เหตุใดรัฐจึงกลายเป็นฆาตกร
Posted: 22 Jan 2013 04:40 AM PST (อ้างอิงจากเวบไซท์ประชาไท)
คนที่สนใจประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติที่ผ่านมา น่าจะมีอยู่บ้างที่เกิดคำถามขึ้นมาในใจว่า เหตุใดรัฐจึงกลายเป็นฆาตกร ฆ่าพลเมืองของตน คำตอบแบบทั่วไปที่เรารับรู้กันก็ได้แก่ ความเห็นแก่ตัว ความกระหายเลือดของนักการเมือง ผู้นำพลเรือนหรือเผด็จการทหารที่ต้องการมีอำนาจปกครองประเทศตลอดกาล ซึ่งก็ไม่ใช่คำตอบที่ผิดแต่ประการใด
อย่างไรก็ตามบทความนี้ต้องการวิเคราะห์ให้เห็นอีกมิติ หรือมิติอื่นๆ โดยผ่านนิยามและธรรมชาติของรัฐเอง
ถ้าเรามองดูให้ดี คำว่า "รัฐ" หรือ State มีความหมายที่ลึกซึ้งและมีพื้นที่กว้างกว่าตัวบุคคลเป็นยิ่งนัก รัฐไม่ได้มีตัวตนอยู่เฉพาะแค่รัฐบาลอย่างเดียว รัฐยังหมายถึงองค์กรหรือสถาบันอีกมากมายที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของรัฐบาล เช่น เราไม่สามารถกล่าวได้ว่า นายกรัฐมนตรีเป็นผู้นำสูงสุดของรัฐไทย เพราะมีผู้อยู่ในตำแหน่งทรงอำนาจอื่นๆ ซึ่งถึงแม้จะต่ำกว่าหรืออ้างว่าไม่เกี่ยวข้องกับการเมือง ต่างก็เข้ามามีส่งอิทธิพลต่อนโยบายของรัฐอีกมากมาย
ผู้เขียนยังคิดว่า มีอีกนิยามหนึ่งที่น่าสนใจ คือรัฐคือองค์รวมอันยิ่งใหญ่ทั้งม วลของชาติ เป็นองคาพยพที่ไม่มีตัวตนหรือ entity เป็นรูปธรรม เป็นสภาวะจิตสูงสุดตามแนวคิดของ จอร์จ ฟรีดริก เฮเกล แต่รัฐในที่นี้ยังเป็นศูนย์รวมหรือ locus ของอำนาจทั้งปวงที่ไร้ใบหน้า คือไม่มีใคร บุคคลใดในฐานะเป็นมนุษย์ที่มีเนื้อหนังซึ่งมีอายุมักไม่เกินศตวรรษที่สามารถเป็น"รัฐ" ได้ เพียงแต่สามารถประกาศตนว่าเป็นรัฐ หรือมีอำนาจเหนือรัฐในระดับหนึ่งหรือเพียงระยะเวลาหนึ่ง
ทั้งนี้หากเราจะยึดถือแนวคิดของแม็กซ์ เวเบอร์ นักสังคมวิทยาชาวเยอรมันที่กล่าวว่า "รัฐคือผู้มีอำนาจผูกขาดในการใช้ความรุนแรง" (Monopoly of violence) เหนือพลเมืองที่อาศัยอยู่ในขอบเขตของอำนาจตน เช่น การบังคับ คุกคามให้ประชาชนทำอะไรที่ขัดแย้งกับความต้องการหรือสามัญสำนึกของตน การใช้กำลังตำรวจหรือทหารเข้าควบคุมหรือปราบปรามผู้ประท้วง หรือแม้แต่การที่เราได้รับอนุญาตจากกฎหมายในการใช้ความรุนแรงเพื่อจัดการกับผู้ล่วงละเมิดสวัสดิภาพและทรัพย์สินของเราและครอบครัว การใช้รุนแรงสามารถยกระดับไปถึงการให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหายไปจากโลกนี้ ซึ่งก็คือการฆ่าเช่น การวิสามัญฆาตกรรมผู้ร้าย การประหารชีวิตนักโทษ (โดยได้รับการอนุมัติจากศาลซึ่งไม่ได้สังกัดอยู่กับรัฐบาลหรือฝ่าย