วันเสาร์ที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2556

สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ: เอาเลือกตั้ง ไม่เอาเทือกตั้ง

สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ: เอาเลือกตั้ง ไม่เอาเทือกตั้ง
สถานการณ์หลังการประกาศยุบสภาของนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร ปรากฏว่า การชุมนุมของม็อบ กปปส. (คณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข) ของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ก็ยังไม่ยุติ ด้วยข้ออ้างว่าการชุมนุมของตนมีความชอบธรรมเพราะได้รับการสนับสนุนจาก”มวลมหาประชาชน” และ ทิศทางการเคลื่อนไหวของม็อบสุเทพและกลุ่มนักวิชาการผู้สนับสนุนในขณะนี้มีธงชัดเจนว่า ต้องการที่จะล้มการเลือกตั้งวันที่ 2 กุมภาพันธ์ ดังนั้น จึงได้เสนอในเชิงหลักการว่า จะต้องมีการปฏิรูปการเมืองก่อนเลือกตั้ง โดยให้เลื่อนการเลือกตั้งไปก่อน


            ด้วยความพยายามในการหาทางล้มการเลือกตั้ง ฝ่ายคุณสุเทพและนักวิชาการที่สนับสนุน ได้อธิบายว่า ขณะนี้ประเทศอยู่ในภาวะวิกฤต จึงไม่สามารถใช้กระบวนการกฎหมายตามปกติได้ ต้องใช้วิธีการพิเศษ คือจะต้องเว้นวรรคการเลือกตั้ง 1-2 ปี จากนั้นตั้ง “สภาประชาชน” ขึ้นมาปรับเปลี่ยนโครงสร้างประเทศขนานใหญ่ สภาประชาชนนี้จะมีสมาชิกราว 400 คน โดยมาจากเลือกตั้งในกลุ่มวิชาชีพ 300 คน และ และเป็นผู้ทรงคุณวุฒิที่ กปปส.สรรหาอีก 100 คน และเพื่อนำไปสู่การปฏิรูป รัฐบาลรักษาการของยิ่งลักษณ์ ชินวัตรจะต้องลาออกโดยทันที แล้วให้วุฒิสภาเลือกนายกรักษาการจากคนที่เป็นกลาง และเป็นคนดี ซึ่งได้รับการแต่งตั้งตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 7 ข้อเสนอลักษณะนี้เอง จึงทำให้สภาประชาชนที่เสนอมานี้ถูกเรียกอย่างเสียดสีว่า “ระบอบเทือกตั้ง”

            นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ได้อธิบายเหตุผลสนับสนุนระบอบของตนว่า ประเทศไทยต้องมีการปฏิรูปให้พัฒนาไปอย่างยั่งยืน ซึ่งจะไม่มีวันทำได้เลยถ้าไม่ขจัดระบอบทักษิณออกจากแผ่นดินไทยเสียก่อน นายสุเทพจึงยืนยันว่ามวลมหาประชาชนจะไม่ไปเลือกตั้งอย่างแน่นอนถ้าไม่มีการปฏิรูปก่อน และย้ำว่า การต่อสู้จะดำเนินต่อไป เพราะ “มวลชนที่ลุกขึ้นมาวันนี้ไม่มีวันหมดแรง และสู้ได้เป็นปี” และได้อธิบายกับกองทัพว่า นี่เป็นการต่อสู้ระหว่างประชาชนกับระบอบทักษิณ ดังนั้น ทหารต้องเลือกว่าจะอยู่ข้างใคร ข้างประชาชนหรือระบอบทักษิณ




ประเด็นของปัญหาก็คือ คงจะต้องอธิบายเป็นเบื้องแรกก่อนว่า ประเทศไทยนั้นไม่มีวิกฤติ จนกระทั่ง เกิดการชุมนุมของกลุ่มนายสุเทพเอง ที่นำเอามวลชนมาปิดถนนปิดอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยจนชาวบ้านเดือดร้อน แล้วผัดวันประกันพรุ่ง ยกระดับต่อสู้ครั้งสุดท้ายครั้งแล้วครั้งเล่ามานานนับเดือน จากนั้นก็ข่มขู่ว่าจะเข้ายึดสถานที่ราชการ สถานทูต หรือได้เข้าไปยึดสถานที่ราชการหลายแห่ง จนก่อให้เกิดความตึงเครียด ส่งผลกระทบทางเศรษฐกิจมากมาย คำถามก็คือภาวะวิกฤติที่สร้างกันเองเช่นนี้ จะใช้เป็นข้ออ้างไปสู่การยกเลิกการใช้กฎหมายปกติเพื่อการปฏิรูปประเทศได้อย่างไร

นอกจากนี้ เมื่อพิจารณาถึงหลักการของการเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตยก็คือ การคืนอำนาจให้ประชาชน เพื่อให้ประชาชนที่มีสิทธิเลือกตั้งจำนวน 47 ล้านคน เป็นผู้กำหนดชะตากรรมของประเทศ และนี่คือเสียงของประชาชนทั่วประเทศที่เป็นจริงไม่ใช่หรือ ขณะที่อำนาจมวลมหาประชาชนของนายสุเทพมาจากการม็อบ และสภาประชาชนก็มาจากการแต่งตั้งกันเองจะถือว่าเป็นเสียงของประชาชนในระบอบประชาธิปไตยได้อย่างไร ความจริงแล้ว ถ้าฝ่ายนายสุเทพมั่นใจว่า “มวลมหาประชาชน”ที่แท้จริงสนับสนุนฝ่ายของตน ก็ไม่มีเหตุผลที่จะต้องไปกลัวการเลือกตั้ง เพราะถ้านายสุเทพมาเสนอตัวเป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ แล้วมวลมหาประชาชนสนับสนุนก็จะชนะเลือกตั้ง แล้วก็จะผลักดันการปฏิรูปประเทศได้ตามต้องการ ความจริงการกลัวการเลือกตั้งของฝ่ายนายสุเทพก็เป็นการฟ้องว่า ระบอบสภาประชาชนที่ตั้งกันเองเป็นเผด็จการเสียงข้างน้อยเท่านั้น

ในกรณีนี้ วรเจตน์ ภาคีรัตน์ ได้อธิบายอย่างชัดเจนว่าการเลือกตั้งนั่นเอง ที่ถือว่าเป็นการแก้ปัญหาความขัดแย้งในประเทศอย่างสันติวิธี ไม่ต้องให้คนที่คิดต่างกันเอาปืนมาต่อสู้กัน และยังเป็นหนทางที่จะนำประเทศไปสู่การปฏิรูปอย่างชอบธรรมด้วยฉันทานุมัติของปวงชนชาวไทย โดยการที่ผลักดันให้พรรคการเมืองที่ลงสมัครรับเลือกตั้งสามารถเสนอแผนปฏิรูปของตนสู่ประชาชนอย่างเป็นรูปธรรม ให้ประชาชนพิจารณาตัดสินใจ

ประการต่อมา คงต้องอธิบายว่า การปฏิรูปการเมืองจะหมายถึงการขจัดตระกูลชินวัตรออกจากแผ่นดินคงไม่ได้ เพราะการกระทำเช่นนั้นไม่ถูกต้องตามหลักการของการเมืองสมัยใหม่ และไม่มีกฎหมายใดรองรับ ถือเป็นการใช้อำนาจตามอารมณ์เกลียด แต่ในอีกด้านหนึ่ง การปฏิรูปอันแท้จริงจะต้องเริ่มจากการปฏิรูปรัฐธรรมนูญ โดยกระบวนการแก้ไขทั้งฉบับ มีกระบวนการทำให้โครงสร้างพรรคการเมืองเป็นประชาธิปไตย ให้อำนาจสูงสุดเป็นของสภาผู้แทนราษฎร ยกเลิกวุฒิสภาแต่งตั้ง ซึ่งกระบวนการเหล่านี้ ในสมัยที่ผ่านมาพรรคเพื่อไทยพยายามจะทำแล้ว แต่ถูกขัดขวางจากศาลรัฐธรรมนูญ จนไม่อาจดำเนินการได้ ซึ่งเป็นการสะท้อนว่า การปฏิรูปการเมืองที่สมบูรณ์ คงจะต้องดำเนินการไปถึงการปฏิรูประบบตุลาการ ปฏิรูปที่มาองค์กรอิสระทั้งหมด หมายถึงการยกเลิกศาลรัฐธรรมนูญ และน่าจะต้องรวมถึงปฏิรูปหมวดพระมหากษัตริย์ในรัฐธรรมนูญเพื่อการยกเลิกองคมนตรีอีกด้วย

ดังนั้น เมื่อย้อนไปพิจารณาเนื้อหาของการ”ปฏิรูปก่อนการเลือกตั้ง” ที่นักวิชาการฝ่ายสนับสนุนนายสุเทพพยายามเสนอ ก็คือ การชิงเอาอำนาจของประชาชนส่วนข้างมากที่จะผ่านการเลือกตั้ง มายกให้แก่เสียงข้างน้อยของสภาประชาชนที่ตั้งโดยฝ่ายนายสุเทพ ข้อหนึ่งของการปฏิรูปแบบนี้ คือ ความกลัวการทุจริตคอรับชั่นที่ดำเนินการโดยฝ่ายนักการเมือง ซึ่งในกรณีนี้ เกษียร เตชะพีระ ได้อธิบายอย่างชัดเจนแล้วว่า ถ้าจะแก้ปัญหาเรื่องทุจริตคอรับชั่นต้องแก้ด้วยระบอบประชาธิปไตย จึงจะเป็นไปตามมาตรฐานสากล ถ้าการแก้ปัญหาทุจริตโดยการล้มเลิกประชาธิปไตย แล้วใช้อำนาจอื่นที่ตรวจสอบไม่ได้เข้ามาแทน จะยิ่งเป็นอันตรายและไร้หลักประกันสำหรับประเทศไทยมากยิ่งกว่า



ข้อเสนออีกประการหนึ่ง ที่เสนอให้ปฏิรูปการเมืองแบบขวาจัด โดยล้มเลิกหนึ่งสิทธิหนึ่งเสียง เพราะเสียงประชาชนในชนบทเป็นเสียงไม่มีคุณภาพ ไม่ควรมีเสียงมากเท่าผู้ดีและชนชั้นกลางที่จบปริญญา นี่ถือว่าเป็นข้อเสนออันไร้สาระ และมีลักษณะแบ่งแยกมวลชน และทำลายหลักความเสมอภาคระหว่างมนุษย์ คงไม่ต้องหยิบมาพิจารณา

ประเด็นต่อมา ก็คือ ถ้าหากล้มเลิกหรือเลื่อนการเลือกตั้งในขณะนี้ ปัญหาของประเทศไทยจะบานปลายไปมากยิ่งกว่า เพราะประชาชนอีกฝ่ายหนึ่งต้องรู้สึกว่าอำนาจของตนเองถูกช่วงชิง ยิ่งกว่านั้น ประเทศไทยคงจะก้าวไปกับนานาประเทศได้ยาก จะเอาเหตุผลอะไรไปอธิบายว่า เหตุใดประเทศไทยจึงต้องล้มเลิกการเลือกตั้งตามเสียงการข่มขู่ของฝูงชน

และนี่คือสิ่งที่เราจะต้องยืนยันในวันนี้ว่า “เอาเลือกตั้ง ไม่เอาเทือกตั้ง”

