วันศุกร์ที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

ประยุทธ์โยงจำนำข้าวเหตุภัยแล้ง ขอชาวนาอย่าทำนาปรัง



ประยุทธ์ห่วงปัญหาภัยแล้ง ขอชาวนาอย่าปลูกข้าวนาปรัง เพราะน้ำในเขื่อนไม่เพียงพอ ชี้จำนำข้าว มีส่วนทำให้ปล่อยน้ำจากเขื่อนจำนวนมาก
5 พ.ย.58 ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวถึงการแก้ปัญหาภัยแล้งว่า เรื่องน้ำแต่ละเขื่อน ทางหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้รายงานตัวเลขกับตนตลอด ส่วนบางพื้นที่ที่ชาวนายังปลูกข้าวนาปรัง ทั้งๆ ที่ภาครัฐขอความร่วมมือไม่ให้ปลูกนั้นจะให้ตนทำอย่างไร จะให้ไปจับชาวนาติดคุกเอาไหม ตรงนี้จะให้ทำอย่างไร ซึ่งตนบอกไปแล้วว่าพยายามอย่าทำนาปรัง ก็แค่นั้นใช้น้ำให้ประหยัด หันไปปลูกพืชชนิดอื่น ก็มีการแนะนำตลอด สื่อก็ต้องบอกชาวนาแบบนี้ ไม่ใช่มาบอกว่าน้ำไม่มีแล้วรัฐบาลต้องรับผิดชอบต้องหาวิธีการหาเงินชดเชย
"เรื่องทำข้าวนาปรัง ผมห้ามก็ไม่เชื่อ ผมก็บอกว่าถ้าทำแล้วเสียหาย ไม่มีน้ำผมก็ไม่ดูแล ดูแลไม่ได้ เพราะเตือนแล้ว ก็เห็นอยู่แล้วว่าน้ำไม่มี 4 เขื่อนมีน้ำ 4 พันกว่าลูกบาศก์เมตร ซึ่งหน่วยงานที่รับผิดชอบรายงานตัวเลขผมอยู่ทุกวัน ซึ่งมีการรายงานทั้งน้ำในเขื่อนนอกเขื่อน ปีที่แล้วคาดการณ์ก่อนฝนเข้ามีปริมาณน้ำ 3,600 ลูกบาศก์เมตร แต่หลังจากพายุเข้า ปริมาณน้ำ เป็น 4,100 ลูกบาศก์เมตร แต่ไม่ได้หมายความว่าจะทำนาปรังได้ ซึ่งน้ำที่มีถ้าหารแล้วจะอยู่ได้ไม่กี่เดือน น้ำก็จะหมดจากเขื่อน ก็จะไม่มีน้ำประปากิน ดังนั้นอยากให้ชาวนาเชื่อภาครัฐที่แนะนำให้ปลูกพืชอย่างอื่นทดแทน และอยากให้สื่อช่วยตรงนี้ด้วยทั้งชาวนาและชาวสวนยาง พูดจนปากจะฉีกอยู่แล้ว" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า เมื่อสื่อลงไปทำข่าวก็ควรจะไปแนะนำชาวนา ให้ไปหาผู้ว่าฯ แต่ไปถามข้อมูลจากชาวนาเขาก็ไม่รู้เรื่อง เสร็จแล้วก็เป็นเหยื่อเขา ที่เรียกร้องเรื่องการเลือกตั้ง ถ้าเลือกตั้งมาแล้วจะดีกว่านี้ จะขายข้าวได้ราคามากกว่านี้
"น้ำวันนี้มันพร่องเพราะอะไร ลองตอบมาสิ น้ำในเขื่อนน้อยเพราะอะไร ซึ่งต้องไปดูว่าน้ำรองเขื่อนมีเท่าไหร่ น้ำรองเขื่อนต่ำมาตั้งแต่ปี 2555 เพราะปล่อยน้ำมาทำนาจนเหลือเฟือ เพราะมันจำนำข้าวไงเล่า ก็ปลูกให้มากเข้าไปสิ เอาน้ำไปใช้ให้หมด น้ำที่ควรจะอยู่รองก้นเขื่อน พอฝนตกมาก็จะเติมน้ำในเขื่อน แต่วันนี้น้ำในเขื่อนต่ำลงกว่าเกณฑ์ตั้งแต่ปี 2555 ทั้งกลัวเรื่องน้ำท่วมและปล่อยน้ำมาปลูกข้าว เมื่อฝนตกมาน้อย น้ำรองเขื่อนก็เตี้ยอยู่อย่างนี้ แล้วน้ำรองเขื่อนมันจะไปไหนได้คิดให้เป็นบ้าง" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
นอกจากนี้ พล.อ.ประยุทธ์ ยังเปิดเผยด้วยว่า วันนี้มีบางกลุ่มไปบอกชาวนา ให้ใจเย็นๆ เดี๋ยวเขาก็ไปแล้ว ปลูกข้าวไปก่อนเดี๋ยวกลับมาจะทำแบบเดิมให้ เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า มีพื้นที่ไหนบ้าง นายกฯ กล่าวว่า ไปหามาสิ เขียนให้ดีนะ อารมณ์ไม่ได้เสียนะ

ประยุทธ์ขออย่าคุ้ยปมนายทหารเอี่ยวคดี ม.112 ชี้ทุกคนมีลูกน้อง-รู้จักกันหมด


พล.อ.ประยุทธ์ ขอสื่อถามปมนายทหารเอี่ยวคดี ม.112 ให้สร้างสรรค์ ชี้ทุกคนมีลูกน้อง-รู้จักกันหมด ลั่นไม่มีหลักฐานอย่าบอกว่าใครผิด พร้อมขออย่าเชื่อข้อมูลที่บิดเบือนเกี่ยวกับสถาบันฯ
5 พ.ย. 2558 เมื่อเวลา 11.00 น. ที่ทำเทียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เปิดเผยถึงกรณี ความคืบหน้าหลังมีรายงานข่าวระบุว่า มีทหารกว่า 50 นาย มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดี ว่าเมื่อวานนี้ ตนเห็น พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ออกมาพูดแล้ว ว่าทหารกี่นาย ก็พูดกันไปพูดกันมา แต่ละคนก็มีลูกน้องกี่คนละ แต่มันมีหลักฐานว่าทุจริตหรือละเมิดม.112 หรือยัง ถ้ายังไม่มีการฟ้อง ก็เป็นเพียงคำพูดออกมาแค่นั้นเอง อย่าไปขุดคุ้ยให้มันมากมาย มันก็เสียไปทุกเรื่อง ใครผิดก็ว่าไปตามผิด ตนบอกไปแล้วว่าอะไรที่ยังไม่ชัดเจนก็อย่าพูดออกมา
“บางครั้งเป็นเพราะพวกท่านถามไง ถามละเอียดไปซะทุกเรื่อง ไอ้คนตอบบางทีก็เป็นแบบผมนี่แหละ ตอบไปเรื่อย บางทีมันไม่ใช่ เพราะฉะนั้นคำถามขอให้มันสร้างสรรค์หน่อยแล้วกัน พอบอกว่า ห้าสิบคน ก็เอาละ ใครบ้าง ขอชื่อมา ลงโทษเมื่อไหร่ มันไม่ใช่นะ ถ้าจะถามเกี่ยวข้องไม่เกี่ยวข้อง คนมันรู้จักกันหมดนั่นแหละ ลูกน้องทุกคนก็มีหมด เอาหลักฐานมาสิ ถ้าไม่มีหลักฐานก็อย่าไปว่าเขาว่าเขาผิด เอาแค่คำถามของท่านก็จบแค่นั้น จบได้แล้ว มันไม่ดีเลย ไม่ดีต่อม.112 ด้วย เพราะม.112 มีไว้ถวายให้ท่าน ไม่ได้มีไว้ให้คนอื่น” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
ขออย่าเชื่อข้อมูลที่บิดเบือนเกี่ยวกับสถาบันฯ
วันเดียวกัน พล.อ.ประยุทธ์ เป็นประธานในพิธีมอบรางวัลผู้ชนะการประกวดสื่อสารคดีในโครงการจัดนิทรรศการและสื่อสารคดีเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล โอกาสนี้ พล.อ.ประยุทธ์ ได้มอบโอวาทแก่เยาวชนที่เข้าร่วมกิจกรรม ตอนหนึ่งว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว  สมเด็จพระนางเจ้าฯ  พระบรมราชินีนาถ และสถาบันพระมหากษัตริย์ ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจทั้งในด้านของความมั่นคง การพัฒนาคุณภาพชีวิต ดูแลทรัพยากรธรรมชาติ และทรงทำคุณประโยชน์นานัปการให้กับประเทศ ซึ่งเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องรับรู้ และต้องการให้มีการนำเสนอที่มาของการพัฒนาต่าง ๆ
“สถาบันไม่เคยต้องการให้ใครรัก แต่เป็นการยอมรับด้วยใจ จึงขออย่าเชื่อข้อมูลที่บิดเบือน และต้องน้อมนำแนวทางการดำรงชีวิตด้วยหลักความพอเพียง สร้างความรู้ความเข้าใจ” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