บริหาร) รัฐสามารถทำให้การฆ่าเหล่านี้ เป็นสิ่งที่ถูกต้องชอบธรรม (legitimate killing) หากมองในด้านบวก การฆ่าแบบถูกต้องชอบธรรมโดยเฉพาะที่ผ่านกรอบของกฎหมายก็เพื่อผลประโยชน์โดยรวมของสังคมหรือการอยู่รอดรัฐ เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้นไม่ว่าใครเป็นผู้นำของรัฐ การกระทำเช่่นนี้ของรัฐคงต้องเกิดขึ้นเรื่อยๆ ไม่มากก็น้อย ตามแต่ปัจจัยอื่นเช่นระบอบการปกครอง เช่นประชาธิปไตยเสรีนิยม จะมีแนวโน้มในการสังหารประชาชนน้อยกว่ารัฐเผด็จการ
อีกสิ่งหนึ่งที่ผู้เขียนคิดว่า สำคัญต่อการดำรงอยู่ของรัฐไม่น้อยไปกว่าตัวองค์กรเลย คือวัฒนธรรมทางการเมือง (Political culture) ที่เป็นตัวผลักดันให้ความเป็นรัฐดำเนินต่อไป วัฒนธรรมทางการเมืองหมายถึงทัศนคติ ค่านิยม หรือจารีต ฯลฯของคนในรัฐที่ส่งผลต่อการเมือง วัฒนธรรมการเมืองเอื้อต่อการเป็นฆาตกรทั้งชอบธรรมและไม่ชอบธรรม (เช่นการฆ่าแบบนั่งยางเผา) ของรัฐ ในรัฐที่เป็นเผด็จการอย่างเช่น ยุคจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ในยุคที่การสื่อสารด้อยประสิทธิภาพและวาทกรรมเรื่องสิทธิมนุษยชนเป็นแค่ลมปากของนักวิชาการต่างประเทศ การฆ่าที่ชอบธรรมและไม่ชอบธรรมจึงมีความเหลื่อมล้ำ ขาดความชัดเจน ผู้ต้องสงสัยว่ามีพฤติกรรมเป็นคอมมิวนิสต์ การแบ่งแยกดินแดน การวางเพลิงเคหะสถานถูกรัฐใช้ตามมาตราที่ 17 คือการประหารชีวิตโดยไม่ผ่านกระบวนการศาล อันได้รับการยกย่องจากคนยุคหลังผ่านการศึกษาทางประวัติศาสตร์ที่ไม่ชัดเจนว่า ผู้ที่เสียชีวิตแท้ที่จริงเป็นผู้ผิดหรือผู้บริสุทธิ์กันแน่ และมักมีคนเห็นว่า ช่วงจอมพลท่านนี้สามารถทำให้บ้านเมืองร่มเย็นได้ ทั้งที่ไม่มีใครเข้าไปสืบเสาะสถิติอาชญากรรมในช่วง พ.ศ.2501-2506 ว่าเป็นอย่างไร และผู้ประกอบอาชญากรรมนั้นเป็นคนในเครื่องแบบเสียกี่คน แน่นอนว่าทัศนคติเช่นนี้ย่อมส่งผลให้เกิดผู้นำประเทศอีกหลายคนที่มีพฤติกรรมเหมือนจอมพลสฤษดิ์ทั้งในปัจจุบันและในอนาคต
การโยงสาเหตุของการฆ่ามายังเฉพาะรัฐบาลหรือตัวผู้นำเพียงอย่างเดียวก็ไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้องไปเสียทั้งหมด ถึงแม้รัฐบาลหรือผู้นำเองพยายามสร้างหรือผลิตซ้ำวัฒนธรรมทางการเมืองที่ยกย่องความรุนแรง แต่สิ่งที่ขาดไม่ได้คือ ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศเองก็ดูเหมือนจะรู้เห็นเป็นใจด้วย เพราะคุ้นชินกับวัฒนธรรมการเมืองเช่นนี้ จนการใช้ความรุนแรงของรัฐเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของเรา เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ (Normalizing violence) ในขณะที่เสรีภาพการแสดงออกของประชาชนด้วยกันกลับเป็นเรื่องที่ต้องควบคุมต้องจำกัด เป็นเรื่องอันตราย เป็นภัยต่อความมั่นคง เช่น ตอนผู้หญิงใช้นมทาสีบนแผ่นเฟรมในรายการทางโทรทัศน์ เราก็จะบอกว่า มันไม่เหมาะสม เพราะเป็นรายการที่เยาวชนทั่วประเทศรับชม แต่เรากลับไม่วิตกที่จะให้เยาวชนผู้ใสซื่อของเรารับรู้ว่า รัฐฆ่าคนตายได้มากๆ แต่ไม่มีใครต้องรับผิดชอบต่อสิ่งที่ตัวเองก่อได้เลย
อาจจะจริงที่่ว่ามีการประท้วงหรือแสดงความไม่เห็นด้วยต่อพฤติกรรมของรัฐในหลายยุค แต่กลับปราศจากความต่อเนื่องและชัดเจนเพราะผู้กระทำความผิดเป็นรัฐที่เต็มไปด้วยความชอบธรรมบางประการที่ช่วยห่อหุ้ม ปกป้องไว้ ดังเช่นวัฒนธรรมทางการเมืองที่ได้กล่าวมา เราจึงไม่สามารถสร้างภาพยนตร์เรื่อง 14 ตุลา 6 ตุลา พฤษภาทมิฬ การฆ่าตัดตอนผู้ที่ถูกกล่าวหาว่าค้ายาเสพติด กรณีตากใบ หรือการสังหารหมู่ที่มัสยิดกรือเซะ การปราบปรามเสื้อเหลืองอย่างรุนแรง การสังหารหมู่กลางเมืองหลวงเมื่อปี 2553 โดยซื่อสัตย์ต่อความจริงได้
การด่าว่าหรือซุบซิบพฤติกรรมอันไม่เหมาะสมโดยเฉพาะทางเพศของบุคคลสาธารณะ เช่น ดารา จึงเป็นเรื่องที่ทำได้ง่ายเพราะเป้าหมายเป็นเพียงปัจเจกชนที่สาธารณชนรู้สึกมีอำนาจ ปลอดภัย ไม่ต้องหวาดกลัวต่อกฎหมายหรืออำนาจมืด ที่สำคัญเป็นการกระทำที่ทำให้เรารู้สึกได้ว่า เราเป็นคนดี เป็นพลเมืองดี มองอีกแง่หนึ่ง การกระทำของเราคือความสำเร็จของรัฐในการหลอกอย่างแยบยลให้เรายอมรับอำนาจการปกครองของรัฐที่ส่งเสริมให้เราอยู่ในจารีตประเพณีอันดีงาม เราในฐานะพลเมืองจึงถูกคุมขังและกลายเป็นจักรกลหนึ่งของรัฐภายใต้วาทกรรมของ "ความเป็นไทย" หรือ "วัฒนธรรมไทยอันดีงาม" โดยมีความรุนแรงเป็นกรอบเหมือนกับสระน้ำที่ขุดขึ้นเพื่อล้อมรอบประตูเมืองโบราณ
ลักษณะโดดเด่นอีกประการหนึ่งของความพยายามของรัฐในการนำพลเมืองมาเป็นนักโทษคือการใช้ศาสนามาเป็นเครื่องมือในการควบคุมพลเมือง เช่น รัฐที่เป็นเผด็จการหรือไม่เผด็จการทั้งหลายมักจะอิงอยู่กับหลักศาสนากลายเป็นรัฐจารีตแบบวิกตอเรียนของอังกฤษ ที่รับไม่ได้กับการแสดงออกของร่างกายอันหลากหลายของพลเมือง (Body Politics)ไม่ว่าการแสดงออกเรื่องทางเพศอย่างเปิดเผย การมีเพศสัมพันธ์นอกสมรส การเป็นพวกรักร่วมเพศ ฯลฯ ที่รัฐถือว่าคุกคามต่อความปกติของร่างกายภายใต้อำนาจของรัฐในระดับหนึ่ง เพราะศาสนาเป็นองค์กรที่สอนให้มนุษย์ละเว้นการแสวงหาความสุขทางร่างกายเพื่อความสุขในระดับทางจิตใจหรือโลกหน้า ซึ่งเป็นเรื่องง่ายของรัฐในการนำอุดมการณ์ของศาสนามาปะปนกับอุดมการณ์ที่ตนวางไว้ จนกลายเป็นว่าเป้าหมายสูงสุดของรัฐคือเป้าหมายสูงสุดของศาสนาเช่นการเข้าเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า การทรยศต่อรัฐคือการทรยศต่อพระเจ้า
