วันศุกร์ที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

อุทธรณ์พิพากษากลับ 'อภิสิทธิ์' ชนะคดีถูกปลดพ้นทหาร ชี้ รมว.กลาโหมไม่มีอำนาจสั่งปลด



18 พ.ย. 2559 กรณี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี  เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต อดีต รมว.กลาโหม เรื่องขอให้ศาลเพิกถอนคำสั่งของกระทรวงกลาโหม ที่ให้ปลด อภิสิทธิ์ ออกจากราชการ ซึ่งเมื่อวันที่ 29 ธ.ค. 58 ศาลแพ่งซึ่งเป็นศาลชั้นต้น มีคำพิพากษาว่าคำสั่งของกระทรวงกลาโหมนั้นชอบแล้ว ไม่มีเหตุเพิกถอนคำสั่งของจำเลย
ล่าสุดเมื่อวันที่ 17 พ.ย. ที่ผ่านมา มติชนออนไลน์และผู้จัดการออนไลน์ รายงานตรงกันว่า ไพบูลย์ โพธิ์น้อย ทนายความ อภิสิทธิ์ เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 16 พ.ย. ที่ผ่านมา ศาลแพ่งอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในคดีที่ อภิสิทธิ์ เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต อดีต รมว.กลาโหม เรื่องขอให้ศาลเพิกถอนคำสั่งของกระทรวงกลาโหม ที่ให้ปลด อภิสิทธิ์ ออกจากราชการ โดยศาลอุทธรณ์ได้มีคำพิพากษากลับเป็นให้เพิกถอนคำสั่งของกระทรวงกลาโหม ปลด อภิสิทธิ์ อย่างไรก็ตาม คดียังไม่ถึงที่สุด ซึ่ง พล.อ.อ.สุกำพล ยังสามารถยื่นฎีกาได้อีก
ศาลอุทธรณ์พิเคราะห์แล้วเห็นว่า ตาม พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการทหาร พ.ศ.2521 มาตรา 4 บัญญัตินิยามคำ ”ข้าราชการทหาร” หมายถึงทหารประจำการ และข้าราชการกลาโหมพลเรือนที่บรรจุในตำแหน่งอัตราทหาร โดยมาตรา 15 บัญญัติว่า วินัยของข้าราชการทหารกองประจำการ และนักเรียนในสังกัดกระทรวงกลาโหมให้เป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยวินัยทหาร ข้อบังคับและระเบียบแบบแผนที่กระทรวงกลาโหมกำหนด โดยพ.ร.บ.รับราชการทหาร พ.ศ. 2497 ยังบัญญัติว่า ทหารกองเกินและทหารกองหนุนที่ถูกเรียกเข้ารับราชการ และทหารประจำการต้องอยู่ในวินัยทหาร เหมือนทหารกองประจำการ จึงทำให้เห็นว่าทหารประจำการและทหารกองประจำการเท่านั้นที่ต้องอยู่ในวินัยทหาร
 
และในส่วนของข้อบังคับทหารว่าด้วยการแบ่งประเภทนายทหารสัญญาบัตร โดยมาตรา 11 วรรคหนึ่งบัญญัติว่า นายทหารสัญญาบัตรประจำการ ต้องขึ้นทะเบียนกองประจำการและรับราชการในกองจนครบกำหนดตามพระราชบัญญัตินี้ เว้นแต่กระทรวงกลาโหมจะสั่งปลดเป็นนายทหารประเภทอื่น หากถูกถอดหรือออกจากยศสัญญาบัตร ก็ให้ปลดพ้นราชการทหารประเภทที่ 2 ขณะที่วรรคสองบัญญัติว่า การแบ่งประเภทนายทหารสัญญาบัตรนั้น แล้วแต่กระทรวงกลาโหมจะกำหนด จึงทำให้เห็นว่า นายทหารสัญญาบัตรประจำการ เป็นผู้รับราชการทหารตามพระราชบัญญัติดังกล่าว และอาจถูกสั่งปลดได้เท่านั้น
 
