วันจันทร์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2558

เหี้ย หักหลัง เหี้ย 'วันชัย' เผย คว่ำ รธน. เป็นไปตามแผน ระบุมีผู้ก่อการ 5 คน


"วันชัย" เผยโหวตคว่ำร่าง รธน.เป็นไปตามแผน ยันไม่มีใบสั่งจาก "ประยุทธ์-บระวิตร-คสช." มีเพียงคณะก่อการประมาณ 5 คน จาก สปช.ด้านกฎหมายและด้านการเมือง พร้อมสาบานไม่มีใครทาบแลกเก้าอี้สภาขับเคลื่อน แต่พร้อมเข้าร่วมหากถูกเชิญจริง
 
6 ก.ย. 2558 เว็บไซต์เดลินิวส์รายงานว่านายวันชัย สอนศิริ  สมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ให้สัมภาษณ์ภายหลังการลงมติร่างรัฐธรรมนูญ ว่า คะแนนที่ปรากฏออกมาวันนี้ 135 คะแนนที่ไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ และงดออกเสียง 7 คะแนนนั้น เป็นไปตามแผนของคณะทำงานที่ทำงานเกี่ยวกับเรื่องนี้มาโดยตลอด 10 วัน โดยพวกเราทุกคนหลังจากรับรายละเอียดร่างรัฐธรรมนูญแล้วก็มาปรึกษากันเห็นว่าเนื้อหาในรัฐธรรมนูญมีปัญหา และพิจารณาข้อกฎหมาย รวมถึงข้อเท็จจริงว่าหากปล่อยให้ร่างรัฐธรรมนูญผ่านไปเพื่อทำประชามติต่อ มีแนวโน้มสูงที่จะก่อให้เกิดความขัดแย้ง และไม่ผ่านการทำประชามติ ดังนั้นคณะทำงานของพวกเรามีมติเห็นพ้องต้องกันว่าไม่รับร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ เริ่มจากคณะก่อการประมาณ 5 คน จาก สปช.ด้านกฎหมายและด้านการเมือง จากนั้นได้ขยายไปสายอดีตข้าราชการฝ่ายปกครอง สายแพทย์ สายสื่อมวลชน เพิ่มเป็น 35 คน ต่อมาขยายพูดคุยในส่วนต่างๆ รวมถึงสายทหาร จนได้ข้อมูลว่าเป็นคะแนนที่แน่นอนว่าไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ จำนวน 133 เสียง ซึ่งเป็นไปตามแผนทุกประการ แต่ขอยืนยันว่าผลโหวตในวันนี้ไม่ได้เกิดจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และหัวหน้า คสช. พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และรมว.กลาโหม รวมทั้งใน คสช.แต่เกิดจากสมาชิก สปช.เองที่เห็นว่าไม่ควรนำร่างฉบับนี้ไปให้ประชาชนลงมติ 
 
เมื่อถามว่าอยากฝากให้คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ 21 คน ดำเนินการอย่างไรต่อไป นายวันชัย กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีคงพิจารณาคนที่มีความรู้และความสามารถเข้าใจในเรื่องนี้ ข้อมูลต่างๆ ที่มีอยู่ในคณะกรรมาธิการ (กมธ.)ยกร่างรัฐธรรมนูญชุดปัจจุบัน สามารถนำไปทำได้ ไม่ต้องวิตกกังวล แม้ สปช.จะหมดภารกิจตามรัฐธรรมนูญชั่วคราวฯ ก็ยังมีสิทธิให้ข้อสังเกตและข้อเสนอ ส่วนที่มีการตั้งข้อสังเกตว่าแม้จะมีการร่างรัฐธรรมนูญใหม่ แต่เนื้อหาก็ยังมีคณะกรรมการยุทธศาสตร์ปฏิรูปและการปรองดองแห่งชาติ (คปป.)ก็ยังมีอยู่นั้น ตนคิดว่าอาจจะมีได้ แต่ต้องปรับปรุงบางเรื่อง 
 
