วันพุธที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

ประยุทธ์สั่งปฏิรูปสื่อ ถามได้แค่ 4 คำถาม แจ้งชื่อ-นามสกุล สำนักข่าวก่อนทุกครั้ง


16 ก.พ. 2559 จากการที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. เปิดเผยเมื่อวันที่ 9 ก.พ. ที่ผ่านมา ว่า หลังจากนี้จะมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบ การให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน ซึ่งจะเพิ่มบทบาทให้รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีเจ้ากระทรวงเป็นผู้ชี้แจงข้อมูลกับสื่อมวลชนโดยตรง เพื่อให้ได้รับข้อมูลที่ชัดเจนและครบถ้วนมากขึ้น 
ล่าสุด ไทยรัฐออนไลน์ และ MGR Online รายงานว่า หลังการประชุม ครม. วันนี้(16 ก.พ.59) พ.อ.หญิงทักษดา สังขจันทร์ ผู้ช่วยโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แจ้งสื่อมวลชนว่า เมื่อวันที่ 12 ก.พ. 59 พล.อ.ประยุทธ์ ได้ลงนามคำสั่งปรับรูปแบบการถามคำถามนายกฯ และรองนายกรัฐมนตรี ในวันประชุม ครม. มายังสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
โดยกำหนดให้ถามผ่านไมโครโฟนได้แค่ 4 คำถาม พร้อมต้องแจ้ง ชื่อ-นามสกุล และสำนักข่าวก่อนทุกครั้ง ส่วนประเด็นย่อยอื่นๆ ต่อจากนี้ จะให้โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ผู้ช่วยโฆษกประจำกระทรวง และผู้ที่เกี่ยวข้องเป็นผู้ชี้แจง โดยเริ่มหลังการประชุมวันที่ 16 ก.พ. เป็นต้นไป และจะพยายามใช้รูปแบบนี้ในทุกครั้งที่มีการให้สัมภาษณ์
พ.อ.หญิงทักษดา ชี้แจงว่า เรื่องของการปรับปรุงรูปแบบการให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนนั้น มีคำสั่งมาจากสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี โดยไม่ได้มีเจตนาที่ปิดกั้นการทำหน้าที่ของสื่อมวลชน แต่เพื่อต้องการให้เกิดความหลากหลายในเรื่องการถามคำถามให้ทุกสำนักข่าวได้มีสิทธิในการถามอย่างเท่าเทียม ไม่อยู่ที่กลุ่มเดียว ทั้งนี้ ต้องการให้ประเด็นคำถามนั้น ขอให้เป็นเรื่องที่สำคัญและเป็นประเด็นใหญ่ของเรื่องนั้น ส่วนประเด็นอื่นๆ อยากให้สื่อมวลชนไปสอบถามกับโฆษกประจำกระทรวงต่างๆ ที่ได้ตั้งขึ้นมาเพื่อให้มีการสร้างความรับรู้ได้ชัดเจนมากขึ้น ขณะเดียวกัน รัฐบาลต้องการสร้างบรรยากาศในการสร้างการรับรู้ และตอบคำถามสื่อ เป็นไปด้วยดี เนื่องจากสถานการณ์บ้านเมืองขณะนี้อยู่ในช่วงสำคัญ

‘พุทธะอิสระ’ แจ้งความเอาผิด 'พระเมธีฯ' 4 ข้อหา ขัดกม.ชุมนุม ตร.จ่อออกหมายเรียกมาพบ