การใช้สิทธิชุมนุมประท้วงบริเวณสถานทูตสหรัฐอเมริกากับความคุ้มกันทางการทูต

การใช้สิทธิชุมนุมประท้วงบริเวณสถานทูตสหรัฐอเมริกากับความคุ้มกันทางการทูต
การที่มีผู้ชุมประท้วงได้กล่าวโจมตีเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทยที่บริเวณสถานทูตสหรัฐอเมริกา ถนนวิทยุนั้น มีข้อสังเกตดังนี้
ประการแรก ในประเทศที่ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยนั้น การแสดงความคิดเห็นทางการเมือง การชุมนุมสาธารณะหรือการเดินขบวนประท้วงเป็นการใช้สิทธิเสรีภาพที่กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมืองและกฎหมายรัฐธรรมนูญรับรองไว้ สิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและการชุมนุมประท้วงเป็นสิทธิเสรีภาพที่สำคัญของระบอบประชาธิปไตย อย่างไรก็ดี สิทธิเสรีภาพดังกล่าวเป็นสิทธิที่อาจถูกจำกัดได้ตามกฎหมาย กล่าวอีกนัยหนึ่งสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและการชุมนุมประท้วงไม่ใช่สิทธิเด็ดขาด (absolute right) ที่รัฐไม่อาจจำกัดได้เลย แต่เนื่องจากขณะนี้ประเทศไทยยังไม่มีกฎหมายเกี่ยวกับการชุมนุมสาธารณะ (รวมถึงการเดินประท้วง) มีเพียงบทบัญญัติกว้างๆในรัฐธรรมนูญที่รับรอง “เสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธ” เท่านั้น แต่ไม่มีกฎเกณฑ์รายละเอียดเกี่ยวกับกรอบกติกาของการชุมนุมเลย ที่ผ่านมาเราจึงเห็นผู้ชุมนุมเข้าไปใน “สนามบิน”  “สถานที่ทำการของหน่วยราชการ”  “สี่แยกต่างๆในกรุงเทพ” และล่าสุดคือ “บริเวณสถานทูต” คำถามมีว่า สังคมไทยจะปล่อยให้ผู้ชุมนุมอ้างคำว่า “ชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธ” แล้วก็ “เข้าไป” สถานที่สำคัญต่างๆหรือแม้ไม่เข้าไปก็ชุมนุมบริเวณรอบๆสถานที่ทำการต่างๆ อันจะก่อให้เกิดการกีดขวางต่อการปฏิบัติหน้าที่หรือก่อความวุ่นวายต่อไปหรือ
ประการที่สอง แม้การชุมนุมปราศรัยของผู้ประท้วงจะยังมิได้ “เข้าไป” ในสถานทูตสหรัฐอเมริกาก็ตามแต่การชุมนุมปราสัยโจมตีบริเวณรอบๆสถานทูตผ่านลำโพงก็อาจเข้าข่ายเป็น “การรบกวนใดๆต่อความสงบสุขของคณะผู้แทน” ได้ โดยปกติแล้ว การประท้วงชุมนุมบริเวณสถานทูตเป็นเรื่องปกติที่สังคมประชาธิปไตยทำกัน ซึ่งมักจะอยู่ในรูปของการชูป้ายประท้วง การใช้โทรโข่งวิพากษ์วิจารณ์ ฯลฯ แต่การประชุมที่มีลักษณะเป็นการขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ หรือเป็นการรบกวน หรือการปราศรัยที่ใช้ถ้อยคำรุนแรงเป็นสิ่งต้องห้าม ประเทศไทยในฐานะรัฐผู้รับ (Receiving state) มีหน้าที่จะต้องให้ความคุ้มครองป้องกันมิให้มีการรบกวนใดๆอันเป็นการขัดต่อความสงบสุขหรือเป็นการทำให้เสื่อมเสียเกียรติของคณะผู้แทนอันเป็นการละเมิดข้อบทที่ 22 (2) ของอนุสัญญากรุงเวียนนาว่าด้วยความสัมพันธ์ทางการทูต ค.ศ. 1961 นอกจากนี้ กฎหมายภายในบางประเทศให้ความสำคัญกับการคุ้มครองสถานทูตเป็นพิเศษ กฎหมายว่าด้วยการชุมนุมสาธารณะของบางประเทศอย่าง ประเทศเนเธอร์แลนด์ ห้ามมิให้มีการชุมนุมบริเวณศาลโลก สถานทูต และสถานกงสุล อันมีลักษณะเป็นการขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่[1] ในประเทศสหรัฐอเมริกาได้ออก  Joint Resolution ในปี 1938 ห้ามมิให้มีการชุมนุมบริเวณสถานทูตต่างประเทศของรัฐผู้ส่งภายในรัศมี 500 ฟุต[2] ส่วนประเทศออสเตรเลียได้ออกกฎหมายชื่อว่า “ The Public Order (Protection of Persons and Property) Act 1971 โดยในหมวดที่ 3 ของกฎหมายนี้ได้กำหนดกฎเกณฑ์รายละเอียดเกี่ยวกับการชุมนุมสาธารณะบริเวณสถานทูตและสถานกงสุลไว้อย่างละเอียดไมว่าจะเป็นเรื่องของการห้ามการชุมนุมบริเวณสถานทูตและสถานกงสุลอันอาจจะก่อให้เกิดความรุนแรงหรือความเสียหายได้ การบัญญัติความผิดทางอาญาเกี่ยวกับการทำร้าย การก่อกวน หรือการขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของคณะผู้แทนทางการทูตรวมทั้งการรับรองการสลายการชุมนุม (Dispersal of assemblies) ด้วย
ประการที่สาม การที่ผู้ชุมนุมปราศัยโจมตีเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย อย่างรุนแรงนั้น ประเทศไทยในฐานะรัฐผู้รับ (Receiving state) มีพันธกรณีที่จะต้องดำเนินการตามความเหมาะสมที่จะต้องปกป้องเกียรติของตัวแทนทางทูตตามข้อบทที่ 29 แห่งอนุสัญญากรุงเวียนนาว่าด้วยความสัมพันธ์ทางการทูต ค.ศ. 1961 ที่รับรองหลัก “ความละเมิดมิได้ในตัวบุคคล” (Personal Inviolability) โดยตามกฎหมายระหว่างประเทศ เอกอัครราชทูตผู้มีอำนาจเต็มถือว่าเป็น “ตัวแทนของรัฐผู้ส่ง” และรัฐผู้รับจะต้องปฏิบัติต่อเอกอัครราชทูต (รวมทั้งคณะผู้แทนทางทูต) อย่างสมเกียรติด้วย นอกจากนี้ ประมวลกฎหมายอาญาของไทย ยังมีบทบัญญัติคุ้มครองเกียรติยศของผู้แทนของรัฐต่างประเทศเป็นการเฉพาะอีกด้วย โดยประมวลกฎหมายอาญา หมวด 4 ว่าด้วยความผิดต่อสัมพันธไมตรีกับต่างประเทศ มาตรา 134 บัญญัติว่า “ผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายผู้แทนรัฐต่างประเทศซึ่งได้รับแต่งตั้งให้มาสู่พระราชสำนัก ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หกเดือนถึงห้าปีหรือปรับตั้งแต่หนึ่งพันบาทถึงหนึ่งหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ”[3]
ประการสุดท้าย สำหรับประเด็นเรื่องการแทรกแซงกิจการภายในของรัฐผู้รับนั้น ตามอนุสัญญากรุงเวียนนาข้อบทที่ 41 บัญญัติว่าตัวแทนทางทูตมีหน้าที่ที่จะไม่แทรกแซงหรือยุ่งเกี่ยวกับกิจการภายในของรัฐผู้รับ ประเด็นก็คือ อนุสัญญานี้ไม่ได้ให้คำนิยามว่า “กิจการภายใน” มีความหมายแคบกว้างเพียงใด  ตัวอย่างที่น่าสนใจในอดีตคือ กรณีที่รัฐบาลสิงคโปร์เคยขับเลขานุการเอก (First Secretary) ของประเทศสหรัฐอเมริกาประจำประเทศสิงคโปร์ออกจากประเทศ (ภาษาทางการทูตเรียกว่า การประกาศให้เป็นบุคคลที่ไม่พึงปรารถนา หรือ persona non grata) เมื่อช่วงเดือนพฤษภาคม ปี ค.ศ. 1988 ซึ่งเป็นที่รู้จักในนามว่า “Hendrickson affair” โดยรัฐบาลสิงคโปร์เห็นว่า เลขานุการเอกท่านนี้เกี่ยวข้องกับการจัดตัวผู้รับสมัครเลือกตั้งของประเทศสิงคโปร์[4] แต่การแสดงความเห็นในเชิงสนับสนุนให้มีการเลือกตั้งตามวิถีทางระบอบประชาธิปไตยไม่ถือว่าเป็นการแทรกแซงกิจการภายในของรัฐผู้รับ
บทส่งท้าย
ประเทศไทยในฐานะ “รัฐผู้รับ” มีหน้าที่พิเศษที่จะต้องปกป้องคุ้มครอง “สถานทูตสหรัฐอเมริกา” (รวมถึงที่พักส่วนตัวของคณะผู้แทนทางทูต) และเกียรติยศของตัวแทนทางทูตของประเทศสหรัฐอเมริกาในฐานะรัฐผู้ส่ง (Sending State) มิให้มีการละเมิดได้ อันเป็นพันธกรณีที่ประเทศไทยในฐานะรัฐภาคีอนุสัญญาว่าด้วยความสัมพันธ์ทางการทูต ค.ศ. 1961 จะต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด



[1] PUBLIC ASSEMBLIES ACT 1988, Section 9
[2] Eileen Denza, Diplomatic Law, (USA: Clarendon Press, 1998), p. 115
[3] นอกจากนี้โปรดูฎีกาที่ 785/2501 ซึ่งศาลฎีกาได้ตัดสินความผิดฐานหมิ่นประมาทเอกอัครราชทูตต่างประเทศว่าเป็นความผิดตามาตรา 134 แห่งประมวลกฎหมายอาญา
[4] ดู Eileen Denza, หน้า 377 Eileen Denza ได้อ้างนิตยสาร Time ลงวันที่  24 พฤษภาคม 1988

ทุกครั้งที่คุณไปชุมนุมกับ กปปส.คุณกำลังเหยียบหัวผมและอีกหลายๆ ล้านคนโดยไม่รู้ตัว?

