วันศุกร์ที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2554


จะแก้รัฐธรรมนูญเมื่อไร?

จะแก้รัฐธรรมนูญเมื่อไร?
พฤหัสบดี ที่ 1 เดือน ธันวาคม พ.ศ.2554


บทความพิเศษโดย นายฉลาด ยามา ทนายความ
วันที่ 1 ธันวาคม 2554
จะแก้รัฐธรรมนูญเมื่อไร?
             ที่เขียนบทความตั้งหัวข้อไว้ว่า “จะแก้รัฐธรรมนูญเมื่อไร?” เป็นคำถามที่มีต่อรัฐบาลคณะนี้หรือคณะรัฐบาลปัจจุบัน
             ถามว่าทำไมจึงตั้งคำถามนี้ ขอตอบว่าที่ต้องตั้งคำถามเช่นนี้ เพราะรัฐธรรมนูญปี 2550 ที่ใช้บังคับในปัจจุบัน เป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปว่าเป็นรัฐธรรมนูญที่ถูกร่างจากคณะ สสร. บุคคลคณะที่ยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้เป็นบุคคลจาดคณะรัฐประหาร(คมช.) จึงทำให้รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันจึงไม่สอดคล้องต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตย นอกจากไม่สอดคล้องต่อการปกครองดังกล่าวแล้ว ก็ยังเป็นรัฐธรรมนูญที่ไม่เป็นไปตามหลักนิติรัฐและหลักนิติธรรมแต่ประการใด
            คำตอบอีกคำตอบหนึ่งก็คือ คำว่าประชาธิปไตย มีความหมายต่อความเป็นอยู่ของประชาชนทั้งประเทศ มีความหมายในแง่ของปรัชญาก็หมายถึงว่า เป็นจิตวิญญาณของประชาชนทั้งชาติทีเดียว เปรียบก็คือ เป็นปัจจัยที่สำคัญต่อการดำเนินชีวิตของประชาชนจริงๆ ถ้าขาดการปกครองโดยระบอบประชาธิปไตยหรือการปกครองไม่เป็นประชาธิปไตย ก็จะเกิดความขัดแย้งในบ้านเมืองกันไม่สิ้นสุด นอกจากความขัดแย้งจะเกิดและดำรงอยู่และดำเนินการต่อไปไม่มีสิ้นสุด ท้ายสุดที่ประเทศไม่เป็นประชาธิปไตยก็จะเกิดกาลียุคและท้ายสุดจริงๆประชาชนจะอยู่ร่วมกันไม่ได้ เพราะความขัดแย้งนั่นเอง เหตุท้ายสุดนี้ก็จะเกิดการเข่นฆ่ากันอย่างรุนแรง จากนั้นก็จะสงบลงได้ ต่างพวกต่างฝ่ายก็จะแยกแผ่นดินกันอยู่ จะทำให้แผ่นดินประเทศไทย ที่เรียกว่าเป็นพระราชอาณาจักร ก็จะไม่เป็นพระราชอาณาจักรอีกต่อไป
            ทั้งหมดที่กล่าวมาแล้ว จะทำให้ท่านผู้อ่านได้เห็นผลจากการที่ประเทศนี้ไม่เป็นประชาธิปไตย โดยการใช้กติกาการปกครองประเทศขัดหรือไม่สอดคล้องต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตย ผลของการที่เป็นเช่นนี้ เราจะโทษใคร และเมื่อเหตุการณ์มันเดินไปจนถึงจุดดังกล่าว ใครจะต้องรับผิดชอบ มีใครตอบได้ไหม??? คงยากส์!!!!!
            ความสำคัญของการที่ไม่แก้ไขรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 จะเกิดผลร้ายแรงตามที่กล่าวจริงหรือ ขอตอบว่าจริงและจริงที่ปราศจากความสงสัยใดๆทั้งสิ้น โดยมีเหตุผลรับรองได้และเป็นเหตุผลที่ประชาชนทั้งประเทศ รวมไปถึงชาวโลกส่วนมากด้วย เหตุผลดังกล่าวก็คือความไม่เป็นธรรมไม่มีในประเทศนี้ ความเป็นธรรมหรือความยุติธรรมอย่างเที่ยงตรงไม่เคยเกิดขึ้นในประเทศเลย นับตั้งแต่วันที่ 19 กันยายน 2549
            เมื่อเกิดเหตุตั้งแต่วันที่ 19 กันยายน 2549 ความยุติธรรมจริงๆหายไป แต่มีความอยุติธรรมเข้ามาแทนที่ ที่พี่น้องเสื้อแดงและประชาชนทั่วไปเรียกกันว่า “สองมาตรฐาน” และความเป็นสองมาตรฐานก็ยังดำรงอยู่จนถึงปัจจุบัน และมองไปในอนาคตก็ยังไม่ทราบว่า “สองมาตรฐาน จะหมดไปเมื่อไร” ไม่มีใครจะคาดเดาหรือกำหนดได้ว่าจะสิ้นสุดเมื่อไร? หรือจะรอให้ต้นไม้ความอยุติธรรมต้นนี้ มีดอกออกผลเสร็จแล้วเช่นนั้นหรือ ผู้เขียนไม่พึงประสงค์จะให้ต้นไม้ความอยุติธรรมออกดอกและมีผลเกิดขึ้นในแผ่นดิน เพราะต้นไม้อยุติธรรมหรือต้นไม้ที่เป็นพิษนี้มันมีพิษร้ายถึงกับทำให้แผ่นดินแตกแยกเป็นเสี่ยงๆถึงขนาดนั้น ท่านเห็นว่าความร้ายของความอยุติธรรมหรือต้นไม้เป็นพิษมันร้ายจริง
            ปัญหานี้ใครจะเป็นผู้แก้ไขขจัดความอยุติธรรม หรือต้นไม้เป็นพิษให้หมดไปจากแผ่นดินของประเทศไทย หรือราชอาณาจักรไทยได้ การแก้ปัญหานี้เป็นเรื่องยากมาก แม้ว่าวันที่ 3 กรกฎาคม 2554 ได้จัดให้มีการเลือกตั้งทั่วไป และพรรคเพื่อไทย ซึ่งเป็นพรรคที่ยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตยเป็นหลักในการหาเสียง ได้เสนอนโยบายต่อประชาชนว่า ถ้าได้รับเลือกตั้งมีเสียงเกินครึ่ง (เสียงรวม 500) จะแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับปีพ.ศ. 2550 นี่เป็นนโยบายของพรรคเพื่อไทยในหลายๆนโยบายได้สัญญากับประชาชน หรือจะเรียกว่าเป็นสัญญาประชาคมนั่นเอง ครั้นการเลือกตั้งเสร็จ พรรคเพื่อไทยมีประชาชนทั่วประเทศมอบความไว้วางใจเลือกพรรคเพื่อไทย ได้ส.ส.เขตและ ส.ส.สัดส่วน มีจำนวนเกินครึ่งคือได้ 265 เสียง มากกว่าครึ่ง 15 เสียง มีความชอบธรรมตามระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย จึงได้จัดตั้งรัฐบาลบริหารประเทศตามนโยบายที่ได้เสนอต่อประชาชนในขณะรณรงค์การเลือกตั้ง ด้วยเหตุดังกล่าวรัฐบาลพรรคเพื่อไทยที่เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล จะต้องจัดการแก้ไขรัฐธรรมนูญตามที่ได้เสนอไว้แก่ประชาชนทั้งประเทศ
            ขณะนี้ถ้านับตั้งแต่วันที่รัฐบาลพรรคเพื่อไทยและพรรคร่วมได้บริหารประเทศมาตั้งแต่วันที่ 25 สิงหาคม 2554 ถ้านับถึงวันที่เขียนบทความ (วันที่ 1 ธันวาคม 2554) ก็เป็นเวลาถึง 98 วัน เวลาที่ผ่านมารัฐบาลก็มีเหตุที่รัฐบาลต้องแก้ไขปัญหาวิกฤตมหาอุทกภัย และขณะนี้ก็ยังไม่จบเสร็จเด็ดขาด เป็นทุกขภัยอันยิ่งใหญ่ซึ่งไม่เคยเกิดกับประเทศมาก่อน จะละเลยไม่แก้ปัญหาไม่ได้แน่ๆ และก็ได้แก้ปัญหาในเรื่องวิกฤตมหาอุทกภัยคงจะเสร็จในเวลาอีกไม่นาน
            ในท่ามกลางที่ต้องแก้ปัญหาอันร้ายแรงดังกล่าว ก็เป็นการกระทำที่ชอบ แต่ถ้าหากจะมุ่งแต่เพียงแก้ปัญหาใดปัญหาหนึ่งอย่างเดียวไม่ได้ เพราะรัฐบาลต้องแก้ไขปัญหาทุกเรื่องที่เกิดขึ้นในประเทศ หากไม่ทำเช่นนี้ ความเป็นรัฐบาลก็จะบกพร่องอย่างร้ายแรง และไม่สมควรที่จะทำหน้าที่เป็นรัฐบาลด้วยซ้ำ เพราะเป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ถ้านำหลักกฎหมายมากล่าวกันก็ถือได้ว่ารัฐบาลละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ แต่เรื่องบางเรื่องก็ไม่ต้องนำหลักกฎหมายเข้ามาเกี่ยวข้องก็ได้ และดังว่านี้มีมากมายหลายเรื่องจริงๆโดยเฉพาะเรื่องที่ประชาชนจะได้รับประโยชน์จากการบริหารงานของรัฐ เพียงแต่ว่ารัฐจะจัดลำดับความสำคัญเร่งด่วนและจำเป็นที่จะจัดการให้แก่ประชาชนเท่านั้น
            การบริหารงานของรัฐบาลเพื่อประโยชน์ของประชาชนโดยรวมนั้น จะมีปัญหากี่ปัญหาก็ตาม จะต้องแก้ไขไปพร้อมๆกัน จะละเลยปัญหาหนึ่งปัญหาใดมิได้ ผู้เขียนเห็นว่ามีปัญหาที่สำคัญและต้องแก้ไขโดยด่วน 98 วันที่ผ่านมานานมามากแล้วที่ไม่ยอมหยิบยกเอาปัญหาที่สำคัญอย่างยิ่ง นำขึ้นมาแก้ไขแต่อย่างใด ปัญหาดังกล่าวคือ “การแก้รัฐธรรมนูญ” ตามที่สัญญากับประชาชนไว้ การละเลยหรือรอที่จะนำปัญหานี้มาแก้ไข ขอเรียนท่านว่าอาจจะไม่มีโอกาสที่จะทันได้หยิบยกปัญหานี้ขึ้นมาเพื่อแก้ไขได้เลย เพราะประชาธิปไตยที่เราได้มาจากการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2554 จะมีอายุไปได้อีกกี่วันและกี่เดือน หรือจนครบวาระ ท่านก็ไม่สามารถทำนายและรู้อนาคตของรัฐบาลได้ เพราะอะไรรัฐบาลอาจจะรู้แล้วหรือไม่รู้ ที่ว่าไม่รู้นี่เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน ผู้เขียนขอสมมติเอาว่า รัฐบาลไม่รู้ก็แล้วกัน ถ้าเป็นเช่นนี้ก็เป็นเรื่องที่ประชาชนจะต้องรีบแจ้งให้รัฐบาลทราบโดยด่วน จะช้าแม้แต่วันเดียวก็จะช้าไปด้วยซ้ำ
            ปัญหาที่จะชะลอการแก้รัฐธรรมนูญ หรือจะใช้เวลาในโอกาสอันควรนั้นไม่ได้โดยเด็ดขาด เหตุเพราะวันนี้หลายคนเข้าใจว่าเราได้รัฐบาลเป็นของประชาชนแล้ว ขอเรียนว่าท่านเข้าใจถูก แต่ถูกเพียงว่าเราได้จากการเลือกตั้งเท่านั้น แต่เรายังไม่ได้อำนาจการบริหารงานราชการโดยเด็ดขาด เหตุเพราะกลไกของรัฐเกือบทุกหน่วยงานของประเทศยังอยู่ในอำนาจของพวกอำมาตย์และอำนาจมือที่มองไม่เห็น กลไกต่างๆไม่อาจที่จะสลัดหน่วยงานของตนออกจากอำนาจดังกล่าวได้ มีตัวอย่างให้เห็นกันอย่างจะๆ ก็เหตุการณ์แก้ปัญหาวิกฤตมหาอุทกภัย ไม่บอกท่านก็ทราบว่ามีหน่วยงานไหนบ้างที่เข้าเกียร์ว่างไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของผู้อำนวยการ ศปภ. แม้เป็นคำสั่งของนายกรัฐมนตรี ก็ยังไม่ให้ความร่วมมือหรือปฏิบัติตามคำสั่งก็มีให้เห็นปรากฏให้ทราบแล้ว เพราะอำนาจดังกล่าวยิ่งใหญ่จริงๆ ยากที่คนใดคนหนึ่งจะหยุดยั้งอำนาจนี้ได้และยังจะดำรงอยู่ได้แต่จะนานแค่ไหนก็อยู่ที่ประชาชน และจริงๆแล้วประชาชนจำนวนหนึ่งคือ “กลุ่มคนเสื้อแดง” เขาตาสว่างและรู้แล้วว่าอำมาตย์และมือที่มองไม่เห็นยังมีฤทธิ์เดชอันร้ายแรงมาก แม้ว่าอำนาจของอำมาตย์และมือที่มองไม่เห็นจะมีอำนาจควบคุมกลไกต่างๆของรัฐไว้เกือบทั้งหมด ก็มีวิธีแก้ไขไม่ให้อำนาจตกอยู่ภายใต้การควบคุมของคนพวกนี้ได้ ก็คือแก้ไขรัฐธรรมนูญปี 2550 ฉบับนี้โดยด่วน มิฉะนั้นท่านจะเสียโอกาสอันสำคัญ เช่น รัฐบาลของพรรคพลังประชาชนนำโดย นายกสมัคร สุนทรเวช ซึ่งไม่ยอมแก้ไขรัฐธรรมนูญ จึงตกกระทะหลุดจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีไปอย่างน่าเสียดายเป็นประวัติศาสตร์ไว้ให้เราแก้ไขมิใช่หรือ
            กำหนดกรอบการแก้รัฐธรรมนูญปี 2550 ในวันนี้เลยครับ อะไรจะเกิดก็ให้มันเกิด แม้จะมีรัฐประหารก็ต้องเสี่ยง เพราะถ้าเราไม่เสี่ยง เราตายไม่มีโอกาสรอด แต่ถ้าเราเสี่ยง โอกาสรอดมีมากกว่าตาย เลือกเถิดครับ เสี่ยงแก้รัฐธรรมนูญเลย ไม่ต้องไปวิตกกับอะไร เพราะเป็นความชอบธรรมที่สมบูรณ์ที่สุดในการกำหนดวันแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับ 2550นี้ ไม่ได้เสี่ยงนะ แต่เป็นความชอบธรรมของรัฐบาลที่บอกว่าเสี่ยงก็คือว่า ถ้าพวกอำมาตย์และมือที่มองไม่เห็น จะทำอะไรประชาชนพร้อมแล้วที่จะอยู่เคียงข้างรัฐบาล อย่าให้ประชาชนต้องถามว่า “จะแก้ไขรัฐธรรมนูญเมื่อไร?
http://redusala.blogspot.com

