วันศุกร์ที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2558

โจนาธาน เฮด ลงพื้นที่ศาลพระพรหม พบชิ้นส่วนระเบิดหลงเหลืออยู่

ภาพจาก : BBCไทย

โจนาธาน เฮด ผู้สื่อข่าว BBC ลงพื้นที่รายงานข่าวบริเวณศาลพระพรหมเอราวัณ พบหลักฐานชิ้นส่วนระเบิดหลงเหลืออยู่ เบื้องต้นพยายามนำหลักฐานไปส่งเจ้าหน้าที่ แต่ได้รับแจ้งว่าหมดเวลาราชการแล้ว
20 ส.ค. 2558 BBCไทย รายงานว่า โจนาธาน เฮด ผู้สื่อข่าวบีบีซีส่งรายงานมาจากกรุงเทพฯ ว่าขณะนี้ประชาชนกลับไปสักการะศาลพระพรหมเอราวัณตามปกติแล้วหลังจากทางการทำความสะอาดพื้นที่เกิดเหตุ ซึ่งอาจจะเรียกได้ว่า “เร็วเกินไป
ผู้สื่อข่าวบีบีซีบอกว่าสามวันหลังจากเกิดเหตุ มีผู้พบหลักฐานชิ้นที่เขาถืออยู่ในมือ คือชิ้นส่วนระเบิดและบอล แบริ่ง ในจุดที่ห่างไปจากที่เกิดเหตุประมาณ 50 ม. และนำมาส่งมอบให้ ซึ่งจริง ๆ แล้วตำรวจน่าจะเป็นฝ่ายรวบรวมหลักฐานชิ้นนี้ไว้ สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นการทำงานด้านสืบสวนของเจ้าหน้าที่ว่าเป็นอย่างไร
ผู้สื่อข่าวบีบีซีพยายามนำหลักฐานไปส่งให้ตำรวจที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ แต่ได้รับแจ้งว่าสำนักงานปิดทำการแล้วเพราะหมดเวลาราชการ

ส่งชาวไทยลื้อเข้า รพ.จิตเวช หลังฝากขังครบ 7 ผัด คดี 112

ภาพประกอบจากจากแฟ้มภาพประชาไท

20 ส.ค.2558 ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนรายงานพนักงานสอบสวน สน.ทุ่งสองห้อง ส่งตัว นายเสาร์ผู้ต้องหาคดีหมิ่นสถาบันเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลนิติจิตเวช หลังถูกขังยาวเฉียดสามเดือน เพื่อรอผลการรักษาก่อนมีความเห็นสั่งฟ้องหรือไม่
รายงานจากพื้นที่แจ้งว่า นายเสาร์ เป็นชายชาวไทยลื้อ พำนักอยู่จังหวัดเชียงราย วันที่ 13 มีนาคม 2558 นายเสาร์ได้เดินทางมายื่นคำร้องที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง โดยเขียนคำร้องยื่นฟ้องต่อศาลด้วยลายมือลงบนกระดาษ A4 ในเอกสารคำร้องมีเนื้อหากล่าวหาว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ได้นำพระราชทรัพย์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไปใช้โดยมิชอบ นายเสาร์ซึ่งระบุว่าตนมีบทบาทในการดูแลพระราชทรัพย์จำนวน 7,000 ล้านบาทนี้อยู่จึงต้องการขอรับคืน หลังจากยื่นคำร้องแล้ว เขาเดินทางกลับไปบ้านเพื่อรอฟังคำตอบ
ด้านรายงานจากศูนย์ทนายความระบุว่า นายเสาร์มีประวัติเคยต้องขังด้วยคดีเสพยาเสพติด เขาแจ้งว่าเขาสามารถติดต่ออดีตนายกรัฐมนตรีทัษิณได้โดยการเพ่งจิตสื่อสารผ่านจอโทรทัศน์
นายเสาร์ได้เดินทางมารายงานตัวกับเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ สน.ทุ่งสองห้อง เพื่อรับทราบข้อกล่าวหาว่ามีการกระทำความผิดตาม กม.อาญา ม.112 โดยศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง  หลังจากนั้นนายเสาร์ถูกพนักงานสอบสวนนำตัวฝากขังต่อศาลเป็นครั้งแรกในวันที่ 28 พฤษภาคม 2558 และครบกำหนดฝากขัง 7 ผัด วันที่ 19 สิงหาคม 2558