สุรพศไม่หนุนให้พุทธเป็นศาสนาประจำชาติ ชี้ขัดหลักประชาธิปไตย


นักวิชาการพุทธศาสนาไม่หนุนให้พุทธเป็นศาสนาประจำชาติ ชี้ขัดหลักประชาธิปไตยเรื่องความเสมอภาค มองกระแสกลัวมุสลิมถูกสร้างขึ้นด้วยเหตุผลทางการเมือง ขณะที่มุสลิมก็กลัววัฒนธรรมตะวันตก ระบุหากแต่ละศาสนาขัดต่อหลักสิทธิมนุษยชน ก็จะเป็นปัญหา
ช่วงวันที่ 4-5 พ.ย. ที่ผ่านมา Thaivoicemedia ได้เผยแพร่บทสัมภาษณ์ สุรพศ ทวีศักดิ์ นักวิชาการพุทธศาสนาและปรัชญา โดยแบ่งเป็น 3 ตอน ต่อกรณีพระสงฆ์บางรูปได้เผยแพร่แนวคิดการติดอาวุธให้กับชาวพุทธและพระสงฆ์ในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อต่อสู้แบบตาต่อตาฟันต่อฟันกับผู้ก่อความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ พร้อมทั้งวิเคราะห์โรคกลัวมุสลิม และประเด็นการเสนอให้บรรจุไว้ในรัฐธรรมนูญที่กำลังร่างว่าศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ
สุรพศ มองว่า เป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง เพราะจะสร้างความหวาดระแวงให้เกิดขึ้นในสังคมไทย และดูเหมือนกระแสนี้เกิดขึ้นพร้อม ๆ กับการรณรงค์ที่จะให้ พุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ ซึ่งคณะสงฆ์และจุฬาราชมนตรี จะต้องออกมาหยุดยั้งเรื่องนี้ก่อนที่จะบานปลาย ที่น่าแปลกใจคือ บุคลากรในมหาวิทยาลัยสงฆ์เองทั้ง อาจารย์ และพระ ควรจะเป็นแกนหลักที่จะหยุดยั้งเรื่องนี้ แต่กลับดูเหมือนจะเคลื่อนไหวในเรื่องนี้ด้วย อีกส่วนหนึ่งก็น่าจะได้รับอิทธิพลจากพระชาวพม่าคือ พระวีระธุท ที่กำลังสร้างความเชื่อในหมู่ชาวพุทธพม่า ว่า มุสลิม กำลังเป็นภัยคุกคามต่อพุทธศาสนา แม้จะเกิดขึ้นได้ยากในสังคมไทย แต่หากทุกฝ่ายนิ่งเฉยก็มีโอกาสที่แนวคิดนี้จะแพร่ขยายในสังคมไทย แต่อย่างไรก็ตามผู้นำทั้งสองศาสนา ต้องออกมาทำความเข้าใจ เอาหลักหรือแก่นแท้ของทั้งสองศาสนาในการอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข มาสร้างความเข้าใจว่าควรจะอยู่ร่วมกันอย่างไร และสุดท้ายทั้งสองศาสนาก็ต้องอยู่ภายใต้หลักการประชาธิปไตย อย่างน้อยต้องเคารพหลักสิทธิมนุษยชนให้ได้ก่อน ถึงจะนำหลักการศาสนามาเป็นประโยชน์ต่อการดำเนินชีวิตในสังคมสมัยใหม่ได้อย่างแท้จริง
ไม่เห็นด้วยให้พุทธเป็นศาสนาประจำชาติ ชี้ขัดหลักประชาธิปไตย
ต่อกรณีความเคลื่อนไหวของคณะสงฆ์ไทยบางกลุ่มที่จะให้กำหนด พุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติในการร่างรัฐธรรมนูญขณะนี้ สุรพศ มองว่า ไม่เห็นด้วย เพราะเป็นการขัดกับหลักการพื้นฐานของความเป็นประชาธิปไตย คือความเสมอภาคทางศาสนา รัฐบาลประชาธิปไตยมีหน้าที่รักษาความเสมอภาคในการนับถือศาสนา ส่วนจะกระทบกับความมั่นคงหรือไม่ เป็นสิ่งที่รัฐกำหนดขึ้น ซึ่งไม่ใช่ เพราะตอนนี้ พุทธศาสนา เข้ามาลุกล้ำและชี้นำทางการเมืองมากเกินไป และเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประชาธิปไตย และการรณรงค์ให้ พุทธศาสนา เป็นศาสนาประจำชาติ พร้อม ๆ ไปกับการสร้างกระแสมุสลิมเป็นภัยคุกคามต่อ­ความมั่นคงของพุทธศาสนาด้วยแล้ว เป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงอย่างมาก ทั้งฝ่ายคณะสงฆ์ และสำนักจุฬาราชมนตรี จะต้องรีบออกมาชี้แจง ทำความเข้าใจในเรื่องนี้
แก้โรคกลัวมุสลิม แนะทุกศาสนาต้องยึดคำสอนบนหลัก ‘สิทธิมนุษยชน’
กรณีการสร้างกระแสความเกลียดชังมุสลิมในหลายประเทศทั่วโลกขณะนี้ สุรพศ กล่าวว่า กระแสความกลัวมุสลิม ถูกสร้างขึ้นด้วยเหตุผลทางการเมือง ขณะที่คนมุสลิมก็กลัวการถูกคุกคามวัฒนธรรมตะวันตก ทำให้ดูเหมือน โลกเสรีนิยมประชาธิปไตย อาจจะเข้ากันไม่ได้กับวิถีชีวิตมุสลิม เรื่องนี้ ประเทศประชาธิปไตยทั้งหลาย ที่อยู่ร่วมกันหลายศาสนา จะต้องส่งเสริมให้ทุกศาสนา พัฒนาระดับความเชื่อและวัฒนธรรมทางศาสนา โดยเคารพหลักสิทธิมนุษยชน ดึงคำสอนของแต่ละศาสนามาใช้เพื่อให้ทุกคนอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุขให้ได้ เพราะหากแต่ละศาสนามีคำสอนหรือความเชื่อขัดต่อหลักสิทธิมนุษยชน ก็จะเป็นปัญหาสำหรับประเทศนั้นๆ

มีชัย เผย กรธ.เคาะส.ส. 500 คน 2 ระบบ ใช้บัตรใบเดียว


มีชัยเผยได้ข้อสรุปจำนวนส.ส.ยังคงเป็นสภา 500 คน ส.ส.เขต 350 คน บัญชีรายชื่อ 150 คน ใช้บัตรเดียวลงคะแนนเบอร์เดียว ย้ำให้ทุกคะแนนของประชาชนมีความหมาย ไม่ได้ทำเพื่อพรรคการเมืองใด ยังได้รัฐบาลเข้มแข็ง
5 พ.ย. 2558 นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) เปิดเผยว่า ที่ประชุมกรธ.ได้ข้อสรุปเรื่องจำนวน ส.ส.เขต 350 คน และส.ส.บัญชีรายชื่อ 150 คน และใช้บัตรใบเดียว แต่ทุกคะแนนจะได้นับ 2 ครั้ง ทั้งระบบเขตและระบบบัญชีรายชื่อ แต่จะให้แยกบัญชีส.ส.เขต กับบัญชีรายชื่อออกจากกันอย่างเด็ดขาด แต่จะคำนวณอย่างไรนั้น กำลังอยู่ระหว่างการศึกษารายละเอียด ในระบบบัญชีรายชื่อจะคำนวณทั้งประเทศ ไม่แยกภาค  ซึ่งผลที่ได้จะทำให้คะแนนของประชาชนทุกคนมีน้ำหนัก และวิธีนี้รัฐบาลจะยังเข้มแข็งได้ หากชนะเลือกตั้งส.ส.เขตเป็นหลัก
“ประชาชนทุกคนที่ออกไปใช้สิทธิจะมีกำลังใจไปใช้สิทธิ เพราะไม่เสียหาย แต่พรรคจะคำนวณอย่างไร  เราทำเรื่องนี้ไม่ใช่เพื่อประโยชน์ของพรรคใด แต่เพื่อประโยชน์ของประชาชนจริง  ๆ และด้วยวิธีนี้รัฐบาลยังเข้มแข็งได้ ถ้าชนะคะแนนมา ก็ได้ส.ส.มาก ถือเป็นหลักปกติอยู่แล้ว” นายมีชัย กล่าว
นายมีชัย กล่าวว่า ได้หารือรูปแบบการคำนวณคะแนนกับกกต.แล้ว และได้รับการยืนยันว่าสามารถคำนวณได้ง่าย หาก กรธ.มีรูปแบบการคำนวณที่ชัดเจน โดยกรธ.ยังยึดคะแนนผู้ที่มาใช้สิทธิ ไม่ใช่คำนวณจากจำนวนผู้มีสิทธิลงคะแนน และยังยืนยันหลักการเดิมที่ผู้สมัครจะต้องได้คะแนนมากกว่าคะแนนโหวตโน คือคะแนนโหวตโนจะยังมีความหมาย  หากแพ้คะแนนโหวตโนก็จะไม่ได้รับเลือกเป็นส.ส. ส่วนการลงโทษผู้ที่ทุจริตเลือกตั้งนั้น นายมีชัย กล่าวว่า หากพบทุจริตจริงก็จะลงโทษตัวบุคคล  ไม่กลับไปใช้รูปแบบการยุบพรรค

