วันศุกร์ที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2554


ชัยชนะของคนเสื้อแดงอย่างคุณ คือ อะไร?


ศุกร์ ที่ 9 เดือน กันยายน พ.ศ.2554

          ข้อความจากเวบบอร์ดกลุ่มสื่อประชาชน โดยผู้ที่ใช้นามว่า "คุณแม่ปังคุง" เขียนบรรยายความรู้สึกของตนเอง เกี่ยวกับการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยในฐานะผู้สวมใส่เสื้อแดงผู้คลุกอยู่วงใน แต่พอออกมาอยู่วงนอก อยู่ข้างเวที กลับมองเห็นไปอีกอย่างหนึ่ง..เลยตั้งคำถามว่า "ชัยชนะของคนเสื้อแดงอย่างคุณ คือ อะไร"?. เป็นเหตุผลที่น่าฟังครับ..ทั้งผู้เริ่มกระทู้และผู้ตอบกระทู้แสดงความเห็นต่าง ๆ :: พีเพิลออนไลน์เห็นว่าน่าจะเป็นประโยชน์กับผู้อ่าน จึงขออนุญาตนำมาเสนอ ดังต่อไปนี้ครับ....




           ตอนนี้ดิฉันมองทุกอย่าง จากสายตาของคนที่ไม่ได้งมงายกับสำนึกความเป็นกลุ่มก้อนของคำว่า"เสื้อแดง" และ ดิฉันยอมรับว่า เมื่อถอยออกมา แล้วมองจากมุมกว้าง ดิฉันก็มองเห็นทั้งจุดดี และ จุดด้อย ความโอหัง และ ความเจียมตัว  ความอคติ และ ความถูกอคติ  .. หลากหลายมากมาย ..ต่างจากมุมเดิมที่ดิฉันเคยยืนอยู่

          ดิฉันมองเห็นความฮึกเหิมกับชัยชนะ จนเกือบจะกลายเป็นความลำพอง
          ดิฉันมองเห็นการย้ำเตือน..จนเกือบจะกลายเป็นการลำเลิก
          ดิฉันมองเห็นการดิ้นรน ..การปกป้อง การยืนยันถึงสิทธิประะโยชน์ ที่คิดเองว่าควรจะได้จากการพาคนไปชุมนุม จนเกิดการบาดเจ็บ และ ล้มตาย
          ดิฉันมองเห็นการสนับสนุน ..การต่อต้าน..การพยายามเตะตัดขาระหว่างคนกันเอง
          ดิฉันมองเห็นสิ่งเหล่านั้นอย่างชัดเจน ..แต่มีสิ่งเดียว..ที่ดิฉันกลับมองไม่เห็น ..คือ ..ความหมายของคำว่าชัยชนะของคนเสื้อแดง          ดิฉันอยากขอให้พวกคุณ หยุด คิด ใช้สติ และ ตรึกตรองให้รอบคอบ..ชัยชนะ หรือ เป้าหมาย ในการเป็นเสื้อแดงของพวกคุณคืออะไร ?

          ย้ำคำนั้นกับตัวเองให้ชัดเจน และเมื่อถึงจุดๆ นั้นแล้ว..คุณคงจะสามารถบอกตัวเองให้หยุดได้เสียที ก่อนที่ความเป็นเสื้อแดง ..จะกลายเป็นภัย มากกว่า คุณ

สำหรับตัวดิฉันเอง ในฐานะประชาชนที่ต้องการประชาธิปไตย ดิฉันมุ่งหวัง
          1.  การเลือกตั้งที่ถูกต้อง และเป็นธรรม และทุกคนยอมรับในกฏกติกา
          2.  การผลักดันให้มีการเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อรัฐธรรมนูญที่ไม่เป็นประชาธิปไตย และ แบ่งแยกสิทธิไปจากประชาชน
          3.  การหาตัวผู้ที่บงการให้เกิดการตาย 91 ศพ และ บาดเจ็บนับพันมาลงโทษ
          4.  การหาตัวผู้ที่เผาบ้านเผาเมืองมาลงโทษ
          5.  การดำเนินการกับผู้ที่ปิดสนามบิน
          6.  การรื้อฟื้นคดีของนายกทักษิณใหม่หมด โดยการขอให้ประเทศต่างๆ ส่งผู้พิพากษา หรือ ตัวแทนมาเป็นคณะลูกขุนด้วย เพื่อให้เกิดการยอมรับของคนทุกสี ทุกกลุ่ม 

          ชัยชนะของดิฉันคือเท่านี้ค่ะ และ ดิฉันก็จะขีดออกทีละข้อ ที่ดิฉัยบรรลุแล้ว เพื่อเป็นการ checklist ไม่ให้ตัวเองหลงกระแส หรือ สวนกระแส หรือ ตายเพราะกระแสใด ๆ



ต่อไปนี้ เป็นข้อความของผู้ที่แสดงความเห็น  
คำถาม: ชัยชนะของคนเสื้อแดงอย่างคุณ คือ อะไร ?


          มีเพื่อนโทร มาแสดงความยินดีว่าเสื้อแดงชนะแล้ว ได้เสียงข้างมากจัดตั้งรัฐบาล ยินดีด้วยนะ ดิฉันตอบขอบคุณเพื่อนที่ให้กำลังใจเพราะเพื่อนๆทุกคนรู้ว่าเราต่อสู้กับเสื้อแดงมาตลอด พวกเขาไม่รู้หรอกว่าในใจเราคิดอะไร เราอยากบอกเพื่อนว่าถ้าพรรคเพื่อไทยรู้คุณค่าของพวกเสื้อแดงที่ไม่รู้จักคำว่าเหน็ดเหนื่อยทำตัวเป็นหัวคะแนน ตวรจสอบการทุจริตการเลือกตั้งโดยไม่มีค่าตอบแทน เราก็คงดีใจที่แข่งขันในรอบแรกที่ชนะ การแข่งขันยังคงมีต่อไปเพราะเรายังไม่ถึงชัยชนะอย่างแท้จริงเราต้องการประชาธิปไตยที่มาจากประชาชน มีสิทธิเท่าเทียมกัน มีกฎหมายที่เป็นธรรมกับคนยากจน ให้การศึกษากับคนที่มีความรู้ความสามารถ (-ลูกสาวกำนัน)
--------------------------------------------------------------------
 คำถาม: ชัยชนะของคนเสื้อแดงอย่างคุณ คือ อะไร ? 
สำหรับตัวดิฉันเอง ชัยชนะที่ต้องการ คือ           1. สิทธิความเป็นพลเมือง ที่ได้รับการดูแลในฐานะพลเมืองของประเทศ  ไม่ใช่ในฐานะคนมาอาศัยแผ่นดินอยู่
          2. ไม่อยากจะได้ยิน พวกยอดปิระมิดทั้งหลายลำเลิกบุญคุณ  ที่พวกเรามาอาศัยแผ่นดินนี้อยู่ คล้ายกับว่าตัวดิฉันเอง และประชาชนคนส่วนใหญ่ ที่อยู่ฐานล่างของปิระมิด ไม่ใช่พลเมืองของประเทศนี้
          3. อยากได้รับความยุติธรรมในฐานะพลเมือง
          4. อยากได้การเคารพสิทธิความเป็นพลเมือง จากพวกอยู่บนยอดปิระมิด
          5. อยากได้รับสิทธิ์ในการวิพากษ์วิจารณ์....
(- Srth Nrw)
--------------------------------------------------------------------
 คำถาม: ชัยชนะของคนเสื้อแดงอย่างคุณ คือ อะไร ? 
          ตอนนี้ก็ได้ชนะไปข้อนึง คือแสดงให้เห็นความรู้สึกนึกคิดของคนทั้งประเทศ ซึ่งแน่นอนว่า มากกว่าคะแนนที่แถลงออกมา
          ต่อไปก็การสอบสวนของ คอป.ที่แน่นอนว่าไม่เหมือนกับท่านกรรมสิทธิชุดคุณหญิง นอกนั้นก็เหมือนเพื่อนๆ
          คนเยอะเรื่องแยะต่างจิตใจ  สิ่งที่ไม่อยากเห็นก็คือสิ่งที่คาดคิดไว้แล้ว
          คิดว่าคนควบคุมสายงานก็ต้องเอาให้อยู่  เราไม่ได้มารวมตัวกันเพื่อใครกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง แต่เพื่อสิทธิในความเสมอภาคของคนทั้งประเทศทุกสี
          สำหรับตัวเอง เหนื่อยมามากก็ไม่อยากเหนื่อยใจเพิ่มอีก  ถอยมาห่าง ๆ ดูต่อไป อะไรที่ขัดขวางวัตถุประสงค์หลัก ก็จะไม่รามือ เมื่อเป็นผู้ชนะในระดับหนึ่งก็ต้องเห็นใจคนที่เราคิดว่าแพ้  อย่าทำอะไรที่กร่างและสะสมความไม่เข้าใจของคนให้เพิ่มขึ้น  คุณปูเธอทำได้ดีนะ มุ่งเข้าหางาน เอาผลของมันมาดึงคนที่ไม่เข้าใจ  (- rain) --------------------------------------------------------------------
 คำถาม: ชัยชนะของคนเสื้อแดงอย่างคุณ คือ อะไร ? 

          จริง ๆ แล้วสีเสื้อไม่สำคัญหรอกครับ สำคัญที่ทัศนคติ จิตวิญญาณประชาธิปไตยต่างหาก

          ส่วนความเห็นต่างกันระหว่างแม่ปังคุงกับลูกชาวนาไทย ผมมองเห็นเป็นเรื่องเล็ก ๆ และเป็นสีสันของ "จิตวิญญาณประชาธิปไตย" เห็นต่างแต่อยู่ร่วมกันได้ แบ่งปันความคิดกัน ถกเถียงกัน แต่อยู่ร่วมกันได้ในกติกาเดียวกัน

          แม่ปังคุงถอดเสื้อแดงออกแล้ว แต่ความคิดก็ยังเหมือนกันกับคนเสื้อแดงอยู่ดี ผมก็เห็นแบบเดียวกับแม่ปังคุงในเรื่องความมุ่งหวังในชัยชนะว่าต้องการอะไรบ้าง ต้องมี checklist เสริมนิดเดียวคือต้องจัดเรียงตาม priority และต้องดูความเป็นไปได้ในการปฏิบัติด้วย และเมื่อจัดเรียง priority แล้วพอจะปฏิบัติก็ต้องมาดูกลยุทธ

          ผมคิดว่าที่แม่ปังคุงกับลูกชาวนาไทยเห็นต่างกันมันเป็นระดับกลยุทธ ไม่ใช่เรื่อง mission vision เลย อันนั้นมันตรงกันแต่มันต่างกันแค่วิธีการที่จะให้ได้มาเท่านั้นเอง

          เราต้องทนต่อความเห็นต่าง และยินดีที่จะถกเถึยงอย่างเหน็ดเหนื่อย เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดกัน จะได้หลอมรวมเป็นพลังร่วมต่อสู้ต่อไป

         เมื่อคืนพี่ชายผมโทรมาหา (จะเป็นอย่างนี้ทุกครั้งที่เขารู้สึกทุกข์ใจ ต้องการเพื่อนคุย) เราคุยกัน เกือบสามชั่วโมงทางโทรศัพท์มือถือ ผมเชื่อว่าตัวกระตุ้นที่เขาอยากคุยกับผมคือเรื่องการเมือง แม้จะคุยอ้อม ๆ เรื่องสารทุกข์สุกดิบกันก่อนก็ตาม และที่บ้านและที่ทำงานเขารับ นสพ.สามฉบับคือ astvผู้จัดการ คมชัดลึก เดลินิวส์ (พี่ชายผมเป็นหัวหน้า เป็นคนเลือกหนังสือพิมพ์เอง)

แค่นี้ผมก็รู้แล้วว่าเขาจะทุกข์ใจขนาดไหนกับผลการเลือกตั้ง แค่ดูจากนสพ.ที่เขาอ่านทุกวันก็พอ

          พี่ชายผมเขาเป็นผู้ใหญ่ เก็บงำอารมณ์ได้ดี แต่เขาไม่เคยรับข้อมูลการเมืองอีกด้านหนึ่งจากใครเลย ส่วนใหญ่จะได้ก็จากการโทรมาหาผมเท่านั้น เขาเก็บความโกรธ ความไม่พอใจ ความสับสนไว้ข้างใน พอผมแหย่หน่อยเดียวก็ปะทุออกมา ผมก็อดทนไม่ยอมหลุด เพราะถ้าผมหลุดอีกคนจะต้องเลิกคุยกัน เอาความเงียบบ้าง น้ำเย็นบ้างเข้าลูบ บางทีก็เปลี่ยนประเด็นไปหาเรื่องชมเรื่องการทำงานของพี่ชายบ้าง เพื่อให้เขาอารมณ์ดี (พอดีผมไม่ได้เป็นคนเสียค่าโทรศัพท์ อิอิ ไม่ต้องกลัวโทรนาน เพราะเขาเป็นคนโทรมา)

          พอเขาเย็น ก็คุยกันต่อ เขาก็ปะทุเป็นระยะ ๆ เบี่ยงเบนประเด็นบ้างเวลาตอบคำถามผมไม่ได้ ผมถามเขาว่ารู้เรื่องนั้นไหม รู้เรื่องนี้ไหม เขาก็ไม่รู้ ผมก็หยุด ปล่อยให้ความอยากรู้ขับดันเขาไปเอง เขาก็ฟอร์มว่าคนเราไม่ต้องรู้ทุกเรื่องดูภาพใหญ่ก็พอ ไม่ต้องลงรายละเอียด ผมก็ไม่ว่าอะไร แต่ผมบอกแค่เพียงว่าผมสนใจรายละเอียดเพราะมันช่วยเสริมภาพใหญ่ให้ชัดขึ้น

          ส่วนใหญ่ในการสนทนาผมต้องเป็นฝ่ายฟัง บางช่วงต้องอดทนมากจนอยากจะหยุดการสนธนาเลย (พี่ชายผมเกลียดทักษิณ แต่ไม่ยอมเกลียดคนอื่น ๆ เลย ผมรู้โดยทันทีว่าเป็นฝีมือ astv) แต่ผมต้องไม่ยอมหลุดเพราะเขาเป็นพี่ชายผม ผมสรุปในตอนท้ายให้เขามั่นใจว่าผมมีความสุขดี (เขาพยายามยัดเยียดให้ผมมีความทุกข์จากการสนใจการเมืองมาก ๆ) และผมเป็นห่วงพี่น้องที่เป็นเสื้อเหลืองว่าจะทำใจไม่ได้กับการเปลี่ยนแปลงการปกครองที่จะเกิดในประเทศไทยตามกระแสโลก และมันจะมาเร็วกว่าที่คิด

          เขาไม่แย้งประเด็นนี้แฮะ อันนี้ต้องยกเครดิตให้ astv ที่ไม่ปกปิดความจริงไปเสียหมด ฮ่า ๆ

          และผมดีใจอยู่ลึก ๆ ที่ก่อนวางหูโทรศัพท์ พี่ชายผมแสดงอาการยอมรับได้ที่จะได้เห็นการเปลี่ยนแปลง ผมบอกเขาเรื่องอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา อันนี้เขารับได้ และวันนี้เขาจะมาเป็นแขกที่บ้านผม มาว่ายน้ำ มาทานข้าวกัน

          ปล. ผมยังมีพี่ชายอีกคนเป็นเสื้อฟ้า เป็นแฟนคลับตัวยงของอภิสิทธิ์และกรณ์ ผิดหวังจนหลุดคร่ำครวญใน facebook ผมรอว่าเมื่อไหร่เขาจะโทรมาคุยกับผมเรื่องการเมือง จะได้แลกเปลี่ยนกันและชี้แนวทางให้ไปหาข้อมูลอีกด้านอ่านดูบ้าง

