วันพฤหัสบดีที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2559

เพื่อไทยประกาศจุดยืนไม่เห็นด้วยกับร่างรธน.ฉบับ กรธ. และใบสั่งของ คสช.


17 มี.ค.2559 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เว็บไซต์พรรคเพื่อไทย ได้เผยแพร่แถลงการณ์พรรค เรื่อง ไม่เห็นด้วยกับร่างรัฐธรรมนูญและข้อเสนอของ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ได้ทำหนังสือให้คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.)  ได้ปรับปรุงแก้ไขบทเฉพาะกาลมาด้วยนั้น
พรรคเพื่อไทย เห็นว่าร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้มีปัญหาหลายประการที่จะทำให้ประชาธิปไตยของประเทศถดถอย รัฐบาลขาดเสถียรภาพและประสิทธิภาพในการบริหารราชการแผ่นดิน กระบวนการทำงานของฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหารถูกแทรกแซงจากศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระ กลไกในรัฐธรรมนูญเป็นอุปสรรคต่อการบริหารราชการแผ่นดินและการพัฒนาประเทศอย่างมีนัยสำคัญ รัฐบาลไม่สามารถกำหนดนโยบายเพื่อตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนหรือนโยบายที่มีลักษณะของการช่วยเหลือดูแลประชาชนได้ มีการสร้างกลไกเพื่อมุ่งสืบทอดอำนาจของผู้มีอำนาจในปัจจุบัน โดยเปิดโอกาสให้ผู้ที่มิได้เป็น ส.ส. เข้าดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้ ที่มาของ ส.ว.ก็มาจากการสรรหาแทนที่จะมาจากการเลือกตั้งของประชาชน ขณะที่รัฐธรรมนูญก็มีการกำหนดเงื่อนไขให้แก้ไขยากมาก โดยพรรคได้เสนอข้อคิดเห็นต่างๆ เพื่อประกอบการจัดทำร่างรัฐธรรมนูญต่อ กรธ. แล้ว แต่ข้อเสนอของพรรคก็ไม่ได้รับการแก้ไขปรับปรุงแต่ประการใด ขณะที่ คสช. ได้มีข้อเสนอไปยัง กรธ. ดังนี้
1. ให้มี ส.ว. จำนวน 250 คน มาจากการแต่งตั้งของคณะบุคคลเพียง 8 – 10 คน โดยคณะบุคคล ที่ทำหน้าที่คัดเลือก ส.ว. 8 – 10 คน ไม่มีความเชื่อมโยงกับประชาชนแต่อย่างใดเลย ส่วนใหญ่คงเป็นคนที่ คสช. คัดเลือกมา จึงอาจกล่าวได้ว่า คสช. เป็นผู้เลือก ส.ว. นั่นเอง นอกจากนี้การให้ ผบ.เหล่าทัพ รวมถึง ผบ.ตร. เป็น ส.ว. ด้วย ยิ่งมีปัญหาเพราะบุคคลเหล่านี้เป็นข้าราชการประจำต้องทำหน้าที่ตามนโยบายของรัฐบาล กลับให้มาทำหน้าที่ตรวจสอบรัฐบาลเสียเองและบุคคลเหล่านี้มีอำนาจคุมกำลังทั้งทหารและตำรวจ การให้มาทำหน้าที่ ส.ว. จะทำให้สามารถชี้นำการทำหน้าที่ของ ส.ว.และชี้เป็นชี้ตายรัฐบาลได้ ซึ่งเป็นการขัดต่อสถานะของผู้ดำรงตำแหน่งดังกล่าว  ส่วนข้อเสนอที่ให้เพิ่มอำนาจหน้าที่ของ ส.ว. มีอำนาจในการพิทักษ์รัฐธรรมนูญ อำนาจในการขับเคลื่อนการปฏิรูป ซึ่งก็ไม่ต่างจาก คปป. ในร่างของนายบวรศักดิ์ฯ มีอำนาจในการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลได้ ก็เป็นประเด็นที่ขัดแย้งต่อหลักการประชาธิปไตยของทั่วโลก เพราะ คสช.ให้บุคคลที่มาจากการแต่งตั้งอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลได้