รัฐที่ประสบความสำเร็จในการควบคุมพฤติกรรมของพลเรือนในเรื่องร่างกายผ่านศาสนา ย่อมไม่รอช้าในการใช้ความรุนแรงเข้าควบคุมพลเมืองจนถึงระดับการปลิดชีพในกรณีที่พลเมืองไม่ประพฤติตนตามกฎที่รัฐได้วางไว้ ที่เห็นชัดเจนในการรัฐในตะวันออกกลางและเอเชียใต้มักใช้หลักทางศาสนา อิสลามเข้ามาเป็นกฎหมาย (เรียกว่าชะรีอะฮ์) เช่น ในอัฟกานิสถานเมื่อปีที่แล้ว สามีจับได้ว่า ภรรยาของตนมีชู้กับพวกตาลีบัน ก็เอาปืนกลยิงภรรยาจนเสียชีวิต รัฐบาลของนายฮามิด คาไซ ประนามการกระทำเช่นนี้ แต่ไม่สามารถทำอะไร เพราะมันเป็นวัฒนธรรมทางการเมืองที่ปฏิบัติกันมาช้านาน (อันสะท้อนว่ารัฐบาลไม่จำเป็นต้องเป็นตัวแทนของรัฐเสมอไป) สำหรับรัฐไทยก็ประสบความสำเร็จในการสร้างวาทกรรมของพุทธศาสนาที่อิงอยู่กับหลักชาตินิยมที่ฝึกให้พลเมืองของรัฐยอมรับต่อชนชั้นปกครองและแนวคิดที่ว่า การผิดศีลข้อหนึ่ง คือการห้ามฆ่าสัตว์ตัดชีวิตเป็นสิ่งที่ทนยอมรับกันได้ หากผู้ถูกฆ่า เป็น"ยักษ์มาร" เป็นภัยต่อพุทธศาสนาและประเทศชาติ ดังที่มีพระชื่อดังรูปหนึ่งกล่าวว่า "การฆ่าคอมมิวนิสต์ไม่บาป" ในช่วง 6 ตุลาคม 2519
จากทั้งหมดแสดงให้เราเห็นว่าในอีกมิติของรัฐ ร่างกายของเราไม่มีตัวตนอยู่จริง เพราะตัวตนทางการเมืองของเราถูกหลอมเป็นหนึ่งเดียวกับรัฐที่มีสภาพของยักษ์หน้าตาประหลาด (เหมือนกับ Leviathan ของนักปรัชญาการเมืองชื่อดังคือโธมัส ฮอบ์บส์) ร่างกายของเรา คือการทับซ้อนของวาทกรรมมากมายที่ถูกเชิดโดยรัฐ การที่รัฐใช้ความรุนแรงกับพลเมืองในการกำจัดพลเมืองบางส่วนออกไปจึงไม่ใช่เรื่องประหลาดอะไรในจักรวาลขององค์ความรู้มนุษย์ที่มีรัฐเป็นศูนย์กลาง หรือทางการการแพทย์ก็เหมือนกับการผ่าตัดเอาอวัยวะบางส่วนที่ (คิดว่า) เป็นเนื้อร้ายออกไป
ดังนั้นจึงขอสรุปได้ว่า การที่รัฐเป็นฆาตกร ก็คือเพื่ออำนาจในการการดำรงอยู่ของตัวรัฐนั้นเอง อย่างไรก็ตามก็เป็นข้อถกเถียงต่ออีกว่า มนุษย์สามารถดำรงตนเป็นตัวละครที่มีเจตจำนงอิสระ (free agent) ในการกำหนดรัฐ หรือสลัดพันธะจากอำนาจของรัฐเพื่อเปลี่ยนแปลงหรือหลีกเลี่ยงความรุนแรงที่รัฐที่มีต่อประชาชนได้หรือไม่ ไม่ว่าบุคคลผู้นั้นจะเป็นผู้นำของรัฐบาล หรือกลุ่มทางสังคม หรือประชาชนธรรมดา
|