          อยากได้ประชาธิปไตยต้องอดทน ต้องหาพวก เริ่มจากญาติพี่น้อง เพื่อนฝูงนี่แหละครับ ใจเย็น ๆ อย่าหมดความอดทนต่อกัน ขนาดเสื้อเหลืองเสื้อฟ้าเรายังต้องอดทน แล้วเสื้อแดงด้วยกันปะทะกันบ้างเล็กน้อย สำหรับผมแล้วไม่ต้องอดทนเลยด้วยซ้ำ ปะทะกันด้วยความสุข เพราะเราเห็นต่างกันแค่เล็กน้อยในประเด็นยิบย่อยเท่านั้นเอง

ผมขอจบการพร่ำพรรณาเพียงเท่านี้ครับ
ขอบคุณ ถ้าใครทนอ่านจนจบ  (- ขุนอิน)-------------------------------------
 คำถาม: ชัยชนะของคนเสื้อแดงอย่างคุณ คือ อะไร ? 
          ไม่เคยไปถึงชัยชนะอะไรกับใครซักทีค่ะ  คือ  เป็นคนมักน้อย  ได้เท่าไหร่เอาเท่านั้น
          ดิฉันเป็นคน  ไม่ชอบความ  ไม่ยุติธรรม และ ไม่ถูกต้อง
          ถ้ามีโอกาสให้ความยุติธรรมกับใคร หรือความถูกต้องกับใครก็จะทำ..
          แต่สำหรับดิฉันเอง..ยังไม่ได้ก็รอ..แต่ไม่เคยลืม..ไม่เคยเลิก วันหนึ่งมีโอกาสก็จะทำความยุติธรรมให้ปรากฎใครจะเอาด้วยหรือไม่เอา  ไม่ใช่เรื่องใหญ่...เราแค่ทำสิ่งที่ถูกต้อง ทุกคนร่วมมือทำ ก็จะกลายเป็นเครือข่ายของคนที่คิด พฤฒิกรรมที่เหมือนกัน กลายเป็นเสียงส่วนใหญ่ในที่สุด

ชัยชนะ..ที่ยิ่งใหญ่  คือ ชนะใจตัวเอง.. (Bell)---------------------------
 คำถาม: ชัยชนะของคนเสื้อแดงอย่างคุณ คือ อะไร ? 
          เอา..2 เรื่องประชาธิปไตยกับความยุติธรรม (จากผู้ปกครอง)รวมอยู่หัวข้อเดียวคือสิทธิ์ ของประชาชน  ผมว่า..นู่นแหนะสัก20ปีถ้าต่อเนื่องนะ  ถ้าไม่ต่อเนื่องก็ตายๆแล้วนั่นหละ
.....ส่วนข้อคิดอื่นๆ ผมเห็นรวมๆว่า เป็นธรรมดาของคนหมู่มากต่างคิด/ต่างประสบการณ์การเรียนรู้ก็ธรรมดา  เรื่องการต่อสู้อะไรพวกนี้       ผลมันเป็นเรื่องคาดการณ์ผิดคาดก็มีผลเกิดอีกอย่าง..ปกติ
          เรื่องสูญเสีย..อยากให้ลองคิดกันดูส่วนผมมองว่า  เขา.ที่เสียชีวิตหรือบาดเจ็บ ทั้งหมดไม่ได้ปกป้องใครที่เป็นแกนนำ  แต่เขาคิดว่า..การกระทำของเขาๆทำตามสิทธิ์  ผิดบ้างก็เล็กน้อยคงไม่มีใครมาฆ่ามายิงเขาในยุคนี้  แต่..สิ่งที่เกิดมันมาจากอาวุธที่ผิดปกติของการบังคับใช้ กม.เพราะเจตนาคนสั่งการต้องการเด็ดขาด(ในที่นี้หมายถึง ให้มีความสูญเสียเพื่อต้องการให้..เกรงกลัว..เป็นเยี่ยงอย่าง) เมื่อมีการมอง/คิดจากล่าง(ประชาชน)..สู่..บน(ผู้ปกครอง)ต่างจากการมองจากบนสู่ล่าง ผล..ย่อมเกินคาดเสมอ

.............อาจกล่าวได้ว่า..เขาผู้เสียสละเหล่านั้นก็คาดการณ์ผิดไปเช่นกัน  แต่เมื่อประสบกับการใช้ความรุนแรงทันที/บนพื้นฐานของความรู้สึกว่าไม่ได้รับความยุติธรรม  คนไทยก็มักไม่ยอม

.............ทั้งหมดของเรื่อง  มาจากการรับข้อมูลที่ผิดพลาดของผู้ปกครอง/การไม่เข้าใจ/การมองเห็นการใช้กำลังคืออำนาจ/ความเข้าใจว่าตนเองฉลาดประชาชนโง่  เป็นต้น  ตัวอย่าง คือการเอาคำปราศัยมาสร้างเป็นสถานการณ์ ซึ่งคนธรรมดาคาดไม่ถึง(มารู้ทีหลัง)  ในศัพท์ของคนทำงานปราบปรามเขาเรียกวิชามาร  อาจเปรียบได้กับการที่ จนท.ยิงคนตายกลัวผิดก็เอาปืนใส่มือ  บอกคนตายชักปืนจะยิงตนเอง ซึ่งพยาน/ผู้เสียหายก็ไม่มี เพราะ ตายแล้ว   สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นวิชามารล้วนๆการมองต้องเป็นการมองภาพรวม/ภาพย่อยและเข้าใจความรู้สึกของผู้คนในแต่ละสถานการณ์ (ใช้หลักธรรมชาติของมนุษย์นี่แหละในการมอง)
.........ตัวอย่างพึ่งเกิดการปราบปรามในมาเลย์รุนแรงก็จริงแต่บนพื้นฐานไม่ต้องการให้ผลมีความสูญเสียชึวิต ลองเปรียบเทียบกับไทยเราดู  ทั้งๆที่อุปนิสัยคนที่นั่นรุนแรงกว่าเราเยอะ

          สุดท้าย..ในส่วนความเห็นเรื่องสี  ผมเห็นว่า..สีแดง..กลายเป็นสีของผู้สูญเสีย/ผู้ไม่ได้รับความยุติธรรมและประชาธิปไตย/ผู้ด้อยโอกาส/ผู้เสียสละ/ผู้มีความสามัคคีกลมเกลียว เป็นต้น
...........ทั้ง 6 ข้อของคุณแม่ปังคุง  ผมว่า..กว่าจะได้ครบ..555  ท่านยังเป็นคนเสื้อแดงอีกนาน อย่าหลอกตัวเอง
-----------------------------
 คำถาม: ชัยชนะของคนเสื้อแดงอย่างคุณ คือ อะไร ?           ชัยชนะอันดับแรกๆ ก็คือชัยชนะที่ได้รัฐบาลที่เลือก แต่ก็ไม่ใช่ชัยชนะที่แท้จริง ชัยชนะที่แท้จริงคือคนผิดที่สั่งฆ่าประชาชนและคนเผาบ้านเผาเมืองตัวจริงต้องถูกลงโทษ กฏหมายต้องมีมาตรฐานเดียว ไอ้พวกตุลาโกงและองค์กร (ที่ไม่) อิสระต่างๆ ที่ตั้งโดย คมช. ต้องหมดอำนาจไป
(-BBBBB )
-------------------------------------------------------------------
 คำถาม: ชัยชนะของคนเสื้อแดงอย่างคุณ คือ อะไร ? 
       เรายังไม่ชนะอะไรเลยครับ คะแนนเสียงที่ได้มา เป็นเสียงพวกเราที่เรียกร้องหาความยุติธรรม แค่บอกว่า มีคนจำนวนมาก ไม่ชอบวิธึการ กระบวนการของอำมาตย์  (PKT)
-------------------------------------------------------------------
 คำถาม: ชัยชนะของคนเสื้อแดงอย่างคุณ คือ อะไร ?           กระบวนการที่จะทำให้บรรลุถึงเป้าหมายนั้นสำคัญไม่ยิ่งหย่อนกว่าตัวเป้าหมายเอง ดีไม่ดีสำคัญกว่าด้วยซ้ำ เพราะคนส่วนมากมักจะทราบดีว่าตัวเองต้องการอะไร แต่น้อยคนนักที่จะทราบถึงหนทางที่จะทำให้บรรลุความต้องการนั้น หากจะอุปมาก็เหมือนสายตาจับจ้องมองดาว แต่ตราบที่เท่ายังติดดินก็ต้องมองแผ่นดิน ดูถนนหนทางด้วยเช่นกัน ถ้ามัวแต่มองดาวอย่างเดียว อาจเดินไปตกบ่อ ตกคูคลอง ไปไม่ถึงดาว (takahiro)
-------------------------------------------------------------------
 คำถาม: ชัยชนะของคนเสื้อแดงอย่างคุณ คือ อะไร ?           จริงๆ นะครับคุณแม่ปังคุง ด้วยความเคารพในความคิดเห็น   ระบอบประชาธิปไตย ที่ใหนในโลก มันไม่มีทางปราศจากการล๊อบบี้ และแย่งชิงตำแหน่งอย่างเปิดเผยไปได้หรอกครับ
          คือสังเกต มาหลายครั้งแล้วว่า คนไทย ไม่ชอบความขัดแย้ง การไม่ชอบความขัดแย้งนี่เอง จึงทำให้คนไทยหันไปพึ่งพิง หรือมีแนวโน้มที่จะยอมรับนับถืออำนาจนิยมได้ง่าย คือมองเห็นความสงบ
          เรียบโร้ยเป็นสิ่งจำเป็น ซึ่งจริงๆแล้วไม่ใช่เลย  ถ้าเป็นเสรีนิยมอันเป็นฐานของประชาธิปไตย ความขัดแย้งเป็นสิ่งจำเป็น  ถ้าไม่แข่งกันเสนอตัว แล้วจะทราบได้ย่างไรว่ามีใคที่ตั้งใจจริงๆ จะเข้ามารับหน้าที่บริหาร
          มันไม่ใช่ปี 2525 ที่ป๋าจะอมยิ้มน้อย ๆ ที่มุมปากแล้วบอกว่า ป๋าไม่มีความทะเยอทะยานทางการเมือง แต่ป๋าต้องจำใจมารับตำแหน่งเพื่อบ้านเมือง  เราจะชอบการลวงโลกแบบนั้นหรือ
   ท่องไว้ๆ  ความขัดแย้งในระบอบประชาธิปไตย เป็นเรื่องปกติ เราไม่จำเป็นต้องคิดเหมือนกัน พูดเหมือนกัน ส.ส. อเมริกันพรรคเดโมแครท ยังโหวตสวนนโยบายของโอบามา ได้เลย ไม่เห็นเขาจะกรี๊ดกร๊าดอะไร  (mandeenee)
-------------------------------------------------------------------
 คำถาม: ชัยชนะของคนเสื้อแดงอย่างคุณ คือ อะไร ?
          ผมทนไม่ได้กับ อาเจนด้าของ เผด็จการ เพื่อการควบคุมประเทศ เพื่อให้มันรู้สึกปลอดภัย
          มันทำได้ทุกอย่าง มันทำให้เราวุ่นอยู่กับการ ต่อสู้เพื่อการอยู่รอด(แทบจะเป็นไปในแบบหาเช้ากินค่ำกันหมดแล้ว) เพื่อที่จะได้ไม่ต้องมายุ่งกับมัน
          มันทำให้เราอยู่หางความรู้ เพื่อที่จะได้ให้เรา รู้ทันเล่กลของมัน
          มันทำให้คนไทยหมดมุ่นอยู่กับ ความใคร่กำหนัด บัดสีบัดเถลิง สารพัด สังเกตได้ทุกสื่อ ตั้งแต่หน้าจอทีวียันแผงหนังสือ ทั้งนี้ก็จะได้ไม่ต้องมายุ่งกับมัน       
         มันทำให้เรา มีปัญหายาเสพติด ก็่เช่นกัน ทั้งหมดนี้ ลูกหลานเราจะรับไปเต็ม ๆ คนบริหารประเทศ ถ้าไม่ใช่คนที่มันควบคุมได้ มันก็ตั้งค่าหัวหาคนมาไล่  ใครไล่ได้สำเร็จก็ร่ำรวยกันไป ไล่ไม่ได้ มันก็หาทางทำลาย สารพัด ตั้งแต่คาร์บอมส์ ไปจนใช้ทหารมาทำรัฐประหาร
          ทั้งหมดนี้ จะถูกบรรเทาโดยรัฐบาลใหม่ ไม่มากก็น้อย อย่างนี้ ไม่เรียกว่าชัยชนะ แล้วจะเรียกว่าอะไรดีครับ  (สุรชัย khonthai52 )
-------------------------------------------------------------------
 คำถาม: ชัยชนะของคนเสื้อแดงอย่างคุณ คือ อะไร ? 
          ไม่มีกองทัพใด ชนะการรบในสงครามที่ยืดเยื้อได้โดยตระหนี่ถี่เหนียวในเหรียญตรา และเรียกร้องความเสียสละแต่ไม่มีการตอบแทนคนที่เข้าสู้รบ ป่วยการที่จะบอกว่าสู้เพื่ออะไร เพราะคุณจะไม่ได้สิ่งเหล่านั้นมาเลย หากคุณ "ขี้เหนียว" ที่จะให้รางวัลขุนพล เรียกร้องให้ทุกคนเสียสละเลือดเนื้อชีวิตเพื่อผู้อื่น จบแล้วก็กลับบ้านไป
          แน่นอนในการต่อสู้ทุกคนก็เสี่ยง ในสงครามนองเลือด พลทหารก็อาจเสี่ยงมากกว่านายพล แต่กองทัพที่มีแต่พลทหาร ไม่มีนายพลเลยนั้น "กองทัพแบบนั้น" ไม่เคยรบชนะในสงครามใดๆ เมื่อรบไม่เคยชนะ ก็ไม่มีทางได้สิ่งที่บอกว่า "สู้เพื่ออะไร" เพราะจะถูกบดขยี้ในไม่ช้า
          หากกระทู้นี้ตั้งขึ้นมาเพื่อบอกว่า "แกนนำเสื้อแดง" ต้องไม่รับตำแหน่งอะไร เสียสละอย่างเดียว บอกได้เลยว่า "วันนี้สงครามยังไม่จบ" แต่ได้ทำร้ายกองทัพเสื้อแดงเสียยับเยินแล้ว และ "ทุกคนในนี้จะไม่ได้อะไรทั้งสิ้นในสิ่งที่อยากได้"
          เมื่ออำมาตย์ตีโต้ (ซึ่งเขาทำแน่) คุณจะไม่มีขุนพลที่ออกไปรบข้างหน้า (ให้พวกพลทหารไปเอง กองทัพแบบนั้นไม่เคยชนะแน่นอน) เพราะขุนพลต่าง ๆ คงคิดว่า เราเสี่ยงทุกอย่างพอๆ กับคนอื่น
          แต่ชนะแล้วคนอื่นเสวยสุข แต่พวกเขากับไม่ได้อะไรเลย สู้เขานั่งเฉยๆ รอเสวยสุขเหมือนคนอื่นดีกว่า หรือไม่ต้องเหนื่อยมากกว่าคนอื่น ในการรวบรวม "พลทหารทั้งหลาย" เข้าสู้ศึกสงครามไม่เคยชนะด้วย "พลทหาร" (แต่เป็นส่วนประกอบที่สำคัญ) แต่สงครามชนะด้วยขุนพลที่มีฝืมือ แข็งแกร่ง และไม่ยอมแพ้ง่ายๆ พลทหารจะทำตามนายพลของเขาที่ไม่ยอมถอย
          ผมไม่แคร์ว่าใครจะสู้เพื่ออะไร เพราะกองทัพทั้งสองฝ่ายที่ต่อสู้กัน เขาก็สู้เพื่อ "สิ่งที่เขาเชื่อ" ทั้งสิ้น แต่กองทัพฯ ที่ ตระหนี่เหรียญตรา ตำแหน่ง ยศฐาบันดาศักดิ์ (ซึ่งคือ honorary System กองทัพแดงของโซเวียตก็มี คือ เหรียญตราวีรุบุรุษแห่งสหาภาพโซเวียต) กองทัพนั้นจะไม่มีทางชนะสงคราม หรือไม่มีทางเอาชนะความขัดแย้งไปได้
          สุดท้ายกองทัพเพื่อปฎิวัติก็จะแพ้ กองทัพอำมาตย์ที่เขาไม่ตระหนี่ เหรียญตรา รางวัล และเกียรติยศ สำหรับผู้กล้าในสมรภูมิ คุณแพ้ คุณก็ไม่ได้อะไรในสิ่งที่พูดมาทั้งหมด และบอกได้เลยว่า หากรัฐบาลคุณยิ่งลักษณ์ไม่มีแกนนำเสื้อแดงอยู่ในรัฐบาลเลย เท่ากับเป็นการ ส่งสัญญาณที่ชัดเจนที่สุดออกไปว่า "คุณเป็นแกนนำต่อสู้ เสี่ยงคุกเสี่ยงตาราง (ติดคุกให้เห็นมาแล้ว) ได้ แต่คุณจะไม่ได้ผลตอบแทนอะไรเลย การเป็นแกนนำเสื้อแดง กลายเป็น สิ่งเลวทางการเมือง เป็นจุดอ่อนสำคัญ ดังนั้นคุณไม่ควรเป็นแกนนำเสื้อแดง" สัญญานนี้ออกไปชัดเจน ยิ่งกว่าการพูดใดๆ และหากมีการตีโต้ของอำมาตย์ ซึ่งคาดจะมาในไม่ช้า
จะไม่มีใคร "ช่วยเหลือนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศไทยเลย"  (ลูกชาวนาไทย)
-------------------------------------------------------------------
 คำถาม: ชัยชนะของคนเสื้อแดงอย่างคุณ คือ อะไร ? 
ขอแสดงความคิดเห็นบ้าง  มันอั้นมานาน