เมื่อถามว่ามีการตั้งข้อสังเกตว่าสมาชิก สปช.ที่คว่ำร่างรัฐธรรมนูญ จะเข้าไปร่วมเป็นสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ นายวันชัย กล่าวว่า “ตัวผมเองเป็นประกัน จะให้สาบานก็ได้ ว่าไม่เคยมีใครมาติดต่อว่าเคลื่อนไหวเรื่องนี้แล้วจะได้เป็นสภาขับเคลื่อนฯ และผมไม่สนใจ เพราะไม่ใช่สาระสำคัญ  เนื่องจากเรามองประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนเป็นสำคัญ ไม่ได้มองเรื่องตำแหน่งอื่นใด" เมื่อถามย้ำว่าถ้ามีการเชิญมาจะรับหรือไม่ นายวันชัย กล่าวว่า “เชิญมาก็รับ เพื่อไปทำประโยชน์ให้ประเทศชาติ แต่ยังไม่มีใครติดต่อและเชิญ ส่วนที่มี สปช.บางคนเรียกร้องให้คืนค่าตอบแทนทั้งหมดนั้น ผมเฉย ๆ  ไม่ให้ความเห็น” 
 
ด้านนายเสรี สุวรรณภานนท์ สมาชิก สปช.ที่ลงมติไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ กล่าวว่า สาเหตุที่สมาชิก สปช.จำนวน 135 คนลงมติไม่เห็นชอบกับร่างรัฐธรรมนูญ มี 2 ปัจจัยสำคัญ คือ 1.เนื้อหาในร่างรัฐธรรมนูญ เช่น ระบบเลือกตั้ง สส. นายกฯคนนอก และคปป.ที่มีอำนาจเหนือกว่ารัฐบาลจากการเลือกตั้ง 2.สถานการณ์ภายนอก โดยต้องยอมรับว่าเวลานี้มีกลุ่มคนจำนวนมากไม่เห็นด้วยกับร่างรัฐธรรมนูญ ดังนั้นหากปล่อยให้ทำประชามติอาจก่อให้เกิดความขัดแย้งในวงกว้างได้อีก เมื่อโอกาสที่จะทำประชามติให้ผ่านเป็นไปได้ยาก เมื่อเราเห็นว่าข้างหน้าเป็นเหว แล้วยังจะกระโดดลงไปอีกหรือ และการที่ สปช.ไม่รับร่างรัฐธรรมนูญก็ไม่เป็นการตบหน้าคณะกมธ.ยกร่างฯ แต่อย่างใด เพราะต่างคนก็ต่างทำหน้าที่ เปรียบเหมือน กมธ.ยกร่างฯเป็นพ่อครัวทำอาหารมาให้ สปช.ชิม เมื่อไม่อร่อยจะให้บอกว่าผ่าน คงไม่ได้ 
 
ขณะที่นายนิรันดร์ พันทรกิจ สมาชิก สปช. กล่าวว่า คะแนนของสมาชิก สปช.ที่ไม่เห็นชอบกับร่างรัฐธรรมนูญจำนวน 135 เสียง ถือว่าเป็นที่น่าพอใจ แต่ต่ำกว่าเป้าที่วางไว้ 5 เสียง เชื่อว่าสาเหตุที่ สปช.ลงมติไม่เห็นด้วยนั้น มาจากการหารือแลกเปลี่ยนข้อมูลในข้อดีและข้อเสียของร่างรัฐธรรมนูญ โดยไม่มีการล็อบบี้ สำหรับกรณีที่มีการอ้างว่าให้มีการลงมติไม่เห็นด้วยกับร่างรัฐธรรมนูญเพื่อแลกกับตำแหน่งสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศนั้น ยืนยันว่าไม่เป็นความจริง

จดหมายเปิดผนึกนักเรียน ม.5 ขออภัยที่ทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ตกใจ


พริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือ เพนกวิน ผู้ถูกควบคุมตัวหลังชูป้ายเตรียมถามนายกฯ ล่าสุดเขาเขียนจดหมายเปิดผนึกขออภัยหากทำให้พล.อ.ประยุทธ์ตกใจ เหตุไม่ได้แจ้งล่วงหน้า หวังคนอื่นๆ จะสามารถแสดงความเห็นถึงผู้มีอำนาจได้ในอนาคต
7 ก.ย. 2558 - กรณีที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. มากล่าวปาฐกถาเนื่องในงานวันต่อต้านคอร์รัปชัน ประจำปี 2558 ที่บางกอกคอนเวนชันเซ็นเตอร์ โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ และเปิดโอกาสให้ผู้ฟังตั้งคำถามโดยกล่าวว่า "มีใครจะถามอะไรไหม" จากนั้น พริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือ เพนกวิน นักเรียนชั้น ม.5 และเลขาธิการกลุ่มการศึกษาเพื่อความเป็นไท เตรียมตั้งคำถามและชูป้ายเขียนข้อความว่า "สอนเด็กไทยไม่ให้โกง ใช้เหตุสร้างจริยธรรม ดีกว่าท่องจำหน้าที่พลเมือง #จากใจนักเรียนถึงลุงตู่"  ทำให้ถูกเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยประจำตัวนายกรัฐมนตรีควบคุมตัวออกจากห้อง ก่อนถูกส่งมาที่ สน.ปทุมวัน เพื่อทำการซักถามประวัติก่อนปล่อยตัวนั้น
ต่อมาพริษฐ์ เมื่อเวลาประมาณ 23.00 น. วันที่ 7 ก.ย. พริษฐ์ได้เขียนจดหมายเปิดผนึกถึงนายกรัฐมนตรี ผ่านการตั้งสเตตัส มีใจความดังนี้

