วันอังคารที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2559

ยิ่งลักษณ์โพสต์ขอใช้สิทธิที่เหลือ โหวตโน-ไม่รับคำถามพ่วง


ยิ่งลักษณ์ ประกาศ 7 ส.ค. จะไปโหวตโนและไม่เห็นชอบคำถามพ่วง ชี้ร่างรัฐธรรมนูญไม่ตอบโจทย์สิทธิเสรีภาพ การถ่วงดุลอำนาจอย่างเหมาะสม
2 ส.ค. 2559 ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ประกาศผ่านเพจเฟซบุ๊กว่า ในวันที่ 7 ส.ค. นี้ จะไปออกเสียงประชามติ ไม่เห็นชอบกับร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ และไม่เห็นชอบคำถามพ่วง
"จากข้อสรุปล่าสุดที่ว่าดิฉัน ถูกตัดสิทธิในการดำรงตำแหน่งทางการเมือง แต่ดิฉันยังคงเหลือสิทธิที่จะไปออกเสียงลงประชามติร่างรัฐธรรมนูญในครั้งนี้ ดิฉันจะไปรักษาสิทธินี้ในวันที่ 7 ส.ค. 59 อย่างแน่นอนค่ะ"
ยิ่งลักษณ์ ระบุว่า ได้พูดมาโดยตลอดว่า รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดมีความสำคัญในการกำหนดรูปแบบการปกครองประเทศ ซึ่งต้องเป็นประชาธิปไตยที่ยอมรับอำนาจการตัดสินใจของประชาชน
"การให้สิทธิเสรีภาพและสิ่งที่ประชาชนพึงจะได้รับ รวมถึงการกำหนดการถ่วงดุลระหว่างอำนาจต่างๆ ไว้อย่างเหมาะสม และรัฐบาลตามรัฐธรรมนูญจะต้องสามารถแก้ปัญหาให้พี่น้องประชาชนได้" ยิ่งลักษณ์ ระบุและว่า จากการติดตามการยกร่างและสาระของร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้มาโดยตลอด เห็นว่าร่างรัฐธรรมนูญมิได้เป็นไปตามแนวทางดังกล่าว
"ดิฉันจึงไม่เห็นชอบกับร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ และไม่เห็นชอบคำถามพ่วงค่ะ" ยิ่งลักษณ์ระบุ
ก่อนหน้านี้ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ แถลงจุดยืนในฐานะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ว่า จะไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ และไม่เห็นชอบคำถามพ่วง เนื่องจากพิจารณาเนื้อหาสาระของร่างรัฐธรรมนูญแล้ว ไม่ตอบโจทย์ประเทศ ไม่สามารถเป็นกติกาถาวรที่เอื้อให้ประเทศไทยก้าวพ้นสภาพปัญหาเดิมๆ ได้
ขณะที่ สุเทพ เทือกสุบรรณ ประธานกรรมการมูลนิธิมวลมหาประชาชน และอดีตเลขาธิการ กปปส. ประกาศรับร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ รวมถึงเห็นชอบคำถามพ่วง โดยมีการถ่ายทอดสดผ่านเฟซบุ๊กไลฟ์ให้ความเห็นต่อร่างรัฐธรรมนูญในประเด็นต่างๆ ทุกวัน ตั้งแต่เมื่อวันที่ 24 มิ.ย. เป็นต้นมา

โค้งสุดท้ายประชามติ #2 การทำหนังสือระหว่างประเทศปิดประตูมีส่วนร่วมของประชาชน

กรรณิการ์ กิจติเวชกุล ผู้ประสานเอฟทีเอวอทช์

เอฟทีเอวอชท์ระบุ ร่างรัฐธรรมนูญตัดการมีส่วนร่วมประชาชน-รัฐสภา ไม่เปิดเผยข้อมูล ลดการเยียวยาผลกระทบ ไม่ต้องทำกรอบการเจรจา หวั่นรัฐตามไม่ทันเนื้อหาสัญญาที่ก้าวร้าวมากขึ้น เชื่อเป็นกระบวนการที่ล้าหลังที่สุดเท่าที่เคยมีมา
การเจรจาข้อตกลงเขตการค้าเสรีหรือเอฟทีเอ เป็นประเด็นที่หลายฝ่ายติดตามมาโดยตลอด เนื่องจากการลงนามอาจส่งผลกระทบรุนแรงต่อสาธารณะ ในรัฐธรรมนูญปี 2550 จึงระบุไว้ในมาตรา 190 เพื่อเพิ่มความรัดกุมในการทำหนังสือสัญญาระหว่างประเทศ เพิ่มการมีส่วนร่วมของรัฐสภาและประชาชน มีการเปิดรับฟังความคิดเห็น การให้ข้อมูลอย่างรอบด้าน รวมถึงการเยียวยาผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นอย่างทันท่วงที ซึ่งเป็นสิ่งที่ถูกออกไปในร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้
กรรณิการ์ กิจติเวชกุล ผู้ประสานงานเอฟทีเอวอทช์ กล่าวว่า สิ่งที่หนักหนาที่สุดคือเรื่องของกระบวนการก่อนเจรจา คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) คือตัดการรับฟังความคิดเห็น การทำข้อมูลและเปิดเผยข้อมูลให้กับประชาชน ทั้งยังกำหนดว่าไม่ต้องนำกรอบการเจรจาเข้ารัฐสภา จึงเห็นได้ว่านอกจากตัดการมีส่วนร่วมของประชาชนแล้ว ยังตัดการมีส่วนร่วมของรัฐสภาออกไปด้วย
“กรอบการเจรจามีความสำคัญเพราะเป็นข้อตกลงในการบอกรัฐสภาว่า อะไรบ้างที่เป็นเรื่องสำคัญในการเจรจาครั้งนี้ อะไรบ้างที่เราจะต้องได้ และอะไรบ้างที่เราจะต้องไม่เสีย ซึ่งนี่ไม่ใช่การเปิดเผยจุดยืนของเราเพราะส่วนใหญ่เป็นกรอบกว้างๆ เพื่อให้เห็นว่าการเจรจาครั้งนี้เหมือนกับเป็นการตกลงกับรัฐสภา”
กรรณิการ์ อธิบายต่อว่า นอกจากนี้ เดิมจะต้องมีงานวิจัยรองรับการเจรจา แต่เมื่อไม่มีความจำเป็นต้องให้ข้อมูลแก่ประชาชนก่อนการเจรจาและไม่จำเป็นต้องให้ข้อมูลแก่รัฐสภาเพื่อพิจารณากรอบการเจรจา งานวิจัยจึงถูกทิ้งไปเป็นธรรมดา ซึ่งถือว่าล้าหลังที่สุดเท่าที่เคยมีมา
"จากนี้เราจะเห็นความน่ากลัวอีกครั้งหลังรัฐธรรมนูญฉบับนี้มีผลบังคับใช้ หากเทียบเนื้อหากัน การทำหนังสือสัญญาในช่วงรัฐธรรมนูญปี 2540 มีความน่ากลัวน้อยกว่านี้ ความก้าวร้าวในเชิงเนื้อหาไม่มากเท่านี้ ปัจจุบันนี้ไปไกลเกินกว่านั้น ฉะนั้น ต้องบอกว่าร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ไปไม่ทันโลก"
“หากก่อนหน้านี้ใครบอกว่ารัฐบาลทักษิณเจรจาเอฟทีเอแบบไม่สนใจใคร เราก็กำลังจะได้เห็นอีกครั้ง หลังรัฐธรรมนูญฉบับนี้มีผลบังคับใช้”
ในประเด็นเรื่องการเยียวยาที่ถือเป็นส่วนสำคัญอีกส่วนหนึ่ง เป็นเรื่องที่รัฐธรรมนูญปี 2550 ให้ความสำคัญเพราะเห็นว่าการทำเอฟทีเอหรือหนังสือเจรจาระหว่างประเทศทั้งแต่ช่วงปี 2540 มีผลกระทบเยอะ มีคนได้ประโยชน์เป็นกระจุก แต่ผลเสียกระจาย รัฐธรรมนูญปี 2550 จึงระบุว่าต้องมีการเยียวยาประชาชนผู้ได้รับผลกระทบ และต้องดำเนินการโดยรวดเร็ว เป็นธรรม และเท่าเทียม แต่ร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้กลับตัดถ้อยคำเหล่านี้ออก กลับเปลี่ยนให้เยียวยาเท่าที่จำเป็น
“อีกเรื่องที่ค่อนข้างน่าห่วงคือที่ระบุว่า หากรัฐสภาพิจารณาไม่เสร็จใน 60 วัน ให้ถือว่าเห็นชอบ ซึ่งช่วงเวลา 60 วันนั้นไม่พอ ในแบบเดิมมีขั้นตอนของการเริ่มต้น มีทีมที่ทำการศึกษา มีความรู้ในการอภิปรายเรื่องกรอบเป็นทุนเดิม รัฐสภาจึงมีทีมทำงานเพิ่มมากขึ้นในการทำความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว โดยเฉพาะกรรมาธิการต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งให้ความสนใจและติดตามแม้ว่าจะผ่านกรอบไปแล้วก็ยังคงติดตามเป็นระยะ ซึ่งหากเปลี่ยนกระบวนการเป็นในระยะเวลา 60 วัน ต่อไปจากนี้ก็จะมีแต่การผ่านแบบไร้คุณภาพออกมา
“การทำร่างหนังสือสัญญากำลังจะถอยหลังไปถึงปี 2540 หากเราเห็นว่าช่วงรัฐธรรมนูญปี 2540 มีการทำเอฟทีเอ แแล้วเอฟทีเอเหล่านั้นมีผลกระทบต่อประชาชนแค่ไหน ต่อจากนี้เราจะเห็นความน่ากลัวอีกครั้งหลังรัฐธรรมนูญฉบับนี้มีผลบังคับใช้ หากเทียบเนื้อหากัน การทำหนังสือสัญญาในช่วงรัฐธรรมนูญปี 2540 มีความน่ากลัวน้อยกว่านี้ ความก้าวร้าวในเชิงเนื้อหาไม่มากเท่านี้ ปัจจุบันนี้ไปไกลเกินกว่านั้น ฉะนั้น ต้องบอกว่าร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ไปไม่ทันโลก ปัจจุบันเนื้อหาในหนังสือมันกว้างมาก ฝ่ายบริหารอย่างเดียว หรือส่วนราชการจึงไม่สามารถมองด้วยความเข้าใจที่มากพอ” กรรณิการ์ กล่าวย้ำ

'นักวิชาการเพื่อสิทธิพลเมือง' เรียกร้องมหาวิทยาลัยหยุดจำกัดสิทธิแสดงความเห็นร่าง รธน.