          โดยส่วนตัว  ผม "ไม่ใช่" เสื้อแดงแน่นอน ไม่เคยไปชุมนุมกับเขา มีพรรคพวกเพื่อนฝูงที่คบกันอยู่ นิยมประชาธิปัตย์ทั้งนั้น แต่ผมก็บอกเพื่อนทุกคนว่า  ผมชอบพรรคการเมืองที่มีนโยบายที่ทำได้จริงในทางปฏิบัติ ไม่ไช่สักแต่ว่าฝันกลางวันโกหกไปเรื่อย ๆ ตั้งแต่เกิดจนแก่จนตาย จนมาเกิดใหม่  มันก็เหมือนเดิม

          ซึ่งเท่าที่เห็นในเวลาที่ผ่านมาก็มีแต่ "คุณทักษิณ" เท่านั้นที่สามารถทำ ที่จริงแล้วผมคิดว่าคนเสื้อแดงไม่ได้รักตัวคุณทักษิณเป็นการส่วนตัว แต่ทุกคนรักใน "ตรรกะ" ที่ไม่หลอกลวงของทักษิณต่างหาก มันจับต้องได้ ทุบได้  กระแทกได้  ไม่ถูกต้องก็ด่าได้ เตือนกันได้ การตอบโต้ของฝั่งทักษิณใช้เพียงวิธีประนีประนอม และปรับปรุง  ให้ดีขึ้น เพียงแค่จริงใจ สิ่งนี้ก็ทำให้ "ทุกคน" ที่นอกเหนือจากเสื้อแดง ใด้เป็นผู้ชนะทั้งหมด  ถึงวันนี้น่ายินดีกับทุกคนได้แล้วครับ  (GN)
-------------------------------------------------------------------
http://redusala.blogspot.com

กรณี หมายจับแดง สะท้อน วิธีบริหาร จัดการ ท่วงทำนอง อภิสิทธิ์

        ไม่ว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ไม่ว่า นายปณิธาน วัฒนายากร ไม่ว่า นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต ยอมรับตรงกันในเรื่องหมายจับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่ทำเรื่องเสนอต่อตำรวจสากล

             ยอมรับตรงกันว่า มีสาเหตุมาจากคดีก่อการร้ายเมื่อเดือนเมษายน 2552

            ยอมรับตรงกันว่า เป็นข้อกล่าวหาที่กรมสอบสวนคดีพิเศษมีต่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มีส่วนยุยงส่งเสริมให้เกิดการก่อกวนกระทั่งทำลายการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนที่เมืองพัทยา

จากการแถลงของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ

           คดีที่กล่าวหา พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กระทำการในลักษณะก่อการร้ายนี้ กรมสอบสวนคดีพิเศษส่งเรื่องให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติและอัยการสูงสุด เพื่อส่งเรื่องออกหมายจับแจ้งไปยังสำนักงานใหญ่ องค์การตำรวจสากล ณ เมืองลียง ประเทศฝรั่งเศส

          เป็นการทำเรื่องภายหลังสถานการณ์เมื่อเดือนเมษายน 2552 ไม่นานนัก เป็นการทำเรื่องเพื่อสกัดมิให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เคลื่อนไหวในต่างประเทศอย่างราบรื่น

          จนถึงเดือนสิงหาคม 2554 สถานการณ์หมายจับแดง เรด โนติส ก็กลับตาลปัตร

เป็นการกลับตาลปัตรซึ่งไม่เพียง นายธานี ทองภักดี อธิบดีกรมสารนิเทศ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจะแถลงว่า

           1 "ตำรวจสากลไม่มีหมายจับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ตั้งแต่ต้น" ขณะเดียวกัน 1 "ตำรวจสากลไม่เคยเอาชื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ขึ้นในบัญชีรายชื่อผู้ที่ถูกจับตาเลย" เช่นเดียวกับ การตอกย้ำจาก พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ

          ที่ผ่านมา ตำรวจสากลไม่เคยเอาชื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ไปเสนอขึ้นบัญชีรายชื่อผู้ถูกจับตามองเลย จึงไม่มีเรื่องหมายจับของตำรวจสากล"

          ข่าวที่ปรากฏในเรื่องการถอนชื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จากหมายจับจึงเป็นข่าวคลาดเคลื่อน  ความเข้าใจของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จึงเป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน ไม่สอดรับกับความเป็นจริง

           น่าเศร้าก็ตรงที่รัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ทำให้เกิดความเข้าใจในเรื่องหมายจับแดง เรด โนติส พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ของตำรวจสากลตั้งแต่หลังสถานการณ์เดือนเมษายน 2552  ทั้งๆ ที่เรื่องนี้ไม่เคยปรากฏในความเป็นจริง

           น่าเศร้ายิ่งกว่านั้นก็ตรงที่เมื่อมีข่าวมือลึกลับไป "ถอน" หมายจับแดงซึ่งอยู่ในบัญชีของอินเตอร์โพล ตำรวจสากล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้แสดงความกังขา

           เป็นความกังขาในลักษณะเดียวกันกับ นายปณิธาน วัฒนายากร อดีตรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี เหมือนกับ นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต อดีตเลขานุการรัฐมนตรีต่างประเทศ

           ทั้งๆ ที่ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นฝีมือการบริหารจัดการโดยรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ

เรื่องหมายจับแดงก็อีหรอบเดียวกับเรื่องโบอิ้ง 737 ซึ่งถูกอายัดและยึดที่สนามบินมิวนิก

1 เป็นเรื่องซึ่งเกิดขึ้นในปี 2552 เหมือนกัน และ 1 เป็นเรื่องซึ่งคาราคาซังยืดเยื้ออย่างต่อเนื่องจากปี 2552 จนมาถึงหลังการเลือกตั้งเดือนกรกฎาคม 2554

สะท้อนการบริหารโดยไม่บริหารสไตล์ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เด่นชัดยิ่ง
http://redusala.blogspot.com
จิตวิปริต หลงผิด เสพติดอำนาจ ชาติหายนะ

โดย มหากมล
            ครรลองประชาธิปไตย
        ไม่เฉพาะคนไทยจิตใจปกติ ชาวนานาอารยประเทศก็ยังงง และประหลาดใจรูปสัตว์ที่มีคุณูปการต่อคน สังคม และสิ่งแวดล้อมเป็นอย่างยิ่ง ทำเป็นเหมือนถูกจับให้ใส่เสื้อสีต่าง ๆ ผูกไท ติดป้าย โชว์ริมถนนที่กรุงเทพฯ และต่างจังหวัดในช่วงมีการเลือกตั้งทั่วไป ซึ่งเป็นการเปิดโอกาสให้คนไทยได้ใช้สิทธิของตนเลือกผู้แทนมาทำหน้าที่ด้านนิติบัญญัติ ด้านบริหาร ตามครรลองระบอบประชาธิปไตย ที่ทั่วโลกยอมรับกันว่าเป็นระบอบการปกครองที่ดีที่สุด ที่จะนำพาประเทศให้เกิดสันติสุข และนำความเจริญรุ่งเรืองและอยู่ดีกินดีมาให้ประชาชนที่ใช้สิทธิเลือกผู้แทนของเขามา

ถ้าคิดว่าสัตว์เลวร้าย จิตใจคนยิ่งเลวร้ายกว่า

            นสพ.ปานเทพ รัตนากร คณบดีคณะแพทย์ศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดลกล่าวว่า สังคมไทยควรเลิกใช้สัตว์เป็นสัญลักษณ์ในการดูถูกเหยียดหยาม สัตว์หลายชนิดที่ถูกนำมาเป็นตัวละครทางการเมืองไทย ล้วนเป็นสัตว์ที่มีคุณค่า และไม่ใช่ตัวแทนของสิ่งเลวร้าย เช่นตัวเงินตัวทอง ก็ช่วยรักษาระบบนิเวศวิทยา ควายก็ใช้ไถนา สุนัขใช้ให้เฝ้าบ้าน ลิงช่วยเก็บมะพร้าว เสือก็ช่วยรักษาความสมดุลของป่า อย่าเอาแต่สิ่งไม่ดีมาเปรียบเทียบเปรียบเปรยด่ากัน ควรเอาสิ่งที่ดีที่มีอยู่ออกมาพูดยกย่องบ้าง เชื่อว่าป้ายโหวตโนและป้ายหาเสียงของบางพรรคที่มีการนำสัตว์มาเป็นสัญลักษณ์จะไม่ได้ช่วยให้คนเลือกหรือไม่เลือกใคร ถ้าเอาหัวสุนัขมาใส่ให้คนดี เชื่อว่าคนก็จะเลือกเพราะความดีของคนคนนั้น ถ้าคิดว่าสัตว์เลวร้าย จิตใจคนยิ่งเลวร้ายกว่า และเป็นสิ่งสะท้อนให้เห็นว่า บ้านเมืองไหนปฏิบัติต่อสัตว์อย่างไร คนก็จะเป็นแบบนั้น นี้คือคำพูดของคุณหมอที่มีวุฒิภาวะเป็นผู้ใหญ่มีเมตตาธรรม มองเห็นสรรพสัตว์เป็นเพื่อนร่วมโลกที่มีคุณค่า ไม่เหมือนกับกลุ่มคนจิตวิปริต หลงผิด บางกลุ่มแสดงออกให้เห็นถึงจิตใจที่เลวร้ายยิ่งกว่าสัตว์

 หลงผิดคิดไม่ชอบ ไม่เคารพกฎหมาย

           กลุ่มคนพวกนี้ไม่ใช่ผู้ปกครอง ผู้บริหารบ้านเมือง แต่สามารถชี้นำ มีอิทธิพลต่อการเปลี่ยนแปลงบ้านเมืองไทย โดยใช้วิธีที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ระเบียบ ประเพณี ศีลธรรมอันดีงามของสังคมได้ แม้รัฐธรรมนูญที่ยอมรับกันทั่วโลกว่า เป็นกฎหมายสูงสุด ก็ยังลุแก่อำนาจให้ฉีกทิ้งได้

            ใช่! รู้แล้วใช่ไหม เจ้าพ่อสันติอโศก เป็นคนไม่ปฏิบัติตามพระธรรมวินัยของหมู่สงฆ์ บวชพระไม่พอใจฝ่ายธรรมยุตินิกาย ก็หนีมาพึ่งพระฝ่ายมหานิกาย อยู่ฝ่ายมหานิกายเห็นว่าตัวเองเลิศก็ตั้งตัวเป็นศาสดาเสียเอง สุดท้ายถูกศาลลงโทษ เฉไฉว่าได้ลาออกจากมหาเถรสมาคมแล้ว แค่นี้ก็บอกตัวตนโพธิรักษ์ได้ว่าเป็น คนหลงผิด ขณะนี้มีฐานะเรียกตัวเองว่าสมณะ แต่มีสิทธิเลือกตั้งได้ นี่คือตัวอย่างของคนจิตใจวิปริต หลงผิด ที่ทำให้บ้านเมือง ชาติ ศาสนา หายนะอยู่จนทุกวันนี้ ได้สาวกโรคจิตสุดยอดแห่งความวิปริต

              ใคร ๆ ที่ได้สัมผัสและติดตามพฤติกรรมของพลตรีจำลอง ศรีเมือง มหาสาวกคนสำคัญของโพธิรักษ์ จะสังเวชในพฤติกรรมผิดปกติ (Abnormal) ตามหลักจิตวิเคราะห์ ไม่ว่าสำนักของ ซิกมันด์ ฟรอย หรือใครก็ตาม ความผิดปกติของเขาคล้าย ๆ กับว่าจะเป็นคนมีธรรมะอยู่อย่างสงบ ปฏิบัติตามขนบธรรมเนียม ประเพณี เคารพกฎหมาย แต่ไม่ใช่ กลับเป็นคนอยากใหญ่ อยากมีอำนาจ ตั้งพรรคการเมือง ได้เป็นผู้ว่า กทม. มีตำแหน่งใหญ่โตทางการเมือง แต่เขาก็ยังไม่พอใจ เพราะจิตใจของเขาเต็มไปด้วยกิเลส ตัณหา มานะทิฏฐิ อยากเป็นนายก หรือสูงกว่านั้น ทำทุกอย่าง ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าผิดกฎหมาย ผิดศีลธรรม สามารถปิดถนนราชดำเนินได้ก็แล้วกัน ละเมิดกฎหมายจนชาชิน ไม่มีใครทำอะไรเขาได้

                   แสดงว่าคน ๆ นี้ ชี้นำและมีอิทธิพลต่อมือที่มองไม่เห็นได้อย่างผิดปกติจริง ๆ คนที่ชอบเลี้ยงสุนัขหรือแกล้งสร้างภาพก็ไม่รู้ ทำไมจิตใจจึงไม่มีคุณธรรมของความเป็นผู้ใหญ่ คือ พรหมวิหาร 4 ตามหลักพุทธศาสนาเลย น่าอเนจอนาถใจ เขาคงจะมีพฤติกรรมเช่นนี้ไปจนตาย เพราะเขา เข้าลักษณะเป็นคนโรคจิตครับ มหาสาวกอีกคนของโพธิรักษ์ คือ แป๊ะลิ้ม ไม่อยากจะบรรยาย เอาเป็นว่าบ้านเมืองไทยมีความ สับสน วุ่นวาย อยู่ขณะนี้ก็เพราะมีผู้ใหญ่ หลงผิด เสพติดอำนาจ ยัง คลั่งไคล้ หลงใหล เชื่อเขาอยู่ ตราบใดที่ผู้ใหญ่ในในบ้านเมืองยังรับเอาคนโรคจิตพวกนี้เป็นพันธมิตร ทำให้มีอิทธิพลต่อ ความคิด ความเชื่อของพวกเขาอยู่ ขอฟันธงได้เลยว่า คนบ้า โรคจิต หลงผิดเหล่านี้จะพาชาติบ้านเมืองไทยหายนะอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ต้องได้ชดใช้กรรมแน่