ทุกครั้งที่คุณไปชุมนุมกับ กปปส.คุณกำลังเหยียบหัวผมและอีกหลายๆ ล้านคนโดยไม่รู้ตัว?
มีเพื่อนเสนอว่า "ช่วยทำให้ fb ให้มีชีวิตชีวาและไม่ unfriendly" ผมก็ต้องยอมรับว่าช่วงนี้ใจผมไม่ค่อยจะเบิกบานนักจึงยังไม่มีอารมณ์โพสต์เรื่องราวที่สวยงามหรือมีชีวิตชีวา ไม่มีอารมณ์เป่านกหวีดหรือโบกธงอย่างสนุกสนาน ทำไมหรือ? เพราะผมรู้สึกว่าสิทธิทางการเมืองของผมกำลังถูกละเมิดอย่างรุนแรง
มีขบวนการทางการเมืองที่ถือว่าพวกตนคือมวลมหาประชาชนไทยทั้งประเทศหรือ กปปส. กำลังผลักดันกดดันทุกวิถีทางที่จะตัดสิทธิในการเลือกตั้งของผมเป็นเวลาอย่างน้อยหนึ่งปี สถาปนานายกรัฐมนตรีชั่วคราวที่ผมไม่มีส่วนเลือก และตั้งสภาของพวกเขาเองที่เรียกว่า “สภาประชาชน” เพื่อแก้ไขกฎกติกาต่างๆ ที่จะมีผลกระทบต่อผมโดยตรง
นี่เป็นความพยายามเปลี่ยนแปลงการปกครองประเทศที่ไม่อยู่ในกติการัฐธรรมนูญปัจจุบันโดยจะไม่มีการปรึกษาหารือผมหรือประชาชนอีกหลายๆล้านคนที่ไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอและการผลักดันกดดันของพวกเขา พวกผมมีสิทธิเพียงที่จะเห็นด้วย (“Like”) เท่านั้น แต่ไม่มีสิทธิที่จะไม่เห็นด้วย (“Dislike”) วิธีเดียวที่พวกผมจะแสดงออกถึงพลังการคัดค้านได้อย่างเท่าเทียมกับพลังของพวกเขาเห็นจะต้องรวมพลังกันออกสู่ท้องถนนเช่นเดียวกับพวกเขา และผลที่จะน่าจะต้องตามมาคือการปะทะกันและการนองเลือดเริ่มจากเฉพาะบางพื้นที่และขยายตัวไปเรื่อยๆจนกลายเป็นสงครามกลางเมือง ถึงเวลานั้นตำรวจทหารก็คุมสถานการณ์ไม่อยู่
เมื่อผมลงข้อความในไลน์กลุ่ม เสนอต่อเพื่อนๆ ในกลุ่มส่วนหนึ่งที่ยังไปร่วมชุมนุมกับ กปปส. หลังจากที่รัฐบาลได้ยุบสภาแล้ว ว่าเขาอาจกำลังสนับสนุนขบวนการเผด็จการฟาซิสต์โดยไม่รู้ตัว ผมก็ถูกวิจารณ์ว่าไม่เคารพต่อความคิดเห็นที่ต่างกันของเพื่อน
เพื่อนบางคนโต้ผมว่าที่พวกเขาไปร่วมชุมนุมกับ กปปส. ไม่ได้หมายความว่าเขาเห็นด้วยกับข้อเสนอต่างๆ ของแกนนำ กปปส. แต่เป็นเพราะเขาทนพฤติกรรมของรัฐบาลปัจจุบันไม่ได้เลย และต้องการให้เกิดการปฏิรูปการเมืองอย่างจริงจัง
ผมก็ถามย้อนกลับว่าหากมีขบวนการทางการเมืองที่ชูนโยบายเรื่องรัฐสวัสดิการ (พวกเราเป็นกลุ่มสนับสนุนรัฐสวัสดิการ) แต่ในขณะเดียวกันมีนโยบายขับไล่ผู้ติดเชื้อเอชไอวีทั่วประเทศไปอยู่บนเกาะแห่งหนึ่ง แล้วผมไปร่วมชุมนุมกับขบวนการนี้โดยอธิบายว่าเป็นเพราะผมเห็นด้วยกับการมีรัฐสวัสดิการ แต่เรื่องการขับไล่ผู้ติดเชื้อไปอยู่บนเกาะเป็นเรื่องที่อาจเห็นต่างกันได้ เขาจะว่าอย่างไร?
ผมไม่คิดแม้แต่นิดว่าเพื่อนผมเหล่านี้นิยมเผด็จการหรือการละเมิดสิทธิของผู้อื่น แต่กระแสวาทกรรมนั้นแรงมาก สามารถตอบสนองความไม่พอใจต่อรัฐบาลและลักษณะการปกครองประเทศในปัจจุบัน ประกอบกับความรู้สึกถึงความเป็นพลังอันหนึ่งอันเดียวกันเพื่อขจัดสิ่งชั่วร้าย นี่คืออารมณ์ร่วมของประชาชนจำนวนมหาศาลที่เป็นคลื่นสึนะมิซัดลงมาบนแผ่นดิน โดยเรื่องของการคิดวิเคราะห์ไตร่ตรองเพื่อทำความเข้าใจกับขบวนการนี้เกิดขึ้นไม่ทัน 

กปปส. ตั้ง 5 เวทีใหญ่ - 'เสรี วงศ์มณฑา' จัดทัพไปบ้านยิ่งลักษณ์ 9.00 น. อาทิตย์นี้

กปปส. ตั้ง 5 เวทีใหญ่ - 'เสรี วงศ์มณฑา' จัดทัพไปบ้านยิ่งลักษณ์ 9.00 น. อาทิตย์นี้
สาทิตย์ วงศ์หนองเตยชี้แจงชุมนุมใหญ่ 22 ธ.ค. มีการตั้ง 5 เวทีใหญ่รอบกรุง มีขบวนแรลลี่กู้ชาติจากต่างจังหวัดสมทบที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ-แยกอโศก และจัดขบวนพิเศษโดยเสรี วงศ์มณฑาพาผู้ชุมนุมไปหน้าบ้านนายกรัฐมนตรี ส่วนความเคลื่อนไหวสุเทพขออุบไว้ก่อน จะแถลงอีกทีวันอาทิตย์
การเดินขบวนใหญ่ของ กปปส. จากศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ มุ่งหน้าทำเนียบรัฐบาล เมื่อวันที่ 9 ธ.ค. 2556 (ที่มา: แฟ้มภาพ/ประชาไท)

21 ธ.ค. 2556 - เมื่อคืนวันที่ 20 ธ.ค. ภายหลังสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส. ปราศรัยจบแล้ว (อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง) สาทิตย์ วงศ์หนองเตย แกนนำ กปปส. ชี้แจงกับผู้ชุมนุมถึงการจัดจุดชุมนุมและเวทีในวันที่ 22 ธ.ค. ว่า นอกจากที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยแล้ว จะมีการจัดเวทีใหญ่ 5 เวที ได้แก่ หนึ่ง ที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ นำโดยอิสสระ สมชัยเป็นผู้ประสานการจัดกิจกรรมบนเวที สอง หน้าหอศิลป์ กรุงเทพมหานคร มีกลุ่มศิษย์เก่าจุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัยรับผิดชอบจัดการแสดง สาม แยกราชประสงค์ แกนนำคือดนัย จันทร์เจ้าฉาย ร่วมกับนักธุรกิจที่ราชประสงค์ สี่สวนลุมพินี ฝั่งสีลม มีกลุ่มนักธุรกิจสีลมเป็นแกนนำ และห้าเวทีอโศก มีกลุ่มนักธุรกิจที่อโศกและแกนนำ กปปส. รับผิดชอบ
ทั้ง 5 เวที เริ่มตั้งแต่เวลา 13.00 น. จะมีผู้รับผิดชอบกิจกรรมตลอดรายการ และจะมีการถ่ายทอดสดกิจกรรมที่เวทีหลัก อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย
สาทิตย์ วงศ์หนองเคย ระบุด้วยว่าจะมี "ขบวนแรลลี่กู้ชาติ" เคลื่อนมาจากต่างจังหวัด ทางภาคตะวันออกเฉียงใต้จะมาจากด้านรังสิต-ดอนเมือง ไปสมทบการชุมนุมที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ และภาคตะวันออกจะมุ่งหน้ามาจากบางนา จะมาสมทบกับเวทีชุมนุมที่อโศก และหากมีตำรวจสกัดให้จอดรถแล้วปราศรัยได้เลย นอกจากนี้จะมีกิจกรรมของกลุ่ม กปปส. ในต่างจังหวัดด้วย และในเวลา 18.00 น. จะมีการเคารพธงชาติ และหลังจากนั้นสุเทพ เทือกสุบรรณ จะปราศรัยสำคัญ เพื่อประกาศขับไล่นายกรัฐมนตรีออกจากตำแหน่งรักษาการ
แกนนำ กปปส. ผู้นี้แจ้งด้วยว่าจะมีการชุมนุมของชาวไทยที่วอชิงตัน ดีซี สหรัฐอเมริกาด้วย
ขณะเดียวกัน วันที่ 22 ธ.ค. จะมีการจัดขบวนพิเศษ เพื่อไปที่บ้านนายกรัฐมนตรีที่ซอยโยธินพัฒนา 3 โดยขบวนจะออกเวลา 9 โมงเช้า แต่ใครจะไปรออยู่ก่อนก็ได้ แกนนำคือของขบวนเฉพาะกิจคือ เสรี วงศ์มณฑา ส่วนความเคลื่อนไหวของสุเทพ เทือกสุบรรณนั้นจะเปิดเผยในวันที่ 22 ธ.ค.

นายกฯ ยันเลือกตั้ง 2 ก.พ. ชวนทุกพรรคให้สัตยาบันตั้งสภาปฏิรูปฯ วาระ 2 ปี

นายกฯ ยันเลือกตั้ง 2 ก.พ. ชวนทุกพรรคให้สัตยาบันตั้งสภาปฏิรูปฯ วาระ 2 ปี
               นายกฯ แถลงยืนยันเลือกตั้ง 2 ก.พ. เพิทักษ์รัฐธรรมนูญ ปกป้องระบอบประชาธิปไตย ด้วยศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ที่เท่าเทียม เป็นที่ยอมรับของสากล ชี้การปฏิรูปคู่ขนานไม่ขัดเลือกตั้ง ใช้กลไกรัฐสภาเป็นหลักขับเคลื่อนให้ข้อเสนอเป็นจริงได้
           21 ธ.ค.2556 เมื่อเวลา 14.30 น. นายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี แถลงผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจ อ้างถึงพระราชกฤษฎีกาเลือกตั้ง ซึ่งกำหนดวันเลือกตั้งไว้ในวันที่ 2 ก.พ.57 รัฐบาลยังยันเจตนารมณ์ที่ต้องการพิทักษ์รักษารัฐธรรมนูญและปกป้องระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ด้วยการให้ประชาชน มีสิทธิ มีเสียงทั่วประเทศ และมีศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ที่เท่าเทียมกัน เป็นผู้กำหนดทิศทางของประเทศ และร่วมกันหาทางออกจากวิกฤตการณ์ทางการเมืองภายใต้กรอบกติกาประชาธิปไตยอันเป็นที่ยอมรับของสากล ในขณะเดียวกัน จากเวทีการระดมความคิดเห็นต่างๆ รัฐบาลมีความเห็นที่สอดคล้องว่า การดำเนินการปฏิรูปประเทศทั้งในมิติของการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมนั้น มีความจำเป็น ซึ่งรัฐบาลก็พร้อมที่จะร่วมในการผลักดันและสนับสนุนให้เกิดการปฏิรูปที่สร้างสรรค์และเป็นประโยชน์กับประชาชนทั้งประเทศอย่างแท้จริง
           นายกฯ ยิ่งลักษณ์ กล่าวรัฐบาลขอยืนยันด้วยว่ากระบวนการปฏิรูปประเทศนั้นสามารถที่จะดำเนินการคู่ขนานกันไป โดยไม่ขัดแย้งกับกระบวนการเลือกตั้งตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งอาณาจักรไทย ตรงกันข้ามกลับเป็นความจำเป็นด้วยซ้ำที่การเลือกตั้งจะต้องเดินหน้า
            ด้วยเหตุผลที่เมื่อมีฝ่ายนิติบัญญัติที่เป็นตัวแทนของประชาชนแล้ว กลไกรัฐสภาจะต้องเป็นกลไกหลักที่จะขับเคลื่อนให้ข้อเสนอการปฏิรูปต่างๆเป็นจริงขึ้นมาได้ ด้วยแนวคิดดังกล่าว รัฐบาลเห็นว่าเพื่อให้ประชาชน มีความมั่นใจว่าหลังจากการเลือกตั้งทั่วไปในวันอาทิตย์ที่ 2 ก.พ.57 แล้ว สภาผู้แทนราษฏรและคณะรัฐมนตรีที่เกิดขึ้นใหม่ จะต้องกำหนดให้การปฏิรูปประเทศเป็นวาระแห่งชาติ
ทั้งนี้นายกฯ ยิ่งลักษณ์ได้เสนอเพื่อดำเนินการตามลำดับ 3 ข้อดังนี้
  • 1. พรรคการเมืองที่ส่งสมาชิกลงรับเลือกตั้งคราวนี้ พร้อมทั้งองค์กรหรือภาคีอื่นที่เกี่ยวข้อง ให้สัตยาบันว่าหลังจากสภาผู้แทนราษฎร์และคณะรัฐมนตรีชุดใหม่เข้ารับหน้าที่แล้ว จะมีการจัดตั้งสภาปฏิรูปประเทศไทยขึ้นทันที
  • 2. การจัดตั้งสภาปฏิรูปประเทศไทย จะประกอบด้วยตัวแทนจากองค์กรวิชาชีพหรือสถาบันต่างๆ ที่มีกฎหมายรองรับพรรคการเมืองทุกพรรค รวมถึงที่ประชุมที่แม้มิได้มีกฎหมายรองรับแต่มีบทบาทที่สำคัญของประเทศเช่น ที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย ที่ประชุมปลัดกระทรวงและหัวหน้าส่วนราชการ หรือองค์กรอื่นๆในลักษณะที่เทียบเคียงกันได้ ตลอดจนตัวแทนของกลุ่มวิชาชีพทั้งในระดับท้องถิ่นและระดับชาติ รวมถึงกลุ่มที่มีความคิดเห็นทางการเมืองสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มไหนก็ตาม
  • 3. สภาปฏิรูปประเทศไทยสมควรมีวาระการทำงานไม่เกิน 2 ปีและมีหน้าที่สำคัญคือการจัดทำและเสนอกลไกเพื่อปฏิรูปประเทศไทยในระยะยาวโดยเฉพาะอย่างยิ่งการปฏิรูปการเมืองให้การเมืองในอนาคตสามารถเป็นปากเสียงแทนประชาชนได้อย่างแท้จริง ข้อเสนอของรัฐบาลดังกล่าวเป็นข้อเสนอเบื้องต้นเพื่อเป็นจุดเริ่มต้นให้ฝ่ายต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นพรรคการเมือง กลุ่มการเมือง นักวิชาการ นักธุรกิจ และพี่น้องประชาชนทุกคน ได้ถกเถียงแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นและเสนอแนะเพื่อปรับปรุงให้กลไกเฉพาะกิจดังกล่าวเกิดขึ้นได้โดยเร็วที่สุด และนำไปสู่การปฏิรูปประเทศอย่างแท้จริง