17 ก.พ. 2559 มติชนออนไลน์และสำนักข่าว ไอ.เอ็น.เอ็น. รายงานตรงกันว่า ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ ผู้กำกับการกองการต่างประเทศ ในฐานะรองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวถึงการชุมนุมของกลุ่มคณะสงฆ์ ที่นำโดย พระเมธีธรรมาจารย์ หรือเจ้าคุณประสาร ผู้ช่วยเจ้าอาวาสพระอารามหลวง วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ราชวรมหาวิหาร ในฐานะเลขาธิการศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย ที่มีการรวมตัวขององค์กรภาคีพุทธบริษัท 4 แห่งทั่วประเทศ ชุมนุมที่พุทธมณฑล จ.นครปฐม เพื่อจัดสัมมนา สกัดแผนล้มการปกครองคณะสงฆ์ไทย จนเกิดเหตุชุลมุนระหว่างคณะสงฆ์กับทหารที่มาดูแลความสงบ เมื่อวันที่ 15 ก.พ. ที่ผ่านว่า ว่า วันนี้ พล.ต.ท.ชาญเทพ เสสะเวส ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 7 ได้ประชุมคณะพนักงานสอบสวนและชุดสืบสวน มีความเห็นเบื้องต้นว่าจะออกหมายเรียก นิมนต์พระเมธีธรรมาจารย์ มาพบพนักงานสอบสวนสภ.พุทธมณฑล ในข้อหาละเมิดพ.ร.บ.ชุมนุมสาธารณะ พ.ศ.2558 ในเร็วๆ นี้ ส่วนประเด็นอื่นๆ ต้องพิจารณาต่อไป ดูความใครทำผิดกฎหมายอย่างไรอีกบ้าง

พ.ต.อ.กฤษณะ กล่าวว่า ปัญหาความขัดแย้งที่เกิดจากความเห็นต่างนั้น เป็นเรื่องที่ทุกฝ่ายต้องเจรจากันหาทางออกที่สงบ ทั้งนี้ตำรวจติดตามข่าวสารความเคลื่อนไหวเรื่องนี้และมีจุดยืนคือการบังคับใช้กฎหมาย หากผู้ใดละเมิดกฎหมายตำรวจก็ต้องดำเนินการ
‘พุทธะอิสระ’ แจ้งความเอาผิด 'พระเมธีฯ' 4 ข้อหา
ขณะที่วานนี้ (16 ก.พ.59) มติชนออนไลน์ รายงานด้วยว่า เวลา 13.00 น.  พระพุทธะอิสระ เจ้าอาวาสวัดอ้อน้อยธรรมะอิสระ อ.กำแพงแสน จ.นครปฐม พร้อมที่ปรึกษากฎหมาย เดินทางมาที่ สภ.พุทธมณฑล จ.นครปฐม เข้าพบพนักงานสอบสวน สภ.พุทธมณฑล  มี พ.ต.อ.วรพล ยิ่งเจริญ ผกก.สภ.พุทธมณฑล รับหนังสือและรับแจ้งความ ให้ดำเนินคดีพระเมธีธรรมมาจารย์ รองเลขาธิการศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) และสมาคมนักวิชาการเพื่อพระพุทธศาสนา (สนพ) ใน 4 ข้อหา โดยมี 1.ละเมิด พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะ พ.ศ.2558  2.พ.ร.บ.ควบคุมการใช้เครื่องขยายเสียง พ.ศ.2493, ประมวลกฎหมายอาญา ม.157,ม.326, ม.328 และ 3.ฐานเป็นเจ้าพนักงานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่หมิ่นประมาท  และ 4.หมิ่นประมาทโดยการโฆษณา
จากนั้นมอบหมายให้ ร.ต.ท.จุฑารัตน์ นพพานิชย์ ร้อยเวรดำเนินการสอบสวนตามกฎหมาย  ตามกระบวนการจะต้องนิมนต์พระเมธีธรรมมาจารย์ มาสอบว่าเข้าข่ายผิดกฎหมายตามมาตราใดบ้าง ตามที่ถูกร้องทุกข์กล่าวโทษ
"หากคิดว่าตนมีพวกมาก จะทำผิดทำชั่วอะไรก็สามารถลอดพ้นน้ำมือกฎหมายได้ เมื่อใดที่เห็นจวนตัวจะต้องลงอาญาแผ่นดิน ก็จะใช้พฤติกรรมยกพวกมาข่มขู่คุกคาม กดดันรัฐบาลและเจ้าหน้าที่รัฐ ให้หยุดดำเนินคดีกับตนและพวก เพราะคนพวกนี้ได ้ เคยทำสำเร็จมาแล้วในยุคนายทักษิณ แต่รัฐบาล คสช. เขาไม่ได้ปัญญาอ่อน ทั้งไม่ยอมให้ใครมาข่มขู่ง่ายๆ เรียกว่า ยิ่งขู่ยิ่งจับ ยิ่งเป็นการเร่งกระบวนการยุติธรรมให้ดำเนินไปอย่างคล่องแคล้ว แน่วแน่ พุทธะอิสระ ก็เช่นกัน ยิ่งขู่ ยิ่งด่า ยิ่งต้องพิสูจน์ ไหนๆ ก็จะรบกันแล้วคงไม่ต้องลังเลใจ ขอใช้ยุทธศาสตร์ ยุทธวิธี มาสอนบทเรียนให้ลัทธิชั่วนี้ได้รู้เสียบ้างว่า เหนือฟ้ายังมีพุทธะอิสระ เหนือธรรมกายยังมีพญาราชสีห์แห่งเวทีแจ้งวัฒนะ เหนือกฎหมู่ ยังมีกฎหมาย เหนือความโง่ยังมีสติปัญญา มาลองของกันดูว่าใครจะมีปัญญามากกว่ากัน ต่อให้มารุมกันทั้งฝูง คนอย่างพุทธะอิสระพญาราชสีห์แห่งเวทีแจ้งวัฒนะ ไม่เคยหวั่นอยู่แล้ว ทีนี้ลองมาดูว่าพวกมือตีนธรรมกายจะต้องโดนอะไรบ้าง เตรียมไปแก้ตัวที่ศาลก็แล้วกัน" พระพุทธะอิสระ โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กแฟนเพจ 'หลวงปู่พุทธะอิสระ (Buddha Isara)'