              มีนักวิเคราะห์การเมืองชาวตะวันตกท่านหนึ่งงุนงงสงสัยกับการล้มเหลวของการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยที่ถอยหลังจนกลายเป็นเผด็จการสมบูรณ์แบบ เชื่อว่าประเทศที่ประชาชนได้รับการศึกษาสูงจำนวนมาก การปกครองระบอบประชาธิปไตยน่าจะพัฒนาไปได้ไกลและก้าวหน้ามากกว่านี้ โดยเฉพาะประเทศไทย ชนชั้นปกครอง พวกอำมาตย์ นักการเมือง นักธุรกิจ ล้วนมีการศึกษาสูง แต่ชอบระบอบเผด็จการ คำนึงแต่ประโยชน์ส่วนตัว พวกพ้อง วงศ์ตระกูล เรียกได้ว่าเรียนสูงแต่ สติปัญญามืดบอดเพราะขาดคุณธรรม มีโมหะครอบงำจิตใจ ยากที่จะเห็นความจริงตามที่เป็นจริง ชาวบ้านการศึกษาไม่สูงแต่ตาสว่าง ไม่มีอวิชชาปิดบังตา มองเห็นรูปสัตว์ผูกเนคไทริมถนนจึงรู้สึกสังเวช สลดใจ

                คนระดับผู้นำ ผู้บริหารประเทศกับพวกพันธมิตรที่คิดว่า ประชาชนโง่เง่าเต่าตุ่น โปรดระวัง นอกจากพวกคุณไม่เห็นคุณค่าของคน ของสัตว์แล้ว ยังมีจิตวิปริต หลงผิด เสพติดอำนาจ จิตใจของพวกคุณยังถือได้ว่ามีจิตเลวร้ายยิ่งกว่าสัตว์อีก คงไม่นานเกินรอ กรรมที่พวกคุณกระทำให้แก่ประเทศชาติ ประชาชนอย่างเจ็บปวดเช่นนี้ พวกคุณจะต้องได้รับการชดใช้กรรมนั้นอย่างสาสมแน่นอน...
http://redusala.blogspot.com

ระแวงกองทัพไม่ฟังเสียงรัฐบาล

รายงานพิเศษ ระแวงกองทัพไม่ฟังเสียงรัฐบาล 9-9-54


http://redusala.blogspot.com

ศาลโลกให้ใช้มาตรการคุ้มครองชั่วคราว
โดย...ดร. พิทยา พุกกะมาน

           การตัดสินของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศหรือศาลโลกให้ใช้มาตรการคุ้มครองชั่วคราวโดยให้ทั้งฝ่ายไทยและฝ่ายกัมพูชาถอนทหารออกจากพื้นที่รอบตัวปราสาทพระวิหารนั้น ได้ทำให้กลุ่มการเมืองและนักวิชาการออกมาวิพากย์ วิจารณ์กันอย่างกว้างขวาง ซึ่งรวมถึงผู้ที่รู้เรื่องฯ จริง ผู้ที่รู้เรื่องไม่จริงแต่ทำเป็นรู้ และผู้ที่รู้แล้วแต่ทำเป็นไม่รู้เพราะต้องการสร้างกระแสคลั่งชาติเพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง จนทำให้ประชาชนรู้สึกสับสน ไม่แน่ใจว่าประเทศไทยควรจะปฏิบัติตามคำตัดสินของศาลโลกหรือไม่
             
            หากปฏิบัติตามแล้วไทยจะเสียดินแดนหรือเสียสิทธิหรือไม่และแค่ไหน ผู้ที่ออกมาอ้างว่าคำตัดสินของศาลโลกทำให้ไทยเสียเปรียบนั้นมักจะอ้างว่าพื้นที่ซึ่งไทยจะต้องถอนทหารออกไปนั้นเป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์ที่สำคัญต่อไทยและการตีกรอบพื้นที่ปลอดทหารของศาลโลกนั้น เป็นการล้ำดินแดนของไทยมากเกินไปซึ่งจะมีผลให้ไทยเสียดินแดนในที่สุด
การกำหนดท่าทีของไทยต่อข้อตัดสินฯ ของศาลโลกนั้น จะต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานของหลักกฎหมายระหว่างประเทศ โดยต้องคำนึงถึงความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้านและภาพพจน์ของไทยในสายตาของประชาคมโลก จริงอยู่ เราต้องทำทุกอย่างเพื่อรักษาอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของไทยเพราะคนไทยทุกคนรักชาติทั้งนั้น ไม่มีใครที่ไม่รักชาติ แต่เรื่องการต่างประเทศนั้นไม่ไช่เรื่องของชาตินิยมเพียงอย่างเดียว หากแต่เป็นเรื่องของผลประโยชน์ของชาติ

                 ความถูกต้อง การดำรงอยู่กับประเทศเพื่อนบ้านอย่างสันติ การปฏิบัติตนให้อยู่ในกรอบในฐานะที่เราเป็นสมาชิกสหประชาชาติ การเคารพกฎหมายระหว่างประเทศ และการทำตนให้เป็นที่ยกย่องและเชื่อถือในประชาคมโลก การปฏิบัติตามมติของศาลโลกนั้นเป็นสิ่งที่ควรกระทำในฐานะที่ไทยเป็นภาคีสหประชาชาติ เพราะมาตรา 94 ของกฎบัตรสหประชาชาติบัญญัติว่า ประเทศภาคีสหประชาชาติมีหน้าที่จะต้องปฏิบัติตามมติของศาลโลก และในวรรค 2 ของมาตรา 94 ก็ได้ระบุอย่างชัดเจนว่า หากประเทศภาคีที่เป็นคู่กรณีไม่ปฏิบัติตามมติฯ คู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งสามารถร้องเรียนต่อคณะมนตรีความมั่งคงสหประชาชาติเพื่อให้มีมติบังคับให้ประเทศภาคีอีกฝ่ายหนึ่งปฏิบัติตาม ซึ่งหมายความว่า หากไทยไม่ยอมปฏิบัติตามมติของศาลโลกโดยอ้างว่า “จะไม่ทำเสียอย่างใครจะมาว่าอะไร” แล้ว ผลที่จะตามมาก็คือ ไทยจะถูกบีบคับคับให้ปฏิบัติตามมติฯ จากสหประชาชาติและจะถูกสังคมโลกประณาม ซึ่งจะส่งผลในทางลบต่อภาพลักษณ์ของประเทศไทย ในขณะที่กัมพูชาก็จะพูดอย่างภาคภูมิใจว่าเขาเคารพกฎหมายระหว่างประเทศแต่ยังถูกฝ่ายไทยรังแกและเอาเปรียบ

             หากจะพิจารณาอย่างถ่องแท้แล้ว มติของศาลโลกมิได้ทำให้ไทยเสียเปรียบเลยเพราะศาลโลกให้ทั้งสองฝ่ายถอนทหารออกจากเขตปลอดทหาร ไม่ใช่ให้ไทยถอนฝ่ายเดียวดังที่กัมพูชาร้องขอ แต่ก่อนที่จะมีการถอนทหารไทยออกจากพื้นที่รอบนอกตัวปราสาทที่ศาลโลกกำหนดนั้น จำเป็นต้องมีการพูดคุยกับกัมพูชาในเรื่องรายละเอียดในระดับรัฐบาลของทั้งสองฝ่ายก่อน ซึ่งก็จะมีประเด็นเรื่องพลเรือนชาวกัมพูชาที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ปลอดทหาร เรื่องที่กัมพูชาเสนอให้กองกำลังตำรวจเข้ามาแทนที่ทหาร เรื่องกลไกที่จะดูแลการถอนทหาร เรื่องการให้ผู้สังเกตการณ์อินโดนีเซียเข้ามาในพื้นที่ฯ และเรื่องอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องด้วย

              นับตั้งแต่พรรคเพื่อไทยชนะการเลือกตั้ง บรรยากาศทางการเมืองระหว่างไทยกับประเทศเพื่อนบ้านได้ผ่อนคลายไปในทางที่ดี จึงเป็นที่คาดหวังว่ารัฐบาลใหม่ซึ่งนำโดยพรรคเพื่อไทยคงจะสามารถทำการเจรจากับรัฐบาลกัมพูชาได้เป็นผลสำเร็จบนพื้นฐานของความเป็นมิตรฉันท์เพื่อนบ้านและผลประโยชน์ร่วมกัน โดยเป็นที่เข้าใจว่ามาตรการคุ้มครองนี้เป็นเพียงมาตรการชั่วคราวเท่านั้นไม่ไช่มาตรการถาวร จนกว่าจะมีการตีความในเรื่องขอบเขตของพื้นที่รอบนอกปราสาทพระวิหารโดยศาลโลกในขั้นต่อไป
                    
                                          เขียนโดย ดร.พิทยา พุกกะมาน
                                                           อดีตเอกอัครราชทูต
http://redusala.blogspot.com

เปิดโปงขบวนการล้มประชาชน
โดย สุนัยน้อย


  ข้อมูลเชิงลึกที่ได้จากแหล่งข่าวที่ไม่อาจจะเปิดเผยได้คือ คุณผู้หญิง ที่มีชื่ออักษรย่อ จจ. ผู้โด่งดังในวงการการเมืองได้กล่าวกับคนใกล้ชิดว่า “มีเวลาให้รัฐบาลคุณยิ่งลักษณ์ ฮันนี่มูน แค่หกเดือน” ซึ่งก็สอดรับกับข่าวลับจากในห้องประชุมของ ส.ส. พรรคประชาธิปัตย์ที่นายสุเทพ ได้พูดว่าไม่เกินหกเดือน พวกเราจะกลับไปเป็นรัฐบาลอีก เพราะมีคนไม่ชอบรัฐบาลนี้ พร้อมกับชี้นิ้วขึ้นเพดานประกอบการพูด

ชัยชนะจากการเลือกตั้ง ของพรรคเพื่อไทยเป็นเรื่องที่อำมาตย์คาดไม่ถึงเพราะอำมาตย์เชื่อในเครื่องมือของตนคือระบบราชการ ศาล ทหาร ตำรวจ และทุนอำมาตย์ที่จ่ายสปอนเซอร์เลี้ยงสื่อ จึงเชื่อว่าจะหลอกลวงประชาชนได้ให้ลงคะแนนแก่พรรคลูกสมุนอย่าง พรรคประชาธิปัตย์ และ ภูมิใจไทย เพื่อให้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลได้อีก

ทั้งอำมาตย์ก็ยินยอมให้รัฐบาลอภิสิทธิ์ใช้เงินงบประมาณจากเงินกู้ 926,000 ล้านบาท ท่ามกลางเสียงกล่าวหาโกงกินและซื้อเสียงประชาชนล่วงหน้า
แต่ความฝันของอำมาตย์ก็พังทลาย เพราะความคิดชี้นำของเขาอยู่บนพื้นฐานว่าประชาชนโง่และหิวเงิน ดังนั้นชัยชนะการเลือกตั้งของพรรคเพื่อไทยจึงแยกไม่ออกจากความตื่นตัวตาสว่างของประชาชน
ชัยชนะนี้จึงถือว่าเป็นชัยชนะของประชาชน

ชัยชนะของประชาชนทำให้อำมาตย์ตื่นกลัวและทำใจไม่ได้และหาทางสกัดการจัดตั้งรัฐบาลของประชาชนในรูปการต่างๆ ดังปรากฏการณ์ที่เป็นรูปธรรมที่เห็นได้ชัดตั้งแต่วันแรกที่ปรากฏผลการเลือกตั้งจนถึงวันประชุมสภาเมื่อวานนี้( 1 ก.ย.)
จึงขอให้ประชาชนติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและอย่าวางใจเพราะเนื้อแท้ของอำมาตย์ไม่ชอบประชาธิปไตยไม่ชอบความเสมอภาคและความเท่าเทียมกันของมนุษย์ คือ
1. เริ่มต้น กกต. ก็เตะสกัดคุณยิ่งลักษณ์ และ แกนนำ นปช. โดยจะไม่รับรองผลแห่งชัยชนะ(อย่าลืม กกต. ตั้งโดยคณะรัฐประหาร พวก กกต. คือสมุนอำมาตย์ตัวจริง) แต่จากสายตาของต่างประเทศที่จ้องมองดูและความตื่นตัวของประชาชนที่เกาะติดสถานการณ์อย่างใกล้ชิดทำให้ กกต. ต้องปล่อยผ่านไปก่อนอย่างเสียไม่ได้ ดังจะเห็นได้ชัดคือ คุณจตุพร พรหมพันธุ์ ได้รับรองเป็น ส.ส. คนสุดท้ายและนาทีสุดท้ายก่อนเปิดประชุมสภา

2. ในการจัด ครม. และ ประธานสภาผู้แทนราษฎร (ในนามประธานรัฐสภาซึ่งเป็นประมุขฝ่ายนิติบัญญัติ) คุณยิ่งลักษณ์ได้ถูกกดดันอย่างหนักไม่ให้คนเสื้อแดงเป็นประธานรัฐสภาและรัฐมนตรี จึงเกิดสิ่งที่ไม่คาดฝัน(แต่เป็นไปได้และเคยเป็นมาก่อนหน้านี้) คือพระบรมราชโองการณ์โปรดเกล้าฯ มาไม่ถึงพรรคเพื่อไทยในหมายกำหนดการ เวลา 17.00 น. ของวันที่ 5 ส.ค. 54 และ ตามความเป็นจริงโผ ครม. ต้องถูกปรับใหม่อีกครั้งหนึ่ง จนไม่เหลือแดงใน ครม. แม้แต่คนเดียว
ในระหว่างเย็นวันที่ 5 – 8 ส.ค. นั้นก็มีข่าวลือวงใน(ไม่กล้ายืนยัน) ว่าคุณยิ่งลักษณ์ถูกเรียกตัวไปพบคนสำคัญคนหนึ่งอย่างเงียบๆ แล้ว ครม. ก็คลอดออกมาในจุดที่ลงตัวเข้าสู่กระบวนการแถลงนโยบายในสภา
3. สัญญาณเตรียมทำลายรัฐบาลจากการแถลงนโยบาย : พรรคประชาธิปัตย์และภูมิใจไทย ได้แสดงบทบาทบ่งบอกถึงอารมณ์ของอำมาตย์ที่ต้องการทำลายรัฐบาลยิ่งลักษณ์ เพราะตลอดสองวันของการอภิปรายคือ วันที่ 23 – 24 ส.ค. ในขณะที่ฝ่ายรัฐบาลพยายามจะรักษาบรรยากาศ สงบเรียบๆ ให้จบภายในสองวัน เพื่อเร่งทำงาน
แต่พรรคลูกสมุนอำมาตย์ทั้งสองกลับก่อสถานการณ์โต้เถียงอย่างรุนแรง โดยฝ่ายรัฐบาลไม่อาจจะเงียบได้ต่อไป คือ การชูประเด็นสถาบันพระมหากษัตริย์ขึ้นโจมตีพรรคเพื่อไทยและ ส.ส.ที่เป็นแกนนำ นปช.ในวันแรกพรรคภูมิใจไทยเป็นผู้จุดพลุการโจมตี ส่วนวันที่สองเป็นเรื่องไม่น่าเชื่อ อำมาตย์ใช้นายชวน หลีกภัย เป็นผู้จุดพลุ นายชวน ทำตัวเสมือนหนึ่งทหารเลวร้องด่าหน้าค่ายก่อนบุกโจมตี พอนายชวน ดาบหนึ่งฟาดแล้ว นายนิพิฏฐ์ ส.ส. พัทลุง(ลูกศิษย์นายชวน) วิ่งเข้าฟาดฟันต่อแล้วตามด้วยขุนทหารผู้กักขฬะ(ถ่อย)นายสุเทพ เทือกสุบรรณ วิ่งไล่ทุบตีจนสภาล่ม
บรรยากาศและเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสภาสองวันนี้ปฏิเสธเป็นอื่นไม่ได้ว่า เป็นส่วนหนึ่งของแผนการทำลายล้างรัฐบาลนี้ด้วยการใส่ร้ายป้ายสีและใช้มาตลอดหกสิบปีคือ “ขบวนการล้มเจ้าและรัฐบาลเป็นผู้ไม่จงรักภักดี”