            นายกฯ กล่าวด้วยว่าเวทีต่างๆจะได้นำข้อเสนอของรัฐบาลไปพิจารณา และมีข้อแนะนำกลับมายังรัฐบาล ทั้งนี้รัฐบาลตั้งใจไว้ว่า หากทุกฝ่ายเห็นพ้องต้องกัน กระบวนการปฏิรูปจะเริ่มต้นอย่างเป็นรูปธรรมโดยเร็วที่สุด รัฐบาลขอเชิญชวนให้ประชาชนทุกคน เข้ามามีส่วนร่วมในการปฏิรูปประเทศครั้งนี้ เพราะเป็นอนาคตของปวงชนชาวไทยทุกคน และรัฐบาลเชื่อว่าหากพี่น้องคนไทยร่วมมือร่วมใจกัน เราจะหาทางแก้ไขวิกฤตทางการเมือง และนำความสงบสันติกลับมาสู่ประเทศชาติของเราทุกคน

สุเทพย้ำชุมนุม 22 ธ.ค. ตั้ง 5 เวทีใหญ่ ชวนประชาชนร่วมแสดงออกเต็มที่

สุเทพย้ำชุมนุม 22 ธ.ค. ตั้ง 5 เวทีใหญ่ ชวนประชาชนร่วมแสดงออกเต็มที่
เลขาธิการ กปปส. ปราศรัยก่อนชุมนุมใหญ่ 22 ธ.ค. ย้ำต้องขับไล่รัฐบาลรักษาการ เปิดทางให้มีการปฏิรูปประเทศ ยืนยันไม่ได้ต่อต้านการเลือกตั้ง แต่ต้องปฏิรูปก่อนจากนั้นเชิญเลือกตั้งกันให้เพลิน ลั่นจะไปชุมนุมวันรับสมัคร ส.ส. พร้อมชี้แจงชุมนุมพรุ่งนี้จะต้องปิดกรุงเทพครึ่งวัน ตั้ง 5 เวทีใหญ่ 10 เวทีย่อย เชิญประชาชนมาปิคนิคกลางถนนหลวง
การปราศรัยของสุเทพ เทือกสุบรรณ เมื่อวันที่ 21 ธ.ค. 2556 ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย (ที่มา: Blue Sky Channel)

สุเทพยืนยันรัฐบาลสิ้นสภาพแล้วทั้งกฎหมายและการเมือง แต่ยังเป็นจระเข้ขวางคลองอยู่ต้องไล่ออกไป
21 ธ.ค. 2556 - เมื่อเวลา 20.00 น. วันนี้ (21 ธ.ค.) สุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส. ได้ปราศรัยในการชุมนุมที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ระบุว่า รัฐบาลยิ่งลักษณ์สิ้นความชอบธรรมไปแล้ว เพราะไม่ยอมรับคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่เป็นกฎหมายสูงสุด จึงไม่ชอบธรรมที่จะเป็นรัฐบาลต่อไป และพยายามออกกฎหมายพิเศษเพื่อนิรโทษกรรมล้างผิดให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรที่ศาลพิพากษาแล้วว่าใช้อำนาจหน้าที่ในฐานะนายกรัฐมนตรีขัดต่อกฎหมาย และศาลยังลงโทษยึดทรัพย์ 46,000 ล้านบาท ใช้อำนาจหน้าที่มิชอบหาเงินจำนวนนั้นมา ทั้งสองกรณีนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรต่อสู้คดีแล้ว ถึงขนาดให้ทนายเอาถุงขนมไปลืมไว้ที่ศาล 2 ล้าน ศาลเลยจำคุกทนายฐานหมิ่นศาล ไม่มีประเทศไหนในโลกที่จะออกกฎหมายนิรโทษกรรมให้คนทุจริต แต่รัฐบาลนี้ทำเพราะเป็นน้องสาวของนักโทษหนีคดี
"ขอเรียนพี่น้องที่เพิ่งมาว่าตรงที่ ถ.ดินสอนั้น สมุนบริวารของทักษิณมาสู้เพื่อทักษิณเท่านั้น ชุมนุมตรงนี้ เอาปืนตรงนี้ไปยิงทหาร พล.อ.ร่มเกล้า ตายตรงนั้น ทหารตาย 5 คน บาดเจ็บ 400 คน หลังจากนั้นฆ่าตำรวจ ก่อจลาจล ก่อการร้าย ฆ่าตำรวจ ทหาร ประชาชน เพื่อทักษิณ คนเดียว แต่ยิ่งลักษณ์จะออกกฎหมายพิเศษนิรโทษกรรมคนเหล่านั้น ไม่ต้องนับเรื่องอื่น สองเรื่องนี้เพียงพอที่จะพิพากษาได้แล้วว่ารัฐบาลยิ่งลักษณ์หมดความชอบธรรมที่จะเป็นรัฐบาล เป็นพระก็ปราชิกแล้ว แต่แกไม่ออก กอดเก้าอี้แข็ง ประชาชนออกมาชุมนุม เดินขบวนต่อต้านเป็นล้านคนแล้ว เมื่อ 24 พ.ย. และเมื่อวันที่ 9 ธ.ค. แปลว่าประชาชนที่รัฐบาลนี้ปกครองอยู่ เขาปฏิเสธการบริหารของรัฐบาลนี้ รัฐบาลนี้หมดความชอบธรรมทางการเมืองด้วย นอกจากหมดความชอบธรรมทางกฎหมายแล้ว"
"ทางกฎหมายเป็นต่อไม่ได้ ทางการเมืองเป็นต่อไม่ได้ แต่แกอ้างหน้าตาเฉยว่าไม่ออก พอเราเดินขบวนแกก็ยุบสภา บอกว่ายอมแล้ว ถอยแล้ว เลือกตั้งเถอะ คืนอำนาจให้แล้ว ประชาชนไม่ยอม เพราะเอ็งถอยไม่จริง ถอยแบบมีเชิง เราก็เรียกร้องในเมื่อคุณไม่มีสิทธิแล้ว ไม่มีความชอบธรรมเป็นรัฐบาลแล้ว แม้จะยุบสภาจะรักษาการเป็นนายกรัฐมนตรี ยังมีอิทธิพลเหนือตำรวจ ข้าราชการฝ่ายปกครอง และคุณยังมีเงินมหาศาล ถ้าขืนเลือกตั้งต่อก็โกงเข้ามาอีก ซื้อคะแนนเสียงอีก พวกคุณมาเป็นรัฐบาลอีก ทุจริตคอร์รัปชั่นทำร้ายประเทศไทยอีก เราถึงไม่ยอม"
"เราบอกแกแล้วอำนาจอธิปไตยของประชาชนคนไทย ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 3 เป็นของปวงชนชาวไทย ซึ่งมอบอำนาจให้สภา ให้รัฐบาล แต่ปรากฏว่าทั้งสภา และรัฐบาลสุมหัวสมคบกันทรยศความไว้วางใจของประชาชน ประชาชนจึงเอาอำนาจอธิปไตยคืน เขาต้องออกไป เมื่อเขาไม่ออกไป เราถึงมาไล่เขาในวันพรุ่งนี้ยังไงครับ ต้องไล่ออกให้ได้ ไม่อย่างนั้นประเทศไทยไปไม่ได้ นายกรัฐมนตรี รัฐบาลนี้ และระบอบทักษิณนอนเป็นจระเข้ขวางคลองอยู่ เราพัฒนาประเทศไม่ได้ ถ้าไม่เขายังอยู่ในอำนาจ เราจึงต้องไล่เขาในวันพรุ่งนี้"