พนักงานสอบสวนได้แจ้งกับทนายความจากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนว่า ทางเจ้าหน้าที่ยังไม่ได้ส่งสำนวนให้กับอัยการ เนื่องจากเห็นว่าควรให้มีการงดการสอบสวนไว้และส่งตัวผู้ต้องหาเข้ารับการรักษาอาการป่วยทางจิตที่ รพ.นิติจิตเวช สถาบันกัลยาณ์ราชนครินทร์ จนกว่าจะหายเป็นปกติหรือมีความสามารถที่จะต่อสู้คดีได้ก่อน โดยผู้ต้องหาถูกปล่อยตัวจากเรือนจำหลังจากที่ถูกขังครบ 7 ผัด หรือ 84 วัน ในวันที่ 20 ส.ค. 2558 เวลาประมาณ 12.00 และตำรวจเจ้าของคดี ได้ทำเรื่องของอายัดตัวนายเสาร์ ไปยัง สน.ศาลาแดง ซึ่งเป็นท้องที่ของสถาบันกัลยาณ์ราชนครินทร์ เพื่อนำตัวส่งต่อไปสถาบันกัลยาฯ 
อนึ่ง ในคดีที่ถูกแจ้งข้อกล่าวหาตามกฎหมายอาญา มาตรา 112  มีผู้ต้องขังหลายรายที่มีอาการผิดปกติทางจิต กรณีของนายเสาร์เป็นกรณีแรกที่ได้รับการส่งตัวเข้ารับการบำบัดยังสถานพยาบาลเฉพาะทางก่อนเข้าสู่กระบวนการพิจารณาคดีในชั้นศาล

โฆษก ตร. เผยสอบปากคำ 'ชายเสื้อแดง' ในภาพวงจรปิดไม่เกี่ยว 'ชายเสื้อเหลือง'

พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เข้าตรวจสอบกล้องวงจรปิด เพื่อรวบรวมพยานหลักฐานในคดีระเบิดแยกราชประสงค์ และให้สัมภาษณ์ตอบข้อซักถามสื่อมวลชน เมื่อวันที่ 20 ส.ค. (ที่มา: แฟ้มภาพ/เพจทีมงานโฆษก ตร.)

'ชายเสื้อแดง' ภาพวงจรปิดเหตุระเบิดแยกราชประสงค์เข้าพบตำรวจ โฆษก ตร. เผยผลสอบ 'ชายเสื้อแดง' ไม่เกี่ยว 'ชายเสื้อเหลือง' วันเกิดเหตุ 'ชายเสื้อแดง' มาส่ง 'เพื่อนของเพื่อนที่เป็นชาวจีน' ไหว้พระพรหม-มีการไหว้ 4 ทิศ 8 ทิศ ด้านผลสอบพยานพบ 'ชายเสื้อเหลือง' ขามานั่งตุ๊กตุ๊ก-ขากลับนั่ง จยย.รับจ้าง ไปทางสวนลุมพินี เล็งเรียก 'หญิงชุดดำ' สอบเพิ่ม
ภาพจากกล้องวงจรปิด ในวันเกิดเหตุ 17 ส.ค. นอกจากชายเสื้อเหลือง ที่ถูกสเก็ตซ์ภาพและออกหมายจับ เจ้าหน้าที่ตำรวจยังสงสัยชายเสื้อสีแดง และชายเสื้อสีขาวว่าเกี่ยวข้องด้วย ล่าสุด ชายเสื้อสีแดงได้เข้าชี้แจงแล้ว โดยโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติระบุว่า ชายเสื้อสีแดงเป็นคนไทย ส่วนชายเสื้อสีขาวเป็นคนจีน โดยเพื่อนของเพื่อนชายเสื้อสีแดงได้ฝากให้ดูแลชายเสื้อสีขาวช่วงเที่ยวเมืองไทย (ดูคลิปจากบันทึกของ ThairathTV)

20 ส.ค. 2558 - หลังจากเมื่อวันที่ 19 ส.ค. ทวิตเตอร์ @Dr_Prawut ของ พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้เผยแพร่รูปสเก็ตซ์ผู้ต้องสงสัยคดีวางระเบิดศาลพระพรหมเอราวัณ แยกราชประสงค์ เมื่อวันที่ 17 ส.ค. ซึ่งเป็นชายสวมเสื้อสีเหลือง จากบันทึกภาพในกล้องวงจรปิด ทั้งนี้ พล.ต.ท.ประวุฒิ ให้สัมภาษณ์ภายหลังประชุมชุดสืบสวนคดีระเบิดระบุว่าเตรียมยื่นคำร้องต่อศาล เพื่อขออนุมัติหมายจับใน 2 ข้อหาหนัก คือ ทำให้เกิดการระเบิด และฆ่าคนตายโดยเจตนา (อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง)
และต่อมายังมีบุคคลอีก 2 คนจากภาพในกล้องวงจรปิด คือชายสวมเสื้อสีแดง และสวมเสื้อสีขาว และมีการตั้งข้อสังเกตว่าจงใจลุกให้ชายผู้ต้องสงสัยเสื้อเหลืองนั่งนั้น ล่าสุดมีข่าวว่าเมื่อวานนี้ (20 ส.ค.) ชายสวมเสื้อสีแดง ได้เข้าพบศูนย์สืบสวน บช.น. เพื่อชี้แจงแล้วนั้น
ต่อมาในการแถลงข่าวของ พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เมื่อวันที่ 20 ส.ค. เป็นการเปิดเผยความคืบหน้าของการสืบสวนเหตุระเบิดที่ศาลพระพรหม เอราวัณ สี่แยกราชประสงค์ เมื่อ 17 ส.ค. โดย พล.ต.ท.ประวุฒิ ใช้เวลาแถลงข่าวและตอบคำถามสื่อมวลชน 20 นาที (ชมคลิปแถลงข่าวจากทีนิวส์)