ขณะที่พ.ร.บ.ว่าด้วยวินัยทหาร พ.ศ.2476 มาตรา 7 บัญญัติว่า ทหารผู้ใดกระทำผิดต่อวินัยทหารจะต้องรับทัณฑ์ตามวิธีในพระราชบัญญัติ และอาจถูกปลดจากประจำการ หรือถูกถอดยศทหาร โดยมาตรา 10 บัญญัติถึงผู้มีอำนาจที่ลงทัณฑ์ และเทียบชั้นผู้รับทัณฑ์รวม 12 ขั้น ตั้งแต่รมว.กลาโหม แม่ทัพ ผู้บัญชาการกองพล ผู้บังคับการกองเรือ ผู้บัญชาการกองพลบิน ผู้บังคับกองพัน จนถึงนักเรียนทหาร ซึ่งเมื่อสำเร็จการศึกษาแล้วจะได้เป็นนายทหารประทวน รูปแถว ทำให้เห็นว่า ทหารที่จะถูกลงโทษทางวินัย ต้องเป็นทหารประจำการ หรือทหารกองประจำการที่รับราชการอยู่
 
แต่คดีนี้ ขณะที่จำเลยมีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนการรับราชการทหารของโจทก์ และมีคำสั่งปลดโจทก์ออกจากราชการ โจทก์จึงเป็นนายทหารนอกราชการ ซึ่งเป็นกระบวนการลงโทษทางวินัยทหารหลังจากโจทก์พ้นจากราชการแล้วถึง 23 ปีเศษ แม้ไม่มีกฎหมายกำหนดอายุความไว้ แต่การพิจารณาและลงโทษข้าราชการทางวินัย ย่อมต้องพิจารณาและลงโทษในขณะที่บุคคลนั้นรับราชการอยู่ เพื่อป้องกันไม่ให้บุคคลนั้นก่อให้เกิดความเสียหายแก่ราชการต่อไป ซึ่งหากบุคคลนั้นพ้นจากราชการแล้ว ย่อมไม่อาจก่อความเสียหายได้อีก ซึ่งคณะกรรมการกฤษฎีกาเคยตอบข้อหารือของสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหมเรื่องดำเนินการทางวินัยแก่ข้าราชการทหารที่พ้นราชการด้วยเหตุเกษียณอายุราชการ และมีสิทธิรับบำนาญว่า การปลดข้าราชการทหารออกจากประจำการต้องเป็นข้าราชการทหารที่ประจำการอยู่ หากพ้นราชการแล้วก็ไม่อาจพ้นออกจากประจำการได้โดยสภาพ
 
ส่วนที่จำเลยอ้างว่า เคยมีการลงโทษทางวินัยข้าราชการทหารหลังจากพ้นราชการไปแล้วตามประกาศกระทรวงกลาโหม และคำสั่งกระทรวงกลาโหมนั้น ศาลอุทธรณ์เห็นว่ากรณีดังกล่าวเป็นการตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัย และสั่งพักราชการก่อนพ้นจากราชการ กับเป็นกรณีหนีราชการ รมว.กลาโหมจึงมีคำสั่งลงโทษปลดจากราชการย้อนหลังไปจนถึงวันที่รับราชการวันสุดท้าย ซึ่งคำสั่งเป็นไปตามระเบียบข้อบังคับและกฎเกณฑ์ที่ถือปฏิบัติแล้ว แตกต่างจากคำสั่งปลดโจทก์ออกจากราชการทั้งที่โจทก์ไม่ได้รับราชการแล้ว โดยให้มีผลในวันที่ 2 ม.ย. 2531 ซึ่งเป็นวันที่อ้างว่าโจทก์กระทำผิดวินัยทหาร กรณีจึงไม่ได้เป็นไปตามระเบียบข้อบังคับและกฎเกณฑ์ที่ถือปฏิบัติ จึงไม่อาจตีความปิดช่องว่างทางกฎหมายให้เป็นผลร้ายกับโจทก์ซึ่งเป็นผู้ถูกกล่าวหาและถูกลงโทษทางวินัยตามที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าได้
 
ดังนั้น จำเลยจึงไม่มีอำนาจสั่งปลดโจทก์ออกจากราชการ ตามพ.ร.บ.ว่าด้วยวินัยทหาร พ.ศ.2476 มาตรา 7 อุทธรณ์ของโจทก์ฟังขึ้น จึงพิพากษากลับเป็นว่าให้เพิกถอนคำสั่งกระทรวงกลาโหมที่ 1163/2555 เรื่องให้ปลดนายทหารสัญญาบัตรออกจากราชการ ลงวันที่ 8 พ.ย. 2555
 