ยืนยันขับไล่รัฐบาลรักษาการ เพื่อปฏิรูปประเทศ ใช้เวลาไม่เกินปีครึ่ง
สุเทพกล่าวด้วยว่า "เชื่อว่าพรุ่งนี้จะมีพี่น้องประชาชนมืดฟ้ามัวดิน ออกมาชุมนุม แสดงตนเปิดเผยกล้าหาญ เพื่อไล่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตรออกไป พี่น้องทั้งหลาย เหตุผลประการที่สอง ที่เราออกมาชุมนุมในวันพรุ่งนี้แล้วนอกจากไล่ยิ่งลักษณ์ คือต้องการยืนยันให้คนทั้งประเทศ ทั้งโลก ได้เข้าใจ ว่าเจตนารมณ์มวลมหาประชาชนทั้งหลาย ต้องการปฏิรูปประเทศไทย เปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยสมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ไม่ใช่ประชาธิปไตยแบบอื่น ปฏิรูปการเลือกตั้ง ทั้งกฎหมายเลือกตั้ง พรรคการเมือง กฎหมายควบคุมตรวจสอบเลือกตั้ง ปฏิรูปกฎหมายปราบปรามคอร์รัปชั่น ปฏิรูปกฎหมายปกครองกระจายอำนาจให้ประชาชน ให้ประชาชนจัดการเอง เลือกผู้ว่าราชการจังหวัดเองทุกจังหวัด ปฏิรูปประเทศช่วยเหลือให้คนยากจนลืมตาอ้าปาก อยู่อย่างมีศักดิ์ศรี ดูแลเรื่องที่อยู่อาศัย อาชีพ การรักษาพยาบาล การศึกษา ของลูกหลานเขา และเรื่องสำคัฐคือปฏิรูปโครงสร้างตำรวจให้ตำรวจอยู่ใต้กำกับประชาชน ไม่ใช่เป็นนายประชาชน"
"ใช้เวลาปฏิรูป 8 เดือน 12 เดือน ไม่เกินปีครึ่ง แล้วเราไปเลือกตั้ง ผมเองไม่คิดเป็นนักการเมือง ผมเองเลิกแล้ว พี่น้องก็กลับบ้าน พูดอย่างนี้ อธิบายอย่างนี้ มันก็แกล้งไม่เข้าใจ ออกมาแด๊ะๆๆ บอกว่าไปไหนไม่ได้ ต้องรักษาการเป็นนายกรัฐมนตรี การเลือกตั้งมีพระราชกฤษฎีกาแล้ว เลื่อนไม่ได้ นี่ท่องอย่างแผ่นเสียงตกร่อง เราต้องยืนยันพี่น้อง ว่าเลือกตั้งไม่ได้ ต้องเปลี่ยนแปลงปฏิรูปประเทศก่อน เลือกตั้งภายใต้กติกาเดิมพวกมึงกลับมาขี่คอพวกกูอีก เพราะฉะนั้นต้องปฏิรูปก่อน ไม่ต้องตีสำบัดสำนวนว่าไม่มีกฎหมายรองรับ เออ พูดไปเรื่องกฎหมาย กูมีตีนของประชาชน ไล่มึงออกไป"

ยืนยันไม่ต่อต้านเลือกตั้ง แต่ต้องปฏิรูปก่อนจากนั้นเชิญเลือกตั้งให้เพลิน ลั่นจะไปชุมนุมวันรับสมัคร ส.ส.
"และประชาชนจะลุกขึ้นต่อสู้ยืนยันว่าไม่เอาเลือกตั้งจนกว่าจะปฏิรูปเสร็จ ไม่ใช่เราต่อต้านการเลือกตั้ง เฉพาะเลือกตั้งครั้งนี้ เท่านั้นปฏิรูปให้เสร็จก่อน แล้วเชิญไปเลือกตั้งกันให้เพลินไปเลย" เลขาธิการ กปปส. กล่าว
สุเทพยืนยันด้วยว่า เสียงของคนในทุกภาคส่วนเห็นด้วยกับมวลมหาประชาชนว่าต้องปฏิรปก่อน รัฐบาลนี้ไม่เป็นที่ปรารถนาของประชาชน ประชาชนเขาจึงขออำนาจคืน
ตอนหนึ่งสุเทพปราศรัยเรียกร้องให้ข้าราชการตัดสินใจเลือกข้างด้วยว่า "ส่วนข้าราชการยังตัดสินใจไม่ได้สักที เราออกมาแสดงพลังเพิ่มขึ้นๆ ตอนแรกๆ ฝ่ายรัฐบาลเขาก็วางแผนปล่อยให้พวกเราชุมนุมไป ปล่อยให้พวกเราเดินขบวนไป ไม่เท่าไหร่ก็หมดแรง เบื่อไปเอง กลับบ้านเอง เขาแกล้งอยู่เฉย อยู่กรุงเทพไม่ได้ก็ไปแรดแถวภาคเหนือ ภาคอีสาน แต่พี่น้องประชาชนก็สุดยอด ไม่เบื่อสักที ไม่หมดแรงสักที เพิ่มขึ้นทุกวัน มันใช้วิธีการอุบาทว์ เอากฎหมายของไอ้ธาริตอายัดทรัพย์เราหมด แม้กระทั่งค่ากับข้าวให้พวกเราหมดจะได้กลับบ้าน พี่น้องประชาชนของเราก็แน่มากยึดบัญชีกูได้ยึดไป เงินกูไม่มีหมด เพราะเงินของมวลมหาประชาชนมีเยอะมาก เห็นไหมครับ ศิษย์เก่าจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยนักธุรกิจขึ้นมาบนเวทีบอกว่ามาทุกอาทิตย์ มากินอาหารปักษ์ใต้เสร็จก็บริจาคสองพัน ห้าพัน พอเห็นธาริตอายัดบัญชีค่ากับข้าวเลยชวนเพื่อนฝูงบริจาค นี่เฉพาะศิษย์เก่าสามรุ่น ได้สามแสนสามหมื่นบาทแล้ว แล้วยังมีประเภทใส่ซองมาอีก เหมือนคณะครู นักเรียน ประชาชน จาก จ.ชุมพร อย่างนี้พวกกูสู้ได้เป็นปี ยิ่งลักษณ์เอ๋ย ไม่มีหมดแรง ประกาศให้ข้าราชการ พลเรือน ทหาร ตำรวจให้ทราบ ให้ออกมาดูบ้าง ว่ามีประชาชนมาชุมนุมเท่าไหร่"
ทั้งนี้สุเทพปราศรัยด้วยว่า ในวันที่ 23 ธ.ค. จะรวมตัวเดินไปยืนหน้าสนามกีฬาไทยญี่ปุ่นดินแดง เพื่อแสดงว่าเราไม่ต้องการให้มีการเลือกตั้ง

ชี้แจงปิดกรุงเทพครึ่งวัน ตั้ง 5 เวทีใหญ่ 10 เวทีย่อย เชิญ ปชช. ปิคนิคกลางถนนหลวง
ต่อมาสุเทพชี้แจงกิจกรรมที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 22 ธ.ค. ว่าจะมีการทำ 5 เวทีใหญ่ ได้แก่ อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ แยกปทุมวัน แยกราชประสงค์ สีลม และแยกอโศก และเวทีย่อย 10 จุด ได้แก่ แยกอุรุพงษ์ แยกราชเทวี ประตูน้ำ แยกราชปรารภ แยกเจริญผล แยกหัวลำโพง แยกบางรัก แยกคลองเตย แยกเพลินจิต และแยกทองหล่อ
"จะทำเวทีใหญ่ 5 เวที ที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ สำหรับประชาชนที่มาทางด้านเหนือ ถัดลงมาเป็นเวทีสี่แยกปทุมวัน สยามแสควร์ ชาวจุฬาจะมาที่นั่น ประชาชนก็ไปสมทบที่นั่น ลากลงไปเราตั้งเวทีที่หัวถนนสีลม สวนลุมพินี พี่น้องประชาชนฝั่งธนบุรี ด้านสีลมไปชุมนุมที่นั่น เราไปตั้งที่กลางแยกราชประสงค์เหมือนเสื้อแดงไปตั้ง แต่พวกนั้นอุบาทว์ เผาบ้านเมือง ฆ่าคน เราตั้งเวทีแบบคนดีๆ ชวนคนมาร่วมชุมนุม เลยไปทางสุขุมวิท เราไปตั้งที่อโศก ตัดสุขุมวิท รวม 5 เวที พี่้น้องใกล้ตรงไหน ไปตรงนั้น เปิดเวทีพร้อมกันบ่ายโมงตรง 13.00 น. รวมทั้งที่เวทีอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย แล้วจะมีเวทีย่อยๆ กระจายตามถนนต่างๆ อีก 10 เวที เรียกว่ามาตรงไหนได้ตรงนั้น มาเลย ปิคนิคกลางถนนหลวง ปิดเมืองกรุงเทพครึ่งวันพรุ่งนี้"
"พรุ่งนี้ไม่ต้องใช้รถยนต์ครับ เดินไม่ได้ใช้รถไฟฟ้า พรุ่งนี้ถนนทุกสายเป็นถนนคนเดินไปหมดแล้ว พี่น้องราชดำเนินก็ชุมนุมที่นี่ เวทีนี้เป็นเวทีหลัก พี่น้องตรงอื่น สะดวกตรงไหน ชอบใจตรงไหนไปตรงนั้น นั่งรถไฟฟ้า นั่งรถใต้ดินไป ไม่ต้องเอารถยนต์ไป เพราะไม่มีที่ให้ขับรถยนต์พรุ่งนี้ เราจะกระจายคนไปตามเวทีต่างๆ"
ทั้งนี้จะมีแกนนำรับผิดชอบกิจกรรมที่ 5 เวทีใหญ่ ได้แก่ หนึ่ง อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ นำโดย อิสระ สมชัย, สมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์, สนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรม, สมศักดิ์ โกศัยสุข และคณะกรรมการสมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ สอง สี่แยกปทุมวัน จะมีคณะอาจารย์ศิษย์เก่าจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ และนายสุริยะใส กตะศิลา สาม ที่สวนลุมพินี จะตั้งเวทีที่หัวถนนสีลม ชุมชนสีลมนำโดยสาธิต เซกัล แซมดิน เลิศบุศย์ วิทยา แก้วภราดัย และจิตภัสร์ ภิรมย์ภักดี สี่ที่ราชประสงค์โดยชุมพล จุลใส ดนัย จันทร์เจ้าฉาย และกลุ่มนักธุรกิจ และห้า ที่แยกอโศก โดยนายถาวร เสนเนียม และกลุ่มนักธุรกิจอโศก