4. เริ่มเปิดประชุมสภาปกติก็ยังไม่หยุดใส่ร้ายเรื่องเจ้า : ในการประสภาเมื่อ 1 ก.ย. ส.ส. ธวัชชัย อานามพงษ์ ซึ่งดูหน้าแอ๊บแบ๊วเหมือนคนบริสุทธิ์ ปกติไม่ใช่เป็นตัวอภิปราย ก็ถูกจัดวางให้ลุกขึ้นมาหารือ โดยอ้อนวอนขอร้องว่ารัฐบาลอย่ารังแก พล.อ เปรม ประธานองคมนตรี

ซึ่งความเป็นจริงทางการเมืองใครก็รู้ว่าฐานะของ พล.อ. เปรม มีความยิ่งใหญ่ มีขุนทหารที่เป็นลูกป๋าทั้งที่เกษียณอายุ และยังรับราชการอยู่ล้อมรอบปกป้องไม่รู้กี่ชั้น ใครจะไปรังแก พล.อ. เปรม ได้

และ ห้าปีที่ผ่านมามีแต่ พล.อ. เปรม จะไปรังแกคนอื่นด้วยการใช้มือที่มองไม่เห็นสั่งการ ศาล ทหาร ตำรวจ เล่นงานใครต่อใครที่เห็นว่าเป็นศัตรู ถ้าใครไม่เชื่อก็ให้ไปถามอดีตนายกฯสมัคร(หกากตามไปถามท่านได้) อดีตนายกฯสมชาย อดีตนายกฯทักษิณ และนายทหารชั้นผู้ใหญ่อย่าง พล.อ.สุจินดา คราประยูร ก็จะรู้ความจริงทั้งหมด

การจุดประเด็นของ ส.ส.ธวัชชัย ในเรื่องนี้ก็เป็นแผนเดียวกันของขบวนการล้มรัฐบาลประชาธิปไตยคุณยิ่งลักษณ์หรือขบวนการทำใจไม่ได้ของอำมาตย์

5. การขับเคลื่อนมวลชนขั้นเตรียมการ : นับตั้งแต่สิ้นสุดการเลือกตั้งก็เกิดการเคลื่อนไหวมวลชนของเหล่าสมุนอำมาตย์ ภาคองค์กรมวลชนที่เป็นแกนนำเสื้อเหลืองผู้สนับสนุนการรัฐประหาร 19 ก.ย. 49 ที่แปลงกายเป็นเสื้อหลากสี เช่น นายแก้วสรร อติโพธิ นพ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ จุดประเด็นตั้งแต่คุณสมบัติของคุณยิ่งลักษณ์ไม่ชอบเป็นนายกไม่ได้

แจ้งความจับ รมว.ต่างประเทศ นายสุรพงค์ โตวิจักษ์ชัยกุล ตั้งแต่ก่อนแถลงนโยบายยังไม่ได้เริ่มงานจนถึงนำมวลชนมาชุมนุมต่อต้านรัฐบาลในวันแถลงนโยบาย

รวมถึงกลุ่มมวลชนในภาคใต้ยกกำลังมาปิดถนนเพชรเกษม ที่ จ.ชุมพร ในนาม ปฏิบัติการเพชรเกษม 41 เพื่อต่อต้านนโยบาย เม็กกะโปรเจ็คต์ของรัฐบาลในภาคใต้ ตั้งแต่รัฐบาลยังไม่ได้เริ่มทำงาน

การมองประเด็นการเคลื่อนมวลชนนี้ต้องมองให้สัมพันธ์กับนโยบายมวลชนของพรรคประชาธิปัตย์ที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ แถลงว่าจะจัดขบวนการใต้ดินอบรมทางการเมืองเพื่อต่อต้านขบวนการเปลี่ยนแปลงการปกครองของพรรคเพื่อไทย

ซึ่งจะเห็นได้ว่าสอดคล้องกับการเคลื่อนไหวในสภาของพรรคประชาธิปัตย์และพรรคภูมิใจไทยที่กล่าวมาข้างต้น

ที่กล่าวข้างต้นทั้งหมดเป็นรูปธรรมที่เกิดขึ้นอ้างอิงได้ แต่การวิเคราะห์สถานการณ์จำเป็นจะต้องนำข้อเท็จจริงเหล่านี้ประสานกับข้อมูลเชิงลึกที่ได้จากแหล่งข่าวที่ไม่อาจจะเปิดเผยได้คือ คุณผู้หญิง ที่มีชื่ออักษรย่อ จจ. ผู้โด่งดังในวงการการเมืองได้กล่าวกับคนใกล้ชิดว่า “มีเวลาให้รัฐบาลคุณยิ่งลักษณ์ ฮันนี่มูน แค่หกเดือน” ซึ่งก็สอดรับกับข่าวลับจากในห้องประชุมของ ส.ส. พรรคประชาธิปัตย์ที่นายสุเทพ ได้พูดว่าไม่เกินหกเดือน พวกเราจะกลับไปเป็นรัฐบาลอีก เพราะมีคนไม่ชอบรัฐบาลนี้ พร้อมกับชี้นิ้วขึ้นเพดานประกอบการพูด
แหล่งข่าวลับที่กล่าวอ้างนี้ แม้จะไม่สามารถอ้างอิงบุคคลได้แต่ก็สอดคล้องเหตุการณ์ดังกล่าวมาข้างต้นทั้งหมด
สองเดือนของสถานการณ์การเมืองไทยตัวแสดงของเหล่าลูกสมุนอำมาตย์ได้แสดงบทบาทด้วยอัตราเร่งสูงอย่างมีนัยสำคัญทางการเมืองจึ งขอให้พี่น้องประชาชนผู้รักความเป็นธรรมและรักประชาธิปไตยต้องเตรียมการปกป้องระบอบประชาธิปไตยไม่ให้ถูกทำลาย

แม้จะเป็นเรื่องยากแต่ก็จะต้องช่วยกันทำ งานพื้นฐานที่ประชาชนทำได้ทุกคน
1. เร่งจัดตั้งกันขึ้นในหมู่เพื่อนฝูง เพื่อนบ้านที่อยู่ใกล้ชิดกันขึ้นเป็นองค์กร ทั้งขนาดเล็ก และขนาดกลาง
2. จากการจัดตั้งองค์กรไปสู่การจัดตั้งความคิดในการติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด
3. จากการจัดตั้งความคิดนำไปสู่การจัดตั้งการปฏิบัติการซึ่งเป็นการกระทำที่ชอบด้วยกฎหมายโดยเผยแพร่ข่าวสารอย่างเป็นระบบ เช่น นำบทวิเคราะห์สถานการณ์นี้ไปโพส์ที่ เวบต่างๆ ให้กว้างขวางที่สุดเท่าที่จะทำได้ หรือ นำไปออกอากาศที่วิทยุชุมชนต่างๆ รวมทั้งนำไปพิมพ์แจกให้แก่บุคคลที่ไม่สามารถเข้าถึงแหล่งข้อมูลทางอินเตอร์เน็ต เป็นต้น

Posted by นักข่าวชาวรากหญ้า at 9/04/2011
07:27:00 ก่อนเที่ยง Share on Facebook
ที่มา : ThaiEnews
http://redusala.blogspot.com

ร.ต.อ. เฉลิม อยู่บำรุง
 ร.ต.อ. เฉลิม อยู่บำรุง
 โดย...สอาด จันทร์ดี
            ขุนพลของพรรคเพื่อไทยมีหลายคน / ๑ ในจำนวนนั้น คือ พณฯร.ต.อ. เฉลิม อยู่บำรุง

            พณฯร.ต.อ. เฉลิม อยู่บำรุง เป็นรองนายกรัฐมนตรีที่ได้รับการปรบมือจากผู้รักประชาธิปไตยอย่างเต็มจิตเต็มใจ ไม่มีมือที่เสแสร้งแกล้งยกป้ายเชียร์ แต่เป็นกระแสศรัทธาที่เต็มเปี่ยมจากผู้รักประชาธิปไตยอย่างแท้จริง โดยเฉพาะในการใช้ “จิตใต้สำนึกทุบผนังตึกเผด็จการ”โยกย้ายตัวหมากของพวกปฏิกิริยาอย่างไม่รั้งรอ เล่นเอาแผ่นกระดานหมากฮอสสั่นสะท้านตั้งแต่เหนือจรดใต้

            ดูกะระ ดังได้ยินมา เสียงสรรเสริญจากคนเสื้อแดงกระหึ่ม

            ทว่า...เปล่า...ยังไม่พอ ..มันยังมีอีกหลายทะลอกที่จะต้องสำแดงต่อไป

            ประวัติของ พณฯ ร.ต.อ. เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี เป็น ส.ส. แบบบัญชีรายชื่อ สังกัดพรรคเพื่อไทย อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย อดีตหัวหน้าพรรคมวลชน และ ส.ส.ฝั่งธนบุรีหลายสมัย เป็นขุนพลคนสำคัญของพรรคเพื่อไทยตั้งแต่เริ่มหาเสียงมาจน

ถึงวันได้ชัยชนะ ๓ กรกฎาคม ๒๕๕๔

            เกิดเมื่อวันที่ 10 มิถุนายนพ.ศ. 2490 จบการศึกษาทั้งระดับ ปริญญาตรี ปริญญาโท และปริญญาเอก จาก คณะนิติศาสตร์มหาวิทยาลัยรามคำแหง เคยรับราชการตำรวจมีตำแหน่งเป็นสารวัตรกองปราบฯ

            ในการทำงานการเมืองเคยดำรงตำแหน่ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กำกับดูแล องค์การสื่อสารมวลชนแห่งประเทศไทย และขณะที่กำกับดูแลหน่วยงานแห่งนี้ ร.ต.อ.เฉลิม มีชื่อเรียกสั้น ๆ จากสื่อมวลชนว่า "เหลิม" หรือ "เหลิมดาวเทียม" เนื่องจากเป็นที่รับรู้กันดีในแวดวงสื่อมวลชนถึงการควบคุมการนำเสนอข่าวด้วยตนเองของ ร.ต.อ.เฉลิม ซึ่งในบางครั้งถึงกับเข้าไปสั่งการในห้องตัดต่อเอง จนคนในช่อง 9 เรียกว่า "บรรณาธิการเฉลิม"     
            สมรสกับ นางลำเนา อยู่บำรุง ผู้พิพากษาสมทบศาลเยาวชน มีบุตรด้วยกันทั้งสิ้น 3 คน เป็นชายล้วนคือ นายอาจหาญ, นายวันเฉลิม และนายดวงเฉลิม อยู่บำรุง (ภายหลังนายวันเฉลิม และนายดวงเฉลิม เปลี่ยนชื่อเป็น นายวัน และนายดวง ตามลำดับ) ลูกชายทั้งสามก็ถูกเรียกกันทั่วไปว่า "ลูกเหลิม"

            พณฯ ร.ต.อ. เฉลิม อยู่บำรุง เป็นคุณพ่อที่รักลูกที่น่ายกย่องอย่างยิ่ง กล่าวคือเมื่อลูกได้รับชะตากรรมอันจะเป็นเหตุให้ชีวิตทั้งชีวิตถูกสังคมครหาก็ได้สละตำแหน่งทางการเมือง กระโดดออกมาช่วยลูกแบบทุ่มสติปัญญาสุดตัว จนสามารถพิสูจน์กู้สถานการณ์ได้อันเป็นการสำแดง “จุดยืน” ที่เป็นต้นแบบของพ่อไทยที่ไม่ทอดทิ้งเลือดในอก เพียงเพราะเห็นแก่ตำแหน่งอันทรงเกียรติแห่งตน

            ปฏิบัติการของ “เฉลิม อยู่บำรุง” คือพ่อตัวอย่างโดยแท้

            พณฯ เฉลิม มีน้องชายที่เล่นการเมืองท้องถิ่น เป็น ส.ก.หลายสมัยคือ นวรัตน์ อยู่บำรุง ส.ก.เขตหนองแขม กรุงเทพมหานคร

            พณฯร.ต.อ.เฉลิม เป็นที่รู้จักในฐานะนักการเมืองที่โดดเด่นด้านการพูดและลีลาการอภิปรายในสภาผู้แทนราษฎรที่สามารถโน้มน้าวใจให้ผู้ฟังเชื่อได้ และหลายครั้งมีการใช้คำพูดที่ฟังดูรุนแรง ซึ่ง ร.ต.อ.เฉลิม เคยกล่าวถึงตัวเองไว้ว่า "ไปทะเลเจอฉลาม มาสภาเจอเฉลิม"

            ในช่วงที่ ร.ต.อ.เฉลิม เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยในรัฐบาลสมัคร สุนทรเวชนายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรฯได้ให้ฉายาว่า "เป็ดเหลิม" ซึ่งเปรียบเทียบว่า ร.ต.อ.เฉลิมกับเป็ดทำหลายอย่างได้ แต่ไม่สามารถทำได้ดีสักอย่าง หรือเรียกว่า "ไอ้ปื้ด" ซึ่งเป็นบุคคลนิรนามที่มาจากคำกล่าวอ้างของเฉลิมเพื่อปัดคนทำผิดแทนลูกของเขา

            แต่ท้ายสุด สนธิ ลิ้มทองกุล ก็มิอาจเติมแต่งเรื่องราวให้เฉลิมบอบช้ำได้

            ตรงข้าม ตัวของสนธิ ลิ้มทองกุล กลายเป็นหมาขี้เรื้อนตัวหนึ่งบนถนนนักเคลื่อนไหวนะซี

            มิใช่แต่ “สนธิ ลิ้มทองกุล” เท่านั้นที่กลายเป็นหมาขี้เรื้อน แม้แต่คนงามๆในสังคมที่เคยโจมตีเฉลิมอย่างสาดเสียเทเสียก็พลอยเสียรังวัดไปตามนายสนธิ (ลิ้ม) จนกู่ไม่กลับไปด้วย

            พณฯ ร.ต.อ. เฉลิม อยู่บำรุง เริ่มต้นชีวิตทางการเมืองด้วยการเป็น ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ในปี 2526 ในฐานะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสังกัดพรรคประชาธิปัตย์ ต่อมาในปี พ.ศ. 2529 ได้ก่อตั้ง พรรคมวลชน และดำรงตำแหน่งเป็นหัวหน้าพรรค โดยมีฐานเสียงสำคัญในพื้นที่กรุงเทพมหานครฝั่งธนบุรี โดยเฉพาะขตภาษีเจริญและเขตบางบอน ซึ่ง ร.ต.อ.เฉลิม เป็น ส.ส. ผูกขาดในพื้นที่มาอย่างต่อเนื่องยาวนาน เคยไม่ได้รับเลือกตั้งเพียงครั้งเดียว คือในการเลือกตั้งเมื่อปี พ.ศ. 2535 ซึ่งเป็นครั้งแรก

            ร.ต.อ.เฉลิม เคยดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในรัฐบาล ล.อ.ชาติชาย ชุนหะวัณ มีอำนาจหน้าที่กำกับดูแล องค์การสื่อสารมวลชนแห่งประเทศไทย (อสมท.) บทบาทของ ร.ต.อ.เฉลิม มีปัญหาขัดแย้งกับกลุ่มทหาร จนถูกนำมาเป็นเหตุผลประการหนึ่ง ในการทำ รัฐประหาร ปี พ.ศ. 2534 ของ คณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ ภายหลังการรัฐประหารดังกล่าว ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง เป็นหนึ่งในนักการเมืองที่ถูกกล่าวหา และถูกยึดทรัพย์จำนวน 32 ล้านบาท  และต้องขอลี้ภัยการเมืองไปต่างประเทศ โดยเดินทางไปพำนักอยู่ที่ประเทศสวีเดนและประเทศเดนมาร์ก

