเป็นเอกฉันท์ สู้คราวนี้ยึดอำนาจอธิปไตยของประชาชนคืนกลับมาจากนางดอกไม้ให้ได้ และเราจะประกาศความเป็นรัฏฐาธิปัตย์ของเรา เราจะตั้งรัฐบาลของประชาชน จัดให้มีสภานิติบัญญัติของประชาชนแล้วลงมือปฏิรูปประเทศไทยโดยทันที นี่คือมติสำคัญของที่ประชุมในวันนี้"
"ที่ต้องใช้เวลาเพราะเราต่อสู้อย่างสันติ อหิงสา ไม่ใช้อาวุธ ไม่ใช้ความรุนแรง ใช้แต่หัวใจที่รักชาติ รักแผ่นดิน เราจึงต้องการกำลังทุกส่วน ทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นที่พี่น้องประชาชน คนธรรมดา หรือข้าราชการ พลเรือน ตำรวจ ทหาร ถ้าใครมีใจรักชาติรักแผ่นดินเช่นเดียวกับเรา คราวนี้ต้องออกมาให้หมดทุกคนเพราะเป็นนัดเผด็จศึก"
นายสุเทพ กล่าวด้วยว่า "เราได้มีมติกันว่าทุกเครือข่ายเสร็จจากการประชุมวันนี้ กลับไปเตรียมตัวรอฟังเสียงนกหวีด จะเป็นเสียงนกหวีดครั้งสำคัญ เป่านกหวีดคราวนี้ถ้าทำได้สำเร็จพี่น้องมวลมหาประชาชนมากันครบหมด เราก็จะยึดอำนาจอธิปไตยของเราคืนกลับมาเป็นของปวงชนชาวไทยได้สำเร็จ และเราก็จะได้กลับบ้านไปบอกลูก เมีย ญาติพี่น้อง ว่าการต่อสู้ของมวลมหาประชาชน จบลงด้วยชัยชนะเป็นของมวลมหาประชาชน"
"แต่ถ้าเราสู้แล้วแพ้ กำนันสุเทพ เทือกสุบรรณ จะเดินไปมอบตัวหยุดสู้ ยอมแพ้มันเลย เพราะฉะนั้นการต่อสู้คราวนี้ ทุบหม้อข้าวกันแล้วครับ ผมจึงได้กราบเรียนว่ามติของมวลมหาประชาชนคราวนี้ต้องยืมคำพูดของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ออกมาใช้ ว่ามาคราวนี้ไม่กลับอีกแล้ว ถ้าแพ้ก็เข้าคุกไปเลย ยกประเทศให้พวกมัน แต่เรามั่นใจว่าทุกครอบครัวของมวลมหาประชาชนจะออกกันมาหมดไม่เหลือใครเฝ้าบ้านอีกต่อไป เพราะสู้คราวนี้ เราไม่ต้องการเหลือใจไว้ให้เสียใจอีกต่อไป เราจะทุ่มเทกำลังทั้งมวล ถ้าแพ้ก็ไม่ต้องเสียใจเพราะเราออกมาหมดแล้ว พี่น้องที่เคารพทั้งหลายครับ มันจะเป็นการต่อสู้ครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดของมวลมหาประชาชนผู้รักชาติรักแผ่นดิน และเราได้บอกให้ทุกคนทำใจให้บริสุทธิ์ เพราะเราไม่ได้สู้เพื่อประโยชน์ของใคร ทั้งนักการเมือง ทั้งพรรคการเมืองใดๆ ทั้งสิ้น แต่เราสู้เพื่อประเทศไทยและแผ่นดินไทยของทุกคน"
"มติวันนี้ ของคณะกรรมการเครือข่ายทั้ง 1,800 เครือข่ายจึงเป็นมติที่มีความหมาย มีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะเป็นมติที่ชี้อนาคตของประเทศไทยอย่างแท้จริง จะได้รู้กันเสียทีว่าประเทศไทยนี้เป็นของปวงชนชาวไทย ไม่ใช่ของคนตระกูลชินวัตรและสมุนบริวารขี้ข้าของมัน เราได้ประกาศชัดเจนว่าถ้าจนถึงวันนั้น ระบอบทักษิณยังดื้อด้านไม่ยอมส่งมอบคืนระบอบประชาธิปไตย ไม่ยอมส่งมอบคืนอำนาจอธิปไตยให้ปวงชนชาวไทย วันที่เราชนะ เราได้เป็นรัฎฐาธิปัตย์ คำสั่งสำคัญของเราคือยึดทรัพย์ตระกูลชิน เราจะเอาทรัพย์สินตระกูลชินไปใช้หนี้ชาวนา 1.2 แสนล้านบาท ทันที"
"การต่อสู้นัดสุดท้ายนี้จึงเป็นการต่อสู้ที่สำคัญ เราจึงจำเป็นต้องถามความเห็นของแกนนำเครือข่ายทั้ง 1,800 เครือข่าย และทั้งหมดลงมติเป็นเอกฉันท์ว่าต้องถึงวันเผด็จศึกกันแล้ว แพ้ชนะให้รู้เรื่องกันไปเลยกับการต่อสู้นัดสำคัญครั้งนี้"
"พี่น้องที่เคารพรักทั้งหลาย หลังการประชุมคราวนี้ทุกเครือข่ายจึงจะต้องไปทำงาน เตรียมตัว เตรียมเสบียง เสื้อผ้า เตรียมใจที่จะมาอยู่ต่อสู้ อาจจะต้องใช้เวลาหลายวัน 15 วัน 20 วันขึ้นกับสถานการณ์ในขณะนั้น แต่ถ้าเราโชคดีอาจจะวันเดียว 3 วัน 5 วันเสร็จเรียบร้อยก็เป็นได้ อยู่ที่จำนวนของมวลมหาประชาชน นอกจากกำลังของมวลมหาประชาชนแล้ว ก็คือกำลังของข้าราชการ พลเรือน ตำรวจ ทหาร การประกาศของเราวันนี้ เพื่อให้โอกาสพี่น้องข้าราชการ ทั้งพลเรือน ตำรวจ ทหาร เตรียมเนื้อตัวเช่นเดียวกับมวลมหาประชาชน ถึงวันที่มวลมหาประชาชนออกมาพร้อมกันครั้งนี้ ข้าราชการต้องตัดสินใจแล้วว่าจะอยู่ข้างระบอบทักษิณต่อไป หรือจะอยู่ข้างมวลมหาประชาชน รู้กันวันนั้นแหละ นี่จึงเป็นการประชุมครั้งสำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์การต่อสู้ของมวลมหาประชาชน"