อยากจัดกิจกรรมอะไรเชิญเต็มที่ เพราะประชาชนมีโอกาสแสดงความเป็นเจ้าของก็หนนี้
สุเทพปราศรัยด้วยว่า "ใครมีความคิดอะไรสนุกสนาม ขึ้นไปพูดบนเวทีได้ทุกคน แล้วอยากปิดเวทีห้าทุ่ม สองยาม ตีสองไม่มีใครว่าอะไร เชิญเต็มที่เพราะบ้านนี้เมืองนี้ ประชาชนอย่างแล้วได้มีโอกาสแสดงความเป็นเจ้าของประเทศก็หนนี้แหละครับ สำหรับสุภาพสตรี คุณอัญชะลี ไพรีรักษ์ นัดหมายแล้วใช่ไหมครับ ไปเยี่ยมนายกรัฐมนตรี เอาดอกไม้ไปให้ เอานกหวีดไปฝาก เธอลาออกได้แล้ว ฉันไม่เอาแล้ว"
"ทั้งหมดทั้งนี้ทั้งนั้น กระบวนการต่อสู้เราจะยึดหลักสันติ สงบ ไม่รุนแรง ไม่มีอาวุธ เราเป็นพลเมืองดี สู้ด้วยหัวใจกับมือเปล่าไม่มีความรุนแรงใดๆ เกิดขึ้นเด็ดขาด เพราะเราต้องการชนะแบบขาวสะอาด แล้วต้องการสร้างประวัติศาสตร์ให้ลูกหลานได้จดจำการต่อสู้ครับ วันนี้ถือเป็นวันสุกดิบ ไม่ใช้เวลากับพี่น้องมาก ออมแรงไว้เดินพรุ่งนี้ ไว้ทำงานพรุ่งนี้ และเมื่อเสร็จภารกิจพรุ่งนี้จะมีภารกิจมะรืนนี้ที่จะทำต่อไป ผมยืนยันว่าผมทุ่มเทชีวิตจิตใจทุกอย่าง ร่วมต่อสู้กับพี่น้องทั้งหลาย ไม่ท้อถอย"
สนธิยินดีเป็นผู้ตาม 'สุเทพ เทือกสุบรรณ' แต่ถ้าไม่บีบทหาร-จะนำมวลชนเอง
อดีตแกนนำพันธมิตรฯ เผยมีความสุขที่ประชาชนตื่นรู้ ใช้เวลา 8 ปีสู้จนหมดตัว ถูกยิง 200 นัด ถือว่าคุ้ม ชี้พันธมิตรฯ ตัวจริงคือผู้ต่อสู้แก๊สน้ำตาที่ชมัยมรุเชฐแบบถึงไหนถึงกันและไม่ทวงบุญคุณ พร้อมหนุน 'สุเทพ' นำมวลชนแต่ต้องเลิกเอาใจทหาร 'ต้องบีบไข่ทหาร' ถ้าไม่ทำสนธิจะมานำมวลชนเอง
สนธิ ลิ้มทองกุล อดีตแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ปราศรัยที่บ้านเจ้าพระยา เมื่อวันที่ 21 ธ.ค. 2556 (ที่มา: สถานีโทรทัศน์ ASTV)
สนธิ ลิ้มทองกุล ระบุมีความสุขที่สุด เพราะประชาชนตื่นแล้ว
เมื่อวานนี้ (21 ธ.ค.) ในงาน "พันธมิตรสัมพันธ์ครั้งที่ 2 ทางออกประเทศไทย" ที่บ้านเจ้าพระยา ถ.พระอาทิตย์ สนธิ ลิ้มทองกุล อดีตแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้ขึ้นปราศรัย (ชมคลิปการปราศรัยทาง FMTV) โดยตอนหนึ่งระบุว่า "พี่น้องครับ วันนี้แทบจะไม่ต้องพูดอะไรอีกแล้วใช่ไม่ใช่ ขอเริ่มด้วยคำว่า สัญญาว่าจะไม่เปลี่ยน สัญญาว่าจะซื่อตรง และสัญญาว่าจะมั่นคงตลอดไป พี่น้องครับไม่เปลี่ยน ซื่อตรง มั่นคง เป็นสัญญาที่เราให้มาตั้งแต่พุทธศักราช 2548 เป็นเวลา 8 ปีที่ผ่านมา เอเอสทีวี ผม พี่พิภพ พี่ลอง หลายคน ที่สำคัญที่สุดพันธมิตรฯ ที่อยู่ที่นี้ไม่มีใครเปลี่ยน ทุกคนซื่อตรง ทุกคนมั่นคงตลอดไป ไม่มีไม่มีเปลี่ยน ผมวันนี้จะมาพูดไม่ยาว เพราะว่ามีคนสำคัญจะพูดหลายคน ประเดี๋ยวคุณนิชา ธุวธรรม ภรรยาของ พล.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม จะขึ้นมา และก็จะต่อด้วยคุณคํานูณ สิทธิสมาน พี่น้องครับ วันนี้เราได้เห็นมวลมหาประชาชนจาก 2 ล้าน 3 ล้าน มาเป็น 5 ล้านพรุ่งนี้อาจเห็นเกินกว่า 5 ล้าน"
"แต่ทั้งหมดนี้จะแพ้ หรือชนะไม่ใช่เรื่องสำคัญ สำคัญที่สุดพี่น้องฟังผมให้ดีๆ ประชาชนตื่นแล้วใช่ไหม ประชาชนตื่นแล้ว สำหรับผมแล้วผมมีความสุขที่สุด ใครจะนำไม่สำคัญ ใครจะนำสำหรับผมแล้วไม่สำคัญ ให้ผมเป็นผู้ตามก็ยินดี ขอให้พี่น้องประชาชนตื่นขึ้นมามีปัญญารู้ถึงปัญหาของชาติบ้านเมือง และจะไม่ยอมให้ความชั่วมาชนะความดีได้ เท่านั้นก็สำคัญแล้วครับพี่น้อง มีคนถามผมบอกว่าทักษิณคิดอะไรอยู่ ผมบอกว่านาทีนี้ทักษิณยังทำใจไม่ได้ที่ตื่นขึ้นมาวันหนึ่งแล้วเห็นคนทั่วประเทศ ทุกสาขาอาชีพเกลียดโคตรพ่อโคตรแม่มัน เกลียดตระกูลเขาไม่เคยมีประชาชนคนไทยยุคไหน สมัยไหน ที่จะเกลียดตระกูลใดตระกูลหนึ่งอย่างเข้ากระดูกดำเหมือนยุคนี้ ให้มีเงินอีกแสนล้าน ห้าแสนล้าน อีกล้านล้าน ให้เงินทับตัวมึงตายห่าก็ไม่มีประโยชน์ ใช่ไม่ใช่พี่น้อง พี่น้องเริ่มเข้าใจคำว่า ให้ปัญญาหรือยัง ผมไม่ได้มีหน้าที่มาทวงบุญคุณใครทั้งสิ้น แต่ผมมีหน้าที่จะเล่าอะไรบางอย่างให้พี่น้องฟัง"

ใช้เงินทองจนหมด ต้องมาขายน้ำด่าง แถมโดยยิง 200 นัด ถือว่าโคตรคุ้ม
สนธิกล่าวด้วยว่าใช้เวลา 8 ปีเต็มๆ ให้ปัญญาประชาชน "ใช้เงินใช้ทองส่วนตัวจนหมด จนกระทั่งต้องมาขายน้ำด่าง ขายกระติกน้ำด่าง ขายน้ำมันมะพร้าวให้ปัญญาจนกระทั่ง 200 นัด มีบาดแผลเป็นตัวอย่างให้เห็นอยู่ที่นี่ ถามว่าคุ้มไหม โคตรคุ้มพี่น้อง คุ้มไม่คุ้มพี่น้อง คุ้มไม่คุ้ม พี่น้องครับร้องตามผม คุ้มโคตรๆ คุ้มไม่คุ้ม โคตรๆ คุ้ม คุ้มไม่คุ้ม โคตรๆ คุ้ม คุ้มไม่คุ้ม โคตรๆ คุ้ม พี่น้องต้องรู้พวกเราที่เห็นหน้ากัน เหมือนกับที่พี่ตั้วของผมพูดออกมา หน้าเก่าๆ ทั้งนั้น จะกี่ปีกี่ชาติก็หน้าอย่างนี้ทั้งนั้นเลย นั่งอยู่แถวนี้ พี่น้องที่เป็นพันธมิตรฯ จริงๆ ย่อมรู้ดี พันธมิตรฯ มีข้อดีอยู่ข้อหนึ่ง พันธมิตรฯ ให้อภัยคนได้ใช่ไม่ใช่ แต่พันธมิตรฯ ก็ไม่ลืมใช่ไหม"
"วันนี้เราเอาข้อขัดแย้งวางไว้ข้างๆ ตัว แต่ไม่ทิ้งลงถังขยะใช่ไม่ใช่ แล้วเราเอาชาติเป็นตัวตั้งใช่ไม่ใช่ เอาล่ะไม่เป็นไร ร่วมกันสู้มาจนถึงวันนี้ขอบคุณเราซักคำก็ไม่มี ไม่เป็นไร เรื่องเล็กไม่ใช่เรื่องใหญ่พี่น้อง เรื่องมันเล็กเหลือเกิน เรื่องใหญ่คือชาติต้องมาก่อน"

พันธมิตรตัวจริงสู้แก๊สน้ำตาที่สะพานชมัยมรุเชฐ ถึงไหนถึงกัน และไม่ทวงบุญคุณ
"พี่น้องครับผมพูดเมื่อหลายเดือนมาแล้ว ผมบอกว่า ให้พรรคประชาธิปัตย์ลาออกมา แล้วสู้ แล้วนำ และผมจะตาม มันไม่เชื่อผมใช่ไหม แล้วยังไงล่ะ กูว่าแล้วใช่ไหม พันธมิตรฯ จงภูมิใจในปัญญาของพันธมิตรฯ จงภูมิใจไปเลย ในบรรดา 5-6 ล้านคน ในส่วนที่เป็นพันธมิตรพันธุ์แท้ ขอให้รู้ว่านี่คือสุดยอดของนักสู้ เวลาเขาชุมนุมกันเขามีการเดินขบวนกันยิ่งใหญ่เต็มที่ แต่มีคนถามผมบอกว่า จะแยกพันธมิตรฯ ได้ยังไง ผมบอกว่ามีอยู่ 2 ส่วน ไอ้ที่สู้อยู่ชมัยมรุเชฐนั่นแหละ พันธมิตรฯ ตัวจริง ไอ้ที่สู้แล้วไม่กลัวแก๊สน้ำตา นั่นแหละคือตัวจริง ไอ้ที่ถึงไหนถึงกันนั่นแหละตัวจริง ไอ้ที่สู้แล้วไม่ทวงบุญคุณนั่นแหละตัวจริง"
"ผมเป็นคนแก่คนหนึ่ง พี่น้อง 67 แล้ว ยังมีคดีความอยู่ศาลฎีกาอีก 6 คดี ถึงแม้ว่าศาลจะตัดสินให้ผมติดคุก ผมจะติดพี่น้อง เพราะอะไร เพราะผมเป็นพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ประเดี๋ยวคุณคำนูญจะมาขึ้นต่อจากคุณณิชา คุณคำนูญจะมาอธิบายให้พี่น้องฟังได้ทุกคนเลยว่า สิ่งที่พวกเราสู้มา ผมและคุณคำนูญสู้มาตั้ง 20 ปีแล้วพี่น้อง 193 วัน ถ้ายังอยู่ในทำเนียบฯ จำได้ใช่ไหมว่า กลุ่มไหนเป็นคนเริ่มการปฏิรูปการเมืองก่อน ถ้าไม่ใช่พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย วันนี้เราพูดถึงการปฏิรูปพรรคการเมือง แต่เราต้องปฏิรูปพรรคทหารด้วย พี่น้อง ใช่ไม่ใช่พี่น้อง เราต้องให้ทหารเลิกกินถั่งเช่า ใช่หรือเปล่าพี่น้อง เราต้องจัดการอย่าให้ทหารยึดติดกับความชอบในการกินอาหารทะเล ใช่เปล่าพี่น้อง เพราะอาหารทะเลโดยพื้นฐานแล้ว ทิ้งไว้ไม่กี่วันมันก็เน่า ใช่ไหม จะกินอะไรทั้งทีทำไมต้องกินของเน่าๆ"

พระแนะสนธิให้สวมรองเท้าแตะตลอดเวลา เป็นคนติดดินและข้ามทะเลให้ได้
สนธิกล่าวด้วยว่ามีพระสงฆ์รูปหนึ่งแนะนำให้เขาสมรองเท้าแตะให้เป็นคนติดดิน "พี่น้องครับ เราต้องปฏิรูปทั้งการเมือง ปฏิรูปทั้งทหาร ปฏิรูปทั้งตำรวจถูกไม่ถูกครับพี่น้อง ไม่ใช่แค่นักการเมือง มีมากกว่านักการเมือง ชาติบ้านเมืองมันเน่าเฟะมันกินปอดกินตับลงไป 3 วันที่แล้ว ผมนั่งเครื่องบินไปนครพนม ผมไปกราบหลวงพ่อองค์หนึ่ง ซึ่งเป็นสายหลวงปู่มั่น ท่านบอกสนธิมึงจำคำพูดของกูเอาไว้ มึงต้องใส่รองเท้าแตะตลอดเวลา นั่นก็คือ มึงต้องเป็นสนธิคนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ต้องตีนติดดิน มึงต้องข้ามทะเลให้ได้ไปถึงอีกฝั่งหนึ่ง เพราะว่าขัน 5 ของคนเรานั้น มันเป็นทะเลบุญและทะเลบาป มึงต้องใช้ขัน 5 ให้เป็นทะเลบุญให้ได้ อย่าให้เป็นทะเลบาป"
"มึงต้องทำตัวเหมือนหน่อไม้ จะมีกลุ่มต้นไม้อยู่เต็มไปหมดก็ช่างมัน แต่พอหน่อไม้เวลามันขึ้นปลายหน่อมันแหลม มันจะโผล่ขึ้นมาอันเดียว แปลว่าถ้ามึงคิดอะไรมันเป็นธรรม มันเป็นความถูกต้อง มันเป็นความจริง มึงไม่ต้องกลัว สมัยไหนยุคไหนใครเป็นใหญ่ถ้ามันเป็นธรรม ถ้ามันเป็นความจริงต้องลุกขึ้นมายืนสู้กับมัน ผมก็พนมมือ ผมบอกว่า พ่อแม่ครูอาจารย์กระผมให้สัจจะ มึงไม่ต้องมาให้สัจจะกับกู มึงจำเอาไว้อย่าให้สัจจะ ให้น้อมรับอ่อนน้อมรับคำสั่งสอนของพ่อแม่ครูอาจารย์ น้อมรับคำสั่งสอนของผู้ใหญ่ที่เขามีธรรม แล้วเอาไปปฏิบัติ 4 ข้อ สนธิมึงต้องจำเอาไว้ 4 ข้อ"