เบื้องต้นพบชายต้องสงสัย พูดไทยไม่รู้เรื่อง สื่อสารด้วยภาพจากจอมือถือ
โดย พล.ต.ท.ประวุฒิ ได้กล่าวว่า เบื้องต้นกรณีที่คนขับรถจักรยานยนต์รับจ้างไปส่งผู้ต้องสงสัยนั้น กำลังสอบอยู่ยังไม่เสร็จ โดยผู้ต้องสงสัยคนดังกล่าว พยานระบุว่า พูดกันไม่รู้เรื่อง สื่อสารด้วยการใช้รูปในจอโทรศัพท์มือถือ

ชายเสื้อแดงมาพบพนักงานสอบสวนแล้ว ชายเสื้อขาวเป็นคนจีนไม่เกี่ยวข้องเหตุการณ์
ส่วนเรื่องชายที่เห็นในคลิปจากกล้องวงจรปิด ของโรงแรมเอราวัณ ที่เห็นเป็นชายที่ใส่เสื้อคอกลมสีแดง และอีกคนใส่เสื้อเชิ้ตสีขาวนั้น พล.ต.ท.ประวุฒิ เผยว่า วันนี้ชายที่ใส่เสื้อสีแดงก็ได้มาพบพนักงานสอบสวนแล้วที่ลุมพินี ตอนนี้สอบอยู่ที่ศูนย์สืบพญาไท ขณะนี้สอบเสร็จแล้วปล่อยตัวกลับแล้ว ส่วนชายที่ใส่เสื้อสีขาวเป็นชาวจีนได้เดินทางกลับไปแล้ววานนี้
พล.ต.ท.ประวุฒิ กล่าวว่า จากการสอบสวนเบื้องต้น ชายเสื้อขาวไม่น่าจะเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ และจากการตรวจกล้อง วงจรปิดตัวอื่นหลังเกิดเหตุ ก็เห็นว่าไม่มีอะไรที่น่าจะเกี่ยวข้องกับผู้ต้องหาที่ออกหมายจับไป แสดงว่าไม่น่าใช่ แต่เราก็ไม่ถึงขนาดเชื่อนะครับ วันนี้ก็ได้มีการตรวจสอบทั้งเอกสารต่างๆ และที่อยู่ และรายละเอียดต่างๆ  
พล.ต.ท.ประวุฒิ กล่าวว่า ส่วนคนจีนที่เดินทางกลับไปแล้ว ดูหลักฐานทั่วๆ ไปแล้วไม่น่าจะเกี่ยวข้อง โดยยังอยู่ในวัยเรียนหนังสือ ส่วนผู้หญิงเสื้อดำกำลังติดตามอยู่

ชายเสื้อแดงพาชายเสื้อขาว ซึ่งเป็น 'เพื่อนของเพื่อน' มาไหว้พระพรหม โดยมีการไหว้ 4 ทิศ 8 ทิศ
สำหรับชายเสื้อแดงในภาพจากกล้องวงจรปิด นั้น พล.ต.ท.ประวุฒิกล่าวว่า จากการสอบถาม เป็นคนที่ทำงานอยู่ในกรุงเทพฯ โดยมีภูมิลำเนาอยู่ จ.เชียงใหม่ พ่อแม่มาทำงานเปิดร้านอาหารในกรุงเทพฯ โดยมีเพื่อนของเพื่อนฝากมาให้ดูแลชายคนจีนที่สวมเสื้อขาว ที่เที่ยวเมืองไทย สุดท้ายชายจีนบอกอยากจะไหว้พระพรหม จึงพามาที่นี่ และจากในกล้องวงจรปิดชายเสื้อแดงก็พาชาวจีนมาไหว้จริง ตามที่บอก มีการไหว้ 8 ทิศ 4 ทิศ

ส่วนชายต้องสงสัย ขามานั่งตุ๊กตุ๊ก ขากลับนั่ง จยย.รับจ้าง ไปทางสวนลุมพินี
ส่วนกรณีชายผู้ต้องสงสัยวางระเบิด ซึ่งมีภาพสเก็ตซ์และออกหมายจับแล้วนั้น พล.ต.ท.ประวุฒิ กล่าวถึงการเดินทางของชายคนดังกล่าวว่า หลังเกิดเหตุได้เรียกรถรับจ้าง แล้วมาลงที่หลังประตูสวนลุมพินี แถวที่จอดรถ อย่างไรก็ตามกล้อง CCTV หลังเวลา 10.00 น. มีความสามารถในการมองเห็นต่ำเหลือ 1 ใน 3 อย่างไรก็ตาม ในช่วงเวลา 18.40 น. ยังพอเห็นภาพตอนที่ชายผู้ต้องสงสัยคนดังกล่าวลงมาจากรถตุ๊กตุ๊ก
ทั้งนี้ พล.ต.ท.ประวุฒิ กล่าวด้วยว่า ขอเรียนผ่านสื่อมวลชน หากมีรถสาธารณะหรือรถรับจ้างอื่น ถ้ารับชายคนดังกล่าวจากบริเวณแยกศาลาแดง ต้นถนนสีลม ถนนราชดำริ ช่วยกรุณาติดต่อมาทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติด้วย ว่ารับไปส่งยังสถานที่ไหน นอกจากนี้สายสืบของสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ค้นหาทุกพื้นที่ โดยเรียกว่าเอ็กซเรย์พื้นที่ก็ว่าได้ เพื่อให้ทราบว่าก่อนหน้านี้ชายต้องสงสัยคนดังกล่าวเคยพักที่ไหน
ส่วนคำถามที่ว่าเป็นคนไทยหรือไม่นั้น พล.ต.ท.ประวุฒิ ตอบว่ายังไม่มีหลักฐานชัดเจน แต่จากการสอบพยาน พบว่าชายคนดังกล่าวสื่อสารได้ค่อนข้างจำกัด ชัดเจนว่าจะไม่ใช่คนไทย ทั้งนี้ที่ผ่านมาได้สอบพยานไปแล้ว 94 ปาก ส่วนเหตุระเบิดที่แยกราชประสงค์ เมื่อเทียบกับท่าน้ำสาทรนั้น พบว่ามีความเชื่อมโยงลักษณะภายนอกของระเบิด และสะเก็ดระเบิด แต่ยืนยันว่าแค่คล้ายเท่านั้น นอกจากนี้จะมีการเรียกพยานมาสอบเพิ่มเติมอีก