ศาลทหารสั่งรอพิจารณาคดี ‘พันธ์ศักดิ์-นัชชชา’ จนกว่าจะมีคำวินิจฉัยเขตอำนาจศาล

พันธ์ศักดิ์ และนัชชชา ภาพโดย สงวน คุ้มรุ่งโรจน์

5 พ.ย. 2558 ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน รายงานว่า วันนี้(5 พ.ย.) เวลา 08.30 น. ศาลทหารกรุงเทพนัดสอบคำให้การคดีหมายเลขดำที่ 175 ก./2558 ศาลทหารกรุงเทพ คดีของ พันธ์ศักดิ์ ศรีเทพ กลุ่มพลเมืองโต้กลับ Resistant Citizen ซึ่งถูกดำเนินคดีในความผิดตาม ประกาศ คสช. ฉบับที่ 7/2557, พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ มาตรา 14 และ ข้อหายุยงปลุกปั่นให้เกิดความกระด้างกระเดื่องต่อรัฐ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 116 จากการทำกิจกรรม “พลเมืองรุกเดิน” เมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2558 ที่ผ่านมา
ก่อนเริ่มพิจารณา พันธ์ศักดิ์ ศรีเทพได้ยื่นใบแต่งทนายความเข้าต่อสู้คดี จากนั้นทนายความได้ยื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลว่าคดีนี้ไม่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีของศาลทหารกรุงเทพ พันธ์ศักดิ์จึงยืนยันไม่ให้การจนกว่าจะมีความเห็นวินิจฉัยชี้ขาดเขตอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
โดยคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลที่ทนายความของพันธ์ศักดิ์ยื่นต่อศาลทหาร สรุปประเด็นได้ดังนี้
1.ขณะที่เกิดเหตุจนกระทั่งถูกฟ้องเป็นจำเลยในคดีนี้ พันธ์ศักดิ์มีสถานะเป็นพลเรือนและไม่ได้รับราชการทหารแต่อย่างใด จึงมิได้เป็นบุคคลที่อยู่ในเขตอำนาจของศาลทหารตามพระราชบัญญัติพระธรรมนูญศาลทหาร พ.ศ.2498 มาตรา 16
2. ประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติไม่มีสถานะเป็นกฎหมายและไม่สามารถบังคับใช้ได้
3. ประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติฉบับที่ 37/2557 เรื่อง ความผิดที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีของศาลทหารมีเนื้อหาเกินขอบเขตของกฎหมายที่เป็นฐานในการประกาศให้อำนาจ ไม่สามารถใช้บังคับได้
4. ประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ 37/2557 เรื่อง ความผิดที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีของศาลทหารขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย(ฉบับชั่วคราว) พ.ศ.2557 มาตรา 4 ประกอบกับกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง ข้อ 14 (1)และ (5) อันทำให้ประกาศฉบับดังกล่าวไม่มีผลใช้บังคับเป็นกฎหมาย
5. ประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ 37/2557 เรื่อง ความผิดที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีของศาลทหาร ซึ่งเป็นกฎหมายลำดับรองย่อมสิ้นผลไปโดยปริยาย เนื่องจากพระราชบัญญัติกฎอัยการศึก พุทธศักราช 2475 ซึ่งเป็นกฎหมายที่ให้อำนาจประกาศถูกยกเลิก
ตุลาการศาลทหารรับคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลไว้พิจารณา และสั่งให้อัยการโจทก์ทำคำชี้แจงยื่นต่อศาลภายใน 15 วัน และสั่งให้รอการพิจารณาคดีไว้ชั่วคราว พร้อมทั้งจะจัดทำความเห็นส่งไปให้ศาลที่จำเลยอ้างว่าอยู่ในเขตอำนาจ คือ ศาลแขวงดุสิต
วันเดียวกันนี้(5พ.ย.) ศาลทหารกรุงเทพยังมีนัดสอบคำให้การ คดีที่ นัชชชา กองอุดม นักศึกษาที่เคลื่อนไหวรณรงค์ประชาธิปไตยในช่วงหลังรัฐประหาร ถูกเจ้าหน้าที่จับกุมเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2558 ขณะไปสังเกตการณ์กิจกรรมรำลึก 1 ปีรัฐประหารที่หอศิลปวัฒนธรรม กรุงเทพมหานคร ในความผิดฐานฝ่าฝืนคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ 3/2558
เมื่อเริ่มการพิจารณาคดีทนายความได้ยื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลว่าคดีนี้ ไม่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลทหารกรุงเทพ โดยอ้างเหตุผลคล้ายคลึงกันกับคดีของพันธ์ศักดิ์ คือ
1. ประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติไม่มีสถานะเป็นกฎหมายและไม่สามารถบังคับใช้ได้
2. ประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ 37/2557 ซึ่งเป็นกฎหมายลำดับรองย่อมสิ้นผลไปโดยปริยาย เนื่องจากพระราชบัญญัติกฎอัยการศึก พุทธศักรราช ๒๕๔๗ ซึ่งเป็นกฎหมายที่ให้อำนาจประกาศฉบับดังกล่าวถูกยกเลิกไปแล้วก่อนเกิดเหตุที่นัชชาจะถูกจับ
3. นัชชามีสถานะเป็นพลเรือนและไม่ได้รับราชการทหาร จึงมิได้เป็นบุคคลที่อยู่ในเขตอำนาจของศาลทหารตามพระราชบัญญัติพระธรรมนูญศาลทหาร พ.ศ. 2498 มาตรา 16
ตุลาการศาลทหารได้รับคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลที่ทนายของนัชชายื่นไว้พิจารณา และสั่งให้อัยการโจทก์ทำคำชี้แจงยื่นต่อศาลภายใน 15 วัน และมีคำสั่งให้รอการพิจารณาไว้ชั่วคราว พร้อมทั้งจะจัดทำความเห็นส่งไปให้ศาลที่ทนายของนัชชาอ้างว่าอยู่ในเขตอำนาจ คือ ศาลแขวงปทุมวันด้านนัชชายืนยันจะไม่ให้การจนกว่าจะมีความเห็นวินิจฉัยชี้ขาดเขตอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
กระบวนการภายหลังจากนี้ จะเป็นไปตามที่กฎหมายกำหนดไว้ใน พ.ร.บ.ว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ.2542 มาตรา 10 ในกรณีต่างๆดังนี้
1. ถ้าหากศาลทหารกรุงเทพเห็นว่าคดีทั้งสองนี้อยู่ในเขตอำนาจของศาลตน และศาลที่พันธ์ศักดิ์และนัชชาอ้างว่ามีอำนาจพิจารณาก็เห็นพ้องกับศาลทหารกรุงเทพ ก็ให้แจ้งความเห็นไปยังศาลทหารกรุงเทพเพื่อมีคำสั่งให้ดำเนินกระบวนพิจารณาคดีต่อไป
2. ถ้าหากศาลทหารกรุงเทพมีความเห็นว่าคดีดังกล่าวนี้อยู่ในเขตอำนาจของศาลที่พันธ์ศักดิ์และนัชชาอ้างถึง และศาลที่พันธ์ศักดิ์และนัชชาอ้างก็มีความเห็นพ้องกับศาลทหารกรุงเทพ ก็ให้แจ้งความเห็นไปยังศาลทหารกรุงเทพเพื่อให้มีคำสั่งโอนคดีไปศาลที่พันธ์ศักดิ์และนัชชาอ้าง หรือสั่งจำหน่ายคดีเพื่อให้คู่ความ (โจทก์) นำคดีไปฟ้องที่ศาลที่มีเขตอำนาจ ทั้งนี้ ตามที่ศาลเห็นสมควรโดยคำนึงถึงประโยชน์แห่งความยุติธรรม
3. ถ้าศาลทหารกรุงเทพและศาลที่พันธ์ศักดิ์และนัชชาอ้างว่ามีอำนาจพิจารณา มีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องเขตอำนาจศาลในดคีดังกล่าว ศาลทหารกรุงเทพก็จะต้องส่งเรื่องไปให้คณะกรรมการพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาดให้เสร็จภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับเรื่อง แต่ถ้ามีเหตุจำเป็นให้คณะกรรมการลงมติให้ขยายเวลาออกไปได้ไม่เกินสามสิบวัน
ทั้งนี้เมื่อวันที่ 4 พ.ย. ที่ผ่านมา พันธิ์ศักดิ์ทำกิจกรรม “พลเมืองรุกเดิน#2 เมื่อเผด็จการใช้ศาลทหารตัดสินพลเมือง” เพื่อย้ำเตือนว่าบ้านนี้ เมืองนี้มีความไม่เป็นธรรมอย่างไร เวลา 08.30 น. พันธ์ศักดิ์ เดินเท้าออกจากบ้านที่อำเภอบางบัวทอง จ.นนทบุรี เพื่อมุ่งหน้าสู่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โดยมีเจ้าหน้าที่นอกเครื่องแบบประมาณ 14 นาย ใช้มอเตอร์ไซต์ขับติดตาม บันทึกทั้งภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหว บางช่วงระยะทางมีเจ้าหน้าที่ทหารในเครื่องแบบสังกัด ปตอ.พัน.6 จำนวน 8 นาย มาดักรอถ่ายภาพ และมีเจ้าหน้าที่ตำรวจในเครื่องแบบคอยอำนวยความสะดวกเป็นระยะ ตลอดเส้นทางที่พันธ์ศักดิ์เดิน 

