7 มิ.ย. 2559 เมื่อวันที่ 6 มิ.ย. ที่ผ่านมา ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน รายงานว่า ศาลจังหวัดกำแพงเพชรนัดพร้อมและสอบคำให้การในคดีระหว่างพนักงานอัยการจังหวัดกำแพงเพชร กับ อัษฎาภรณ์ และ นพฤทธิ์ (สงวนนามสกุล) ในข้อหาความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และความผิดในการร่วมกันปลอมเอกสารราชการ จากกรณีการแอบอ้างสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ เพื่อเรียกผลประโยชน์กับทางวัดไทรงาม จ.กำแพงเพชร
ภายหลังการสอบคำให้การ ญาติของ นพฤทธิ์ จำเลยที่ 2 ยังได้ยื่นขอปล่อยตัวชั่วคราว ด้วยหลักทรัพย์เป็นโฉนดที่ดินราคาประเมิน 1.7 ล้านบาท แต่ศาลไม่อนุญาตให้ประกันตัว เพราะเห็นว่าคดีมีอัตราโทษสูง และมีหลายข้อหา หากปล่อยตัวชั่วคราว เกรงว่าจะหลบหนี โดยนับเป็นครั้งที่ 4 แล้ว ที่จำเลยยื่นขอประกันตัวและศาลมีคำสั่งไม่อนุญาต
สำหรับคดีนี้มีจำเลย 4 คน โดย อีก 2 คน คือ กิตติภพ และ วิเศษ (สงวนนามสกุล) เมื่อวันที่ 22 เม.ย.59 ทั้งคู่ ซึ่งเคยให้การปฏิเสธข้อหา ได้ยื่นขอกลับคำให้การต่อศาล เป็นรับสารภาพตามฟ้องโจทก์ทุกข้อหา และต่อมาเมื่อวันที่ 30 พ.ค.ที่ผ่านมา ศาลได้พิพากษาว่าจำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ให้ลงโทษจำคุก 4 ปี ความผิดข้อหาสวมเครื่องแบบของเจ้าพนักงานโดยไม่มีสิทธิ ให้ลงโทษจำคุก 4 เดือน และความผิดข้อหาร่วมกันปลอมเอกสารราชการ ให้ลงโทษจำคุก 3 ปี รวมโทษจำคุก 7 ปี 4 เดือน แต่จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์ต่อการพิจารณา จึงลดโทษให้กึ่งหนึ่ง เหลือโทษจำคุกคนละ 3 ปี 8 เดือน (อ่านรายละเอียด)
ขณะที่ อัษฎาภรณ์ และ นพฤทธิ์ ยังยืนยันให้การปฏิเสธข้อกล่าวหา ศาลจึงให้อัยการโจทก์แยกฟ้องเข้ามาเป็นคดีใหม่ และศาลได้นัดพร้อมคดีใหม่ โดยจำเลยทั้งสองได้จัดทำคำให้การเป็นลายลักษณ์อักษรมายื่นต่อศาล ยืนยันให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา และได้ขอให้ศาลนัดตรวจพยานหลักฐานในคดี ศาลจึงให้คู่ความนัดตรวจพยานหลักฐานในวันที่ 8 ส.ค.59 เวลา 9.00 น.
ศาลชี้ข้อ กม.ปมพระเทพไม่ใช่บุคคลตาม ม.112 วินิจฉัยไปไม่ทำให้คดีแล้วเสร็จ
ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิฯ รายงานด้วยว่า นพฤทธิ์ จำเลยที่ 2 และทนายความ ยังได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลวินิจฉัยชี้ขาดข้อกฎหมายเบื้องต้น ว่าคำฟ้องของโจทก์ไม่ครบองค์ประกอบความผิด เนื่องจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ไม่ใช่บุคคลตามความหมายแห่งประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ซึ่งศาลได้วินิจฉัยว่าการขอให้ศาลขี้ขาดปัญหาข้อกฎหมายเรื่ององค์ประกอบความผิดมาตรา 112 เท่ากับจำเลยต่อสู้ว่าไม่ได้กระทำความผิดตามฟ้อง ประกอบกับโจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองในความผิดฐานปลอมเอกสารราชการ แม้จะวินิจฉัยก็ไม่ทำให้คดีแล้วเสร็จ โจทก์ยังคงต้องนำสืบพยานในข้อหาอื่นอีก จึงเห็นควรให้มีการสืบพยานโจทก์และจำเลยให้เสร็จสิ้นก่อน และรอวินิจฉัยพร้อมกับคำพิพากษา
ทั้งนี้ ในการยื่นคำร้องขอให้ศาลวินิจฉัยข้อกฎหมายในการนัดพร้อมคดีในครั้งแรก ศาลก็วินิจฉัยว่าให้รอไว้พิจารณาพร้อมกับคำพิพากษาเช่นกัน แต่ในการอ่านคำพิพากษาในคดีที่จำเลยทั้งสองรับสารภาพดังกล่าว ศาลไม่ได้อ่านในส่วนรายละเอียดคดีและข้อวินิจฉัยทางกฎหมายต่างๆ จึงยังไม่ทราบรายละเอียดเนื้อหาในส่วนดังกล่าว