            ต่อมาเมื่อสถานการณ์ทางการเมืองคลี่คลาย ร.ต.อ.เฉลิม ได้กลับเข้าประเทศไทย และได้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมในรัฐบาลบรรหาร ศิลปอาชา และต่อมา ในปี พ.ศ. 2540 ตัดสินใจยุบพรรคมวลชนรวมเข้ากับ พรรคความหวังใหม่ ของ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น หลังจากนั้นบทบาททางการเมืองของ ร.ต.อ.เฉลิม ก็เงียบหายไประยะหนึ่ง

            บทบาทการเป็นฝ่ายค้านของ ร.ต.อ.เฉลิม ในพรรคชาติไทย มีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ สุเทพ เทือกสุบรรณ รัฐมนตรีกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในสมัยรัฐบาลชวน หลีกภัย เรื่อง สปก.4-01ซึ่งส่งผลให้ นายชวน หลีกภัย นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ต้องตัดสินใจยุบสภาก่อนที่จะมีการลงมติไม่ไว้วางใจและเหตุการณ์ดังกล่าวยังถูกนำมาใช้อ้างอิงเพื่อโจมตีทางการเมืองต่อนายสุเทพ เทือกสุบรรณ และพรรคประชาธิปัตย์มาโดยตลอด

            ขึ้นชื่อว่าร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุงใน พ.ศ.นี้ คงยากที่จะหาคนไม่รู้จัก  ยิ่งมาถึงยุครัฐบาล ฯพณฯ น.ส. ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของแผ่นดินสยาม นามของ ร.ต.อ. เฉลิม อยู่บำรุง ยิ่งโดดเด่นงดงาม โดยเฉพาะได้แก่กลุ่มคนเสื้อแดงพากันเป็นมิตรกับเฉลิมอย่างท่วมท้น
            ส่วนในพ.ศ.ก่อนๆ จะรู้จักแบบไหนอย่างไร อาจจะแตกต่างกันออกไปตามภววิสัยในจุดยืนของกลุ่มที่ขัดแย้งที่แตกต่าง รวมทั้งมีอุดมการณ์ทางการเมืองที่ไม่เหมือนกัน กล่าวคือพวกที่เป็นอำมาตย์ใหญ่ก็จะประณามเฉลิมอย่างสาดเสียเทเสีย ยิ่งเป็นพรรคประชาธิปัตย์ พากันถือว่า “เฉลิมคือตัวอันตราย” จึงได้โหมใส่ไข่ ใส่สีเพื่อจะทำให้เฉลิมได้รับความเสียหาย แอบกล่าวหาว่าเฉลิมเป็นคนไม่ดี




            พณฯ ร.ต.อ.เฉลิมอยู่บำรุง เริ่มแสดงร่วมการมีอำนาจตั้งแต่เป็น สิบโทเฉลิมอยู่บำรุงเป็นสารวัตรทหารในหน่วยของ พ.อ.สาคร กิจวิริยะ (สห.มทบ. 11) ซึ่งเป็นนายทหารรุ่น จปร.7 รุ่นเดียวกับ พล.ต.มนูญกฤต รูปขจรและพล.ต.จำลอง ศรีเมืองต่อมาได้ย้ายมาเป็นตำรวจจนได้รับยศร้อยตำรวจเอกเป็นตำรวจกองปราบมีชื่อดังจนเป็นข่าวหน้าหนึ่งในหนังสือพิมพ์หลายฉบับไม่ว่าการเข้าไปจัดการแหล่งบันเทิง ในโรงแรมแอมบาสซาเดอร์หรือเรื่องการจับเพชรที่เยาวราชที่คุณสอน สุขบรรจงอดีตประธานชมรมนักข่าวอาชญากรรมมีเครื่องช่วยจำให้น้องๆ นักข่าวรุ่นหลังได้รับรู้ซึ่งจัดการแบบไหน ในแต่ละเรื่องคนที่จดจำได้ดีต้องไปถาม พณฯร.ต.อ.เฉลิมแต่คนที่จดจำจนวันตายคือเจ้าของธุรกิจนั่นเอง


             พณฯ ร.ต.อ. เฉลิม อยู่บำรุงมีคำพูดทีใช้อยู่ประจำคือคำว่า แอ๊คท์อาร์ต (Act art) ซึ่งคำว่า แอ๊คท์แปลว่า แสดง ส่วนอาร์ต แปลว่าศิลปะเมื่อมารวมกันก็เป็นศิลปะการแสดงหรือศิลปะการแสดง  เมื่อรวมคำพูดแล้วเราก็จะเข้าใจความหมายโดยไม่ยาก       



            พณฯ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุงเป็นแบบอย่างที่ดีหลายอย่าง ที่คนเอาไปพูดต่อๆ ได้ว่า นักการเมืองคนนี้ของจริงพูดคำไหนคำนั้นและในวันนี้ยิ่งเห็นชัดมากขึ้น


            ฯพณฯ ร.ต.อ. เฉลิม อยู่บำรุง เป็นนักการเมืองที่ตะโกนเสียงดังว่า พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ไม่มีความผิดใดๆ แต่ต้องตกระกำลำบาก เพราะถูกอำนาจมืดเล่นงาน แล้วก็ประกาศเสมอว่าถ้าได้เป็นรัฐบาลจะเอาท่านทักษิณกลับประเทศไทย ประกาศแล้วประกาศอีก


            จะนำทักษิณ กลับประเทศไทย...
         
            ใช่แล้วครับ ขุนพลของพรรคเพื่อไทยมีหลายคน แต่อันดับที่ ๑ คือ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองระดับ “รองนายกรัฐมนตรี” รับผิดชอบตำรวจทั่วประเทศ และยังเป็นที่ปรึกษาคนสำคัญของ ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี อีกด้วย

            พีเพิ่ล แชนเนิ่ล ออนไลน์ อยากส่งถ้อยคำหลายทะลอกไปสู่พวกปฏิกิริยาให้ได้ร่วมรับรู้ว่างานการ

            เมืองที่เฉลิมกำลังปฏิบัติการอยู่ในขณะนี้ มิใช่การล้างแค้นอย่างแน่นอน แต่เป็นการ “ปรับเปลี่ยน” ตัวหมากที่วิ่งอยู่บนกระดาน ที่ขัดขวางการพัฒนาประเทศ ด้วยการหยิบเอาบุคลากรที่พรรคเพื่อไทยสามารถสบายใจได้ เอามาเสริมการทำงาน   เพื่อความมุ่งหวังที่จะยกระดับประเทศไทยของเราให้ก้าวพ้นวิบากกรรมอันโสมมให้ได้ ดังที่กำลังดำเนินการอยู่ในห้วงเวลานี้

            จะปรับเปลี่ยนได้ก็ต้องย้ายตัวขวางให้พ้นทาง

            ทั้งนี้โปรดอย่าลืมว่าช่วงเวลา ๕ ปีผ่าน...ประเทศของเราได้ถูกพวกปฏิกิริยาทำลายกระบวนการสร้างชาติแทบจะย่อยยับ จนเป็นเหตุให้คนไทยแตกแยกเป็นฝักเป็นฝ่ายแทบว่าจะเป็นไทยเหนือไทยใต้ ถ้าไม่มีการแก้ไข คงไม่พ้นจะเกิดสงครามร้ายแรงเหมือนลิเบีย

            พวกปฏิกิริยาคงไม่เชื่อ...เพราะพวกเขาดักดานหลายทะลอกเหลือเกิน?
            การโยกย้าย พล.ต.อ. วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี เป็น ๑ ในกลยุทธ์ขั้นต้น

            การสั่งให้โยกเก้าอี้ “ถวิล เปลี่ยนสี” เป็นอีกกลยุทธ์อย่างไม่มีทางเลี่ยง

            กรณีของ “ถวิล” ที่ถวิลหาความเป็นธรรม ประกาศจะฟ้องนายกรัฐมนตรีนั้น ชาวบ้านเขาถามกลับไปยังคุณถวิล เปลี่ยนสีว่า ในวันเวลาที่คุณนั่งเป็นใหญ่ในหอคอยงาช้าง   คุณเห็นเขาไล่ฆ่าคนเสื้อแดเต็มตาทั้งสองข้าง   ตาคุณบอดหรืออย่างไร จึงไม่ยอมประกาศห้ามทหารว่าอย่าฆ่าคนในชาติเดียวกัน

            ถวิลเอ๋ย ? โทษของคุณมันหนักสาหัสสากรรจ์เกินกว่าจะบรรยาย ที่คุณลืมความเมตตา ลืมความกรุณาและลืมความรู้สึกว่า คนที่เขาถูกฆ่าตาย เขาย่อมจะมีความวิปโยคแสนสาหัส

            คุณไม่ได้ตายด้วย..คุณไม่มีวันรู้ เพราะจิตของคุณมันหยาบกระด้าง ไร้ความสงสาร
            ใจของคุณไม่แตกต่างจากหัวใจของ “หมาใน” ที่ไล่ล่าเนื้ออยู่กลางป่า
            ใช่...คุณอาจจะชนะคดีการพิทักษ์คุณธรรมให้แก่ข้าราชการของแผ่นดินสยาม
            ถ้าคณะผู้พิจารณาคดีนี้ ยกย่องคุณ...ก็จงเป็นชัยชนะของคุณไปเถิด

            แต่บนความจริงก็คือ มีคนถูกฆ่าตายเหมือนแมวข้างกำแพงวัด และคนที่ตายเหล่านั้นล้วนแล้วแต่มือเปล่า ไม่มีอาวุธที่จะยิงสู้กับสัตว์นรก....แล้วจะให้เขาตายฟรี พร้อมกับเป็นบันไดให้คุณได้ไต่เต้าขึ้นไปเป็นมหาเสนาบดีอย่างนั้นหรือ ?!

          เราจึงยกย่อง พณฯ ร.ต.อ. เฉลิม อยู่บำรุง ที่กล้าหาญสับเปลี่ยนอย่างไม่หวาดวิตก !
                                                 สอาด จันทร์ดี
                                                                 ๙ กันยาน ๒๕๕๔
http://redusala.blogspot.com

สุนัย จัดหนัก TPBS ประชุมสภา 08-9-54*
สุนัย จัดหนัก TPBS ประชุมสภา 08-9-54

          เป็นการอภิปรายของดร.สุนัย จุลพงศธร ได้อภิปรายในเรื่องผลประโยชน์ของพวกทะเอี้ยที่แฝงเข้ามาเป็นกรรมการกสทช.เพราะกิจการวิทยุกระจายเสียงส่วนใหญ่จะเป็นคลื่นความถี่ของพวกทะเอี้ยทั้ง บก เรือ อากาศ กองบัญชาการทหารสูงสุดและตำรวจ ส่วนสถานีวิทยุโทรทัศน์ก็ตกอยู่กับกองทัพบกถึงสองช่องคือ 5 และ 7 นอกนั้นก็เป็นของหน่วยงานราชการและรัฐวิสาหกิจ

           ส่วนเรื่อง TPBS ของคนหัวโล้นแห่งเนชั่ว จากการเป็นที่เจ้าของเดิม ITV และล้มไม่เป็นท่าไปแล้วในสมัยชวนปี่กอเป็นรัฐบาล ได้กลับฟื้นคืนชีพมาด้วยการเกาะสายพานล้อรถถังเข้ามา สด๊วบ จ๊วบจ๊วบ จนกลายมาเป็น TPBS แล้วอย่างนี้ยังจะมาหาว่ารัฐบาลสมัยหนึ่งเป็นเผด็จการรัฐสภา แล้วพวกทะเอี้ยที่นั่งสลอนอยู่ในสภานี้เคยใช้อำนาจด้วยปลายกระบอกปืนและรถถัง บดขยี้ระบอบประชาธิปไตยหลุดจากมือของประชาชนไปอย่างไม่อนาทรร้อนใจ อย่างนี้ไม่เคยเห็นเรียกว่าเผด็จการเลยสักนิดเดียว
http://redusala.blogspot.com

อายุรัฐบาลยิ่งลักษณ์สั้น-ยาวอยู่ที่‘ทักษิณ’

     
       รายงาน(วันสุข)
         จากหนังสือพิมพ์ โลกวันนี้ วันสุข
         ปีที่ 7 ฉบับที่ 327 ประจำวัน จันทร์ ที่ 12 กันยายน 2011
 
         คอลัมน์/บทความ -
         เรื่อง อายุรัฐบาลยิ่งลักษณ์สั้น-ยาวอยู่ที่‘ทักษิณ’
 
         โดย ศิริพร วาสะศิริ
         การเข้าทำงานบริหารบ้านเมืองของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี มีทั้งผู้ที่ชื่นชมและคัดค้าน แต่ในมุมมองของนายอลงกรณ์ พลบุตร รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กลับคิดว่าการเมืองไทยหลังจากนี้ไปจะสั้น จะยาว จะสงบ หรือวุ่นวายก็อยู่ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เพราะในช่วงทศวรรษที่ผ่านมาต้องยอมรับว่า พ.ต.ท.ทักษิณมีอิทธิพลต่อการเมืองไทยเป็นอย่างมาก เหมือนปลาใหญ่ที่อยู่ในอ่างเมื่อขยับตัวน้ำจะกระเพื่อม ยิ่ง พ.ต.ท.ทักษิณแสดงบทบาทมากเท่าไรก็ยิ่งทำให้รัฐบาลอายุสั้นเท่านั้น เพราะฉะนั้นการเมืองไทยจะเป็นอย่างไรต้องไปถาม พ.ต.ท.ทักษิณว่าต้องการให้เป็นแบบไหน


ในขณะเดียวกันพรรคประชาธิปัตย์เองก็มีความต้องการที่จะนำการเมืองไทยกลับสู่ระบบรัฐสภา เพื่อให้รัฐสภาเป็นศูนย์กลางในการแก้ไขปัญหาของประเทศชาติ และหวังว่ารัฐบาลจะให้โอกาสกับประเทศชาติด้วยการนำการเมืองเข้ามาสู่ระบบรัฐสภาเช่นเดียวกัน


“ผมคิดว่าประเทศไทยบอบช้ำมามากแล้ว เราต้องการการฟื้นฟูเยียวยาเพื่อที่จะกลับมาเข้มแข็งอีกครั้งหนึ่ง พรรคประชาธิปัตย์มีแนวทางชัดเจนที่จะเป็นฝ่ายค้านอย่างสร้างสรรค์ หมดยุคของการเล่นการเมืองแบบทำลายล้างแล้ว เพราะถ้าเราไม่ร่วมกันสร้างการเมืองในมิติใหม่ก็เหมือนกงเกวียนกำเกวียน ถ้าเราดำเนินการเมืองแบบทำลายล้าง เมื่อเราไปเป็นรัฐบาลก็จะเจอกับการเมืองแบบทำลายล้าง ผู้ที่พ่ายแพ้คือประเทศไทยและคนไทย พรรคการเมืองมีหน้าที่ที่จะต้องสร้างสรรค์ประเทศชาติไม่ว่าในฐานะฝ่ายค้านหรือรัฐบาล”