11 ก.พ.59 พิพากษาคดี ‘อภิชาต’ ชูป้ายต้านรัฐประหาร เจ้าตัวยันสู้คดีสร้างบรรทัดฐาน


5 พ.ย.2558 เพจไอลอว์รายงานว่า ที่ศาลแขวงปทุมวัน มีนัดสืบพยานคดีของนายอภิชาต พงศ์สวัสดิ์ อดีตนักศึกษาโครงการบัณฑิตอาสาสมัคร มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และเจ้าหน้าที่คณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย (คปก.) ที่ถูกฟ้องจากเหตุยืนถือป้ายคัดค้านการรัฐประหารที่หน้าหอศิลป์ กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2557
โดยในวันนี้ มีพยานจำเลยขึ้นเบิกความ 2 ปาก ได้แก่ 
สามชาย ศรีสันต์ จากวิทยาลัยพัฒนศาสตร์ ป๋วย อึ๊งภากรณ์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มาเบิกความรับรองความประพฤติของอภิชาต ว่าเป็นนักศึกษาที่ตั้งใจเรียนและกระตือรือร้นที่จะแสดงความคิดเห็น และเบิกความว่าการกระทำตามข้อกล่าวหาของอภิชาต ไม่น่าจะเข้าข่ายเป็นความผิดตามฟ้อง เพราะการคัดค้านการรัฐประหารถือเป็นหน้าที่ของคนไทย
ขณะที่วรลักษณ์ ศรีใย จากคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย เบิกความว่า เป็นเพื่อนร่วมงานของอภิชาต ที่คณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย แต่อยู่คนละแผนก ในวันเกิดเหตุตนกำลังจะไปร่วมกิจกรรมที่หน้าหอศิลป์ฯ และบังเอิญพบอภิชาตที่ลิฟท์ เมื่อทราบว่าจะไปหน้าหอศิลป์เหมือนกันจึงเดินทางไปด้วยกัน โดยไปถึงหน้าหอศิลป์ เวลาประมาณ 18.15 น.
วรลักษณ์เบิกความด้วยว่า อยู่กับอภิชาต ประมาณ 5 นาทีก็แยกกัน ซึ่งเมื่อลงไปยืนที่ทางเท้าข้างหอศิลป์เยื้องวังสระปทุมก็มองเห็นอภิชาต ซึ่งมีรูปร่างสูงจากระยะไกล เห็นว่ากำลังชูป้ายแต่ไม่เห็นข้อความ
วรลักษณ์ระบุว่าอยู่ในพื้นที่จัดกิจกรรมเพียงครู่เดียว ประมาณ 18.30 น. ก็เดินทางกลับ และทราบข่าวเรื่องเจ้าหน้าที่จับกุมอภิชาตในภายหลัง โดยส่วนตัวแม้จะทราบว่ามีคำสั่งห้ามชุมนุมของ คสช. แต่ก็ตัดสินใจไปร่วมกิจกรรมเพราะเห็นว่าเป็นการใช้สิทธิแสดงความคิดเห็น ทั้งเหตุการณ์โดยรวมก็เป็นไปด้วยดี ไม่มีความวุ่นวาย อภิชาตจึงไม่น่าจะทำผิดดังโจทก์ฟ้อง
หลังสืบพยานเสร็จ อภิชาตขอศาลส่งคำแถลงปิดคดีเป็นเอกสาร ศาลสั่งให้ส่งเอกสารภายใน 30 วัน และนัดฟังคำพิพากษาในวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2559
หลังเสร็จการพิจารณาคดี อภิชาต ให้สัมภาษณ์ว่า สู้คดีอย่างเต็มที่แล้ว ในทางเทคนิค การประกาศกฎอัยการศึกทั่วราชอาณาจักรครั้งนี้ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะไม่มีการประกาศเป็นพระบรมราชโองการ
นอกจากนี้ ขณะเกิดเหตุ คสช. ก็ยังไม่ได้เป็นรัฏฐาธิปัตย์อย่างแท้จริง คำสั่งที่ออกมาจึงยังไม่ชอบด้วยกฎหมาย และในข้อเท็จจริง เหตุการณ์ที่หน้าหอศิลป์ ก็เป็นไปอย่างเรียบร้อย สงบ สันติ แต่ผลคำพิพากษาจะเป็นอย่างไรก็พร้อมจะน้อมรับ
สำหรับเรื่องต่อสู้คดี แม้จะทำให้การใช้ชีวิตได้รับผลกระทบบ้างเพราะต้องมาศาล แต่ก็เลือกที่จะสู้ เพราะเชื่อว่าสิ่งที่ทำไม่ใช่ความผิด นอกจากนี้การสู้คดีครั้งนี้ก็น่าจะสร้างบรรทัดฐานบางอย่างได้บ้าง
ส่วนเรื่องรับสารภาพเพื่อให้คดีจบ ดูจะเป็นทางเลือกที่ง่ายกว่า เพราะคดีลักษณะนี้ ศาลมักจะให้รอการลงโทษจำเลย และเหตุที่ไม่เลือกแนวนี้ เพราะคิดว่ามันอาจจะเป็นการเลือกที่ทำให้รู้สึกผิดไปตลอด

ยกฟ้องแกนนำกคป. ไม่ผิดขวางเลือกตั้ง57 ระบุที่ปิดเพราะมติกรรมการประจำหน่วย


5 พ.ย. 2558 ศาลพระโขนง อ่านคำพิพากษา คดีหมายเลขดำ อ.828/2558 ที่พนักงานอัยการ เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง นายธวัชชัย พรหมจันทร์ อายุ 45 ปี อดีตแกนนำกองทัพประชาชนและเครือข่ายปฏิรูปพลังงานไทย (กคป.) ในความผิดฐาน ร่วมกันขัดขวางการเลือกตั้งตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.และการได้มาซึ่ง ส.ว. พ.ศ. 2550 มาตรา 76 , 152 และ พ.ร.บ.ว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง พ.ศ.2550
และความผิดตาม พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 กรณีเมื่อวันที่ 26 ม.ค.57 นายธวัชชัย ได้นำมวลชนไปชุมนุมขัดขวางการเลือกตั้งล่วงหน้า ที่บริเวณหน่วยการเลือกตั้งวัดศรีเอี่ยม ถนนศรีนครินทร์ แขวงหนองบอน เขตประเวศ กทม. 
โดยศาล พิเคราะห์พยานหลักฐานที่โจทก์นำมาสืบแล้ว เห็นว่าไม่ปรากฏข้อเท็จจริง ว่าจำเลยและผู้ชุมนุมปิดทางเข้าหน่วยเลือกตั้ง พูดกับผู้มาใช้สิทธิ์เลือกตั้งไม่ให้ใช้สิทธิ์เลือกตั้ง หรือปราศรัยข่มขู่ไม่ให้มีการดำเนินการเลือกตั้ง แต่เป็นการปราศรัยขอให้มีการเลื่อนการเลือกตั้งออกไปเพื่อปฏิรูปประเทศก่อน ทั้งการประกาศปิดการลงคะแนนเป็นไปตามมติ และการตัดสินใจวินิจฉัยของคณะกรรมการประจำหน่วยเลือกตั้งแต่ละหน่วย พยานหลักฐานโจทก์จึงไม่มีน้ำหนักรับฟังลงโทษจำเลยได้ ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าจำเลยไม่ได้กระทำความผิดตามฟ้อง พิพากษายกฟ้อง
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า เหตุการณ์ขวางการเลือกตั้งล่วงหน้าที่วัดศรีเอี่ยมเมื่อวันที่ 26 ม.ค. 27 นั้น มีผู้นำวิดีโอคลิปเหตุการณ์ดังกล่าวที่เห็นพฤติกรรมของผู้ชุมนุมที่พยายามขัดขวางการเข้าไปลงคะแนน เช่น การพูดจาดูหมิ่น การยืนขวางและสั่งให้ไม่เข้าไปลงคะแนนเสียงด้วย ในคลิปช่วงท้ายเป็นการสัมภาษณ์ผู้ที่ต้องการมาใช้สิทธิเลือกตั้งแต่ถูกขัดขวางดังกล่าวด้วย