ประเทศไทยกับศาลอาญาระหว่างประเทศ


ประเทศไทยกับศาลอาญาระหว่างประเทศ 
ประสิทธิ์ ปิวาวัฒนพานิช 

คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรม
จาก เวปไซต์ นิติราษฎร์


บทนำ



            อนุสนธิจากการที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจากพรรคเพื่อไทยแถลงข่าวเกี่ยวกับการยื่นฟ้องต่อศาลอาญาระหว่างประเทศกรณี 91 ศพ โดยในเนื้อข่าวได้ปรากฏมีเนื้อหาว่าจากประเทศไทยได้ให้สัตยาบันธรรมนูญกรุงโรม พ.ศ. 2543 โดยคณะรัฐมนตรีเมื่อปี พ.ศ. 2552 เรียบร้อยแล้วมีผลทำให้ประเทศไทยเป็นภาคีของศาลอาญาระหว่างประเทศเรียบร้อยแล้ว เนื่องจากเรื่องการฟ้องคดีต่อศาลอาญาระหว่างประเทศนั้นเป็นเรื่องสำคัญและเกี่ยวข้องกับประเด็นข้อกฎหมายระหว่างประเทศโดยตรงจึงสมควรอธิบายทั้ง “ข้อเท็จจริง” และ “ข้อกฎหมาย” เพื่อมิให้สาธารณชนเข้าใจคลาดเคลื่อนดังต่อไปนี้

            ประการแรก ประเทศไทยยังมิได้เป็นภาคีธรรมนูญก่อตั้งศาลอาญาระหว่างประเทศหรือที่เรียกว่าธรรมนูญกรุงโรมว่าด้วยศาลอาญาระหว่างประเทศ (The Rome Statute of the International Criminal Court: ICC) แต่อย่างใด ประเทศไทยได้ “ลงนาม” (Sign) อนุสัญญากรุงโรมเท่านั้นแต่ยังมิได้ให้“สัตยาบัน” (Ratification) หรือให้ความยอมรับ หรือให้ความเห็นชอบแต่ประการใด ตามข้อบทของอนุสัญญากรุงโรมข้อที่ 126 ระบุว่า การมีผลบังคับใช้ของอนุสัญญาแก่รัฐนั้น รัฐสามารถแสดงเจตนาเข้าผูกพันพันธกรณีของอนุสัญญาได้ด้วยการให้สัตยาบัน หรือให้ความยอมรับ หรือให้ความเห็นชอบหรือภาคยานุวัติ ดังนั้น ลำพังการลงนามเพียงอย่างเดียวยังไม่เพียงพอที่จะทำให้ประเทศไทยเป็นภาคีอนุสัญญานี้แต่อย่างใด ข้อเท็จจริงในเรื่องการเป็นภาคีของประเทศไทยนั้นเป็นข้อเท็จจริงที่พิสูจน์หรือค้นหาไม่ยากเพราะสามารถตรวจสอบได้จากเจ้าหน้าที่ของกระทรวงการต่างประเทศหรือข้อมูลจากอินเตอร์เนต1



             นอกจากนี้แล้ว การให้สัตยาบันแก่อนุสัญญากรุงโรมเป็นเรื่องสำคัญยิ่งจึงเป็นไปไม่ได้ที่สาธารณชนจะไม่ทราบและเท่าที่ทราบประเทศไทยติดขัดประเด็นสำคัญที่ละเอียดอ่อนอยู่ จึงยังมองไม่เห็นว่าการเข้าเป็นภาคีในเร็ววันนี้จะเป็นไปได้อย่างไร มิพักต้องพูดถึงมาตรา 190 วรรคสองที่กำหนดว่า การเข้าเป็นภาคีสนธิสัญญาที่จะต้องตราพระราชบัญญัติอนุวัติการสนธิสัญญาดังกล่าว ฝ่ายบริหารจะต้องเสนอต่อรัฐสภาเพื่อขอความเห็นชอบ แต่ที่ผ่านมาไม่เคยมีข่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้แต่อย่างใด อีกทั้งที่ผ่านมา NGOs ของต่างประเทศอย่าง The Coalition for the International Criminal Court ได้เคยมีจดหมายลงวันที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2554 (ค.ศ. 2011) ไปยังนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร เพื่อเรียกร้องให้ประเทศไทยเป็นภาคีธรรมนูญกรุงโรม2 ดังนั้น จึงเป็นไปไม่ได้ที่ประเทศไทยจะเป็นภาคีธรรมนูญกรุงโรมว่าด้วยศาลอาญาระหว่างประเทศแล้ว


            ประการที่สอง โดยหลักกฎหมายพื้นฐานของสนธิสัญญาเกี่ยวกับการมีผลผูกพันของรัฐภาคีในแง่ของเวลานั้นบัญญัติว่า โดยหลักทั่วไปแล้ว หากมิได้ปรากฏเจตนาของรัฐภาคีเป็นอย่างอื่น การมีผลผูกพันของสนธิสัญญาจะไม่มีผลย้อนหลัง (non-retroactivity of treaties) โดยข้อบทที่ 28 ของอนุสัญญาเวียนนาว่าด้วยกฎหมายสนธิสัญญากำหนดว่า พันธกรณีของสนธิสัญญาจะไม่มีผลผูกพันรัฐภาคีหากว่า การกระทำใดๆหรือข้อเท็จจริงหรือสถานการณ์ได้เกิดขึ้นและสิ้นสุดลงก่อนที่สนธิสัญญาจะเริ่มมีผลผูกพันต่อรัฐนั้น3 พูดง่าย ๆก็คือ หากเหตุการณ์ราชประสงค์เกิดขึ้นและสิ้นสุดลงก่อนที่ไทยจะเข้าเป็นภาคีอนุสัญญากรุงโรม ไทยก็ไม่สามารถอ้างพันธกรณีตามอนุสัญญาได้ ในทางตรงกันข้าม ไทยจะเริ่มตกอยู่ภายใต้อนุสัญญานี้หลังจากที่อนุสัญญานี้เริ่มมีผลผูกพันกับประเทศไทยแล้ว กล่าวอีกนัยหนึ่ง ยิ่งนานวันเข้าเท่าใด วันที่อนุสัญญาเริ่มมีผลผูกพันประเทศไทย(หรือวันที่ไทยสามารถอ้างอนุสัญญาได้ในฐานะรัฐภาคี) ก็ยิ่งทอดนานเท่านั้น

            นอกจากนี้ในข้อบทที่ 126 ของอนุสัญญากรุงโรมก็ระบุไว้ชัดเจนว่า “สำหรับรัฐแต่ละรัฐที่ให้สัตยาบัน….ต่อธรรมนูญศาลอาญาระหว่างประเทศนี้ หลังจากการมอบสัตยาบันสารแล้ว….. ให้ธรรมนูญศาลอาญาระหว่างประทศนี้มีผลใช้บังคับในวันแรกของเดือนถัดไปจากวันที่หกสิบหลังจากการยื่นสัตยาบันสาร…..” และ ข้อที่ 11 บัญญัติว่า “ หากรัฐเข้าเป็นภาคีธรรมนูญศาลนี้ หลังจากที่ธรรมนูญนี้มีผลใช้บังคับ ศาลอาจใช้เขตอำนาจของตนเฉพาะกับอาชญากรรมที่กระทำขึ้นหลังจากที่ธรรมนูญศาลนี้มีผลบังคับใช้สำหรับรัฐนั้น….” 