2 ส.ค. 2559 เครือข่ายนักวิชาการเพื่อสิทธิพลเมือง ออกแถลงการณ์เรียกร้องให้มหาวิทยาลัยหยุดการจำกัดสิทธิและเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับร่างรัฐธรรมนูญและประชามติ รวมถึงขอให้ยุติการข่มขู่ว่าจะเอาผิดทางวินัย และหยุดการแจ้งความดำเนินกับนิสิตนักศึกษาและอาจารย์ที่แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับร่างรัฐธรรมนูญและการออกเสียงประชามติ และหันมาปกป้องบุคคลเหล่านี้จากการดำเนินคดีโดยหน่วยงานรัฐแทน 
เครือข่ายนักวิชาการ ระบุด้วยว่า ที่ผ่านมา ในสถานการณ์ก่อนการลงประชามติ มีการปิดกั้นการแสดงความเห็นหลายกรณี เช่น การสั่งห้ามอาจารย์แสดงความเห็นต่อร่างรัฐธรรมนูญกรณีมหาวิทยาลัยมหิดล การไม่อนุญาตให้อาจารย์ใช้สถานที่จัดงานแถลงข่าวที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ การขู่จะเอาผิดทางวินัยนิสิตที่ดำเนินกิจกรรมทางการเมืองกรณีมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ การไม่อนุญาตและแจ้งความนักศึกษาที่จัดงานเสวนาที่มหาวิทยาลัยขอนแก่น และล่าสุดคือการไม่อนุญาตให้อาจารย์จัดงานเสวนาที่มหาวิทยาลัยอุบลราชธานีด้วยข้ออ้างว่าไม่เป็นกลางและจะสร้างความสับสนวุ่นวายให้กับบ้านเมือง 
"การสั่งห้ามแสดงความเห็น การไม่อนุญาตให้ใช้สถานที่ รวมถึงการแจ้งความดำเนินคดีนักศึกษาและอาจารย์กรณีร่างรัฐธรรมนูญและประชามติของผู้บริหารมหาวิทยาลัยข้างต้นเป็นเรื่องน่าละอาย เพราะนอกจากข้ออ้างเรื่องความเป็นกลางจะฟังไม่ขึ้นโดยเฉพาะเมื่อพิจารณาจากการแสดงบทบาททางการเมืองของผู้บริหารมหาวิทยาลัยเหล่านี้ในช่วงก่อนหน้า หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการออกเสียงประชามติ เช่น กกต. ได้ระบุชัดเจนว่าการจัดเสวนาทางวิชาการภายในมหาวิทยาลัยสามารถกระทำได้ หรือแม้กระทั่งฝ่ายความมั่นคงก็ไม่ได้สั่งห้ามการจัดกิจกรรมในลักษณะนี้แต่อย่างใด ไม่นับรวมหลักการที่ว่าการแสดงความเห็นโดยสุจริตเป็นสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานของพลเมืองในระบอบประชาธิปไตย จะมีก็แต่การใช้ดุลพินิจที่บิดเบี้ยวผสมอคติทางการเมืองและการไร้ความกล้าหาญทางจริยธรรมเท่านั้นที่เป็นเหตุผลเบื้องหลังการตัดสินใจของผู้บริหารมหาวิทยาลัยเหล่านี้" แถลงการณ์ ระบุ

แถลงการณ์เครือข่ายนักวิชาการเพื่อสิทธิพลเมือง เรื่อง
ให้มหาวิทยาลัยหยุด การจำกัดสิทธิและเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับร่างรัฐธรรมนูญและประชามติ
ปรัชญาและปณิธานที่สำคัญประการหนึ่งสถาบันอุดมศึกษาก็คือการเป็นสถาบันที่ให้ความรู้และข้อคิดเห็นต่อปัญหาที่สังคมกำลังประสบ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งคือเป็นพื้นที่สาธารณะที่เปิดโอกาสให้ประชาชนกลุ่มต่างๆ ได้นำเสนอข้อมูลและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นบนฐานของข้อเท็จจริงและด้วยการใช้เหตุผล และที่ผ่านมามหาวิทยาลัยก็ได้ทำหน้าที่นี้มาอย่างต่อเนื่อง
ทว่าวิกฤติการเมืองในช่วงทศวรรษที่ผ่านมาได้ส่งผลให้มหาวิทยาลัยเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก แทนที่จะเป็นพื้นที่สาธารณะที่เปิดโอกาสให้ทุกฝ่ายได้แสดงความเห็นอย่างเสมอหน้า มหาวิทยาลัยถูกฉวยใช้เป็นฐานการเคลื่อนไหวทางการเมืองของบุคคลบางกลุ่ม โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือผู้บริหารมหาวิทยาลัยจำนวนมากได้สมาทานกลุ่มเคลื่อนไหวทางการเมืองกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งอย่างออกนอกหน้า รวมทั้งเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของระบอบเผด็จการทหาร พร้อมกับใช้อำนาจการบริหารในมือขัดขวางการเคลื่อนไหวของฝ่ายตรงข้ามหรือผู้เห็นต่าง ไม่ว่าจะเป็นอาจารย์ นิสิตนักศึกษา หรือว่าประชาชนทั่วไป อีกทั้งผู้บริหารมหาวิทยาลัยเหล่านี้ยังอวดอ้างความสูงส่งกว่าทางศีลธรรมของตนด้วยวลีอย่าง “ความเป็นกลาง” และ “ความเห็นแก่ส่วนรวม” สถานการณ์เลวร้ายลงอย่างมากในช่วงก่อนถึงวันออกเสียงประชามติร่างรัฐธรรมนูญ เพราะมีทั้งการสั่งห้ามอาจารย์แสดงความเห็นต่อร่างรัฐธรรมนูญกรณีมหาวิทยาลัยมหิดล การไม่อนุญาตให้อาจารย์ใช้สถานที่จัดงานแถลงข่าวที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ การขู่จะเอาผิดทางวินัยนิสิตที่ดำเนินกิจกรรมทางการเมืองกรณีมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ การไม่อนุญาตและแจ้งความนักศึกษาที่จัดงานเสวนาที่มหาวิทยาลัยขอนแก่น และล่าสุดคือการไม่อนุญาตให้อาจารย์จัดงานเสวนาที่มหาวิทยาลัยอุบลราชธานีด้วยข้ออ้างว่าไม่เป็นกลางและจะสร้างความสับสนวุ่นวายให้กับบ้านเมือง
การสั่งห้ามแสดงความเห็น การไม่อนุญาตให้ใช้สถานที่ รวมถึงการแจ้งความดำเนินคดีนักศึกษาและอาจารย์กรณีร่างรัฐธรรมนูญและประชามติของผู้บริหารมหาวิทยาลัยข้างต้นเป็นเรื่องน่าละอาย เพราะนอกจากข้ออ้างเรื่องความเป็นกลางจะฟังไม่ขึ้นโดยเฉพาะเมื่อพิจารณาจากการแสดงบทบาททางการเมืองของผู้บริหารมหาวิทยาลัยเหล่านี้ในช่วงก่อนหน้า หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการออกเสียงประชามติ เช่น กกต. ได้ระบุชัดเจนว่าการจัดเสวนาทางวิชาการภายในมหาวิทยาลัยสามารถกระทำได้ หรือแม้กระทั่งฝ่ายความมั่นคงก็ไม่ได้สั่งห้ามการจัดกิจกรรมในลักษณะนี้แต่อย่างใด ไม่นับรวมหลักการที่ว่าการแสดงความเห็นโดยสุจริตเป็นสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานของพลเมืองในระบอบประชาธิปไตย จะมีก็แต่การใช้ดุลพินิจที่บิดเบี้ยวผสมอคติทางการเมืองและการไร้ความกล้าหาญทางจริยธรรมเท่านั้นที่เป็นเหตุผลเบื้องหลังการตัดสินใจของผู้บริหารมหาวิทยาลัยเหล่านี้
เครือข่ายนักวิชาการเพื่อสิทธิพลเมืองจึงขอตำหนิการตัดสินใจของผู้บริหารมหาวิทยาลัยข้างต้นพร้อมกับมีข้อเรียกร้องไปยังผู้บริหารมหาวิทยาลัยทุกแห่งในประเทศไทยดังนี้
1. อนุญาตให้อาจารย์และนิสิตนักศึกษาแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับร่างรัฐธรรมนูญและการออกเสียงประชามติได้อย่างเสรีบนฐานของข้อเท็จจริงและการใช้เหตุผล
2. อนุญาตให้อาจารย์ นิสิตนักศึกษา รวมถึงประชาชนทั่วไป ได้ใช้สถานที่ในการจัดกิจกรรมเกี่ยวกับร่างรัฐธรรมนูญและการออกเสียงประชามติอย่างเท่าเทียมกัน
3. ยุติการข่มขู่ว่าจะเอาผิดทางวินัยรวมทั้งหยุดการแจ้งความดำเนินกับนิสิตนักศึกษาและอาจารย์ที่แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับร่างรัฐธรรมนูญและการออกเสียงประชามติ และหันมาปกป้องบุคคลเหล่านี้จากการดำเนินคดีโดยหน่วยงานรัฐแทน
เครือข่ายนักวิชาการเพื่อสิทธิพลเมืองหวังเป็นอย่างยิ่งว่าผู้บริหารมหาวิทยาลัยจะพิจารณาแก้ไขพฤติกรรมที่ผ่านมาเพื่อให้มหาวิทยาลัยเป็นที่พึ่งของสังคมได้อย่างแท้จริง
ด้วยความเชื่อมั่นในสิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาค
เครือข่ายนักวิชาการเพื่อสิทธิพลเมือง
2 สิงหาคม 2559

19 แกนนำ นปช.รับทราบข้อกล่าวหาฝ่าฝืนคำสั่ง คสช.เปิดศูนย์ปราบโกง นัดอีกที 6 ก.ย.


แกนนำ นปช.19 คนรับทราบข้อกล่าวหาฝ่าฝืนคำสั่ง คสช.ที่ 7/2558 ชุมนุมทางการเมืองเกิน 5 คน หลังแถลงข่าวเปิดศูนย์ปราบโกงประชามติ จตุพรเตรียมอดข่าวประท้วงท่ามกลางข่าวลือฝากขังศาลทหาร สุดท้ายสอบปากคำแล้วปล่อยตัว นัดอีกที 6 ก.ย.



ภาพจากเพจ Banrasdr Photo

2 ส.ค.2559 ผู้จัดการออนไลน์ รายงานว่า ที่กองปราบปราม เมื่อเวลา 10.00 น. นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) และพวกรวม 19 คน เดินทางมาพบพนักงานสอบวนเพื่อรับทราบข้อกล่าวหาฝ่าฝืนคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ 7/2558 กรณีชุมนุมทางการเมืองเกิน 5 คน และแถลงข่าวจัดตั้งศูนย์ปราบโกงประชามติร่างรัฐธรรมนูญที่สถานีโทรทัศน์พีซทีวี ชั้น 5 ห้างสรรพสินค้าอิมพีเรียลเวิร์ลด์ ลาดพร้าว โดยมีวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความเดินทางมาด้วย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า มีนักข่าวมาติดตามทำข่าวนี้จำนวนมาก รวมทั้งมวลชนที่มาให้กำลังใจแกนนำ นปช.จำนวนหนึ่ง       
พล.ต.ต.ชาญ วิมลศรี รักษาการ ผบก.ป. พร้อมด้วยรอง ผบก.ป.ได้จัดกำลังตำรวจคอมมานโด กก.ปพ.บก.ป.และ กก.1-6 บก.ป.มารับตัวผู้ต้องหาทั้งหมดไปสอบปากคำที่ห้องประชุมชั้น 3 กองปราบปราบ
      
วิญญัติกล่าวว่า ก่อนหน้านี้มีกระแสข่าวว่าเมื่อสอบปากคำเบื้องต้นเสร็จสิ้นแล้วจะมีการคุมตัวไปฝากขังที่ศาลทหาร แต่ก็มีการประสานยืนยันจากนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ว่าจะมีการแจ้งข้อกล่าวหาเพียงอย่างเดียวแล้วปล่อยตัวไปซึ่งสอดคล้องกับหลักการทางกฎหมาย เพราะผู้ต้องหาทั้ง 19 คนไม่เคยหลบหนี ที่ผ่านมาในการขอเลื่อนเข้าพบพนักงานสอบสวนทั้ง 2 ครั้งก็มีเหตุผลในการขอเลื่อน โดยเจ้าหน้าที่รับทราบเป็นอย่างดี แสดงให้เห็นว่าได้ให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ วันนี้ถือเป็นการดำเนินการตามหมายเรียกตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา แสดงให้เห็นว่าการเข้ามอบตัวไม่ใช่การจับกุมตัว เบื้องต้นผู้ถูกกล่าวหาจะให้การปฏิเสธทั้งหมด หากแจ้งข้อกล่าวหาและปล่อยตัวแล้วก็รอคำสั่งว่าจะนัดส่งฟ้องเมื่อไร หรือทางผู้ต้องหาจะยื่นคำให้การเพิ่มเติมเป็นลายลักษณ์อักษรภายในกี่วันก็จะมีการนัดหมายกันอีกครั้งหนึ่งตามกระบวนการต่อไป นอกจากนี้จะขอดูพยานหลักฐานในเบื้องต้น หากเห็นว่ายังมีประเด็นที่เราจะต้องขอความเป็นธรรมเราก็จะขอ แต่หากยังไม่มีส่วนใดเราก็จะให้การเพิ่มเติมเป็นลายลักษณ์อักษรอีกครั้งหนึ่ง
วิญญัติย้ำว่า สิ่งที่จะชี้แจงและเรียนไปยังประชาชนทุกท่าน คือ ห้วงเวลาที่ผ่านมาการเปิดศูนย์ปราบโกงฯ ของ นปช. หรือการดำเนินการของประชาชนก็ตามถือเป็นการใช้สิทธิเสรีภาพตามกฎหมาย นอกจากนี้ มาตรา 7 ของการออกเสียงประชามติก็ให้สิทธิเสรีภาพในการออกเสียงของประชาชนอยู่แล้ว การเปิดศูนย์ดังกล่าวไม่ได้เป็นการชี้นำ ไม่ได้เป็นการบอกให้ออกเสียงอย่างใดอย่างหนึ่ง และจะชี้แจงอีกว่าการเปิดศูนย์นี้ไม่ใช่การชุมนุมทางการเมือง หรือมั่วสุมเพื่อกระทำผิดตามข้อกล่าวหานั้น เราต้องต่อสู้และนำพยานหลักฐานมาหักล้าง
      
ก่อนการรายงานตัวจตุพรโพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กส่วนตัวว่า
“มีความสบายใจอย่างหนึ่งคือเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมาได้รับทราบข่าวว่าเจ้าหน้าที่จะใช้วิธีการเดียวกับ น.ส.ทัศนีย์ บูรณุปกรณ์ อดีต ส.ส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย ที่เกิดขึ้นที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ดังนั้น ตนกับพวกก็ตั้งใจว่าเรื่องอิสรภาพเป็นเรื่องเล็ก แต่หากใช้วิธีการที่ไม่ได้ปฏิบัติตามกฎหมาย หรือใช้วิธีการควบคุมตัวโดยใช้มาตรา 44 นั้นก็จะประกาศขออดอาหารประท้วง ส่วนผลลัพธ์ในวันนี้จะเป็นอย่างไรก็ได้ ตนน้อมรับทุกประการ ขออนุญาตเป็นตัวแทนผู้ถูกกล่าวหาทั้งหมดกล่าวให้ทราบ
      
หลังจากนี้หากจะเป็นอย่างไรต่อไปผมก็จะเริ่มอดอาหารทันที หากทราบว่าไม่ได้รับความยุติธรรม ผมไม่ได้เกรงกลัวเรื่องการถูกคุมขัง มันเป็นเรื่องเล็กมาก แต่ถ้าใช้วิธีการนอกกฎหมายในบรรยากาศบ้านเมืองแบบนี้ก็ต้องเจอกัน”
ต่อมาเมื่อเวลา 12.45 น. จตุพรพร้อมด้วยแกนนำ นปช.และผู้ถูกกล่าวหาทั้ง 19 รายได้เดินทางกลับออกมาภายหลังได้ให้ปากคำต่อพนักงานสอบสวน บก.ป.เสร็จสิ้น โดยใช้เวลากว่า 2 ชั่วโมงครึ่ง โดยจตุพรกล่าวว่า ทุกคนได้ให้การปฏิเสธข้อกล่าวหาโดยจะให้ถ้อยคำเป็นลายลักษณ์อักษรภายหลัง และทางตำรวจได้นัดหมายอีกครั้งในวันที่ 6 ก.ย.นี้จึงมอบหมายให้ทนายความมาดำเนินการอีกครั้งหนึ่ง
จตุพรกล่าวต่อว่า การทำหน้าที่ของพวกตนในการตั้งศูนย์ปราบโกงประชามติฯ นั้น ไม่ได้เป็นการกระทำที่ขัดต่อคำสั่งของ คสช.เพราะไม่ใช่การชุมนุมทางการเมือง แต่เป็นหัวข้อตั้งต้นในการใช้สิทธิในการต่อสู้ตามกระบวนการ สำหรับพวกตนทั้ง 19 คน ก็ได้รับการปล่อยตัวโดยไม่มีการยื่นประกันตัวใดๆ ในชั้นพนักงานสอบสวน หลังจากนี้พวกตนก็จะทำหน้าที่ในฐานะพลเมืองด้วยการออกไปใช้สิทธิออกเสียงประชามติในวันที่ 7 สิงหาคมนี้ดังเดิม พร้อมกับเชิญชวนพี่น้องประชาชนร่วมเป็นหูเป็นตา ตามที่ กกต.ได้ชักชวนว่าหากพบการทุจริตก็ขอให้แจ้งให้ดำเนินการเพราะเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญของประเทศ ก็ขอขอบคุณทางตำรวจ บก.ป.อีกครั้งที่ปฏิบัติหน้าที่เป็นอย่างดี นอกจากนี้พวกตนยังแสดงความห่วงใยต่อ น.ส.ทัศนีย์ บูรณุปกรณ์ อดีต ส.ส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย และคณะที่ต้องถูกควบคุมตัวไปที่ จ.เชียงใหม่ โดยถูกคุมขังมาเป็นเวลาร่วม 7 วันแล้ว ก็คาดหวังว่าจะได้รับการประกันตัวที่ศาลทหารจังหวัดเชียงใหม่
ทั้งนี้ ผู้ต้องหาที่ถูกแจ้งข้อกล่าวหามี 19 รายประกอบด้วย จตุพร พรหมพันธ์ ประธาน นปช., ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เลขาธิการ นปช., ธิดา ถาวรเศรษฐ, นพ.เหวง โตจิราการ, จ.ส.ต.ประสิทธิ์ ไชยศรีษะ, นิสิต สินธุไพร, ศรัณย์วุฒิ ศรัณย์เกตุ, ยงยุทธ ติยะไพรัช, วีระกานต์ มุสิกพงศ์, สงคราม เลิศกิจไพโรจน์, สมหวัง อัสราษี, ยศวริศ ชูกล่อม, ธนาวุฒิ วิชัยดิษฐ, เกริกมนตรี รุจโสตถิรพัฒน์, อารี ไกรนรา, สมชาย ใจมุ่ง, ศักดิ์รพี พรหมชาติ, พรศักดิ์ ศรีละมุล และก่อแก้ว พิกุลทอง       

30 องค์กรภาคประชาชนในภาคใต้ประกาศ 5 เหตุผลไม่รับร่างฯ- 3 ข้อเสนอต่อ คสช.

2 ส.ค. 2559 องค์กรภาคประชาชนในภาคใต้ 30 แห่ง ออกแถลงการณ์ร่วม แจกแจง 5 เหตุผลที่ไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ ฉบับที่จะมีการลงประชามติในวันที่ 7 ส.ค. นี้ พร้อม 3 ข้อเสนอต่อ คสช. โดยเรียกร้อง คสช. เปิดกว้างต่อการวิพากษ์วิจารณ์ร่างรัฐธรรมนูญ ขอให้ คสช.ประกาศต่อสาธารณะว่าหากร่างรัฐธรรมนูญไม่ผ่านทาง คสช.จะดำเนินการต่ออย่างไร ชี้ถ้าประชาชนไม่รับ คสช.ก็หมดความชอบธรรมในการร่างรัฐธรรมนูญฉบับต่อไป พร้อมขอให้นำรัฐธรรมนูญฉบับปี 2550 ทั้งฉบับกลับมาใช้ใหม่และจัดการเลือกตั้งโดยเร็ว รวมถึงขอให้ คสช.ประกาศต่อสาธารณะว่าหากร่างรัฐธรรมนูญผ่านบุคคลที่เกี่ยวข้องกับ คสช.จะไม่ยุ่งเกี่ยวการเมือง หลังการประกาศใช้รัฐธรรมนูญจะไม่ลงเลือกตั้งจะไม่ดำรงตำแหน่งทางการเมืองใดๆ 

แถลงการณ์ร่วม 30 องค์กรภาคประชาชนในภาคใต้
“5 เหตุผลที่ไม่รับร่างและ 3 ข้อเสนอต่อ คสช.”


การลงประชามติต่อร่างรัฐธรรมนูญในวันที่ 7 สิงหาคม 2559 นี้เป็นช่วงเวลาที่สำคัญสำหรับอนาคตของประเทศไทย การรับหรือไม่รับร่างรัฐธรรมนูญเป็นสิทธิส่วนบุคคล และเป็นสิทธิส่วนบุคคลอีกเช่นกันที่สามารถแสดงออกแจ้งบอกจุดยืนพร้อมเหตุผลต่อสาธารณะได้ จึงนำมาซึ่งการจัดเวทีคนใต้รับหรือไม่รับ “ร่างรัฐธรรมนูญฉบับชิวๆ” ขึ้นที่มหาวิทยาลัยทักษิณในวันนี้ (2 สิงหาคม 2559)

และจากความเห็นร่วมของ 30 องค์กรประชาชนภาคใต้ รวมทั้งนักวิชาการ อาจารย์ ปัญญาชน นักพัฒนาเอกชน แกนนำภาคประชาชนในภาคใต้ต่างมีความเห็นที่ไปในทิศทางเดียวที่จะ “ไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ” ด้วยหลากหลายเหตุผล อาทิ

1. มีการปิดกั้นการแลกเปลี่ยนการแสดงความคิดเห็นอย่างน่าเกลียดจนเกิดบรรยากาศแห่งความหวาดกลัวขึ้นในสังคมอย่างกว้างขวาง เมื่อไม่ให้ถกไม่ให้วิพากษ์ก็สมควรไม่รับร่าง

2. เป็นร่างรัฐธรรมนูญที่ประชาชนคนไทยรู้สาระเนื้อหาที่แท้จริงของรัฐธรรมนูญน้อยมาก รับรู้แต่ย่อสาระสำคัญที่มีการโฆษณาชวนเชื่อเกินจริง เมื่อไม่รู้จะให้รับร่างได้อย่างไร

3. ร่างรัฐธรรมนูญนั้นมีสาระสำคัญที่ด้อยกว่ารัฐธรรมนูญฉบับปี 2550 อย่างชัดเจนในเกือบทุกด้าน โดยเฉพาะในด้านสิทธิชุมชน การสาธารณสุข การศึกษา การปกป้องรักษาสิ่งแวดล้อม อีกทั้งสาระการปฏิรูปล้วนไม่ปฏิรูปจริงเพราะยังเลื่อนลอย “ให้เป็นไปตามที่กฏหมายกำหนด”

4. ร่างรัฐธรรมนูญดังกล่าวมีแก่นแกนของจุดยืนในการเพิ่มอำนาจรัฐราชการและลดอำนาจภาคประชาชน เจตนาสมยอมให้กลุ่มทุนและรัฐราชการร่วมกันยึดกุมการบริหารประเทศอย่างรวมศูนย์ ไม่กระจายอำนาจ ไม่สร้างการมีส่วนร่วมของภาคประชาชน ไม่ปกป้องสิทธิชุมชน และเหตุอันนี้จะนำมาสู่การล่มสลายของสังคมภายใต้การยึดกุมของกลุ่มทุน

5. ในบทเฉพาะกาลและคำถามพ่วงมีความชัดเจนให้มีการสานต่ออำนาจ คสช.จากการให้อำนาจรัฐสภาในการเลือกนายกรัฐมนตรีเป็นเวลา 5 ปีซึ่งย่อมหมายถึง 2 รัฐบาลหรือแปลว่า คสช.สามารถสานต่ออำนาจได้ยาวนานถึง 8 ปี

ทั้งนี้ในช่วงเวลาที่เหลืออยู่ก่อนลงประชามติ 7 สิงหาคม 2559 ทางเครือข่าย 30 องค์กรภาคประชาชนไม่รับร่างรัฐธรรมนูญขอเรียกร้องต่อ คสช. เพียง 3 ประการคือ

1. ขอให้ คสช.ประกาศอย่างชัดเจนเปิดกว้างให้ประชาชนสามารถวิพากษ์วิจารณ์ให้ความเห็น รณรงค์ สร้างกระแส ทั้งเห็นด้วยและเห็นต่างได้อย่างเต็มที่ในโค้งสุดท้าย ล้างบาปความผิดพลาดในการปิดกั้นคุกคามที่ผ่านมา อันเป็นการเคารพเสียงประชาชนไม่ว่าจะผ่านหรือไม่ก็ตาม

2. ขอให้ คสช.ประกาศต่อสาธารณะว่า หากร่างรัฐธรรมนูญไม่ผ่านทาง คสช.จะดำเนินการต่ออย่างไร ทั้งนี้ ทางเครือข่าย 30 องค์กรภาคประชาชนในภาคใต้เห็นว่า เมื่อประชาชนไม่รับ คสช.ก็หมดความชอบธรรมในการร่างรัฐธรรมนูญฉบับต่อไป ขอให้นำรัฐธรรมนูญฉบับปี 2550 ทั้งฉบับกลับมาใช้ใหม่ ใส่บทเฉพาะการเรื่องการตั้งกลไกการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพิ่มเข้าไปและจัดการเลือกตั้งโดยเร็ว แล้วจึงค่อยพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ต่อไปโดยกลไกของประชาชน

3. ขอให้ คสช.ประกาศต่อสาธารณะว่า หากร่างรัฐธรรมนูญผ่านบุคคลที่เกี่ยวข้องกับ คสช.จะไม่ยุ่งเกี่ยวการเมือง หลังการประกาศใช้รัฐธรรมนูญ จะไม่ลงเลือกตั้ง จะไม่ดำรงตำแหน่งทางการเมืองใดๆ และจะไม่เสียสัตย์เพื่อชาติอย่างเช่นพลเอกสุจินดา คราประยูร ในครั้งการรัฐประหาร รสช.