บุกจับ 2 หนุ่มข้อหาหมิ่นสถาบัน แอบอ้างทำงานสำนักพระราชวัง


เว็บไซต์ข่าวสดรายงานว่าเมื่อ เวลา 16.00 น. วันที่ 20 ส.ค. ที่กองปราบปราม พ.ต.อ.ไพโรจน์ โรจนขจร ผกก.2 บก.ป. พ.ต.ท.ต่อศักดิ์ ปานกลิ่นพุฒ สว.กก.2 บก.ป. แถลงจับกุมนายกิตติภพ สิทธิราช อายุ 23 ปี อยู่บ้านเลขที่ 11/342 ถ.ริมคลองบางค้อ แขวงบางค้อ เขตจอมทอง กทม. และนายวิเศษ พุทธษา อายุ 30 ปี อยู่บ้านเลขที่ 44/203 ซ.บางกระดี่ 35/1 แขวงแสมดำ เขตบางขุนเทียน กทม. ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลจังหวัดกำแพงเพชร ข้อหาหมิ่นสถาบันเบื้องสูง ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน ร่วมกันปลอมแปลงและใช้เอกสารราชการปลอม และไม่มีสิทธิที่จะสวมเครื่องแบบหรือเครื่องประดับเครื่องหมายของเจ้า พนักงาน
 
พ.ต.อ.ไพโรจน์เปิดเผยว่าผู้ต้องหาได้ร่วมกับนางอัษฏาภรณ์ สิทธิราช อายุ 45 ปี ซึ่งถูกจับกุมตัวดำเนินคดีไปแล้ว และผู้ต้องหาที่ยังหลบหนีอีก 1 ราย เข้าไปตีสนิทกับเจ้าอาวาสวัดป่าไทรงาม อ.ไทรงาม จ.กำแพงเพชร อ้างตัวว่ามีอิสริยศักดิ์เป็นหม่อมหลวง ทำงานอยู่ในสำนักพระราชวัง สามารถทูลเชิญพระบรมวงศานุวงศ์ มาร่วมหรือเป็นประธานพิธีต่างๆของวัดได้ แต่ต้องมีค่าใช้จ่ายประมาณ 1 แสนบาท โดยนางอัษฏาภรณ์ที่ถูกจับไปก่อน หน้านี้ ได้นำหนังสือของสำนักราชเลขาธิการ พระบรมมหาราชวัง มาชี้แจงรายละเอียด เกี่ยวกับค่าดำเนินการต่างๆ มาให้กับวัดดู เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ
 
พ.ต.อ.ไพโรจน์กล่าวต่อว่า นอกจากนี้กลุ่มผู้ต้องหายังได้แสดงตัวเป็นตัวแทนรับบริจาคเงินสมทบทุนสร้าง พระอุโบสถ ทำให้มีข้าราชการชั้นผู้ใหญ่และประชาชนในพื้นที่หลงเชื่อ ร่วมบริจาคเงินให้ด้วยเป็นจำนวนเงินกว่า 1 ล้านบาท จนมารู้ภายหลังว่าถูกหลอก จึงได้เข้าแจ้งความดำเนินคดี จนกระทั่งทราบว่ากลุ่มผู้ต้องหาหนีเข้ามาหลบซ่อนตัวอยู่ใน กทม. จึงเข้าจับกุมตัวได้ดังกล่าว
 
เบื้องต้นสอบสวนผู้ต้องหายังคง ให้การปฏิเสธ อ้างว่าไม่มีส่วนรู้เห็น จึงนำตัวส่งพนักงานสอบสวนของ สภ.ไทรงาม จ.กำแพงเพชร ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

ไอซีเจประณามการโจมตีกรุงเทพ จี้สอบสวนอย่างเป็นกลาง-มีประสิทธิภาพ


คณะกรรมการนักนิติศาสตร์สากล (ไอซีเจ) ประณามการโจมตีกรุงเทพมหานครและเรียกร้องให้มีการสอบสวนอย่าง เป็นกลางและมีประสิทธิภาพ
 
