วันพุธที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

พล.อ.ประยุทธ์จะเปิดเวทีให้นักศึกษา-นักวิชาการส่งตัวแทนเข้ามา-แต่อย่ามาด่า คสช.


           พล.อ.ประยุทธ์ เผยฟัง 'เดช พุ่มคชา' แสดงความเห็นเรื่องปฏิรูปเข้าท่า ชี้หากจัดประชุม-ต้องคิดเรื่องแก้ไขปัญหา ไม่ใช่จัดเพื่อด่า คสช. ย้ำเรื่องนักศึกษาเคลื่อนไหว-จะไม่ลงโทษใคร และเมื่อจัดเวทีแล้วก็ขอให้ส่งตัวแทนเข้ามา อย่าให้เอาใจยาก เปิดเวทีมาแล้วก็คุยกันไป พร้อมถามพวกต่อต้าน "ความรู้สึกช้าไปหรือเปล่า" อย่ามาต่อต้านกันวันนี้เลย
คลิป พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แถลงข่าวโดยตอนหนึ่งกล่าวถึงการทำกิจกรรมของนักศึกษา
           วันนี้ (25 พ.ย.) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) แถลงหลังประชุมคณะรัฐมนตรี โดยตอนหนึ่งกล่าวถึงเรื่องแนวทางเปิดเวทีให้นักศึกษาแสดงความคิดเห็นว่า "เท่าที่ฟังเมื่อวานมีการประชุมของสภาชุมชน ใช่ไหม ก็มีท่านที่มีหนวดเครา อะไรต่างๆ (หมายถึง เดช พุ่มคชา) ผมก็เข้ามานั่งฟังนะ ทนอยู่ ฟังหลายนาทีเหมือนกัน ดีนะ เขามีเหตุผลของเขา เขาคิดในแง่ของประชาชน แต่จะทำอย่างไรนำมาสู่การปฏิบัติให้ได้ ผมสั่งไปแล้ว บอกให้ไปรับเรื่องมาด้วย"
           "คือถ้าประชุมในสถานที่แล้ว นี่คือปัญหาแล้วจะแก้อย่างไร ไม่ใช่ประชุมแล้วด่า คสช. ด่ารัฐบาล แบบนี้ไม่ได้ มันผิด มันผิดด้วยสถานการณ์นะ แล้วก็ในเมื่อบางอย่างเราขอร้องกันแล้ว ก็ต้องขอกัน จะเห็นว่าเราไม่ได้มาลงโทษใครเด็ดขาดในเรื่องเหล่านี้เลย เห็นใจผมบ้างสิ ผมรับหมดนะ ไม่ว่าจะเป็นประชุมธรรมศาสตร์ ผมก็บอกให้ไปรับเรื่องมา ประชุมสภาประชาชน ผมก็บอกว่าให้ไปรับเรื่องมา แถมผมบอกว่าให้ไปเปิดเวทีให้นักศึกษากับนักวิชาการ ส่งตัวแทนเข้ามาแล้วเข้ามา ถ้าอย่างนี้เขามา และถ้าไม่เข้ามาก็อย่าไปเรียกข้างนอก หรือเข้ามาแล้วถูกบังคับอีกไม่ได้อีก แหมมันเอาใจยากจริงๆ โว้ย นะ ก็เปิดมาแล้วก็คุยกันไป แล้วสรุปมาเป็นเอกสารมา แต่จะมาโน้นนี้ มาว่าความรู้สึกช้าไปหรือเปล่านะ อย่ามาต่อต้านกันวันนี้เลย"

‘เจียมฯ’ นี่ก๊ากเลย หน้า 1 ‘แนวหน้า’ ลงข่าว ‘สมศักดิ์ เจียมธีระประเสริฐ’ จ้างลูกศิษย์โปรยใบปลิวต้านคสช.


โพสต์ของสมศักดิ์

Wed, 2014-11-26 12:50

           “ผมอ่านที่เขาบรรยายแล้ว หัวเราะ ก๊ากๆ ขึ้นมาทันทีจริงๆ เลยครับ” ‘สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล’ ระบุ พร้อมโพสต์ภาพข่าว ‘แนวหน้า’ ที่เขียนบรรยายใต้ภาพว่า ‘สมศักดิ์ เจียมธีระประเสริฐ’ จ้างลูกศิษย์โปรยใบปลิวโจมตี คสช.
             26 พ.ย.2557 สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล อาจารย์ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์ภาพพร้อมข้อความในเฟซบุ๊ก ‘สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล’ ระบุว่า “มี มิตรสหายท่านหนึ่ง ส่งมาให้หลังไมค์นะครับ ขอบพระคุณอย่างสูง ภาพจาก หนังสือพิมพ์ "แนวหน้า" ฉบับ วันอังคาร 25 พฤศจิกายน 2557 (เหม่ ชื่อ นามสกุล ตรูออกจะดัง ดันสะกดผิดได้) ผมอ่านที่เขาบรรยายแล้ว หัวเราะ ก๊ากๆ ขึ้นมาทันทีจริงๆเลยครับ "นายสมศักดิ์ เจียมธีระประเสริฐ นักวิชาการเสื้อแดง จ้างลูกศิษย์ นำใบปลิวโจมตีคสช.มาโปรยภายในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์" ปัดโธ่ เงินทองผมยิ่งไม่ค่อยมีจะใช้ (ค่าใช้จ่ายที่ที่ผมอยู่ตอนนี้แพงมาก บุหรี่ซองละ 300 บาทคิดดู) จะมีปัญญาไป "จ้าง" ใครที่ไหนอีกฟะ”
หน้า 1 แนวหน้า  ฉบับ วันอังคาร 25 พฤศจิกายน 2557 
            ทั้งนี้ภาพดังกล่าวเกิดขึ้นเมือวันที่ 24 พ.ย.ที่ผ่านมา นักศึกษา 8 คน ซึ่งทำกิจกรรมโปรยใบปลิว 'คิดถึงสมเจียม' บริเวณมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ โดยมีข้อความ "ถึงยุคทมิฬมารจะครองเมืองด้วยควันปืน...แต่คนย่อมเป็นคน.." -จิตร ภูมิศักดิ์ โดยนำมาจากภาพ cover ของ สมศักดิ์ ซึ่งเงียบไปหลังรัฐประหาร 22 พ.ค. และกลับมาโพสต์ในเฟซบุ๊กส่วนตัวอีกครั้งเมื่อวันที่ 22 พ.ย. ที่ผ่านมา
           หลังจากที่นักศึกษากลุ่มดังกล่าวโปรยใบปลิวได้ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจและทหารควบคุมตัวไปที่ สน.ชนะสงคราม สน.สำราญราฏษร์ เพื่อสอบสวนก่อนเซ็นรับในบันทึกการปรับทัศนคติ โดยไม่มีการดำเนินคดี แต่ถูกห้ามไม่ให้กระทำการดังกล่าวอีก หากกระทำอีกจะถูกเจ้าหน้าที่ดำเนินคดีตามกฏหมายต่อไป(อ่านรายละเอียด)

ไต่สวนการตาย 'ฮิโรยูกิ-ทศชัย-วสันต์' ตร.เบิกความ ระบุจากการสอบสวนถูกยิงตายโดยวิถีกระสุนมาจากฝั่งทหาร