นี่คือ 5 เหตุผลที่ไม่รับร่างและ 3 ข้อเสนอให้ คสช.ดำเนินการก่อนวันลงประชามติ

30องค์กรภาคประชาชนในภาคใต้
2 สิงหาคม 2559 

รายชื่อ 30 องค์กรภาคประชาชนในภาคใต้ที่ร่วมจัดงานและร่วมออกแถลงการณ์
1. เครือข่ายพลเมืองสงขลา
2. คณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชนภาคใต้ (กป.อพช.ใต้)
3. มูลนิธิอันดามัน
4. สมาคมสมาพันธ์ประมงพื้นบ้านแห่งประเทศไทย
5. สมาคมรักษ์ทะเลจะนะ
6. สงขลาฟอรั่ม
7. กลุ่ม Save Krabi
8. กลุ่มคนรุ่นใหม่ ใจอาสา
9. กลุ่มทนายไร้ตั๋ว
10. กลุ่มอนุรักษ์ลุ่มน้ำท่าสะท้อนและสิ่งแวดล้อม สุราษฎร์ธานี
11. เครือข่ายนักวิชาการเพื่อสังคมและองค์กรชุมชนภาคใต้
12. เครือข่ายประชาชนปกป้องทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สงขลา สตูล
13. เครือข่ายปกป้องอันดามันจากถ่านหิน
14. เครือข่ายรักษ์ชุมพร
15. เครือข่ายพลเมืองพัทลุง
16. เครือข่ายคนสงขลา-ปัตตานีไม่เอาโรงไฟฟ้าถ่านหิน
17. เครือข่ายพิทักษ์สิทธิชุมชนเขาคูหา รัตภูมิ
18. เครือข่ายประชาชนจังหวัดชายแดนภาคใต้ปกป้องสิทธิชุมชนและสิ่งแวดล้อมเพื่อสันติภาพ ( permatamas )
19. เครือข่ายประชาชนติดตามแผนพัฒนาจังหวัดสตูล
20. เครือข่ายเกษตรกรรมทางเลือก ภาคใต้
21. เครือข่ายนักวิชาการรับใช้สังคมลุ่มทะเลสาบสงขลา
22. ชมรมแพทย์ชนบทภาคใต้
23. ศูนย์พลเมืองเด็ก
24. ศูนย์ข้อมูลชุมชน
25. ศูนย์สร้างจิตสำนึกนิเวศวิทยา(สจน.)
26. ศูนย์เรียนรู้วิถีธรรมชาติเพื่อชุมชน จะนะ
27. สถาบันศานติธรรม
28. สภาทรัพยากรพันธุกรรมพื้นบ้านภาคใต้
29. สภาประชาชนอำเภอรัตภูมิ
30. หน่วยวิจัยประชาธิปไตยชุมชนเพื่อการพัฒนา

ฉีกรัฐธรรมนูญไม่เป็นไร ล้มระชามติ ติดคุกครัฟ


2 ส.ค. 2559 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. แถลงภายหลังประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) ว่าได้กำชับให้ทุกคนรักษาความสงบเรียบร้อยให้ได้มากที่สุด และใครที่ทำผิดกฎหมายก็จะต้องดำเนินคดี ถ้าดำเนินคดีไม่ได้แล้วก็เก็บหลักฐานไว้สำหรับร้องทุกข์กล่าวโทษต่อไป ทั้งกฎหมายปกติ คำสั่ง คสช. และ พ.ร.บ.ประชามติ
"ผมไม่ได้ไปชี้นำให้ใครรับร่างไม่รับแต่อีกพวกหนึ่งชี้นำ ชี้นำอยู่นั่นล่ะ แล้วทำไม.. อย่ามาบอกว่าประชามติคือตัวชี้วัดว่าใครแพ้ใครชนะ ไม่เกี่ยว ผมไม่เคยแพ้ใคร และผมไม่ต้องการเอาชนะใคร ผมรักษาอำนาจผมเพื่อจะบริหารราชการแผ่นดินในช่วงที่เปลี่ยนผ่านเท่านั้นเอง" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
"การประชามติมันก็เป็นกระบวนการไปสู่ประชาธิปไตยสากลใช่ไหมเล่า มันต้องมีรัฐธรรมนูญใช่ไหม ไม่มีมันก็ไปตรงนั้นไม่ได้ มันก็เลือกตั้งไม่ได้ ก็จบแค่นั้น ผมก็อยู่ตามโรดแมปของผมนั่นล่ะ มันเกี่ยวอะไรกันตรงไหน หน้าที่ผมมี 2 อย่าง หนึ่ง แก้ปัญหาเดิมๆ คือความขัดแย้งมันหยุดกันได้หรือยัง ยังไงผมก็อยู่ เพราะมีตำแหน่งหัวหน้า คสช. ด้วย" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

ไม่กังวลกระแสโนโหวต

ต่อกรณีผู้สื่อข่าวถามถึงมองอย่างไรต่อกระแสโนโหวตหรือไม่ออกมาใช้สิทธินั้น พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า สุดแล้วแต่ท่าน แล้วไง ไม่กังวลอะไรทั้งนั้น ออกมาอย่างไรผมก็ยังอยู่ โรดแมปของผม ผมก็ทำให้มันดีที่สุดในช่วงของผมยังอยู่ ทำให้ประเทศชาติ ทำให้ประชาชนคนไทย ผมไม่ทำเพื่อใครนี่
ผู้สื่อข่าวสอบถามถึงกระบวนการหลังจากนี้หากร่างรธน. ไม่ผ่ายประชามติ ที่ชัดเจนนั้น พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่ากระบวนการก็คือต้องมีรัฐธรรมนูญใหม่ แล้วก็เลือกตั้ง แล้วไง  
ส่วนกรณีข้อเรียกร้องหากร่างรธน.ไม่ผ่านประชามติ แล้วการร่าง รธน.ใหม่นั้นควรให้ประชาชนเข้าไปมีส่วนร่วมนั้น พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ที่ผ่านมาเขาอาจไม่เข้าร่วมในขั้นต้น เขาก็รับทราบในขั้นตอนไปเดินหน้าชี้แจงทุกจังหวัด เขาก็รู้ ตอนนั้นไม่เห็นมีกระแสต่อต้านมากมาย ตอนนี้มารุมมาต่ต้านตอนนี้มันหมายความว่าอะไร และนั่นเขาไม่รู้กันเลยหรอ ไม่มีคนรู้เลยหรอเรื่องรัฐธรรมนูญ เขาก็เดินสายไปชี้แจงตั้งหลายที่ 
"แต่สำคัญคือคนที่มาต่อต้านวันนี้ไม่เคยเข้าไปฟัง ไม่รวมมือทั้งสิ้น เพื่อจะมาให้ท่านมาถามต่อวันนี้ไง ว่าผมจะรับผิดชอบอะไร อย่ามาถามผมแบบนี้ เพราะฉะนั้นผลจะออกมาอย่างไรก็แล้วแต่ ผมตอบครั้งเดียว เขาจะลงมติเมื่อไหร่ วันอาทิตย์ที่ 7 ใช่ไหม วันที่ 8 ที่ 9 (ส.ค.59) เขาใช้เวลาการรวบรวมทำเอกสารทำอะไรต่างๆ ขึ้นมารายงาน ให้ทราบ รายงานเป็นทางการเขาใจไหมว่าเป็นทางการ แล้วผมจะรับทราบที่เป็นตัวตนวันนั้น วันอังคารหน้าประชุม ครม. คสช. ก็จะหาวิธีการดำเนินการต่อไปเดินตามโรดแมปให้ได้ นั่นล่ะแค่นั้น ผมตอบได้แค่นี้" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
"ใครจะไม่ให้ผมเดินเล่า ใคร คุณหรอ อย่ามาอะไรกับผม บังคับผมได้ไง ผมถืออำนาจรัฐอยู่ใช่ไหมตอนนี้" พล.อ.ประยุทธ์ ตอบคำถามถึงความเชื่อมั่นในเรื่องการเดินตามโรดแมปของ คสช. พร้อมกลายด้วยว่า ให้ถามประชาชนว่าเอาไง ไปถามประชาชน อย่ามาถามตน ตนเพียงมั่นใจว่าทำงานของตนได้ 
"แต่ถ้าประชาชนไม่ไว้วางใจก็เรื่องของประชาชน จะทำยังไงก็ไปว่ามา" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

ยันความสัมพันธ์กับพล.อ.ประวิตร ยังแน่นและเป็นมากกว่าที่คิด

ต่อกรณีคำถามถึงความสัมพันธ์กับพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม นั้น พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ตนไม่มีปัญหาเรื่องความสัมพันธ์เนื่องจากอยู่กันมา 50 ปี ความผูกพันมันมากกว่าที่ทุกคนคิด ทหารเขาเป็นแบบนี้ เขาไม่ได้คบกันเพื่อประโยชน์ เขาไม่ได้คบกันเพราะว่าเป็น ผบ.ทบ. ไม่เกี่ยวคนละเรื่อง เขาคบกันด้วยความดี ความเชื่อถือ เชื่อมั่นไว้วางใจซึ่งกันและกันตลอดมา ไม่มีวันทะเราะ ท่านจะอยู่อย่างไรตนก็ไม่มีวันทะเราะ ท่านเป็นรุ่นพี่ตน แล้วจะมีใครให้ตนเชื่อใจได้มากกว่านี้ 

ไม่มีวอร์รูม ขู่ใครล้มประชามติคุกแน่ 

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวยืนยันว่า วันลงประชามติไม่มีการตั้งวอร์รูม พร้อมถามกลับว่าทำไมจะต้องตั้งวอร์รูมด้วย
"ถ้าขัดแย้งล้มการทำประชามติก็ติดคุกไป อำนาจผมเต็มๆ อยู่แล้ว ก็ลองดูแล้วกัน อำนาจคสช.มีแค่ไหน ตอนนั้นเต็มที่ตรงนั้น ถ้าทำให้กระบวนการมันล้มนะ ก็รอผลการลงประชามติของประชาชนทั้งประเทศก็แค่นั้น แล้วก็เตรียมการที่จะแก้ปัญหาต่อไป ถ้าไม่อยากให้ทำอะไรผมก็จะได้แก้ปัญหาการเมืองอย่างเดียวอย่างอื่นผมไม่ต้องทำอะ ทำแบบนี้ก็ไม่ต้องทำมัน ไม่ต้องทำอะไรทั้งสิ้น รักษาตัวไปถึงเลือกตั้งใหม่โน้น ไม่ต้องไปเดินหน้าให้คนเขาด่า ไม่ต้องมาแก้ไขจัดระเบียบให้คนเดือดร้อน ไม่ต้อมาเอาป่าคืน ไม่ต้องเอาคดีทุจริตเข้ามาตรวจสอบ ไปดูผมตรงโน้นสิ ก็ดูไอ้เรื่องการเมืองอยู่ข้างเดียวอย่างนี้ ไม่ดูผลงานไม่ดูการปฏิบัติที่เป็นรุปธรรมบ้างเลยหรือไง แล้วประเทศชาติต้องการอะไร" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

ชี้พ่นสีภาคใต้เป็นเรื่องการเมือง

สำหรับเรื่องการพ่นสีในภาคใต้นั้น ประยุทธ์ กล่าวว่า ได้รับรายงานแล้ว เมื่อ 2 วันก่อนมีการพ่นสีตามถนนบ้าง ตามป้ายบ้าง เขาเขียนเรื่องรับไม่รับรัฐธรรมนูญ เพราะฉะนั้นการเมืองทั้งสิ้น