เรียน ท่านนายกรัฐมนตรี
ต้องขออภัยท่านนายกรัฐมนตรีเป็นอย่างยิ่งที่ในวันนี้ผมได้นำข้อเสนอที่ร่างจากใจจริงของกลุ่มการศึกษาเพื่อความเป็นไทไปยื่นแด่ท่านโดยมิได้แจ้งไว้ล่วงหน้า ซึ่งอาจจะทำให้ท่านเกิดความตกใจหรือไม่ได้เตรียมตัวมาก่อน และผมเสียใจเป็นอย่างยิ่งที่สุดท้ายจดหมายของผมก็ไม่สามารถนำส่งถึงมือท่านได้ด้วยตนเอง เพื่อความบริสุทธิ์ใจผมจึงขอเรียนท่าน 3 ประการ ดังนี้
1. ท่านอาจมองว่าการกระทำของผมเป็นการกระทำที่ไร้มารยาทและผิดกาละเทศะที่ไม่ยื่นจดหมายตามระบบระเบียบราชการ ผมจึงขอเรียนว่าที่ผมจำเป็นต้องเสียมารยาทนั้น ก็เพื่อให้ท่านสามารถรับสาส์นจากผมได้โดยตรง ไม่ตกหล่นหรือผิดเพี้ยนจากเจตนาเดิมไปหากไม่สามารถยื่นส่งถึงท่านได้โดยตรง
2. ท่านอาจมองว่า การกระทำของผมนั้นเป็นการจัดฉาก ถูกยุยง มีเบื้องหลังหรือหวังผลทางการเมืองหรือไม่ ผมขอชี้แจงว่าเบื้องหลังการกระทำของผมมีเพียงความจริงใจและความหวังดีที่มีต่ออนาคตของประเทศไทย ไม่มีผู้ใดยุยงส่งเสริมทั้งสิ้น ข้อเสนอของผมเป็นเพียงการเรียนปรัชญาและจริยศาสตร์ซึ่งจะสร้างจริยธรรมให้นักเรียนได้ดีกว่าแทนวิชาแทนหน้าที่พลเมืองแต่เพียงเท่านั้น
3. ในประการสุดท้ายนี้ ผมก็เป็นเพียงเด็กธรรมดาคนหนึ่ง ไม่ได้มีความสามารถพิเศษไปกว่าใครอื่นเลย หากแต่ในวันนี้ผมเห็นประโยชน์ของส่วนรวมสำคัญกว่าตนเองจึงกล้าที่จะลุกขึ้นพูดเพื่ออนาคตการศึกษาไทย ยังมีผู้คนอีกมากที่มิได้มีโอกาสเช่นนั้น ขอให้ท่านเปิดรับฟังความคิดเห็นของประชาชน รวมถึงนักเรียนตัวเล็ก ๆ อย่างเช่นผม เพราะสุดท้ายแล้ว ทุกเสียงจะขับเคลื่อนประเทศไทยให้ก้าวหน้าไปด้วยกัน
สุดท้ายนี้ ถึงแม้ว่าท้ายที่สุดผมจะถูกควบคุมตัวไปยังสถานีตำรวจนครบาลปทุมวัน แต่ผมไม่มีความโกรธเกลียดชังแก่ผู้ใดเลย ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่ที่ควบคุมตัวผมออกไป หรือเจ้าหน้าที่ที่สอบสวนผม ทุกท่านปฏิบัติตามหน้าที่และปฏิบัติต่อผมด้วยดี ทั้งนี้ ผมหวังว่าในอนาคตจะไม่เพียงแต่ผมและคนอื่น ๆ ที่สามารถแสดงความคิดเห็นของตนถึงผู้มีอำนาจได้ แต่จะเป็นทุกคนที่สามารถพูดในสิ่งที่ตนเชื่อมั่นศรัทธาจากก้นบึ้งของหัวใจ
ด้วยรัก
พริษฐ์ ชิวารักษ์ นักเรียนที่พยายามยื่นหนังสือให้ท่านในวันนี้