         จากข้อบทดังกล่าวที่ยกมาอ้างอิงนั้นแสดงให้เห็นชัดว่า รัฐจะเป็นสมาชิกศาลอาญาระหว่างประเทศได้ก็ต่อเมื่อครบวันแรกของเดือนถัดจากวันที่หกสิบหลังจากที่ได้มอบสัตยาบันไปแล้ว พูดง่ายๆก็คือ ต่อให้มีการสัตยาบันธรรมนูญกรุงโรมวันนี้ ประเทศไทยก็ยังไม่มีสถานะเป็นสมาชิกศาลอาญาระหว่างประเทศอยู่ดี เพราะต้องพ้นระยะเวลาดังกล่าวไปก่อน และต่อให้เป็นสมาชิกศาลอาญาระหว่างประเทศวันนี้ ศาลอาญาระหว่างประเทศก็ไม่มีเขตอำนาจอยู่ดี เนื่องจากเหตุการณ์ปราบปรามผู้ชุมนุมจนมีผู้เสียชีวิต 91 ศพนั้นเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนที่ไทยจะเป็นสมาชิกเพราะกรณีราชประสงค์นั้นเกิดขึ้นเมื่อพฤษภาคม พ.ศ. 2553

            ประการที่สาม วัตถุประสงค์สำคัญที่ประชาคมระหว่างประเทศได้ก่อตั้งศาลอาญาระหว่างประเทศขึ้นมานั้น มิได้ก่อตั้งขึ้นเพื่อมาแทนที่ศาลภายในของรัฐสมาชิกแต่มีขึ้นเพื่อมาเสริมเขตอำนาจของศาลภายใน ซึ่งผู้ร่างอนุสัญญากรุงโรมเรียกว่า หลักการเสริมเขตอำนาจศาลภายใน (complementary)4 กล่าวคือ ศาลอาญาระหว่างประเทศจะมีเขตอำนาจพิจารณาคดีก็ต่อเมื่อศาลภายในของรัฐสมาชิกไม่สามารถที่จะฟ้องร้องดำเนินคดี (Unable to prosecute) หรือไม่เต็มใจที่จะฟ้องร้องดำเนินคดี (Unwilling to prosecute)5 ที่จะดำเนินคดีกับผู้ถูกกล่าวหาได้เท่านั้น พูดง่ายๆก็คือ ก่อนที่จะส่งเรื่องให้ศาลอาญาระหว่างประเทศพิจารณา รัฐภาคีจะต้องให้เหตุผลอธิบายได้ว่า รัฐไม่สามารถหรือไม่เต็มใจที่จะดำเนินคดีอาญากับผู้ถูกกล่าวหาได้ด้วยเหตุใด


            หากประเทศไทยไม่ได้ให้สัตยาบันจะมีหนทางใดหรือไม่ที่จะเสนอเรื่องให้ศาลอาญาระหว่างประเทศได้ ?


            คำถามข้างต้นเป็นประเด็นที่น่าสนใจและหลายคนคงอยากทราบ อนุสัญญากรุงโรมเองมิได้ปิดประตูตายเสียทีเดียวสำหรับรัฐที่มิได้เป็นภาคี (Non-party) ที่จะเสนอเรื่องให้ศาลอาญาระหว่างประเทศพิจารณา โดยข้อบทที่ 12 (3) ได้เปิดช่องให้รัฐที่มิได้เป็นภาคีอนุสัญญาสามารถทำ “คำประกาศ” (Declaration) ยอมรับอำนาจศาลได้ เฉพาะฐานความผิดที่เป็นปัญหาเท่านั้น6 โดยรัฐสามารถส่งมอบคำประกาศให้แก่นายทะเบียน เขตอำนาจของศาลตามมาตรา 12 (3) นี้มีลักษณะเป็น เฉพาะคดี (ad hoc)7 ไม่มีลักษณะถาวรเป็นการทั่วไป กล่าวคือ เป็นกรณีที่รัฐประกาศยอมรับเขตอำนาจเฉพาะฐานความผิดใดความผิดหนึ่ง หรือเฉพาะเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่งเท่านั้น อย่างไรก็ตาม การประกาศยอมรับเขตอำนาจศาลดังกล่าวมิได้มีผลทางกฎหมายที่จะให้อัยการสอบสวนสืบสวนโดยทันที8 อำนาจการสอบสวนเป็นดุลพินิจของอัยการและจะต้องผ่านการกลั่นกรองจากองค์คณะตุลาการพิจารณาเบื้องต้น (Pre-Trial Chamber) เสียก่อน


     อนึ่ง มีข้อสังเกตว่า การทำคำประกาศยอมรับเขตอำนาจศาลนี้ ในทางกฎหมายระหว่างประเทศถือว่าเป็น “การกระทำฝ่ายเดียวของรัฐ” (Unilateral act of state)9 มิใช่เป็นการทำสนธิสัญญา ดังนั้น การทำคำประกาศดังกล่าวจึงไม่อยู่ในข่ายของมาตรา 190 ของรัฐธรรมนูญเนื่องจากมาตรา 190 เป็นเรื่องของการทำหนังสือสัญญา (หรือสนธิสัญญา)


            ที่ผ่านมาในอดีตมีบางประเทศที่ใช้ช่องทางนี้เพื่อให้ศาลอาญาระหว่างประเทศพิจารณาคดี เช่น ประเทศไอวอรี่ โคส เป็นประเทศแรกที่ทำคำประกาศฝ่ายเดียวยอมรับเขตอำนาจศาล เมื่อปีค.ศ. 200310หรือกรณีของปาเลสไตน์ รัฐบาลของปาเลสไตน์ที่เรียกว่า Palestinian National Authority (PNA) ได้ทำคำประกาศฝ่ายเดียวยอมรับเขตอำนาจศาลเมื่อวันที่ 21 มกราคม ค.ศ. 2009


            อย่างไรก็ตาม การทำคำประกาศฝ่ายเดียวยอมรับเขตอำนาจศาลก็ยังสร้างปัญหาข้อกฎหมายสำคัญอีกประการหนึ่งก็คือ คำประกาศฝ่ายเดียงดังกล่าวจะมีผลย้อนหลังหรือไม่ กล่าวอีกนัยหนึ่ง รัฐจะทำคำประกาศฝ่ายเดียวยอมรับเขตอำนาจศาลให้พิจารณาฐานความผิดที่เกิดขึ้นก่อนที่รัฐจะทำคำประกาศฝ่ายเดียวได้หรือไม่ดังเช่นกรณีที่ปาเลสไตน์ได้ทำคำประกาศเมื่อปี ค.ศ. 2009 ให้ศาลอาญาระหว่างประเทศพิจารณาความผิดที่ได้กระทำขึ้นบนดินแดนของปาเลสไตน์ตั้งแต่ค.ศ. 2002 เป็นต้นมา ประเด็นนี้ยังคงเป็นประเด็นที่นักกฎหมายถกเถียงกันอยู่11 โดยนักกฎหมายส่วนใหญ่เห็นว่า หากเป็นอาชญากรรมร้ายแรงที่เป็นความผิดต่อเนื่องที่เรียกว่า continuing crime นั้น หากความผิดเกิดขึ้นก่อนที่รัฐจะทำคำประกาศแต่ความผิดดังกล่าวยังไม่สิ้นสุดลงยังคงดำเนินติดต่อกันมาเรื่อยจนกระทั้งถึงวันที่ทำคำประกาศนั้น นักกฎหมายเห็นว่า ศาลยังมีเขตอำนาจ แต่หากเป็นความผิดที่เกิดขึ้นและสิ้นสุดลงไปแล้วก่อนที่รัฐจะทำคำประกาศยังเป็นประเด็นที่ขาดความชัดเจนแต่นักกฎหมายส่วนใหญ่เห็นว่า ศาลมีเขตอำนาจนับแต่วันที่ทำคำประกาศ

บทสรุป


           
ธรรมนูญกรุงโรมก่อตั้งศาลอาญาระหว่างประเทศจะมีผลผูกพันกับรัฐภาคีเมื่อรัฐนั้นได้ให้สัตยาบันหรือรับรองหรือยอมรับ โดยจะมีผลบังคับกับรัฐดังกล่าวในวันแรกของเดือนถัดจากวันที่หกสิบหลังจากวันยื่นสัตยาบันสาร กล่าวอีกนัยหนึ่ง ธรรมนูญกรุงโรมไม่มีผลใช้บังคับย้อนหลัง สำหรับสถานะของประเทศไทยในปัจจุบันยังมิได้เป็นสมาชิกแต่อย่างใดเนื่องจากไทยเพียงแค่ “ลงนาม” เท่านั้นแต่ยังมิได้ให้ “สัตยาบัน” อย่างไรก็ดี ธรรมนูญกรุงโรมข้อที่ 12 (3) ก็เปิดช่องให้รัฐที่มิได้เป็นภาคีสามารถทำคำประกาศฝ่ายเดียวยอมรับเขตอำนาจศาลได้ซึ่งเขตอำนาจของศาลนั้นมีลักษณะเป็นเฉพาะคดี มิได้เป็นการยอมรับเขตอำนาจศาลเป็นการทั่วไป