            ไต่สวนการตาย 'ฮิโรยูกิ-ทศชัย-วสันต์' เหยื่อกระสุน 10 เม.ย. 53 พนักงานสอบสวน สน.พลับพลาไชย 1 เบิกความ ระบุจากการสอบสวน ผู้ตายเสียชีวิตจากกระสุนปืนความเร็วสูง โดยมีแนววิถีกระสุนมาจากฝั่งเจ้าหน้าที่ทหาร
            เมื่อว้นที่ 25 พ.ย.ที่ผ่านมา ที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ ศาลนัดไต่สวนคดีหมายเลขดำที่ ช.1/2555 ที่พนักงานอัยการ สำนักอัยการคดีพิเศษ ฝ่ายคดีอาญากรุงเทพใต้ 1 ยื่นคำร้องขอให้ศาลไต่สวนชันสูตรพลิกศพนายฮิโรยูกิ มูราโมโตะ ช่างภาพสำนักข่าวรอยเตอร์ ชาวญี่ปุ่น ผู้ตายที่ 1 นายวสันต์ ภู่ทอง ผู้ชุมนุมแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ผู้ตายที่ 2 และนายทศชัย เมฆงามฟ้า ผู้ชุมนุม นปช. ผู้ตายที่ 3 ทั้งหมดถูกยิงเสียชีวิตบริเวณหน้าโรงเรียนสตรีวิทยา ถนนดินสอ ในเหตุการณ์สลายการชุมนุมกลุ่ม นปช. เมื่อวันที่ 10 เม.ย.2553 โดยพนักงานอัยการนำ ร.ต.อ.อริย์ธัช อธิสุรีย์มาศ พนักงานสอบสวน สน.พลับพลาไชย 1 เข้าเบิกความต่อจากนัดที่แล้ว
            ทนายญาติผู้ตายถามพยานว่า ในวันเกิดเหตุ เจ้าหน้าที่มีการใช้อาวุธสงครามในการปฏิบัติการขอคืนพื้นที่ โดยเบิกอาวุธของราชการไปใช่หรือไม่ พยานเบิกความว่า ทราบว่ามีการเบิกอาวุธของราชการไปใช้ปฏิบัติหน้าที่ แต่ไม่ทราบว่าเป็นอาวุธชนิดใด ส่วนระหว่างการชุมนุมจะมีผู้ชุมนุมก่อเหตุการณ์ความวุ่นวายหรือไม่ พยานไม่ทราบ แต่ทราบว่ามีการชุมนุมต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน และมีผู้ชุมนุมจำนวนมาก โดยขยายพื้นที่การชุมนุมจากสะพานผ่านฟ้าลีลาศไปถึงวงเวียนอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ถนนดินสอ และสี่แยกคอกวัว
            พยานเบิกความอีกว่า ในวันที่ 10 เม.ย.2553 ทราบว่า นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ผอ.ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน สั่งการให้เจ้าหน้าที่ทหารขอคืนพื้นที่บริเวณสี่แยกคอกวัวถึงถนนดินสอ ต่อมาเวลาประมาณ 20.00 น. ทราบข่าวว่า เจ้าหน้าที่ทหารเข้าไปปฏิบัติการขอคืนพื้นที่ตั้งแต่บริเวณกลางถนนดินสอและวงเวียนอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย โดยพยานเห็นภาพถ่ายรถหุ้มเกราะของทหารที่กองพิสูจน์หลักฐานบันทึกไว้ขณะเข้าไปตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุ แต่ไม่ทราบว่ามีการใช้อาวุธสงครามหรือไม่
             พยานเบิกความต่อว่า หลังเกิดเหตุ ทราบว่า มีประชาชนเสียชีวิตทั้งหมด 11 ราย และมีเจ้าหน้าที่ทหารเสียชีวิตและบาดเจ็บด้วย โดยทราบว่า พ.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม ถูกสะเก็ดระเบิดเสียชีวิต และมีเจ้าหน้าที่ทหารถูกยิงบาดเจ็บ แต่ไม่ทราบว่าใครเป็นผู้ยิงและยิงมาจากทิศทางใด เนื่องจากมีการสอบสวนแยกเป็นอีกคดี แต่ตนไม่ได้ร่วมสอบสวนด้วย จากการสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานทั้งหมดทราบว่า นายฮิโรยูกิ นายวสันต์ และนายทศชัย เสียชีวิตจากกระสุนปืนความเร็วสูง โดยมีแนววิถีกระสุนมาจากฝั่งเจ้าหน้าที่ทหาร นอกจากนี้ยังมีประชาชนที่เสียชีวิตจากกระสุนปืนความเร็วสูงอีกหลายราย แต่หลังการสืบสวนสอบสวนเบื้องต้น สน.พลับพลาไชย 1 ส่งสำนวนไปให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) โดยไม่ได้ลงความเห็นว่า ใครเป็นผู้กระทำ
            ร.ต.อ.อริย์ธัช เบิกความต่อว่า ต่อมาดีเอสไอส่งสำนวนมาให้กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) เพื่อส่งให้ สน.พลับพลาไชย 1 สอบสวนเพิ่มเติม เนื่องจากมีหลักฐานอ้างว่าเป็นการตายจากการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ทหารที่อ้างว่าปฏิบัติงานตามหน้าที่ บช.น.จึงตั้งคณะพนักงานสอบสวนชุดใหม่ จากการสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานเพิ่มเติมได้ลงความเห็นว่า การตายของผู้ตายทั้ง 3 เกิดจากการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ที่อ้างว่าปฏิบัติงานตามหน้าที่ จึงสรุปสำนวนส่งอัยการ เพื่อยื่นคำร้องต่อศาลให้ไต่สวนชันสูตรพลิกศพ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 150
           ด้าน พล.ต.ต.วัลลภ ประทุมเมือง ผู้บังคับการกองโยธาธิการ เบิกความว่า เมื่อวันที่ 19 ก.ย. ตนได้รับมอบหมายจาก พล.ต.ท.อนุชัย เล็กบำรุง หัวหน้าคณะทำงานพนักงานสอบสวน ให้เป็นหัวหน้าผู้รับผิดชอบบริหารงานสืบสวนคดีของนายฮิโรยูกิเพียงคนเดียว แต่ภายหลังดีเอสไอส่งสำนานของนายวสันต์และนายทศชัยมาให้สอบสวนเพิ่มเติม ซึ่งดีเอสไอสอบสวนพยานหลักฐานไปเพิ่มเติมแล้ว สำหรับประเด็นที่ยังไม่ชัดเจน คณะพนักงานสอบสวนได้เรียกพยานที่ดีเอสไอเคยสอบสวนไปแล้วและที่ยังไม่ได้สอบสวนมาสอบสวนเพิ่มเติม โดยสอบสวนพยานบุคคลทั้งสิ้น 52 ปาก ในจำนวนนี้เป็นพยานผู้กล่าวหา 2 ปาก คือน้องชายของนายฮิโรยูกิที่เดินทางมาจากประเทศญี่ปุ่น นอกจากนี้เป็นประจักษ์พยาน พยานแวดล้อม เจ้าพนักงานที่ปฏิบัติหน้าที่ในจุดเกิดเหตุ พยานผู้เชี่ยวชาญด้านนิติวิทยาศาสตร์ พนักงานสอบสวนชุดเดิม พนักงานสอบสวนที่รับผิดชอบคดีของดีเอสไอ พยานวัตถุ และพยานเอกสาร
            พล.ต.ต.วัลลภ เบิกความอีกว่า สำหรับพยานวัตถุเป็นซีดีคลิปวิดีโอ 13 รายการ รวม 15 แผ่น ส่วนพยานเอกสารเป็นรายงานการชันสูตรพลิกศพ รายงานการตรวจสถานที่เกิดเหตุ รายงานการตรวจร่องรอยวิถีกระสุน รายงานการตรวจสารพันธุกรรม รายงานการตรวจสอบวัตถุระเบิด ภาพถ่ายของผู้ตายทั้ง 3 รวมถึงเอกสารต่างๆ ของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ผอ.ศอฉ. ที่นำมามอบให้พนักงานสอบสวน รวมทั้งสิ้น 33 รายการ นอกจากนี้ยังมีรายงานผลการสอบสวนของสำนักข่าวรอยเตอร์ที่จ้างนักสืบเอกชนเข้ามาหาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการตายของนายฮิโรยูกิส่งมาให้พนักงานสอบสวนด้วย
           พล.ต.ต.วัลลภ เบิกความต่อว่า ในส่วนของพยานวัตถุที่สำคัญคือคลิปวิดีโอเหตุการณ์บริเวณหน้าโรงเรียนสตรีวิทยา ซึ่งบันทึกโดยนายฮิโรยูกิ และคลิปวิดีโอที่ได้รับจากสถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย ซึ่งเป็นคลิปวิดีโอจากกล้องของนายฮิโรยูกิที่บันทึกไว้ขณะเกิดเหตุ หลังจากรวบรวมพยานหลักฐานทั้งหมดแล้ว คณะพนักงานสอบสวนตั้งประเด็นไว้ 4 ประเด็น ได้แก่ 1.สถานการณ์ในช่วงเวลาที่เกิดเหตุเป็นอย่างไร  ผู้ตายเสียชีวิตบริเวณใดและเวลาใด จากการสอบสวนนายอภิสิทธิ์และนายสุเทพให้การว่า สั่งการให้เจ้าหน้าที่มาขอคืนพื้นที่และพื้นผิวจราจรบริเวณถนนราชดำเนิน เมื่อวันที่ 10 เม.ย.2553 ส่วนเจ้าหน้าที่ทหารที่ปฏิบัติหน้าที่บริเวณที่เกิดเหตุให้การว่า ได้รับคำสั่งจากผู้บังคับบัญชา จึงเป็นการปฏิบัติหน้าที่ตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชาโดยชอบด้วยกฎหมาย
             พยานเบิกความว่า จากการรวบรวมภาพของนายฮิโรยูกิ มีภาพนิ่งที่ถ่ายโดยนายสรณคมน์ บัวพึ่งน้ำ ผู้สื่อข่าวของหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ จำนวน 2 ภาพ นำมามอบให้พนักงานสอบสวน ซึ่งเป็นภาพหลังจากนายฮิโรยูกิถูกยิงแล้วและถูกอุ้มออกจากที่เกิดเหตุ แต่จากการสอบสวนนายสรณคมน์ก็ได้ภาพขณะนายฮิโรยูกิกำลังทำข่าวการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่บริเวณต่างๆ เพิ่มมาอีก 8 ภาพ ซึ่งอยู่ในช่วงเวลา 15.20-21.10 น. และในการสอบสวนนายไพบูลย์ น้อยเพ็ง ผู้ชุมนุม นปช. ได้นำคลิปวิดีโอขณะนายฮิโรยูกิกำลังบันทึกเหตุการณ์การชุมนุมบริเวณจุดเกิดเหตุหน้าโรงเรียนสตรีวิทยามาประกอบคำให้การด้วย โดยในคลิปมีภาพของนายไพบูลย์ นายฮิโรยูกิ และนายวสันต์
            พยานเบิกความอีกว่า สำหรับประเด็นแรกที่ตั้งประเด็นว่า ผู้ตายเสียชีวิตบริเวณใดและเวลาใด สรุปข้อเท็จจริงได้ว่า นายฮิโรยูกิเสียชีวิตขณะปฏิบัติหน้าที่ถ่ายภาพเหตุการณ์อยู่บิรเวณหน้าโรงเรียนสตรีวิทยา ส่วนประเด็นที่ 2 ใครเป็นผู้ทำให้ผู้ตายทั้ง 3 ถึงแก่ความตาย จากการสอบสวนไม่มีประจักษ์พยานยืนยันว่า ใครเป็นผู้ใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายทั้ง 3 คน แต่มีพยานที่ใกล้ชิดเหตุการณ์ คนแรกคือนายไพบูลย์ให้การยืนยันว่า อยู่ห่างจากนายฮิโรยูกิประมาณ 3 เมตร และเห็นผู้ตายถูกยิงล้มลง พร้อมนำคลิปวิดีโอประกอบคำให้การ
            พล.ต.ต.วัลลภ เบิกความต่อว่า คนที่ 2 คือนายอุดร วรรณสิงห์ ผู้ชุมนุม นปช. ยืนยันว่า ขณะเกิดเหตุอยู่ห่างจากนายฮิโรยูกิประมาณ 5 เมตร และเห็นผู้ตายถูกยิงล้มลง คนที่ 3 คือ ด.ต.ชาตรี อุสารัมย์ ยืนยันว่า ขณะเกิดเหตุอยู่ห่างจากนายฮิโรยูกิประมาณ 1 เมตร และเห็นผู้ตายถูกยิงล้มลง จึงเข้าไปช่วยเหลือและมีคราบโลหิตของนายฮิโรยูกิติดอยู่ที่กางเกงของ ด.ต.ชาตรี จากการส่งชิ้นส่วนจากกางเกงที่มีคราบเลือดไปตรวจสอบ พบว่าเป็นคราบโลหิตของนายฮิโรยูกิจริง  ซึ่งพยานทั้ง 3 ปาก เป็นพยานใกล้ชิดเหตุการณ์ให้การยืนยันว่า ในขณะที่นายฮิโรยูกิถูกยิงล้มลงนั้น มีแสงไฟและเสียงปืนมาจากฝั่งของเจ้าหน้าที่
            พล.ต.ต.วัลลภ เบิกความเพิ่มเติมว่า นอกจากนี้ยังมีพยานแวดล้อมอื่นๆ แต่อยู่ห่างจากผู้ตายออกมา คือนายดำเนิน ยาท้วม ให้การ่วา เห็นเหตุการณ์ขณะที่นายวสันต์ถูกยิง โดยได้ยินเสียงปืนและเห็นแสงไฟมาจากฝั่งเจ้าหน้าที่ทหาร ส่วนนายเพชรพงษ์ พงษ์สิทธิศักดิ์ นายณัชพงศ์ โพธิยะ นายควญคิต เชียงศิริ และพ.ต.ท.ไวพจน์ อาภรรักษ์ ไม่เห็นนายฮิโรยูกิและนายวสันต์ในขณะถูกยิง ยกเว้นนายณัชพงศ์ให้การว่า เห็นนายทศชัยถูกยิง โดยพยานแวดล้อมทั้งหมดให้การสอดคล้องกันว่า ขณะผู้ตายที่ 1-3 ถูกยิง มีเสียงปืนและแสงไฟมาจากฝั่งเจ้าหน้าที่ทหาร
         ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เนื่องจาก พล.ต.วัลลภ ยังเบิกความไม่เสร็จสิ้น ศาลจึงนัดไต่สวนพยานปากนี้ครั้งต่อไปในวันที่ 28 พ.ย. เวลา 09.00 น.

ศาลอุทธรณ์ยกฟ้องคดี 10 เอ็นจีโอปีนสภา สนช.2550

จอน อึ๊งภากรณ์ แถลงหลังศาลอุทธรณ์ยกฟ้องคดีปีนสภา สนช.2550
            ศาลอุทธรณ์ยกฟ้อง 'จอน อึ๊งภากรณ์' กับพวก คดีปีนสภาค้านการออก กม.ที่ของ สนช.ปี 50 ชี้ ไม่ใช่การชุมนุมมั่วสุม 10 คนขึ้นไป - ไม่เป็นการบุกรุก เจ้าตัวย้ำ กม.ที่กระทบ ปชช.ต้องออกโดยสภาที่มาจากการเลือกตั้ง
            26 พ.ย. 2557 เมื่อเวลา 10.45 น. ณ ห้องพิจารณาคดี 611 ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ยกฟ้อง คดีที่พนักงานอัยการฟ้อง นายจอน อึ๊งภากรณ์ กับพวกรวม 10 คน เป็นจำเลย ฐานยุยงให้ประชาชนกระด้างกระเดื่อง มั่วสุมก่อความวุ่นวายในบ้านเมือง และบุกรุกโดยใช้กำลังประทุษร้าย จากกรณีปีนเข้าไปนั่งชุมนุมบริเวณหน้าห้องประชุมภายในอาคารรัฐสภา เพื่อคัดค้านการออกกฎหมายที่ไม่เป็นธรรมของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ

โดยคำพิพากษาศาลอุทธรณ์วินิจฉัย 3 ประเด็น
  • 1. ไม่ใช่การชุมนุมมั่วสุม 10 คนขึ้นไปเพื่อก่อให้เกิดความวุ่นวาย ชี้เมื่อพิเคราะห์มูลเหตุแห่งคดี จำเลยกระทำการเพื่อคัดค้าน สนช.ว่าไม่ควรเร่งออกกฎหมาย และให้รอสภาจากการเลือกตั้งมาทำหน้าที่ เมื่อมีการยกเลิกประชุม สนช. ไปแล้ว จำเลยและผู้ชุมนุมก็ออกจากสภาไป โดยไม่ได้ทำให้รัฐสภาเสียหาย จึงขาดเจตนาก่อให้เกิดความวุ่นวาย
  •  2. เมื่อไม่ใช่การชุมนุมมั่วสุม 10 คนขึ้นไป ความผิดฐานเป็นหัวหน้าชุมนุม จึงไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยอีก 
  •  3. ไม่เป็นการบุกรุก เพราะความผิดนี้ต้องมีเจตนาเพื่อรบกวนการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ แต่เมื่อวินิจฉัยแล้วว่า ผู้ชุมนุม-จำเลย ไม่ได้เข้าไปเพื่อถือการครอบครองหรือรบกวนอสังหาริมทรัยพ์ แต่เพื่อแสดงจุดยืนค้านการออกกฎหมายต่อ สนช. โดยสงบและปราศจากอาวุธ จึงขาดเจตนาฐานบุกรุก

          ก่อนหน้านี้ (28 มี.ค. 2556) ศาลอาญาตัดสินว่าจำเลยมีความผิดฐานชุมนุมมั่วสุม บุกรุก ใช้กำลังประทุษร้าย ส่วนข้อหากบฏ ล้มล้างขัดขืนไม่ให้มีการออกกฎหมายนั้นให้ยกฟ้อง ตัดสินให้ลงโทษ จำเลยที่ 1-4, 7, 8 ซึ่งถือเป็นผู้นำการชุมนุม จำคุก 2 ปี ปรับ 9,000 บาท ส่วนจำเลยที่ 5, 6, 9, 10 จำคุก 1 ปี ปรับ 9,000 บาท แต่จำเลยให้การเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณา เป็นเหตุให้ลดโทษ จำเลยที่ 1-4, 7, 8 เหลือจำคุก 1 ปี 4 เดือน ปรับ 6,000 บาท จำเลยที่ 5, 6, 9, 10 ลดโทษเหลือจำคุก 8 เดือน ปรับ 6,000 บาท และเนื่องจากจำเลยไม่เคยกระทำความผิดมาก่อนและการกระทำการครั้งนี้เพื่อประโยชน์ของชาติบ้านเมือง ให้รอการลงโทษ 2 ปี
            จอน อึ๊งภากรณ์ จำเลยที่หนึ่ง กล่าวว่า ดีใจที่ศาลอุทธรณ์เข้าใจจุดมุ่งหมายของประชาชนที่อยากให้กฎหมายที่จะกระทบประชาชนควรเป็นสภาที่มาจากการเลือกตั้ง อยากฝากถึง สนช.ด้วยว่า สภาที่มาจากการแต่งตั้งไม่ควรออกกฎหมายที่กระทบกับเสรีภาพประชาชน 
 