คุกตลอดชีวิตอดีตการ์ดนปช. คดีร่วมกันยิงM79 ใส่กปปส. แต่โดนตึกชินฯ -สารภาพเหลือ 43 ปี


ศาลพิพากษาจำคุกตลอดชีวิตฐานร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่น อดีตการ์ดนปช. ร่วมกับพวกยิงเอ็ม 79 ใส่ผู้ชุมนุมกปปส. แต่ไปถูกเสาอาคาร-ต้นไม้ตึกชินวัตร 3 เสียหาย2หมื่น ให้การสารภาพในชั้นสอบสวน ลดโทษ 1 ใน 3 เหลือ จำคุก 43 ปี 4 เดือน
6 พ.ย. 2558 ที่ห้องพิจารณาคดี 711 ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลมีคำพิพากษา คดีหมายดำ อ.3820/2557 ที่พนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา 7 เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายณรงค์ศักดิ์หรือตุ้ย พลายอร่าม อดีตการ์ดนปช.และนายพีรพงษ์ สินธุสนธิชาติ ผู้จัดหาอาวุธ จำเลย 1-2 ในความผิดฐานร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน,ร่วมกันมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต ,กระทำการให้เกิดระเบิดเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่บุคคลฯ , ร่วมกันพาอาวุธปืนไปในเมืองหมู่บ้านโดยไม่มีเหตุผลอันสมควรและร่วมกันทำให้เสียทรัพย์ หรือคดีร่วมกับพวกยิงระเบิดชนิด เอ็ม 79 ใส่กลุ่มผู้ชุมนุม กปปส. หน้าอาคารชินวัตร 3 เขตจตุจักร แต่ระเบิดไปถูกเสาอาคารและต้นไม้ประดับของอาคารชินวัตร 3 ทำให้ได้รับความเสียหายคิดเป็นเงิน 2 หมื่นบาท เหตุเกิดเมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2557
โดย มติชนออนไลน์และไทยพีบีเอส รายงาน ว่า ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า โจทก์มีพยานเบิกความว่า นายณรงค์ศักดิ์ จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพ และให้รายละเอียดในชั้นสอบสวน ว่าเป็นผู้ไปรับระเบิดและเครื่องยิงระเบิดชนิดเอ็ม 79 ที่ลานจอดรถห้างสรรพสินค้าอิมพิเรียลลาดพร้าว รวมถึงเส้นทางขับรถยนต์ จุดที่ขับรถพานายยงยุทธ บุญดี หรือชินจัง ไปยิงระเบิด รวมถึงเส้นทางขับรถยนต์กลับ และพยานบุคคล พยานเอกสาร รวมถึงพยานวัตถุ ยังสอดคล้องกับคำเบิกความของนายณรงค์ศักดิ์ด้วย นอกจากนี้พยานโจทก์ยังเบิกความอีกว่า ในส่วนนายพีรพงษ์ จำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวนว่า เป็นผู้โทรศัพท์แจ้งให้นายณรงค์ศักดิ์ จำเลยที 1 ไปรับอาวุธเพื่อนำไปใช้ก่อเหตุ ซึ่งพยานโจทก์เบิกความมีน้ำหนักมั่นคง จึงพิพากษาจำคุกนายณรงค์ศักดิ์ และนายพีรพงษ์ ฐานร่วมกันมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนฯ คนละ 12 ปี ฐานพาอาวุธปืนไปในที่สาธารณะฯ 3 ปี ฐานพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ให้จำคุกตลอดชีวิต แต่จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวน มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้ 1 ใน 3 เหลือจำคุก 43 ปี 4 เดือน
โดย ทีมข่าวอาชญากรรม ผู้จัดการออนไลน์ รายงานคำพิพากษาโดยละเอียดดังนี้
คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 7 มี.ค.2557 เวลากลางวัน จำเลยทั้งสองกับพวกที่ยังไม่ได้ตัวมาฟ้อง ร่วมกันมีอาวุธปืนชนิดเครื่องยิงระเบิดสังหาร ขนาด 40 มิลลิเมตร 1 ลูก ที่นายทะเบียนออกใบอนุญาตให้ไม่ได้ และเป็นยุทธภัณฑ์ทางทหารไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต แล้วจำเลยทั้งสองกับพวกร่วมกันพาอาวุธปืนและเครื่องกระสุนดัง กล่าวติดต่อไปตาม ถนนลาดพร้าว ถนนรัชดาภิเษก ถนนพหลโยธิน และถนนวิภาวดีรังสิต อันเป็นในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะ โดยไม่มีเหตุสมควร และหลังจากนั้นได้ร่วมกันใช้อาวุธปืนและเครื่องกระสุนยิงเข้าไปในกลุ่มผู้ชุมนุมหน้าอาคารชินวัตร 3 แขวงและเขต จตุจักร กทม. อันเป็นการยิงปืน ซึ่งใช้ดินระเบิดโดยใช่เหตุในเมือง หมู่บ้าน และที่ชุมชน โดยมีเจตนาฆ่าและไตร่ตรองไว้ก่อน ซึ่งจำเลยทั้งสองกับพวก ย้อมเล็งเห็นผลได้ว่าลูกระเบิดยิงชนิดระเบิดสังหารที่มีอานุภาพทำลายล้างที่รุนแรงสามารถทำอันตรายแก่ชีวิตบุคคลที่สัญจรผ่านบริเวณถนนวิภาวดีรังสิต และกลุ่มผู้ชุมนุม กปปส. ที่ชุมนุมอยู่บริเวณอาคารที่เกิดเหตุ ให้ถึงแก่ความตายและเกิดความเสียหายแก่ทรัพย์สินได้ จำเลยทั้งสองกับพวกกระทำไปโดยตลอดแล้วแต่การกระทำไม่บรรลุผล เนื่องจากลูกกระสุนระเบิดตกห่างจากจุดที่นายประกิต กันยามา ผู้เสียหายที่ 1 ยืนอยู่ประมาณ 40 เมตร แล้วระเบิดขึ้น สะเก็ดระเบิดจึงไม่ถูกผู้ชุมนุมกลุ่ม กปปส.ถึงแก่ความตาย สมดังเจตนาของจำเลยทั้งสองกับพวก แต่มีสะเก็ดระเบิดกระเด็นถูกเสาอาคารโดมและต้นไม้ประดับของบริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด(มหาชน) ผู้เสียหายที่ 2 ได้รับความเสียหายคิดเป็นเงิน 20,000 บาท หลังเกิดเหตุเจ้าพนักงานตำรวจตรวจสอบบริเวณที่เกิดเหตุเก็บเศษสะเก็ดระเบิดได้ 1 ถุงเป็นของกลาง เหตุเกิดที่แขวงจตุจักร แขวงจันทรเกษม แขวงจอมพล แขวงลาดยาว เขตจตุจักร แขวงวังทองหลางเขตวังทองหลาง แขวงสามเสนนอก เขตห้วยขวาง แขวงอนุสาวรีย์ เขตบางเขน เขตสีกัน เขตดอนเมือง และแขวงตลาดบางเขน เขตหลักสี่ กทม.เกี่ยวพันกัน เจ้าพนักงานตำรวจจับจำเลยที่ 1 ได้ในวันที่ 16 กรกฎาคม 2557 แล้วจับจำเลยที่ 2 ได้ในวันที่ 22 กันยายน 2557 จำเลยทั้งสองเป็นบุคคลเดียวกับจำเลยในคดีอาญาหมายเลขดำที่ อ. 4334/2557 ของศาลนี้ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 33,80 ,83,91,221,288,289,358,371,376 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียมอาวุธปืนพ.ศ. 2490 มาตรา 42(2),7,8 ทวิ,38,55,72,72ทวิ,74,78 พระราชบัญญัติควบคุมยุทธภัณฑ์ พ.ศ.2530 มาตรา15,42 ริบของกลางและนับโทษต่อจากโทษของจำเลยทั้งสอง
ทั้งนี้จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ      
ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานโจทก์และจำเลยทั้งสองแล้ว มีประเด็นต้องวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 1 เป็นคนร้ายที่ร่วมกันพวกใช้อาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนยิงไปในที่เกิดเหตุหรือไม่ โจทก์มีนายยงยุทธ หรือชินจัง บุญดี เบิกความเป็นพยานว่า ได้โทรศัพท์หาจำเลยที่ 1 ให้มารับเพื่อเดินทางไปยิงระเบิดใส่กลุ่ม กปปส.ไม่ให้เดินมาปิดอาคารที่เกิดเหตุ โดยนัดพบกันที่บริเวณอนุสรณ์สถานหรือสนามกีฬาธูปเตมีย์ จำเลยที่ 1 ขับรถยนต์เก่งมารับ โดยนั่งด้านหลังและเป็นคนยิง หลังก่อเหตุเสร็จแล้วจึงนำอาวุธปืนดังกล่าววางไว้ในรถยนต์เก่งเช่นเดิม เห็นว่าแม่โจทก์จะมีนายยงยุทธเบิกความเป็นประจักษ์พยานเพียงปากเดียวว่า จำเลยที่ 1 เป็นผู้ร่วมก่อเหตุและคำเบิกความของนายยงยุทธซึ่งเป็นผู้ร่วมกระทำความผิดกับจำเลยที่ 1 ได้ให้การซัดทอดแต่นายยงยุทธก็มิได้ถูกฟ้องเป็นจำเลยในคดีนี้ และในชั้นสอบสวนนายยงยุทธให้การรับสารภาพและให้ข้อเท็จจริงไว้สอดคล้องกัน คำเบิกความของนายยงยุทธจึงรับฟังได้และโจทก์มีพ.ต.อ.เอกรักษ์ ลิ้มสังกาศ เจ้าพนักงานตำรวจร่วมซักถามปากำคำจำเลยที่ 1 ร่วมกับเจ้าหน้าที่ทหารมาเบิกความเป็นพยานว่า จากการซักถามจำเลยที่ 1 เล่าข้อเท็จจริงให้ฟังว่าร่วมกับนายยงยุทธใช้เครื่องยิงระเบิดเอ็ม 79 ยิงออกมาจากหน้าต่างของรถยนต์ โดยจำเลยที่ 1 รับเครื่องยิงลูกระเบิดมาจากนายไข่ที่บริเวณลานจอดรถยนต์ห้างอิมพีเรียลลาดพร้าว ซึ่งได้ลงบันทึกเป็นเอกสารหลักฐานสอดคล้องกันว่า จำเลยที่ 1 ทำหน้าที่ขับรถให้นายชินจัง ใช้เครื่องยิงระเบิดเอ็ม 79 ยิงใส่อาคารที่เกิดเหตุ และได้รับเงินจากจำเลยที่ 2 โดยโอนผ่านเข้าบัญชีนางพิสมัย หรือไหม งามผิว คนรักอีกคน ผ่านบัญชีธนาคารกสิกรไทย แม้จะมียอดเงินโอนไม่ตรงกับจำนวน 3,000 บาท แต่มีการโอนโดยไม่มีสมุดคู่ฝากหลังวันเกิดเหตุหลายครั้ง ซึ่งรวมจำนวนได้ 3,000 บาท และโจทก์ยังมี พ.