 2. การเสนอให้มีการเลือกตั้งแบบเขตใหญ่ 3 คน แต่ให้ประชาชนเลือกผู้สมัครได้เพียงคนเดียว ข้อเสนอตรงนี้พบว่ามีปัญหามาก ซึ่งมีข้อเสียมากกว่าข้อดี การใช้เขตละคนซึ่งเคยใช้ในการเลือกตั้งทุกครั้งในระยะหลังเป็นเรื่องที่ดีอยู่แล้ว เป็นระบบที่ง่าย สะดวกและเป็นธรรม พรรคมองเจตนาได้ว่าข้อเสนอดังกล่าว ต้องการสกัดพรรคการเมืองใหญ่ให้มี ส.ส. เขตลดลง

 3. การขอให้ยกเว้นไม่ต้องให้พรรคการเมืองเสนอชื่อผู้ที่จะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี 3 รายชื่อในการเลือกตั้ง ข้อนี้ไม่จำเป็นต้องเสนอก็ได้ เพราะร่างรัฐธรรมนูญก็ไม่ได้บังคับว่าพรรคต้องเสนอชื่อผู้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเสมอไป จะเสนอหรือไม่เสนอก็ได้ เหตุที่ คสช. เสนอดังกล่าว ยิ่งเป็นการเปิดโอกาสให้บุคคลภายนอกที่ไม่ได้เป็น ส.ส.เข้ามาเป็นนายpกรัฐมนตรีได้ง่ายขึ้น และประชาชนไม่สามารถทราบได้เลย

พรรคเพื่อไทย จึงเห็นว่า ข้อเสนอของ คสช. ข้างต้นเป็นความต้องการของ คสช. โดยตรงที่ต้องการจะควบคุมอำนาจการบริหารราชการแผ่นดินต่อไป โดยผ่านตัวแทนที่ตนเองแต่งตั้งขึ้นโดยทางอ้อม คือ ส.ว. และนายกรัฐมนตรี แม้จะอ้างว่านายกรัฐมนตรีต้องผ่านการเห็นชอบของที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรก็ตาม แต่ด้วยกระบวนการและกลไกที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญเป็นไปได้สูงว่า จะมีปัญหาการเลือกนายกรัฐมนตรีอย่างแน่นอน สุดท้ายก็ต้องเอาคนที่ คสช. เห็นชอบ เพราะ คสช. ยังมีอำนาจในการควบคุมอำนาจการบริหารราชการแผ่นดินไปจนกว่าจะได้รัฐบาลชุดใหม่

พรรคเพื่อไทย เห็นว่าร่างรัฐธรรมนูญที่ปรากฏ นอกจากจะเป็นการเปิดโอกาสให้มี ส.ว.จากการแต่งตั้งทั้งหมด มีอำนาจควบคุมรัฐบาลแล้ว ยังมีประเด็นของการให้อำนาจศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระมีอำนาจเหนือรัฐบาลและรัฐสภาที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน อันเป็นการผิดหลักการประชาธิปไตยอีกด้วย ร่างรัฐธรรมนูญเช่นนี้มีความตั้งใจที่จะสืบทอดอำนาจ ต้องการจะควบคุมและมีอำนาจเหนือฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติที่เป็นตัวแทนของปวงชน จึงเป็นการไม่ให้ความเคารพในอำนาจของประชาชนเลยแม้แต่น้อย

"ด้วยเนื้อหาของร่างรัฐธรรมนูญที่มีปัญหา รวมถึงข้อเสนอของ คสช. ที่จะเพิ่มปัญหาในร่างรัฐธรรมนูญมากขึ้นข้างต้น ประกอบกับการที่ กกต. ได้เสนอร่างกฎหมายเกี่ยวกับการทำประชามติร่างรัฐธรรมนูญที่กำหนดความผิดและโทษของฝ่ายที่รณรงค์ไม่เห็นด้วยกับร่างรัฐธรรมนูญอย่างรุนแรง ขณะที่มีการใช้กลไกของรัฐเพื่อให้ร่างรัฐธรรมนูญผ่านประชามติเป็นไปอย่างกว้างขวาง พรรคเพื่อไทยจึงเห็นว่ากระบวนการยกร่างรัฐธรรมนูญ เนื้อหาของร่างรัฐธรรมนูญ รวมถึงกระบวนการลงประชามติ มิได้เป็นไปตามหลักการประชาธิปไตย ด้วยความสุจริต โปร่งใส และชอบธรรมแต่อย่างใด" แถลงการณ์ของพรรคเพื่อไทย ระบุ 