21 ส.ค. 2558 จากเหตุการณ์ระเบิดศาลพระพรหมณ์เอราวัณเมื่อคืนวันที่ 17 สิงหาคมที่ผ่านมาคณะกรรมการนักนิติศาสตร์สากล (ไอซีเจ) มีความห่วงกังวลถึงสถานการณ์ดังกล่าวอย่างยิ่งจึงออกหนังสือข่าวเพื่อประณามการกระทำดังกล่าวและเรียกร้องให้รัฐดำเนินการสอบสวนอย่างมีประสิทธิภาพ ไอซีเจจึงขอแสดงความห่วงใยและมีข้อเสนอแนะเพื่อให้เป็นที่รับทราบแก่ประชาชนโดยทั่วไป โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้
 
ประเทศไทย : ไอซีเจประณามการโจมตีกรุงเทพมหานครและเรียกร้องให้มีการสอบสวนอย่าง เป็นกลางและมีประสิทธิภาพ
 
การเกิดระเบิดขึ้นในกรุงเทพมหานครซึ่งคร่าชีวิตประชาชนอย่างน้อย 20 คน และบาดเจ็บมากกว่า 120 คน ถือเป็นการโจมตีสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง และเรียกร้องให้มีการสอบสวนคดีที่มีเป็นกลางและมีประสิทธิภาพเพื่อนำตัวผู้กระทำความผิดมาสู่กระบวนการยุติธรรม คณะกรรมการนักนิติศาสตร์สากล (ไอซีเจ) ระบุ
 
เมื่อวันที่ 17 สิงหาคม 2558 เวลาประมาณ 19.00 น. ระเบิดแสวงเครื่อง (ไออีดี) ถูกจุดระเบิดขึ้นในบริเวณใกล้เคียงกับศาลเจ้าเอราวัณที่มีชื่อเสียงที่แยกราชประสงค์ในใจกลางกรุงเทพมหานคร
 
“การมุ่งเป้าไปยังประชาชนธรรมดาโดยส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวซึ่งมาสักการะศาลเจ้าทางศาสนาเป็นการประทุษร้ายต่อมนุษยธรรมและสิทธิมนุษยชนที่เรามีร่วมกัน” นายแซม ซารีฟี ผู้อำนวยการประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกของไอซีเจกล่าว
 
“ประเทศไทยต้องตอบโต้ต่อการโจมตีอันชั่วร้ายดังกล่าวด้วยการสอบสวนที่น่าเชื่อถืออันจะมุ่งนำมาซึ่งความยุติธรรมให้แก่เหยื่อ โดยการระบุตัวผู้กระทำความผิดและนำเขามาสู่กระบวนการยุติธรรมตามหลักนิติธรรม”
 
เมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 2558 เวลา 13.00 น. โดยประมาณ ระเบิดแสวงเครื่องลูกที่สองได้ถูกจุดชนวนขึ้นใกล้กับท่าเรือสาทรของกรุงเทพมหานครซึ่งได้ระเบิดขึ้นในน้ำโดยไม่เกิดอันตรายใดๆ ในวันนั้น ไม่มีกลุ่มหรือบุคคลใดแสดงความรับผิดชอบต่อการโจมตีนั้น
 
“เจ้าหน้าที่ของไทยต้องอดทนต่อความกดดันเพื่อจะแสดงให้เห็นความก้าวหน้าผ่านการสรุปข้อเท็จจริงอย่างเร่งรีบและให้คำมั่นอย่างแน่วแน่ที่จะสอบสวนตามมาตรฐานระหว่างประเทศและเคารพต่อทุกการรับรองทางกฎหมายและกระบวนการตามกฎหมาย (Due Process)” นายแซม ซารีฟี กล่าว “เฉพาะแต่กระบวนการที่น่าเชื่อถือและยุติธรรมเท่านั้นที่จะให้ความจริงและความเป็นธรรมแก่เหยื่อและผู้รอดชีวิตจำนวนมากได้”
 
ส่วนหนึ่งของการสอบสวนที่มีประสิทธิภาพ ไอซีเจแนะนำประเทศไทยให้
 
• คุ้มครองสิทธิของเหยื่อรวมถึงโดยการให้ความเชื่อมั่นว่าพวกเขา
o จะได้รับการปฏิบัติด้วยความเคารพ
o ได้รับทราบข้อมูลเกี่ยวกับความคืบหน้าของการสอบสวนและสิทธิของพวกเขาที่เกี่ยวข้องกับกรณีดังกล่าว
o ได้รับทุกการสนับสนุนและความช่วยเหลือที่จำเป็น
• รับรองว่าสมมติฐานในการสอบสวนไม่ได้มีอิทธิพลมาจากการเลือกปฏิบัติหรืออคติที่มีพื้นฐานมาจากชาติพันธุ์ ศาสนา การเมือง หรือภูมิหลังอื่นๆ และ
• แสวงหาและยอมรับข้อเสนอด้านความช่วยเหลือจากรัฐอื่นๆ อย่างจริงจัง ซึ่งรวมถึงในด้าน
o หน่วยสืบราชการลับ
o การตรวจสอบที่เกิดเหตุ ศพ และยานพาหนะ โดยทางนิติวิทยาศาสตร์
o การวิเคราะห์อุปกรณ์โทรศัพท์ รวมถึงข้อมูลการโทรและพื้นที่ที่ใช้ในการสื่อสาร และ
o การวิเคราะห์และทำให้ภาพจากกล้องวงจรปิดชัดเจนขึ้น
 