สุเทพปราศรัยด้วยว่า "ส่วนวันที่ว่าจะประมาณเมื่อไร ในที่ประชุมวันนี้ได้พูดชัดเจนว่าจะมีอยู่ 2 ช่วงจังหวะ ไม่ทราบอะไรมาก่อนหรือหลังระหว่างการชี้มูลความผิดของยิ่งลักษณ์ โดยคณะกรรมการ ป.ป.ช.หรือการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเราจะให้มวลมหาประชาชนรอฟังสัญญาณจาก กปปส. ส่วนกลาง ส่วนกลางจะเป็นคนส่งสัญญาณ ถ้าหากว่าศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่านางดอกไม้และคณะใช้อำนาจหน้าที่ไปโยกย้ายนายถวิล เปลี่ยนศรีโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายเป็นการฝ่าฝืนบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ และศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าให้ยิ่งลักษณ์พ้นหน้าที่ในฐานะนายกรัฐมนตรี ถ้าการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเป็นอย่างนี้ วันนั้นคือวันที่มวลมหาประชาชนจะริบคืนอำนาจอธิปไตยมาเป็นของมวลมหาประชาชน มาเป็นของปวงชนชาวไทย ตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ มาตรา 3 ทันที และไม่ต้องมาโต้แย้งในข้อกฎหมาย วันที่เราเอาอำนาจอธิปไตยของปวงชนชาวไทยกลับคืนมา วันนั้นคือวันที่พวกเราเป็นรัฏฐาธิปัตย์"
"ใครจะเรียกว่าประชาอภิวัฒน์ ประชาภิวัฒน์ หรือปฏิวัติประชาชน ก็เชิญเรียกเอาได้ตามใจชอบ แต่ความหมายก็คือว่า อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทยแล้ว เราจะใช้อำนาจนี้ในการจัดการ เริ่มตั้งแต่การแต่งตั้งนายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรี การจัดให้มีสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ซึ่งเป็นสภาของประชาชน ไม่มีนักการเมืองและพรรคการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง ไม่ได้หุ้นทั้งใน ครม. และในสภา แล้วจะให้รัฐบาลของประชาชน และสภานิติบัญญัติของประชาชน ร่วมมือกันปฏิรูปประเทศไทย ตามเจตนารมณ์ของมวลมหาประชาชน ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ให้เป็นที่มั่นใจได้ว่าได้แก้ไขข้อกฎหมาย รัฐธรรมนูญ ทุกอย่างที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นระบบการเมือง ระบบพรรคการเมือง ระบบการเลือกตั้ง ให้มั่นใจได้ว่า การเมืองต่อจากนี้ จะเป็นการเมืองของคนดี ไม่มีช่องให้คนชั่วเข้ามาแสวงหาอำนาจ ยึดครองอำนาจประเทศไทย เหมือนระบอบทักษิณอีกต่อไป โดยเด็ดขาด"
"รวมทั้งเราจะปฏิรูปส่วนอื่นๆ ทั้งเรื่องป้องกัน ปราบปรามการทุจริต คอร์รัปชั่น ทั้งเรื่องของการคืนอำนาจให้ประชาชนแต่ละจังหวัด ได้เลือกผู้บริหารจังหวัด ดูแลงบประมาณการพัฒนาจังหวัดตนเองโดยยุติธรรม รวมไปถึงการปฏิรูปเรื่องอื่นๆ อย่างที่เราพูดจากันมาหลายครั้งแล้ว เราได้ระดมกันมาทั้งความคิดอ่าน ได้ข้อสรุปเรียบร้อย มีพิมพ์เขียวในมือแล้ว รอวันที่ประชาชนได้อำนาจคืนมาโดยสมบูรณ์ เราจะเดินหน้าทำสิ่งเหล่านี้ เพื่อชาติ เพื่อแผ่นดินได้ทันที เราก็จะรอ รอสัญญาณสุดท้าย ตามสถานการณ์ดูว่าเรื่องไหนมาก่อน และจังหวะไหนเหมาะสม ที่เราจะได้ประกาศวันดีเดย์ ของมวลมหาประชาชน"
"การประชุมแกนนำเครือข่ายของ กปปส. ทั้ง 1,800 เครือข่ายวันนี้ จึงเป็นคำตอบที่ชัดเจน สำหรับพี่น้องประชาชนคนไทย ทุกภาคของประเทศ จะได้เห็นเป้าหมายชัดเจนของการต่อสู้ของมวลมหาประชาชน ที่ทุ่มเทต่อสู้มาด้วยความเสียสละอดทน ต่อเนื่องมาจนขึ้นเดือนที่ 6 จะได้ไม่ต้องสงสัยกันอีกต่อไปว่าการต่อสู้ของมวลมหาประชาชนจะจบลงเมื่อไหร่ วันนี้ได้คำตอบแล้ว ชัดเจนแล้ว ว่าเสียงนกหวีดครั้งต่อไป เป็นเสียงนกหวีดขั้นสุดท้ายของมวลมหาประชาชน"