ต.ท.เฉลียง อินทิพย์ พนักงานสอบสวน เบิกความเป็นพยานยืนยันว่า ในชั้นสอบสวนจำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพและให้การยืนยันข้อเท็จจริงในบันทึกการซักถามว่า มีชายคนหนึ่งนำถุงใส่เต็นท์มามอบให้จำเลยที่ 1พร้อมบอกว่าภายในบรรจุเครื่องยิงลูกระเบิดเอ็ม 79 พร้อมลูกระเบิด จำเลยที่ 1 จึงเก็บมาไว้ที่เบาะด้านหลังรถยนต์แล้วจำเลยที่ 1 จับรถยนต์ไปรับนายยงยุทธจนกระทั่งไปถึงถนนหอวังปากทางออกถนนวิภาวดีรังสิตขาเข้า จำเลยที่ 1 จอดรถ นายยงยุทธซึ่งนั่งอยู่บริเวณด้านหลังเบาะจึงเปิดกระจกข้างขวาแล้วใช้เครื่องยิงลูกระเบิดเอ็ม 79 เล็งและยิงไปยังอาคารที่เกิดเหตุ 1 นัด นอกจากนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจสน.พหลโยธินยังเบิกความว่า หลังควบคุมตัวจำเลยที่ 1 ได้ จึงพาไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพชี้สถานที่ต่างๆ อีกด้วย ดังนั้นพยานบุคคล พยานเอกสารและพยานวัตถุของโจทก์จึงล้วนสอดคล้องต้องกัน เชื่อว่าพยานโจทก์เบิกความด้วยความจริง ส่วนพยานหลักฐานของจำเลยที่ 1 ไม่มีน้ำหนักหักล้างพยานโจทก์ได้ จำเลยที่ 1 ถือเป็นตัวการร่วมกับพวกใช้อาวุธปืนและเครื่องกระสุนยิงไปในที่เกิดเหตุ และย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำว่า เมื่อยิงลูกระเบิดเอ็ม 79 แล้วสะเก็ดระเบิดจะไปถูกกลุ่มผู้ชุมนุมได้ แต่เมื่อการกระทำไม่บรรลุผล จำเลยที่ 1 จึงมีความผิดฐานร่วมกันพยายามฆ่าบุคคลอื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ฐานร่วมกันยิงปืนซึ่งใช้ดินระเบิดโดยใช่เหตุในเมือง หมู่บ้านและที่ชุมชน และฐานร่วมกันใช้อาวุธปืน เครื่องกระสุนปืนและวัตถุระเบิด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 นอกจากนี้เมื่อสะเก็ดระเบิดเอ็ม 79 กระเด็นไปถูกเสาอาคารโดมและต้นไม้ประดับของอาคารบริษัทเอสซีแอสเสท ฯ ได้รับความเสียหาย จึงมีความผิดฐานร่วมกันกระทำให้เกิดระเบิดอันเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่ทรัพย์ของผู้อื่นและมีความผิดฐานร่วมกันทำให้เสียทรัพย์ด้วย
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยต่อไปว่า จำเลยที่ 2 เป็นคนร้ายที่ร่วมกับจำเลยที่ 1 และพวกใช้อาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนยิงไปในที่เกิดเหตุหรือไม่ โจทก์มี ร.ต.ท.ทรงวุฒิ นิยมพงษ์ พนักงานสอบสวน สน.พหลโยธิน เบิกความเป็นพยานว่า ได้สอบปากคำและแจ้งข้อกล่าวหา จำเลยที่ 2 โดยจำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพว่า ได้โทรศัพท์แจ้งให้จำเลยที่ 1 ไปรับเครื่องยิงลูกระเบิดเอ็ม 79 ที่ชั้น 5 ห้องอิมพีเรียลลาดพร้าว แล้วจำเลยที่ 1 เดินทางไปรับเครื่องยิงลูกระเบิดที่ห้างดังกล่าว ต่อมาจึงไปรับนายยงยุทธไปก่อเหตุ จำเลยที่ 2 ให้การต่อว่า ไม่ได้โอนเงินค่าจ้างให้แก่จำเลยที่ 1 แต่โอนเป็นค่าใช้จ่ายรายวันให้ และมีพ.ต.ท.เฉลียง อินทิพย์ หนึ่งในคณะพนักงานสอบสวน เบิกความเป็นพยานว่า ชั้นสอบสวนได้แจ้งข้อหาเดียวกับชั้นจับกุม ซึ่งจำเลยให้การรับสารภาพ ตามบันทึกคำให้การของผู้ต้องหา เห็นว่า แม้พยานโจทก์ทั้งสองจะเป็นพยานบอกเล่า แต่คดีนี้คงมีเพียงตัวจำเลยที่ 1 คนเดียวที่จะให้การเป็นพยานในเรื่องดังกล่าวได้ แต่จำเลยที่ 1 เป็นจำเลยร่วมในคดีนี้ จำเลยที่ 1 จึงเป็นพยานไม่ได้ เพราะต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 232 ที่บัญญัติห้ามมิให้โจทก์อ้างจำเลยเป็นพยาน กรณีจึงเข้าข้อยกเว้นของมาตรา 226/3 วรรคสอง (2) ที่ถือว่ามีเหตุจำเป็นและเหตุผลพอสมควร ที่จะรับฟังพยานโจทก์ทั้งสอง ซึ่งเป็นพยานบอกเล่าได้ ซึ่งนอกจากโจทก์มีพยานโจทก์ทั้งสองเบิกความยืนยันการกระทำผิดของจำเลยที่ 2 แล้ว โจทก์ยังมีคำให้การรับสารภาพของจำเลยที่ 2 เป็นพยานหลักฐานสนับสนุน ตามบันทึกคำให้การของผู้ต้องหาที่มีข้อความระบุชัดว่า จำเลยที่ 2 กับพวกโทรศัพท์ปรึกษาหารือวางแผนกัน เพื่อจะยิงใส่ผู้ชุมนุมกลุ่ม กปปส.เพื่อให้เกิดความหวาดกลัวและเลิกชุมนุมและยังมีข้อเท็จจริงอื่นอีกว่าจำเลยที่ 2 เข้าร่วมกิจกรรมกับคนเสื้อแดงครั้งแรก จนกลุ่มดังกล่าวเปลี่ยนชื่อเป็นกลุ่มนปช.แล้วร่วมชุมนุมกับกลุ่มนปช.จนไปรู้จักกับผู้ร่วมก่อเหตุ ไปร่วมฝึกอาวุธที่เขาชะเมา ซึ่งเป็นสวนหลังบ้านจำเลยที่ 2 ไปซื้ออาวุธปืนเอ็ม 16 ไปเป็นการ์ดนปช. ไปรับเครื่องยิงลูกระเบิดเอ็ม 79 รับอาวุธปืนอาก้า หรือเอเค 47 มาไว้ก่อเหตุ เป็นหนึ่งในผู้ประสานให้ นายกฤษดาหรือดา ไชยแค ผู้ต้องหาปาลูกระเบิดแบบRGD 5 ใส่ผู้ชุมนุมกลุ่ม กปปส.ที่ถนนบรรทัดทอง และบริเวณอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ หลบหนีไปประเทศกัมพูชาทางด่านอรัญประเทศ ขับรถยนต์นำพวกไปปาระเบิดแบบ RGD 5 ใส่ผู้ชุมนุมกลุ่มกปปส.อำเภอแกลง จังหวัดระยอง และส่งมอบเครื่องยิงลูกระเบิดเอ็ม 79 ให้แก่พวก และต่อมาพวกเอาไปก่อเหตุหลายท้องที่ เช่น ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ หน้าห้างสรรพสินค้าบิ๊กซี สาขาราชดำริ แยกราชประสงค์เป็นต้น และยังเกี่ยวข้องกับการก่อเหตุอีกหลายครั้ง ซึ่งข้อเท็จจริงดังกล่าวยากที่พนักงานสอบสวนจะแต่งขึ้นเพื่อปรักปรำใส่ร้ายจำเลยที่ 2 ให้ได้รับโทษทางอาญาได้
พิพากษาว่าจำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 221,288,289(4),358,371,376 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 8 ทวิ วรรค ,38 วรรคหนึ่ง ,72 ทวิวรรคสอง, 78 วรรคหนึ่ง วรรคสาม พระราชบัญญัติควบคุมยุทธภัณฑ์พ.ศ. 2530 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง,42 ประกอบประมวลกฎหมายอาญามาตรา 80,83 การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานร่วมกันมีอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน หรือวัตถุระเบิดนอกจากที่กำหนดในกระทรวงและเป็นยุทธภัณฑ์ทางทหารไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียมอาวุธปืนพ.ศ. 2490 มาตรา 78 วรรคหนึ่งจำคุกคนละ 12 ปี ฐานร่วมกันพาอาวุธและเครื่องกระสุนปืนไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุอันสมควรและไม่ได้รับอนุญาต เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียมอาวุธ พ.ศ. 2490 มาตรา 72 ทวิ วรรคสองซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักสุด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุกคนละ 3 ปี ฐานร่วมกันพยายามฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ฐานร่วมกันยิงปืนซึ่งใช้ดินระเบิดโดยใช่เหตุในเมืองหมู่บ้านและชุมชน ฐานร่วมกันใช้อาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน และวัตถุระเบิด นอกจากที่กำหนดในกฎกระทรวงในการกระทำตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288 ฐานร่วมกันกระทำให้เกิดระเบิดอันเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่ทรัพย์สินของผู้อื่นและฐานร่วมกันทำให้เสียทรัพย์ เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานร่วมกันพยายามฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักสุดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 90 จำคุกจำเลยทั้งสองตลอดชีวิต จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษลดโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คนละ 1 ใน 3 คงจำคุกกระทงแรกคนละ 8 ปี จำคุกกระทงที่ 2 คนละ 2 ปี และจำคุกกระทงที่ 3 คนละ 33 ปี 4 เดือนรวมจำคุกทั้งสิ้นคนละ 43 ปี 4 เดือน ริบของกลางสวนที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อจากโทษของจำเลยทั้งสองในคดีอาญาหมายเลขดำที่ อ.4334/2557 ของศาลนี้นั้นไม่ปรากฏว่าคดีดังกล่าวศาลมีคำพิพากษาแล้ว จึงให้ยกคำขอส่วนนี้ของโจทก์