รมว.ยุติธรรม เผยเบนซ์ 'สมเด็จช่วง' นำเข้าผิดกฎหมาย ส่วนผู้ครอบครองผิดหรือไม่รอดีเอสไอชี้แจง
ขณะที่ ประชาชาติธุรกิจ รายงานด้วยว่า 16 ก.พ. 59 พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รมว.ยุติธรรม กล่าวถึงกรณีความคืบหน้าการตรวจสอบรถยนต์โบราณ ยี่ห้อ เมอร์เซเดสเบนท์ ขม 99 กทม. ของสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ หรือสมเด็จช่วง เจ้าอาวาสวัดปากน้ำภาษีเจริญ ว่า เบื้องต้นรับรายงานจาก พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) แล้วว่า จากการตรวจสอบพยานหลักฐานเอกสารพบว่ารถคันดังกล่าวมีการนำเข้าผิดกฎหมาย แต่เมื่อพบว่ารถมีความผิดก็ต้องไปดูว่าผิดอย่างไร ซึ่งอธิบดีดีเอสไอจะเป็นคนแถลงชี้แจงในรายละเอียดทั้งหมด
ผู้สื่อข่าวถามว่า หากรถมีความผิดแล้ว และผู้ครอบครองจะมีความผิดด้วยหรือไม่ พล.อ.ไพบูลย์ กล่าวว่า มันจะมีขั้นตอนแต่ละขั้นตอน คือ พนักงานสอบสวนก็จะดูว่าผู้ครอบครองรถรู้หรือไม่ จงใจหรือไม่ ซึ่งตรงนี้อธิบดีดีเอสไอจะเป็นผู้ชี้แจงให้ทราบ 