"มติของมวลมหาประชาชนอีกข้อหนึ่งในวันนี้คือ เมื่อมวลมหาประชาชนได้รับชัยชนะ อำนาจอธิปไตยมาเป็นของประชาชน ประชาชนเป็นรัฏฐาธิปัตย์แล้ว จัดตั้งรัฐบาลของประชาชนได้แล้ว จัดตั้งสภานิติบัญญัติของประชาชนได้แล้ว เรามวลมหาประชาชนก็กลับบ้าน ไปทำหน้าที่เป็นประชาชนคนธรรมดาสามัญเหมือนเดิม ไม่มีใครเข้าไปร่วมในคณะรัฐบาลที่เราจะตั้งขึ้น เพราะเราต่อสู้ครั้งนี้ไม่ใช่เพื่อประโยชน์ส่วนตน ไม่ได้ต่อสู้เพื่อยศฐาบรรดาศักดิ์ แต่สู้เพื่อชาติเพื่อแผ่นดิน ทำหน้าที่ประชาชนของประเทศ คือขจัดระบอบทักษิณที่เป็นภัยต่อชาติ ต่อแผ่นดิน ให้หมดสิ้นจากประเทศไทย นั่นถือว่าจบภารกิจมวลมหาประชาชน แล้วเราได้มีมติชัดเจนว่า กปปส. มวลมหาประชาชน จะไม่ตั้งพรรคการเมือง จะไม่เกี่ยวข้องกับพรรคการเมือง เราจะกลับไปเป็นประชาชนธรรมดา ไม่ให้ใครเอาชื่อ กปปส. หรือชื่อของมวลมหาประชาชน ไปแอบอ้างใช้ประโยชน์ แข่งขันทางการเมืองต่อไป เราทั้งหลายตกลงในวันนี้ว่า กลับบ้าน แต่เก็บนกหวีดเอาไว้ จะรักษาความสัมพันธ์ระหว่างประชาชนด้วยกัน ที่ประกอบกันขึ้นเป็นมวลมหาประชาชน กปปส. วันไหนชาติมีภัย วันไหนรัฐบาลบิดพริ้ว ไม่ทำตามมติของมวลมหาประชาชน เราจะเป่านกหวีดใหม่ แล้วมาจัดการด้วยมือประชาชนอีกครั้งหนึ่ง"
สุเทพปราศรัยด้วยว่า มติของพวกเราในวันนี้มีความชัดเจน ตอบคำถามทุกคำถามได้ครบถ้วน และต่อไปนี้ เราไม่สนใจ ว่าจะมีใครวิพากษ์วิจารณ์เราอย่างไร เราจะเดินหน้า ด้วยความทุ่มเทเสียสละ ด้วยความสามัคคีของมวลมหาประชาชนทำภารกิจขจัดระบอบทักษิณ จัดการให้มีการปฏิรูปประเทศไทย เปลี่ยนแปลงประเทศไทย ให้เป็นประเทศปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยที่สมบูรณ์แบบ มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข เป็นความชัดเจนไม่ต้องอธิบายอีกแล้ว"
"เมื่อมีมติดังนี้ขอให้พี่น้องประชาชนชาวไทยเจ้าของประเทศ เช่นเดียวกับมวลมหาประชาชน ครุ่นคิดพิจารณาตัดสินใจเอาเอง ว่าจะออกมาผนึกกำลังร่วมกันต่อสู้หรือไม่ เป็นดุลยพินิจของท่าน แต่พวกเราทั้งหลายแน่วแน่แล้ว เราจะเดินตามแนวทางนี้ และไม่มีวันเปลี่ยนแปลงจนถึงวันเผด็จศึก ให้รู้กันว่าแพ้หรือชนะ จบกันแค่นั้น"
สุเทพกล่าวถึงมติ กปปส. ข้ออื่นๆ ด้วยว่า ตั้งแต่สัปดาห์หน้าเป็นต้นไปจะคืนสถานที่ราชการให้ข้าราชการ ได้กลับไปทำราชการตามปกติ มีข้อแม้ว่าข้าราชการที่กลับไปยังกระทรวง ทบวง กรม ต่างๆ จะทำงานเฉพาะส่วนที่เป็นการบริการประชาชนเท่านั้น ไม่รับคำสั่ง นโยบายจากระบอบทักษิณอีกต่อไป
"ทุกส่วนราชการต้องยินยอมให้มวลมหาประชาชนติดป้าย ว่าจะร่วมมือในการต่อสู้เพื่อปฏิรูปประเทศไทย ร่วมกับมวลมหาประชาชน ปลดป้ายเราลงไม่ได้เด็ดขาด ที่เราทำอย่างนี้ เพราะเราเห็นใจพี่น้องข้าราชการ ทุกวันนี้ เมื่อไปทำงานกระทรวงไม่ได้ ไปทำงานที่กรมไม่ได้ ถูกสมุนของฝ่ายระบอบทักษิณบังคับให้ไปทำงานในสถานที่ไกลๆ ลำลูกกาบ้าง ปทุมธานีบ้าง นครปฐมบ้าง ทำให้พี่น้องข้าราชการชั้นผู้น้อยลำบาก เราปิดกรุงเทพฯ พี่น้องยอมเสียสละความสบาย มีปัญหาจราจร เพราะเห็นแก่มวลมหาประชาชน ข้าราชการก็ได้รับผลกระทบ แต่นางดอกไม้และคณะไม่เห็นใจความทุกข์ยากของประชาชนกรุงเทพฯ และข้าราชการชั้นผู้น้อย จึงเป็นหน้าที่ของเราที่จะแก้ปัญหานี้ และนั่นคือเหตุผลที่เราเปิดกรุงเทพฯ คืนพื้นที่จราจรให้พี่น้องกรุงเทพฯ และสัปดาห์ต่อไปนี้ คืนสำนักงาน กรม กอง กระทรวง ให้กับพี่น้องข้าราชการ แต่ไม่คืนให้รัฐมนตรี เปิดแล้ว ห้ามรัฐมนตรีเข้ากระทรวงโดยเด็ดขาด"
"เราหวังเป็นที่สุดว่าพีน้องข้าราชการทุกกระทรวง ทบวง กรมจะได้เข้าใจเจตนารมย์ของมวลมหาประชาชนและร่วมมือเช่นเดียวกับข้าราชการกระทรวงสาธารสุข และหวังว่าเมื่อพี่น้องข้าราชการกลับสู่ที่ทำงานตามปกติตั้งแต่วันอังคารหน้าเป็นต้นไป จะได้ไปปรึกษาหารือกันในการเข้าร่วมกับมวลมหาประชาชน  และเราก็จะไปได้ไปเยี่ยมพี่น้องข้าราชการกระทรวงทบวงกรมต่างๆ และจะได้ชี้แจงตอบปัญหาถ้าพี่น้องข้าราชการมีความประสงค์จะซักถาม นี่คือสิ่งที่มวลมหาประชาชนจะปฏิบัติในช่วงสัปดาห์หน้า เราจะไปทุกกระทรวง ทบวง กรม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และกองบัญชาการเหล่าทัพทุกเหล่าทัพเพื่อไปอธิบายให้ได้เข้าใจ และให้ใช้ดุลยพินิจตัดสินใจได้โดยอิสระ"

