วันเสาร์ที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2555


"ป๋าเปรมฯ ชี้นำ "คนดีเท่านั้นที่จะมีคุณธรรมและจริยธรรมได้"



            เมื่อวันที่ 3 เมษายน พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ กล่าวบรรยายพิเศษ เนื่องในโอกาสครบรอบ 12 ปี ผู้ตรวจการแผ่นดิน ที่ศูนย์ประชุมสหประชาชาติ ตอนหนึ่งว่า เราเกิดมาต้องตอบแทนบุญคุณแผ่นดิน โดยสามารถอธิบายได้ 2 แบบ คือ แบบสั้น ได้แก่ การตอบแทนบุญคุณแผ่นดินต้องทำความดี เพื่อให้แผ่นดินมีความสงบ คนในแผ่นดินมีความสุข และอีกความหมาย คือ ต้องไม่ทำชั่ว ทำให้คนในแผ่นดินเดือดร้อน


            "การทำความดี ไม่ทำความชั่วนั้น มีแต่เฉพาะคนดีเท่านั้นถึงจะทำได้ คนไม่ดีทำไม่ได้ เพราะถือเป็นเรื่องที่ทำได้ยาก ผมขอเรียนว่า การทำความดีแม้จะทำยาก แต่ก็ทำได้ แต่มีสิ่งหนึ่งที่ยากกว่าและยากที่สุดคือ การรักษาความดีที่ทำให้คงอยู่กับผู้ทำตลอดไปจนกระทั่งตาย มีหลายคนในประเทศเคยทำความดีให้ปรากฏ จนกระทั่งได้รับการยกย่องสรรเสริญศรัทธา แต่ไม่สามารถรักษาความดีที่ตนทำไว้ได้ น่าเสียดายมาก" พล.อ.เปรมกล่าว


         ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ กล่าวต่อว่า สำหรับความหมายอย่างยาว อธิบายได้ 9 ข้อ ได้แก่คือ
           1.จงรักภักดีต่อชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์

           2.ซื่อสัตย์สุจริต เสียสละและจงรักภักดี

           3.คนที่เป็นผู้บังคับบัญชา ต้องทำตัวให้เป็นตัวอย่างกับผู้ใต้บังคับบัญชา คนเป็นนายคนต้องมีความเมตตา เป็นคนไทยต้องมีความเป็นไทย เป็นธรรม เป็นนายคนต้องมีแต่ให้ และรับได้อย่างเดียว คือ รับความทุกข์ ความลำบากยากเข็ญของคนอื่น มาแก้ไข

            4.หาทางขจัดความยากจน


            5.ยึดถือ และปฏิบัติตามพระบรมราโชวาทและพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทั้งนี้ ตนอายุมาก มักมีคนขอคำปรึกษา ขอคำแนะนำ ถ้าตนคิดได้ ตนจะให้ปรึกษา แต่หากตอบไม่ได้จะแนะนำให้ไปอ่านพระบรมราโชวาทและพระราชดำรัส เพราะอาจมีคำตอบอยู่ในนั้น 


            6.ต้องทำงานให้คุ้มค่า คุ้มเวลาและคุ้มความเป็นคน ซึ่งตนใช้วิธีทำงานที่ยึดถือมา คือ สะดวก เรียบง่ายและประหยัด หากคนที่นำไปใช้เชื่อว่าจะได้ประโยชน์


            7.ดำรงวัฒนธรรมไทย เช่น วัฒนธรรมการละเล่นท้องถิ่นของภาคใต้ กลาง อีสาน เหนือ การพูดภาษาถิ่น โดยตนขอพูดตรงๆ ว่าไม่ควรจะเห่อฝรั่ง ไม่ควรลอกเลียนฝรั่ง จนไม่เหลือความเป็นไทย เป็นสิ่งที่น่าเสียดาย


