วันเสาร์ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2556

การจับมือเป็นพันธมิตรกันของพลังต้านประชาธิปไตย

ทามาดะ โยชิฟูมิ: การจับมือเป็นพันธมิตรกันของพลังต้านประชาธิปไตย

ระหว่างวันที่ 24 - 25 สิงหาคม ที่โรงแรมฟูรามา จ.เชียงใหม่ มีการจัดการประชุมวิชาการนานาชาติ: ไทยศึกษาในสายลมตะวันออก (International Conference: Thai Studies through the East Wind) ซึ่งจัดร่วมกันโดยคณะมนุษยศาสตร์ คณะนิติศาสตร์ คณะรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และ The Japanese society for Thai Studies และ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่นั้น
ในวันที่ 24 สิงหาคม ซึ่งเป็นวันแรกของการจัดงาน ศาสตราจารย์ ทามาดะ โยชิฟูมิ จากมหาวิทยาลัยเกียวโต ได้นำเสนอหัวข้อ "Powerful Alliance against Democracy: How to justify its attemps" หรือ "การจับมือเป็นพันธมิตรกันของกลุ่มพลังที่ต้านประชาธิปไตยในประเทศไทย" โดยการอภิปรายของอาจารย์ทามาดะ เริ่มด้วยการนำเสนอว่า การเมืองไทยแปลกจริงๆ เพราะมีพวกต่อต้านการเมืองแบบการเลือกตั้ง และคนกลุ่มนี้ก็มีพลังมากพอสมควร ทำไมจึงเป็นเช่นนี้
"รู้สึกแปลกใจว่าการเมืองไทยแปลก อันหนึ่งที่เมืองไทยมีคือคนต่อต้านการเมืองแบบเลือกตั้ง คือพวกต่อต้านประชาธิปไตยนะครับ ที่ไหนก็มี เช่น ญี่ปุ่นก็มี มีคนไม่ชอบประชาธิปไตย แต่ที่เมืองไทยนี่แปลกเพราะพวกที่ไม่เอา ไม่ชอบประชาธิปไตย มีพลังมากพอสมควร เขากล้าพูด กล้าปฏิเสธว่าไม่ต้องมีการเลือกตั้ง พูดที่อื่นไม่ค่อยได้ แต่ที่เมืองไทยพูดได้ แล้วก็ไม่ต้องอาย ก็แปลก" อาจารย์ทามาดะกล่าวตอนหนึ่ง
ทั้งนี้รู้สึกว่าแปลกผิดปกติ เพราะโดยปกติพวกที่ต่อต้านประชาธิปไตยเป็นผู้กุมอำนาจที่ไม่อยากเสียอำนาจจากการแพ้การเลือกตั้ง และพวกที่ไม่กุมอำนาจต้องการจัดให้มีการเลือกตั้งเพื่อจะได้อำนาจ แต่ที่เมืองไทย พวกที่ไม่เอาการเลือกตั้ง และไม่ยอมรับผลการเลือกตั้งเป็นพวกที่ไม่ได้กุมอำนาจ
โดยพวกนิยมเจ้า และพวกประชาสังคมหรือชนชั้นกลาง ได้ร่วมกันจับมือต่อต้านประชาธิปไตย การเมืองไทยจึงขาดเสถียรภาพ โดยในการนำเสนออาจารย์ทามาดะได้มีคำถามตั้งต้นว่า "ทำไมสองพวกนี้ไม่ชอบประชาธิปไตย" และ "สองพวกนี้จับมือกันได้เพราะเหตุใด"
ในการอภิปรายอาจารย์ทามาดะ ได้แสดงภาพของ "ระบอบใหม่" อันเป็นการเมืองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขแบบหลัง 14 ตุลาคม 2516 นอกจากนี้ทามาดะยังอภิปรายถึงภาวะ ทวิราชย์ (Dyachy) หรือระบบกึ่งรัฐสภา (Semi-parliamentary system) ที่เกิดขึ้นในการเมืองไทยด้วย
อาจารย์ทามาดะ อภิปรายด้วยว่า ภาวะที่ฝ่ายนิยมเจ้าและชนชั้นกลาง จับมือกัน มีเป้าประสงค์ต้องการจำกัดสิทธิ ต้องการรักษาอำนาจกับอภิสิทธิ์ของตัวเอง จึงอ้างศีลธรรม อ้างความชั่วของทักษิณ นอกจากนี้สถาบันกษัตริย์หลัง 2516 และชนชั้นกลางหลัง 2535 ก็มีพลังนอกเวทีการเลือกตั้งมากขึ้น เพราะฉะนั้นการจับมือระหว่างพวกนิยมเจ้ากับพวกประชาสังคมมีพลังทางการเมืองสูง
และยังมีตัวช่วยคือสื่อมวลชน สื่อมวลชนหลังปี 2535 เท่าที่ศึกษาการเมืองไทย ก่อนปี 2535 สื่อมวลชนมีอำนาจทางการเมืองไม่มากเท่าไหร่ แต่หลังพฤษภาคมปี 2535 สื่อมวลชนมีอำนาจมากขึ้น เพราะได้อำนาจเชิงทางวาทกรรม เพราะเวลาเขาเขียนอะไร ต้องคิดว่าตัวเองถูกต้อง ตัวเองดี ประชาชนต้องเชื่อฟัง
แต่ว่าประชาชนเขาไม่ต้องการ "การเมืองแบบศีลธรรม" อีกต่อไปแล้ว ใช้ไม่ได้ เช่น การเมืองแบบศีลธรรมก็มีรัฐบาลแบบ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ แต่ว่าเขาเป็นคนดี มีทุจริตน้อยกว่าแน่นอน แต่ว่าดีไหม ไม่ดี ประชาชนก็ไม่เอา แค่ศีลธรรมอย่างเดียวไม่มีความหมาย และอย่างที่อาจารย์อภิชาต สถิตนิรามัย เขียนไว้ว่า ประชาชนไม่ใช่ไพร่ฟ้าแล้ว เขาต้องการสิทธิเท่ากับชนชั้นกลางและชนชั้นสูง