เปิดประวัติถนนประวัติศาสตร์ "ถนนอุทยาน" สถานที่ชุมนุมใหญ่คนเสื้อแดง ความยาว 3.98 ก.ม.ใช้เวลาสร้าง 44 ปี


เปิดประวัติถนนประวัติศาสตร์ "ถนนอุทยาน" สถานที่ชุมนุมใหญ่คนเสื้อแดง ความยาว 3.98 ก.ม.ใช้เวลาสร้าง 44 ปี


              จากลานโพธิ์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สู่ท้องสนามหลวง  เคลื่อนไปยังถนนราชดำเนิน และอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย  ไปถึงทำเนียบรัฐบาล และหน้ารัฐสภา  ข้ามไปสู่โซนเศรษฐกิจสำคัญ อย่างแยกราชประสงค์-ปทุมวัน และสวนลุมพินี รวมทั้งโยกไปยังศูนย์ราชการแห่งใหม่ที่แจ้งวัฒนะ เหล่านี้คือ "พื้นที่" ในการชุมนุมทางการเมืองครั้งสำคัญๆ ของประเทศไทย หรือจริงๆ แล้ว คือ กรุงเทพฯ ซึ่งไหลเลื่อนเคลื่อนไหวมีพลวัตเปลี่ยนแปลงไปมาอยู่ตลอดเวลา