‘สิริพรรณ’วิเคราะห์ 7 ข้ออันตรายร่างรัฐธรรมนูญ


วานนี้ (16 มี.ค.2559) รศ.ดร.สิริพรรณ นกสวน สวัสดี อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์เฟซบุ๊กระบุถึงข้อวิเคราะห์ร่างรัฐธรรมนูญที่ได้นำเสนอในเวที “Thailand’s Draft Constitution and Referendum: Principles, Stakes, Directions” จัดโดย ISIS Thailand  โดยมี นรชิต สิงหเสนี อดีตปลัดกระทรวงการต่างประเทศ ปัจจุบันทำหน้าที่โฆษกกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ ร่วมเป็นวิทยากร
สรุปข้อวิเคราะห์ได้ว่า
1.ร่างรัฐธรรมนูญในเรื่องการให้พรรคเสนอชื่อใครก็ได้ 3 คน ที่ไม่จำเป็นต้องผ่านการเลือกตั้งขัดแย้งกับหลักการอำนาจประชาธิปไตยเป็นของปวงชน
2. ระบบเลือกตั้งจัดสรรปันส่วนผสม (MMA) จะนำไปสู่การแข่งขันเลือกตั้งที่เน้นตัวบุคคลมากกว่านโยบายพรรค การซื้อเสียงจะสูงขึ้น เจ้าพ่อ เจ้าแม่ ผู้มีอิทธิพลท้องถิ่นจะกลับมา พรรคเล็กไม่สามารถแข่งขันได้ แรงจูงใจในการสร้างสถาบันพรรคการเมืองจะลดลง ประชาชนจะขาดความรู้สึกมีประสิทธิภาพทางการเมืองเพราะไม่ได้เป็นผู้เลือกนายกรัฐมนตรี และเกิดความสับสนระหว่างความชอบผู้สมัคร vs. พรรค และผู้ถูกเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรี
3. การให้อำนาจองค์กรอิสระและศาลรัฐธรรมนูญตรวจสอบรัฐสภาและรัฐบาลฝ่ายเดียว ขัดแย้งกับหลักตรวจสอบ ถ่วงดุล
4. ศักดิ์ศรี สิทธิ และการมีส่วนร่วมของประชาชนลดลง
5. การทำประชามติต้องคำนึงถึงมาตรฐานและหลักการสากล ต้องให้รณรงค์ได้ทั้งฝ่ายรับและฝ่ายไม่รับ อย่าให้เหมือนการรับร่างรัฐธรรมนูญปี 2550 และการไม่แจกร่างรัฐธรรมนูญทั้งฉบับให้ประชาชน แจกเฉพาะบทสรุป จะมั่นใจได้อย่างไรว่าสรุปได้ตรงความหมายโดยปราศจากอคติ
6. ข้อเสนอของ คสช.ในบทเฉพาะกาล 5 ปี ให้เพิ่มจำนวน ส.ว.จาก 200 เป็น 250 เท่ากับครึ่งหนึ่งของ ส.ส. เปลี่ยนจากการเลือกกันเองระหว่างกลุ่มอาชีพ 20 กลุ่ม มาเป็น การสรรหาโดยคณะกรรมการสรรหาและให้สำรองที่นั่ง 6 ที่ไว้สำหรับ ปลัดกระทรวงกลาโหม ผู้บัญชาการเหล่าทัพทั้ง 4 และผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาตินั้น ชัดเจนว่าเป็นความพยายามให้วุฒิสภาทำหน้าที่เป็นกลไกคัดง้างสภาผู้แทนราษฎรที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน นอกเหนือไปจากการติดตั้งกลไกคัดง้างเสียงข้างมากไว้ที่องค์กรอิสระและศาลรัฐธรรมนูญแล้ว