จดหมายเปิดผนึก อ.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ

       เมื่อวันที่ 22 สิงหาคมที่ผ่านมา   เฟซบุ๊กของ Charnvit Ks ได้โพสต์จดหมายเปิดผนึกของ ชาญวิทย์ เกษตรศิริ นักวิชาการประวัติศาสตร์ อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มีข้อความดังนี้ 


An Open Letter to Chuan Leekphai   /   On Anarchy and Democracy
เรื่อง ประชาธิปไตย กับ อนาธิปไตย

เรียน ฯพณฯ ชวน หลีกภัย ส.ส. พรรคประชาธิปัตย์ และ กก. สภา มธ  , และอดีต นรม อดีต หัวหน้าพรรคฯ
  
        สืบเนื่องจากสถานการณ์ ป่วนสภา ป่วนถนน และการป่วนอื่นๆ  ซึ่งน่าจะเป็นส่วนหนึ่ง ที่สร้างสถานการณ์ อนาธิปไตย anarchy  อันจะนำไปสู่ การรัฐประหาร ยึดอำนาจ โดย นายทหาร และ/หรือ นายศาล...
  
      เรื่องทำนองนี้ ได้เกิดมาแล้ว เมื่อ พ.ศ. 2490 แล้วก็เกิดอีก เมื่อ พ.ศ. 2549 ปวศ. อาจซ้ำรอยอีก และเมื่อถึงตอนนั้น กาลียุค ก็จะบังเกิดในสยามประเทศไทย
  
       ครั้งหนึ่ง ฯพณฯ ปรีดี พนมยงค์ อดีตผู้นำปฎิวัติสยาม ผู้ประศาสน์การ มธก. รัฐบุรุษอาวุโส และ อดีต นรม .ได้เตือนเราไว้ และน่าที่ เราๆ ท่านๆ ในยุคสมัยอันสับสน เช่นนี้ จักได้สำเนียก เรียนรู้ และสร้าง "การเมืองดี" ให้กับชาติบ้านเมือง
  
        เมื่อหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ปี พ.ศ. 2489 กว่าครึ่งศตวรรษมาแล้ว ในขณะที่สังคมไทยกำลังค้นหาให้ได้มาซึ่งระบอบ "ประชาธิปไตย" ฯพณฯ ปรีดี ซึ่งในตอนนั้นดำรงตำแหน่ง นรม ได้กล่าวปิดประชุมสภาเมื่อ 7 พฤษภา ด้วยคำเตือนเรื่อง "ประชาธิปไตย" กับ "อนาธิปไตย" ดังนี้
  
       "ระบอบประชาธิปไตยนั้น เราหมายถึงประชาธิปไตย อันมีระเบียบตามกฎหมายและศีลธรรม และความซื่อสัตย์สุจริต ไม่ใช่ประชาธิปไตยอันไม่มีระเบียบ หรือประชาธิปไตยที่ไร้ศีลธรรม เช่น การใช้สิทธิเสรีภาพอันมีแต่จะให้เกิดความปั่นป่วน ความไม่สงบเรียบร้อย ความเสื่อมศีลธรรม ระบอบชนิดนี้เรียกว่าอนาธิปไตย หาใช่ประชาธิปไตยไม่ ขอให้ระวัง อย่าปนประชาธิปไตยกับอนาธิปไตย"
 