           8.ข้อนี้เป็นความเห็นส่วนตัว ว่าพวกเราที่เป็นผู้ใหญ่ ต้องถือว่าเป็นหน้าที่และความรับผิดชอบที่ต้องดูแลยุวชน เยาวชน ที่ผมใช้คำว่าต้องยอมถือว่าเป็นหน้าที่และความรับผิดชอบ เพราะเด็กเป็นความสำคัญของชาติบ้านเมืองของเรา การดูแลไม่มีบัญญัติไว้ในกฎหมาย หรือรัฐธรรมนูญใด เราก็มีสิทธิที่ไม่ถืออย่างนั้นก็ได้ แต่ผมคิดว่า ถ้าเรามุ่งที่จะตอบแทนบุญคุณแผ่นดิน ต้องถือว่าเป็นหน้าที่ของเรา หากไม่ถือเป็นหน้าที่ไม่มีกฎหมายลงโทษ แต่ผมคิดว่าเป็นหน้าที่โดยตรง ที่เราต้องรับผิดชอบดูแลให้แกเติบโตมาเป็นคนดีของชาติบ้านเมืองให้ได้ 


           9.ต้องมีจริยธรรมและคุณธรรม ผมว่าคนดีเท่านั้นที่จะมีคุณธรรมและจริยธรรมได้" พล.อ.เปรมกล่าว


           ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษกล่าวขยายความคำว่าคุณธรรมและจริยธรรม ด้วยว่า 2 คำดังกล่าวต้องพูดพร้อมกันถึงจะได้ความหมายที่สมบูรณ์ อย่างไรก็ตาม ตนขอย้ำว่าคนดีเท่านั้นถึงจะมีคุณธรรมและจริยธรรม ทั้งนี้ ตนได้โทรศัพท์ไปหา ศ.กาญจนา นาคสกุล ราชบัณฑิตที่มีความเชี่ยวชาญด้านภาษาไทย ถึงความหมายของทั้ง 2 คำ ซึ่ง ศ.กาญจนาอธิบายได้ว่า คุณธรรม คือ ความดีที่มีอยู่ในใจ ที่ทำให้เกิดผลดีต่อผู้อื่น โดยคนที่มีคุณธรรมนั้นต้องซื่อสัตย์สุจริต คิดดี พูดดี ทำดี คิดตรง พูดตรง ทำตรง ไม่พลิกพลิ้วในคำพูดและการกระทำ รวมถึงต้องมีเมตตาช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยาก และที่สำคัญต้องไม่เบียดเบียนคนอื่น ไม่คดโกง แม้ไม่มีคนรู้เห็น ไม่ข่มเหงผู้ที่อ่อนแอกว่าหรือผู้หญิง ไม่ฉ่อราษฎร์บังหลวงและไม่ทำทุจริต ส่วนจริยธรรมหมายถึงความประพฤติทางกายและวาจา ที่แสดงออกถึงธรรมะที่มีอยู่ในใจ


              "ในประมวลจริยธรรมของนักการเมือง เห็นว่าเป็นเรื่องดีและมีประโยชน์ แต่ผมว่าเฉพาะจริยธรรมอย่างเดียวก็ยากลำบากแล้ว หากรวมคุณธรรมยิ่งเหนื่อยที่จะปฏิบัติตาม ผมสังเกตว่าประมวลจริยธรรมของส่วนราชการต่างๆ ที่กำหนด แต่หากไม่มีการปฏิบัติตามจะไม่ถูกลงโทษ แล้วจะจะตัดสินได้อย่างไร ผมก็ขอให้คำตอบว่าต้องใช้มโนธรรม คือ การรู้สึกผิดชอบชั่วดี แยกผิด ชั่ว ออกจากความดีได้ และกติกาในใจของเราเอง เป็นมาตรการในการตัดสิน" ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษกล่าว