ขบวนการประชาธิปไตยใหม่ ชี้ สปช. คว่ำร่าง รธน. แค่ปาหี่สืบทอดอำนาจ


ขบวนการประชาธิปไตยใหม่ออกแถลงการณ์ ชี้การล้มร่างรัฐธรรมนูญ เป็นแค่ปาหี่สืบทอดอำนาจ คสช. ระบุ คสช. หมดความชอบธรรมแล้ว ย้ำกระบวนการยกร่างครั้งใหม่ คณะกรรมาธิการต่อมาจากการเลือกตั้ง
6 ก.ย. 2558 16.10 น. ที่ห้องห้องบรรยายโครงการปริญญาเอก คณะสังคมวิทยาและมนุษยวิทยา ชั้น 4 อาคารสังคมสงเคราะห์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ ขบวนการประชาธิปไตยใหม่และกลุ่มเครือข่าย ได้จัดงานแถลงข่าวต่อกรณี การโหวตคว่ำร่างรัฐธรรมนูญของ สภาปฏิรูปแห่งชาติ(สปช.)
พงษ์นริทร์ นนท์ค่ำ เป็นตัวแทนขบวนการประชาธิปไตยใหม่อ่านแถลงการณ์โดยระบุว่า กระบวนการร่างรัฐธรรมนูญที่มาผ่านทั้งหมด เรื่อยมาจนถึงการลงมติไม่เห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญ โดยสมาชิก สปช. เป็นเพียงการเล่นละครตบตาประชาชนเท่านั้น ซึ่งทำทีว่าให้มีการกลั่นกรองโดย สปช. เป็นการสร้างภาพให้มีการปกครองด้วยกฏหมาย ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้ว สปช. เป็นองค์กรที่มีจุดกำเนิดจาก คสช. ทั้งองค์กร การลงมติไม่รับร่างรัฐธรรมนูญจึงถือเป็นเพียงการแสดงละครฉากหนึ่ง เพื่อเป็นการยึดอายุให้กับอำนาจเผด็จการ พร้อมประกาศจุดยื่นว่า “ขบวนการประชาธิปไตยใหม่ ขอประกาศจุดยืน ไม่ยอมรับการสืบทอดอำนาจของ คสช. และขอเรียกร้องให้ คสช. แสดงความรับผิดชอบต่อการบริหารประเทศที่ล้มเหลวในทุกๆ ด้าน หากมิเช่นนั้นแล้ว ขบวนการประชาธิปไตยใหม่จะรณรงค์การต่อสู้กับ คสช. ให้ถึงที่สุด”
ด้านสิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์  ได้แสดงความเห็นว่า การออกมาต่อต้านร่างรัฐธรรมนูญของทางกลุ่มก่อนหน้านี้ มีสาเหตุจาก กระบวนการร่างรัฐธรรมนูญไม่ได้มีความยึดโยงใดๆ กับประชาชน แม้ถึงที่สุด สปช. ได้ลงมติคว่ำร่างรัฐธรรมนูญแล้ว  แต่ยังต้องจับตาต่อไปว่า กระบวนการร่างรัฐธรรมนูญที่กำลังจะเกิดขึ้นอีกครั้งจะเป็นอย่างไร หากการตั้งคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญชุดใหม่ กลับไปเป็นหน้าที่อำนาจของ คสช. อีก ปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นก็จะไม่มีวันจบ และจะวนกลับมาที่เดิมอีกครั้ง พร้อมเสนอว่า กระบวนการร่างรัฐธรรมนูญใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้นต้องเป็นกระบวนการที่ประชาชนมีส่วนร่วมมากที่สุด คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญจะต้องมาจากการเลือกตั้งของประชาชน
ขณะเดียวกัน รังสิมันต์ โรม ได้แสดงความคิดว่า ตลอดเวลา 1 ปี 3 เดือน 16 วัน ประชาชนสูญเสียเงินภาษีจำนวนมาก ซึ่งถูกจ่ายเป็นเงินเดือนให้กับคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ สปช. สนช. คสช. และรัฐบาล ซึ่งบุคคลเหล่านี้ไม่มีความเชือมโยงใดๆ กับประชาชน และตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมาไม่ได้มีผลงานอะไร นอกจากการจับกุ่มผู้เห็นต่าง
รังสิมันต์ กล่าวต่อไปว่า การคว่ำร่างรัฐธรรมนูญ นั้นเป็น การลงมติโดยคนของ คสช. แทบทั้งสิ้น ฉะนั้น คสช. จึงไร้ความชอบธรรมในการอยู่ในอำนาจต่อไป พร้อมเรียกร้องให้ คสช. รับผิดชอบต่อเงินทุกบาททุกสตางค์ที่เสียไปกับการร่างรัฐธรรมนูญครั้งนี้
“มันถึงเวลาแล้วหรือยังที่ คสช. จะหมดความชอบธรรม…มติที่ออกมาในวันนี้เราก็เห็นแล้วว่าคนที่โหวตไม่รับร่างรัฐธรรมนูญเป็นคนมีสีทั้งสิ้น มันคือบ้านทรายทองหรือกระไร รัฐบาลกำลังเป็นดาวพระศุกร์อย่างนั้นหรือ ที่เล่นละครตบตาประชาชนแล้วหวังว่าประชาชนจะเชื่อ ผมไม่คิดว่า คสช. จะมีความชอบธรรมใดๆ แล้ว” รังสิมันต์กล่าว