โดยก่อนหน้านี้ศาลแพ่งซึ่งเป็นศาลชั้นต้น มีคำพิพากษาว่าคำสั่งของกระทรวงกลาโหมนั้นชอบแล้ว โดยระบุว่าไม่มีเหตุเพิกถอนคำสั่งของจำเลย เนื่องจากเหตุที่จำเลย ปลดโจทก์ออกจากราชการ เพราะโจทก์ขาดการตรวจเลือกทหารแล้วนำใบสำคัญ (ใบสด.9) แทนฉบับที่ชำรุดสูญหายอันเป็นเท็จ มาแสดงต่อสัสดีจังหวัดนครนายก ทำให้สัสดีจังหวัดนครนายก ไม่ทราบความจริงว่าโจทก์ครบเวลา ที่จะต้องเข้ารับการตรวจเลือกทหาร จึงไม่ได้ระบุสถานะว่า เป็นผู้ขาดการเกณฑ์ทหาร เป็นเหตุให้สัสดีจังหวัดนครนายกออกใบสำคัญ สด.3 (ใบขึ้นทะเบียนกองประจำการ) ให้แก่โจทก์ และโจทก์ไม่มีใบสด.41 เป็นเอกสารแสดงว่า ได้รับการผ่อนผันกรณีศึกษาที่ต่างประเทศว่าไม่ต้องเข้ารับการตรวจเลือกทหาร โจทก์จึงเป็นผู้ขาดคุณสมบัติและไม่มีคุณสมบัติที่จะบรรจุเข้ารับราชการกลาโหมพลเรือนชั้นสัญญาบัตรได้ การสมัครและบรรจุโจทก์เป็นข้าราชการกลาโหมพลเรือนชั้นสัญญาบัตร กับการแต่งตั้งโจทก์เป็นนายทหารสัญญาบัตรฯ ตามคำสั่งกระทรวงกลาโหมเป็นการไม่ชอบ คำสั่งของจำเลยที่ให้ปลดโจทก์ออกจากราชการ จึงเป็นคำสั่งที่ชอบแล้ว ต่อมาอภิสิทธิ์โจทก์ได้ยื่นอุทธรณ์จนมีผลออกมาได้มีคำพิพากษากลับเป็นให้เพิกถอนคำสั่งของกระทรวงกลาโหม 

'ศรีวราห์' ยันยังไม่จำเป็นต้องใช้กำลังบุกจับกุม 'พระธัมมชโย' หลังศาลอนุมัติหมายจับ ข้อหาบุกรุกป่า


18 พ.ย. 2559 จากกรณี เมื่อวันที่ 17 พ.ย. ที่ผ่านมา ผู้จัดการออนไลน์ รายงานว่า ศาลจังหวัดสีคิ้วได้อนุมัติหมายจับ พระเทพญาณมหามุนี หรือ ไชยบูลย์ ธมฺมชโย หรือ พระธัมมชโย จากกรณีบุกรุกพื้นที่ป่า ในการก่อสร้างศูนย์ปฏิบัติธรรม เวิลด์พีซวัลเล่ย์ เขาใหญ่ ซึ่งตั้งอยู่ที่ บ้านหนองจอก ม.6 ต.โป่งตาลอง อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา โดยระบุว่า ให้จับตัว พระธัมมชโย ไปส่งที่กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ภายในอายุความ 15 ปี
ล่าสุดวันนี้ (18 พ.ย.59) สำนักข่าวไทย รายงานว่า พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ยืนยันยังไม่จำเป็นต้องใช้กำลังบุกจับกุมพระธัมมชโย หลังศาลจังหวัดสีคิ้วออกหมายจับข้อหาบุกรุกป่า แต่ขอให้พระธัมมชโยเข้าสู่กระบวนการของกฏหมาย คือ มามอบตัว รับทราบข้อกล่าวหา การพิจารณาประกันตัว และการสอบสวนสรุปสำนวนส่งอัยการ ทั้งนี้ ยังไม่มีความจำเป็นที่ต้องเร่งรีบดำเนินการจับกุมตัว เพราะไม่ใช่ความผิดร้ายแรงต่อชีวิตและร่างกาย และความผิดที่ออกหมายจับมีอายุความ 15 ปี ยืนยันไม่ประวิงเวลาทำคดีนี้ แต่จะทำให้ดีที่สุด ไม่ให้เสื่อมเสียต่อพระพุทธศาสนา และหากจำเป็นต้องใช้กำลังเข้าจับกุม โดยมีศิษยานุศิษย์เป็นโล่มนุษย์ขัดขวางการจับกุมของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ก็จะจับกุมคนที่ขัดขวางด้วย
อย่างไรก็ตาม จะให้เวลาพระธัมมชโยประสานมามอบตัวก่อน และหากตำรวจท้องที่ดำเนินการแล้วไม่คืบหน้า ก็จะลงไปเร่งรัดสั่งการด้วยตัวเอง ระบุการดำเนินคดีกับพระธัมมชโยไม่ใช่เรื่องยาก เพราะสมัยเป็นพนักงานสอบสวนที่กองปราบฯ เคยจับกุมพระธัมมชโยมาแล้วครั้งหนึ่ง