          และพื้นที่ล่าสุด ที่จะถูกนำมาใช้เคลื่อนไหวทางการเมือง โดยกลุ่มนปช. ในวันที่ 5 เมษายน ก็คือ ถนนอุทยาน หรือ ถนนอักษะ

           นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานนปช. ให้เหตุผลที่เลือกถนนอักษะว่า เป็นสถานที่ที่เหมาะสมที่สุด และมีความสวยงาม ขอให้นึกถึงภาพคนเสื้อแดงมารวมตัวกันเป็นสีแดงเต็มทั้งถนน

          ขณะที่นางธิดาโตจิราการ ประธานที่ปรึกษานปช. ให้เหตุผลว่า การนัดชุมนุมที่ถนนอักษะ เป็นสถานที่ที่บ่งบอกถึงความสงบ สันติ เป็นสถานที่กว้างขวาง ไม่ใช่สถานที่ราชการ เป็นพื้นที่มีประโยชน์ ประชาชนทั้งประเทศจะได้เห็นภาพคลื่นมวลชนหลายแสนคนอย่างแน่นอน

            ถนนอักษะเป็นถนนเชื่อมระหว่างถนนพุทธมณฑลสาย3 ในเขตทวีวัฒนา กรุงเทพมหานคร กับถนนพุทธมณฑลสาย 4 ในอำเภอพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม มีระยะทาง 3.98 กิโลเมตร พร้อมด้วยทัศนียภาพที่สวยงาม มีเอกลักษณ์ที่โดดเด่น คือ เสาโคมไฟรูปหงส์ 979 ต้น ซึ่งตั้งเรียงรายอยู่สองข้างทาง จนบางคนขนานนามให้เป็นถนนที่สวยที่สุดในประเทศไทย

           ถนนอักษะมีความเชื่อมโยงกับประวัติศาสตร์การเมืองไทยร่วมสมัยอยู่ไม่น้อย ถนนสายดังกล่าวเป็นหนทางที่สร้างมุ่งไปสู่ "พุทธมณฑล" ซึ่งได้เริ่มก่อสร้างใน พ.ศ. 2498 เพื่อเฉลิมฉลองวาระกึ่งพุทธกาล หรือ 25 พุทธศตวรรษ ในสมัยที่จอมพล ป.พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี โดยเริ่มดำเนินการเวนคืนที่ดินของราษฎรเพื่อสร้างถนนตั้งแต่ พ.ศ. 2494 แต่การก่อสร้างพุทธมณฑลและถนนอักษะได้หยุดชะงักลง เมื่อจอมพล ป.พิบูลสงคราม ถูกจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ก่อรัฐประหารยึดอำนาจใน พ.ศ. 2500

           ต่อมาในสมัยพลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ เป็นนายกรัฐมนตรี ได้เริ่มรื้อฟื้นโครงการพุทธมณฑลขึ้น เนื่องจากใกล้การเฉลิมฉลองวาระสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ครบ 200 ปี ใน พ.ศ.2525 ก่อนที่พุทธมณฑลจะก่อสร้างเสร็จสมบูรณ์ในสมัยพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี

         ส่วนถนนอักษะนั้นได้รับอนุมัติให้ลงมือก่อสร้างในสมัยที่นายบรรหาร ศิลปอาชา ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี

         โครงการก่อสร้างถนนอักษะเป็นโครงการหนึ่งที่กรุงเทพมหานครดำเนินการเพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในวาระฉลองสิริราชสมบัติครบ 50 ปี ใน พ.ศ.2539 เพื่อเป็นการเสริมสร้างความสง่างามแก่พุทธมณฑล ซึ่งเป็นสถานที่สำคัญทางพระพุทธศาสนา เป็นการเสริมสร้างภาพลักษณ์และอำนวยความสะดวกในพระราชพิธีที่พุทธมณฑล ใช้งบประมาณการก่อสร้าง 1,068,987,571 บาท และเสร็จสมบูรณ์เปิดให้ประชาชนใช้ได้ในวันที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2542