          พล.อ.เปรมกล่าวในตอนท้ายด้วยว่า "ผมเชื่อว่าชาติบ้านเมืองเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ไม่มีใครมีสิทธิยึดถือเป็นของตนเองได้ ผมเชื่อว่าพระสยามเทวาธิราชมีจริง และจะปกป้องคนดี และสาปแช่งคนไม่ดี คนทรยศต่อชาติบ้านเมืองให้พินาศไป นั่นคือความเชื่อของผม ส่วนบุคคลอื่นจะเชื่อหรือไม่ขึ้นอยู่กับจริยธรรมและคุณธรรมของแต่ละคน"
http://redusala.blogspot.com

ฮาขี้แตก!!! ณัฐวุฒิเผยวลีเด็ด "ไหว้พี่เขาเสียซิ"



http://redusala.blogspot.com

เปิดกำหนดการ! "ดร.ทักษิณ" ร่วมสงกรานต์ลาว-กัมพูชา 11-15 เม.ย.นี้
              กำหนดการเดินทางของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีที่จะเดินทางมาร่วมเทศกาลสงกรานต์ระหว่างวันที่ 11-13 เม.ย.ที่ประเทศลาว และ 14-15 เม.ย.ที่ประเทศกัมพูชา โดยระบุว่า

            ในวันที่ 11 เม.ย. เวลา 11.30 น. พ.ต.ท.ทักษิณจะเดินทางโดยเครื่องบินส่วนตัวมาที่ท่าอากาศยานนานาชาติวัตไต นครเวียงจันทร์ จากนั้นเวลา 13.00 น. จะขึ้นกล่าวปาฐกถาให้นักธุรกิจลาวที่โรงแรมดอนจันทร์ พาเลส
  
          วันที่ 12 เม.ย. เวลา 07.00 น.จะร่วมงานทำบุญตักบาตรที่วัดพระธาตุหลวง เวลา 10.00 น.ร่วมพิธีบายศรีสู่ขวัญ เนื่องในเทศกาลสงกรานต์ โดยเปิดให้ประชาชนเข้าร่วมที่หอธรรมสภา วัดพระธาตุหลวง เวลา 14.00 น.พ.ต.ท.ทักษิณจะเดินทางโดยเครื่องบินส่วนตัวไปเมืองปากเซ แขวงนครจำปาศักดิ์


          ส่วนในวันที่ 13 เม.ย. เวลา 07.00 น. ร่วมทำบุญตักบาตร 10.00 น. ร่วมพิธีรดน้ำดำหัว

         วันที่ 14 เม.ย. 09.30 น. พ.ต.ท.ทักษิณจะเดินทางออกจากเมืองปากเซ ไปเสียมเรียบ ประเทศกัมพูชา 17.00 น.ร่วมคอนเสิร์ตโดยมีแกนนำนปช.เข้าร่วมที่ศูนย์วัฒนธรรมเสียมเรียบ และวันที่ 15 เม.ย. เวลา 07.00 น.ทำบุญตักบาตร ที่นครวัด-นครธม และร่วมพิธีรดน้ำดำหัว โดยสมเด็จฯฮุนเซนอาจจะเดินทางมาร่วมงานด้วย เพราะวันที่ 15 เม.ย.เป็นวันครบรอบวันเกิด 60 ปีของนายฮุนเซนด้วย อย่างไรก็ตามประชาชนสามารถเดินทางผ่านด่านต่างๆ เพื่อไปร่วมงานได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย
http://redusala.blogspot.com

"ผู้ตรวจการแผ่นดินฯ เกรียน" อ้างแก้ รธน.เป็นการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการปกครอง

         วันนี้ (5 เม.ย.) นายสามารถ แก้วมีชัย ประธานกมธ.แก้ไขร่างรัฐธรรมนูญ ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวอีกครั้งถึงกรณีที่ปรึกษาด้านกฎหมายรัฐธรรมนูญ ของผู้ตรวจการแผ่นดิน ระบุการดำเนินการของกมธ.อาจขัดรัฐธรรมนูญใน3ประเด็น ว่า การตั้งข้อสังเกตของที่ปรึกษาผู้ตรวจฯเป็นเพียงการให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อเท่านั้น ขณะนี้ยังไม่มีการส่งหนังสือชี้แจงอย่างเป็นทางการแต่อย่างใด ซึ่งในประเด็นการระบุว่าร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ มีการกำหนดให้ประธานรัฐสภาเป็นผู้ลงนามสนองพระบรมราชโองการนั้น ยืนยันว่าไม่เป็นความจริง ทั้งนี้เพราะร่างที่กมธ.เสียงข้างมากลงมตินั้นกำหนดให้นายกรัฐมนตรี เป็นผู้ลงนามสนองพระบรมราชโองการตามรัฐธรรมนูญ ทั้งนี้เข้าใจว่าที่ผู้ตรวจฯแสดงความเป็นห่วงคือร่างเก่าของครม.ที่รับมติจากที่ประชุม

             นายสามารถ กล่าวว่า 2.ประเด็นการบัญญัติให้ประธานสภาเป็นผู้มีอำนาจวินิจฉัยว่าร่างรัฐธรรมนูญที่มีขึ้นใหม่ เป็นการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการปกครองหรือไม่ ตนคิดว่าไม่ใช่หน้าที่ของศาลรัฐธรรมนูญ เพราะการจัดทำรัฐธรรมนูญในช่วงดังกล่าวนั้นเป็นเพียงระหว่างกระบวนการจัดทำร่างรัฐธรรมนูญซึ่งยังถือว่ายังไม่ถึงที่สุดในการตรากฎหมาย อีกทั้งอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญระบุให้วินิจฉัยการออกกฎหมายว่าขัดกับรัฐธรรมนูญหรือไม่ อาทิ วินิจฉัยว่า พ.ร.บ.ที่ตราขึ้นใหม่ขัดกับรัฐธรรมนูญหรือไม่ ไม่ได้ให้อำนาจถึงการวินิจฉัยว่ารัฐธรรมนูญขัดกับรัฐธรรมนูญหรือไม่ และผู้ที่จะพิจารณาประเด็นควรจะเป็นรัฐสภา ในฐานะฝ่ายนิติบัญญัติ และหากเห็นว่าประเด็นนี้มีปัญหาจริง ๆ ก็สามารถไปว่ากันในที่ประชุมรัฐสภาในวาระ2 ได้ 3.ส่วนการที่ให้รัฐสภาลงมติยืนยันหลังจากที่นำขึ้นทูลเกล้าฯ หากพระมหากษัตริย์ทรงยับยั้งไม่ส่งกลับมา ตรงนี้เป็นหลักการ ที่ระบุในรัฐธรรมนูญปี50 อยู่แล้ว

          นายสามารถ กล่าวถึงกรณีการปรับใช้กฎหมายการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นมาใช้เลือกตั้ง ส.ส.ร. ว่า เป็นไปในลักษณะสอดคล้องกับการเลือกตั้ง ส.ส.ร.ในแต่ละพื้นที่ และใกล้เคียงกับการจัดเลือกตั้ง ส.ส. ส.ว.แบบที่เคยปฏิบัติ เพียงแต่ไม่มีการใช้สิทธิ์ล่วงหน้า หรืออำนวยความสะดวกให้แก่ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งในต่างประเทศเท่านั้น
http://redusala.blogspot.com

แม่ค้ารุมกรี๊ด! นายกฯยิ่งลักษณ์ ทานก๋วยเตี๋ยว-เดินตลาดนางเลิ้ง



           วันที่ 7 เม.ย. น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและคณะ ประกอบด้วยนายนิวัฒน์ธำรงค์ บุญทรงไพศาล รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี พล.ต.ต.ธวัช บุญเฟื่อง รักษาการเลขาธิการนายกรัฐมนตรี นายสุรนันท์ เวชชาชีวะ โฆษกประจำตัวนายกรัฐมนตรี ได้เดินทางไปรับประทานอาหารกลางวันที่ตลาดนางเลิ้ง โดยเริ่มด้วยการรับประทานบะหมี่เจ้าเก่าแก่ “รุ่งเรือง” ของตลาดนางเลิ้ง ก่อนที่จะเดินเยี่ยมชม ชิมอาหาร พร้อมช็อปปิ้งขนมและอาหารต่างๆ อย่างเพลิดเพลิน