ประยุทธ์ให้ถ้อยแถลงวงสุดยอดอาเซียน-สหรัฐฯ แจ้งไทยสนใจ TPP


เมื่อวันที่ 16 ก.พ. ที่ผ่านมา เวลา 09.30 น. ตามเวลาท้องถิ่น ณ ซันนีแลนด์ (Sunnylands) เมืองรานโช มิราจ (Rancho Mirage) มลรัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เข้าร่วมการประชุมช่วงที่ 2  (Retreat II) ของการประชุมสุดยอดอาเซียน-สหรัฐฯ สมัยพิเศษ และได้กล่าวถ้อยแถลง ในหัวข้อ การปกป้องสันติภาพ ความเจริญรุ่งเรืองและความั่นคงในเอเชีย-แปซิฟิก (Protecting Peace, Prosperity, and Security in the Asia-Pacific)
ภาพ พล.อ.ประยุทธ์ เข้าร่วมการประชุม Retreat lในหัวข้อ”Prosperity Through Innovation and Entrepreneurship” ณ ห้อง Great Room Sunnylands Center สหรัฐอเมริกา 
โดย พล.ต.วีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี สรุปสาระสำคัญเผยแพร่ผ่านทางเว็บไซต์ทำเนียบรัฐบาลดังนี้
การประชุมช่วงที่ 2  (Retreat II) การประชุมสุดยอดอาเซียน-สหรัฐฯ ในหัวข้อการปกป้องสันติภาพ ความเจริญรุ่งเรืองและความั่นคงในเอเชีย-แปซิฟิก (Protecting Peace, Prosperity, and Security in the Asia-Pacific)  ที่ประชุมได้หารือในประเด็นต่างๆ ครอบคลุม  การก่อการร้าย การเปลี่ยนสภาพภูมิอากาศของโลก การสาธารณสุข และปัญหาการค้ามนุษย์
นายกรัฐมนตรี ยืนยันความพร้อมของไทยที่จะร่วมมือกับอาเซียนและสหรัฐฯ เพื่อรับมือกับประเด็นท้าทายข้ามชาติ  ซึ่งเป็นทั้งภัยเร่งด่วนและไม่สามารถแก้ไขโดยประเทศใดประเทศหนึ่งได้ จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างประเทศ
นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวถึงงานสาธารณสุข โดยชื่นชมความเป็นผู้นำของประธานาธิบดีโอบามาและสหรัฐที่มีส่วนสำคัญ ในการช่วยยุติการระบาดของไวรัสอีโบลาไม่ให้แพร่กระจายไปทั่วโลก และยังได้ริเริ่มวาระความมั่นคงทางสุขภาพระดับโลก (GHSA) ช่วยคุ้มครองโลกจากภัยคุกคามของโรคระบาด อื่นๆ เช่นไวรัสซิกา ในอนาคตได้  ในฐานะประเทศที่มีบทบาทนำ (lead country) ไทยพร้อมสนับสนุนและร่วมมือในกรอบด้านสาธารณสุขอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะความร่วมมือทางวิชาการ การพัฒนากำลังคน และสนับสนุนการพัฒนาสมรรถนะของห้องแล็บทางการแพทย์ การฝึกอบรมบุคลากรจากประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งไทยได้มีความร่วมมือด้านสาธารณสุขภายใต้กรอบอาเซียนด้วยแล้ว
นอกจากนี้ ยังมีศูนย์ความร่วมมือไทย-สหรัฐด้านสาธารณสุข โดยศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของสหรัฐฯ หรือ CDC (ซีดีซี) ได้ให้ความช่วยเสริมในการส่งเสริมสมรรถภาพของหน่วยงานไทยในการป้องกันและควบคุมโรคและลดพฤติกรรมที่เสี่ยงต่อการติดโรค ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างยิ่งระดับภูมิภาค
ขณะเดียวกัน ในระดับทวิภาคี ไทยและสหรัฐ ฯ ก็มีความร่วมมืออย่างใกล้ชิดผ่านสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์การแพทย์ทหาร หรือ AFRIMS (แอ็ฟฟริมส์) ที่ตั้งอยู่ในประเทศไทย มีผลงานโดดเด่นในด้านการค้นคว้าและวิจัยเกี่ยวกับโรคติดต่อและล่าสุด ไทยได้รับความเห็นชอบให้เป็นที่ตั้งของศูนย์แพทย์ทหารอาเซียน ด้วย
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวถึงการแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ โดยถือเป็นวาระแห่งชาติ ซึ่งรัฐบาลได้จัดสรรทรัพยากรทั้งเวลา บุคคลากรและทุน เพื่อปฏิรูปการแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ทั้งระบบ โดยเฉพาะการปรับแก้กฎหมายให้เข้มงวดขึ้น การลงโทษเจ้าหน้าที่ที่กระทำผิด การนำผู้กระทำผิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งรายใหญ่มาดำเนินคดี การเพิ่มประสิทธิภาพของการพิจารณาคดีและเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติ และการคุ้มครองความปลอดภัยของเหยื่อ เพื่อสดงถึงความจริงใจในการแก้ไขปัญหานี้ทุกมิติ รวมทั้งเร่งดำเนินกระบวนการภายในเพื่อให้สัตยาบันต่ออนุสัญญาอาเซียนว่าด้วยการต่อต้านการค้ามนุษย์ โดยเฉพาะสตรีและเด็ก