       สำหรับชื่อถนนอักษะซึ่งมาจากภาษาอังกฤษว่า "Axis" แปลว่า "แกนกลาง" นั้น หมายถึงประเทศฝ่ายอักษะ คือ เยอรมนี อิตาลี และญี่ปุ่น ซึ่งทำสงครามกับฝ่ายพันธมิตร คือ สหรัฐอเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส ในสงครามโลกครั้งที่ 2 และรัฐบาลในสมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้ประกาศเข้าร่วมสงครามกับฝ่ายอักษะ

        เมื่อสร้างถนนเสร็จแล้ว กรุงเทพมหานครได้ประสานงานกับกรมศิลปากรในเรื่องชื่อถนนอักษะ ซึ่งกรมศิลปากรได้แนะนำให้ใช้ชื่อว่า ถนนอักษะ ซึ่งแปลว่าแกนกลาง เนื่องจากเป็นถนนเชื่อมระหว่างถนนพุทธมณฑลสาย 3 กับถนนพุทธมณฑลสาย 4 ต่อมากรุงเทพมหานครได้ประสานงานกับกรมศิลปากรเพื่อขอพระราชทานชื่อถนนจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานชื่อถนนว่า "ถนนอุทยาน" อันเป็นชื่อที่สัมพันธ์กับพุทธมณฑล

          ทั้งนี้ ในปัจจุบัน ถนนอักษะยังตั้งอยู่ใกล้กับเขตพระราชฐานอีกด้วย


ขอขอบคุณมติชนออนไลน์

กลุ่มเสื้อแดงเชียงใหม่ตามบี้สมาคมศิษย์เก่าโรงเรียนจอมทอง ล้มคอนเสิร์ต “คาราบาว” สำเร็จ


กลุ่มเสื้อแดงเชียงใหม่ตามบี้สมาคมศิษย์เก่าโรงเรียนจอมทอง ล้มคอนเสิร์ต “คาราบาว” สำเร็จ



บ่ายวันนี้ (3 เม.ย.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายวิทวัส บุตรต๊ะ ปลัดฝ่ายความมั่นคงอำเภอจอมทอง จ.เชียงใหม่ เปิดเผยว่า หลังจากที่ทางคณะผู้จัดสมาคมศิษย์เก่าโรงเรียนจอมทอง ได้เตรียมการจัดการแสดงคอนเสิร์ตวงดนตรีคาราบาวในค่ำวันนี้ เพื่อหารายได้สมทบทุนกิจการของโรงเรียนจอมทอง โดยจำหน่ายตั๋วแก่ศิษย์เก่าทุกรุ่นไปหมดแล้ว

ต่อมาคณะผู้จัดฯ ได้รับการติดต่อจากทางแกนนำกลุ่มคนเสื้อแดงว่า จะมีกลุ่มคนเสื้อแดงในจังหวัดเชียงใหม่และลำพูนมาร่วมต่อต้านการจัดคอนเสิร์ตดังกล่าว โดยให้เหตุผลว่า สมาชิกบางส่วนในวงคาราบาวมีความเห็นตรงกับกลุ่ม กปปส.ที่กรุงเทพฯ

จึงได้มีการประชุมกันกับทุกฝ่าย ทั้งทางอำเภอจอมทอง สถานีตำรวจภูธรจอมทอง คณะกรรมการสมาคมศิษย์เก่าจอมทอง ตัวแทนแกนนำกลุ่มคนเสื้อแดงในพื้นที่จอมทอง และหลายฝ่ายที่เกี่ยวข้องได้มีการประชุมร่วมกัน

เบื้องต้นประเมินสถานการณ์ได้ว่ากระแสทางการเมืองในปัจจุบันรุนแรง ไม่สามารถคาดการณ์ถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นได้ เพื่อความปลอดภัยของทุกฝ่าย จึงของดจัดการแสดงเพื่อลดปัญหาความขัดแย้งที่จะเกิดขึ้น โดยทางคณะผู้จัดต้องทำการคืนตั๋วยกเลิกการแสดงทั้งหมดเพื่อความปลอดภัยในครั้งนี้ด้วย

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ผ่านมาก็จะมีการจัดคอนเสิร์ตวงคาราบาวในพื้นที่เทศบาลตำบลแม่โจ้ แต่ก็ยกเลิกไปเพราะมีกระแสต้านจากกลุ่มคนเสื้อแดงในพื้นที่เช่นกัน