            โดยเฉพาะไส้กรอกปลาแนม ซึ่งเป็นอาหารว่างโบราณ ขนมเบื้องโบราณลุงน้อย ข้าวโพด ขนมเบื้องญวน โรตีมะตะบะ รวมทั้งได้นั่งดื่มกาแฟโบราณ-บ๊ะจ่าง นางเลิ้ง หรือกาแฟเฮียทุ้ย ทั้งนี้การเดินเที่ยวชมตลาดนางเลิ้งของนายกรัฐมนตรีได้รับความสนใจจากชาวบ้านและบรรดาพ่อค้าแม่ค้าเป็นอย่างมาก ต่างเข้ามาขอถ่ายรูป ขอรายเซ็น พร้อมมอบขนมต่างๆให้นายกรัฐมนตรีไปรับประทานที่บ้าน ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีมีแนวคิดที่จะลงพื้นที่เพื่อพบปะประชาชนและตรวจสอบราคาสินค้าในตลาดต่างๆ อย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 ตลาด
http://redusala.blogspot.com

การปรองดองต้องให้ได้ความจริงและยุติธรรม
พิชิต ลิขิตกิจสมบูรณ์: 
รศ.ดร.พิชิต ลิขิตกิจสมบูรณ์
30 มีนาคม 2555

ภาพโดย pittaya (CC BY 2.0)

            คำถามของ พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ถึง พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญชุด “ปรองดอง” เมื่อกลางสัปดาห์ที่แล้วว่า กระทำรัฐประหาร 19 กันยายนไปด้วยตนเองหรือมีผู้อยู
่เบื้องหลังสั่งให้ทำนั้น แม้ความสนใจของสื่อมวลชนและประชาชนจะพุ่งไปที่คำตอบของพล.อ.สนธิ และคำตอบโต้กันหลังจากนั้น แต่เหตุผลที่พล.ต.สนั่นอ้างในการถามคำถามดังกล่าวกลับสำคัญยิ่งกว่า
        เหตุผลของพล.ต.สนั่นก็คือ ประชาชนต้องการรู้ความจริง กระบวนการปรองดองใดๆ จะไม่เป็นผลทั้งสิ้นหากความจริงทั้งหมดยังไม่ได้ถูกเปิดเผยออกมาว่า ใครเป็นผู้สั่งให้กระทำรัฐประหาร และที่สำคัญคือ ตราบใดที่ยังไม่มีการยอมรับความจริง ความเคียดแค้นในหมู่ประชาชนก็จะยังคงอยู่


         นี่คือมาตรฐานที่แท้จริงที่เป็นเครื่องวัดว่า การปรองดองใดๆ จะกระทำได้จริงหรือไม่? จะเป็นการปรองดองแห่งชาติที่แท้จริงหรือเป็นเพียง “การประนีประนอมกันชั่วคราว” ระหว่างพลังจารีตนิยมกับพรรคเพือไทย

          การปรองดองแห่งชาติที่แท้จริ
งประกอบด้วยสองส่วนคือ การเปิดเผยความจริงทั้งหมด และการให้ความยุติธรรมแก่ทุกฝ่าย (ซึ่งประกอบด้วยการเยียวยา การลงโทษ และการอภัยโทษ)


          เพียงประการแรกคือ การเปิดเผยความจริงทั้งหมด ในปัจจุบันก็มิอาจกระทำได้ วิกฤตการเมืองทั้งหมดตั้งแต่ต้นปี 2549 ถึงปัจจุบันเป็นเวลากว่าห้าปี มิได้มีเพียง พล.อ.สนธิ กองทัพกับรัฐประหาร 19 กันยายนเท่านั้น แต่ยังมี “เครื่องมือของจารีตนิยมอื่นๆ” ที่เคลื่อนไหวสอดประสานกันคือ พวกอันธพาลบนถนนที่เรียกตัวเองว่า พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย องค์กรตุลาการ พรรคประชาธิปัตย์ สื่อกระแสหลักบางค่าย นักวิชาการและนักกฎหมายบางจำพวก เป็นต้น