ศาลทหารให้ประกัน ‘ฤาชา’ ผู้ป่วยจิตเภทคดี 112 หลังถูกขัง 9 เดือน


ผู้ป่วยจิตเภทที่โพสต์เฟซบุ๊กคิดว่าตนเองเป็นร่างทรงพระแม่ธรณีถูกแจ้งข้อหาโพสต์เข้าข่ายม.112 ถูกขังที่เรือนจำเกือบ 9 เดือนญาติไม่มีเงินประกันตัว 2 องค์กรสิทธิยื่นมือช่วย
18 พ.ย.2559 ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน รายงานว่า ศาลทหารกรุงเทพอนุญาตให้ประกันตัวนายฤๅชา (สงวนนามสกุล) ผู้ต้องหาในคดีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ด้วยหลักทรัพย์เป็นเงินจำนวน 400,000 บาท โดยจำเลยเป็นอดีตทหารยศจ่าสิบเอก และเป็นผู้ป่วยที่มีประวัติการรักษาอาการจิตเภท ถูกกล่าวว่ากระทำผิดจากกรณีการโพสต์เฟซบุ๊กจำนวน 5 ข้อความ โดยจำเลยระบุว่าตนโพสต์เพราะเป็นความต้องการของพระแม่ธรณี
ฤาชา ถูกดำเนินคดีจากการโพสต์ภาพกราฟฟิคที่มีภาพบุคคลและข้อความลงในเฟซบุ๊กส่วนตัวทั้งหมด 5 โพสต์ ในช่วงระหว่างเดือนมีนาคม 2559 โดยเนื้อหาของโพสต์เป็นการเชื่อมโยงระหว่างสถาบันกษัตริย์กับสถานการณ์การเมืองในปัจจุบัน จากนั้นเขาถูกจับกุมโดยทหารนาวิกโยธินและตำรวจท้องที่ในตอนเช้าของวันที่ 29 มี.ค.59 ที่อพาร์ทเมนท์ในจังหวัดระยอง โดยถูกยึดโทรศัพท์มือถือ แท็บเล็ต และคอมพิวเตอร์ไปด้วย
จากนั้นเจ้าหน้าที่นำตัวนายฤาชาไปควบคุมไว้ที่มณฑลทหารบกที่ 11 เป็นเวลา 7 วัน แต่ก่อนที่จะนำตัวส่งให้ตำรวจในวันสุดท้ายของการควบคุมตัว เจ้าหน้าที่ทหารได้ให้จิตแพทย์เข้ามาตรวจอาการของฤๅชาด้วย หลังจากนั้นจึงมีการนำตัวไปควบคุมที่สน.ทุ่งสองห้อง ตำรวจมีการแจ้งข้อกล่าวหา แล้วจึงนำตัวไปขออำนาจศาลทหารในการฝากขัง โดยญาติไม่มีเงินในการยื่นขอประกันตัว นายฤาชาจึงถูกคุมขังมาจนถึงปัจจุบัน คดีนี้มีทนายความจากสมาพันธ์นักกฎหมายเพื่อสิทธิเสรีภาพ (สกสส.) ให้ความช่วยเหลือทางกฎหมาย
ภายหลังจากมีการสั่งฟ้องคดีต่อศาลทหาร ทนายความยังได้ยื่นคำร้องต่อศาลว่าจำเลยไม่สามารถต่อสู้คดีได้ เพราะมีอาการทางจิต ทำให้วานนี้  (17 พ.ย.59) ศาลทหารได้นัดไต่สวนจิตแพทย์ที่เคยรักษาอาการของจำเลย แต่จิตแพทย์ไม่ได้เดินทางมาศาล ทำให้ศาลทหารเลื่อนการไต่สวนออกไปเป็นวันที่ 27 ธ.ค.59 เวลา 13.00 น.