สุเทพสุดเหิมเกริม! ประกาศจะเป็นรัฏฐาธิปัตย์ ทูลเกล้าชื่อนายกรัฐมนตรีคนใหม่ขึ้นทูลเกล้า และลงนามรับสนองพระบรมราชโองการด้วยตนเอง


สุเทพสุดเหิมเกริม! ประกาศจะเป็นรัฏฐาธิปัตย์ ทูลเกล้าชื่อนายกรัฐมนตรีคนใหม่ขึ้นทูลเกล้า และลงนามรับสนองพระบรมราชโองการด้วยตนเอง


5 เม.ย. 57 นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส. กล่าวสรุปผลการประชุมแกนนำ กปปส. ทั่วประเทศครั้งแรก ว่า การประชุมครั้งนี้พบว่ามีเครือข่ายประมาณ 1,800 กลุ่ม มาร่วม ดังนั้นหลังจากนี้ขอให้แกนนำเครือข่าย ไปทำทะเบียนสมาชิกให้พร้อม หากตนเป่านกหวีด เรียกระดมพลเมื่อใดขอให้เข้ามาร่วมการเคลื่อนไหว ทั้งนี้ขอให้เลือก สมาชิกเครือข่ายที่มีสุขภาพดีมาร่วม ส่วนมวลชน กปปส.ที่ไม่สามารถร่วมเคลื่อนไหวใน กทม.ได้ขอให้ส่งเสบียงมาให้แทน การเรียกระดมพลที่กำลังจะมาถึง ขอให้เตรียมความพร้อมให้ดี เพราะจะต่อสู้ยืดยาวประมาณ 15 วัน เพื่อมายึดอำนาจให้เป็นของประชาชน ขอให้ทุกเครือข่ายเตรียมความพร้อม รอฟังตนประกาศวันเผด็จศึกที่จะต่อสู้ให้หนักกว่าเดิม และให้รู้แพ้ รู้ชนะกันไปเลย เบื้องต้นเชื่อว่าจะมีกลุ่มคนที่ไม่ยอมรับ นับจากวันที่ 5 เม.ย.นี้เป็นต้นไป ให้ถือว่าการออกมาต่อสู้รอบต่อไป คือการต่อสู้ยกสุดท้าย


ส่วนวันเผด็จศึก จะขึ้นอยู่กับ 2 กรณี คือ กรณีที่ 1 เมื่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ชี้มูลความผิด น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กรณีทุจริตโครงการรับจำนำข้าว ดังนั้น เมื่อ ป.ป.ช. ชี้มูลเรื่องดังกล่าววันใดจะถือเป็นวันนัดหมาย แต่จะถือเป็นวันเผด็จศึก หรือไม่ต้องรอการตัดสินใจของตนอีกครั้ง เพราะตามกฎหมาย หาก น.ส.ยิ่งลักษณ์ ถูกชี้มูลความผิด ต้องยุติการปฏิบัติหน้าที่และเข้าสู่กระบวนการถอดถอนโดยที่ประชุมวุฒิสภา และกรณีที่ 2 เมื่อศาลรัฐธรรมนูญ มีคำวินิจฉัยให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ พ้นสถานะภาพความเป็นนายกฯ เพราะใช้อำนาจโยกย้ายนายถวิล เปลี่ยนศรี เลขาธิการ สมช. มิชอบ ตามที่กลุ่ม สว.ยื่นเรื่องให้วินิจฉัย ขอให้มวลชน กปปส. เคลื่อนออกมาจากบ้าน มายังจุดหมายที่ตนเตรียมประกาศให้ทราบ เพื่อไม่ให้มีกลุ่มสนับสนุนรัฐบาลออกมาชุมนุมปกป้องรัฐบาล และไม่ยอมรับอำนาจศาลรัฐธรรมนูญ