          นัยหนึ่ง รัฐประหาร 19 กันยายน เป็นเพียงตัวแทนหนึ่งของเผด็จการและเป็นแนวรบชี้ขาดในเวลานั้น แต่ต้องพึ่งพาอาศัยแขนขาของจารีตนิยมอื่นๆ ในการตระเตรียมเงื่อนไขก่อนรัฐประหาร และช่วยซ้ำเติมให้ภารกิจเบ็ดเสร็จหลังรัฐประหาร


          คำถามจึงไม่ใช่อยู่เพียงว่า ใครหรืออะไรที่บงการให้ พล.อ.สนธิกระทำรัฐประหาร 19 กันยายนเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงคำถามว่า ใครหรืออะไรที่บงการบุคคลและกลุ่มองค์กรเหล่านี้ได้ทั้งหมดให้เคลื่อนไหวสอดประสานกันเป็นแนวรบใหญ่ที่เป็นเอกภาพ ทำลายล้างรัฐบาลไทยรักไทยและรัฐบาลพลังประชาชนที่มาจากการเลือกตั้งได้สำเร็จ ต่อเนื่องมาเป็นกรณีเมษาเลือด 2552 และการสังหารหมู่ประชาชนเมื่อเมษายน-พฤษภาคม 2553?


           คำถามนี้จะมีคำตอบที่เปิดเผยได้ก็ต่อเมื่อมีการเปลี่ยนดุลกำลังทางการเมืองในอำนาจรัฐอย่างถึงรากเท่านั้น มิใช่ในวลานี้ที่แก่นแกนอำนาจรัฐทั้งหมดยังคงอยู่ในมือของกลุ่มจารีตนิยมอย่างเหนียวแน่น ในขณะที่พรรคฝ่ายประชาธิปไตยยึดกุมได้แต่เพียงรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งและเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎรเท่านั้น!


          และนี่คืออุปสรรคสำคัญที่สุดของการปรองดอง แม้แต่คณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อความปรองดองแห่งชาติ (คอป.) ก็ยังไม่สามารถบรรลุความจริงของเหตุการณ์ทั้งหมดได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการศึกษาของสถาบันพระปกเกล้าที่เสนอต่อคณะกรรมาธิการวิสามัญชุด “ปรองดอง” ข้างต้น ซึ่งจนกระทั่งบัดนี้ เมื่อพูดถึงสาเหตุความขัดแย้งทั้งหมด ก็ยังคงวนไปเวียนมาที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรอยู่นั่นแหละ! ที่ยังไม่อาจเปิดเผยความจริงได้ทั้งหมดก็เพราะ “อำนาจรัฐยังไม่เปลี่ยนมือ” ก็เท่านั้นเอง


           ในเมื่อไม่สามารถเปิดเผยความจริงได้ทั้งหมด การให้ความยุติธรรม ซึ่งเป็นขั้นตอนต่อไปของการปรองดองที่แท้จริง จึงไม่อาจกระทำได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การลงโทษผู้บงการที่แท้จริงและผู้รับคำสั่งระดับบนสุดที่กระทำอาชญากรรมการเมืองต่างๆ ตลอดหลายปีมานี้ ก่อนที่จะไปอภัยโทษให้กับผู้รับคำสั่งระดับล่างและมวลชนที่เข้าร่วม ตลอดจนเยียวยาชดเชยให้กับผู้ที่ได้รับผลกระทบทุกฝ่าย