____________________________
เชิงอรรถ
1 ข้อมูลจากอินเตอร์เนต ระบุว่า ประเทศไทยลงนามเมื่อวันที่ 2 ตุลาคม ค.ศ. 2000 โดยที่ยังมิได้ให้สัตยาบัน
2 โปรดดู ข้อมูลใน http://thaingo.org/web/2011/10/04/global-coalition-calls-on-thailand-to-join-the-international-criminal-court/ นอกจากนี้ โปรดอ่านคำสัมภาษณ์รองประธานศาลอาญาระหว่างประเทศ นาย Hans-Peter Kaul ที่มีโอกาสมาประเทศไทยให้สัมภาษณ์ในประเด็นเรื่องเขตอำนาจศาลอาญาระหว่างประเทศกับประเทศไทยได้ใน http://www.bangkokpost.com/news/local/217418/icc-has-no-jurisdiction-over-crimes-on-thai-territory
3 โปรดดูข้อบทที่ 28ของอนุสัญญาเวียนนาว่าด้วยกฎหมายสนธิสัญญา ค.ศ. 1969 สถานะของอนุสัญญานี้มีสถานะเป็นกฎหมายประเพณีระหว่างประเทศ (Customary international law) ด้วย ฉะนั้น อนุสัญญานี้จึงมีผลผูกพันประเทศไทยแม้ว่าไทยจะมิได้เป็นภาคีอนุสัญญานี้ก็ตาม
4 โปรดดูอารัมภบทวรรคที่ 10 และข้อที่ 1 ของธรรมนูญกรุงโรม
5 โปรดดูข้อที่ 17 ของธรรมนูญกรุงโรม
6 ปัจจุบัน ฐานความผิดที่ศาลอาญาระหว่างประเทศมีเขตอำนาจพิจารณามีอยู่ด้วยกัน 4 ฐานคือ อาชญากรรมอันเป็นการทำลายล้างเผ่าพันธุ์ อาชญากรรมต่อมนุษยชาติ อาชญากรรมสงคราม และอาชญากรรมอันเป็นการรุกราน
7 Carsten Stahn (et al), The International Criminal Court’s Ad Hoc Jurisdiction Revisited, The American Journal of International Law, vol.99:421, 2005,p.422
8 Ibid,p. 423
9 Morten Bergsmo, 6 European Journal of Crime, Criminal Law and Criminal Justices, 1998, p.347 นอกจากนี้แล้ว ยังมีตัวอย่างของคำประกาศของปาเลสไตน์ซึ่งลงนามโดยรัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรมด้วย โปรดดูใน http://www.icc-cpi.int/NR/rdonlyres/74EEE201-0FED-4481-95D4-C8071087102C/279777/20090122PalestinianDeclaration2.pdf
10 โปรดดูตัวอย่างของคำประกาศยอมรับเขตอำนาจศาลอาญาระหว่างประเทศของประเทศไอวอรี่ โคส ลงนามโดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศได้ใน 

http://www.icc-cpi.int/NR/rdonlyres/74EEE201-0FED-4481-95D4-C8071087102C/279844/ICDEENG.pdf


http://redusala.blogspot.com

ผิดด้วยหรือ?? ยืมเงินนายเก่า หวังซื้อใจนายใหม่
ผิดด้วยหรือ?? ยืมเงินนายเก่า หวังซื้อใจนายใหม่  
แฉตัวเลขปริศนา 400 ล้านบาท คืออะไร!!!



ไม่เพียงจะเป็นทอล์ค ออฟ เดอะ ทาวน์ ที่ดังกระฉ่อนปาดหน้าข่าวน้ำท่วม ได้อย่างสบาย สำหรับคดีปล้นเงินสดจำนวนมากจากบ้าน นายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม อดีตปลัดกระทรวงคมนาคม เพราะเป็นเรื่องลึกลับซ่อนเงื่อนไม่ได้ต่างไปกว่ากันเลย

           น้ำท่วมใหญ่ครั้งนี้ ผู้คนสงสัยกันมากว่า ตกลงแล้วมวลน้ำมีมากมายเท่าไรกันแน่???

           และที่สำคัญมวลน้ำมหึมาเป็นหมื่นๆล้านลูกบาศก์เมตรนั้นมาจากไหน???

           ในขณะที่คดีปล้นสะเทือนแวดวงการเมืองในครั้งนี้ สิ่งที่เป็นปริศนาที่พูดกันให้แซ่ดก็คือ ตกลงเงินในบ้านอดีตปลัดสุพจน์นั้น มีเท่าไรกันแน่???

          รวมทั้งประเด็นสำคัญก็คือ เงินจำนวนมหาศาลนั้น มาจากไหน!!!
          เป็นคำถาม เป็นข้อสงสัย ที่คล้ายกันอย่างไม่น่าเชื่อ เพราะฉะนั้นข่าวน้ำท่วมใหญ่ดังแค่ไหน ข่าวปล้นสะท้านการเมืองก็ดังไม่ต่างกัน

           บ้าน เลขที่ 29 เลขที่ 77 ภายในซอยลาดพร้าว 64 แยก 2 แขวงวังทองหลาง เขตวังทองหลาง กทม. ของนายสุพจน์ กลายเป็นเป้าสนใจของทุกคน ในฐานะขุมสมบัติปริศนา?

            เพราะนับตั้งแต่เกิดการปล้นขึ้นมา รายละเอียดตั้งแต่ฉากแรกจนถึงขณะนี้ สามารถนำเอาไปเป็นพลอตสร้างหนังฮอลีวูดได้เลย

           นับตั้งแต่ฉากเปิดเรื่อง ที่สาวคนใช้ โทรศัพท์แจ้งนายสุพจน์ ด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนกว่า “นายๆ โจรเข้าบ้าน”

          ซึ่งตอนนั้นเป็นเวลาราวๆ 19.40 น. ของวันที่ 12 พฤศจิกายน และนายสุพจน์กำลังอยู่ในงานสมรสของบุตรสาวที่โรงแรมพลาซ่า แอทธินี ถนนเพลินจิต โฆษกบนเวทีเพิ่งประกาศว่า สินสอดในงานหมั้นครั้งนี้มีเงินสด 2 ล้านบาท และทองคำแท่ง 50 บาท

          เพราะได้รับข้อมูลไม่ชัดเจน ไม่รู้ว่าเกิดการปล้นที่จะกลายเป็นคดีใหญ่ในเวลาต่อมา จึงทำให้นายสุพจน์ซึ่งคิดว่า คงเป็นพวกโจรงัดแงะ โจรกระ จอกทั่วๆไป จึงได้แจ้งไปยัง พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 1 ขอความช่วยเหลือ

          ทำให้เรื่องนี้ถึงได้มีตำรวจเข้ามาเกี่ยวข้อง

          และนี่คือคำตอบของข้อสงสัยที่ว่า หากรู้ว่าในบ้านตนเองมีเงินอยู่มากมาย ทำไมนายสุพจน์จึงกล้าที่จะแจ้งตำรวจ

          หากนายสุพจน์อยู่ที่บ้านในตอนนั้น หรือว่าได้รับรู้รายละเอียดมากพอว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง ทางฝ่ายสืบสวนคดีนี้ยังยอมรับว่า ไม่รู้ว่าคดีนี้จะโด่งดังหรือไม่?

         เพราะพฤติกรรมการปล้นที่เกิดขึ้นนั้นไม่ธรรมดา มีการวางแผนมาอย่างดี มีการทิ้งฝากคำพูด จนทำให้เกิดประเด็นในเรื่องการปล้นสั่งสอน เป็นการหักเกมกัน

          เนื่องจากข้อมูลที่พบก็คือ ขบวนปล้นใช้รถกระบะ 2 ตอน ยี่ห้อโตโยต้า รุ่นวีโก้ สีเทา เป็นพาหนะ โดยคนร้าย 2-3 คน ลงจากรถเปิดประตูออกแล้วขับตรงไปที่ลานจอดหน้าบ้านได้อย่างสะดวก เพราะปกติแล้ว ประตูรั้วบ้านหลังนี้ใช้รีโมตคอนโทรล บังคับเปิด-ปิด แต่บังเอิญว่าเป็นช่วงกำลังเกิดน้ำท่วมใหญ่ นายสุพจน์จึงสั่งให้ถอดระบบรีโมต เพราะเกรงน้ำทะลักเข้าบ้านทำให้ไฟฟ้าลัดวงจร กลายเป็นการเปิดทางสะดวกสำหรับโจรไปโดยปริยาย

          คนร้ายประมาณ 6 คน ลงจากรถ แต่ละคนใช้หมวกไหมพรมคลุมหัวและใส่หน้ากากอนามัยทับอีกชั้น สวมถุงมือไหมพรมสีดำ ใส่เสื้อแขนยาวคอกลมและรองเท้าผ้าใบ ที่สำคัญเหมือนกับรู้ว่าบ้านมีกล้องวงจรปิดติดตั้งอยู่ จึงมีการวิ่งหลบทิศทางกล้องด้วย

          ที่สำคัญข้อมูลจากการสอบปากคำสาวใช้ในบ้าน เกี่ยวกับการพูดตอบโต้กันของสาวใช้กับคนร้าย ทำให้มองเห็นทันทีว่า งานนี้ไม่ธรรมดาแน่

           เพราะเมื่อคนร้ายเข้าทางประตูหน้าบ้านไม่ได้ เพราะคนใช้ล็อกไว้แล้ว จึงอ้อมไปด้านหลังเป็นห้องครัวซึ่งยังไม่ได้ล็อก และคนใช้พยายามดันไม่ให้คนร้ายเปิดประตูได้ และตะโกนถามว่ามาเอาอะไร มาหาใคร เสียงที่ตอบมาเป็นสำเนียงอีสานก็คือ “พวกผมไม่ได้มาทำอะไร”

         เมื่อเข้ามาในบ้านได้ ก็ยังบอกว่า “ไม่ต้องร้อง ไม่ได้ทำอะไร” ในขณะที่ใช้เชือกมัดมือ 3 สาวใช้ แล้วดึงเทปกาวสีเขียวปิดปากพร้อมกับเอาหน้ากากอนามัยสีขาวสวมปิดทับอีกชั้น ก่อนที่จะบังคับให้คนใช้พาไปที่ห้องนอนของนายสุพจน์บนชั้นสอง

          น่าสังเกตุว่าเมื่อคนร้ายใช้ชะแลงงัดประตูห้องได้ ก็ตรงดิ่งไปงัดตู้เสื้อผ้า ช่วยกันดึงกระเป๋าที่ซุกอยู่ในตู้ออกมาแล้วใช้มีดคัตเตอร์กรีด เนื่องจากกระเป๋าหลายใบมีกุญแจล็อกอยู่ แล้วดึงเงินที่มัดเป็นปึกๆ ออกจากกระเป๋ามีทั้งกระเป๋าเอกสารทำด้วยหนัง กระเป๋าพลาสติกสำหรับเดินทาง ยัดใส่ถุงพลาสติกขนาดใหญ่ 2 ถุง ที่เตรียมมา สามารถบรรจุเงินได้นับร้อยล้านบาท ลากลงมาจากห้องชั้นสอง ก่อนขับรถหลบหนีออกไปอย่างรวดเร็ว