ทนายร้อง ผบ.ตร. ถอดยศทักษิณไม่ถูกต้อง จี้เอาผิด ‘ประยุทธ์-คสช.’ ตาม ม.112


7 ก.ย.2558 กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ รายงานว่า ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เมื่อเวลา 10.30 น. วันที่ 6 ก.ย. ธนเดช พ่วงพูล ทนายความเอกชนแห่งหนึ่ง เข้ายื่นหนังสือเกี่ยวกับกรณีการถอดยศของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ต่อพล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ให้พิจารณาเรื่องดังกล่าวอีกครั้งในกรณีที่มีการถอดยศนั้นไม่ครบตามกระบวนการที่ถูกต้อง  
โดยมีนายตำรวจเวรประจำวัน เป็นผู้รับหนังสือแทน หลังจากที่ทางพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ออกคำสั่งที่ 26/2558 ในการดำเนินการเพื่อถอดยศ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายทักษิณ ชินวัตร โดยอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557 เนื่องจากพิจารณาเห็นแล้วว่า เป็นกรณีกระทบต่อความมั่นคงแห่งชาติ และความจำเป็นที่ต้องดำเนินการเป็นการด่วน ทั้งนี้ ได้ตรวจสอบคำสั่งข้อกฎหมายว่าด้วยการถอดยศตามระเบียบของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ 2547 แล้วเห็นว่ามีมูล สมควรใช้อำนาจของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ จึงมีคำสั่งให้ถอดยศ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ออกจากยศตำรวจ ที่ได้ลงไว้ ณ วันที่ 5 กันยายน 2558 ที่ผ่านมา
ธนเดช กล่าวว่า การมายื่นหนังสือในวันนี้ (6 ก.ย.) เพื่อเรียกร้องให้พล.ต.อ.สมยศ ดำเนินการเรื่องการถอดยศตามกระบวนการให้ครบตามขั้นตอนของพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ 2547 มาตรา 28 เนื่องจากการใช้อำนาจตามมาตรา 44 ไม่อาจจะยกเว้นการปฏิบัติตามที่กฎหมายกำหนดไว้ได้ จึงอยากให้ดำเนินการตามกฎหมายกับ พล.อ.ประยุทธ์ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 โดยยืนยันว่าการมาเรียกร้องในวันนี้ ไม่ได้รับการว่าจ้างอดีตนายกรัฐมนตรี และไม่เคยติดต่อกันมาก่อน ซึ่งตนก็มาเพียงในฐานะของนักกฎหมายเท่านั้น ไม่ได้มีความสัมพันธ์กับ พ.ต.ท.ทักษิณแต่อย่างใด หลังจากนี้จะไม่ไปยื่นเสนอเรื่องนี้กับทาง คสช. แต่ต้องการให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติเป็นผู้ดำเนินการ
นอกจาก ธนเดช  เรียกร้องให้ดำเนินคดีกับ พล.อ.ประยุทธ์ แล้ว มติชนออนไลน์ ยังรายงานด้วยว่า ธนเดช  เห็นว่า คสช.และคณะกระทำการไม่บังควรและเข้าข่ายความผิดตามมาตรา 112 จึงอยากให้ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติดำเนินการกับผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย
พร้อมรายงานด้วยว่า การเดินทางมาในครั้งนี้ ของ ธนเดช เขาระบุว่า มาในนามส่วนตัว