เผยพันธมิตรเหมือนกองกำลังพระเจ้าตาก ใจยิ่งใหญ่กว่าจักรวาล
"พี่น้องครับ ผมจะบอกพี่น้องอะไรอย่างหนึ่ง ผมเห็นพี่น้องพันธมิตรฯ แล้ว ผมพูดกับคนใกล้ชิด ผมบอกเฮ้ย นี่คือกองกำลังพระเจ้าตาก จำนวนจะมากก็ว่ามาก จะน้อยก็ว่าน้อย แต่ใจมันยิ่งใหญ่กว่าจักรวาล วันนั้นผมทำตามสัญญาที่ให้ว่า ถ้าพรรคประชาธิปัตย์ลาออกแล้วนำ ผมจะนำมวลชนออกไปร่วมกับเขา และผมก็ทำแล้วใช่ไหม ปรากฏว่าพี่น้องสิ่งมหัศจรรย์เกิดขึ้นวันนั้น ขณะที่ขบวนเดินทางไป พี่น้องเชื่อไหมผมนึกไม่ถึง พันธมิตรฯ ทั้งนั้นเลยพี่น้อง

แนะสุเทพให้เชื่อมั่นศรัทธามวลชน และกดดันทหารให้หน้าเขียว ถ้าสุเทพไม่ทำ สนธิจะนำมวลชนเอง
สนธิ แนะนำด้วยว่าให้สุเทพ เทือกสุบรรณ เคลื่อนไหวกดดันทหาร "เอาไว้วันหลังคุณสุเทพ ทำอะไรก็ตามผมสนับสนุน ถึงแม้หลายอย่างผมอาจจะไม่เห็นด้วย เหมือนอย่างที่ผมไม่เห็นด้วยกับคุณสุเทพเรื่องหนึ่ง ผมไม่เห็นว่าคุณสุเทพทำไมจะต้องไปเอาใจทหาร ใช่ไม่ใช่ ไอ้ทหารถั่งเช่าไปเอาใจแม่งทำไม ผมอยากให้คุณสุเทพเชื่อมั่นและศรัทธาในมวลชน เหมือนอย่างที่ผม เชื่อมั่นและศรัทธาในพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ใช่ไม่ใช่พี่น้อง เรามีคนออกมา 5-6 ล้านคน 7 ล้านคน ต้องบีบไข่ทหารให้มันหน้าเขียว ใช่ไม่ใช่พี่น้อง ไม่ใช่ให้มันนัดแล้วไม่มาใช่ไหม ใช่เปล่า ต้องบีบไข่มัน ถ้าบีบยังไม่ฟังอีกก็ตัดไข่มันเลย ต้องศรัทธาในมวลชนต้องเชื่อ เขามากันเป็นล้านๆ คน เพราะว่าเขาต้องการทำให้ชาติบ้านเมืองดีขึ้น ไม่ใช่เขามาเพื่อให้ทหารมีข้อต่อรองมากขึ้น ใช่ไม่ใช่ แต่คุณสุเทพเป็นแกนนำผมปล่อยเขาไป แต่ซักวันถ้ายังไม่จบ ผมจะนำพี่น้องเองมาบีบไข่มัน"
"พี่น้องถ้าผมจะสู้ครั้งต่อไป ผมจะสู้กับทหาร ผมจะออกไปแล้วบอกว่า เมื่อไหร่มึงจะเป็นทหารของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ซักทีวะ บีบไข่ บีบไข่ บีบไข่ พี่น้องครับวันนี้เอากันแค่หอมปากหอมคอ ยังมีอีกหลายท่านที่จะต้องพูดจา แต่ไม่ต้องผิดหวังผมจะกลับมาหาพี่น้อง ผมไม่ได้ไปไหน เพราะผมสัญญว่า ผมจะไม่เปลี่ยน ผมจะซื่อตรง และผมจะมั่นคงใช่ไม่ใช่พี่น้อง"
ตอนท้ายการปราศรัย สนธิได้โฆษณาขายนาฬิกา ซึ่งระบุว่าพันธมิตรฯ สาทรได้สั่งมา 104 เรือนทำพิธีแล้วที่วิหารฮินดู และขายน้ำมันมะพร้าวสำหรับประกอบอาหาร นอกจากนี้ยังขายกระบอกทำน้ำด่าง โดยระบุว่าเมื่อใส่น้ำเข้าไปแล้วเขย่าทิ้งไว้จะมีคุณภาพเหมือนน้ำที่มาจากเครื่องทำน้ำด่าง
นอกจากนี้สนธิได้โฆษณาขายเครื่อล้างพิษตับ ผลงานปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ซึ่งสามารถทำเองที่บ้านได้ ชุดละ 2,800 บาท ผลิตมา 2,000 ชุด ตอนนี้เหลือไม่ถึง 1,000 ชุด นอกจากนี้ยังขายปฏิทินเอเอสทีวีชุดละ 499 บาท โดยสนธิกล่าวว่าเอเอสทีวีเป็นสถานีโทรทัศน์ที่ได้รับงบประมาณจากประชาชนเท่านั้น และสัญญาว่าจะซื่อตรง มั่นคงกับประชาชน ไม่มีเปลี่ยนแปลง "เรามั่นคงมาตั้งนานแล้ว ไม่เคยเปลี่ยนแปลง เวลาฝนตก เวลาพายุมา มองไม่เห็นเรา แต่พอแดดออกเรายืนอยู่ที่ตรงนี้ เราไม่ใช่เพิ่งมายืนพี่น้อง เรายืนอยู่มานานแล้ว" สนธิกล่าว
ในงานดังกล่าว นิชา ธุวธรรม ภรรยาของ พล.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม ได้มาร่วมงานด้วย และปราศรัยขอบคุณพันธมิตรประชาชน และระบุด้วยว่าหลังจาก พล.อ.ร่มเกล้าเสียชีวิต พี่น้องพันธมิตรฯ ไม่เคยทอดทิ้งครอบครัวเลย

"ยิ่งลักษณ์" แถลง เดินหน้าปฏิรูปประเทศพร้อมกับการเลือกตั้ง


"ยิ่งลักษณ์" แถลง เดินหน้าปฏิรูปประเทศพร้อมกับการเลือกตั้ง
             วันที่ 21 ธันวาคม 2556 go6TV - ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 14.30 น. นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร รักษาการตำแหน่งนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้แถลงการณ์โดยระบุว่า

           ตามที่ได้มีพระราชกฤษฎีกาเลือกตั้ง ซึ่งกำหนดวันเลือกตั้งไว้ในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2557 แล้วนั้น รัฐบาลขอยืนยันเจตนารมณ์ที่ต้องการพิทักษ์รักษารัฐธรรมนูญและปกป้องระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ด้วยการให้ประชาชน มีสิทธิ มีเสียงทั่วประเทศ และมีศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ที่เท่าเทียมกัน เป็นผู้กำหนดทิศทางของประเทศ และร่วมกันหาทางออกจากวิกฤตการณ์ทางการเมืองภายใต้กรอบกติกาประชาธิปไตยอันเป็นที่ยอมรับของสากล

           ในขณะเดียวกัน จากเวทีการระดมความคิดเห็นต่างๆ รัฐบาลมีความเห็นที่สอดคล้องว่า การดำเนินการปฏิรูปประเทศทั้งในมิติของการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมนั้น มีความจำเป็น ซึ่งรัฐบาลก็พร้อมที่จะร่วมในการผลักดันและสนับสนุนให้เกิดการปฏิรูปที่สร้างสรรค์และเป็นประโยชน์กับประชาชนทั้งประเทศอย่างแท้จริง

            รัฐบาลขอยืนยันด้วยว่ากระบวนการปฏิรูปประเทศนั้นสามารถที่จะดำเนินการคู่ขนานกันไป โดยไม่ขัดแย้งกับกระบวนการเลือกตั้งตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งอาณาจักรไทย ตรงกันข้ามกลับเป็นความจำเป็นด้วยซ้ำที่การเลือกตั้งจะต้องเดินหน้า ด้วยเหตุผลที่เมื่อมีฝ่ายนิติบัญญัติที่เป็นตัวแทนของประชาชนแล้ว กลไกรัฐสภาจะต้องเป็นกลไกหลักที่จะขับเคลื่อนให้ข้อเสนอการปฏิรูปต่างๆเป็นจริงขึ้นมาได้

            ด้วยแนวคิดดังกล่าว รัฐบาลเห็นว่าเพื่อให้ประชาชน มีความมั่นใจว่าหลังจากการเลือกตั้งทั่วไปในวันอาทิตย์ที่ 2 กุมภาพันธ์ 2557 แล้ว สภาผู้แทนราษฏรและคณะรัฐมนตรีที่เกิดขึ้นใหม่ จะต้องกำหนดให้การปฏิรูปประเทศเป็นวาระแห่งชาติ จึงมีข้อเสนอเพื่อดำเนินการตามลำดับดังนี้

  • 1. พรรคการเมืองที่ส่งสมาชิกลงรับเลือกตั้งคราวนี้ พร้อมทั้งองค์กรหรือภาคีอื่นที่เกี่ยวข้อง ให้สัตยาบันว่าหลังจากสภาผู้แทนราษฎรและคณะรัฐมนตรีชุดใหม่เข้ารับหน้าที่แล้ว จะมีการจัดตั้งสภาปฏิรูปประเทศไทยขึ้นทันที

  • 2. การจัดตั้งสภาปฏิรูปประเทศไทย จะประกอบด้วยตัวแทนจากองค์กรวิชาชีพหรือสถาบันต่างๆ ที่มีกฎหมายรองรับ พรรคการเมืองทุกพรรค รวมถึงที่ประชุมที่แม้มิได้มีกฎหมายรองรับแต่มีบทบาทที่สำคัญของประเทศเช่น ที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย ที่ประชุมปลัดกระทรวงและหัวหน้าส่วนราชการ หรือองค์กรอื่นๆในลักษณะที่เทียบเคียงกันได้ ตลอดจนตัวแทนของกลุ่มวิชาชีพทั้งในระดับท้องถิ่นและระดับชาติ รวมถึงกลุ่มที่มีความคิดเห็นทางการเมืองสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มไหนก็ตาม