ในวันนี้ ญาติและทนายความจึงได้ยื่นขอประกันตัว ด้วยหลักทรัพย์จำนวน 400,000 บาท โดยเป็นเงินจากกองทุนเพื่อการเข้าถึงความยุติธรรมของนักโทษการเมือง และเงินจากกองทุนของกลุ่มพลเมืองโต้กลับ ร่วมกัน ก่อนศาลทหารจะอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวจำเลยในคดีนี้
สำหรับนายฤาชา อายุ 62 ปี เป็นอดีตทหารยศจ่าสิบเอก ตามประวัติการรักษาที่สถาบันกัลยาณ์ราชนครินทร์ออกให้เมื่อวันที่ 7 เม.ย.59 ระบุว่าเขาเคยเข้ารับการตรวจรักษาที่สถาบันกัลยาณ์ฯ ตั้งแต่ปี 2554 โดยมีอาการของโรคคือ “พูดคนเดียว พูดเพ้อเจ้อ คิดว่ามีร่างทรง มีไมโครชิพอยู่ในสมอง คิดว่ามีคนอื่นเอาจิตมาฝากไว้ คิดว่าตนเองสามารถล่วงรู้ความหลังของตนเองได้ หูแว่วเป็นเสียงด่าว่าตนเองตลอดเวลาและหงุดหงิดง่าย” โดยจิตแพทย์วินิจฉัยว่าผู้ป่วยเป็น Other nonorganic psychotic disorder ซึ่งเป็นลักษณะหนึ่งของโรคจิตเภท
ฤาชาไม่ได้เข้ารับการตรวจรักษาอย่างต่อเนื่อง และจากการพูดคุยกับฤๅชาถึงแรงจูงใจในการโพสต์ภาพข้อความเหล่านั้นในเฟซบุ๊กของตนเอง ฤๅชาเล่าว่าที่เขาทำเพราะเป็นความต้องการของพระแม่ธรณีที่ต้องการให้มนุษย์ทราบเรื่องราวต่างๆ และการที่เขาต้องไปเข้าสถาบันกัลยาณ์ฯ และถูกคุมขังในเรือนจำครั้งนี้ก็เป็นประสงค์ของพระแม่ธรณีที่ต้องการให้เขาได้ศึกษาโลกมนุษย์ และภาพกราฟฟิคที่ทำให้ถูกดำเนินคดีก็เป็นฝีมือของพระแม่ธรณีด้วยเช่นกัน
ทั้งนี้ ภายหลังการรัฐประหาร ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนพบว่ามีผู้ดำเนินคดีด้วยมาตรา 112 อย่างน้อย 7 คดี ที่ผู้ต้องหาหรือจำเลยในคดีมีประวัติการรักษาอาการจิตเภท (Schizophrenia) มาก่อน อาการมีทั้งผู้ป่วยที่มีอาการหูแว่วและหวาดระแวง คล้ายมีคนมาพูดอยู่ที่ข้างหู บางรายก็ได้ยินเสียงที่ข้างหูบอกให้ฆ่าตัวตายหรือบอกให้ทำนั่นทำนี่ หรือบางรายก็มีอาการประสาทหลอน คิดว่าตนเองเป็นสิ่งเหนือธรรมชาติต่างๆ โดยผู้ป่วยลักษณะนี้หลายกรณีดูไม่แตกต่างจากคนปกติ และสามารถสื่อสารกับคนทั่วไปได้ แต่จำเป็นต้องได้รับการรักษาและรับประทานยาสม่ำเสมอ