อย่างไรก็ตาม ไทยต้องแสวงหาความร่วมมือกับทุกฝ่ายทั้งในระดับทวิภาคี ซึ่งไทยมีความร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของสหรัฐฯ อาทิ FBI กระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ โดยเฉพาะสถาบันฝึกอบรมว่าด้วยการดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย (ILEA) ที่ตั้งอยู่ในกรุงเทพฯ ช่วยฝึกอบรมหน่วยงานด้านการบังคับใช้กฎหมายจากทั่วภูมิภาค เพื่อรับมือกับปัญหาการค้ามนุษย์และอาชญากรรมอื่นๆ ขณะเดียวกัน ประเทศไทยยังให้ความสำคัญกับความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้าน องค์การระหว่างประเทศ และภาคประชาสังคม ในการแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ ซึ่งเป็นปัญหาร่วมของทุกฝ่าย
นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวสนับสนุน กฎหมายที่จะส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศเพื่อแก้ไขปัญหาการละเมิดทางเพศต่อเด็ก ที่ประธานาธิบดีโอบามาได้ลงนาม ซึ่งไทยเองก็ให้ความสำคัญและร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับประเทศต่างๆ ในการปกป้องเด็กและเยาวชนไม่ให้ต้องตกเป็นเหยื่อ
นอกจากนี้ ไทยยังให้มีการจริงจังในการแก้ไขปัญหาการประมง IUU ที่เกี่ยวเนื่องกับการค้ามนุษย์ เพื่อปกป้องศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และสร้างความมั่นใจว่าสินค้าของไทยถูกต้องตามจรรยาบรรณและได้มาตรฐานสากล และเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว รัฐสภาสหรัฐฯ ก็เพิ่งผ่านกฎหมายเรื่องการอำนวยความสะดวกและการบังคับเรื่องการค้า โดยมีประเด็นเกี่ยวกับแรงงานบังคับด้วย ซึ่งไทยเองก็ให้ความสำคัญอย่างมากกับการแก้ไขปัญหาเรื่องนี้
สำหรับการโยกย้ายถิ่นฐานแบบไม่ปกติในภูมิภาคต่างๆ ในปีที่ผ่านมายังส่งผลให้สถานการณ์การค้ามนุษย์มีความสลับซับซ้อนยิ่งขึ้น ดังนั้น การแก้ปัญหาจึงต้องเป็นอย่างครอบคลุมและภายใต้หลักการแบ่งเบาภาระระหว่างประเทศ  โดยอาเซียนได้แสดงความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในการพยายามแก้ไขปัญหาการโยกย้ายถิ่นฐานแบบไม่ปกติในมหาสมุทรอินเดียอย่างครอบคลุมและยั่งยืน สมาชิกอาเซียนมีส่วนร่วมที่แข็งขันในการประชุมว่าด้วยการโยกย้ายถิ่นฐานฯ ทั้งสองครั้งในปีที่ผ่านมา เห็นได้อย่างชัดเจนจำนวนผู้อพยพชาวโรฮีนจาลดลงอย่างมากจากปีที่แล้ว
นายกรัฐมนตรี ได้ขอบคุณสหรัฐฯ ที่แสดงความพร้อมสนับสนุนอาเซียนในการพัฒนาศักยภาพด้านการบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้อง รวมถึงการรับผู้โยกย้ายถิ่นฐานไปตั้งถิ่นฐานใหม่จำนวนหนึ่ง แม้จะมีภาระรับผู้พลัดถิ่นจากทั่วโลกจำนวนมากอยู่แล้วก็ตาม
ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรียังหวังว่า สหรัฐฯ จะยังคงร่วมมือกับอาเซียนในการตอบโต้ภัยพิบัติทางธรรมชาติ ซึ่งเป็นภัยคุกคามอาเซียนอย่างรุนแรงในทุกปี และขอให้สหรัฐฯ ช่วยสนับสนุนระบบโลจิสติกส์ของการปฏิบัติการด้านการบรรเทาทุกข์และการรับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉินจากภัยพิบัติของอาเซียน ซึ่งอาเซียนกำลังจัดตั้งคลังเก็บสิ่งของบรรเทาทุกข์และให้ความช่วยเหลือในภูมิภาค โดยเฉพาะในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง รวมทั้งการแลกเปลี่ยนข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพ และเสริมสร้างขีดความสามารถด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมในการเตือนภัยพิบัติและการแพทย์ฉุกเฉินด้วย
โดยภายหลังเสร็จสิ้น นายกรัฐมนตรีร่วมถ่ายภาพหมู่กับผู้นำอาเซียนและประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ด้วย จากนั้นในเวลาประมาณ 23.30 น. นายกรัฐมนตรีและคณะจะเดินทางออกจากท่าอากาศยานนานาชาติลอสแอนเจลิส รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา และจะเดินทางถึงประเทศไทยในวันพฤหัสบดีที่ 18 ก.พ. นี้ เวลา 13.30 น.
แจ้งสนใจ TPP
 