           คนร้ายรู้ละเอียด และมีการวางแผนมาเป็นอย่างดีได้อย่างไร

           รวมทั้งประโยคทิ้งท้ายที่ว่า “มาเอาของคืนให้นาย” นั่นหมายความเช่นไร

           แน่นอนว่าเรื่องนี้ในมุมมองของตำรวจ ของสังคม นี่เป็นการปล้นที่มีเงื่อนงำอย่างแน่นอน

          ยิ่งนายสุพจน์ระบุว่า เงินที่ถูกปล้นไปเป็นเงินสินสอดของลูกสาว ยังไม่ได้นับจำนวนที่แน่ชัด แต่แจ้งความเบื้องต้นว่าน่าจะราวๆ 5 ล้านบาท แต่ปรากฏว่าหลังจากนั้น ทั้งโดยการตามจับกุมของตำรวจ และโดยการเข้ามามอบตัวเองของคนร้าย

         เงินที่ถูกปล้นไปเบื้องต้นที่ได้คืนมาปาเข้าไปร่วม 18 ล้านบาท แถมคนร้ายยังพูดไปถึงขนาดว่า จริงๆแล้วเงินในบ้านมีมากมายหลายร้อยล้านบาท ดีไม่ดีจะมีมากถึงพันล้านบาทเลยด้วยซ้ำ

          ตะลึงกันไปทั้งเมือง บ้านที่ไหนจะเก็บเงินสดเอาไว้เป็นร้อยเป็นพันล้านบาท
          เท่านั้นเองจากผู้เสียหาย นายสุพจน์กลับกลายเป็นผู้ต้องสงสัยในทันที

          แม้ว่าทางต้นสังกัด คือ พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม จะมองว่าเป็นเรื่องส่วนตัว และไม่คิดจะทำอะไร แต่ทางรัฐบาลไม่ได้มองเช่นนั้นด้วย จึงได้สั่งย้ายมาประจำสำนักนายกรัฐมนตรีในทันที

           ในขณะที่ประเด็นเงินจำนวนมหาศาลนั้นมีที่มาจากไหน ทำให้ทั้งคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามทุจริตการแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และคณะกรรมการป้องกันการฟอกเงิน (ปปง.) ต้องยื่นมือเข้ามเกี่ยวข้อง ตรวจสอบ

            แน่นอนว่าทั้งกรณี ป.ป.ช. และ ปปง. ล้วนแล้วแต่เป็นยาขมหม้อใหญ่สำหรับแวดวงการเมือง ใครโดนเข้าเท่ากับอนาคตทางการเมืองดับวูบได้เลยทันที ใครบ้างที่ไม่กลัว

             ยิ่งมีการปล่อยชื่อตัวละคร ว่าน่าจะมีนักการเมืองใหญ่ ชื่อ น. และนักการเมืองลูกน้องที่ชื่อ ส. ออกมาว่าเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ แถมยังมีการโฟกัสต่อไปว่า อาจจะมี นายพล ส. เข้ามาเกี่ยวข้องในเรื่องนี้ด้วยอีกคน

             เท่านั้นก็เหมือนกับระเบิดลงกลางวงการเมืองเลยก็ว่าได้

            ยิ่งเมื่อเจอมือเก๋าการเมืองระดับ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี เอาเรื่องนี้ไปพูดกลางสภา ก็ยิ่งกลายเป็นกระแสร้อนฉ่าขึ้นมาทันทีทันควัน

            เพราะ ร.ต.อ.เฉลิม ตั้งข้อสังเกตว่า เงินพันล้านที่พบในบ้านของนายสุพจน์ ที่ถูกปล้นไป น่าจะเป็นเงินที่มาจากการทุจริตคอร์รัปชั่นในโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีม่วง สีแดง และสีฟ้า ที่มีการเรียกรับผลประโยชน์มากถึง 8 เปอร์เซ็นต์


สอดคล้องกับความเชื่อที่เกิดขึ้นเป็นกระแสในสังคมมาโดยตลอดว่า ในรัฐบาลที่ผ่านมามีการเรียกหัวคิวกันหนักมาก สูงถึง 30% เลยก็มี ถึงขนาดทำให้หอการค้าไทย และสภาอุตสาหกรรมไทย อดรนทนไม่ไหว ต้องออกมาแสดงพลังต่อต้านการคอรัปชั่นกันตรงๆ

           และบิ๊กหอการค้าไทยมีการยอมรับว่า รู้จากสมาชิกว่ามีเรื่องการเรียกสินบนค่าใต้โต๊ะสูงถึง 30% เกิดขึ้นจริงๆ

           เมื่อ ร.ต.อ.เฉลิม เอาเรื่องรถไฟฟ้ามาพูดในสภาแบบชัดๆเช่นนี้ บรรดานักการเมืองที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงคมนาคม และโครงการรถไฟฟ้าในรัฐบาลที่แล้วเต้นผางไปตามๆกัน

           นายโสภณ ซารัมย์ อดีตรัฐมนตรีคมนาคม ซึ่งก็ให้บังเอิญที่มีชื่อย่อเป็น ส. เสือด้วย จึงเป็นคนแรกที่ออกมาสวนหมัด ร.ต.อ.เฉลิม ว่าไม่เป็นความจริง และกำลังเตรียมการที่จะฟ้องกลับ

           ในขณะที่นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย และสส.ระบบบัญชีรายชื่อ ก็มาร่วมลุยด้วย โดยบอกว่าที่ ร.ต.อ.เฉลิม อ้างเงินในบ้านพักของนายสุพจน์ บางส่วนเป็นเงินจากการทุจริตโครงการรถไฟฟ้าสายต่างๆ ในสมัยพรรคภูมิใจไทยดูแลกระทรวงคมนาคม ถือเป็นเรื่องทางการเมือง ที่นักการเมืองในสภาฯ จะพูดอย่างไรก็ได้เป็นสิทธิ์ของคนพูด ต้องมีการพิสูจน์ความจริง

           ยืนยันว่า พรรคภูมิใจไทยไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเงินในบ้านของปลัดกระทรวงคมนาคม ส่วนที่มีการอ้างไปถึงชื่อ ของบริษัท ชิโน-ไทย เป็นเรื่องของบริษัทเอกชนจะเป็นผู้ไปดำเนินการไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง ส่วนตัวเห็นว่าเป็นเรื่องการเมืองน้ำเน่า

          แม้แต่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และผู้นำฝ่ายค้าน ยังเลี่ยงกระแสไม่ได้ ต้องออกมาบอกว่าเรื่องนี้ได้หารือกับร.ต.อ.เฉลิม แล้ว ยินดีให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ กรณีการเดินหน้าตรวจสอบที่มาของเงินจำนวนมากในบ้านนายสุพจน์

          โดยขอให้รัฐบาลดำเนินการอย่างตรงไปตรงมา

          ส่วนที่มีการพาดพิงไปถึงนายโสภณ อดีตรมว.คมนาคมในสมัยที่ดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรี ยังไม่ได้มีการคุยกับนายโสภณ แต่ยืนยันว่าทุกโครงการที่มีการเสนอเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีในรัฐบาลขณะนั้นได้มีการตรวจสอบอย่างตรงไปตรงมา

           ส่วนโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วงคงต้องกลับไปดูว่ามีการกระทำผิดมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) หรือไม่

           เผือกร้อนนี้ใครอยากจะรับไว้บ้าง

          อย่างไรก็ตาม จากการสืบค้นของทางบางกอก ทูเดย์ ว่าทำไมจึงมีเงินจำนวนมากขนาดนั้นอยู่ในบ้านของนายสุพจน์ ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ใช่ภาวะปกติในการดำรงชีวิตของคนทั่วไป เป็นไปได้จริงๆหรือ ก็มีวงในจากแวดวงการเมืองให้ข้อมูลที่น่าสนใจว่า

            จริงๆแล้วต้องไม่ลืมว่าเหนือปลัด ก็ยังมีหัวหน้า และเหนือหัวหน้า ก็ยังมีลูกพี่ใหญ่อยู่จริงๆ!!!

             เพียงแต่เมื่อกระแสการเมืองเปลี่ยน พรรคเพื่อไทยสามารถหักด่านป้องกันของสารพัดขั้วการเมืองเข้ามาเป็นรัฐบาลได้ แถมนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ก็เริ่มที่จะสามารถเข้ากับกองทัพ สามารถทำงานร่วมกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ.ได้

           ที่สำคัญบรรดาประเทศต่างๆ ผู้นำประเทศใหญ่ๆได้มีการให้การยอมรับในตัวนางสาวยิ่งลักษณ์ และรัฐบาลพรรคเพื่อไทย มากกว่ารัฐบาลก่อนๆหน้า

           จึงเป็นภาพที่ชัดเจนว่า การเมืองกำลังเปลี่ยนทิศ จึงเป็นไปได้ว่า กำลังจะมีการเปลี่ยนนายเปลี่ยนหัวหน้าเกิดขึ้นในแวดวงข้าราชการประจำ ทำให้บรรดาข้าราชการประจำเองต้องมีการตระเตรียมในเรื่องการสร้างสัมพันธไมตรี

           จึงทำให้มีการตั้งประเด็นขึ้นมาว่า เป็นไปได้หรือไม่ว่า แม้จะรู้ทั้งรู้ว่าเงินนั้นมีเจ้าของ และจะต้องมีการส่งให้เจ้าของซึ่งเป็นนายใหญ่เป็นลูกพี่ใหญ่ ซึ่งวงในกระซิบว่าน่าจะประมาณ 400-500 ล้านบาท

           ส่วนที่เหลือเป็นเรื่องที่ไปจัดสรรแบ่งปันกันเองตามสัดส่วนที่ควรจะได้รับ

           แต่เนื่องจากในการเปลี่ยนขั้ว และเกิดมีคนกลางที่ว่ากันว่า คือ นายพล ส. เข้ามาเป็นตัวแปรในการเจรจาว่าสามารถที่จะคุยกับคนในรัฐบาลเพื่อไทยได้

          ซึ่งบังเอิญเหลือเกินที่วงเงินที่นายพล ส. ต้องการก็ดันอยู่ที่ 400-500 ล้านด้วยเหมือนกัน

          ดังนั้นเมื่อเข้าตาจน แม้ว่าจะไม่ได้คิดเบี้ยว หรือคิดอม แต่ตัวเลขที่ตรงกันแบบนี้ ก็เลยมีการคิดแผน “ยืมเงินนายเก่า หวังเอาไปซื้อใจนายใหม่”ขึ้นมา ตามคำแนะนำของคนกลาง

         ส่วนจะคืนนายเก่าอย่างไรค่อยว่ากันที่หลัง

          บังเอิญนายเก่ารู้แกว ใจร้อน และกลัวว่าจะไม่ได้คืน ก็เลยเกิดการปล้นหักเกมทางการเมืองกันขึ้นมา จนกลายเป็นเรื่องราวใหญ่โต

          ทั้งหมดเป็นการตั้งประเด็นคำถามในแวดวงการเมืองที่น่าสนใจไม่น้อย ซึ่งคนที่จะสามารถตอบเรื่องนี้ได้อย่างชัดเจนก็คือ นายสุพจน์ นั่นเอง ว่าที่เมาธ์กันสนั่นแวดวงการเมืองอย่างที่ว่านั้นเป็นเรื่องจริงหรือไม่จริง???