"มาคราวนี้จะมายึดอำนาจประเทศไทยเลย เพราะอำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย เพราะรัฐบาลได้ประกาศระเบิดตัวเองทิ้งไปตั้งแต่การประกาศยุบสภา เมื่อวันที่ 9 ธ.ค. 56 แล้ว ดังนั้นเรามีสิทธิ์อันชอบธรรมที่จะประกาศความเป็นรัฏฐาธิปัตย์ของประชาชน เหมือนกับสมัยที่จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ที่ปฏิวัติแล้วจะมีการออกคำสั่ง รอบนั้นได้ออกคำสั่งเอาคนไปยิงเป้า หากเราใจร้ายสั่งยิงเป้าไอ้คางคกสักตัวก็ได้ แต่เราจะไม่ทำ แต่จะจับใส่คุก ทั้งนี้ยืนยันว่าเมื่อประกาศตัวเป็นรัฏฐาธิปัตย์แล้ว คนที่เป็นรัฏฐาธิปัตย์มีคำสั่งที่ถือว่าเป็นกฎหมาย เราจะสั่งยึดทรัพย์ตระกูลชินวัตรทั้งหมด แล้วให้ไปพิสูจน์เอาเองว่าทรัยพ์ส่วนใดที่ที่หามาได้ด้วยความสุจริต ส่วนเหตุผลที่เราต้องเร่งยึดทรัพย์เพราะต้องเอาเงินมาช่วยชาวนา จำนวน 1.2 แสนล้านนบาท จากนั้นจะออกคำสั่งห้ามคนตระกูลชินวัตร ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง , นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล , นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ห้ามออกนอกประเทศ และให้มารายงานตัว"
นายสุเทพ กล่าวด้วยว่า จากนั้นจะออกคำสั่งแต่งตั้ง นายกฯ และคณะรัฐมนตรี (ครม.) ของประชาชน และตนจะนำรายชื่อนายกฯ และ ครม. กราบบังคมทูลเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ฯ เพื่อทรงลงพระปรมาภิไธยโปรดเกล้าฯ โดยตนจะเป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการแต่งตั้งนายกฯ ฐานะเป็นร่างทรงของประชาชน จากนั้นจะตั้งสภานิติบัญญัติของประชาชน และรีบปฏิรูปประเทศตามพิมพ์เขียวที่ได้มีการระดมความคิดไว้ก่อนหน้านี้ และเมื่อดำเนินการปฏิรูป แก้ไขกฎหมายและรัฐธรรมนูญแล้วเสร็จ จะปล่อยให้มีการเลือกตั้งใหม่ตามกระบวนการประชาธิปไตยที่สมบูรณ์แบบที่แท้จริง


"เมื่อทำเสร็จผม และเครือข่าย กปปส.จะกลับบ้าน ไปใช้ชีวิตแบบสามัญชน แต่จะเก็บนกหวีดไว้ หากวันใดที่รัฐบาลหรือสภาฯ ที่เราแต่งตั้งไม่ทำตามที่ประชาชนกำหนด หรือไม่ว่ารัฐบาลชุดไหนก็ตามทรยศกับประชาชน เราจะออกมาใหม่ ทั้งนี้ยืนยันว่า กปปส.ไม่ตั้งพรรคการเมือง แต่หากเครือจ่ายจะไปเป็นนักการเมืองสามารถทำได้ แต่อย่านำชื่อ กปปส.ไปอ้าง เพราะพวกเราเป็นสมาคมนกหวีด ไม่ใช่พรรคการเมือง ทั้งนี้เราเป็นผู้เฝ้าระวังรักษาผลประโยชน์ชาติและแผ่นดินเท่านั้น"


นายสุเทพ กล่าวอีกว่า การต่อสู้รอบที่จะถึงนี้ ขอให้มวลชนออกมาร่วมกันในหลักล้านคน และจะเอาจริง หากแพ้พวกเราก็เข้าคุกกันทั้งหมด แต่เชื่อว่าไม่มีคุกไหน ขังพวกเราได้ทั้งหมด ทั้งนี้ตนขอยืมคำ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. มาใช้ คือ ออกมาคราวนี้จะไม่กลับ ดังนั้นการเป่านกหวีดรอบนี้เป็นการเป่ารอบสุดท้าย และออกมาแบบสู้ไม่หยุดตลอด 15 วัน เราจะไม่กลับบ้านมือเปล่า ตนเรียกร้องให้ข้าราชการตัดสินใจออกมาต่อสู้กับ กปปส. ถ้าข้าราชการไม่เอาด้วยกับประชาชน ตนจะเดินไปมอบตัว ทั้งนี้ตนขอมติให้ที่ประชุมเปิดสถานที่ราชการทุกกระทรวง และทบวงกรม ยกเว้นทำเนียบรัฐบาล และกระทรวงมหาดไทย ตั้งแต่วันที่ 8 เม.ย.นี้ ให้กลับไปทำงานและใช้ชีวิตตามปกติ แต่มีเงื่อนไขว่า จะไม่รับคำสั่งของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ยกเว้นงานบริการประชาชนและร่วมปฏิรูปประเทศไทยกับกปปส. ด้วยการแสดงสัญลักษณ์ คือติดป้ายเป็นแนวร่วมกปปส.



ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างที่นายสุเทพ กล่าวปราศรัยตอนที่เรียกร้องให้ข้าราชการออกมาร่วมต่อสู้ครั้งสุดท้ายนั้น ดวงตานายสุเทพมีน้ำตาไหลเอ่อ และหลั่งออกมาในที่สุด นอกจากนั้นผลการประชุมและข้อสรุปตามที่นายสุเทพ ระบุได้รับการตอบรับจากแกนนำกปปส. ที่ร่วมประชุมด้วยการเป่านกหวีดและร้องไชโย จำนวน 3 ครั้ง