  • 3. สภาปฏิรูปประเทศไทยสมควรมีวาระการทำงานไม่เกิน 2 ปีและมีหน้าที่สำคัญคือการจัดทำและเสนอกลไกเพื่อปฏิรูปประเทศไทยในระยะยาว โดยเฉพาะอย่างยิ่งการปฏิรูปการเมืองให้การเมืองในอนาคตสามารถเป็นปากเสียงแทนประชาชนได้อย่างแท้จริง

"พานทองแท้" FB ประเทศไทยไม่ไปไหนมา 60 ปี เพราะพรรคการเมืองเก่าแก่


"พานทองแท้" FB ประเทศไทยไม่ไปไหนมา 60 ปี เพราะพรรคการเมืองเก่าแก่



             วันที่ 21 ธันวาคม 2556 go6TV - ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชาย พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้โพสต์ภาพกาตูนพร้อมข้อความลง เฟสบุ๊กส่วนตัว Oak Panthongtae Shinawatra โดยมีเนื้อหาดังนี้

ถ้าพรรคประชาธิปัตย์ บอยคอตการเลือกตั้งครั้งนี้จริงๆ
"วัฏจักร ละ-ยำ ทางการเมืองไทย" เกิดขึ้นแน่นอนครับ


          การแข่งขัน "ซีเกมส์" เจ้าภาพมีสิทธิ์เลือกเกมส์การแข่งขัน, คัดตัวกรรมการ, ปรับปรุงกฏกติกาในการแข่ง จึงทำให้เจ้าภาพมักจะชนะ ได้เป็นที่ 1 เสมอๆ นักกีฬาของประเทศเจ้าภาพ เตรียมรอรับเหรียญทองได้เลย

          เกมส์การเมืองก็เช่นกัน ถ้าให้พรรคการเมืองไหน ส่งคนของตนเข้าไปเขียน กฏ กติกา มารยาท ในการกำกับดูแลการเลือกตั้งเสียเอง พรรคการเมืองนั้นก็ย่อมชนะการเลือกตั้ง ผู้บริหารของพรรคฯ เตรียมชุดขาวเพื่อเข้ารับตำแหน่งเสนาบดี เตรียมเข้ามาบริหารประเทศได้เลยครับ

            เกมส์การเมืองของไทยที่ผ่านมา สส.ของพรรคประชาธิปัตย์ลาออกระลอกแรก 9 คน และที่เหลือก็ลาออกตามมาทั้งหมดในระยะเวลาอันสั้น ช่วยกันทั้งพรรคฯ โดยอดีตสส.จากทุกภูมิภาค ต่างก็เกณฑ์คนเกณฑ์แนวร่วมของตัวเอง ออกมากดดันให้นายกฯและรัฐบาลลาออก ส่งผลให้นายกฯตัดสินใจยุบสภาฯ คืนอำนาจให้กับประชาชน แต่กลุ่มม็อบไม่พอใจ โดยเจตนาที่แท้จริงมีเพียง ต้องการให้เขียนกฏกติกาการเลือกตั้งใหม่ ก่อนที่จะมีการเลือกตั้งครั้งหน้า เท่านั้น..!!

            แน่นอนว่าถ้าทำแบบนี้ กฏกติกาการเลือกตั้งเดิมจะต้องถูก "ละ"ออก และกฏการเลือกตั้งใหม่จะต้องถูก"ยำ"เข้ามา กลายเป็นกฏเกณฑ์การเลือกตั้งที่ผ่านกระบวนการ ละ-ยำ โดยคณะกรรมการในสายของพรรคประชาธิปัตย์ ถูกเลือกเข้ามาโดยผ่านระบอบ"เทือกตั้ง" กฏระเบียบการเลือกตั้งใหม่เด็กป.4 ก็ย่อมรู้ว่า ต้องเอื้อประโยชน์ให้กับพรรคประชาธิปัตย์อย่างเต็มที่ ในการเลือกตั้งครั้งหน้า

            พรรคประชาธิปัตย์ และพรรคเพื่อไทย ต่างก็มีคนเลือกมากกว่าสิบล้านคนทั้ง 2 พรรคครับ พรรคประชาธิปัตย์ลาออกมานำม็อบ หากนายกฯหลงเชื่อแล้วลาออกจริง ๆ สุเทพฯก็จะเขียนกติกาใหม่จนประชาธิปัตย์ชนะเลือกตั้ง ประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาลไปสักพัก คราวหน้าพรรคฝ่ายค้านขั้วเพื่อไทยก็เอาบ้าง คนสนับสนุนเป็นสิบล้านคนทั้งคู่ จะเกณฑ์มาสักกี่แสน หรือจะถึงล้านก็ไม่ใช่เรื่องสุดวิสัย ทำได้กันทั้ง 2 พรรคฯ วงรอบวัฏจักร ละ-ยำ นี้ก็จะวนไปวนมาไม่มีที่สิ้นสุด

           พรรคการเมืองที่รู้ตัวว่าแพ้ซ้ำซาก มีหน้าที่ต้องกลับไปพัฒนาตัวเอง ปรับปรุงนโยบายที่นำเสนอให้ถูกใจประชาชน เปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมองค์กรของตนให้ทันสมัย หากล้าหลังไปมากถึงขั้นไดโนเสาร์ดึกดำบรรพ์ ก็จำเป็นถึงขั้นต้อง "ปฏิรูปพรรคฯของตน" ให้ทันสมัย ไม่ใช่ขับไล่กดดันคนดีๆ ที่มีคุณภาพและหวังดีต่อพรรคฯ จนแทบจะไม่มีที่ยืนในการทำงานให้พรรคฯ แล้วตั้งแต่พรรคพวกในสายที่สนับสนุนตน ขึ้นมาบริหาร

           "ปฏิรูปพรรคฯตัวเองยังไม่สำเร็จ อย่าหวังว่าประชาชนเขาจะฝากผีฝากไข้ ให้มาปฏิรูปประเทศไทย" ครับ

         กฏ กติกา ของการเลือกตั้งที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน เขียนโดยคนกลาง เป็นที่ยอมรับของตัวแทนพรรคการเมืองทุกพรรค การปรับปรุงแก้ไขในบางช่วง เป็นการแก้ไขโดยคณะกรรมการที่อยู่ในฝั่งของคณะรัฐประหาร 19 กันยา 49 ด้วยซ้ำ กกต.ทุกท่านที่มีหน้าที่รักษากฏ และควบคุมการเลือกตั้ง ก็ไม่มีท่านใดมีทีท่าเอนเอียงมายังพรรคฯรัฐบาล ทั้งตัวกฏหมายและตัวบุคคล เป็นกลางขนาดนี้แล้ว คนที่แพ้แต่กลับไม่ยอมรับความจริง กลับมาหาว่าคนอื่นโกง แล้วจะขอเขียนกติกาคุมกฏเกณฑ์เอง ผมไม่รู้จะเปรียบเทียบคนขี้แพ้พรรค์นี้ กับอะไรดีแล้วละครับ!!

            ครั้งนี้ เพื่อไทยเป็นรัฐบาล สส.ประชาธิปัตย์ลาออก มาปลุกม็อบกดดันให้รัฐบาลลาออก แล้วเสนอ ระบอบ "เทือก-ตั้ง" มาทดแทนเลือกตั้ง รัฐบาลถอยหลังจนแทบจะไม่มีที่ยืน ยุบสภา คืนอำนาจให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสินใจ ยังคิดจะปล้นอำนาจของประชาชนไปอีก
แบบนี้ครั้งหน้า ประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาล ผมจะเสนอให้ สส.เพื่อไทยลาออก มาปลุกม็อบกดดันให้รัฐบาลลาออก แล้วเสนอระบอบ "ตู่-เต้น-ตั้ง" มั่ง ท่าจะสมน้ำสมเนื้อกันดี

           ประเทศไทย ไม่ไปไหนมา 60 กว่าปี เพราะนักการเมืองพรรคฯเก่าแก่ คิดเป็นกันอยู่แค่นี้แหละครับ

             มาเลย..ประชาธิปัตย์..!! ถ้าอยากจะใช้ระบอบ "วัฏจักร ละ-ยำ" ตาต่อตา ฟันต่อฟันแบบนี้ ถ้าคิดว่าดีก็เอา

พรรคการเมืองที่ไม่มุ่งจะส่งสมาชิก เข้าสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร


"พิชิต ชื่นบาน" โพสต์ FB เตือน ขวางการเลือกตั้ง มีความผิดทางกฏหมาย

21 ธันวาคม 2556 go6TV - ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายพิชิต ชื่นบาน ฝ่ายกฎหมายพรรคเพื่อไทย ได้โพสต์เฟสบุ๊กส่วนตัว โดยมีเนื้อหาดังนี้



การขัดขวางการปฏิบัติงานของคณะกรรมการการเลือกตั้ง

           วันที่ ๒๓ ธันวาคม ๒๕๕๖ คณะกรรมการการเลือกตั้ง ได้จัดให้มีการเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ โดยมีการประกาศในราชกิจจานุเบกษาเกี่ยวกับการเลือกตั้ง โดยกำหนดวันที่พรรคการเมืองจะยื่นบัญชีรายชื่อ ผู้สมัครรับเลือกตั้ง มีบุคคล และคณะบุคคลประกาศขัดขวางการดำเนินการของคณะกรรมการการเลือกตั้ง ทั้งที่ไม่อาจเลื่อนวันเลือกตั้งตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดได้

ในเรื่องนี้มีบทบัญญัติของกฎหมายบัญญัติเป็นความผิดหากมีการขัดขวางดังนี้

           พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง พ.ศ.๒๕๕๐
มาตรา ๔๓ ผู้ใดขัดขวางการปฏิบัติงานของคณะกรรมการเลือกตั้ง กรรมการการเลือกตั้ง คณะกรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัด กรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัด ผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำจังหวัด คณะอนุกรรมการหรืออนุกรรมการ ในการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

           ถ้าการขัดขวางการปฏิบัติงานตามวรรคหนึ่ง ได้กระทำโดยใช้กำลังประทุษร้าย หรือขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสี่หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ


            ขอให้หน้าที่ของชนชาวไทยในอันที่จะพิทักษ์รักษาไว้ ซึ่งการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญนี้ และตามรัฐธรรมนูญนี้บัญญัติให้บุคคลมีหน้าที่ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง การเลือกตั้งจึงถือเป็นเรื่องสำคัญในการปกครองระบอบประชาธิปไตย แล้วเราจะขัดขวางไปทำไม แม้ไม่ชอบใจรัฐบาลแต่รัฐบาลก็คืนอำนาจอธิปไตยให้ตัดสินใจใหม่แล้ว รักษาอำนาจของตน และสิทธิไม่ดีกว่าหรือ(มวลมหาประชาชน)

สำหรับพรรคการเมืองมีพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.๒๕๕๐

            มาตรา ๔ “พรรคการเมือง” หมายความว่า คณะบุคคลที่รวมกันจัดตั้งเป็นพรรคการเมือง โดยได้รับการจดแจ้งการจัดตั้งตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ เพื่อสร้างเจตนารมณ์ทางการเมืองของประชาชนตามวิถีทางการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข โดยมุ่งที่จะส่งสมาชิกเข้าสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และมีการดำเนินกิจกรรมทางการเมืองอื่นอย่างต่อเนื่อง

         ถาม จากบทบัญญัติมาตรา ๔ ให้ช่วยกันเฉลยคำตอบว่าพรรคการเมืองใดไม่มุ่งที่จะส่งสมาชิกเข้าสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ในการเลือกตั้งในวันที่ ๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗ ช่วยตอบหน่อยครับ