            เมื่อถามว่าหากมีการกระทำเช่นนี้อีกจะใช้คำพิพากษาคดีนี้เป็นบรรทัดฐานได้หรือไม่ จอนตอบว่า ต้องดูบริบทว่าเป็นอย่างไร เป็นการชุมนุมโดยสงบหรือไม่ อย่างไรก็ตาม ขณะนี้สภาอาจมีระบบรักษาความปลอดภัยที่ไม่เปิดให้ทำเช่นนี้ได้อีก นอกจากนี้ สนช.ปัจจุบันก็กำลังพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ชุมนุม ที่เสนอโดย สตช. ซึ่งจะมีการกำหนดห้ามการชุมนุมบริเวณรัฐสภา ซึ่งน่าเป็นห่วง
 
           สาวิทย์ แก้วหวาน จำเลยที่สองกล่าวว่า การตัดสินวันนี้เป็นการยืนยันสิทธิเสรีภาพของประชาชนในการแสดงออก และทำให้เห็นบรรทัดฐานว่าประชาชนต้องมีช่องทางในการแสดงออก หากประชาชนถูกกดหัวไม่ให้เคลื่อนไหว จะเป็นอันตรายต่อประเทศและเสถียรภาพของรัฐบาล 
 
           สาวิทย์ กล่าวว่า ไม่ว่ารัฐบาลใดๆ เมื่อประชาชนเห็นพ้องกับการปฏิรูปแล้ว รัฐบาลก็ควรเปิดใจกว้าง เปิดเวทีฟังเสียงคนเล็กคนน้อย หาพื้นที่ให้พวกเขาได้แสดงออก ไม่ใช่ใครออกมาตำหนิก็กล่าวหาว่าเป็นการบ่อนทำลาย รัฐเองก็มีกลไก-สายข่าว ที่รู้เจตนาของแต่ละคนอยู่แล้ว ย้ำว่าบ้านเมืองจะสงบ รัฐบาลต้องฟังและให้สิทธิ ไม่ใช่ใช้แต่อำนาจ
 
            หนึ่งในทนายความจำเลย กล่าวว่า นี่เป็นคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่เปิดแนวใหม่ เนื่องจากเมื่อก่อน ศาลจะดูแต่กฎหมายอาญาอย่างเดียว เวลาที่มีการฟ้องจำเลยข้อหาเกี่ยวกับการแสดงออกทางการเมือง แต่ครั้งนี้ศาลชี้ว่า ต้องดูให้ลึกว่าเจตนาขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ 
 ทั้งนี้ จำเลยทั้ง 10 คนในคดีนี้ ประกอบด้วย
  •  จำเลยที่ 1 จอน อึ๊งภากรณ์ อดีตประธานคณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชน (กป.อพช.)
  • จำเลยที่ 2 สาวิทย์ แก้วหวาน แกนนำสหภาพพนักงานรัฐวิสาหกิจการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) อดีตแกนนำรุ่นที่สองของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
  • จำเลยที่ 3 ศิริชัย ไม้งาม ประธานสหภาพพนักงานรัฐวิสาหกิจการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) อดีตแกนนำรุ่นที่สองของกลุ่มพันธมิตรฯ
  • จำเลยที่ 4 พิชิต ไชยมงคล อดีตกรรมการบริหารพรรคการเมืองใหม่
  • จำเลยที่ 5 อนิรุทธ์ ขาวสนิท เกษตรกรนักเคลื่อนไหว
  • จำเลยที่ 6 นัสเซอร์ ยีหมะ อดีตหัวหน้าสำนักงานพรรคการเมืองใหม่
  • จำเลยที่ 7 อำนาจ พละมี รองเลขาธิการสมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ (สรส.)
  • จำเลยที่ 8 ไพโรจน์ พลเพชร ปัจจุบันเป็นกรรมการปฏิรูปกฎหมาย ขณะเกิดเหตุเป็นรองประธานคณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชน (กป.อพช.) อดีตเคยเป็นประธานสมาคมสิทธิเสรีภาพของประชาชน
  • จำเลยที่ 9 สารี อ๋องสมหวัง นักเคลื่อนไหวด้านสิทธิเพื่อผู้บริโภค ปัจจุบันดำรงตำแหน่งเลขาธิการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคและสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ
  • จำเลยที่ 10 สุภิญญา กลางณรงค์ อดีตเลขาธิการคณะกรรมการรณรงค์เพื่อการปฏิรูปสื่อ (คปส.) ปัจจุบันดำรงตำแหน่ง กสทช.

ศาลฎีกาสั่งปรับ 'พระเกษม' 2 พัน ฐานดูหมิ่นฯ ศาสนวัตถุ หลังใช้มือตบพุทธชินราชจำลอง

             ศาลฎีกาสั่งปรับ ‘พระเกษม อาจิณณสีโล’ 2,000 บาท ในคดีความผิดดูหมิ่นเหยียดหยามต่อศาสนวัตถุ หลังใช้มือตบพุทธชินราชจำลอง เจ้าตัวยันไม่ผิดวินัย หนุนตรวจสอบทรัพย์สินพระ เผยพระก่อนบวชยากจนบวชเสร็จแล้วร่ำรวยเยอะแยะ
             เมื่อวันที่ 25 พ.ย.ที่ผ่านมา ไทยรัฐออนไลน์ รายงาน ว่า ที่ศาลจังหวัดหล่มสัก จังหวัดเพชรบูรณ์ ผู้พิพากษาได้นั่งบัลลังก์อ่านคำพิพากษาศาลฎีกาในคดีที่ นายอินทพร จั่นเอี่ยม ผอ.สำนักงานพุทธศาสนาจังหวัดเพชรบูรณ์ เป็นผู้เสียหายแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.น้ำหนาว ให้ดำเนินคดีกับ พระเกษม อาจิณณสีโล แห่งที่พักสงฆ์สามแยก บ้านห้วยยางทอง ต.วังกวาง อ.น้ำหนาว จ.เพชรบูรณ์ ในข้อหาดูหมิ่นเหยียดหยามศาสนวัตถุ ช่วงปลาย ก.ค. 51 และศาลชั้นต้นพิพากษาเมื่อวันที่ 19 ก.พ. 53 ให้ยกฟ้อง ต่อมาอัยการจังหวัดหล่มสักอุทธรณ์และศาลอุทธรณ์ภาค 6 มีคำพิพากษาวันที่ 13 มี.ค.  55 ว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 206 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ให้จำคุกกระทงละ 1 ปี และปรับกระทงละ 10,000 บาท รวม 2 กระทง จำคุก 2 ปี และปรับ 20,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้ มีกำหนด 2 ปี จำเลยยื่นฎีกา
            ผู้พิพากษาได้อ่านคำพิพากษาศาลฎีกา ว่า ที่จำเลยยื่นฎีกาต่อสู้ว่า ผอ.สำนักพุทธ ไม่มีสิทธิ์ยื่นคำร้องเข้าเป็นโจทก์นั้น และศาลอุทธรณ์ไม่ได้วินิจฉัยในประเด็นนี้ ศาลฎีกาจึงวินิจฉัยโดยไม่ต้องส่งกลับไปให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยอีก โดยพิเคราะห์แล้วเห็นว่าการกระทำความผิดของจำเลยนั้นเป็นคดีอาญาแผ่นดิน เมื่อมีผู้เข้าแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนแล้วก็สามารถดำเนินคดีกับจำเลยได้ ประเด็นที่จำเลยนำป้ายข้อความ “ทองเหลืองหล่อนี้ ไม่ใช่พุทธเจ้าแน่ ไม่ต้องกราบมัน” และการใช้มือตบพระพักตร์องค์พระพุทธชินราชจำลองนั้น ถือเป็นความผิดที่กระทำการดูหมิ่นเหยียดหยามต่อศาสนวัตถุ ซึ่งข้อเท็จจริงที่ใครก็ยอมรับว่าพุทธรูปเป็นตัวแทนของพุทธเจ้าที่พุทธศาสนิกชนใช้กราบไหว้ แม้จำเลยต่อสู้ว่าเป็นการเผยแพร่พุทธศาสนานั้น จำเลยสามารถทำได้แต่ต้องไม่กระทำละเมิดต่อกฎหมาย ส่วนการลงโทษจำคุกและรอลงอาญาของศาลอุทธรณ์นั้นรุนแรงเกินไป
            ทั้งนี้ จำเลยมีความมุ่งมั่นศึกษาในพระธรรมวินัยในพุทธศาสนา จึงพิพากษาให้ไม่ลงโทษจำคุกและรอลงอาญาจำเลย และให้ลงโทษปรับกระทงละ 2,000 บาท จำนวนสองกระทง รวม 4,000 บาท การนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาคดี จึงลดค่าปรับให้กึ่งหนึ่ง คงเหลือให้จำเลยจ่ายค่าปรับ 2,000 บาท
            อย่างไรก็ตาม ภายหลังฟังคำพิพากษา พระเกษม กล่าวว่า ได้ชำระค่าปรับไว้ที่ศาลอุทธรณ์ จำนวน 20,000 บาทไปแล้วนั้น เมื่อหักค่าปรับตามคำพิพากษาศาลฎีกา จำนวน 2,000 บาท ทำให้ต้องรับเงินคืนจำนวน 18,000 บาทนั้น ไม่สามารถเซ็นชื่อรับเงินคืนได้เพราะเป็นพระ คงจะต้องปล่อยให้ครบ 5 ปี และตกเป็นของหลวงไป ในวันนี้ถือเป็นที่สุดแล้ว โทษจำคุกไม่มี แต่มีความผิดเพราะไปกวนรูปปั้นเขาจึงต้องโดนปรับตามเรื่องของโลก แต่ทางธรรมไม่ผิด
            พระเกษม กล่าวด้วยว่า กระแสโลกให้เราผิดก็จริง แต่ตนเองไม่เคยผิดวินัยและไม่ควรผิด พวกผิดวินัยเต็มบ้านเต็มเมืองก็คือพวกเถรสมาคม มีเงินเยอะก็ผิดเยอะ และเห็นด้วยว่าควรให้ตรวจสอบทรัพย์สินพระ บรรดาผู้ไปคัดค้านก็ถือว่าผิดวินัย ส่วนตัวแล้วพร้อมให้ตรวจสอบ พวกพระที่ก่อนบวชยากจนบวชเสร็จแล้วร่ำรวยเยอะแยะ ใครกล้าไหมพวกที่ไปตรวจสอบพระเหล่านี้ พอไปตรวจสอบพระเอาเงินยัดให้ก็รับเงินแล้วเดินออกจากวัดจบกันไป ขอให้คอยดูช็อตต่อไป จะมีอะไรเด็ดกว่านี้อีกเยอะ และขอเรียกร้องให้มีการจัดตั้งศาลสงฆ์ พระผู้ใหญ่กล้ากันหรือไม่ ตนพร้อมเป็นจำเลยในศาลสงฆ์

ตร.-ทหารจู่โจมรวบหนุ่มใหญ่คาบ้านพัก หลังโปรยใบปลิวต้านคสช. ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย

ภาพใบปลิวบริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย
           ทหาร-ตำรวจบุกจูโจมรวบหนุ่มใหญ่ โปรยใบปลิวต้าน คสช. ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ยันทำด้วยอุดมการณ์ ไม่มีใครอยู่เบื้องหลัง เผยเคยร่วมชุมนุมกับ นปช.มาก่อน และชอบไปชุมนุมกับ กปปส. เพื่อหาข่าว จนท.แจงคุมตัวตามกฎอัยการศึก เตรียมสอบสวน ดำเนินคดีและอาจจะต้องขึ้นศาลทหาร
           เช้ามืดวันที่ 23 พ.ย.ที่ผ่านมา ได้ปรากฏใบปลิวที่มีข้อความโจมตี คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) มาโปรยที่ถนนราชดำเนิน บริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ต่อมา เจ้าหน้าที่ได้เก็บใบปลิวดังกล่าวมาหมดแล้ว ซึ่งมีข้อความอาทิเช่น ยกเลิกอัยการศึก , หยุดคุกคามประชาชน , อำนาจเป็นของประชาชน และ เสรีภาพ Freedom เป็นต้น
            โดย พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รมช.กลาโหม ในฐานะผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) กล่าวถึงกรณีดังกล่าวว่า ได้รับรายงานเรื่องดังกล่าวแล้ว โดยได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบและติดตาม รวมถึงต้องตรวจสอบว่ามีผู้อยู่เบื้องหลังหรือไม่ ซึ่งหากใครทำผิดก็จะต้องดำเนินการต่อไป
          ล่าสุด ไทยรัฐออนไลน์ รายงานว่า เมื่อเวลาประมาณ 23.00 น. วันที่ 25 พ.ย. เจ้าหน้าที่ตำรวจนครบาล และ ทหารจาก กรมทหารปืนใหญ่ที่ 1 รักษาพระองค์ (ป.1รอ.) นำโดย พ.อ.คชาชาต บุญดี ผบ.ป.1รอ. ได้ใช้อำนาจตามกฎอัยการศึก ขอเข้าควบคุมตัว นายสิทธิทัศน์ เหล่าวานิชธนาภา อายุ 54 ปี ผู้ต้องสงสัย ว่าเป็นผู้เกี่ยวข้องกับการแจกใบปลิวต้าน คสช. บริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เมื่อเช้ามืดวันอาทิตย์ที่ผ่านมา เพื่อสอบสวน
         พ.อ.คชาชาต เผยว่า จากการตรวจค้นบ้าน นายสิทธิทัศน์ พบใบปลิว อุปกรณ์การพิมพ์ หลักฐานทั้งหมด เสื้อผ้าลายพราง และเสื้อยืด ที่มีข้อความต่างๆ ที่เกี่ยวกับการเมือง ส่งผลให้นาย สิทธิทัศน์ จำนนด้วยหลักฐานและให้เหตุผลว่า ทำด้วยอุดมการณ์ ทำคนเดียว ไม่มีใครเกี่ยวข้อง หรืออยู่เบื้องหลัง ทั้งนี้ ทหารได้ขอตรวจสอบ ภาพจากกล้องวงจรปิดในพื้นที่ของ สน.สำราญราษฎร์ จนพบเบาะแสว่า มีรถจักรยานยนต์ไปรับใบปลิวจากรถยนต์ เมอร์เซเดส เบนซ์ แต่ภาพไกล เห็นแผ่นป้ายทะเบียนไม่ชัด ซึ่งทหารก็ได้พยายามตรวจสอบ และหาข่าวร่วมกับตำรวจ จนที่สุดได้เบาะแส จึงจู่โจมเข้าควบคุมตัวนายสิทธิทัศน์ ที่บ้านพัก โดยตอนนี้ นายสิทธิทัศน์ ถูกควบคุมตัว ด้วยอำนาจกฎอัยการศึก ในเขตทหาร เพื่อสอบสวน ดำเนินคดี และอาจจะต้องขึ้นศาลทหาร
            ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจได้อาศัยอำนาจตาม พ.ร.บ.กฎอัยการศึก และ ป.วิอาญา ม.92(4) ร่วมกันนำตัว นายสิทธิทัศน์ พร้อมเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เข้าตรวจค้นบ้านพักเลขที่ 18 ซ.พหลโยธิน 48 แยก 16-1 แขวงบางด้วน เขตภาษีเจริญ กทม. ผลการตรวจค้น ปรากฏหลักฐาน เป็นเครื่องถ่ายเอกสารยี่ห้อเอชพี 1 เครื่อง, ปากกาเมจิกสีดำยี่ห้อตราม้า 1 ด้าม, มีดคัตเตอร์ 1 เล่ม, ไม้บรรทัดยาว 1 อัน, ตลับหมึกพรินเตอร์ 1 กล่อง, เสื้อยืดลายพรางทหาร 1 ตัว, เสื้อยืดคอกลมสีดำสกรีนข้อความ "เสรีชนคนราชดำเนิน" 1 ตัว, เสื้อยืดกลมสีดำสกรีนรูปนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ข้อความ "ภูผาขวางกั้นอธรรม" 1 ตัว, หมวกปีกลายพรางทหาร 1 ใบ, หมวกแก๊ปลายพรางทหาร 1 ใบ, เข็มขัดสีดำพร้อมซองปืนและซองกุญแจมือ 1 ชุด, ห่วงขาผ้า 1 คู่, กระดาษขนาด A4 ยี่ห้อโอเค 1 รีม,  แผ่นสติกเกอร์ข้อความ "รถคันนี้สีแดง" 1 แผ่น และ รถยนต์ยี่ห้อเบนซ์ รุ่น C200 หมายเลขทะเบียน 1 กม 200 กทม.
ภาพขณะเข้าจับกุม ที่มาเฟซบุ๊ก วาสนา นาน่วม
           จากการสอบสวน นายสิทธิทัศน์ ได้ให้การยอมรับว่า เมื่อ 22 พ.ย.57 เวลาประมาณ 19.00 น. ได้เริ่มเขียนใบปลิวโจมตี คสช. ปรากฏตามหลักฐานที่เจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.สำราญราษฎร์ ได้ทำการตรวจยึด โดยเป็นผู้ผลิตใบปลิวโจมตี คสช.เองทั้งหมด และพิมพ์สำเนาเสร็จเมื่อ 23 พ.ย.57 เวลาประมาณ 03.00 จากนั้นได้ทำการนัดพบกับ นายวชิระ ทองสุข หรือ บอย ภายใน ซ.สำราญราษฎร์ เขตพระนคร ซึ่งได้ถ่ายถุงใส่ใบปลิวจากท้ายรถเบนซ์รุ่น C200 สีดำ หมายเลขทะเบียน 1 กม 200 กทม. ใส่รถจยย.ของนายวชิระ โดยนายวชิระ อาสาเป็นผู้ขับขี่ จยย.ยี่ห้อฮอนด้าเวฟ นำใบปลิวดังกล่าวไปโปรยบริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เมื่อ 23 พ.ย.57 เวลาประมาณ 05.00 น. หลังจากนั้นได้แยกย้ายกันหลบหนี กระทั่งถูกจับกุม ส่วนเสื้อที่เกี่ยวข้องกับการชุมนุมของ กปปส.นั้น นายสิทธิทัศน์ อ้างว่า ชอบไปชุมนุม เพื่อหาข่าว จึงมีเสื้อ
            ผู้จัดการออนไลน์รายงานเพิ่มเติมด้วยว่า นายสิทธิทัศน์ ระบุถึงสาเหตุการโรยใบปลิวดังกว่า เนื่องจากตนเคยร่วมชุมนุมกับกลุ่ม นปช.มาก่อนตั้งแต่ปี 2553 จากนั้นเมื่อมีการชุมนุมของกลุ่ม กปปส.ก็ได้มาสังเกตการณ์ด้วย จนกระทั่ง คสช.ยึดอำนาจ ตนรู้สึกว่าถูกปิดกั้นสิทธิจึงอยากแสดงออกอะไรบางอย่าง และไม่ได้มีใครอยู่เบื้องหลัง

มท.1 แจงเหตุระงับเลือกตั้งอปท. กันขัดแย้ง ‘พล.อ.ประวิตร’ เป็น ปธ.ศึกษาแนวทางคัดเลือกแทน

Wed, 2014-11-26 19:06

              พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เผยกรณี ครม.มีคำสั่งระงับการเลือกตั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อไม่ให้เกิดความขัดแย้ง พร้อมมอบหมายให้ ‘พล.อ.ประวิตร’ เป็นประธานศึกษาแนวทางการคัดเลือก
             หลังจากที่วานนี้(25 พ.ย.) พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงข่าวถึงการสั่งการของนายกรัฐมนตรีในการประชุม ครม. ครั้งที่ 11/2557 โดยกล่าวว่า นายกรัฐมนตรี กล่าวถึง องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.)จะมีการหมดวาระ และจะมีการเลือกตั้งประมาณต้นปี 2558 ประมาณ 1,000 กว่าตำแหน่ง โดยนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า พร้อมที่ใช้อำนาจในรัฐธรรมนูญมาตรา 44 ให้ผู้ที่หมดวาระดำรงตำแหน่งลงนี้รักษาการตำแหน่งเดิมต่อไป จะไม่คัดสรรเอาคนนอกเข้าไปทำหน้าที่ เหมือนที่เคยมีคำสั่ง คสช. ออกมาก่อนหน้านี้เพราะเกรงว่าจะเกิดความขัดแย้ง
            ล่าสุดวันนี้(26 พ.ย.) พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวถึงกรณีที่คณะรัฐมนตรีมีคำสั่งให้ระงับการเลือกตั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น(อปท.) ที่จะหมดวาระลงกว่า 1,000 ตำแหน่ง ว่า นายกรัฐมนตรีเกรงว่าอาจจะมีปัญหาในการคัดเลือก เพื่อไม่ให้เกิดความขัดแย้ง ในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี จึงมีมติให้ผู้ที่ได้รับคัดเลือกเดิม รักษาการไปก่อน พร้อมมอบหมายให้ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานศึกษาแนวทางการคัดเลือก เพื่อเสนอต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี
             ส่วนกรณีนายกรัฐมนตรีมอบนโยบายให้แบ่งพื้นที่ให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีลงพื้นที่ติดตามงานตามนโยบายของรัฐบาล ว่า รัฐบาลดำเนินการมาระยะหนึ่งแล้ว และพล.อ.ประวิตรให้ความสำคัญญมาก ติดตามงานด้านความมั่นคงโดยยึดข้อมูลของศูนย์ดำรงธรรม กระทรวงมหาดไทยดูแลพื้นที่ ถือเป็นนโยบายที่ดีและเชื่อว่าไม่มีปัญหา เพราะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมติดตามงานและประสานข้อมูลกับกระทรวงมหาดไทยอย่างใกล้ชิดอยู่แล้ว

ม.เที่ยงคืนแถลง ชวนสังคมกดดันเลิกอัยการศึก-คำสั่งคุกคามเสรีภาพของ คสช.


Wed, 2014-11-26 15:34

26 พ.ย. 2557 มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน ออกแถลงการณ์เรื่อง ร่วมกันหยุดยั้งการคุกคามเสรีภาพประชาชน ระบุขอเรียกร้องต่อสังคม ให้ทุกกลุ่มทุกองค์กรในภาคสังคมร่วมกันแสดงความคิดเห็นและร่วมกันกดดันเพื่อให้มีการยกเลิกกฎอัยการศึกและคำสั่งของ คสช. ที่ปิดกั้นและคุกคามสิทธิเสรีภาพของประชาชน และขอยืนยันว่าการร่วมกันปกป้องสิทธิและเสรีภาพของประชาชนทุกฝ่าย ไม่ว่าจะมีความเห็นตรงกันหรือแตกต่างกันอย่างไรก็ตาม จะเป็นปัจจัยสำคัญยิ่งสำหรับการนำสังคมไทยให้เดินไปสู่เส้นทางประชาธิปไตยที่เอื้ออำนวยให้รัฐและสังคมไทยสามารถจัดการกับปัญหาต่างๆ ได้อย่างสันติและเป็นธรรม
รายละเอียดมีดังนี้
แถลงการณ์มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
เรื่อง ร่วมกันหยุดยั้งการคุกคามเสรีภาพประชาชน

             เนื่องด้วยในห้วงเวลาปัจจุบันได้มีการใช้อำนาจตามกฎอัยการศึกและคำสั่งของคณะ คสช. รวมทั้งอำนาจของกลไกรัฐในการคุกคามประชาชนที่แสดงความคิดเห็นในประเด็นต่างๆ โดยมีการคุกคามอย่างกว้างขวางและต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการเรียกร้องให้มีการแก้ไขปัญหาการผลักดันผู้คนออกจากพื้นที่ป่า การรณรงค์ให้มีการออกกฎหมายที่ดิน การแสดงความคิดเห็นในเชิงสัญลักษณ์เพื่อคัดค้านการรัฐประหาร การจัดรายการทางโทรทัศน์เพื่อแสดงความเห็นต่อนโยบายของรัฐบาล การประชุมทางวิชาการเพื่อถกเถียงเกี่ยวกับการร่างรัฐธรรมและการปฏิรูปประเทศ ฯลฯ

            การแสดงความคิดเห็นโดยสุจริตและด้วยเจตนาดีต่อประเทศชาติและสังคมไทยดังกล่าวข้างต้นนี้ต้องเผชิญกับมาตรการต่างๆ นับตั้งแต่การขอความร่วมมือ การควบคุมตัว การเรียกตัวไปเพื่อปรับทัศนคติ และการดำเนินการด้วยกฎหมายอย่างไม่เป็นธรรม ซึ่งไม่ว่าจะเป็นการใช้วาทกรรมใดก็ตามล้วนแต่คุกคามและบ่อนทำลายสิทธิและเสรีภาพของบุคคลในสังคมอย่างรุนแรงทั้งสิ้น

           ในสถานการณ์ปัจจุบัน เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของประชาชนมีความสำคัญมากเป็นพิเศษ เพราะภารกิจด้านต่างๆ ขององค์กรของรัฐที่ได้รับการจัดตั้งขึ้นภายหลังการรัฐประหาร ไม่ว่าจะเป็นการดำเนินนโยบายของรัฐบาล การเสนอและพิจารณาร่างกฎหมายของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ตลอดจนการพิจารณาแนวทางในการปฏิรูปประเทศของสภาปฏิรูปแห่งชาติ ย่อมส่งผลกระทบต่อผู้คนอย่างกว้างขวาง ทั้งผลในด้านลบและด้านบวกต่อประชาชนในหลากหลายมิติ และยังมีผลผูกพันต่อไปในอนาคตอีกด้วย

           ดังนั้น จึงเป็นความชอบธรรมของประชาชนแต่ละกลุ่มในการแสดงความคิดเห็น เพื่อสะท้อนให้ผู้กุมอำนาจรัฐในองค์กรต่างๆ ตระหนักถึงความต้องการและผลกระทบที่ประชาชนแต่ละกลุ่มจะได้รับ รวมทั้งผลกระทบต่อสังคมไทยโดยรวมและต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ การแสดงความเห็นหรือการเคลื่อนไหวเพื่อคัดค้านหรือผลักดันให้กฎหมายหรือนโยบายหรือโครงการต่างๆ ดำเนินไปในทิศทางที่ตนเองปรารถนาจึงนับเป็นสิทธิและเสรีภาพขั้นพื้นฐานของประชาชน อันจะนำไปสู่การถกเถียงแลกเปลี่ยนทั้งข้อมูลและความคิดเห็นที่จะช่วยให้การตัดสินใจของคณะบุคคลในองค์กรต่างๆ ของรัฐทุกองค์กรเป็นไปอย่างรอบคอบ เป็นธรรม และเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมอย่างแท้จริง

            ความพยายามในการคุกคามเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น ด้วยการอ้างเหตุผลว่าเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความขัดแย้งหรือการขอให้ทุกฝ่ายรอคอยให้สถานการณ์เข้าสู่ภาวะปกติเสียก่อนนั้น นอกจากจะไม่เอื้อให้เกิดความเข้าใจที่รอบด้านและการตัดสินใจที่รอบคอบต่อประเด็นต่างๆ แล้ว ยังอาจกลายเป็นชนวนแห่งความขัดแย้งในอนาคตอันใกล้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคณะรัฐประหารและองค์กรที่คณะรัฐประหารจัดตั้งขึ้นได้พ้นจากอำนาจไปแล้ว เพราะการจับกุมหรือควบคุมตัวเป็นการยุติการเคลื่อนไหวของฝ่ายที่เห็นต่างได้เพียงชั่วคราวเท่านั้น และจะไม่สามารถสร้างความเห็นพ้องต่อการดำเนินการใดๆ ให้เกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน
           ดังนั้น การเปิดโอกาสให้ทุกฝ่ายได้แสดงความคิดเห็นและถกเถียงกันด้วยเหตุผลและข้อเท็จจริง ย่อมจะบังเกิดผลดีทั้งในปัจจุบันและในระยะยาว ต่างจากการปิดกั้นเสรีภาพด้วยกฎอัยการศึกและคำสั่งของ คสช. ที่เป็นการกดทับความเห็นต่างเอาไว้ และจะสร้างแรงกดดันจนกลายเป็นระเบิดเวลาที่นำไปสู่ความขัดแย้งหรือความเสียหายร้ายแรงในอนาคต

           มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนจึงขอเรียกร้องต่อสังคม ให้ทุกกลุ่มทุกองค์กรในภาคสังคมร่วมกันแสดงความคิดเห็นและร่วมกันกดดันเพื่อให้มีการยกเลิกกฎอัยการศึกและคำสั่งของ คสช. ที่ปิดกั้นและคุกคามสิทธิเสรีภาพของประชาชน และขอยืนยันว่าการร่วมกันปกป้องสิทธิและเสรีภาพของประชาชนทุกฝ่าย ไม่ว่าจะมีความเห็นตรงกันหรือแตกต่างกันอย่างไรก็ตาม จะเป็นปัจจัยสำคัญยิ่งสำหรับการนำสังคมไทยให้เดินไปสู่เส้นทางประชาธิปไตยที่เอื้ออำนวยให้รัฐและสังคมไทยสามารถจัดการกับปัญหาต่างๆ ได้อย่างสันติและเป็นธรรม


      มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน

      24 พฤศจิกายน 2557

ออกหมายจับเพิ่มอีก 5 คดีแอบอ้างเบื้องสูงทวงหนี้-กรรโชกทรัพย์ เอี่ยว ‘พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์’

          โฆษกสตช. เผยสืบสวนพบว่ามีกลุ่มที่แอบอ้างสถาบัน ทำการทวงหนี้หาประโยชน์โดยมิชอบ โดยศาลได้ออกหมายจับทั้ง 5 คนแล้ว ระบุมีความเกี่ยวข้องกับ ‘พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์’ ถอดยศ ‘ว่าที่พ.ต.ณัฐพล อัครพงศ์ปรีชา’ หนึ่งในผู้ต้องหาแล้ว หลังวานนี้พระราชทานเครื่องราชฯ
26 พ.ย.2557 ผู้จัดการออนไลน์ รายงานว่า ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า จากการสืบสวนพบว่ามีกลุ่มบุคคลที่แอบอ้างสถาบัน ทำการทวงหนี้ หน่วงเหนี่ยวกักขัง และกรรโชกทรัพย์ เพื่อหาประโยชน์โดยมิชอบ ตรวจสอบแล้วพบว่ามีผู้ร่วมกระทำความผิดปรากฏรายชื่อ ดังนี้ 
  • 1. นายณัฐพล อัครพงศ์ปรีชา 
  • 2. นายสิทธิศักดิ์ อัครพงศ์ปรีชา 
  • 3. นายณรงค์ อัครพงศ์ปรีชา 
  • 4. นายสุทธิศักดิ์ สุทธิจิตต์ และ 
  • 5.นายชากานต์ ภาคภูมิ

           พล.ต.ท.ประวุฒิกล่าวว่า สำหรับบุคคลดังกล่าวมีความเกี่ยวข้องกับ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ อดีต ผบช.ก. โดยมีส่วนร่วมในการกระทำผิด ล่าสุดเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ยื่นคำร้องขออนุมติหมายจับต่อศาล ศาลได้ออกหมายจับผู้ต้องหาทั้ง 5 คน ในความผิดฐานร่วมกันข่มขืนใจให้กระทำการใด ไม่กระทำการใด โดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิตร่างกายหรือเสรีภาพ โดยมีอาวุธโดยร่วมกันตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป  และหน่วงเหนี่ยวหรือกักขัง หรือกระทำด้วยประการใดให้ผู้อื่นปราศจากเสรีภาพในร่างกาย และให้ผู้อื่นนั้นกระทำการใดให้แก่ผู้กระทำหรือบุคคลอื่น และร่วมกันลักทรัพย์ เหตุเกิดในเขตรับผิดชอบของ สน.พระโขนง และขณะนี้กลุ่มผู้ร่วมกระทำความผิดทั้งหมดได้ถูกจับกุมแล้ว อยู่ระหว่างดำเนินคดีตามกฎหมาย
          ทั้งนี้ เวลา 16.00 น. พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ จะนำของกลางคดี พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ไปแสดงที่ ร.1 พัน.3
          ต่อมา เมื่อเวลา 15.00 น. ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) กล่าวถึงความคืบหน้าคดีการจับกุมตัว พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ อดีตผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง กับพวก ร่วมกันกระทำความผิดเรียกรับผลประโยชน์ทั้งบ่อนการพนันและส่วยน้ำมันเถื่อนว่า ล่าสุดสามารถออกหมายจับผู้ต้องหา ซึ่งเป็นเครือข่ายของ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ เพิ่มเติมได้อีก 5 รายมีทั้งทหารและพลเรือน ขณะนี้กลุ่มผู้ร่วมกระทำความผิดทั้งหมดถูกจับกุมแล้วและอยู่ระหว่างดำเนินคดีตามกฎหมาย โดยหลังจากนี้จะทำการสืบสวนต่อไป หากสืบสวนพบว่าบุคคลใดมีส่วนเกี่ยวข้องก็จะออกหมายจับทั้งหมด อย่างไรก็ตามยังไม่สามารถบอกจำนวนที่แน่ชัดว่ามีผู้ร่วมขบวนการอีกกี่ราย
         “กลุ่มคนพวกนี้มีการแอบอ้างสถาบันฯ เพื่อแสวงหาผลประโยชน์ในทุกๆ ด้าน ซึ่งคดีนี้ตำรวจคงจะมีการขออกหมายจับเรื่อยๆ ไม่สามารถเร่งได้ หากพยานหลักฐานเกี่ยวข้อง หรือเชื่อมโยงไปถึงใครก็ต้องดำเนินการ ทุกอย่างว่ากันตามพยานหลักฐาน เป็นไปตามข้อเท็จจริง และยังตอบไม่ได้ว่ามีจำนวนกี่คน เพราะในการสอบสวน การจะออกหมายจับใครต้องมีพยานหลักฐานรองรับ” ผบ.ตร.กล่าว
ถอดยศ ‘ว่าที่พ.ต.ณัฐพล อัครพงศ์ปรีชา’ หลังวานนี้พระราชทานเครื่องราชฯ
            ทั้งนี้ 1 ในผู้ที่ถูกออกหมายจับมีชื่อพ้องกับ ว่าที่ พ.ต. ณัฐพล อัครพงศ์ปรีชา ที่พึ่งมีราชกิจจานุเบกษา วานนี้ (25 พ.ย.) ที่เผยแพร่ ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ เนื่องในโอกาสพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษา 5 ธันวาคม 57 ให้แก่นายทหารสัญญาบัตรและนายทหารประทวนหน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัยรักษาพระองค์ กระทรวงกลาโหม  ซึ่ โพสต์ทูเดย์ รายงานว่า พล.ต.ต.ประวุฒิ โฆษกสตช. เปิดเผยว่า ว่าที่พ.ต.ณัฐพล อัครพงศ์ปรีชา เป็นคนเดียวกับ นายณัฐพล อัครพงศ์ปรีชา ซึ่งศาลได้อนุมัติออกหมายจับข้อหา“ร่วมกันข่มขืนใจให้กระทำการใดไม่กระทำการใด โดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิตร่างกายหรือเสรีภาพ โดยมีอาวุธโดยร่วมกันตั้งแต่ห้าคนขึ้นไป และหน่วงเหนี่ยวหรือกักขัง หรือกระทำด้วยประการใดให้ผู้อื่นปราศจากเสรีภาพในร่างกายและให้ผู้อื่นนั้นกระทำการใดให้แก่ผู้กระทำหรือบุคคลอื่น และร่วมกันลักทรัพย์” กรณีมีส่วนพัวพันกับแก๊งพล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ อดีตผบช.ก. และได้ถูกถอดยศพ้นจากตำแหน่งทางราชการแล้ว

สาระ+ภาพ : รวมเสรีภาพที่ต้องถูก คสช. ปรับทัศนคติ ในรอบ 6 เดือน

Wed, 2014-11-26 15:53

               ผ่านมาแล้วครึ่งปีของการรัฐประหารโดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ท่ามกลางประชาชนที่มีทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย โดยบรรดาประชาชนที่ไม่เห็นด้วยกับการรัฐประหารครั้งนี้มีในส่วนที่ออกมาแสดงออกในรูปแบบต่างๆ และถูกเจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ ทั้งในและนอกเครื่องแบบเข้าตักเตือน สั่งระงับ ควบคุมตัว และนำตัวเข้าสู่การสอบสวน ปรับทัศนคติ ก่อนที่จะถูกปล่อยตัวออกมาด้วยเงื่อนไขการห้ามเคลื่อนไหว การแสดงความคิดเห็นทางการเมือง และบางส่วนถูกดำเนินคดีต่อ เช่น ข้อหาขัดคำสั่ง คสช. คดีความมั่นคง เป็นต้น โดยประชาไทได้ประมวลปรากฏการณ์การใช่เสรีภาพการแสดงออกของประชาชนในช่วงเวลานี้เฉพาะที่ปรากฏอยู่ตามหน้าสื่อต่างๆไว้ เป็นอินโฟกราฟฟิคดังนี้

เอกสารอ้างอิง :