     ท่านปรีดี กล่าวต่อว่า "ข้าพเจ้าไม่พึงประสงค์ที่จะให้มีระบอบเผด็จการในประเทศไทย ในการนี้ก็จำเป็นต้องป้องกันหรือขัดขวางมิให้มีอนาธิปไตย อันเป็นทางที่ระบอบเผด็จการจะอ้างได้ ข้าพเจ้าเชื่อว่าถ้าเราช่วยกันประคองใช้ให้ระบอบประชาธิปไตยนี้ได้เป็นไปตามระเบียบเรียบร้อย .... ระบอบเผด็จการย่อมมีขึ้นไม่ได้"
      ท่านปรีดีกล่าวอย่างน่าสนใจอีกว่า "การใช้สิทธิตามระบอบประชาธิปไตย ต้องทำโดยความบริสุทธิ์ใจ มุ่งหวังผลส่วนรวมจริงๆ ไม่ใช่มุ่งหวังส่วนตัว หรือมีความอิจฉาริษยากันเป็นมูลฐาน เนื่องมาจากความเห็นแก่ตัว (เอ็กโกอีสม์)"
     แล้วท่านปรีดี ก็เข้าสู่ไคลแมกซ์ด้วยการกล่าวว่า "โดยมีอุดมคติซื่อสัตย์ต่อองค์พระมหากษัตริย์ ข้าพเจ้าเคารพในความซื่อสัตย์ ซึ่งมีตัวอย่างอยู่มากหลายที่ผู้ซื่อสัตย์เหล่านี้ได้ร่วมกิจการรับใช้ชาติกับข้าพเจ้า... แต่ผู้ซึ่งแสดงว่าซื่อสัตย์ต่อองค์พระมหากษัตริย์ในภายนอก ส่วนภายในหวังผลส่วนตน หรือมูลสืบเนื่องมาแต่ความไม่พอใจเป็นส่วนตัวเช่นนี้แล้ว ก็เกรงว่าผู้นั้นก็อาจหันเหไปได้ สุดแต่ว่าตนจะได้รับประโยชน์ส่วนตนอย่างไรมากกว่า"

     ท่านปรีดี จบคำปราศัย ฝากฝังไว้กับ สส. ในสภาว่า "ข้าพเจ้าหวังว่าท่านสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้งหลาย คงจะใช้สิทธิของท่านด้วยความบริสุทธิ์ใจ และอาศัยกฏหมายและศีลธรรมความสุจริตเป็นหลัก ไม่ช่วยกันส่งเสริมให้มีระบอบอนาธิปไตย

ข้าพเจ้าขอฝากความคิดไว้ต่อท่านผู้แทนราษฎรทั้งหลาย โดยเป็นห่วงถึงอนาคตของชาติ ข้าพเจ้าปรารถนาที่จะได้เห็นประเทศชาติปลอดจากระบอบเผด็จการ และปลอดจากระบอบอนาธิปไตย คงมีแต่ระบอบประชาธิปไตยอันพรั่งพร้อมไปด้วยสามัคคีธรรม
ระบอบประชาธิปไตยอันพรั่งพร้อมด้วยสามัคคีธรรมนี้เป็นวัตถุประสงค์ของคณะราษฎร ที่ขอพระราชทานรัฐธรรมนูญ และเป็นพระราชประสงค์ของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวที่พระราชทานรัฐธรรมนูญ"

       ท่านปรีดีฝากฝังอะไรไว้มากมายเมื่อ 7 พฤษภา พ.ศ. 2489 ต่อมาอีก 2 วัน คือ 9 พฤษภา ท่านปรีดี ก็ถวายรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ให้ในหลวงอานันท์ รัชกาลที่ 8 ลงพระปรมาภิไธย แต่อีก 1 เดือนต่อมา คือ ในวันที่ 9 มิถุนา ในหลวงอานันท์ ก็ต้องพระแสงปืนเสด็จสวรรคต

     และแล้ววิกฤตก็บังเกิด อำนาจเก่าบารมีเก่า ใส่ร้ายป้ายสี "ปรีดี ฆ่าในหลวง" ท่านปรีดีแสดงความรับผิดชอบ ลาออกจาก นรม. และหลวงธำรงนาวาสวัสดิ์ก็ขึ้นเป็นแทน 

      รัฐบาลหลวงธำรงฯ ถูกพรรคฝ่ายค้าน คือ ประชาธิปัตย์ นำโดยนายควง อภัยวงศ์ เปิดอภิปรายในสภาฯ ไม่ไว้วางใจหลายวันหลายคืน และเมื่อล้มรัฐบาลด้วยวิถีทางรัฐสภาไม่ได้ นายควง หัวหน้าพรรคฯ ก็ร่วมมือกับ "ระบอบทหาร" ที่นำโดยพลโทผิน ชุณหะวัณ ทำ "การรัฐประหาร" ยึดอำนาจเมื่อ 8 พฤศจิกายน 2490