ประเทศไทยถูกเรียกร้องให้มีการสอบสวนการโจมตีอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อดำเนินคดีและลงโทษผู้ที่ต้องรับผิดชอบและเพื่อให้การรับรองแก่เหยื่อในการเข้าถึงการเยียวยาและชดเชยที่มีประสิทธิภาพ เนื่องจากเป็นส่วนหนึ่งของพันธะกรณีทางกฎหมายระหว่างประเทศในฐานะที่เป็นรัฐภาคีของกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (ICCPR) รวมทั้งยังเกี่ยวข้องกับสิทธิในชีวิตและสิทธิในความมั่นคงของบุคคลด้วย

‘คนคล้ายประยุทธ์’ มากับเรือดำน้ำจีน โผล่ MV เพลงใหม่ของ ‘โน้ส อุดม’


เมื่อวันที่ 17 ส.ค. ที่ผ่านมา ผู้ใช้ยูทูบบัญชี ‘ThaiStandupComedy’ เผยแพร่มิวสิควีดีโอเพลง ‘สุดสวิงริงโก้อีโต้บั๊มพ์’ ซึ่งร้องโดย โน้ส อุดม แต้พานิช ร่วมกับ ดา เอ็นโดรฟีน นอกจากอุดมจะร่วมร้องแล้วยังเป็นโปรดิวเซอร์และแต่งคำร้องร่วมกับ สมเกียรติ เมธาพฤทธิ์ ที่เป็นผู้แต่งทำนองทำนองด้วย
โดยมิวสิควีดีโอมีตอนหนึ่งที่ปรากฏชายที่มีลักษณะและการแต่งกายที่เหมือน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา พร้อมอุปกรณ์ประกอบ เช่น โพเดียม และเรือดำน้ำจำรองที่มีธงจีนประกอบ โดยชายคนดังกล่าวมีประโยคพูดในมิวสิควีดีโอ ซ้ำๆ ว่า "รอไรฮะ เต้นสิครับ"
นอกจากนี้ยังมีการล้อเลียนกระแสโดยเฉพาะในสังคมออนไลน์ เช่น ชีวิตสโลว์ไลฟ์ วลีอย่าง ร้องไห้หนักมาก หรือ มาถึงจุดนี้ได้ไง รวมทั้งการฝากร้านบนโซเชียลเน็ตเวิร์ก เป็นต้น โดยมีบุคคลที่เป็นที่รู้จักร่วมแสดงในมิวสิควีดีโอหลายคน เช่น ดา เอ็นโดฟิน, ชมพู่ อารยา, มาร์กี้ ราศรี, ลุลา กันยารัตน์, Triumph Kingdom, ตู้ ดิเรก, ไมเคิ่น ตั๋ง, กิตติ กีต้าร์ปืน, ติ๊ก ชีโร่, สอง พาราด็อกซ์, กอล์ฟ ฟักกลิ้ง ฮีโร่, วงลิปตา, วง scrubb, เนม Getsunova, วง 25 hours, ปลื้มจิตร์ ถิ่นขาว, สิงโต นำโชค, ครูคำเขียน บรรเทา, แม่บ้านมีหนวด มุกกี้ ชณิตา และ เสือโคร่ง จากเพจทูลหัวของบ่าว เป็นต้น
ในวิดีโอดังกล่าวยังอธิบายด้วยดังนี้
เพลงนี้มีจุดกำเนิดมาจากเมื่อ 8 เดือนที่แล้ว
ผมอยู่ในรถตู้ที่มีกุ้งผู้ช่วยผมเป็นคนขับ
ตอนนั้นเราคุยถึงเรื่องอะไรจำไม่ได้ แต่รู้สึกโดน จึงหลุดอุทานออกมาว่า
“โห...แม่ง สุดสวิงริงโก้อีโต้บั๊มพ์ไปเลยวะ”
ไอ้กุ้งมันถึงกับเหยียบเบรคแล้วหันมาถามว่­า “เมื่อกี้เฮียพูดว่าไรนะครับ”
“สุดสวิงริงโก้อีโต้บั๊มพ์ไง” กุ้งมันถามกลับมาว่า “มันคืออะไรครับเฮีย”
มันทำหน้าตาเหมือนกับว่าที่ผมพูดไปคือ ภาษาสเปน
“คือแบบว่า มันประทับใจ มันจ๊าบมากไงมึง”
“จ๊าบน่ะพอจะเคยได้ยินครับเฮีย แต่ไอ้สุดสวิงมันมายังไง
ทำไมต้องสุดสวิง ริงโก้มันมาเพื่ออะไร แถมยังมีอีโต้อีก
แล้วจะไปบั๊มพ์กะใคร” ซึ่งผมก็อธิบายมันไม่ได้เหมือนกัน
รู้แต่ว่ามันเป็นคำที่ผมติดปากแล้วก็พูดบ่อยๆ
ไอ้กุ้งก็อายุ 30 นิดๆแล้ว มันยังไม่รู้จักคำนี้จริงเหรอวะ
เหตุการณ์นี้มันทำให้ผมได้สติว่า คำพวกนี้มันบ่งบอกยุคสมัย
แล้วผมก็เป็นคนตกยุคไปเรียบร้อยแล้ว มันดูเหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่
เพียงแต่มันเกิดขึ้นในช่วงวิกฤติวัยกลางคน­ของผม ผมมองไปข้างหน้า
ก็วัยรุ่น มองไปข้างหลังก็คนแก่ แล้วผมติดอยู่ตรงกลางที่มันกลับไม่ได้ไปไม่ถึง
แต่คำนี้ก็ยังวนอยู่ในหัวแล้วก็เอาออกจากปากไม่ได้ซักที
เวลาเจออะไรที่มันน่าประทับใจสุดๆ ผมก็ยังใช้คำว่า “สุดสวิงริงโก้อีโต้บั๊มพ์”
อยู่เหมือนเดิม พอวันนึงที่ผมคิดจะทำเพลงแดนซ์ขึ้นมา
คำนี้มันก็ผุดขึ้นมาในหัวเป็นคำแรกทันที มันช่วยไม่ได้จริงๆ ครับ