หลังการจัดสรรตำแหน่งในรัฐบาลยิ่งลักษณ์แล้ว ผมมองว่าจุดอ่อนของรัฐบาลอยู่ที่นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม และนายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เพราะเป็นกระทรวงใหญ่และมีผลผูกพันทั้งในและต่างประเทศ ดังนั้น การแต่งตั้งคนเป็นรัฐมนตรีควรพิจารณาให้รอบคอบ ส่งผลให้เกิดคำถามตามมามากมาย และสุดท้ายจะเรียกว่าเป็นกระทรวงสายล่อฟ้าก็ได้ เป็นการตอกย้ำจุดอ่อนที่เคยทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณพังมาแล้ว และครั้งนี้จะกลายเป็นจุดตายของรัฐบาลถ้าคุณยิ่งลักษณ์ไม่ได้กระทำตัวเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย ถ้าคุณยิ่งลักษณ์ทำตัวเป็นนายกรัฐมนตรีของ พ.ต.ท.ทักษิณก็นับถอยหลังอายุรัฐบาลได้เลย


สำหรับการเมืองไทยในอนาคตพรรคเล็กจะค่อยๆสูญไปในรูปแบบพรรคเล็กเดิม แต่จะเป็นพรรคจังหวัดหรือพรรคภาคที่เป็นในลักษณะของพรรคเล็กรูปโฉมใหม่ เช่น พรรคพลังชล พรรคอีสานใต้ อีสานเหนือ พรรคกลุ่มจังหวัดโน้นจังหวัดนี้ เพื่อให้มีที่ยืนและมีเสียงทางการเมือง แต่โดยภาพรวมการเมืองไทยจะเป็น 2 พรรคใหญ่ และทั้ง 2 พรรคจะปฏิรูปตัวเองให้เป็นพรรคที่มีประชาชนเป็นเจ้าของ


ผมคิดว่าแต่ละพรรคมีปัญหาท้าทายตัวเองอยู่พอสมควร และพรรคการเมืองไทยก็ขึ้นอยู่กับพรรคประชาธิปัตย์และพรรคเพื่อไทย 2 พรรคนี้เป็นหลัก ถ้า 2 พรรคการเมืองนี้สามารถปฏิรูปได้ บ้านเมืองและการเมืองไทยก็จะราบรื่นและกลับเข้าสู่ระบบรัฐสภา แต่ถ้า 2 พรรคนี้ยังไม่สามารถดำเนินการได้ บ้านเมืองก็จะยังปั่นป่วนวุ่นวาย ซึ่งผมคิดว่าถึงเวลาแล้วที่ทั้ง 2 พรรคต้องมีจุดร่วมตรงกันในการปฏิรูปพรรคและระบบการเมืองไทยให้กลับมาสู่การเมืองในระบบรัฐสภาอย่างแท้จริง นั่นคือโจทย์ที่ 2 พรรคจะสามารถทำงานร่วมกันได้ และต่างฝ่ายต่างทำหน้าที่


ในส่วนของพรรคประชาธิปัตย์นั้นผมเชื่อว่าการปรับเปลี่ยนของพรรคจำเป็นต้องมีรูปแบบที่ชัดเจน และเป็นการปรับตัวเพื่อไปข้างหน้า ไม่ย่ำอยู่กับที่เหมือนที่ผ่านมา เพราะในฐานะที่ผมเป็นหนึ่งในคณะกรรมการบริหารชุดใหม่ ผมคิดว่าพรรคประชาธิปัตย์ต้องปรับตัวเองจากรูปแบบเดิม ลบคำสบประมาทว่าเป็นพรรคอำมาตย์ พรรคศักดินา พรรคที่เท้าไม่ติดดินให้จงได้ และพรรคประชาธิปัตย์โฉมใหม่จะต้องเป็นองค์กรพรรคการเมืองที่ทันสมัย เป็นองค์กรที่มีประสิทธิภาพ เป็นองค์กรที่เรียนรู้ตลอดเวลา เพราะฉะนั้นการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ต้องเกิดขึ้นภายใน 1 ปี ช้ากว่านั้นไม่ได้


ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข ปีที่ 7 ฉบับ 327 
วันที่ 10 - 16 กันยายน 2554  พ.ศ. 2554 หน้า 20 
คอลัมน์ คนการเมือง โดย ศิริพร วาสะศิริ
http://redusala.blogspot.com

‘เสื้อแดง’ก้าวข้ามชนชั้นไม่ใช่แค่‘คนชั้นกลางระดับล่าง’
  

       รายงาน(วันสุข)
         จากหนังสือพิมพ์ โลกวันนี้ วันสุข
         ปีที่ 7 ฉบับที่ 327 ประจำวัน จันทร์ ที่ 12 กันยายน 2011



         คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้จัดเวทีวิชาการ “ประสบการณ์ประชาธิปไตยของชาวบ้านเชียงใหม่” เมื่อวันที่ 1 กันยายน และ ผศ.ดร.ปิ่นแก้ว เหลืองอร่ามศรี อาจารย์คณะสังคมศาสตร์ ได้นำเสนองานวิจัยเรื่อง “พัฒนาการจิตสำนึกและปฏิบัติการทางการเมืองของขบวนการเสื้อแดงในจังหวัดเชียงใหม่” ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการวิจัยขนาดใหญ่ที่ชื่อว่า “ความเปลี่ยนแปลงทางภูมิทัศน์ทางการเมืองในชนบท” สำนักข่าว “ประชาธรรม” ได้เรียบเรียงมานำเสนอในเว็บไซต์ ซึ่งมีประเด็นที่น่าสนใจดังนี้


ขบวนการเสื้อแดงเป็นขบวนการที่น่าสนใจ ในแง่หนึ่งสมาชิกมีแหล่งกำเนิดมาจากชนบท แต่ขบวนการเสื้อแดงกลับไม่ได้เกาะเกี่ยวกันด้วยความเดือดร้อนทางเศรษฐกิจของชนชั้นชาวนาเหมือนกับสหพันธ์ชาวไร่ชาวนาเมื่อทศวรรษ 2510 ขณะเดียวกันขบวนการนี้ก็ต่างไปจากขบวนการสมัชชาคนจน


นักวิชาการที่เขียนเรื่องขบวนการเสื้อแดงส่วนใหญ่เห็นพ้องต้องกันว่าขบวนการเสื้อแดงมีความสลับซับซ้อนและประกอบไปด้วยกลุ่มคนหลายสถานะ หลากความคิดทางการเมือง ยากที่จะกำหนดด้วยเส้นแบ่งทางเศรษฐกิจ หรือกระทั่งความต่างระหว่างเมืองและชนบท


อาจารย์นิธิ เอียวศรีวงศ์ และอาจารย์อรรถจักร สัตยานุรักษ์ เสนอเรื่องแนวคิดชนชั้นกลางระดับล่างในเมืองและชนบท อาจารย์ผาสุก พงษ์ไพจิตร และอาจารย์ไชยรัตน์ เจริญสินโอฬาร เรียกขบวนการนี้ว่าเป็นกลุ่มที่ผสมกันระหว่างกลุ่มที่คัดค้านรัฐประหารกับมวลชนผู้สนับสนุนทักษิณ อาจารย์เกษียร เตชะพีระ มองว่าขบวนการนี้เป็นแนวร่วมระหว่างชนชั้นรากหญ้าและชนชั้นนายทุนใหญ่ อาจารย์คายส์ (ชาร์ลส์ คายส์) เรียกชาวชนบทที่เข้าร่วมขบวนการนี้ว่าเป็น “กลุ่มคนชนบทผู้เห็นโลกกว้าง” (cosmopolitan villagers) อาจารย์วัฒนา สุกัณศีล เรียกคนเหล่านี้ว่าเป็นผู้ประกอบการทางการเมือง


3 คำถามขบวนเสื้อแดง


มีหลายคนพยายามตั้งคำถามและหาคำอธิบายเกี่ยวกับขบวนการนี้ งานของตนก็พยายามทำอะไรแบบนั้นเหมือนกัน โดยมีคำถามหลัก 3 คำถามคือ 1.ขบวนการเสื้อแดงในเชียงใหม่ประกอบไปด้วยกลุ่มคนสถานะใด ก่อรูปขึ้นเป็นขบวนการเสื้อแดงได้อย่างไร และมีพัฒนาการเช่นไร (ที่เลือกศึกษาเสื้อแดงในเชียงใหม่เพราะเป็นหนึ่งในเมืองหลวงของเสื้อแดง)


2.เงื่อนไขทางสังคม เศรษฐกิจ การเมือง อะไรที่มีอิทธิพลต่อการก่อรูปของจิตสำนึกทางการเมืองของพวกเขาเหล่านั้นจนนำไปสู่การตัดสินใจเข้าร่วมในปฏิบัติการทางการเมือง การสวมรับความเป็นแดงของพวกเขามีนัยเช่นไร สะท้อนตัวตนความเป็นพลเมืองที่ต่างไปจากเดิมอย่างไร และมีนัยที่เปลี่ยนแปลงไปจากการปะทะทางการเมืองในแต่ละช่วงเวลาอย่างไร


3.สื่อเสื้อแดงในระดับท้องถิ่น อาทิ วิทยุชุมชน มีบทบาทเช่นไรในการสร้างและขับเคลื่อนขบวนการเสื้อแดงในระดับท้องถิ่น ขบวนการนี้มีความแตกต่างจากขบวนการก่อนหน้านี้ถ้าเทียบกับสหพันธ์ชาวไร่ชาวนาหรือสมัชชาคนจน เพราะมีการใช้สื่อค่อนข้างมาก มีสื่อเป็นของตัวเอง ด้วยความแตกต่างนี้ทำให้ขบวนการนี้แตกต่างจากขบวนการอื่นอย่างไร


ความคิดกระแสหลักเกี่ยวกับคนเสื้อแดงสามารถแบ่งได้เป็น 2 กลุ่มความคิดหลัก ความคิดแรกมองว่าเป็นชนชาวรากหญ้าที่มีการศึกษาต่ำ เป็นชาวชนบทที่จงรักภักดีต่อทักษิณและถูกชนชั้นนำลากเข้าสู่การเมือง ทรรศนะนี้สะท้อนความคิดของผู้ปกครอง ชนชั้นกลาง และนักวิชาการบางท่านก็มองเช่นนี้ คือมองว่าผู้นำตีกันแล้วลากชาวบ้านเข้ามายุ่งทางการเมือง


กลุ่มความคิดที่ 2 มองจากฐานความคิดเรื่องเศรษฐกิจเป็นหลัก คือมองว่ากลุ่มคนเหล่านี้เป็นชนชั้นกลางระดับล่างในชนบทที่ชีวิตทางเศรษฐกิจนั้น “ปริ่มน้ำ” นโยบายไทยรักไทยได้ช่วยให้คนเหล่านี้พ้นจากอาการปริ่มน้ำหรือความเสี่ยงได้ และสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจให้กับพวกเขา เมื่อมีการรัฐประหารได้ทำลายโอกาสทางเศรษฐกิจอันนี้ พวกเขาจึงรวมตัวกันทวงสิทธิให้กับพรรคการเมืองของตนเองที่ได้เลือกขึ้นมา


ความคิดทั้ง 2 แบบไม่ผิด แต่ไม่พอ ความคิดที่ว่าผู้นำตีกันแล้วลากชาวบ้านเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ตนไม่มีความเห็น เพราะเป็นวิธีอธิบายความขัดแย้งในสังคมไทยที่ดำเนินมาตลอดช่วงสมัยอยู่แล้ว คือมองว่าประชาชนไม่มีสมองหรือปัญญาเป็นของตนเองที่จะวิเคราะห์การเมือง สามารถถูกลากมาประหนึ่งว่าเป็นวัวควาย จึงเห็นว่าไม่มีประโยชน์ที่จะไปโต้เถียงทางวิชาการ


ความคิดแบบที่ 2 อาจเป็นหลักคิดที่น่าสนใจกว่า คือการมองว่าการรวมตัวของกลุ่มคนรากหญ้าเหล่านี้มีแรงผลักทางด้านเศรษฐกิจ ซึ่งเคยเถียงกับนักวิชาการหลายท่าน เพราะคิดว่าไม่พอที่จะนำมาใช้ในการอธิบายการเปลี่ยนแปลงทางภูมิทัศน์ของชนบททั้งทางเศรษฐกิจและการเมืองที่ผ่านมา พูดง่ายๆคือการอธิบายแบบใช้เศรษฐกิจกำหนดนั้นไม่ช่วยให้เข้าใจว่าความคิดทางการเมืองของชาวบ้านเปลี่ยนไปอย่างไร และเพราะอะไร


มองกลับหัวกลับหาง


งานวิจัยชิ้นนี้จึงพยายามอธิบายแบบกลับหัวกลับหาง คือแทนที่จะมองการเมืองจากด้านบนลงมา ตนพยายามทำความเข้าใจในความขัดแย้งทางการเมืองจากฐานคิดของรากหญ้า ชาวบ้านที่เข้าร่วมขบวนการนี้คิดอย่างไร ขบวนการนี้ต่างไปจากขบวนการทางสังคมอื่นในประวัติศาสตร์ก่อนหน้านี้อย่างไรบ้าง
ข้อค้นพบเบื้องต้นพบว่าก็จริงที่ความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในระบอบเลือกตั้ง (Election Politic) มีผลอย่างยิ่งต่อจิตสำนึกทางการเมืองของประชาชนในชนบท ในทุกหมู่บ้านที่เข้าไปศึกษา ในยุคก่อนไทยรักไทยชาวบ้านไม่เคยคิดว่าการเลือกตั้งเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต และไม่คิดว่าการเลือกตั้งคือปริมณฑลทางการเมือง คือเป็นปริมณฑล (ทางการเมือง) ของคนกรุงเทพฯ แต่ไม่เคยคิดว่าปริมณฑลของการเลือกตั้งจะเกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจในชนบท


รัฐบาลไทยรักไทย 2 สมัยได้เปลี่ยนความคิดนี้ แล้วก็ช่วยทำให้ชาวบ้านเข้าใจว่าการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในระบอบเลือกตั้งนั้นมีผลโดยตรงต่อสถานะทางเศรษฐกิจ ตรงนี้เป็นตัวทำให้ชาวบ้านมองว่าสิทธิทางการเมืองจะนำมาซึ่งความมั่นคงทางเศรษฐกิจในชนบท คือการเชื่อมโยงของ 2 อันนี้ทำให้จิตสำนึกทางการเมืองของชาวบ้านในชนบทปัจจุบันไม่ต่างไปจากสำนึกทางการเมืองของปัญญาชนหรือชนชั้นกลางทั่วไป แต่ก่อนเรามองว่าชาวบ้านไม่เข้าใจการเมืองในระบอบเลือกตั้ง หรือมองการเมืองในระบอบการเลือกตั้งห่างไกลจากชนบท ซึ่งแต่ก่อนนั้นอาจใช่ แต่ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมาการมองแบบนี้อธิบายปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ได้อีกต่อไป


เวลามองขบวนการเสื้อแดงเฉพาะในเชียงใหม่จังหวัดเดียวพบว่าไม่จริงที่เงื่อนไขทางเศรษฐกิจเป็นตัวลากชาวบ้านเข้ามาร่วมกัน จากงานวิจัยพบว่ามีพหุลักษณ์ของเหตุผลและผูกสัมพันธ์กลุ่มชนชั้นต่างๆที่เข้ามาร่วมกันสร้างขบวนการ บางกลุ่มเป็นเหตุผลทางการเมืองหรืออุดมการณ์ บางกลุ่มเป็นเหตุผลทางเศรษฐกิจ
พัฒนาการคนเสื้อแดง


จากคำบอกเล่าของแกนนำ เหตุผลการขึ้นมาค้านรัฐประหารของเสื้อแดงเชียงใหม่ไม่ใช่เพราะทักษิณ แต่เป็นเรื่องของการประกาศกฎอัยการศึกในเชียงใหม่ ทำให้เศรษฐกิจท่องเที่ยวตกต่ำ เมื่อกลุ่มแกนนำไปประท้วงกัน ทหารก็จับไปขัง นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้ขบวนการต่อเนื่องตามมา