สำหรับการกล่าวถ้อยแถลงในที่ประชุมสุดยอดอาเซียน-สหรัฐ ช่วงที่ 1  ของพล.อ.ประยุทธ์ นั้น now26.tv และไทยโพสต์ รายงานว่า พล.อ.ประยุทธ์ เสนอที่ประชุมถึงแนวทางที่สหรัฐฯ จะขยายความร่วมมือกับอาเซียนในการเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจและการพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยยกประเด็นที่ทุกประเทศกำลังเผชิญกับความผันผวนทางเศรษฐกิจโลก จึงต้องหารือแนวทางในการเผชิญกับปัญหาร่วมกัน ซึ่งทุกฝ่ายควรสนับสนุนการค้าและการลงทุนที่เปิดกว้างมากขึ้น
 
แนวทางที่ พล.อ.ประยุทธ์ เสนอ คือ การสร้างบรรยากาศทางการค้า เพื่อให้ภูมิภาคเป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลก โดยสนับสนุนให้รวมตัวทางเศรษฐกิจในกรอบความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP : อาร์เสป) ที่อาเซียนกำลังเจรจาให้เสร็จภายในสิ้นปี 2559 และสนับสนุน TPP ที่จะช่วยส่งเสริมซึ่งกันและกัน
 
“ไทยสนับสนุนให้มีการจัดทำการรวมตัวทางเศรษฐกิจในกรอบอาร์เซป (RCEP) เสร็จสิ้นภายในปีนี้ ในขณะเดียวกัน ไทยก็สนใจและติดตามพัฒนาการของ TPP อย่างใกล้ชิด โดยจัดตั้งคณะอนุกรรมการศึกษาความพร้อมของไทยต่อการเข้าร่วม TPP ซึ่งจะรายงานผลการศึกษาภายในเดือนนี้ โดยจะหารือกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง” พล.ต.วีรชนกล่าวถึงถ้อยแถลงของ พล.อ.ประยุทธ์