นายกฯเกาหลีเหนือแจ้ง พล.อ.ประยุทธ์ ร่วมไว้อาลัยเหตุระเบิดราชประสงค์

ปัก จอง จู นายกรัฐมนตรีเกาหลีเหนือ (คนที่สองจากซ้าย) (ที่มา: แฟ้มภาพ/KCNA)

นายกรัฐมนตรีเกาหลีเหนือ 'ปัก จอง จู' ส่งข้อความแสดงความไว้อาลัยอย่างสุดซึ้งต่อครอบครัวของผู้เสียชีวิตและผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุระเบิดราชประสงค์ โดยส่งผ่านข้อความมายัง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
20 ส.ค. 2558 - สำนักข่าวกลางเกาหลี (KCNA) รายงานเมื่อวันที่ 20 ส.ค. ว่า ปัก จอง จู นายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลี หรือ เกาหลีเหนือ ได้ส่งสารแสดงความเห็นอกเห็นใจมายัง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีของไทย หลังเกิดเหตุระเบิดขนาดใหญ่ซึ่งสร้างความเสียใจต่อชีวิตและทรัพย์สิน
ทั้งนี้ข้อความได้แสดงความไว้อาลัยอย่างสุดซึ้งมายังนายกรัฐมนตรีของไทย และขอส่งผ่านข้อความไปยังครอบครัวของผู้เสียชีวิตและผู้ได้รับผลกระทบ

ล้างราชประสงค์เร็ว ‘สุขุมพันธุ์’ โอด “ไม่ทำก็ว่า ทำก็สงสัย” นักวิชาการอัดยิ่งสร้างความแคลงใจ


21 ส.ค. 2558 จากเหตุระเบิดที่บริเวณแยกราชประสงค์เมื่อช่วงหัวค่ำวันที่ 17 ส.ค.ที่ผ่านมา จนล่าสุดมีผู้เสียชีวิตแล้ว 20 ราย บาดเจ็บหลายราย วันถัดมาเจ้าหน้าที่จากกรุงเทพมหานคร ก็ได้ทำความสะอาดพื้นที่โดยรอบเนื่องจากเต็มไปด้วยเศษแก้ว เศษกระจก อย่างไรก็ตามการทำความสะอาดบริเวณที่เกิดเหตุของ กทม. ได้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในเวลาต่อมาถึงความเหมาะสมและอาจกระทบต่อการแสวงหาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเหตุการณ์

 