      จากนั้นสยามประเทศ(ไทย) ของเรา ก็เข้าสู่ "ยุดมืดบอดทางการเมือง" กลายเป็น "ระบอบเผด็จการครึ่งใบ" อยู่ 10 ปีภายใต้ "ระบอบพิบูลสงคราม" ระหว่าง พ.ศ. 2491-2500 แล้วก็ต้องตกอยู่ภายใต้ "ระบอบเผด็จการเต็มใบ" ของ "ระบอบสฤษดิ์-ถนอม-ประภาส" อีก 15 ปี ระหว่าง พ.ศ. 2501-2516 รวมแล้วกว่าจะถูกโค่นล้มไปเมื่อ "14 ตุลา" พ.ศ. 2516 ก็กินเวลาถึง 26 ปี

      ท่านปรีดีของเราต้องกลายเป็น "พ่อกู นามระบือ ชื่อปรีดี แต่คนดี เมืองไทย ไม่ต้องการ" (เช่นเดียวกับ ดร. ป๋วย อึ๊งภากรณ์ ฯลฯ) ท่านต้องลี้ภัยการเมือง ลี้ภัยจาก "อนาธิปไตย" และ "เผด็จการทหารและอนุรักษ์นิยม" ไปอยู่เมืองจีนถึง 21 ปี แล้วก็จะไปจบชีวิตลงที่ปารีสเมื่อปี พ.ศ. 2526


      ครับ ท่านปรีดีและคำเตือนว่าด้วย "อนาธิปไตย" กับ "ประชาธิปไตย" ทำให้เราต้องคิดใคร่ครวญหนักต่อสถานการณ์ปัจจุบัน นับตั้งแต่ "ระบอบพันธมิตร" กับการ "ล้มรัฐบาลสมัคร/สมชาย" ตลอดจน "โค่นระบอบทักษิณ" รวมทั้งสภาพการ "ป่วน" ทั้้งหลาย ทั้งปวง เราจะแก้วิกฤตครั้งนี้ได้อย่างไร เราจะทำอย่างไรที่จะไม่ให้เกิด "อนาธิปไตย" อันนำมาสู่ "รัฐประหารโดยนายทหาร/นายศาล" หรือบานปลายไปจนเป็น "สงครามกลางเมือง" กลายเป็น "กาลียุค"


        หากเราตระหนักในคำเตือนล่วงหน้าก่อนกาล ของท่านปรีดี ที่ท่านให้เรายึดมั่นใน "ประชาธิปไตย" ไม่นำไป "สับสน" หรือ "ปนเปื้อน" กับ "อนาธิปไตย/ป่วน" อันจะนำเราไปสู่ "ระบอบเผด็จการ" เมื่อนั้นแหละ ที่บ้านเมืองของเราจะพอมีอนาคตกันบ้าง

       หรือว่าทุกอย่างจะสายเกินแก้ไปแล้ว และ ในกาลียุคสมัย "พระอิศวรศิวะเทพ" ก็จะปรากฏกายเป็น "ศิวะนาฏราช" เหนือปราสาทเขาพระวิหารและปราสาทเขาพนมรุ้ง เพื่อทำลายล้างทุกสิ่งทุกอย่างให้สิ้นซาก แล้วให้ "พระนารายณ์วิษณุเทพ" บันดาลให้ดอกบัวผุดขึ้นมาจากพระนาภี เผย "องค์ท้าวมหาพรหม" ที่จะทรงสร้างโลกใหม่ ที่มี "สิทธิ เสรีภาพ และภราดรภาพ" มีความเป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริงเสียที


ชาญวิทย์ เกษตรศิริ
ณ เจ้าพระยา ท่าพระจันทร์

คุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร พร้อมครอบครัวชินวัตร-ดามาพงศ์ ร่วมพิธีบำเพ็ญกุศลศพ "สมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสโณ)"




            วันที่ 24 สิงหาคม 2556 เวลา 19.00 น. คุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร, ครอบครัวชินวัตร, ครอบครัวดามาพงศ์ เป็นเจ้าภาพพิธีสวดพระอภิธรรม ในการบำเพ็ญกุศลฯ เจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสโณ) โดยรายนามเจ้าภาพแขกผู้มีเกียรติเชิญมาเป็นจำนวนมาก อาทิ ฯพณฯ นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ พลตำรวจเอกเพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ พลตำรวจโท พีระพงศ์ ดามาพงศ์ ท่านผู้หญิงวิริยา ชวกุล คุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร คุณบรรณพจน์ ดามาพงศ์ ฯพณฯ นายประชา ประสบดี ฯพณฯ นายวิสาร เตชธีรวัฒน์ คุณวิบูลย์ สงวนพงศ์ เป็นต้น