คลังชู 'โมเดลเห็บสยาม' ดันเศรษฐกิจระหว่างประเทศ ใครโตเราก็จะเกาะไปกับเขาด้วย


2 ส.ค. 2559 สมชัย สัจจพงษ์ ปลัดกระทรวงการคลัง ในฐานะประธานกรรมการกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) ล่าวในงาน "เศรษฐกิจโลกขยับก้าว เศรษฐกิจไทยขยับไกล กบข.เดินหน้าอย่างไร โดยเปิดเผยว่า ทรวงการคลังมีแนวคิดที่จะนำ “โมเดลเห็บสยาม” ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจระหว่างประเทศโดยเน้นการสร้าง พันธมิตรทั้งการค้า การลงทุนกับประเทศต่าง ๆ โดยเฉพาะประเทศที่มีศักยภาพเศรษฐกิจเติบโตต่อเนื่อง เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนเศรษฐกิจทั้งไทยและพันธมิตรให้ขยายตัวด้วยกัน เช่น จีน,อินเดีย,แอฟริกาและอาเซียน  เพราะหากเน้นการแข่งขันกับประเทศอื่น ๆ คงไม่เป็นผลดีต่อเศรษฐกิจภาพรวมของ ไทย เนื่องจากเศรษฐกิจทั่วโลกยังอยู่ในภาวะชะลอตัว
“เห็บสยามโมเดลจะช่วยทำให้เราเติบโตไปกับประเทศที่กำลังขยายตัวได้ เราไม่จำเป็นต้องโตคนเดียว แต่สามารถพึ่งพาพันธมิตรได้ เช่น ถ้าจีนโต เราก็จะอ้วนด้วย ถ้าจีนเลิกโต เราก็จะไปอยู่กับอินเดีย หรือแอฟริกาใต้ต่อ นี่คือกลยุทธ์การโตของเรา คือถ้าใครโตเราก็จะเกาะไปกับเขาด้วย” สมชัยกล่าว

ทั้งนี้ ที่ผ่านมาสถาบันจัดอันดับระดับโลกคือ ฟิชท์ เรตติ้ง และสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ มูดี้ส์ อินเวสเตอร์ เซอร์วิส ประเมินว่าเศรษฐกิจของไทยมีพื้นฐานที่เข้มแข็ง เห็นได้จากเงินทุนสำรองระหว่างประเทศที่สูงกว่า 1.7 แสนล้านดอลลาร์ ไม่มีปัญหาเงินเฟ้อ ตัวเลขการว่างงานต่ำ ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุล สะท้อนให้เห็นว่าเศรษฐกิจไทยโดยภาพรวมไม่มีปัญหา

ส่วนประเด็นปัญหาในเรื่องอัตราการบริโภคที่ต่ำ และบริษัทเอกชนชะลอการลงทุนนั้น หากมองในรายละเอียดจะพบว่า มูลค่ารวมบัญชีเงินออมของประชาชน (สำหรับบัญชีที่เกิน 1 ล้านบาท) ณ เดือน พ.ค.2559 ยังคงอยู่ในระดับสูงกว่า 9.6 หมื่นล้านบาท จากสิ้นปีก่อน 9 หมื่นล้านบาท ขณะเดียวกันหากประเมินถึงกำไรบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ไตรมาส 1/2559 ที่อยู่ราว 1.9 แสนล้านบาท ในช่วงไตรมาส 1/2559 นั้น ก็ถือว่าสูงขึ้นเมื่อเทียบช่วงเดียวกันปีก่อนราว 8% และสูงกว่าเมื่อเทียบช่วงไตรมาสก่อน 43% สะท้อนให้เห็นว่าประเทศไทยไม่ได้แย่อย่างที่คิด

“ปัญหาที่หลายคนมองว่าอัตราการบริโภคในประเทศไทยต่ำก็เป็นเรื่องจริง แต่หากมองลึกลงไปจะเห็นได้ว่าคนไทยยังมีเงินฝากที่สูงขึ้น ส่วนเรื่องที่ว่านักธุรกิจไม่ลงทุนนั้น แท้จริงก็ไม่ได้มีปัญหา เห็นได้จากกำไร บจ.ที่ยังสูงต่อเนื่อง” สมชัย กล่าว 
ขณะเดียวจากการศึกษาการวิจัยเรื่องต่างๆพบว่าสาเหตุที่ทำให้เศรษฐกิจของไทย ยังอยู่ในภาวะซบเซาส่วนหนึ่งมาจากนโยบายการปราบปรามเงินนอกระบบ การคอร์รัปชั่นและธุรกิจผิดกฎหมายอย่างเข้มงวดจนทำให้เงินที่ผิดกฎหมายหรือเงิน สกปรกหายจากระบบปีละหลายแสนล้านบาท เช่น มีการศึกษาพบว่าในอดีตมีเงินนอกระบบปีละ 280,000-450,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นทั้งเงินหวย, เงินท่อน้ำเลี้ยงนักการเมืองและเงินจากธุรกิจผิดกฎหมาย นอกจากนี้ยังมีเงินเรื่องของการให้สินบนหรือเงินใต้โต๊ะที่ต้องให้นักการ เมืองปีละ 200,000-300,000 ล้านบาท 

รายงานเสวนา 'เราควรตีความเสียง No vote อย่างไร' ขอฝ่ายประชาธิปไตยเห็นหัวคนโนโหวต

'โชติศักดิ์' ขอฝ่ายประชาธิปไตยเห็นหัวคนโนโหวต ไม่เล่นเกมตีความเสียงโหวต 'จิตรา' ถอนวาทกรรมนอนหลับทับสิทธิ์ ชี้วาทกรรมเสียงแตก เพราะมีคนคิดว่าเป็นเจ้าของเสียงคนอื่น 'พัชณีย์' ระบุการเมืองที่ถูกบีบหรือเทเหลือแค่ 2 ทางเลือก ชี้โนโหวตมีหลากหลายเฉด 
 

เมื่อวันที่ 31 ก.ค.ที่ผ่านมา เวลา 13.30 น.ที่ ห้อง 702 ชั้น 7 อาคารอเนกประสงค์ 1 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ กลุ่ม No vote ต่อต้านเผด็จการ จัดเสวนาหัวข้อ "เราควรตีความเสียง No vote อย่างไร?" โดยมี จิตรา คชเดช สมาชิกพรรคพลังประชาธิปไตย พัชณีย์ คำหนัก นักกิจกรรมแรงงาน และ โชติศักดิ์ อ่อนสูง สมาชิกกลุ่มประกายไฟ  ร่วมการเสวนา
 
 
 
ที่มาภาพ เฟซบุ๊กเพจ Banrasdr Photo
 
โชติศักดิ์ อ่อนสูง สมาชิกกลุ่มประกายไฟ กล่าวถึงที่มาของการจัดเสวนาในครั้งนี้ว่า เนื่องจากมีข้อถกเถียงกันอยู่ของฝ่ายที่มองว่าประชามติครั้งนี้ไม่เป็นธรรมและไม่ให้เสรีภาพ(ไม่แฟร์และไม่ฟรี) และมองร่างรัฐธรรมนูญ(รธน.)ที่กำลังจะลงประชามตินั้นมีปัญหา ก็มีข้อถกเถียงว่าจะไปทางไหนมันควรจะโนโหวต(ไม่ไปลงประชามติ)หรือโหวตโน(ลงประชามติไม่รับ) จึงเป็นที่มาของการจัดกิจกรรมครั้งนี้ ประเด็นหลักๆ ก็เป็นตามหัวข้อคือเราจะตีความเสียงโนโหวตอย่างไร
จิตรา คชเดช พรรคพลังประชาธิปไตย กล่าวว่า กระแสโนโหวตนั้นมีการตีความที่หลากหลายมาก แต่การตีความนั้นกลายเป็นการตีความที่ไม่ได้ถูกนับว่าจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงหรือมีพลังไปสู่การเปลี่ยนแปลงจากการลงประชามติครั้งนี้

ทำไมพรรคพลังประชาธิปไตยจึงบอยคอต

จิตรา คชเดช พรรคพลังประชาธิปไตย เล่าถึงที่มาของแนวคิดโนโหวตว่า ในพรรคพลังประชาธิปไตยนั้นเรามีการพูดคุยกันมาโดยตลอดว่าท่ามกลางกระแสที่มีการร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ที่เป็นผลมาจากการรัฐประหาร ฉีกรัฐธรรมนูญ และมีการร่างรัฐธรรมนูญ พรรคการเมืองต่างๆ ไม่ได้ถูกเชิญเข้าไปมีส่วนร่วม แถมแช่เข็งพรรคการเมืองห้ามทำกิจกรรมเคลื่อนไหวทางการเมืองใดๆ ทั้งสิ้น อย่างไรก็ตามก็มีการพูดคุยกันในพรรคว่าจะทำอย่างไรกันดี ซึ่งเราได้มีการติดตามการร่างรัฐธรรมนูญมาโดยตลอดว่าในส่วนไหนบ้างที่เป็นประโยชน์หรือเป็นปัญหากับประชาชน ซึ่งหลังจากติดตามแล้ว เรายังไม่เห็นว่าประชาชนจะได้เข้าไปมีส่วนร่วมในการเข้าไปร่างรัฐธรรมนูญ จนกระทั่งคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) มีการนัดพรรคการเมืองให้เข้าไปพูดคุยกันครั้งแรกเกี่ยวกับการลงประชารมติร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ เมื่อวันที่ 19 พ.ค.ที่ผ่านมา พรรคฯ ก็ได้ไปถามกับ กกต. ว่าในบัตรลงประชามตินั้นมีอะไรบ้าง กกต.ก็ชี้แจงว่ารับกับไม่รับ ร่างรัฐธรรมนูญ และคำถามพ่วง พรรคฯ จึงได้ตั้งคำถามว่าแล้วไม่มีช่องที่จะไม่เห็นด้วยกับกระบวนการทั้งหมดนั้นมีหรือไม่ ทางกกต.ก็แจ้งว่าไม่มี

ประชามติไม่กำหนดเกณฑ์ครบองค์ประชุม

จิตรา กล่าวต่อว่า ประกอบกับการลงประชามติครั้งนี้ไม่การพูดถึงเกณฑ์ของคนจำนวนที่ถือว่าครบองค์ประชุม เนื่องจากตนโตมาจากการทำงานสหภาพแรงงาน ซึ่งจะมีระเบียบข้อบังคับว่าการที่จะลงมติใดๆ จะต้องมีสมาชิกที่ไปเข้าร่วมประชุมไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่ง หรืออย่างน้อยหนึ่งในห้า ฯลฯ ตามระเบียบที่เขากำหนดให้มา แต่การลงประชามติครั้งนี้ไม่มีเกณฑ์แบบนั้นเลย ทำให้มองว่ามีคนไปลงประชามติ 10 คน แล้วมีคนรับร่าง รธน. 7 คน ไม่รับ 3 คน ก็สามารถทำให้ร่างรธน. นี้ผ่านได้เลย นั่นแสดงแสดงว่ามันไม่เข้ากระบวนการที่เป็นประชาธิปไตย ทั้งที่มาและกระบวนการลงประชามติ เราจึงคิดว่าถ้าเช่นนั้นพรรคฯ คงจะเลือกวิธีการโนโหวต ไม่เข้าร่วม ไม่รับ ไม่สังฆกรรมกับรัฐธรรมนูญฉบับนี้ เพราะมีที่มาไม่ถูกต้อง ประชาชนไม่มีส่วนร่วมตั้งแต่แรก เนื้อหาก็ไม่สามารถเป็นที่ยอมรับได้ จึงบอยคอต