มีเหตุผลมากมายของผู้คนที่เข้ามาร่วมกับขบวนการเสื้อแดง ความหลากหลายเหตุนี้จึงน่าสนใจถ้าเทียบกับการเคลื่อนไหวของขบวนการสังคมในยุคก่อนๆ ขบวนการชาวนาชาวไร่ประเด็นคือค่าเช่านา ขบวนการของสมัชชาคนจนประเด็นคือค้านโครงการขนาดใหญ่ เสื้อแดงอาจเป็นขบวนการแรกในประวัติศาสตร์ของการเคลื่อนไหวทางการเมืองที่มีเหตุผลมากมาย แต่สามารถเหลาให้เป็นประเด็นเดียวกันได้ในเวลาต่อมา


ขบวนการดังกล่าวมีความเป็นเอกเทศ และรวมตัวกันแบบหลวมๆ ซึ่งตรงกันข้ามกับคำอธิบายกระแสหลักที่ว่าเป็นประเด็นที่สั่งการมาจากศูนย์กลางที่กรุงเทพฯ โดยพบจากการศึกษาว่าขบวนการนี้รวมตัวกันแบบหลวมๆ ไม่มีใครสั่งใครได้ ถ้าเห็นพ้องกันว่าการเคลื่อนไหวมีเป้าหมายสำคัญก็รวมตัวกันเป็นขบวนการแนวนอนเชื่อมโยงในรูปแบบเครือข่ายและพึ่งพาตัวเองในแง่ทุน เราพบว่ากลุ่มที่เรียกว่าเสื้อแดงในระดับอำเภอหรือท้องถิ่นพัฒนายุทธศาสตร์อย่างหลากหลาย กล่าวคือ สมัชชาคนจนอาจได้ทุนมากมาย ส่วนหนึ่งมาจากการระดมทุน ส่วนหนึ่งเอ็นจีโอสนับสนุนทุนด้วย แต่ขบวนการของชาวบ้านเสื้อแดงพึ่งพาตัวเองในแง่จัดหาทุนค่อนข้างเติบโตและเป็นตัวของตัวเอง


การเกิดขึ้นของชมรมเสื้อแดงในแต่ละอำเภอมีโทนใหญ่มาจากกลุ่มรักเชียงใหม่ 51 และ นปช. เสื้อแดง ซึ่งแตกต่างจากขบวนการสังคมในอดีต เราพบว่าในขณะที่ขบวนการชาวไร่ชาวนา กลุ่มจัดตั้งหลักเป็นกลุ่มนักศึกษาหรือชนชั้นกลาง ปัญญาชนในเมือง ขบวนการสมัชชาคนจน กลุ่มที่จัดตั้งเป็นขบวนการเอ็นจีโอ ในขบวนการเสื้อแดงเราพบว่าชาวบ้านธรรมดาผันตัวเองขึ้นมาเป็นนักกิจกรรมชนบท ทำงานจัดตั้งกันเอง ทำงานสร้างเครือข่ายกันเอง ซึ่งเป็นมิติที่ไม่มีในขบวนการสังคมในอดีต
อุดมการณ์-ความเชื่อ


งานวิจัยยังพบอีกว่าสิ่งที่เรียกว่าอุดมการณ์ทางการเมืองของคนเสื้อแดงนั้นมีการเปลี่ยนผ่าน ไม่ได้เริ่มจากฐานความคิด ความเชื่อเดียวกัน (ตอนแรกเขาอาจคิดง่ายๆว่าเรียกร้องให้มีการเลือกตั้งใหม่) มีการเปลี่ยนผ่านสำคัญที่มีผลอย่างยิ่งต่อวิธีคิดของคนเสื้อแดงในการมองความสัมพันธ์ของตนเองกับสถาบันต่างๆ 2 ระลอก (จริงๆแล้วเปลี่ยนผ่านหลายระลอก) โดยเหตุการณ์พฤษภา 53 ถือเป็นระลอกที่สำคัญ
ความเชื่อที่ว่าคนเสื้อแดงเกิดขึ้นมาเป็นแขนขาพรรคไทยรักไทยเพื่อกลับมามีอำนาจอีกครั้งก็ไม่จริงทีเดียว เพราะหลังจากพรรคไทยรักไทยถูกโค่นใหม่ๆกลับไม่มีปฏิบัติการทางการเมืองใดๆ จนกระทั่งมีรัฐประหารแล้ว กรณีของเสื้อแดงเชียงใหม่เริ่มต้นจากในเมืองก่อนชนบท มีการก่อตัวของชนชั้นกลางในเมืองที่รวมตัวกันตั้งกลุ่มขึ้นมาแล้วค่อยๆขยายลงสู่ชนบท และกลไกสำคัญที่ใช้เป็นเครื่องมือของกลุ่มในระดับอำเภอคือวิทยุชุมชน 92.5 MGH


นอกจากนี้พบว่าสมาชิกเสื้อแดงในระดับอำเภอมีความหลากหลายทางอาชีพมาก กลุ่มแดงดอยสะเก็ดมีประธานเป็นพ่อค้าในตลาดดอยสะเก็ด แกนนำของกลุ่มประกอบไปด้วย ครู นักธุรกิจท้องถิ่น ตำรวจ ทหาร ข้าราชการในอำเภอ เกษตรกร แรงงานรับจ้าง และแม่ค้า-แม่บ้าน ซึ่งแทบทุกกลุ่มจะมีสมาชิกที่สังกัดทุกสถานะทางสังคม ไม่ใช่แค่เป็นเกษตรกรหรือชาวนารับจ้างอย่างเดียว


กรณีกลุ่มรักฝาง-แม่อาย-ไชยปราการก็เช่นเดียวกัน แกนนำมาจากหลายหมู่เหล่า ทั้งผู้นำทางการของชุมชน อดีตสหาย กลุ่มครู นักธุรกิจท้องถิ่น โดยมีคหบดีท้องถิ่นเป็นประธานกลุ่ม ในสันกำแพง กลุ่มสันกำแพงรักประชาธิปไตย กลุ่มหลักประกอบด้วยแม่ค้าและนักธุรกิจ


ก้าวข้ามชนชั้น


การยกกลุ่มหลากอาชีพขึ้นมาก็เพื่อชี้ให้เห็นว่าเป็นขบวนการข้ามชนชั้น ประกอบไปด้วยกลุ่มคนที่มีความแตกต่างหลากหลายอาชีพและสถานะอย่างยิ่ง แต่สามารถมารวมตัวกันภายใต้อุดมการณ์เดียวกันได้ ซึ่งขบวนการแบบนี้ยังไม่เคยเกิดขึ้นในสังคมไทย เพราะความเชื่อว่าคนที่มีสถานะทางเศรษฐกิจต่างกันจะมีอุดมการณ์ทางการเมืองร่วมกันได้อย่างไร


คำถามใหญ่ซึ่งมักจะถูกถามอย่างยิ่งจากนักรัฐศาสตร์คือ เสื้อแดงนั้นสัมพันธ์อย่างไรกับพรรคการเมือง พบว่าพรรคการเมืองโดยเฉพาะอย่างยิ่งพรรคไทยรักไทยมีบทบาทสำคัญในขบวนการเสื้อแดงอย่างแน่นอน แต่สิ่งที่น่าสนใจในช่วงการก่อตัวในยุคแรก พรรคการเมืองหรือ นปช.ส่วนกลางมีความระมัดระวังอย่างยิ่ง หรือไม่ค่อยเข้ามาเกี่ยวข้องกับขบวนการเคลื่อนไหว การเคลื่อนไหวของเสื้อแดงในระดับท้องถิ่นทำกันเอง พรรคการเมืองไม่ได้สนับสนุน แกนนำให้สัมภาษณ์ด้วยซ้ำไปว่า “อยากให้พรรคการเมืองท้องถิ่นสนับสนุน” แต่หลายส่วนค่อนข้างกลัวเพราะอยู่ในช่วงของการรัฐประหาร


เมื่อมีกิจกรรมขึ้นมาแล้วพรรคการเมืองจึงเริ่มเข้ามาสัมพันธ์ด้วย แต่ความสัมพันธ์เป็นไปในเชิงเครือข่ายพันธมิตร พรรคการเมืองสนับสนุนเรื่องเงินบ้าง แต่ส่วนใหญ่มาจากการระดมทุนกันเอง เป็นลักษณะของการเกื้อหนุนซึ่งกันและกัน โดยมวลชนที่เข้าร่วมกิจกรรมเป็นมวลชนที่เลือกพรรคเพื่อไทย


ประเด็นที่ 2 คือเรื่องการกลายเป็นแดง เสื้อแดงไม่ได้เป็นอัตลักษณ์ที่จะเป็นกันง่ายๆในช่วงหลายปีของการเข้าร่วมขบวนการ หรือกลายเป็นแดงค่อนข้างหลากหลายจนสร้างอัตลักษณ์ร่วมขึ้นมาได้ ในที่สุดก็ถามว่าความเป็นแดงคืออะไร ชาวบ้านนิยามในความหมายที่คล้ายๆกันคือ “ตัวตนใหม่ของพลเมืองเสรีนิยม”


คำพูดของแกนนำ นปช.จังหวัดเชียงใหม่คนหนึ่งในระดับชาวบ้านพูดชัดว่า
“ผมว่าเรื่องที่เราต่อสู้ช่วงแรกเนี่ย ต้องถือว่าปัญหาที่เป็นหลักใหญ่ใจความก็คือว่าการปกครองระบอบประชาธิปไตยคืออำนาจสูงสุดอยู่ที่ปวงชน ฉะนั้นหมายความว่า 3 อำนาจต้องถูกเลือกจากประชาชน...แล้วทุกคนพูดถึงระบอบ ถึงโครงสร้างตัวนั้นเนี่ย ผมบอกว่าตัวนั้นถ้าไม่ปรับตัวนะ ผมว่าพัฒนาการขับเคลื่อนทางสังคม ผมทายไว้ก่อนเลยนะครับ มิคสัญญีจะเกิดขึ้นกับประเทศไทยล้านเปอร์เซ็นต์ ตราบใดที่สังคมนี้ไม่ได้ประชาธิปไตย 1.โครงสร้างไม่ปรับ 2.ยาก ผมบอกเลยยากที่สังคมจะสงบนะครับ”


คำพูดของชาวบ้านสันทรายคองน้อย อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ ก็น่าสนใจ โดยกล่าวว่ากระบวนการกลายเป็นแดงหรืออัตลักษณ์แดงไม่ได้คล้ายกับสมบัติที่ไปซื้อมาแล้วอยู่ๆก็เป็น แต่เห็นว่าผู้ขึ้นมามีอำนาจไม่ทำตามกติกาจึงกลายมาเป็นแดง คนเสื้อแดงบางส่วนกลายเป็นแดงด้วยเหตุผลนี้


"แต่ก่อนน่ะเหรอ เมื่อก่อนเป็นสีเหลืองน่ะสิ เมื่อก่อนนี้ก็เป็นเสื้อเหลือง อนุรักษ์ทรัพยากรสิ่งแวดล้อม พวกนี้ ในป่า ในอะไรพวกนี้ แล้วที่นี้เรื่องที่เป็นเสื้อแดงก็หมายถึงว่าความไม่ยุติธรรม หมายความว่ากติกา คนเราจะต้องมีกติกาใช่ไหม กติกาก็หมายถึงสัญญา แล้วทีนี้รัฐบาลไม่ทำตามสัญญาเราใช่ไหม ไม่ทำตามสัญญาก็หมายความว่าละเมิดข้อสัญญาเรา ไม่มีการเลือกตั้งขึ้นมา มีการไปแต่งตั้งขึ้นมา ไม่มีการเลือก แต่งตั้งแล้วเอาอภิสิทธิ์เป็นนายกฯ อันนี้คือประชาชนไม่ได้เลือกตั้งขึ้นมา หมายความว่าไม่ทำตามกติกา เหมือนกับชาวบ้านเราเหมือนกันนะ เมื่อมีการประชุมเราก็จะมีกติกา ให้ทำตามแบบนี้ แล้วทีนี้ทางรัฐบาลไม่ยอมทำตามกติกา เรา  ตาก็เลยเริ่ม เออ ความไม่ยุติธรรมเกิดขึ้นมา ก็เลยเป็นเสื้อแดง เป็นเสื้อแดงแบบนี้แหละครับ”


ความเป็นแดงกับไพร่


อันนี้คือสิ่งที่พยายามแยกให้เห็นว่าแม้ว่าจะเป็นพันธมิตรของพรรคการเมืองคือพรรคเพื่อไทย แต่ก็ไม่ได้เป็นแขนขา ดังตัวอย่างคำพูดของแกนนำ นปช.อำเภอดอยสะเก็ดที่ให้สัมภาษณ์ก่อนการเลือกตั้งว่า “แต่ถ้าสมมุติว่าพรรคที่ได้รับเลือกมาเป็นพรรคเพื่อไทย เป็นรัฐบาลนะครับ แล้วทำไม่ดี ทำห่วยยิ่งกว่าพรรคประชาธิปัตย์ เราก็จะจัดการคนของเราเองนะครับ อันนี้ก็จองกฐินไว้ล่วงหน้าเลย กลุ่มของเราชนะแล้วไม่ใช่จะเลิก” ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าเป็นกระบวนการตามกติกาของระบอบการเลือกตั้งที่ถ้าพรรคการเมืองไม่ทำตามนโยบายที่ได้รับปากไว้ ประชาชนก็มีสิทธิที่จะกดดันเรียกร้องให้เปลี่ยนพรรคการเมือง


มีคำ 2 คำที่พูดในขบวนการเสื้อแดงมากคือ ความเป็นแดงกับความเป็นไพร่ ซึ่งเมื่อไปถามคนเสื้อแดงว่าเสื้อแดงคืออะไร ทุกคนจะตอบคล้ายกันว่าเสื้อแดงคือคนที่รักความเป็นธรรม รักประชาธิปไตย เป็นผู้ที่รักความจริง


อันสุดท้ายสำคัญมาก คือชาวบ้านมองว่าสื่อกระแสหลักและสิ่งที่รัฐพูดนั้นเป็นข้อมูลด้านเดียว เสื้อแดงเป็นผู้ที่จะมาเปิดข้อมูลอีกด้านหนึ่งให้โลกรู้ นี่เป็นที่มาว่าสื่อเสื้อแดงมีความสำคัญอย่างมาก เพราะพยายามเปิดเผยความจริงด้านที่สังคมไทยปิด นี่เป็นอุดมการณ์ประชาธิปไตยทางการเมือง


ส่วนความเป็นไพร่สะท้อนความเป็นพลเมืองชั้นสองภายใต้ความสัมพันธ์กับรัฐไทย แต่พอผ่านการเลือกตั้งมาก็ไม่แน่ใจว่าวาทกรรมนี้จะเปลี่ยนไปอย่างไร ก่อนการเลือกตั้งวาทกรรมนี้เป็นวาทกรรมใหญ่ ซึ่งนิยามให้เห็นว่าแม้เป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศแต่เป็นแค่พลเมืองชั้นสอง ไม่ว่าทำอะไรรัฐไม่เคยรับรู้ และพยายามกดทับอยู่ตลอดเวลา


ความเป็นแดงและความเป็นไพร่ เป็นอัตลักษณ์ร่วม ไม่ว่าจะเป็นใครหรือว่าอยู่ชนชั้นไหน แต่ด้วยความเป็นผู้ที่รักความจริง รักประชาธิปไตย เป็นผู้ไม่มีอำนาจทางการเมืองในสังคมไทย จึงกลายเป็นเสื้อแดง



ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข ปีที่ 7 ฉบับที่ 327 
วันที่ 10 - 16 กันยายน พ.ศ. 2554 หน้า 5 - 7 
คอลัมน์ ข่าวไร้พรมแดน โดย ผศ.ดร.ปิ่นแก้ว เหลืองอร่ามศรี
http://redusala.blogspot.com