          จุดนี้เองที่ทาง ป.ป.ช. เองจำเป็นที่จะต้องมีการเรียกนายสุพจน์มาสอบปากคำโดยละเอียดอีกครั้ง ถ้าไม่มีอะไรในกอไผ่ ไม่มีหลักฐานอย่างที่ตั้งประเด็นสงสัยกันสนั่นเมือง นายสุพจน์ก็พ้นบ่วง

           แต่หากว่านายสุพจน์ไม่สามารถที่จะอธิบายถึงที่มาที่ไปของเงินจำนวนมากได้ งานนี้ก็อันตรายกับตัวของนายสุพจน์เอง

          ด้วยจำนวนเงินที่อายัดมาแล้วแม้จะไม่ถึงร้อยล้านพันล้านอย่างที่อ้างๆกัน แต่ก็มากพอที่ ป.ป.ช.จะสั่งอายัดไว้ก่อนนั้น ทำให้มีการพนันกันว่า สุดท้ายแล้วเรื่องจะจบลงโดยที่ นายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม คือ แพะเดี่ยวที่จะตายโดยลำพังหรือไม่???

          ซึ่งก็อยู่ที่ฝีมือ ป.ป.ช. และ ปปง. ว่าจะขุดคุ้ยได้ลึกเพียงใด เพราะใช่ว่าจะไร้ร่องรอยสืบค้นเสียเมื่อไหร่???

งานนี้อนาคตการเมืองของใครบางคนระส่ำหนักจริงๆ
http://redusala.blogspot.com

สันดานสื่อ

นี่คือภาพจากนสพ.บางกอกทูเดย์
รูปภาพ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะนี้ในเครือข่ายสังคมออนไลน์ มีการเผยแพร่ภาพของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ซึ่งกำลังทำหน้าที่ประธานในพิธีถวายสัตย์ปฏิญาณเพื่อเป็นข้าราชการที่ดีและพลังของแผ่นดิน เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 7 รอบ 5 ธันวาคม 2554 ณ ตึกสันติไมตรี

โดยภาพจริงเป็นภาพที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์กำลังยืนเหยียบอยู่บนพรมสีน้ำเงินขาว ซึ่งวางอยู่บนแท่นไม้สีแดง แต่ภาพดังกล่าวถูกตัดต่อโดยมีการตัดภาพ แลัวใช้โปรแกรมโฟโต้ช็อปพ่นทับลายบนพรมออกให้เห็นในมุมที่เหมือนกับน.ส.ยิ่งลักษณ์กำลังยืนเหยียบธงชาติไทย

ทั้งนี้ภาพดังกล่าวถูกส่งต่อในเครือข่ายสังคมออนไลน์อย่างแพร่หลายและรวดเร็ว แต่ก็มีคนที่ฉลาดพอรู้ว่าภาพดังกล่าวเป็นการตัดต่อและด่าคนที่ตัดต่อภาพว่าไม่น่าเกิดเป็นคนไทย เพราะประเทศชาติกำลังต้องการความสามัคคี แต่กลับทำให้คนไทยทะเลาะกันด้วยเพียงแค่ภาพนี้ ซึ่งทางกระทรวงไอซีทีต้องดำเนินการหาต้นต่อคนปล่อยภาพโดยเร็วที่สุด

http://cooloo.org/browse.php/Oi8vd3d3/L ... E_/3D/b13/
---------------------------------------------------------------------

ที่มาของภาพ สลิ่มเล่นงานนายกฯยิ่งลักษณ์ ตอนนี้กระจายไปทั่วเฟสบุ๊ค ไอ้พวกโง่ๆ เชื่อไปตามๆกัน
รูปภาพ 

ภาพถ่ายคุณยิ่งลักษณ์ ตัดฐานให้สั้นลง
รูปภาพ 

ภาพมุมไกล เห็นชัดเจน ไม่ได้ยืนบนธงชาติ ถูกนำไปตัดต่อ
รูปภาพ 

นี่คือการใส่ร้ายอย่างหน้าด้านๆ ทีไอ้มาร์คฝ่ายแดง เราไม่เคยเอาเล่นเลย
รูปภาพ

--------------------------------------

พวกมันจะชั่วอย่างนี้ไปตลอด ตราบที่คุณยิ่งลักษณ์ยังเป็นนายกฯ..
มีอีกรูป ไปเจอะมาในเฟสบุ๊ค อันนี้รุมด่ากันตรึม แบบไม่ตรึกตรอง ขนาดมีคนเอาลิงค์รูปที่อภิสิทธิ์ยืนอยู่บนพรมอันเดียวกันพร้อมภรรยา มาให้ดู ก็ยังด่าไม่เลิก ดูเจ้าของเพจก็ชอบอ้างแต่คุณธรรมจริยธรรม แต่เต็มไปด้วยโมหะ โทสะจริต

http://www.facebook.com/kitikun.aud
รูปภาพ

http://redusala.blogspot.com

เสก โลโซ กับ โรค ซาบซึ้งพ่อมากมาย

           ผู้สื่อข่าวมติชนออนไลน์ รายงานเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม ว่า บนโลกของโซเชี่ยลเน็ตเวิร์ค ขณะนี้ กำลังมีการเผยแพร่รูปของบุคคลคล้ายนายเสกสรรค์ ศุขมิมาย หรือ เสก โลโซ นักร้องร็อคเกอร์ชื่อดัง ซึ่งเป็นภาพถ่ายขณะกำลังจุดปล่องคล้ายที่สูบบารากุ ทำหน้าลักษณะเหมือนเสพยา ที่ได้มาจากเฟซบุ๊กของ นางกรวิภา ศุขพิมาย หรือ กานต์ ภรรยาสาวของเสกที่อยู่กินกันมาเกือบ 20 ปี ในชื่อ Wiphakorn Sookpimay โดยใต้ภาพดังกล่าว มีการโพสต์ข้อความที่อ้างว่า

           "วันๆแม่งไม่ทำ...ไรเสพแต่...ให้ลูกเห็นว่ามึงเล่น... กูก็อยากรู้นักว่าคนไทยยังจะสนับสนุน... ทิ้งครอบครัวไปได้อีกสักกี่น้ำ ขอให้คนไทยตาสว่างได้แล้ว กูกับมึงตายกันไปข้างนึง"



             ซึ่งเมื่อภาพดังกล่าวถูกอัพโหลดผ่านทางโทรศัพท์มือถือแบล็คเบอร์รี่ ในเวลาประมาณ 20.00 น. ก็ได้สร้างความฮือฮาและตื่นตกใจให้กับบรรดาผู้คนในเฟซบุ๊กที่เข้ามาพบ พร้อมกับมีการแสดงความคิดเห็นเป็นจำนวนมาก ส่วนใหญ่เป็นเชิงให้กำลังใจ ขณะที่อีกจำนวนไม่น้อยได้มีการขอร้องให้เจ้าของเฟซบุ๊กลบภาพดังกล่าวออกไปเสีย พร้อมกับให้หันหน้าเข้าไปพูดคุยทำความเข้าใจกับสามีร็อคเกอร์ผู้นี้ เพราะอยากให้เห็นแก่ลูกๆ ซึ่ง Wiphakorn Sookpimay ได้คอมเมนต์ข้อความตอบโต้กลับไปเป็นระยะ อาทิ

 "ทำไมต้องลบคะ แล้วที่มันทำร้ายพี่กับลูกๆล่ะ ใครจะรับผิดชอบ"

"ให้เวลามันมาหลายเดือนล่ะ หมดทุกอย่าง"

"ทีมันยังไม่สงสารลูกๆ ลูกๆรู้เห็นหมดแล้วและไม่ต้องการพ่อแล้ว พี่เลี้ยงลูกคนเดียวมาหลายเดือนแล้วค่ะ"

"ไม่ลบ ลบเพื่อไร ในเมื่อมันยังไม่ให้เกียรติพี่"

"เรื้อรังมา8เดือนแล้วพี่ต้องจบมันได้แล้ว"

"คุยกันหลายครั้งแล้วมันหลอกพี่สารพัดมันไม่รักแม้กระทั่งลูกในไส้"

"ก็ปชช.คิดแบบนี้ไงคะ...กับศิลปินเป็นของคู่กันแต่มันทำให้คนในครอบครัวต้องเจ็บช้ำ"

 "พี่กับลูกโดนทำร้ายอย่างแสนสาหัสแต่เค้าไม่เคลียร์กับพี่ให้เรียบร้อยพี่ต้องปกป้องตัวเองและเลี้ยงดูลูก3คน"

"ทุกคนต้องรู้ความจริงพี่รักษาภาพให้เค้ามาหลายปีแล้วแล้วเค้าให้ไรพี่"

        จากนั้น Wiphakorn Sookpimay ได้มีการโพสต์อัพเดทสถานะเพิ่มข้อความมาอีก โดยอ้างว่า "กูกะลูกทนมึงมาหลายปีแล้วทั้ง...กู...กูทำร้ายร่างกายจิตใจกูกับลูก กูต้องมาอยู่ข้างนอกกับลูกมาเดือนกว่าแล้ว มึงยังหน้าด้านอยู่ในบ้านกูอยู่ได้ ทำผิด...ไม่เสียสละให้ลูกเมียอยู่บ้าน มึงแม่งจะเอาทุกอย่าง เห็นแก่ตัว"