วาทกรรมนอนหลับทับสิทธิ์

จิตรา กล่าวว่า หลังจากที่พวกตนเสนอแนวคิดสู่สังคม โดยการทำเสื้อ หรือการนำเสนอผ่านเฟซบุ๊ก ว่าเราบอยคอตประชามติครั้งนี้ แต่ก็มีกระแสวิจารณ์ว่าพวกโนโหวตเป็นพวกนอนหลับทับสิทธิ์ใช่ไหม เป็นพวกทำให้เสียงแตกใช่ไหม เป็นพวกขี้เกียจใช่ไหม เป็นพวกไม่เข้าใจเรื่องการเมือง เป็นต้น นิยามเหล่านนี้ไม่ได้มาจากนิยามของคนที่จะต้องการบอยคอตจริงๆ มันถูกสร้างโดยคนอื่นๆ แล้วคนอื่นๆ ก็หยิบสร้างนิยามไปเรื่อยๆ
จิตรา กล่าวถึงวาทกรรมนอนหลับทับสิทธิ์ ว่าเป็นวาทกรรมที่แรงมาก เมื่อเราเสนอความคิดว่าจะโนโหวตจะต้องมีคนมาบอกว่านอนหลับทับสิทธิ์เห็นพวกไม่สนใจการเมือง พวกคุณจะไม่ถูกนับเสียงบ้าง ทั้งที่เรากำลังจะบอกว่าการบอยคอตหรือโนโหวตนั้นเป็นพื้นที่หนึ่งที่เราจะบอกว่ามันมีคนสนใจการเมือง แต่เรากำลังจะบอกว่าเราไม่เอา โดยผ่านการบอยคอต เพราะเราเห็นแล้วถ้าโหวตเยสผ่านเราได้ รธน.ฉบับนี้มาใช้แน่นอน ถ้าโหวตโนชนะเราได้อะไร คสช. ก็ยังบอกว่าอยู่ต่อเพราะจะต้องมาร่างรธน.ฉบับใหม่เพื่อให้เราไปโหวตกันอีก มันจะวนซ้ำไปซ้ำมาอยู่แบบนี้
สำหรับวาทกรรมนอนหลับทำสิทธิ์นั้น จิตรา ชี้ว่า เป็นวาทกรรมที่รัฐพูดมาโดยตลอด ว่าใครไม่ไปออกเสียงเป็นพวกนอนหลับทับสิทธิ์ แต่ที่ผ่านมามันไม่มีใครไปสู้กับวาทกรรมนี้ เราไม่เคยไปค้นว่าพวกที่ไม่ไปออกเสียงเขามีปัญหาอะไร เขาไม่สามารถไปโหวตเพราะอะไร เขาต้องการประท้วงหรือแสดงออกอย่างใดอย่างหนึ่งหรือเปล่าต่อการลงประชามติหรือการเลือกตั้งครั้งนั้น หรือเขาไม่สามารถไปได้ด้วยข้อจำกัดทางเศรษฐกิจ เช่น การเป็นแรงงานอพยพ เป็นต้น และที่ผ่านมาทั้งรัฐเองหรือฝ่ายใดก็ไม่อยากไปค้นว่าคนเหล่านั้นมีปัญหาหรือต้องการอะไร เราจึงไปติดกับดักเรื่องการนอนหลับทับสิทธิ์และติดกับดักว่าคนที่ศิวิไลซ์แล้วต้องไปใช้สิทธิ์ การไม่ไปก็ถูกหาว่าไม่ยอมรับสิทธิ์นั้น แต่การไปใช้สิทธิ์นั้น ก็ต้องดูด้วยว่าเสียงของคุณจะถูกนับหรือเปล่า หรือว่าจะมีสิทธิมีเสียงอย่างแท้จริงหรือไม่

วาทกรรมเสียงแตก เพราะมีคนคิดว่าเป็นเจ้าของเสียงคนอื่น

“เมื่อไหร่ที่มีคนพูดว่าทำให้เสียงแตก เพราะคนที่พูดเชื่อว่าเราเป็นของคนนั้น อย่างเช่นทำให้เสียงแต่จากกลุ่มประชาธิปไตย แสดงว่ากลุ่มประชาธิปไตยที่เรียกตนเองว่ากลุ่มประชาธิปไตยก็ยังไม่เข้าใจเรื่องประชาธิปไตย เพราะประชาธิปไตยนี่มันเรียกว่า 1 คน 1 สิทธิ 1 เสียง เมื่อเราจะไปโนโหวต โหวตเยส โหวตโน มันก็เป้นสิทธิของเรา ถ้ากลุ่มโนโหวตบอกว่าพวกไปโหวตเยสโหวตโนทำให้เสียงแตกจากโนโหวตล่ะ คุณทำให้เสียงแตกจากบอยคอตใช่ไหม ถ้าตีความแบบนี้บ้างก็ถกเถียงกันไม่จบ” จิตรา กล่าวถึง วาทกรรมเรื่องทำเสียงแตก ซึ่งฝ่ายบอยคอตหรือโนโหวตมักถูกกล่าวหาว่าทำให้เสียงของฝ่ายที่คัดค้านรธน. ไม่เป็นเอกภาพ
จิตรา กล่าว ต่อว่า ทำไมต้องมาตีความว่าโนโหวตหรือบอยคอต หมายถึงอะไร สำหรับตนตีความว่า กลุ่มบอยคอตคือกลุ่มที่พยายามสร้างพื้นที่ให้คนได้เห็นว่ามันมีกลุ่มคนที่ไม่เอารัฐธรรมนูญฉบับนี้ และไม่เอาแม้กระทั่งกระบวนการลงประชามติ ไม่เอา พ.ร.บ.ประชามติ รวมทั้งไม่ร่วมสังฆกรรมกับการกระทำของตั้งแต่ คสช.ที่ฉีกรธน. เท่ากับเราปฏิเสธ รธน.ฉบับนี้ รวมทั้งปฏิเสธการยึดอำนาจด้วยว่าเราไม่ยอมรับ มีกรณีวิจารณ์ว่าหากปฏิเสธการยึดอำนาจแต่ทำไมถึงยอมไปขึ้นศาลทหาร ซึ่งตอนที่ขึ้นศาลทหารนั้นตนถูกจับไปขึ้น หากปฏิเสธได้ก็คงไม่ไป แต่การลงประชามติครั้งนี้อย่างน้อยก็ให้สิทธิว่าสามารถไปหรือไม่ไปไม่มีโทษ
ต่อกรณีวิจารณ์ว่าการโนโหวตทำให้คะแนนสูญเปล่า และอาจกลายเป็นเข้าข้าง คสช. ไปโดยไม่รู้ตัว หรือไม่ถูกนับในกการลงประชามติครั้งนี้ และไม่มีประโยชน์นั้น จิตรา กล่าวว่า การสร้างพื้นบอยคอตไม่ได้สุญเปล่า เพราะวันนี้ทุกคนรู้จักแล้วว่ามีคนกลุ่มหนึ่งที่บอยคอตไม่เอาร่างรธน. อีกทั้งขณะนี้ความหมายของโหวตเยสหรือโนก็มีการตีความไปได้หลายอย่างเช่นกัน เพราะมีโหวตโนแบบคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็เป็นอีกแบบหนึ่ง โหวตโนแบบกลุ่มประชาธิปไตยใหม่ก็เป็นอีกแบบหนึ่ง แต่เมื่อเข้าสู่กระบวนการตีความของ กกต. ก็พูดเพียง 2 อย่างเยสคือเอารธน. ขณะที่ โนคือไม่เอา รธน.  แต่ไม่มีการบอกว่าการไปลงโหวตโนไม่เอา รธน. บวกบวกบวกความหมายอื่นๆ ด้วย

ไม่ถูกนับในกติกาที่ไม่แฟร์ไม่ฟรีก็ไม่ต้องนับ

เมื่อเสียงไม่ถูกนับ สำหรับจิตราคิดว่าไม่ต้องนับ เพราะรัฐไม่อยากนับเสียงแบบนี้อยู่แล้ว ถ้าประชามติที่แฟร์และฟรีจริงๆ มันต้องถูกนับ แต่เมื่อประชามติที่ไม่แฟร์และฟรีเขาไม่นับเราจะไปบอกให้เขานับได้อย่างไร ในภาวะแบบนี้ แม้กระทั่งโหวตเยสหรือโหวตโนคุณจะให้เขาไปบวกว่าถ้าโหวตโนออกมาหมายถึงคสช.ออกไป มันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว เพราะว่าของ กกต. เขามีเงื่อนไขอยู่แค่นั้นเอง” จิตรา กล่าว
หากคนส่วนใหญ่ของสังคมบอยคอตก็คิดว่าจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงได้อย่างหนึ่งว่าการร่าง รธน. ฉบับนี้ มันไม่สามารถที่จะส่งผลอะไรได้เลย ไม่สามารถนับอะไรได้เลย ถ้าไม่มีคนไปลงหรือไปลงในจำนวนที่น้อย หากมีคนไปลงประชามติเพียง 10 ล้านคน จากผู้มีสิทธิ 50 ล้านคน อันนี้จะทำให้เห็นว่าจริงๆ แล้วคนไม่ได้สนใจการลงประชามติที่ไม่แฟร์ไม่ฟรี และหากมีจำนวนที่มากกว่าครั้งที่แล้วก็แสดงให้เห็นได้เช่นกัน
ที่มาภาพ เฟซบุ๊กเพจ Banrasdr Photo

ชี้ปัญหาจาก รธน.40 ที่กำหนดให้โหวตเป็นหน้าที่

พัชณีย์ คำหนัก นักกิจกรรมแรงงาน กล่าวว่า หากจำรัฐธรรมนูญ 40 ได้ ซึ่งระบุว่าให้เรามีหน้าที่ที่จะไปเลือกตั้ง ตอนนั้นคิดว่ามันไม่ใช่ มันควรจะเป็นสิทธิมากกว่า หลังจากนั้นเมื่อมันถูกทำให้เป็นหน้าที่เราแล้วเราก็ถูกบีบให้เลือกพรรคการเมืองกระแสหลัก เมื่อมาเคลื่อนไหวกับขบวนการแรงงานก็พบว่าการออกเสียงที่ถูกทำให้เป็นหน้าที่และบีบให้เราเลือกเฉพาะแค่พรรคการเมืองกระแสหลัก ซึ่งสมัยนั้นก็จะมีพรรคไทยรักไทยหรือพรรคประชาธิปัตย์ หรือพรรคที่ส่วนใหญ่ก็เป็นพรรคนายทุนและมีผลประโยชน์รวมทั้งนโยบายที่ขัดแย้งกับผลประโยชน์ของแรงงาน หลังจากนั้นก็มีการใช้วาทกรรมนอนหลับทับสิทธิ์ ตนก็สู้ว่าวาทกรรมนี้เป็นการปรามาสคนมากจนเกินไป ทั้งที่ควรเป็นสิทธิมากกว่า จนทำให้เวลาที่ไม่ออกไปใช้สิทธิจะทำให้เรารู้สึกว่าเราเป็นที่ขี้เกียจหรือเอาแต่ทำมาหากิน ซึ่งความเป็นจริงแล้วมันมีเหตุผลหลายอย่างที่คนไม่ไปลงคะแนน เช่น ประชามติครั้งนี้บรรยากาศของการลงประชามติอาจจะแตกต่างจากการไปเลือกตั้งเพราะว่าหากไปเลือกตั้งนั้นพรรคการเมืองก็อาจจะสนับสนุนหัวคะแนนต่างๆ หรือผู้สนับสนุนพรรคการเมืองก็สนับสนุนให้มีการไปลงคะแนนได้ แต่ประชามติกลับมีกฎหมายห้ามมีการเคลื่อนไหวต่างๆ ที่เป็นการชักชวนให้ไปลงคะแนน จึงทำให้เสียงที่จะไปลงหายไปหลายคน
ยิ่งในบรรยากาศแบบนี้ กฎหมายที่ออกมาก็กลายเป็นเรื่องตลกร้ายไปแล้วในสังคมไทย ที่มีกฎหมายห้ามโน้นนี่อยู่ตลอด รวมทั้งก่อนหน้านี้ก็มีการยื่นให้กับศาลรธน.ตีความว่าขัดกับ รธน. ไหม แต่ศาล รธน. ก็ตีความว่าไม่ผิด ตนก็เป็นโจทก์คนหนึ่งที่ยื่นฟ้องศาลปกครองว่าหลักเกณฑ์การทำประชามติของ กกต. นั้น เป็นการละเมิดสิทธิเสรีภาพ เนื่องจากเราไม่สามารถรณรงค์ได้โหวตหรือไม่โหวตไปทางใดทางหนึ่งได้เลย ทำให้รู้สึกว่าในบรรยากาศที่เราอยู่ในเกมส์สกปรกหรือการทำให้เป็นเรื่องตลกร้าย ซึ่งเป็นเกมส์ของผู้มีอำนาจรัฐที่พยายามจะบอกว่าพวกรณรงค์เป็นพวกก่อความวุ่นวายเพื่อเปลี่ยนผ่าน แต่การเปลี่ยนผ่านไปสู่รัฐบาลต่อไป เป็นการเปลี่ยนผ่านที่สร้างความขัดแย้ง สร้างเหยื่อของกฎหมายนั้นๆ ขึ้นมาด้วย