‘ศรีวราห์’ โต้ให้ข่าวพาดพิง 50ทหาร อัดสื่อเสนอไม่ตรงถามรับจ็อบใครมา เผยสำนวนคืบ 90%


6 พ.ย. 2558 จากกรณีเมื่อวันที่ 3 พ.ย.ที่ผ่านมา สื่อหลายสำนัก(ดู) รายงานตรงกันว่า พล.ต.ท.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รักษาราชการแทน รอง ผบ.ตร. ในฐานะหัวหน้าชุดสอบสวนคดีแอบอ้างสถาบันเบื้องสูงตามมาตรา 112 กล่าวถึงความคืบหน้าคดีนี้ว่า ขณะนี้ทางกองทัพยังไม่ได้เข้ามาแจ้งความหรือร้องทุกข์กล่าวโทษเพื่อให้ดำเนินคดีกับนายทหารที่กระทำความผิดตามที่ปรากฏเป็นข่าว แต่อาจมีการไปร้องทุกข์ที่กองบังคับการปราบปราม แต่ตอนนี้เรื่องยังมาไม่ถึงตน อย่างไรก็ตาม ในสำนวนที่ตนรับผิดชอบอยู่นั้น มีการให้การพาดพิงว่า มีนายทหารทั้งยศ พล.ต. และ พ.อ. มาเกี่ยวข้องพัวพัน 40 - 50 นาย โดยเป็นการซัดทอดกันไปมา แต่จนถึงขณะนี้ก็ยังไม่มีหลักฐานชัดเจนที่จะสามารถออกหมายจับทหารคนใดได้
ล่าสุดวันนี้ (6 พ.ย.58) ทีมข่าวอาชญากรรม ผู้จัดการออนไลน์ รายงานว่า พล.ต.ท.ศรีวราห์ กล่าวว่า ขณะนี้กองบังคับการกองปราบปรามรับสำนวนในคดีที่เกี่ยวข้องไว้ 10 กว่าเลขคดี สำนวนแรกในคดีความผิดมาตรา 112 ออกหมายจับ จับกุมผู้ต้องหา 3 คน กลุ่มของนายสุริยัน สุจริตพลวงศ์ หรือหมอหยอง และ พ.ต.ต.ปรากรม วารุณประภา หรือสารวัตรเอี๊ยด มีผู้ต้องหาเพียงแค่นี้ อยู่ระหว่างฝากขังผลัดที่ 2 ขณะนี้สำนวนคดีคืบหน้าไปกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ แต่ยังขาดหลักฐานทางวิทยาการ ทางเทคนิควิทยาศาสตร์ที่ต้องใช้เวลาในการตรวจสอบ หากพยานหลักฐานครบถ้วนก็อาจมีการออกหมายจับในคดีนี้เพิ่มเติมก็ได้ หากพยานหลักฐานพาดพิง มีมูลถึงใครก็ต้องดำเนินการไปตามกฎหมาย ส่วนคดีอื่นๆ นั้นคืบหน้าไปกว่า 70 เปอร์เซ็นต์ ส่วนจะออกหมายจับใครอีกหรือไม่อย่างไรนั้นอยู่ที่พยานหลักฐาน ยังไม่สามารถระบุได้ในขณะนี้ ยืนยันสอบสวนเรื่องนี้ทำตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง
โต้ให้ข่าวพาดพิง 50 ทหาร จวกสื่อเสนอคลาดเคลื่อน
พล.ต.ท.ศรีวราห์ กล่าวถึงกรณีที่มีการระบุว่ามีการพาดพิงถึงทหาร 40-50 นายในสำนวนนั้น ว่า กรณีที่เป็นข่าวมา 2-3 วันที่ผ่านมา ตนจำได้ว่าคุยกันนักข่าว 2-3 คน แต่จำไม่ได้ว่าเป็นใคร น้องๆ มาถามว่ามีใครเกี่ยวกับหมอหยองบ้าง ตนบอกว่ามีข้าราชการหลายสิบ เพราะตั้งสิบกว่าสำนวน ส่วนว่าจะจับใครได้บ้างก็บอกไปว่าจับตามหลักฐาน ไม่เคยระบุว่าจะจับนายทหารตั้งหลายคนซึ่งไม่มี ยังงงอยู่ว่าไปลงข่าวกันได้อย่างไร ไม่ตรงข้อเท็จจริงที่คุยกัน ส่วนที่เป็นข่าวว่ามีนายทหารหนีออกไป หรือลาออกจากราชการ ตนไม่ได้รับแจ้ง ยังไม่ทราบ ยังไม่ได้รับหลักฐานตรงนี้ จึงไม่มีข้อมูลนี้อยู่ในสำนวนการสอบสวน แต่นอกสำนวนตนไม่ทราบ
ผู้สื่อข่าวถามว่า ในสำนวนคดีของตำรวจไม่มีทหารเข้าไปเกี่ยวข้องเลย พล.ต.ท.ศรีวราห์กล่าวว่า ถูกต้อง ขอยืนยัน เมื่อถามว่าในการสอบปากคำหมอหยองมีการพาดพิงถึงทหารบ้างหรือไม่ รรท.รองผบ.ตร.กล่าวว่า เมื่อเขาอยู่กับทหารก็ต้องมีบ้าง แต่คำที่สื่อลงว่าพาดพิงซัดกันไปซัดกันมานั้น ตนดูแล้วคำนี้ต้องเป็นจำเลยซัดกันไปซัดกันมา หรือผู้ถูกจับซัดกันไปซัดกันมา มันไม่เกี่ยวว่าไปพาดพิงทหารคนไหน ถามต่อว่าจะพูดว่ามีการพูดถึง กล่าวอ้าง แต่ยังไม่มีความผิด หรือพบว่ามีความผิดได้หรือไม่ พล.ต.ท.ศรีวราห์กล่าวว่า ยังอยู่ระหว่างดำเนินการจะให้ตนไปลงถึงขนาดนั้นก็คงไม่ได้ เดี๋ยวจะไปเขียนว่าไปพาดพิง เกี่ยวข้องกับกองทัพอีก
“ผมเรียนอย่างนี้ ความรู้สึกผมไม่เข้าใจเหมือนกัน วันนั้นมีน้องๆ สื่อมาคุยกับผมที่หน้าประตู ที่หน้าตู้เอทีเอ็ม น้องๆ ที่มาคุยกับผมคงไม่มีปัญหาอะไรหรอก พอส่งข่าวไปในโรงพิมพ์แต่ทำไมโรงพิมพ์ไปเขียนอย่างนั้น ไม่ทราบเหมือนกันในเมื่อข้อเท็จจริงมันไม่มี การจะจับเจ้าหน้าที่ของรัฐตั้ง 40-50 คน ข้อเท็จจริงมันต้องชัดเจน ไม่ทราบว่าไปเขียนอย่างนั้นได้อย่างไร และยืนยันว่าการเขียนอย่างนั้นทำให้กองทัพเสียหาย ชาติบ้านเมืองเสียหาย ผมกำลังพิจารณาว่ามีเจตนาอะไร รับจ็อบใครมา จึงเขียนไปอย่างนั้น” รรท.รอง ผบ.ตร.กล่าว และว่า กองทัพไม่มีการสอบถามอะไรเรื่องนี้ ทางกองทัพเขาไม่มายุ่งกับเราหรอก