ล่าสุดวันนี้(21 ส.ค.58) เฟซบุ๊กแฟนเพจ ‘Fahroong Srikhao ฟ้ารุ่ง ศรีขาว’ เผยแพร่วิดีโอคลิปสัมภาษณ์ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าฯ กทม. ตอบข้อสงสัยเกี่ยวกับประเด็นดังกล่าวว่า “ไม่ทำก็ว่า ทำก็สงสัยนะครับ หน้าที่เราเป็นหน้าที่ทำความสะอาดครับผม แล้วถ้ารัฐบาลไม่ได้สั่งเป็นอย่างอื่นเราก็ต้องทำครับ ลองคิดดูสิครับ ถ้ารัฐบาลไม่ห้ามผมทำความสะอาด แล้วผมไม่ทำความสะอาดพวกคุณจะพูดอีกอย่างใช่ไหมครับ ว่า กทม. ไม่ได้เรื่องใช่ไหมครับ ให้ความเป็นธรรมผมหน่อยนะ นะครับ”
“รัฐบาลไม่ได้ห้าม ผู้ที่รับผิดชอบเรื่องหลักฐานต่างๆ ไม่ได้ห้าม เราก็ต้องทำความสะอาดครับ นี่คือหน้าที่ของ กทม. ครับ ให้ความเป็นธรรมแก่พวกเราหน่อยนะครับ เราก็โดนมามากแล้วเหมือนกันนะครับ” ผู้ว่าฯ กทม. กล่าว
นักวิชาการ ชี้ไม่มีเฮดจัดการที่ชัด ทำ ชิวๆ แต่ไม่เป็นระบบยิ่งสร้างความแคลงใจกับ ปชช.
ด้าน กฤดิกร วงศ์สว่างพานิช ผู้ศึกษาด้าน Critical Terrorism วิจารณ์การดำเนินการของ กทม. ดังกล่าวโดยว่า ในต่างประเทศมันแทบจะแบ่งส่วนกันอย่างชัดเจน อย่างในอเมริกาก็จะมี เช่น เอ็นเอสเอ หรือสำนักงานความมั่นคงแห่งชาติ (National Security Agency - NSA) หรือพวกโครงการความมั่นคงของเขา พอเกิดเหตุขึ้นมาแล้วก็จะเป็นฝั่งตำรวจหรือ สำนักงานสอบสวนกลาง FBI เข้ามาดูแลเหตุการณ์ที่มันเกิดขึ้น และถ้าสมติจะแก้แค้นหรือว่าอะไรนั้นก็เป็นเรื่องของทางทหารหรือว่าหน่วยข่าวกรองกลาง CIA ฝั่งปฏิบัติงาน มันก็จะมีการแบ่งกันชัดเจน
เรื่องนี้มันเป็นระดับความมั่นคงของรัฐ ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น เพราะการเลือกจู่โจมพื้นที่สาธารณะแล้วไม่มีข้อเรียกร้องต่อเอกชนคนใดคนหนึ่งเป็นพิเศษ โดยทั่วไปจะเป็นเรื่องของการจู่โจมรัฐหรือมีข้อเรียกร้องต่อรัฐ เป็นประเด็นความมั่นคงของรัฐ เมื่อเป็นเช่นนั้น ก็จะถือว่าเป็นหน้าที่ของหน่วยงานความมั่นคงที่จะเข้ามาดูแลบริเวณนั้นๆ และอำนาจของฝ่ายพลเรือนต้องถอยออกชั่วคราว นี่คือหลักการทั่วไปมาตรฐานของโลก ซึ่งหม่อม(ผู้ว่าฯ กทม.) จบจากอเมริกามาน่าจะเข้าใจดี มันไม่ใช่เรื่องที่เข้าใจยาก
กฤดิกร กล่าวต่อว่า ความผิดก็มีอยู่บ้างที่ฝ่ายความมั่นคงที่ไม่ไปห้ามทาง กทม. และยังดูเหมือนช่วยเหลือด้วยซ้ำ จึงมองว่าเป็นความผิดของฝ่ายความมั่นคงเองด้วยที่ไม่ประสานงานที่ดี รวมทั้งตอนนี้ใครเป็นเฮดในการดูและพื้นที่ เป็นตำรวจ ทหารหรือ กอ.รมน. ทุกคนเหมือนพุ่งตัวเข้าไปเหมือนกับว่าเป็นเฮดในการดูแลสถานการณ์ดังกล่าว แต่ใครเป็นเฮดจริงๆ ควรมีการตั้งหน่วยงานที่ดูแลที่ชัดเจน อย่างกรณีอเมริกาก็มี FBI แต่สถานการณ์ที่เกิดขึ้นก็ไม่ชัดเจนว่าใครเป็นเฮดที่ปฏิบัติในพื้นที่ นี่คือปัญหาของเราที่โทษหนักสุดอยู่ที่ ผู้ว่าฯ กทม.
สำหรับมุมมองที่ต้องการทำให้ภาพสถานการณ์กลับมาและการสัญจรเป็นปกติ โดยเฉพาะแยกราชประสงค์ที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจ  กฤดิกร มองว่า เข้าใจวิธีคิดที่ทำให้ทุกอย่างดูชิวๆ ผ่านไปได้ด้วยดี ควบคุมสถานการณ์ได้ มันเป็นวิธีการหนึ่งของกาควบคุมความกลัว แต่ชิวเกินไปมันไม่ได้แปลว่าดี ถ้าชิวแล้วทุกอย่างมีการจัดการอย่างเป็นระบบอันนั้นก็โอเค แต่ไม่ใช่ว่าชิวๆ รีบๆ เร่งๆ อย่างที่เป็นอยู่ที่ยังพบซากเนื้อของเหยื่อระเบิดอยู่ในบริเวณพื้นที่อยู่เลย มันยิ่งจะสร้างความแคลงใจให้กับคนมากขึ้นด้วยซ้ำ ความกลัวมันก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น เพราะจะทำให้ประชาชนไม่มั่นใจว่าจะสามารถหาตัวผู้กระทำความผิดมาได้หรือไม่
กฤดิกร กล่าวด้วยว่า บริเวณดังกล่าวก็เคยถูกเสื้อแดงปิดอยู่หลายวันก็ยังสามารถดำเนินชีวิตอยู่ได้ ถ้าจะยอมปิดเพิ่มสัก 2-3 วันหรือสัปดาห์หนึ่งเพื่อเคลียร์ทุกอย่างให้เป็นปกติ คิดว่าคนกรุงเทพก็สามารถเข้าใจสถานการณ์ได้เพราะไม่ใช่สถานการณ์ปกติ