  • - คนที่ไปช่วยคนที่โดนจับ (humanrights.asia, 23 มิ.ย. 57)
  • - ชูกระดาษ A4 พร้อมข้อความ (ประชาไทออนไลน์, 24 พ.ค. 57)
  • - รวมตัวต่อต้ารัฐประหารที่ร้านแม็คโดนัลด์ (มติชนออนไลน์, 25 พ.ค. 57)
  • - ตะโกนว่า "ผมอายคับ ประเทศไทย ผมอาย ผมประชาชนธรรมดา ผมอายคับ ผมอายคับประเทศไทยมีรัฐประหารอีกแล้วคับ", (patrolnews.net, 25 พ.ค. 57)
  • - น.ศ. ม.มหาสารคาม ชูป้าย “ไม่เอารัฐประหาร”, “ไม่เอารัฐบาลโจร”, “ต่อต้านรัฐประหารทุกรูปแบบ” (ประชาไทออนไลน์, 25 พ.ค.57)
  • - ชูป้าย "ชูป้ายไม่ใช่อาชญากร" "ปล่อยลูกพ่อขุน" และป้ายไม่เห็นด้วยกับการรัฐประหาร (ประชาไทออนไลน์, 25 มิ.ย. 57)
  • - ซื้อเสื้อ 'Peace Please' (ประชาไทออนไลน์, 29 พ.ค. 57)
  • - สวมหน้ากาก "People" (ประชาไทออนไลน์, 1 มิ.ย. 57)
  • - ทำท่า ปิดหน้า ปิดตา หรือปิดปาก (ประชาไทออนไลน์, 8 มิ.ย. 57)
  • - ใส่เสื้อ "Respect My Vote" (ประชาไทออนไลน์, 22 มิ.ย. 57)
  • - ชูสามนิ้วเลียนแบบหนัง (ประชาไทออนไลน์, 6 มิ.ย. 57)
  • - อ่านหนังสือ "1984" เปิดเพลงชาติฝรั่งเศส และกินแซนด์วิช (เฟซบุ๊กแฟนเพจ ‘Fahroong Srikhao ฟ้ารุ่ง ศรีขาว’, 22 มิ.ย. 57)
  • - อ่านกวี วางดอกไม้ เป่าลูกโป่ง แสดงนัยยะการเมืองในงานรำลึก 24 มิ.ย. (ประชาไทออนไลน์, 24 มิ.ย. 57)
  • - คิดจัดฉายหนัง "1984" (ประชาไทออนไลน์, 25 มิ.ย. 57)
  • - กินแซนด์วิชนอกร้าน (ประชาไทออนไลน์, 27 มิ.ย. 57)
  • - ใส่เสื้อแดงขายปลาหมึกทอด (ประชาไทออนไลน์, 29 มิ.ย. 57)
  • - ประท้วงเดี่ยวหน้าสถานฑูตอเมริกา (ประชาไทออนไลน์, 29 มิ.ย. 57)
  • - เดินรณรงค์เรียกร้องปฏิรูปพลังงาน (ประชาไทออนไลน์, 24 ส.ค.57, 19 ส.ค.57)
  • - กลุ่มญาติเหยื่อสลายชุมนุม พ.ค.53 โปรยใบปลิวทวงความเป็นธรรม หลังศาลอาญาโอนคดีให้ ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมือง (ประชาไทออนไลน์, 31 ส.ค.57)
  • - ศูนย์ทนายเพื่อสิทธิมนุษยชนขอความร่วมมือให้ยกเลิกการจัดงานแถลงข่าวและเสวนา ‘ความยุติธรรมที่ปิดปรับปรุง’ ที่สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศ (FCCT) (ประชาไทออนไลน์, 2 ก.ย.57)
  • - จัดเสวนา ‘ห้องเรียนประชาธิปไตยบทที่ 2 การล่มสลายของเผด็จการในต่างประเทศ’ ที่ มธ. (ประชาไทออนไลน์, 18 ก.ย.57)
  • - วิ่งแก้บนรอบอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยในวันครบรอบ 8 ปี รัฐประหาร 19 ก.ย.(ประชาไทออนไลน์, 19 ก.ย.57)
  • - จัดงานเวทีเสวนาทางวิชาการ ประเด็น พ.ร.บ จัดตั้งจังหวัดบัวใหญ่ หรือไม่ (ประชาไทออนไลน์, 23 ก.ย.57)
  • - ติดป้ายผ้ารำลึก ‘นวมทอง ไพรวัลย์’ (ประชาไทออนไลน์, 19 ก.ย.57)
  • - กรณีปัญหาข้อพิพาทที่ดิน ส.ป.ก.ชุมชนคลองไทรพัฒนา จ.สุราษฎร์ธานี(ประชาไทออนไลน์, 14 ต.ค.57)
  • - โพสต์เฟซ เล่าเรื่อง “เก็บตกงานพบปะ สนทนา กับนักเขียน ประจักษ์ ก้องกีรติ” (ประชาไทออนไลน์, 19 ต.ค.57)
  • - ขายเสื้อ "คุณซาบซึ้ง" ในงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ (ประชาไทออนไลน์, 19 ต.ค.57)
  • - นักเรียนถือป้ายต้านค่านิยม 12 ประการ(ประชาไทออนไลน์, 22 ต.ค.57)
  • - สงสัยว่าจะเป็นผู้ปลุกระดมคนไปชุมนุมคัดค้านการอนุญาตสัมปทานบ่อขุดเจาะปิโตรเลียมรอบที่ 21(ประชาไทออนไลน์, 22 ต.ค. 57)
  • - คนงานรวมตัวรอฟังผลการเจรจาระหว่างสหภาพแรงานกับนายจ้าง(ประชาไทออนไลน์, 29 ต.ค.57)
  • - จัดประชุมเรื่อง “สิทธิชุมชนกับรัฐธรรมนูญ” (ประชาไทออนไลน์, 5 พ.ย.57)
  • - "เดิน ก้าว แลก เพื่อการปฏิรูปที่ดินไทย" (ประชาไทออนไลน์, 9 พ.ย.57)
  • - จัด รายการ "เสียงประชาชนต้องฟังก่อนปฎิรูป" ทางไทยพีบีเอส(ประชาไทออนไลน์, 11 พ.ย.57)
  • - ทนายความจากศูนย์ข้อมูลชุมชนซึ่งเป็นองค์กรให้ความช่วยเหลือประชาชนทางกฎหมาย จัดเวทีจัดประชุมเพื่อให้ความรู้และชี้แจงเกี่ยวชาวบ้านกับคดีไชยะบุรีและเขื่อนดอนสะโฮง(ประชาไทออนไลน์, 11 -12 พ.ย.57)
  • - จัด "ทอล์คโชว์-คอนสิร์ต ผืนดินเรา ที่ดินใคร" (15 พ.ย.57)
  • - ร่วมลงชื่อ "ไม่ปฏิรูปใต้ท๊อปบูท คสช."(ประชาไทออนไลน์, 15 พ.ย.57)
  • - รวมตัวคัดค้านการสร้างเขื่อนแม่วงก์ เพ้นท์ตัวเป็นลายเสือโคร่ง ชูป้ายข้อความ พร้อมตะโกนคำขวัญ "ขอทางเลือก จัดการน้ำ ไม่เอาเขื่อนแม่วงก์" (ประชาไทออนไลน์, 18 พ.ย.57)
  • - นักศึกษากลุ่มดาวดิน 5 คนชูสามนิ้ว สวมเสื้อ ‘ไม่เอารัฐประหาร’ ต่อหน้า พล.อ. ประยุทธ์ (ประชาไทออนไลน์,19 พ.ย.57)
  • - นั่งกินลาบ 'ชิมไปบ่นไป' ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ให้กำลังใจกลุ่มดาวดิน (ประชาไทออนไลน์, 19 พ.ย.57)
  • - โพสต์เฟซบุ๊ก ว่าเจ้าหน้าที่ทหารขอให้ปิดเฟซบุ๊ก เนื่องจากมีเนื้อหาที่สร้างความไม่สบายใจให้กับผู้ใหญ่(ประชาไทออนไลน์, 20 พ.ย.57)
  • - จัดเสวนา "ที่ดิน เหลื่อมล้ำ ภาษี: ก้าวที่ต้องร่วมเลือก" ที่ห้องสมุดศิลปะรีดดิ้งรูม(ประชาไทออนไลน์, 20 พ.ย.57)
  • - ชู 3 นิ้วก่อนเข้าดูหนัง The Hanger Games (ประชาไทออนไลน์, 20 พ.ย.57)
  • - โพสต์ภาพชูป้าย “ยกเลิกกฎอัยการศึก” และ “ไม่เอา คสช.” บนดอยหลวงเชียงดาว ลงในเฟซบุ๊ก(ประชาไทออนไลน์, 20 พ.ย.57)
  • - ชูสามนิ้วที่ประตูท่าแพ(ประชาไทออนไลน์, 21 พ.ย.57)
  • - จัด เสวนาวิชาการ "สิทธิ เสรีภาพ ของประชาชนไทยในยุคป-ะช-ธิ-ไ-ย" ที่ ม.บูรพา(21 พ.ย.57)
  • - ชาวบ้านกลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิด จ.เลย ชู 3 นิ้วกลางทุ่งนาให้กำลังใจกลุ่มดาวดิน(ประชาไทออนไลน์, 23 พ.ย. 57)
  • - นักศึกษา โปรยใบปลิว 'คิดถึงสมเจียม' (ประชาไทออนไลน์, 24 พ.ย.57)
เป็นต้น

เปิดโปงขบวนการค้าน้ำมันเถื่อนภาคใต้ (จับได้แต่ไม่จับ?)

           จากการจับกุม พล.ต.ท. พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ พร้อมพวก ต้องเข้าใจประเด็นที่ชัดเจนก่อนว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจกลุ่มนี้ทำหน้าที่ในการเอื้ออำนวยหรือสนับสนุนให้มีการเปิดบ่อน ค้าน้ำมันเถื่อน และสนับสนุนให้บุกรุกป่าเพื่อทำรีสอร์ท นั่นแสดงให้เห็นว่ามีคนกลุ่มใหญ่ที่ดำเนินขบวนการผิดกฎหมายและใช้วิธีจ่ายส่วยกับตำรวจ เพราะฉะนั้น สำนักข่าวทีนิวส์ จะดำเนินการตรวจสอบให้คุณผู้ชมได้รับทราบข้อเท็จจริง




กระบวนการทำผิดกฎหมาย ของขบวนการ พล.ต.ท. พงศ์พัฒน์ มีอยู่ด้วยกัน 5 กลุ่ม คือ
  • 1.โยกย้ายตำแหน่ง
  • 2.น้ำมันเถื่อน
  • 3.บ่อนการพนัน
  • 4.การฟอกเงิน
  • 5.บุกรุกพื้นป่าเพื่อทำรีสอร์ท

           ทั้งนี้ คำร้องขอฝากขังระบุพฤติการณ์สรุปว่า เมื่อระหว่างวันที่ 1 ต.ค.53-11 พ.ย.57 ขณะที่ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการสอบสวนกลาง มีอำนาจแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการได้สมรู้ร่วมคิดกับ พล.ต.ต. บุญสืบ ไพรเถื่อน พ.ต.อ.อัครวุฒิ์ หลิมรัตน์ และ พ.ต.อ. โกวิทย์ ม่วงนวล เรียกรับเงินจากข้าราชการตำรวจที่ประสงค์จะไปดำรงตำแหน่งสำคัญๆรายละ 3-5 ล้านบาท เพื่อไปรับตำแหน่ง โดยส่งเงินให้กับกลุ่มผู้ต้องหาเป็นรายเดือนรวมแล้วเป็นเงินกว่า 50 ล้านบาท


          ส่วน พล.ต.ต. บุญสืบ ไพรเถื่อน ระบุพฤติการณ์สรุปว่า เมื่อระหว่างวันที่ 28 ธ.ค.54-18 ก.ค.57 ขณะที่ผู้ต้องหาดำรงตำแหน่งผู้บังคับการตำรวจน้ำมีพฤติการณ์เรียกรับเงินจากผู้ค้าน้ำมันเถื่อนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ แอบอ้างสถาบันเบื้องสูงเรียกเก็บเงินค่าส่วยน้ำมันเดือนละ 1-2 ล้านบาท ส่งเงินให้ พล.ต.ต.โกวิทย์จำนวน 35 ล้านบาท และส่งเงินให้กับ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ เป็นเงินจำนวน 118 ล้านบาท


          ขณะที่ พล.ต.ต.โกวิทย์ นั้นมีพฤติการณ์เปิดบ่อนการพนัน (ถั่วครอบ) ย่านห้วยขวาง โดยร่วมกับ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์แอบอ้างว่า จะนำเงินไปให้บุคคลเบื้องสูงซึ่งเป็นความผิดตามกฎหมาย พนักงานสอบสวนยังจะต้องสอบปากคำพยานกว่า 50 ปาก รอผลการตรวจประวัติผู้ต้องหา จึงขอฝากขังเป็นเวลา 12 วัน ตั้งแต่วันที่ 24 พ.ย.-5 ธ.ค.57 ท้ายคำร้องพนักงานสอบสวนคัดค้านการประกันเกรงว่าผู้ต้องหาจะหลบหนี และเป็นอุปสรรคต่อการทำงานของพนักงานสอบสวน

        เพราะฉะนั้นแล้วเราจะติดตามข้อมูลเชิงลึกมาให้คุณผู้ชมได้รับทราบเริ่มจากกระบวนการค้าน้ำมันเถื่อน ซึ่งในวันนี้จะได้ยกตัวอย่างหนึ่งในขบวนการที่ถูกพูดถึงมาโดยตลอดเพราะมีพฤติการณ์ต้องสงสัยอยู่เป็นจำนวนมากนั่นคือ นายสหชัย เจียรเสริมสิน หรือ เสี่ยโจ้

          ย้อนกลับไป วันที่ 21 ต.ค.2557 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ กล่าวถึงการหายตัวไปของนายสหชัย เจียรเสริมสิน (เสี่ยโจ้) นักโทษหนีคดีคำสั่งศาลจังหวัดปัตตานีว่าการหายตัวไปในครั้งนี้ทหารไม่ได้จับตัวมาอย่างที่เป็นข่าว ถ้าปัญหาในพื้นที่ภาคใต้ทุกคนที่มีคดีแล้วต่อสู้ทางกฏหมายคดีจะจบไปตั้งนานแล้ว ทั้งนี้สนับสนุนการแก้ปัญหาตามกระบวนการยุติธรรม

        ทั้งนี้พฤติการณ์ของ นายสหชัย เจียรเสริมสิน ถูกเพ็งเล็งโดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ มาตั้งแต่เข้าควบคุมอำนาจการปกครองประเทศ โดยได้จัดชุดเจ้าหน้าที่พิเศษเข้าไปตรวจค้นและยึดทรัพย์สินเป็นจำนวนมาก

          17 มิถุนายน 2557 คณะรักษาความสงบแห่งชาติ ส่งเจ้าหน้าที่ชุดปราบปรามภัยแทรกซ้อนต่อความมั่นคง กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า ควบคุมตัว นายสหชัย หรือเสี่ยโจ้ เจ้าของห้างหุ้นส่วนจำกัด สหทรัพย์ทวีค้าไม้ เพราะต้องสงสัยว่าเกี่ยวพันกับขบวนการค้าน้ำมันเถื่อนรายใหญ่ของภาคใต้ พร้อมนำกำลังเข้าตรวจค้น หจก.สหทรัพย์ทวีฯ เลขที่ 103/49 ต.บานา อ.เมืองปัตตานี พบหลักฐานแผ่นตรวจลงตราเข้าเมืองปลอมเป็นจำนวนมาก คาดว่าอาจเกี่ยวข้องกับการเคลื่อนย้ายไม้