วุฒิสภาตามข้อเสนอของ คสช.จะมีอำนาจใกล้เคียงหรือเทียบเท่าสภาผู้แทนราษฎรเลยทีเดียว กล่าวคือ สามารถเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีได้ ควบคุมการบริหารของรัฐบาลได้ด้วย ที่ยังไม่ชัดเจนคือมีอำนาจยับยั้งร่างกฎหมายจนถึงที่สุดหรือไม่
**ดูเหมือนแนวคิดนี้ จะคล้ายกับบทเฉพาะกาล 4 ปี ของรัฐธรรมนูญ 2521 ขาดก็แต่ข้อเสนอของ คสช. ยังไม่ไปไกลขนาดให้อำนาจวุฒิสภาโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีร่วมกับสภาผู้แทนราษฎร
7. ข้อเสนอของ คสช. อีกประการคือ ให้การเสนอชื่อนายกรัฐมนตรี 3 คนของพรรคการเมืองเป็นความลับ ไม่เปิดเผยระหว่างการเลือกตั้ง ผลในประการนี้ก็จะกลับไปคล้ายอดีตกาลของประเทศไทย ที่สภาเป็นผู้โหวตด้วยเสียงข้างมากเลือก “ใครก็ได้”เป็นนายกรัฐมนตรี เป็นการเปิดพื้นที่ต่อรอง แลกเปลี่ยนระหว่างชนชั้นนำด้วยกันเอง
สิ่งที่ได้ทราบในวันนี้คือ
a. มาตรา 207 ที่ให้อำนาจศาลรัฐธรรมนูญอย่างล้นเหลือ ถูกปรับให้กลับไปคล้ายมาตรา 7 เดิม แต่จะมีข้อความที่ชัดเจนขึ้น กล่าวคือ จะระบุว่าในภาวะวิกฤติ องค์กรใดบ้างที่จะมาทำหน้าที่แก้ปัญหาร่วมกัน ต้องรอดูเนื้อความจริง ในวันที่ 29 มีนาคม ว่าองค์กรแก้วิกฤติจะคล้ายกับคณะกรรมการยุทธศาสตร์การปฏิรูปและการปรองดองแห่งชาติ (คปป.) ในร่างชุดอาจารย์บวรศักดิ์หรือไม่
b. ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ถูกใส่กลับเข้าไปในมาตรา 4 แต่ดูเหมือนคณะกรรมการยกร่างไม่เข้าใจจริง ๆ ว่า วิธีเขียนเรื่องสิทธิในร่างฉบับนี้ ได้ลดทอนสิทธิที่ประชาชนพึงมี เคยมี และถูกรับรองในรัฐธรรมนูญ 2 ฉบับ ก่อนหน้านี้อย่างไร
ดังที่ อาจารย์มีชัยเคยเปรียบเทียบไว้ว่า ร่างรัฐธรรมนูญได้ให้ฮีทเตอร์ (Heater) แล้วทำไมประชาชนยังต้องการผ้าห่มอีก
จึงตอบประเด็นนี้ไปว่า **เหตุผลที่ประชาชนยังต้องการผ้าห่ม แม้กรรมการร่างจะเสนอฮีทเตอร์ให้ เพราะประชาชนเป็นคนควบคุมผ้าห่มเองได้ ส่วนฮีทเตอร์นั้นถูกเปิดและปิดโดยรัฐ ประชาชนไม่มีส่วนร่วม**
c. การทำประชามติจะใช้เกณฑ์ “เสียงที่มากกว่า” เช่น หากโหวตรับ มีจำนวนมากกว่าโหวตไม่รับ ถือว่าร่างรัฐธรรมนูญผ่าน โดยไม่ต้องคำนึงถึงจำนวนผู้มาใช้สิทธิ
d. กรรมการยกร่างยังไม่ยืนยันว่าจะรับข้อเสนอของ คสช. ทั้งหมด แต่เชื่อได้ว่า ณ เวลานี้ ใครจะกล้าปฎิเสธคำขอจาก“The Power That Be”