ศาลทหาร 'ไม่สบายใจ' ความเห็นออนไลน์ต่อการพิจารณาคดีสิรภพ


7 ก.ย. 2558 ที่ศาลทหารกรุงเทพ ศาลนัดสืบพยานโจทก์ คดีสิรภพ หรือ ‘รุ่งศิลา’ ฝ่าฝืนคำสั่งให้ไปรายงานตัวของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 41/2557
ศูนยทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน รายงานว่า ในระหว่างพิจารณาคดี ศาลได้แจ้งให้ อานนท์ นำภา ทนายความจำเลย จากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ทราบถึงการนำเอาคำเบิกความ และการดำเนินกระบวนพิจารณาของศาลไปเผยแพร่ในระบบอินเทอร์เน็ต เป็นช่องทางให้ผู้อื่นมาแสดงความคิดเห็นที่น่าจะเกิดความเสียหายได้ ซึ่งศาลไม่สบายใจต่อความคิดเห็นของบุคคลอื่นในโพสต์ที่เกี่ยวข้องกับคำเบิกความของ พ.อ.บุรินทร์ ทองประไพ และโพสต์ที่เกี่ยวกับการตั้งข้อสังเกตในการพิจารณาของศาล บนเฟซบุ๊กส่วนตัวของทนายอานนท์ นำภา
อานนท์ รับทราบและชี้แจงว่า คดีนี้มีการพิจารณาคดีโดยเปิดเผย การนำเอาข้อความหรือการดำเนินกระบวนพิจารณาไปเผยแพร่ย่อมสามารถกระทำได้ อย่างไรก็ดี ทนายความจำเลยจะใช้ความระมัดระวังอย่างยิ่งยวด เพื่อให้ได้สัดส่วนของการดำเนินกระบวนพิจารณาให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย และจะพิจารณาให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย และจะพิจารณาปิดกั้นข้อความการแสดงความคิดเห็นที่ผิดกฎหมาย
นอกจากนี้ ทนายความจำเลย ยังขอเรียนต่อศาลว่า ในการดำเนินกระบวนพิจารณาของคดีทางการเมือง มีความจำเป็นที่จะต้องสื่อสารถึงความคืบหน้าและกระบวนการต่างๆ เพื่อให้เกิดความโปร่งใส และให้ประชาชนทราบถึงกระบวนการต่างๆ ซึ่งทนายความทราบถึงความละเอียดอ่อนของกระบวนการพิจารณาในศาลทหาร และให้คำมั่นว่าจะใช้ความระมัดระวัง สื่อสารภายในกรอบของกฎหมาย เพื่อให้กระบวนพิจารณาเป็นไปด้วยความเรียบร้อยและรักษาหลักการแห่งสิทธิเสรีภาพต่อไป
ทั้งนี้ อานนท์ นำภา เคยถูกศาลเรียกพบ เพื่อแสดงความไม่สบายใจต่อการแสดงความคิดเห็นออนไลน์ ในลักษณะคล้ายกันนี้มาแล้ว 2 ครั้ง ที่ศาลทหารกรุงเทพ และศาลจังหวัดทหารบกเชียงราย
ส่วนการสืบพยานโจทก์ในวันนี้ พยานติดราชการ ศาลจึงเลื่อนนัดไปวันที่ 4 พ.ย. 58
อานนท์ ให้สัมภาษณ์เพิ่มเติมว่า ส่วนคดีในความผิดฐานละเมิดมาตรา 112 ของประมวลกฎหมายอาญา และมาตรา 14(3) ของพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์นั้น ยังไม่มีการนัด เพราะต้องรอศาลอาญาทำความเห็นกลับมาก่อนว่าอยู่ในอำนาจศาลใด
สำหรับ สิรภพ หรือผู้ใช้นามแฝง รุ่งศิลา กวีและบล็อกเกอร์ที่ถูกคุมขังมาตั้งแต่ 1 ก.ค. 2557 จากคดีมาตรา 112 และพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ และถูกแจ้งข้อหาฝ่าฝืนคำสั่ง คสช. ไม่มารายงานตัว เมื่อวันที่ 22  ม.ค.
ก่อนการสืบพยาน ศาลทหารได้อ่านคำสั่งยกคำร้องกรณีที่จำเลยขอให้ศาลทหารส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความว่า การนำพลเรือนขึ้นศาลทหารและการให้มีการพิจารณาโดยไม่อุทธรณ์ ฎีกาได้นั้นขัดรัฐธรรมนูญหรือไม่ โดยศาลทหารระบุว่าศาลทหารมีอำนาจพิจารณาคดี และไม่มีอำนาจส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความ

ศาลอนุญาตนักข่าวฮ่องกงมีเสื้อเกราะ ออกไทยได้แล้ว แต่ต้องกลับมารายงานตัว


7 ก.ย. 2558 ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน รายงานว่า ศาลจังหวัดสมุทรปราการมีคำสั่งคืนหนังสือเดินทางและอนุญาตให้ ควาน ฮอก จุน นักข่าวฮ่องกง ประจำสำนักข่าวดิ อินนิเชี่ยม มีเดีย ฮ่องกง (The Initium Media Hongkong) ซึ่งตกเป็นผู้ต้องหาคดีมียุทธภัณฑ์ไว้ในครอบครองตามมาตรา 15 พระราชบัญญัติควบคุมยุทธภัณฑ์ พ.ศ.2530 สามารถเดินทางออกนอกประเทศไทยได้
หลังรายงานตัวต่อศาลเป็นครั้งแรก ตามกำหนดนัดในวันนี้ ควาน ฮอก จุน ได้ยื่นคำร้องขออนุญาตเดินทางออกราชอาณาจักร และขอคืนหนังสือเดินทางต่อศาลจังหวัดสมุทรปราการ โดยให้เหตุผลว่าตนเดินทางเข้ามาประเทศไทยเพื่อทำข่าวการระเบิดที่แยกราชประสงค์เมื่อวันที่ 17 ส.ค. 58 เนื่องจากมีคนฮ่องกงบาดเจ็บและเสียชีวิตจากเหตุดังกล่าว โดยทางสำนักงานจึงได้มอบเสื้อเกราะซึ่งมีคำว่า PRESS ไว้ให้ใช้เนื่องจากเห็นว่าสถานการณ์ในประเทศไทยไม่ปลอดภัย แต่เมื่อตนจะเดินทางกลับประเทศกลับถูกควบคุมตัวไว้ในวันที่ 23 ส.ค. 58
ต่อมาศาลได้มีคำสั่งอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวในระหว่างสอบสวน โดยกำหนดเงื่อนไขห้ามเดินทางออกนอกราชอาณาจักร และให้ยึดหนังสือเดินทางของตนไว้ แต่เนื่องจากตนมีอาชีพนักข่าวหากไม่สามารถเดินทางออกนอกประเทศได้ย่อมกระทบต่อหน้าที่การงาน และตนยังอยู่ในฐานะผู้ต้องหาย่อมต้องได้รับการสันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ การที่ศาลอนุญาตให้ตนเดินทางออกนอกประเทศได้ จะทำให้ตนยังสามารถรักษาหน้าที่การงานและสามารถหาค่าใช้จ่ายในคดีได้
ทั้งนี้ ควาน ฮอก จุน มีความประสงค์จะต่อสู้คดีเพราะเห็นว่าเป็นคดีไม่ร้ายแรงและหากหลบหนีก็จะมีผลต่ออาชีพนักข่าวซึ่งต้องเดินทางไปต่างประเทศเป็นประจำ
สำหรับคดีดังกล่าวยังอยู่ระหว่างการสอบสวน เนื่องจากพนักงานสอบสวนให้เหตุผลในคำร้องขอฝากขังครั้งที่สองว่า ยังมีพยานบุคคลที่ต้องสอบสวนอีกสามปาก และอยู่ระหว่างการรอผลตรวจของกลาง รวมถึงตรวจพิสูจน์ลายนิ้วมือผู้ต้องหา โดยศาลอนุญาตให้พนักงานสอบสวนฝากขังต่อในระหว่างวันที่ 5-16 ก.ย. 58
อย่างไรก็ดี วันนี้ศาลได้สั่งคืนหนังสือเดินทางและอนุญาตให้ ควาน ฮอง จุน สามารถเดินทางออกนอกราชอาณาจักรได้โดยต้องกลับมารายงานตัวต่อศาลอีกครั้งในวันที่ 17 ก.ย. 58