         21 มิถุนายน 2557 เจ้าหน้าที่ระดับสูงในชุดปราบปรามภัยแทรกซ้อน กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ทำการอายัดหลักฐานต้องสงสัยจำนวน 6 รายการ มาตรวจสอบ ประกอบด้วย
  • 1.รถบรรทุกน้ำมันขนาด 15,000 ลิตร 2 คัน
  • 2.รถห้องเย็นดัดแปลงเป็นรถบรรทุกน้ำมัน 2 คัน
  • 3.ไม้แปรรูปขนาดใหญ่ประมาณ 1,800 ท่อน
  • 4.วิทยุและอุปกรณ์สื่อสาร 3 ชุด
  • 5.เงินสดสกุลต่างประเทศ และเงินบาทไทย ประมาณ 23 ล้านบาท
  • 6.เอกสารที่เกี่ยวข้องกว่า 2,000 รายการ คอมพิวเตอร์ 3 เครื่อง โพยหวยใต้ดิน และซีดีภาพยนตร์ลามกอนาจาร 500 แผ่น
         และหลักฐานชิ้นสำคัญในการตรวจค้น เจ้าหน้าที่ตรวจพบบริเวณ กองขยะที่ถูกจุดไฟเผา ซึ่งมีบางส่วนที่ไฟยังเผาไม่หมด  โดยเอกสารดังกล่าวระบุ ถึงบัญชีรายชื่อผู้ที่ได้รับเงิน หรือสิ่งของต่างๆ จากนายสหชัย หรือ “เสี่ยโจ้” ซึ่งระบุชื่อบุคคลหลายสาขาอาชีพ รวมทั้งข้าราชการหลายระดับ


เอกสารระบุดังนี้
  • ชุดเฝ้าระวังปราบปรามผู้กระทำความผิด สัตหีบ ระยอง
  • สารวัตรชุดปฏิบัติการ 2000 x 30 วัน = 60,000
  • ลูกทีมชุดปฏิบัติการ 4 คน 1500 x 30 วัน = 180,000
  • น้ำมันรถ ค่าจิปาถะ วันละ 1,000 x 30 วัน = 30,000
  • รวม 270,000
          ต่อมาวันที่ 5 ส.ค.57 เจ้าหน้าที่ชุดปราบปรามภัยแทรกซ้อน กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่จากกรมสรรพากร และเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ ได้เข้าตรวจค้นและยึดอายัดทรัพย์สินที่เชื่อว่าเป็นของนายสหชัย ที่ หจก.สหทรัพย์ทวีค้าไม้ และได้เปิดตู้นิรภัย พบทรัพย์สินและทองแท่งมูลค่านับร้อยล้านบาท

         การเข้าตรวจยึดอายัดทรัพย์สินดังกล่าว เป็นการบังคับคดีจากคดีล้มละลาย คดีแดงเลขที่ 3488/2555 อันสืบเนื่องจากพฤติการณ์เลี่ยงภาษีจำนวน 414 ล้านบาท ซึ่งกรมสรรพากรต้องตามยึดทรัพย์ของนายสหชัย


           สำหรับ หจก.สหทรัพย์ทวีค้าไม้ เคยถูกคณะทำงานภัยแทรกซ้อน และเจ้าหน้าที่จากกรมสอบสวนคดีพิเศษ เข้าตรวจค้นมาก่อนแล้ว เมื่อวันที่ 17 ต.ค.2555 และสามารถยึดของกลางที่น่าจะเกี่ยวข้องกับการกระทำผิดกฎหมายได้หลายรายการ โดยเฉพาะรถบรรทุกดัดแปลงสำหรับขนน้ำมันได้คราวละ 15,000 ลิตร จำนวน 2 คัน และรถบรรทุกห้องเย็นที่ดัดแปลงสำหรับขนน้ำมันอีก 2 คัน เงินสดสกุลต่างประเทศและเงินบาทไทยประมาณ 23 ล้านบาท รวมทั้งบัญชีรับจ่ายเงินที่เชื่อกันว่าเป็นบัญชีส่วยสำหรับจ่ายเจ้าหน้าที่

         ทั้งนี้แม้จะมีการตรวจค้นและยึดทรัพย์สินเป็นจำนวนมากและพบหลักฐานที่สามารถเชื่อได้ว่านายสหชัย เจียรเสริมสินเสี่ยโจ้น่าจะมีความเชื่อมโยงกับขบวนการค้าน้ำมันเถื่อนในภาคใต้แต่ก็ยังไม่สามารถเอาผิดได้


         ความไม่ชอบมาพากลในการดำเนินคดีกับธุรกิจของนายสหชัย ชัดเจนขึ้น หลังนายสหชัย หลบหนีจากศาลจังหวัดปัตตานีเมื่อวันที่ 9 ต.ค.2557 เพราะถูกพิพากษาจำคุก 1 ปี 9 เดือน ฐานปลอมแปลงเอกสารตราประทับ ทำให้ ร.ต.ต.อรุณ ศรีทองสุข รองสารวัตรปราบปรามสถานีตำรวจเมืองปัตตานี ที่คุมตัวผู้ต้องหาถูกดำเนินคดีฐานปล่อยให้ผู้ต้องหาหลบหนี และละเว้นการปฏิบัติหน้าที่

          เมื่อวันที่ 9 ต.ค. 2557 ศาลจ.ปัตตานีสั่งจำคุกร.ต.ต.อรุณ ศรีทองสุข รองสารวัตรปราบปราม.สภ.เมือง จ.ปัตตานี ในความผิดฐานละเมิดอำนาจศาล กำหนดโทษจำคุก 6 เดือน จากกรณีปล่อยตัว นายสหชัย เจียรเสริมสิน หรือ เสี่ยโจ้ จำเลยในคดีอาญาฐานปลอมเอกสารตราประทับของทางราชการโดยพลการ ทำให้นายสหชัยหลบหนี ทั้งๆ ที่ศาลเพิ่งพิพากษาลงโทษนายสหชัยให้จำคุก 1 ปี 9 เดือน และไม่รอลงอาญาแม้จำเลยให้การรับสารภาพ

         นอกจากนี้ หัวหน้าศาลจังหวัดปัตตานี เข้าแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน สภ.เมืองปัตตานี กล่าวโทษร.ต.ต.อรุณ ศรีทองสุข ในข้อหาเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ทำให้ผู้ถูกคุมขังหลุดพ้นจากการคุมขัง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 204 และ 157

         สำหรับประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 204 บัญญัติว่า "ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน มีตำแหน่งหน้าที่ควบคุมดูแลผู้ที่ต้องคุมขังตามอำนาจของศาล ของพนักงานสอบสวน หรือของเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจสืบสวนคดีอาญา กระทำด้วยประการใดๆ ให้ผู้ที่อยู่ในระหว่างคุมขังนั้นหลุดพ้นจากการคุมขังไป ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงเจ็ดปี และปรับตั้งแต่ 2,000-14,000 บาท

          ต่อมา เจ้าหน้าที่ทหาร ทหารพราน และหน่วยข่าว ได้แจ้งไปยังหน่วยในสังกัด และด่านตรวจด่านสกัด ให้เร่งหาตัว นายสหชัย ให้ได้ภายใน 24 ชั่วโมง โดยบางส่วนได้นำกำลังไปตรวจค้นบ้านคนใกล้ชิดของนายสหชัยด้วย ขณะที่เจ้าหน้าที่อีกชุดหนึ่งได้สอบปากคำ จำคุกร.ต.ต.อรุณ ศรีทองสุข ที่ตกเป็นผู้ต้องหาแทน เบื้องต้นมีรายงานว่าเจ้าตัวยอมรับสารภาพ โดยอ้างว่า "นายสั่ง"

          จากข้อเท็จจริงที่ปรากฏแม้จะไม่สามารถเอาผิดกับนายสหชัย เกี่ยวข้องกับขบวนการค้าน้ำเถื่อนได้ในขณะนี้ แต่ก็ต้องเรียกได้ว่าผู้ชายคนนี้มีความไม่ธรรมดา ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อไล่เลียงประวัติในอดีตที่ผ่านมา ก็จะพบข้อมูลการถูกกล่าวหาด้วยคดีต่างๆ
  • ปี 2546-2549 ถูกดำเนินคดีในข้อหาค้าหวยใต้ดิน
  • 17 ต.ค.55 ถูกเจ้าหน้าที่ตรวจค้นบ้านและห้างหุ้นส่วนจำกัด (หจก.) สินทรัพย์ทวีค้าไม้ ยึดของกลางได้จำนวนหนึ่ง เช่น รถบรรทุกดัดแปลงสำหรับขนน้ำมัน
  • 2 พ.ย.55 เข้ารับทราบข้อกล่าวหาของกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ในฐานความผิดเกี่ยวกับสรรพากร พร้อมยื่นประกันตัวด้วยเงิน 5 แสนบาท
  • 5 พ.ย.55 แถลงข่าวที่โรงแรมแห่งหนึ่งใน อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการทำธุรกิจผิดกฎหมายทุกประเภท
  • 6 ต.ค.56 เจ้าหน้าที่ บริษัท สหทรัพย์อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ธุรกิจในเครือของนายสหชัย เข้าแจ้งความกับตำรวจว่า เมื่อวันที่ 2 ต.ค.56 เรือขนเงินของบริษัทถูกปล้นบริเวณนอกชายฝั่ง อ.หนองจิก จ.ปัตตานี มีลูกเรืออยู่ 8 คน ถูกยิงเสียชีวิตไป 7 คน ที่เหลือ 1 คนก็หายตัวไป ขณะที่เงินสดทั้งสกุลเงินไทยและต่างประเทศเกือบ 120 ล้านบาทสูญหายไป ต่อมาตำรวจกองปราบตามเงินคืนมาได้ และจับกุมผู้ต้องหา 4 ราย
  • 17 มิย. 57 ชุดปฏิบัติการปราบปรามภัยแทรกซ้อนต่อความมั่นคง กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ตรวจค้น หจก.สินทรัพย์ทวีค้าไม้ของนายสหชัย และได้คุมตัวนายสหชัยไปสอบสวนในคดีความมั่นคง
  • 19 มิ.ย.57 มีข่าวว่า นายสหชัย รับสารภาพว่าทำธุรกิจเกี่ยวข้องกับน้ำมันจริง แต่ทำในทะเลนอกน่านน้ำไทย
  • 26 มิ.ย.57 พนักงานสอบสวน สภ.เมืองปัตตานี นำตัวนายสหชัยไปขออำนาจฝากขังจากศาลปัตตานีผลัดแรก แต่ศาลไม่อนุญาตให้ประกันตัวตามที่ทนายและญาติได้ยื่นร้องขอ เพราะเคยมีประวัติหลบหนีประกัน
  • 16 ก.ค.57 ศาลอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวนายสหชัย
  • 5 ส.ค.57 เจ้าหน้าที่สนธิกำลังเข้าตรวจสอบและอายัดทรัพย์ที่ หจก.สหทรัพย์ทวีค้าไม้ พบเงินสดและทองแท่งในตู้เซฟ มูลค่านับร้อยล้านบาท
  • 15 ก.ย.57 เจ้าหน้าที่สรรพากร นำเจ้าหน้าที่กองบังคับคดีจังหวัดปัตตานี ยึดทรัพย์ต่างๆ ของนายสหชัย
  • 9 ต.ค.57 นายสหชัยต้องเดินทางไปขึ้นศาลจังหวัดปัตตานีเพื่อรับฟังคำพิพากษาคดีครอบครองเอกสารตรวจลงตราเข้าเมืองปลอม ศาลสั่งลงโทษจำคุก 1 ปี 9 เดือนโดยไม่รอลงอาญา แต่นายสหชัยหลบหนี
           ไม่เพียงเท่านั้น ในวันที่15 ต.ค.57พบว่า นายสหชัยหรือ เสี่ยโจ้ เดินทางไปพบกับ พ.ต.ท ทักษิณ ชินวัตร พร้อมกับมีการเปิดเผยจดหมายของเสี่ยโจ้ ที่คาดว่าน่าจะเป็นการเขียนถึงพ.ต.ท.ทักษิณ ใจความดังนี้

ทำที่ จ.ปัตตานี วันที่ 3 เมษายน 2557 
เรื่องขอความเป็นธรรม และขอบารมีฯพณฯ
         กราบเรียน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กระผมนายสหชัย เจียรเสริมสิน ทำธุรกิจเกี่ยวกับน้ำมันนอกน่านน้ำประเทศไทย ก่อนหน้านี้กระผมได้รบกวนบารมีมาแล้ว ก็แก้ไขได้ระดับหนึ่ง แต่ตอนนี้มี “รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (พล.ต.ต.โกวิทย์ วงศ์รุ่งโรจน์)” ได้ส่ง “พ.ต.อ. ...(ขอสงวนชื่อ-สกุล เนื่องจากไม่มีรายชื่อในหมายจับ) ลงมาเป็น ผกก.ตำรวจน้ำสงขลา ผมได้พยายามเจรจา ดูแล และช่วยภารกิจต่างๆ แต่ท่านโกวิทย์ฏิเสธ ไม่ยอมรับการดูแลของกระผม โดยสั่งให้ผู้ใต้บังคับบัญชาปิดท่าเรือในสงขลา ปัตตานี และนราธิวาส ห้ามเรือในเครือข่ายของกระผมออกจากฝั่ง แต่อนุญาตให้คู่แข่งของกระผมทำการได้

         กระผมทราบว่าท่านรองผู้บัญชาการโกวิทย์ ร่วมมือกับนักธุรกิจน้ำมันรายใหม่ เข้าทำการค้าน้ำมันแข่งกับกระผม จึงจำเป็นต้องขออาศัยบารมีฯพณฯอีกครั้งหนึ่ง ขอได้โปรดช่วยกระผมด้วยครับ ช่วยขอความอนุเคราะห์จากผู้เกี่ยวข้องให้กระผมมีที่ยืนบ้าง