         และตามด้วยข้อความ "จะปกป้องมันทำไม ในเมื่อมันทำให้ลูกๆพี่ร้องไห้ใหญ่เลยโดยเฉพาะน้องกวาง เห็นเค้าเม้นท์มั้ย เค้าเกลียดพ่อเค้าแล้วยิ่งกว่าไส้เดือนกิ้งกือ" ซึ่งก็มีคนมาแสดงความเห็นเชิงทำนองไม่อยากให้ลูกเกลียดพ่อ แต่ก็มีการโต้ตอบกลับไปจากตัวเจ้าว่า "แล้วทำไมเค้าทำร้ายจิตใจพวกพี่กับลูก โกหกหลอกลวง จะให้แฉมั้ย มีเยอะ นี่แค่ตัวอย่าง" และข้อความ "ครอบครัวตัวอย่างที่มันสร้างภาพไว้อ่ะเหรอ แต่มันก็พังลงด้วยมือของมันเอง"

         ในสเตตัสนี้ มีผู้ที่ใช้ชื่อว่า Datchudom Sangsaitim ได้มาแสดงความคิดเห็นว่า" ขนาดกูที่เข้าข้างและปกป้องมึงมาตลอดยังทนมึงไม่ได้เลย ต่อหน้าก็ทำเป็นคนดี ลับหลัง ...สุดๆ ยังมาบอกว่ากูโกงเงินมึง พอถามโกงเงินอะไร ...บอกมีคนจัดฉากให้คิดว่ากูโกง คนจัดฉากคือตัวมึงเองไง คนรอบข้างที่ยังทนมึงได้เพราะ เงินมึงทั้งนั้นแหละ ...นึกว่าตัวเองเจ๋งที่สุด ถ้าพี่กูเป็นอะไรกูไม่ยอมแน่ เรื่องครอบครัวมึงกูไม่เคยยุ่งแต่นี่มึงไม่ใช่พี่เขยกูแล้วก็อย่ามาใส่ความกู จำใว้ กูรักคนที่รักพี่กูแต่ตอนนี้ไม่ใช่มืง... จำกำพืดตัวเองบ้าง..."

           ซึ่ง Wiphakorn Sookpimay ได้มาคอมเม้นต์เพิ่มเติมโดยอ้างว่า "ไอ้เรื่องจัดฉากมี 2 กรณี 1 เพี้ยน..., 2 ทำผิดคิดผิดแต่โยนความผิดให้คนอื่นเพราะ...ไม่เคยยอมรับผิดอะไรเลย"

          ก่อนที่Wiphakorn Sookpimay จะมีการขึ้นข้อความล่าสุดระบุว่า "เดี๋ยวก็บอกมีคนสะกดรอยตาม,มีคนดักฟังโทรศัพท์จนเปลี่ยนเบอร์เป็น10เดี๋ยวก็บอก...กำลังจะทำร้ายมึง,บอกว่าครอบครัวกูจะทำร้ายมึง...มึงไม่รู้รึไงที่มึงแสดงออกเป็นเพราะมึงเพี้ยน...น่าสมเพชและมึงตกอยู่ในความกลัวไม่ใช่ความกล้าขี้ขลาด"

           ผู้สื่อข่าวรายงานว่าก่อนหน้าที่จะมีการโพสต์รูปเสก โลโซ ลักษณะคล้ายเสพยา Wiphakorn Sookpimay ก็ได้โพสต์ข้อความขึ้นว่า "ไอ้...เสก มึงอ่ะสาร... ทิ้งกูกับไทเกอร์ เดียร์ ลอนดอน มึงแม่ง...ไม่เหลือความเป็นคนเลยสักนิด กูกับมึงเจอกันแน่"

          ต่อด้วยข้อความ "คนอย่างมึง...คงจะเจริญหรอกน่ะ ทำงานเก่งอย่างเดียวแต่ไม่มีมนุษยธรรม เห็นแก่ตัว ทำบุญเอาหน้า ทิ้งได้แม้กระทั่งลูกเมียที่อยู่กันมาเกือบ20ปี ..." และ "บ้านกูมึงก็...ไม่ยอมออกมา ให้กูพาลูกทั้ง3ระหกระเหินเร่ร่อนไปนอนข้างนอก ..."

          ผู้สื่อข่าวมติชนออนไลน์รายงานเพิ่มเติมว่า จากการสอบถามแหล่งข่าวผู้ที่เคยทำงานร่วมกับเสก โลโซ ถึงกรณีดังกล่าว ก็ได้รับการเปิดเผยว่า เฟซบุ๊กดังกล่าว เป็นของ "กานต์" ภรรยา "เสก โลโซ" จริง ซึ่งก่อนหน้านี้ ทั้งนักร้องร็อคเกอร์ชื่อดัง และภรรยาก็มีปัญหาทะเลาะกันบ่อยๆ อย่างนี้เสมอ ถึงขั้นด่าทอกันเในเฟซบุ๊กด้วยถ้อยคำหยาบคาย แต่สุดท้ายก็กลับไปคืนดีกัน แต่ครั้งนี้ไม่แน่ใจว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป

           ส่วนเรื่องที่ว่า เสก โลโซ เล่นยาเสพติดอย่างที่มีการออกมาแฉหรือไม่นั้น แหล่งข่าวคนเดิมระบุ "ไม่แน่ใจ แต่ปกติเสก ก็เป็นคนที่ดื่มแอลกอฮอลล์และสูบบุหรี่จัดอยู่แล้ว ซึ่งอาการมึนเมา เคลิ้มๆ ก็เป็นอย่างนี้ตลอด กระทั่งมีการมาด่า และแฉรูปผ่านทางเฟซบุ๊ก คราวนี้จัดเต็มจนน่ากลัว และในวันที่ 3 ธ.ค. ก็เป็นวันเกิดของลูกเสกด้วย "

           ทั้งนี้ เมื่อต้นปี 2553 ที่ผ่านมา ได้มีภาพจากฟอร์เวิร์ดเมล ซึ่งเผยให้เห็นโฉมหน้า ลูกๆ และภรรยาของ ร็อคเกอร์หนุ่มสู่สาธารณชนเป็นครั้งแรก ซึ่งเป็นภาพฟอร์เวิร์ดเมล์ขณะที่นักร้องหนุ่มวางไมค์ วางกีต้าร์ พาครอบครัวไปเที่ยวพักผ่อนที่ทะเล สร้างความแตกตื่นให้กับวงการบันเทิงที่เพิ่งรู้ว่า เสก โลโซ ซุ่มแต่งงานมีครอบครัวไปแล้วเกือบ 20 ปี ซึ่งเมื่อมีผู้พบเห็นภาพชุดดังกล่าว หลายคนก็แสดงความยินดีปลาบปลื้มและอิจฉาครอบครัวดังกล่าวที่ดูอบอุ่น และรักกันดี โดยเสก และภรรยา มีลูกด้วยกันทั้งหมด 3 คน คนโตชื่อ น้องเสือ (ไทเกอร์) คนกลางน้องกวาง(เดียร์) และคนสุดท้อง น้องลอนดอน
http://redusala.blogspot.com

อองซานซูจี" หวังพม่าก้าวสู่หนทางประชาธิปไตยในเร็ววัน 
เรียกร้องทางการปล่อยนักโทษการเมือง

            นางออง ซาน ซูจี ผู้นำเรียกร้องประชาธิปไตยคนสำคัญของพม่า กล่าวภายหลังการพบปะพูดคุยกับนางฮิลลารี คลินตัน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯว่า เธอหวังว่าพม่าสามารถเดินไปตามแนวทางที่มุ่งสู่ความเป็นชาติประชาธิปไตยได้

            นางซูจีแสดงความยินดีที่การปฏิรูปทำให้พรรคของเธอสามารถเข้ารับการเลือกตั้งได้อีกครั้ง และว่ายังคงมีสิ่งที่ต้องจัดการให้ลุล่วงอีกมาก นอกจากนั้นยังเรียกร้องให้ทางการปล่อยตัวนักโทษการเมืองโดยเร็ว

            รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯเข้าพบนางซูจีในช่วงเช้าวันนี้ที่กรุงย่างกุ้ง ทั้งสองได้ให้คำมั่นว่าจะประสานความร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดเพื่อให้เกิดประชาธิปไตยขึ้นในพม่า นางซูจีเปิดเผยว่า เธอมั่นใจว่าหากพม่าและสหรัฐฯแสดงความร่วมมือกัน หนทางสู่ประชาธิปไตยก็จะยิ่งสดใสยิ่งขึ้น แต่กล่าวเสริมว่า ขณะนี้ พม่ายังคงไม่ได้เดินบนเส้นทางดังกล่าวแต่อย่างใด

ทั้งนี้ พม่ายังคงถูกคุกคามจากปัญหาชนกลุ่มน้อยและรัฐบาลยังคงควบคุมตัวนักโทษการเมืองจำนวนมาก ขณะที่สหรัฐฯยังคงไม่ยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรต่อพม่า


โดยเมื่อวันพฤหัสฯที่ผ่านมา หลังจากพบปะหารือกับประธานาธิบดีเต็ง เส่ง ที่กรุงเนปิดอว์ นางคลินตันกล่าวว่าสหรัฐฯเตรียมฟื้นฟูความสัมพันธ์ทางการทูตกับพม่า หากพม่ายังคงดำเนินตามวิถีทางที่ถูกต้อง ก่อนที่จะเดินทางไปยังนครย่างกุ้งเพื่อร่วมรับประทานอาหารเย็นร่วมกับนางออง ซาน ซูจี ผู้นำการเรียกร้องประชาธิปไตยของพม่า

รายงานระบุว่า นางคลินตัน ได้พบปะกับนางซู จี ในงานเลี้ยงที่สถานทูตสหรัฐฯในนครย่างกุ้งเมื่อเย็นวานนี้ แต่ทั้งสองยังมีกำหนดจะพบปะกันอีกในเช้าวันวันนี้ เพื่อร่วมหารือระหว่างกันอย่างเป็นทางการ นี่ถือเป็นครั้งแรกที่ทั้งคู่พบกันอย่างเป็นทางการ นางคลินตันมักจะกล่าวถึงนางซูจีเสมอ ในฐานะบุคคลผู้สร้างแรงบันดาลใจ ถือเป็นการพบปะกันครั้งแรกของสตรี 2 คน ที่มีความโดดเด่นทางการเมืองบนเวทีโลก หลังจากที่ผ่านมา นางคลินตัน มักจะพูดคุยกับนางซู จี ทางโทรศัพท์ โดยทั้ง 2 ฝ่ายจะพบหารือกันอย่างเป็นทางการในวันนี้ ทั้งนี้ นางฮิลลารี คลินตัน ถือเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯคนแรกที่เยือนพม่านับตั้งแต่การเยือนของนายจอห์น ฟอสเตอร์ ดูลส์ เมื่อปี 1955



           นางคลินตัน กล่าวภายหลังการพบปะกับประธานาธิบดีเต็ง เส่ง ของพม่า เมื่อวานนี้ว่า สหรัฐฯกำลังจับตาดูการเปลี่ยนแปลงในพม่าอย่างใกล้ชิดและอาจส่งเสริมความสัมพันธ์ หากการปฏิรูปในพม่ามีความคืบหน้า ในโอกาสนี้ นางคลินตัน ยังได้รับคำมั่นจากผู้นำพม่าว่า จะเดินหน้าการปฏิรูปต่อไป ขณะที่ นางคลินตัน กล่าวว่า พม่าจะต้องดำเนินการมากกว่านี้ก่อนที่สหรัฐฯจะยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรต่อพม่า

           ในระหว่างการเดินทางครั้งนี้ นางคลินตันยังต้องการเรียกร้องให้พม่าตัดความสัมพันธ์กับเกาหลีเหนือ และพม่าได้ให้การรับประกันว่าจะไม่ให่ความร่วมมือใดๆกับรัฐบาลเกาหลีเหนือ นอกจากนั้น เธอยังเรียกร้องให้พม่ายุติความรุนแรงต่อชนกลุ่มน้อย รวมถึงการเปิดให้มีการพูดคุยกันอย่างเป็นทางการระหว่างทั้งสองฝ่าย เพื่อค้นหาผู้เสียชีวิตระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 อีกทั้งยังได้มอบจดหมายส่วนตัวจากประธานาธิบดีบารัก โอบามา ให้แก่ปธน.เต็ง เส่ง ที่ระบุว่าสหรัฐฯเตรียมฟื้นความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสอง เนื่องจากเห็นว่าในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ พม่ามีความคืบหน้าด้านประชาธิปไตยเป็นอย่างมาก แต่ยังคงมีหลายสิ่งที่ต้องกระทำต่อไป





          ภาพชุดประวัติศาสตร์ของการพบกันระหว่างฮิลลารี คลินตัน รมว.ต่างประเทศ สหรัฐอเมริกา กับ ออง ซาน ซูจี เจ้าของรางวัลโนเบลสันติภาพ ซึ่งว่ากันว่านี่อาจเป็นหนึ่งในเปลวไฟที่จะนำไปสู่แสงสว่างแห่งระบอบประธิปไตยของประเทศพม่าในอนาคต แม้ตลอดรายทางการต่อสู้ที่ผ่านมาจะมิได้โรยด้วยกลีบกุหลาบแต่อย่างใด









http://redusala.blogspot.com

คำ ผกา: เปลือยกาย เปิดใจ ไม่เกลียดชัง
http://www.prachatai.com/journal/2011/12/38141
          ‘คำ ผกา’ เปลือย(หน้า)อก และ(หน้า)ใจ ส่งข้อความเรียกร้องปล่อยตัวอากง ชี้สังคมไทยต้องก้าวข้ามความกลัว ถอดทิ้งอคติ และสำรวจจิตใจตัวเองในฐานะเพื่อนมนุษย์
          เมื่อวันพุธที่ผ่านมา หลายคนอาจได้เห็นแคมเปญ ‘ฝ่ามืออากง’ กันไปบ้างแล้วในเฟซบุ๊ก การรณรงค์ดังกล่าวเริ่มต้นโดยปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ นักวิจัยจากสถาบันเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา ประเทศสิงคโปร์ เพื่อเรียกร้องอิสรภาพให้แก่นายอำพล (ขอสงวนนามสกุล) ผู้ถูกตัดสินจำคุก 20 ปีด้วยการถูกกล่าวหาว่าส่งข้อความทางโทรศัพท์มือถือที่มีเนื้อหาหมิ่นเบื้องสูงจำนวน 4 ข้อความไปยังเลขาส่วนตัวของอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ(ขณะนั้น)
          แคมเปญดังกล่าวได้รับความสนใจจากผู้ใช้เฟซบุ๊กในไทยและต่างประเทศอย่างรวดเร็ว โดยมีคนส่งภาพตัวเองที่มีข้อความ “อากง” เขียนบนฝ่ามือมาร่วมในการรณรงค์ดังกล่าว 150 คนในเวลาเพียง 2 วัน หนึ่งในนั้น มีรูปหญิงสาวเปลือยพร้อมข้อความ “No Hatre for Naked Heart” หราอยู่บนหน้าอกหน้าใจ พร้อมคำว่า “อากง” บนฝ่ามือ จะเป็นใครไปไม่ได้ นอกจากลักขณา ปันวิชัย หรือนักเขียนชื่อดังในนาม “คำ ผกา”…


ภาพถ่ายโดย กรกฤช เจียรพินิจนันท์
           เธอเล่าถึง “Art project” ชิ้นนี้ ซึ่งเป็นภาพเปลือยของเธอพร้อมข้อความ “No Hatre for Naked Heart” เขียนด้วยน้ำหมึกดำอยู่บนอกสองข้างของเธอว่า อยากจะสื่อออกไปยังสังคมไทย ให้ถอดอคติส่วนตนออกไปจากจิตใจ และลองเปลือยใจเพื่อสำรวจถึงความมีมนุษยธรรมในฐานะเพื่อนมนุษย์ และตั้งคำถามดูว่าทำไมกรณีของอากงจึงเกิดขึ้นได้ มันเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ไหม และมันมากเกินไปหรือเปล่า
          “แทนที่จะหลบอยู่หลังตู้เย็น หลบอยู่หลังหน้าจอคอมพ์ อย่างน้อยเราก็ได้ทำอะไรซักอย่าง ที่จะก้าวข้ามความกลัวนั้นไป และส่งข้อความออกไปยังสังคม...ให้สังคมไทยนั้นก้าวพ้นความกลัวไปด้วยกัน” เธอกล่าว
          ‘คำ ผกา’ กล่าวว่า งานชิ้นนี้ เปรียบเสมือนงานศิลปะชิ้นหนึ่งที่ใช้ร่างกายประท้วงต่อความไม่เป็นธรรมในสังคม ซึ่งการกล้าเปิดกาย-ใจ และการกล้าเปิดเผยตัวตนนี่เอง ที่เป็นการเผชิญหน้าและเอาชนะความกลัวได้อย่างแท้จริง


*****************************************************

แรง!เปลือยอกเรียกร้องปล่อยอากง



หลังจากข่าวคำ ผกา เปลือยอกเรียกร้องให้ปล่อยอากง ล่าสุดมีอีกสาวที่เปลือยอกตามรูปด้านบน โดยเผยแพร่ผ่านทางเฟซบุ๊คของ พี่เบนนัส ชำนาญ ระบุว่าเป็นเพื่อนสาวของเ้ขา และเขียนข้อความว่า"อนุญาตให้แชร์เพื่อเรียกร้องสิทธิช่วยอากงนะครับ ส่วนใครที่แชร์ไปเพื่อไร้สาระ อย่าทำเลยครับ เคารพที่เจตนาคนที่เขาตั้งใจช่วยคนบริสุทธิเถอะ"

คำ ผกา: เปลือยกาย เปิดใจ ไม่เกลียดชัง

ประชาไท รายงานข่าว ‘คำ ผกา’ เปลือย(หน้า)อก และ(หน้า)ใจ ส่งข้อความเรียกร้องปล่อยตัวอากง ชี้สังคมไทยต้องก้าวข้ามความกลัว ถอดทิ้งอคติ และสำรวจจิตใจตัวเองในฐานะเพื่อนมนุษย์

เมื่อวันพุธที่ผ่านมา หลายคนอาจได้เห็นแคมเปญ ‘ฝ่ามืออากง’ กันไปบ้างแล้วในเฟซบุ๊ก การรณรงค์ดังกล่าวเริ่มต้นโดยปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ นักวิจัยจากสถาบันเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา ประเทศสิงคโปร์ เพื่อเรียกร้องอิสรภาพให้แก่นายอำพล (ขอสงวนนามสกุล) ผู้ถูกตัดสินจำคุก 20 ปีด้วยการถูกกล่าวหาว่าส่งข้อความทางโทรศัพท์มือถือที่มีเนื้อหาหมิ่นเบื้องสูงจำนวน 4 ข้อความไปยังเลขาส่วนตัวของอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ(ขณะนั้น)

แคมเปญดังกล่าวได้รับความสนใจจากผู้ใช้เฟซบุ๊กในไทยและต่างประเทศอย่างรวดเร็ว โดยมีคนส่งภาพตัวเองที่มีข้อความ “อากง” เขียนบนฝ่ามือมาร่วมในการรณรงค์ดังกล่าว 150 คนในเวลาเพียง 2 วัน หนึ่งในนั้น มีรูปหญิงสาวเปลือยพร้อมข้อความ “No Hatre for Naked Heart” หราอยู่บนหน้าอกหน้าใจ พร้อมคำว่า “อากง” บนฝ่ามือ จะเป็นใครไปไม่ได้ นอกจากลักขณา ปันวิชัย หรือนักเขียนชื่อดังในนาม “คำ ผกา”…



ภาพถ่ายโดย กรกริช เจียพินิจนันท์

เธอเล่าถึง “Art project” ชิ้นนี้ ซึ่งเป็นภาพเปลือยของเธอพร้อมข้อความ “No Hatre for Naked Heart” เขียนด้วยน้ำหมึกดำอยู่บนอกสองข้างของเธอว่า อยากจะสื่อออกไปยังสังคมไทย ให้ถอดอคติส่วนตนออกไปจากจิตใจ และลองเปลือยใจเพื่อสำรวจถึงความมีมนุษยธรรมในฐานะเพื่อนมนุษย์ และตั้งคำถามดูว่าทำไมกรณีของอากงจึงเกิดขึ้นได้ มันเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ไหม และมันมากเกินไปหรือเปล่า

“แทนที่จะหลบอยู่หลังตู้เย็น หลบอยู่หลังหน้าจอคอมพ์ อย่างน้อยเราก็ได้ทำอะไรซักอย่าง ที่จะก้าวข้ามความกลัวนั้นไป และส่งข้อความออกไปยังสังคม...ให้สังคมไทยนั้นก้าวพ้นความกลัวไปด้วยกัน” เธอกล่าว

‘คำ ผกา’ กล่าวว่า งานชิ้นนี้ เปรียบเสมือนงานศิลปะชิ้นหนึ่งที่ใช้ร่างกายประท้วงต่อความไม่เป็นธรรมในสังคม ซึ่งการกล้าเปิดกาย-ใจ และการกล้าเปิดเผยตัวตนนี่เอง ที่เป็นการเผชิญหน้าและเอาชนะความกลัวได้อย่างแท้จริง

http://thaienews.blogspot.com/2011/12/blog-post_8938.html
http://redusala.blogspot.com