การเมืองที่ถูกบีบหรือเทเหลือแค่ 2 ทางเลือก

พัชณีย์ กล่าวว่า การบอยคอตหรือโนโหวตที่เราสร้างเป็นทางเลือกมีชุดความคิดของเราขึ้นมาเพื่อเป็นการสร้างพื้นที่ของการแสดงออกด้วยเช่นกัน เพื่อให้เห็นความสำคัญของการวิเคราะห์หรือพยายามที่จะบอกว่าที่มาของอำนาจรัฐของคสช.นั้นไม่เป็นธรรมก็ทำให้ให้หดหายไป ซึ่งทางตนให้ความสำคัญกับการต่อต้านที่มาของการทำรัฐประหารนั่นเอง ซึ่งเขาไม่ควรที่จะมีสิทธิมาออกกฎหมายหรือร่าง รธน. ให้เรามาลงคะแนนเลือกด้วยซ้ำไป แต่ปัญหาของเราคือว่าในเมื่อเขาไม่มีสิทธิแล้ว แต่เราก็ไม่สามารถชุมนุมทางการเมืองได้ เนื่องจากมีคำสั่ง คสช. และ ม.44 ปกครองอยู่ รวมทั้งขบวนการภาคประชาชนก็ไม่ได้เข้มแข็ง ทำให้การเมืองของเราตอนนี้ถูกบีบอยู่แค่ 2 ทางเลือกเท่านั้นเอง ก็คือโหวตเยสกับโหวตโน มันก็มีคนที่จะบอกว่าเราควรที่จะเกาะกระแสเพราะว่าการเมืองของการต่อสู้มวลชนต่างๆ จำเป็นจะต้องไปเป็นขบวนจำเป็นจะต้องเกาะกระแส ซึ่งตนก็เข้าใจอยู่ เพราะทางโหวตโนก็เชื่อว่าฝ่ายตนจะชนะเนื่องจากอาศัยฐานเสียงของพรรคเพื่อไทยด้วย มี นปช. เสื้อแดง และแถมตอนนี้ทางหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ก็ประกาศจะโหวตโน
จึงเป็นประเด็นถกเถียงว่าเมื่อการเมืองถูกบีบให้เหลือ 2 ทางเลือกเหมือนครั้งที่ผ่านมาที่ถูกบีบเหลือการเลือกตั้งพรรคเพียงไม่กี่พรรคในขณะที่เราพยายามเสมอว่าทำไมเราไม่สร้างพรรคการเมืองของภาคประชาชนขึ้นมาเพื่อเป้นตัวเลือกหรือเปลี่ยนโฉมหน้าทางการเมืองเสียหน่อย เพราะการเมืองบ้านเราปัจจุบันเน้นการเลือกตังในรัฐสภาแล้วประชาธิปไตยก็ถูกตีความหมายมุ่งเป้าไปที่การเลือกตั้งเท่านั้น เพราะฉะนั้นการโนโหวตก็พยายามสร้างพื้นที่ว่าทำไมเราถูกบีบเหลือแค่ 2 ทางเลือก แล้วทำไมเราไม่สร้างของเราขึ้นมาบ้าง เหมือนกับว่าเราเทหรือโหนกระแสไปอีกฝั่งหนึ่ง ในช่วงที่ตนทำการเคลื่อนไหวกับกลุ่มเสื้อแดงก็ไม่ได้โหนจนขนาดว่าจะไปเอากันหมดทุกอย่าง แต่ว่าเราก็ต้องมีทางเลือกของเราว่าเราจะเสนออะไรบ้างที่จะเป็นการเมืองที่ก้าวหน้าหรือยกระดับ เช่น เราบอกว่าเราไม่สร้างพรรคการเมืองของภาคประชาชนจริงๆ ขึ้นมา ของคนชั้นล่าง ทำไม่เราต้องพึ่งพาการเมืองของพรรคเพื่อไทยเพียงอย่างเดียว ทำไมช่วงที่มีการขึ้นมาของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ทำไมไม่มีการปล่อยนักโทษการเมือง รวมทั้งพยายามที่จะเสนอที่จะรับผิดชอบต่อประชาชน อย่างเช่นการยกเลิกกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชนุภาพ การปล่อยนักโทษการเมืองทุกคน แต่กลับไม่สามารถเกิดขึ้นได้เลย แม้แต่การแก้ไข ม.112 ก็ทำไม่ได้ ไม่เกิดการเปลี่ยนแปลง แต่การถูกบีบเท่านี้ทำให้เราต้องพึ่งพาการเมืองของพรรคเพื่อไทยมากจนเกินไป และเราไม่สร้างทางเลือกจนกลายเป็นปัญหาสั่งสม
พัชณีย์ กล่าวว่า การแสดงความเห็นที่แตกต่าง เพื่อที่จะสร้างทางเลือกบนข้อจำกัดการเมืองกระแสหลักที่มีอยู่ และการเสนอทางเลือกนั้นเราก็เสนอมาโดยตลอด ไม่ใช่เพียงในช่วงนี้ แต่เราเคยพูดมาตั้งนานว่าเราต้องมีพรรค เราจะต้องมีความเป็นตัวของตัวเอง นปช. ก็ไม่ควรที่จะไปเกาะขากับพรรคเพื่อไทย ไม่สามารถที่จะเป็นตัวของตัวเองได้และไม่สามารถเรียกร้องทางการเมืองอะไรได้ เช่น การเรียกร้องให้เอานักโทษการเมืองออกมาให้ได้ทั้งที่เป็นข้อเรียกร้องเฉพาะหน้าก็ไม่สมารถทำได้ จึงเป็นโจทย์ที่ตนคับข้องใจ และบางครั้งก็รู้สึกหดหู่

โนโหวตมันก็มีหลากหลายเฉด

“โนโหวตมันก็มีหลากหลายเฉด หลากหลายรูปแบบเหตูผล แต่ถ้าไม่มีเหตุผลของคนที่บอยคอตเลยนี่ โนโหวตดิฉันคาดว่าจะมีประมาณ 40% หรือ 50% ด้วยซ้ำ ของคนที่มีสิทธิไปลงคะแนน เนื่องจากเรามีประสบการณ์เมื่อปี 50 ดิฉันก็ไปลงคะแนนเสียงเหมือนกันคือไปโหวตโน แต่ว่าในที่สุดแล้วเราก็แพ้ กันเฉียดฉิวมาก และในบรรยากาศช่วงนั้นก็มีเสรีภาพมากกว่าตอนนี้ แต่ในที่สุดก็แพ้จนได้” พัชณีย์ กล่าว
วัฒนธรรมการเมืองบ้านเรามันยังไปไม่ถึงจุดที่จะฉีกหาทางเลือกให้กับตัวเองได้จริง เพราะในต่างประเทศก็มีพรรคแรงงาน ที่ไม่ใช่ระบบ 2 พรรคอย่างอเมริกา แต่อาจจะมีพรรคแรงงานที่เป็นทางเลือกที่ 3  หรือพรรคอะไรก็แล้วแต่ ทำไมเราไม่สร้างโฉมหน้าการต่อสู้ที่ประชาชนเป็นหลัก แม้แต่ขบวนการแรงงานไทยก็มีการพูดถึงการสร้างพรรคแรงงานอยู่เหมือนกัน แต่ปัญหาของขบวนการแรงงานไทยส่วนใหญ่คือการไปอิงกับพรรคประชาธิปัตย์ เมื่อการเมืองมันถูกบีบเหลือแค่ 2 พรรคใหญ่ แม้แต่ขบวนการแรงงานเองก็ไม่สามารถปักหลักของตัวเองได้ ก็ยังไปอิงกับกระแสของประชาธิปัตย์
พัชณีย์ กล่าวด้วยว่า ทั้งโหวตโนและโนโหวตมีทิศทางเดียวกันก็คือไม่เอา คสช. และก็ไม่เอารัฐประหาร และพวกเขาเห็นว่าเผด็จการไม่มีความชอบธรรมที่จะมาปกครองเรา เพราะฉะนั้นเมื่อชัยชนะเกิดขึ้นกับฝ่ายโหวตโนเมื่อไหร่ ตนคิดว่าเราไม่ควรให้สิทธิที่เขาจะมาร่างรธน. ซ้ำอีก เขาอาจไปเอา รธน.อื่นมาใช้แต่เขาไม่มีสิทธิที่จะมาร่างกฎหมายให้เรามาลงคะแนนหรืออย่างที่อภิสิทธิ์ เสนอว่าให้สิทธิ พล.อ.ประยุทธ์ ร่าง รธน. ใหม่ จริงๆ เขาไม่ควรมาร่างตั้งแต่ตอนนี้ด้วยซ้ำ
ที่มาภาพ เฟซบุ๊กเพจ Banrasdr Photo

ขอฝ่ายประชาธิปไตยเห็นหัวคนโนโหวต

โชติศักดิ์ กล่าวว่า ตนพูด 2 เรื่อง เรื่องแรก พูดถึงเหตุผลว่าทำไมตนถึงบอยคอต อีกเรื่องหนึ่งสิ่งที่ตนเรียกร้องต่อสังคมและกลุ่มคนที่เรียกตัวเองว่าเป็นฝ่ายประชาธิปไตย ไม่ได้เรียกร้องให้เปลี่ยนการโหวต คือจะไปโหวตโนก็ได้ แต่ตนเรียกร้องว่า “เห็นหัวคนโนโหวต” แค่นั้นเอง ระหว่างบอยคอตกับโนโหวตต่างกันอย่างไร ตนใช้บอยคอตเป็นสับเซตของโนโหวต โนโหวตคือคนที่ไม่ได้ไปโหวตไม่ว่าด้วยเหตุผลอะไรก็แล้วแต่ คนบอยคอตก็เป็นหนึ่งในนั้น เพราะฉะนั้นเวลาที่ตนใช้ 2 คำนี้ก็จะคนละความหมายกัน นั่นแปลงว่าด้านหนึ่งตนก็ไม่ได้เคลมว่าทุกคนที่โนโหวตหรือไม่ไปลงคะแนนประชามติ ไม่ได้แปลว่าเขาบอยคอตทั้งหมด
“เวลาที่ผมเรียกร้องให้เห็นหัวคนโนโหวตมีอยู่ 2 ด้าน คือด้านหนึ่งคือด้านหลักการ อีกด้านคือในแง่ยุทธวิธี ซึ่งผมรู้สึกว่าไม่ว่าคุณจะมองด้านไหนคุณก็ควรจะต้องเห็นหัวคนโนโหวตโดยเฉพาะถ้าคุณเคลมว่าคุณเป็นฝ่ายประชาธิปไตย” โชติศักดิ์ กล่าว

คนขี้เกียจที่เป็นพลเมืองแล้วไม่ควรถูกเห็นหัวหรือ?