           พรรคเพื่อไทยรู้ดีว่า การปรองดองแห่งชาติที่แท้จริงและรอบด้านนั้นยังไม่อาจกระทำได้ในขั้นปัจจุบัน ทางออกของพรรคเพื่อไทยจึงเป็นการปรองดองที่มุ่งประนีประนอมเป็นสำคัญ แต่ “ปราศจากความจริง” คือไม่มีความพยายามที่จะสืบสวนหาความจริงทั้งหมดตั้งแต่เริ่มต้นวิกฤตปี 2549 ให้ได้ข้อสรุปที่ชัดเจนเพื่อนำไปสู่กระบวนการยุติธรรม


           ด้วยเหตุนี้ การให้ความยุติธรรมของพรรคเพื่อไทยจึงหดแคบลงมาเหลือแค่การเยียวยาด้วยการชดเชยให้กับมวลชนทุกฝ่าย และที่น่าขบขันคือ เป็นการเยียวยาครอบคลุมถึงการชุมนุมทางการเมืองทั้งหมดตั้งแต่ปี 2549 ทั้งๆ ที่ยังไม่รู้ความจริงทั้งหมดด้วยซ้ำว่า ใครทำอะไรบ้าง ใครผิด ใครถูก


            แม้แต่แผนการของรัฐบาลที่จะออกกฎหมายสองฉบับคือ พระราชบัญญัติการปรองดองแห่งชาติ และพระราชบัญญัตินิรโทษกรรม ก็มีแนวโน้มลูบหน้าปะจมูกเหมือนกรณีความขัดแย้งอื่นๆ ในอดีต คือ “ยกเลิกคดีของ คตส. ทั้งหมด หลับหูหลับตานิรโทษกรรมให้กับทุกฝ่ายแล้วจบกัน”


           การเคลื่อนไหวเรื่อง “ปรองดอง” โดยแกนนำพรรคเพื่อไทยในวันนี้ จึงไม่ใช่การปรองดองแห่งชาติที่แท้จริง แต่เป็นความเพ้อฝันลมๆ แล้งๆ ที่จะประนีประนอม “หย่าศึก” กับเผด็จการจารีตนิยม อีกรอบก็เท่านั้นเอง


           สิ่งที่พวกเขาจะเผชิญก็เหมือนความพยายามประนีประนอมครั้งก่อนๆ คือ “การสะดุ้งตื่นจากฝันหวาน” มาพบโลกความจริงอันขมขื่นเมื่อฝ่ายจารีตนิยมตอบโต้กลับด้วยอำนาจรัฐในมือเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา เพราะสิ่งที่ฝ่ายนั้นไม่ยินยอมอย่างเด็ดขาดคือ การยกเลิกคดี คตส.ทั้งหมด ซึ่งเท่ากับเป็นการเปิดทางให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กลับสู่ประเทศไทย และกลับสู่อำนาจการเมืองไทยอย่างถูกต้องตามกฎหมายนั่นเอง


           ถ้าปล่อยให้เป็นเช่นนั้น ก็เท่ากับว่า การลงทุนลงแรงของฝ่ายจารีตนิยมตลอดหกปีมานี้ “สูญเปล่า” และประสบความพ่ายแพ้อย่างสิ้นเชิง มิหนำซ้ำ พวกเขายังได้สูญเสียการครอบงำทางความคิดอุดมการณ์ต่อสังคมไทยไปจนเกือบหมดอีกด้วย


           ฉะนั้น ทั้งพรรคเพื่อไทยและประชาชนที่รักประชาธิปไตยจะต้องไม่อยู่ในความประมาท ต้องไม่เพ้อฝันไปกับการประนีประนอมในขั้นตอนปัจจุบัน มองให้เห็นถึงธาตุแท้ของพวกเผด็จการ เก็บรับบทเรียนจากคณะราษฎร เตรียมพร้อมอย่างเต็มที่เพื่อรับการตอบโต้ของฝ่ายจารีตนิยมที่อาจจะเกิดขึ้นไม่ช้าก็เร็ว


ข้อมูลที่มา : ประชาไท
http://redusala.blogspot.com