“ต้องรบกวนที่สื่อไปถามเจ้านายว่าให้อบรมคนให้ข่าว ว่าให้ข่าวอย่างนั้นได้อย่างไร ผมยืนยันว่าไม่เคยให้ข่าวจะจับนายทหาร 40-50 นาย ถ้าจริงก็เอาเทปมาเปิดดูกัน เพราะโดยหลักการ ธรรมชาติมันเป็นไปไม่ได้ ผมพูดหลายครั้งแล้วว่าโดยส่วนตัวถ้าสิ่งใดทำให้ชาติบ้านเมืองเสียหาย ผมก็ไม่ยอม ผมจำเป็นต้องใช้สิทธิของผม อาจจะสิทธิส่วนตัวในการดำเนินการ เพราะการที่ไปเขียนข้างหน้าอีกอย่าง ข้างในอีกอย่าง ของหนังสือพิมพ์บางฉบับ มันทำให้ชาติบ้านเมืองเสียหาย ทำให้กองทัพเสียหาย ทำให้แตกแยก ผมมองอย่างนั้น นี่คือมุมมองส่วนตัวผม” พล.ต.ท.ศรีวราห์กล่าว
เมื่อถามว่าสังคมอาจมองว่าตำรวจกำลังเกรงใจกองทัพหรือไม่ พล.ต.ท.ศรีวราห์กล่าวว่า นิสัยตนไม่มี อย่างที่สื่อมวลชนทราบดีว่าตนจับทุกกรณี ไม่ว่าจะเป็นใครที่ไหนอย่างไร ถ้าศึกษาประวัติตน ไม่ว่าคุณจะสวมเสื้อสีอะไร หรือเป็นข้าราชการระดับไหน ตนจับหมด ผมทำคดีประเภทแรงๆนี่มาตั้งแต่ปี 2535-2536 แล้ว ไม่ใช่เพิ่งจะมาทำตอนเป็นนายพล ทำมาเยอะ ว่ากันไปตามกบิลบ้าน กบิลเมือง
เมื่อถามว่าแสดงว่าในคำให้การของหมอหยองมีการพาดพิงคนอื่นจริงแต่ตำรวจยังไม่เชื่อ พล.ต.ท.ศรีวราห์กล่าวว่า ตามกฎหมายไม่ให้รับฟังการให้การของผู้ต้องหา เพราะจะให้การอย่างไรก็ได้ คำให้การของผู้ต้องหาสำหรับตนมีค่าเท่ากับ 0 ในกฎหมายไม่ให้รับฟัง สำหรับ น้องสาวหมอหยอง นั้นมีการเรียกมาสอบปากคำแล้วหรือไม่ จำไม่ได้ ต้องดูว่าเป็นการสืบสวนหรือสอบสวน ถ้าในชั้นสอบสวนไม่น่าจะมี จำไม่ได้ แต่ถ้าในชั้นสืบสวนตนไม่ทราบ ต้องถาม พล.ต.ท.ฐิติราช หนองหารพิทักษ์ ผบช.ก.
ผู้สื่อข่าวถามถึงข้อมูลก่อนหน้านี้ที่ระบุว่ามีทหารยศ พล.ต.และ พ.อ.เกี่ยวข้องกับคดี ม.112 พล.ต.ท.ศรีวราห์กล่าวว่า อย่างที่ตนพูดแล้วว่าเรื่องนี้ยังไม่เข้ามาในสำนวนของตน ยังไม่มีใครมาแจ้ง อยู่นอกสำนวน เมื่อถามต่อว่าแสดงว่าชุดสอบสวนยังสอบไปไม่พบประเด็นนี้ พล.ต.ท.ศรีวราห์กล่าวว่า ใช่ ยังไม่มี ที่สื่อลงไปเองนั้นตนไม่ทราบเพราะเป็นหลักฐานทางหนังสือพิมพ์
ผู้สื่อข่าวถามว่า กรณี พล.ต.อ.ประวุฒิ ถาวรศิริ อดีตที่ปรึกษา (สบ 10) การสอบสวนพบว่าเกี่ยวข้องหรือไม่ พล.ต.ท.ศรีวราห์กล่าวว่า ยังไม่มีใครแจ้ง เมื่อถามว่ามีการเชิญมาสอบถามข้อมูลหรือไม่ พล.ต.ท.ศรีวราห์กล่าวว่า ตนยังไม่เจอท่าน
เมื่อถามว่ากรณีที่พาดพิงถึงทหารและทางกองทัพก็แสดงความไม่พอใจ ตรงนี้ตำรวจกล้าจะดำเนินการกับทหารที่อาจเข้าไปเกี่ยวข้องกับคดีหรือไม่ พล.ต.ท.ศรีวราห์กล่าวว่า ไม่เกี่ยว ถ้าผิด กองทัพเขาคงไม่ปกป้อง เจ้านายเขาไม่ปกป้อง มีแต่ว่าผู้บังคับบัญชาระดับสูงของกองทัพได้กำชับกับตนว่าถ้าผิดก็ให้ว่าไปตามผิด ถูกก็ว่าไปตามถูก อย่าตกเป็นเครื่องมือ
เมื่อถามว่าทางกองทัพได้ประสานกับตำรวจในคดีนี้หรือไม่ พล.ต.ท.ศรีวราห์กล่าวว่า คดีนี้ส่วนใหญ่ทางทหารพระธรรมนูญก็เป็นผู้มาแจ้งความดำเนินคดี ทางกองทัพก็ดำเนินการในส่วนของเขาอยู่แล้ว
ถามถึงกรณีกองทัพประสานกับทางการพม่าให้ติดตามตัวทหารยศ พ.อ.ที่หลบหนีไป ถ้าตามตัวได้พนักงานสอบสวนต้องเรียกมาสอบสวนหรือไม่ พล.ต.ท.ศรีวราห์กล่าวว่า เรื่องนี้ตนไม่ทราบ ยังอยู่นอกสำนวน
เมื่อถามว่ามีภาพถ่ายนายทหารคู่กับหมอหยองจะต้องเรียกมาให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์หรือไม่ พล.ต.ท.ศรีวราห์กล่าวว่า ถ้ามีก็ได้ แต่ยังตอบไม่ได้ว่าจำเป็นต้องเชิญตัวมาให้ข้อมูลหรือไม่ ขณะนี้เจ้าหน้าที่กำลังสอบสวนหาข้อมูลจากผู้เกี่ยวข้องอย่างต่อเนื่อง เช่น นายศุกร์โข ตามเสรี ซึ่งเบื้องต้นมีเพียงคดีอาวุธปืน ชั้นนี้ยังไม่พบความผิดตามมาตรา 112 แต่ถือเป็นพยานปากสำคัญที่จะให้ข้อมูลเกี่ยวกับความผิดของผู้ที่เขาใกล้ชิด