โชติศักดิ์ กล่าวว่า ในเชิงหลักการคนโนโหวตก็เป็นประชาชนคนไทยคนหนึ่งมีสิทธิมีเสียงคนหนึ่ง คำถามก็คือว่าเขาแสดงออกทางการเมืองอย่างหนึ่งหรือต่อให้คุณมองว่าคนกลุ่มนี้ขี้เกียจ ซึ่งตนก็ไม่เห็นด้วยกับการมองแบบนี้ แต่คำถามก็คือว่าแล้วคนที่ขี้เกียจเหล่านี้เป็นพลเมืองแล้วไม่ควรถูกเห็นหัว ควรถูกมองเป็นอากาศธาตุอย่างนั้นหรือ อันนี้ในเชิงหลักการโดยเฉพาะหากเคลมว่าเป็นฝ่ายประชาธิปไตย

พอไม่นับโนโหวตจำนวนคนเห็นด้วยกับ รธน.จะเพิ่มขึ้น

โชติศักดิ์ กล่าวต่อว่า ขณะที่ในด้านยุทธวิธี ยกตัวอย่างประชามติปี 50 มีคนไปใช้สิทธิประมาณ 25 ล้านคน มีคนรับ 14 ล้านคน ไม่รับ 10 ล้านคน เฉพาะตัวเลขที่รับ คิดเป็น 32% กว่าๆ ของผู้มีสิทธิออกเสียง แสดงว่ามีคนที่เอากับร่างรธน.นี้จริงๆ แค่ 32% แต่เมื่อคุณตัดคนสุดท้ายออกไปคือเสียงโนโหวต เหลือแค่รับกับไม่รับ เมื่อคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ฝ่ายรับจะพลิกกลับไปเป็น 57% ขณะที่ไม่รับเป็น 42% หมายความว่าแค่คุณนับเสียงโนโหวตหรือไม่นับนี่ความชอบธรรมมันพลิกทันทีจากที่มีคนเห็นด้วยแค่ไม่ถึง 1 ใน 3 กลายเป็นมีคนเห็นด้วยเกินครึ่ง
ที่ผ่านมามีการดิสเครดิตกันเองอยู่แล้วว่าจะไม่นับเสียงคนโนโหวต ตนเรียกร้องต่ำๆ คือว่า คุณไม่ต้องประกาศ คืออยากแรกคือช่วยนับอยู่ในใจก็ได้ แปลว่าคุณก็ไม่ต้องไปประกาศว่าฉันจะไม่นับ ไม่ได้เรียกร้องให้คุณไปแอคชั่นอะไรเลย ไม่ได้ทำให้คุณเสียเวลาเพิ่มหรือทำอะไรเพิ่มมากขึ้น แค่หยุดคิดว่ากูไม่นับเสียงพวกนี้เท่านั้นเองเป็นข้อเรียกร้องที่ต่ำที่สุด หรืออาจจะทำมากกว่านั้น เช่น ช่วยบอกคนข้างๆ ว่าช่วยเห็นหัวคนโนโหวตเท่านั้นเองไม่ว่าจะโหวตอะไร เพราะถึงที่สุดก็จะมีคนโนโหวตอยู่ดี ไม่ว่าจะด่าโนโหวตอย่างไร และคนกลุ่มนี้รอบที่แล้วคือ 43% เป็นคนกลุ่มใหญ่ หรือประมาณ 20 กว่าล้านคน หากเรายืนยันว่าเราจะไม่เห็นหัวคนโนโหวต ก็เท่ากับว่าเราจะไม่เห็นหัวพลเมืองไทยอีก 20 กว่าล้านคน
“เวลาผมเรียกร้องให้คนเห็นหัวนี่ผมไม่ได้เรียกร้องให้คุณต้องมาเคารพต้องหยุดวิพากษ์วิจารณ์หรือต้องมาเชียร์ แต่อย่างแรกเลยคือไม่ต้องไปดิสเครดิต ไม่ต้องไปบอกว่ากูจะไม่นับๆ เพราะว่า คสช.ไม่นับ แค่นี้เอง ให้เห็นแค่ว่าคนกลุ่มนี้มีตัวตนและบันทึกมันไว้ในคะแนน” โชติศักดิ์ กล่าว

ไม่ชวนให้เล่นเกมส์ตีความเสียง

การตีความโนโหวตนั้น โชติศักดิ์ กล่าวว่ามันมีการพูดเสมือนว่าเราไม่รู้จะตีความเสียงโนโหวตอย่างไร แต่คำถามก็คือว่าถึงที่สุด ถ้าเราจะมาดูเสียงทุกแบบจริงๆ แม้แต่เสียงโหวตโนโหวตเยสมันก็ต้องถูกตีความเหมือนกัน ที่ผ่านมาพูดเสมือนว่า เสียงโหวตโนมันชัดเจนใสแจ๋วเลยว่าโหวตโนเท่ากับไม่เอารัฐประหาร ซึ่งจริงๆ แล้ว มันก็ไม่ใช่ คือถ้าจะตีความก็ตีความกันได้แล้วก็ถึงที่สุดถ้าเสียงโหวตโนชนะ อีกฝั่งเขาก็จะเล่นเกมส์ตีความกับคุณอยู่ดี เพราะฉะนั้นอย่างไรก็แล้วแต่ไม่ว่าคุณจะโหวตอะไร มันก็อาจต้องเล่นเกมส์เสียงตีความอยู่ดี แต่ว่าสิ่งที่ตนอยากจะชวนเล่น ตนไม่ชวนให้เล่นเกมส์นี้ แต่เล่นข้อเท็จจริงไปเลย คือไม่ต้องไปตีความว่าเสียงเหล่านี้คืออะไร ดูตัวเลขจริงว่าเท่าไหร่ๆ แล้วไม่ต้องไปตัดอันไหนออกแค่นั้นเอง เพราะตีความมันต้องตีความกันไม่จบไม่สิ้น และถ้าจะเล่นตีความมันก็เล่นตีความให้ทุกๆ แบบ ข้อเสนอตนคือไม่ต้องไปเล่นเกมส์นี้

โนโหวตเพราะไปทำเรื่องงี่เง่า ยิ่งเท่ากับรธน.มันงี่เง่ายิ่งกว่า

โชติศักดิ์ กล่าวด้วยว่า ทำไมเราไม่ควรไปเล่นเกมส์ตีความ เพราะว่าถึงที่สุด เพราะข้อเท็จจริงก็มีที่ว่าคนไม่ออกไปโหวตเพราะอยากนอนอยู่บ้านเฉยๆ คำถามก็คือว่าก็แล้วยังไง? เพราะถึงที่สุดแล้วคนก็ตัดสินใจ ดังนั้นการที่คนตัดสินใจนอนอยู่บ้านก็เท่ากับเขาประเมินแล้วว่าการดูทีวีนั้นมีคุณค่ามากกว่าการออกไปประชามติ ไม่เช่นนั้นแล้วเขาจะเลือกทำอย่างนั้นทำไม
“คำถามก็คือว่าถ้ามีคนเห็นว่าอะไรก็แล้วแต่ที่เล็กๆ มีค่ามากกว่าประชามติ มีคน 50% หรือมีคน 25 ล้านคนเห็นว่าการกระทำแบบนี้นอนดูทีวีอยู่บ้านหรือว่าอะไรก็แล้วแต่ ต่อให้คุณยกตัวอย่างรูปธรรมการกระทำที่มันงี่เง่าอะไรก็แล้วแต่มามากแค่ไหนยิ่งยกตัวอย่างได้งี่เง่ามากที่สุดนี่แปลว่ารัฐธรรมนูญคุณยิ่งงี่เง่ายิ่งกว่าสิ่งนั้น เขาเลือกทำสิ่งงี่เง่าโดยไม่เลือก” โชติศักดิ์ กล่าว

ทำไมไม่แทงกั๊ก แล้วถ้าโหวตเยสชนะจะทำอย่างไร

โชติศักดิ์ กล่าวตั้งคำถามว่า ตัวเลขเหล่านี้มีพลังหรือไม่ พร้อมตอบว่า ตนคิดว่าตัวเลขทุกอย่างต่อให้โหวตโนชนะ จริงๆ ที่ผ่านมารู้สึกว่าหลายคนพูดเสมือนว่าโหวตโนมันชนะไปแล้ว แต่จริงๆ มันยังไม่ชนะ แต่ไม่ว่าผลออกมาอย่างไรถึงที่สุดตัวเลขนั้นก็ต้องเอาไปทำอะไรสักอย่าง ไม่ใช่ว่าอยู่ๆ เมื่อชนะแล้ว ประยุทธ์ จะลาออก ตนไม่เชื่อว่าประยุทธ์จะลาออก ทันที่ที่ผลประชามติออกมาไม่ผ่าน เวลาเราประเมินเรื่องโหวตโนหรือโนโหวตนั้นมีความลักลั่นอยู่ 2 อย่างก็คือว่า ฝ่ายเชียโหวตโนเวลาประเมินก็จะประเมินบนวิธีคิดแบบด้านการเมืองก็จะบอกว่าถ้าเสียงโหวตโนชนะมันจะเป็นจุดเริ่มต้นของ 1 2 3 4 5 คำถามก็คือว่าจุดเริ่มต้นนั้นมันต้องมีการเคลื่อนไหวอะไรจากใครบางคนนำมาซึ่งจุดเริ่มต้นนั้นใช่ไหม โนโหวตก็เหมือนกัน ถ้าโนโหวตเกินครึ่งหรือมากว่าครั้งที่แล้ว ในทางการเมืองมันก็สามารถนำไปสู่อะไรบางอย่างได้เหมือนกัน ถ้าเราจะหยิบใช้มัน ปัญหาตอนนี้ก็คือว่าเราตัดชอยส์โนโหวตทิ้งไปแล้วไง คือเรามุ่งไปเสมือนว่าเรามั่นใจแล้วว่าโหวตโนจะชนะแน่นอน เพราะฉะนั้นจะไม่นับแล้วโนโหวต ซึ่งตนรู้สึกว่าด้านหนึ่งมันไม่ฉลาด
ถึงที่สุดเราไม่รู้ว่าโหวตโนหรือโหวตเยสชนะ แต่ถ้าเราแทงกั๊กไว้ทั้ง 2 อย่าง คุณนับโนโหวตไปด้วย ต่อให้โหวตเยสชนะ แต่ว่ามีคนโนโหวตเกิน 50% คุณก็หยิบเงือนไข 50% นั้น มาเล่นได้ แต่ถ้าคุณตัดทิ้งดิสเครดิตเสียงโนโหวตตั้งแต่ยังไม่เริ่มอะไรเลย ตนถามง่ายๆ ถ้าโหวตเยสชนะแล้วคุณจะทำอย่างไร ตัวเลขคุณจะมีแค่ 2 ตัวเลขเท่านั้น คือโหวตเยสชนะคุณ แล้วคุณจะเคลื่อนไหวอย่างไร

เสริมประเด็นประชามติไม่มีองค์ประชุม

โชติศักดิ์ กล่าวเสริมประเด็นเรื่ององค์ประชุมของจิตราว่า เป็นเรื่องสำคัญ ยกตัวอย่างกรณีการประชุมสภาก็จะมีการตั้งองค์ประชุม องค์กรทั่วๆ ไปก็มีการตั้งองค์ประชุม คือมันต้องมีคนมาจำนวนหนึ่งถึงจะครบ ไม่ใช่นับเท่าคนที่มา มาคนเดียวหรือ 2 คน ก็ตั้งเป็นมติกัน อันนี้ก็เป็นหลักการทั่วๆ ไป ที่ทุกคนก็ยอมรับ รัฐสภาประชุมผ่านกฎหมายมาฉบับหนึ่ง บางทีเป็นกฎหมายงี่เง่าด้วยซ้ำไป แต่ก็ต้องมีองค์ประชุม แต่ขณะเดียวกันที่เรื่องตลกก็คือว่ารธน. ที่เป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศกลับไม่มีการตั้งองค์ประชุม กลายเป็นว่ามีคนมาเท่าไหร่ก็เปอร์เซ็นต์ก็แล้วแต่ มาแค่ล้านเดียวหรือ 2% ก็ผ่านได้ โดยที่คนที่เหลือไม่ต้องมีส่วนร่วมต่อรธน.นี้ก็ได้ อันนี้ก็เป็นปัญหาความชอบธรรมของกระบวนการรธน.นี้ตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว กรณี ส.ส. ถ้าเขตหนึ่งมีปัญหาก็มีปัญหาแค่เขตนั้น แต่นี่ รธน. มันเป็นเรื่องของคนทั้งประเทศ จริงๆ ส.ส.ก็มีการลงพรรคเดียวก็ต้องให้เสียงเกิน 20% ขนาด ส.ส.ที่เป็นเรื่องเล็กกว่ามากก็ยังมีร่องรอยของการตั้งองค์ประชุม แต่ประชามติที่ใหญ่กว่ามากๆ และถ้าผ่านก็แก้ยากกลายเป็นว่าไม่มีองค์ประชุมที่ไม่กำหนดว่าผู้มีสิทธิจะมาออกเท่าไหร่ก็ได้ อันนี้ก็เป็นปัญหาหนึ่ง