         ทั้งนี้กระผมเองขอกราบเรียนด้วยว่า ที่ผ่านมาได้สนับสนุนการเมืองฝ่ายเราด้วยความเสียสละ และจริงใจเสมอมา โดยจะคงยืนหยัดเช่นนี้ตลอดไปครับ

          นี่เป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งที่ ที่ยืนยันว่าในพื้นที่ภาคใต้มีขบวนการค้าน้ำมันเถื่อนอย่างแน่นอนและที่สำคัญขบวนการค้าน้ำมันเถื่อนในพื้นที่ภาคใต้ยังได้แผ่อิทธิพลไปถึงหน่วยงานราชการภายใต้ความแคลงใจของคนไทยทั้งประเทศ จนทำให้เกิดคำถามว่า การที่ยังไม่สามารถจับกุมขบวนการนี้ได้ เพราะไม่ใช่จับไม่ได้แต่เจ้าหน้าที่ไม่ดำเนินการจับ หรือไม่

         ว่ากันว่าเครือข่ายค้าน้ำมันเถื่อนในพื้นที่ภาคใต้ มีอยู่หลายหลายกลุ่มและบุคคลผู้ทรงอิทธิพล ทั้งนักธุรกิจ นักการเมือง ผู้นำในพื้นที่ และเจ้าหน้าที่รัฐ

ตามรายงานระบุว่า บุคคลผู้ทรงอิทธิพลในประเทศเพื่อนบ้าน ประกอบด้วย
  • 1.นาย ส. เป็นเครือข่ายใหญ่ที่สุด เป็นตัวกลางออกหน้าเชื่อมโยงกับเครือข่ายอื่นๆ
  • 2.นาย น. นักการเมืองท้องถิ่นของ อ.ตากใบ จ.นราธิวาส
  • 3.นาย ม. จากบริษัท อ./ฟ. มีฐานอยู่ใน จ.ปัตตานี เคยถูกทหารและดีเอสไอเข้าตรวจค้นเมื่อหลายปีก่อน
  • 4.นาย ม. เจ้าของบริษัท อ. ในอำเภอพื้นที่สีแดงของ จ.นราธิวาส
  • 5.เครือข่ายนายมะ เชื่อมโยงกับยาเสพติด
  • 6.เครือข่ายนาย จ. เจ้าของกิจการเกี่ยวกับน้ำมัน มีเรือบรรทุกน้ำมันขนาดใหญ่
  • 7.บริษัท ก. กับ บริษัท ต. ตั้งอยู่ในรัฐกลันตัน ประเทศมาเลเซีย
  • 8.สหกรณ์ออมทรัพย์แห่งหนึ่งในพื้นที่ชายแดนใต้

         ทั้งนี้ บริษัท อ./ฟ. ที่มีฐานอยู่ใน จ.ปัตตานี มีความเกี่ยวโยงกับบริษัท ต.ที่ตั้งอยู่ในรัฐกลันตัน เพราะผู้บริหารบริษัทบางส่วนเป็นชุดเดียวกัน บางคนเป็นเครือญาติกัน โยงถึงครอบครัวของ "คนมีสี" ที่เคยดำรงตำแหน่งระดับสูงใน จ.ปัตตานีด้วย

        การทำงานของเรือบรรทุกน้ำมันในเครือข่ายนี้ คือจะมีเรือขนาดใหญ่ หรือเรือบาร์จ (เรือขนาดใหญ่ที่ใช้สำหรับเคลื่อนย้ายสินค้า และมีเรือที่ใช้ขนน้ำมันเป็นการเฉพาะ) เดินทางไปรับน้ำมันที่น่านน้ำประเทศเพื่อนบ้าน นอกน่านน้ำไทย โดยแหล่งที่มาของน้ำมันมี 2-3 แหล่ง คือ ซื้อน้ำมันราคาถูกจากประเทศบรูไน มาเลเซีย สิงคโปร์ (ราคาน้ำมันถูกกว่าไทยมาก) และซื้อจากเรือของแท่นขุดเจาะก๊าซธรรมชาติที่ลักลอบนำมาขาย

         วิธีการรับ-ส่งน้ำมันจะมีการนำน้ำมันประมาณ 700,000 ถึง 2,000,000 ลิตรต่อครั้งเคลื่อนย้ายเข้ามาในอ่าวไทย โดยจะจอดเรือใหญ่บริเวณรอยต่อน่านน้ำไทยกับน่านน้ำสากล เพื่อถ่ายน้ำมันลงเรือเล็ก ซึ่งเครือข่ายผู้ค้ามีเรือประมงดัดแปลงสำหรับบรรทุกน้ำมันโดยเฉพาะจำนวนมากกว่า 50 ลำไปรับน้ำมัน และมีรถบรรทุกอีกจำนวนหนึ่งคอยรับช่วงต่อตามชายฝั่งเพื่อขนส่งทางบกไปยังเป้าหมายต่างๆ ด้วย

        เรือประมงดัดแปลงที่ว่านี้ บรรทุกน้ำมันได้ลำละ 30,000 ถึง 200,000 ลิตร โดยจะคอยรับถ่ายน้ำมันจากเรือใหญ่บริเวณรอยต่อน่านน้ำ เพื่อนำไปส่งตามจุดนัดหมายบริเวณชายฝั่ง ตั้งแต่ อ.ตากใบ จ.นราธิวาส ยาวไปจนถึง จ.ประจวบคีรีขันธ์ จ.เพชรบุรี สมุทรสาคร และบางครั้งไปถึงรอยต่อน่านน้ำไทยในเขต จ.ระยอง

         จุดที่เจ้าหน้าที่มีหลักฐานว่าเป็นจุดขนถ่ายน้ำมัน คือ ในอ่าวไทยใกล้ทะเลสงขลา ใกล้ จ.นครศรีธรรมราช เหนือเกาะสมุยและเกาะพงัน จ.สุราษฎร์ธานี ใกล้ทะเลชุมพร ใกล้ อ.บางสะพาน จ.ประจวบคีรีขันธ์ และทะเลใกล้ จ.ระยอง กับ จ.ตราด

        นอกจากนั้น ยังมีเรือประมงดัดแปลงลอยลำขายน้ำมันให้กับเรือประมงที่ผ่านไป-มาในทะเลอ่าวไทยตั้งแต่ จ.ปัตตานี ถึง จ.ประจวบคีรีขันธ์ แต่ที่ปรากฏข้อมูลมากที่สุดคือบริเวณอ่าวปัตตานี

        เรือประมงดัดแปลงเหล่านี้ นอกจากทำหน้าที่รับน้ำมันจากเรือบาร์จ ขนเข้ามาในน่านน้ำไทยแล้ว ยังมีหน้าที่ลำเลียงเงินสดส่งไปยังเรือใหญ่และเรือบาร์จด้วย เม็ดเงินหมุนเวียนวันละ 60-210 ล้านบาท

        ที่มาของน้ำมันหลบเลี่ยงภาษีจำนวนหนึ่ง มาจากโครงการช่วยเหลือเรือประมงของรัฐบาลประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งมีเป้าหมายช่วยเหลือเรือประมงที่มีอยู่จริง ประมาณ 200 ลำ แต่ด้วยอิทธิพลของบริษัทที่เป็นเครือข่ายค้าน้ำมันเถื่อนกับ นาย ส. ซึ่งเป็นบุคคลระดับสูงในรัฐกลันตัน จึงมีการนำเรือเถื่อนมาสวมทะเบียนเพื่อขอรับสิทธิการช่วยเหลืออีกประมาณ 400 ลำ และนำน้ำมันที่ได้ไปขายต่อเพื่อกินส่วนต่าง

         หน่วยงานด้านความมั่นคงประเมินว่า ปริมาณการค้าน้ำมันเถื่อนจากทุกช่องทางของเครือข่ายนี้มีประมาณ 100-150 ล้านลิตรต่อเดือน คิดมูลค่าเป็นเงินไทยประมาณ 2,000-3,000 ล้านบาท โดยทางเครือข่ายได้รับผลประโยชน์เป็นกำไรเน็ตๆ จากการค้าน้ำมันรวมๆ แล้วเดือนละประมาณ 600-800 ล้านบาท ปีละเกือบ 1 หมื่นล้านบาท และมีการจัดสรรไปยังผู้เกี่ยวข้องในเครือข่าย

        อย่างไรก็ดี ตัวเลขราวๆ 1 หมื่นล้านบาทนี้ เป็นตัวเลขเฉพาะ "กำไร" แต่หากนับเงินหมุนเวียนในธุรกิจค้าน้ำมัน ซึ่งเคยมีการตรวจพบหลักฐานทางบัญชี ปรากฏว่ามีตัวเลขสูงระดับ 5 หมื่นถึง 1 แสนล้านบาทต่อปี

        บริษัทที่อยู่นอกประเทศไทยแต่ร่วมอยู่ในเครือข่ายค้าน้ำมันหลบเลี่ยงภาษี นอกจาก 2 บริษัทในมาเลเซียที่กล่าวถึงไปแล้ว ยังมีบริษัทในประเทศเมียนมาร์อีก 1 แห่งด้วย โดยตัวละครสำคัญมีทั้งนักธุรกิจใหญ่ ผู้นำที่ได้รับการยอมรับในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ นักการเมืองระดับท้องถิ่น รวมทั้งผู้มีอิทธิพลระดับสูงของมาเลเซียในรัฐที่มีชายแดนติดกับประเทศไทย

         นอกจากนี้ ยังมีข้อมูลจากสถานทูตของชาติตะวันตก ระบุว่า เครือข่ายค้าน้ำมันในภาคใต้ของไทยอาจเชื่อมโยงกับกลุ่มผู้ค้าจากประเทศในตะวันออกกลางที่ถูกชาติตะวันตกขึ้นบัญชีห้ามค้าขายน้ำมัน เพราะมีพฤติการณ์สนับสนุนขบวนการก่อการร้าย แต่ประเทศเหล่านี้ปล่อยน้ำมันออกสู่ตลาดมืดผ่านขบวนการค้าน้ำมันเถื่อนในประเทศมุสลิมประเทศหนึ่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แล้วกระจายต่อมายังเครือข่ายภาคใต้ของไทย โดยน้ำมันจากแหล่งนี้มีรายงานว่าส่งขายไปยังเพื่อนบ้านรอบๆ ประเทศไทย

      แหล่งข่าวระดับสูงจากสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ที่เคยร่วมตรวจสอบข้อมูลส่วยน้ำมันเถื่อน เคยให้ข่าวว่า "หากจะย้ายเจ้าหน้าที่ในภาคใต้ที่เกี่ยวข้องกับเงินน้ำมันเถื่อนแล้วล่ะก็ คงต้องย้ายเกือบหมดทั้งภาค"

       ขณะที่เจ้าหน้าที่ระดับสูงรายหนึ่งของสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด เล่าว่า เคยนำกำลังชุดเฉพาะกิจลงไปตั้งด่านสกัดการขนยาเสพติดในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ปรากฏว่าเจอรถขนส่งน้ำมันเถื่อนขับเข้าด่าน เมื่อรถจอด คนในรถรีบวิ่งลงมาถามว่า "ยังขาดตกบกพร่องหน่วยไหนอยู่อีกหรือ?" ทำให้เจ้าหน้าที่จากนอกพื้นที่ถึงกับตกใจ เพราะสะท้อนว่าการจ่ายส่วยน้ำมันเถื่อนในพื้นที่เป็นไปอย่างกว้างขวางจริงๆ

        นี่เป็นตัวอย่างหนึ่งเท่านั้น โดยสำนักข่าวทีนิวส์จะร่วมแกะรอยตรวจสอบรวมไปถึงกรณีของบ่อนต่างๆ ซึ่งในวันนี้เราจะนำเสนอข้อมูลเบื้องต้น เพราะมีมูลค่า มหาศาลเช่นกัน

       ธุรกิจบ่อนการพนัน เริ่มขึ้นโดยเลือกใช้สถานบริการอาบอบนวดโคลอนเซ่ ติดกับถนนพระราม 9 เขตห้วยขวาง กทม.เป็นแหล่งทองคำ เปิดบริการเซียนพนันด้วยโต๊ะบาคาร่า แบบโต๊ะเล็กจำนวนกว่า 100 โต๊ะ และโต๊ะวีไอพีอีก 10 โต๊ะ

        โดยรายละเอียดต่างๆสำหรับโต๊ะเล็กก็คือเจ้ามืออั้นคนแทงไม่เกินครั้งละ 1 แสนบาท ส่วนโต๊ะใหญ่อั้นครั้งละไม่เกิน 5 แสนบาทซึ่งทำให้เกิดส่วนต่างของค่าเช่าจึงอยู่ที่โต๊ะเล็กต่อขอนต่อ 8 ชั่วโมงค่าเช่า 150,000 บาท โต๊ะวีไอพี.อยู่ที่ 200,000-300,000 บาทขึ้นอยู่กับรอบในแต่ละวัน รอบละ 8 ชั่วโมงแบ่งเป็นรอบเช้า บ่ายและดึกโดยช่วงพาร์มไทม์ หรือช่วง 14.00-22.00 น.ราคาจะสูงที่สุด และเมื่อรวมกับค่าต๋งต่างๆไม่ว่าจะเป็นการพนันกำถั่ว บ่อนไฮโลหรือแม้แต่ตู้สลอต ตู้ม้า