แถลงการณ์สำนักพระราชวังเรื่องพระเจ้าอยู่หัวฯ ประทับ รพ.ศิริราช ฉบับที่ 15


สำนักพระราชวังออกแถลงการณ์เรื่องพระพลานามัยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ซึ่งเสด็จพระราชดำเนินมาประทับ ณ โรงพยาบาลศิริราช เพื่อรับการตรวจและรักษา ตามคำกราบบังคมทูลของคณะแพทย์ผู้ถวายการรักษา
7 ก.ย. 2559 - สำนักพระราชวังเผยแพร่แถลงการณ์ แถลงการณ์สำนักพระราชวัง เรื่อง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จฯ มาประทับ ณ โรงพยาบาลศิริราช ฉบับที่ 15 มีรายละเอียดดังนี้
แถลงการณ์สำนักพระราชวัง
เรื่อง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จฯ มาประทับ ณ โรงพยาบาลศิริราช
ฉบับที่ 15
ตามที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จพระราชดำเนินมาประทับ ณ โรงพยาบาลศิริราช เพื่อรับการตรวจและรักษา ตามคำกราบบังคมทูลของคณะแพทย์ผู้ถวายการรักษา ในระหว่างที่ประทับอยู่ ณ โรงพยาบาลศิริราช พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระเสมหะ และมีพระปรอท (ไข้) ต่ำ ๆ เป็นครั้งคราว อัตราการเต้นของพระหทัยเป็นปรกติ ซึ่งสำนักพระราชวังได้แถลงให้ทราบมาเป็นระยะ ๆ แล้วนั้น
เมื่อวันที่ 3 กันยายน 2558 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระปรอท (ไข้) สูงร่วมกับพระอาการพระวรกายหนาวสั่น ความดันพระโลหิตลดลง การหายพระหทัยเร็วขึ้น และอัตราการเต้นของพระหทัยเร็วขึ้น มีพระเสมหะมาก ระดับความเข้มข้นของออกซิเจนในกระแสพระโลหิตลดลง ผลการตรวจพระโลหิต ปรากฏว่า มีลักษณะติดเชื้อ ผลการตรวจเอกซเรย์พระอุระ (อก) พบว่ามีการอักเสบของพระปัปผาสะ (ปอด) ข้างขวา คณะแพทย์ฯ ได้ถวายการตรวจด้วยการส่องกล้องดูภายในหลอดพระวาโย (หลอดลม) พบมีการอักเสบของผนังหลอดพระวาโย (หลอดลม) ข้างขวาและข้างซ้ายบางส่วน ผลการตรวจย้อมและเพาะเชื้อพระเสมหะพบมีการติดเชื้อแบคทีเรีย คณะแพทย์ฯ จึงได้ถวายพระโอสถปฏิชีวนะและน้ำเกลือทางหลอดพระโลหิต และได้ถวายออกซิเจนผสมอากาศร่วมด้วย
วันนี้ อัตราการเต้นของพระหทัยเป็นปรกติ ผลการตรวจพระหทัยด้วยเครื่องมือตรวจคลื่นไฟฟ้าไม่เปลี่ยนแปลงจากเดิม อัตราการหายพระทัยยังมีเร็วบ้างเป็นครั้งคราว ความดันพระโลหิตเป็นปรกติ พระปรอท (ไข้) ลดลงเกือบเป็นปรกติ บรรทมได้ดี คณะแพทย์ฯ ยังคงถวายพระโอสถปฏิชีวนะและน้ำเกลือทางหลอดพระโลหิต และถวายออกซิเจนผสมอากาศตามความจำเป็นต่อไป
จึงประกาศมาเพื่อทราบโดยทั่วกัน
สำนักพระราชวัง
7 กันยายน พุทธศักราช 2558

ป้าย ‘หยุด!สืบทอดอำนาจ’ รถถังบนพานรธน. โผล่หน้าหอศิลป์ฯ


7 ก.ย. 2558 ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเมื่อเวลา 17.23 น. พบป้ายผ้าผ้าข้อความ “หยุด!สืบทอดอำนาจ” นอกจากนี้ยังมีข้อความว่า “ขบวนการประชาธิปไตยใหม่” ด้วย โดยมีภาพรถถังอยู่บนพานรัฐธรรมนูญ
ภาพโดย Natthisa Patthamaphonphong 
จากการตรวจสอบเฟซบุ๊กแฟนเพจ ‘ขบวนการประชาธิปไตยใหม่ New Democracy Movement – NDM’ มีการโพสต์ภาพดังกล่าวด้วยเช่นกันเมื่อเวลา 17.46 น. ที่ผ่านมา พร้อมคำบรรยายภาพด้วยว่า “หยุด!สืบทอดอำนาจ #‎ขบวนการประชาธิปไตยใหม่ เวลา 17.45 น. บริเวณสกายวอร์ค หน้าหอศิลป์”

 
โดยวานนี้ ขบวนการประชาธิปไตยใหม่และกลุ่มเครือข่าย ได้จัดงานแถลงข่าวต่อกรณี การโหวตคว่ำร่างรัฐธรรมนูญของ สภาปฏิรูปแห่งชาติ(สปช.) โดยระบุว่า เป็นแค่ปาหี่สืบทอดอำนาจ คสช. โดยชี้ให้เห็นว่า คสช. เองนั้น หมดความชอบธรรมแล้ว พร้อมเสนอกระบวนการยกร่างครั้งใหม่โดยให้คณะกรรมาธิการต่อมาจากการเลือกตั้ง (อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม)