วันพฤหัสบดีที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2559

หวั่นสร้างความแตกแยก ทหารเรียกนักข่าวไทยรัฐเชียงใหม่เขียนข่าว 'ขันแดง' เข้าค่ายคุย


31 มี.ค.2559 กรณีการถ่ายภาพคู่กับขันน้ำสีแดง พร้อมรูปนายทักษิณ ชินวัตร และนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่เชียงใหม่ ถูกดำเนินคดีตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 116 (อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม) นั้น 
ล่าสุด วานนี้ (30 มี.ค.59) ไทยรัฐออนไลน์ รายงานว่า เมื่อเวลา 13.30 น. วันที่ 30 มี.ค. 59 พ.ต.อ.มณฑป แสงจำนง รอง ผบก.ภ.จว.เชียงใหม่ พ.ต.อ.พัฒนพงษ์ ขำแก้ว ผกก.สส.ภ.จว.เชียงใหม่ ได้แจ้งไปถึงกองบรรณาธิการ หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ เพื่อให้ส่งตัว นายชัยพินธ์ ขัติยะ หัวหน้าศูนย์ข่าวไทยรัฐประจำจังหวัดเชียงใหม่ และประธานกลุ่มร่มฟ้าไทยรัฐภาคเหนือ เข้าไปพบที่ กองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดเชียงใหม่ เพื่อนำตัวไปทำการสอบสวนร่วมกับทางฝ่ายทหาร ที่มณฑลทหารบกที่ 33 ค่ายกาวิละ อ.เมืองเชียงใหม่ กรณีที่มีการโพสต์ภาพขันแดง ระบุข้อความอวยพรสงกรานต์จาก นายทักษิณ และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ดังกล่าว ('แม้ว-ปู' อ้อนคิดถึงคนเชียงใหม่ ส่งขันแดงอวยพรสงกรานต์)
ทั้งนี้ มี พล.ต.โกศล ประทุมชาติ ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 33 ในฐานะ ผู้บัญชาการกองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อย มทบ.33 ร่วมสอบถามหาข้อเท็จจริง และมีการถ่ายรูปทำประวัติไว้ ซึ่งมีการสอบถามที่ไปที่มาของภาพ ซึ่งทางผู้สื่อข่าวบอกว่ามาจากเฟซบุ๊กที่มีกระแสเกี่ยวกับเรื่องประหยัดน้ำช่วงสงกรานต์ จึงรายงานให้ทางส่วนกลางทราบว่ามีกระแสทางโซเชียลเกิดขึ้น จนมีการนำเสนอข่าว โดยเนื้อข่าวเกี่ยวกับการเล่นน้ำในสงกรานต์เชียงใหม่ อย่างประหยัด
ซึ่งทางฝ่ายเจ้าหน้าที่ทหารเห็นภาพที่ลงข่าวเป็นเรื่องอาจจะเกิดการแตกแยกขึ้นได้ในสถานการณ์ของบ้านเมืองในขณะนี้ และขอความร่วมมือในการนำเสนอข่าว ในเรื่องนี้ พร้อมกันนี้ มีการสอบถามใครเป็นคนถ่ายภาพ ซึ่งทางผู้ที่ถูกกล่าวหาบอกว่าเป็นภาพที่เพื่อนๆ ถ่ายเล่น และยืนยันว่าไม่ได้มีผู้สื่อข่าวคนใดถ่าย ทางฝ่ายทหาร จึงยุติการสอบสวนและขอความร่วมมือว่าไม่ควรเสนอข่าวเช่นนี้ออกมาอีก เพราะเป็นเรื่องละเอียดอ่อน จากนั้น ทางตำรวจได้ทำการสอบปากคำต่อในฐานะพยาน ก่อนที่จะสิ้นสุดกระบวนการสอบสวน และให้เดินทางกลับ
ยันทั้งตัวผู้ต้องหาและผู้สื่อข่าวไม่ได้มีเจตนาจะไปปลุกปั่นใดๆ
ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน รายงานด้วยว่า นายชัยพินธ์ กล่าวว่าเจ้าหน้าที่ทหารได้ระบุว่าขณะนี้สถานการณ์ของประเทศมีความละเอียดอ่อน การลงข่าวในลักษณะนี้อาจสร้างความแตกแยกในบ้านเมืองได้ เพราะเป็นการลงข่าวฝ่ายเดียว กลัวว่าอีกฝ่ายก็จะมีปัญหาและสร้างความขัดแย้งกัน ทางเจ้าหน้าที่จึงได้ขอความร่วมมือไม่นำเสนอข่าวในลักษณะนี้อีก
 
เจ้าหน้าที่ทหารยังได้สอบถามถึงผู้ที่ถ่ายภาพข่าวดังกล่าว นายชัยพินธ์ยืนยันว่าตนไม่ได้เป็นผู้ถ่ายรูปเอง และไม่ได้มีผู้สื่อข่าวถ่าย แต่เห็นปรากฏจากในเฟซบุ๊ก ซึ่งไม่ทราบว่าเป็นของผู้ใด แต่มีการแชร์ต่อกัน จึงได้นำไปรายงานในเรื่องการแจกขันแดงเพื่อรณรงค์การประหยัดน้ำในช่วงสงกรานต์ ไม่ได้มีเจตนาจะไปปลุกระดมทางการเมืองใดๆ รวมทั้งข้อความที่ลงในข่าวก็ไม่ได้มีลักษณะปลุกระดม เป็นแต่เพียงการรายงานบรรยากาศเรื่องสงกรานต์ในจังหวัดเชียงใหม่ โดยแม้แต่ขันน้ำสีแดงดังกล่าว ตนก็ไม่เคยเห็นของจริงแต่อย่างใด จึงยืนยันว่าในเรื่องนี้ทั้งตัวผู้ต้องหาและผู้สื่อข่าวไม่ได้มีเจตนาจะไปปลุกปั่นใดๆ
 
ทางเจ้าหน้าที่ทหารยังได้มีการถ่ายรูปและทำประวัติของนายชัยพินธ์เอาไว้  ก่อนปล่อยตัวกลับ โดยไม่ได้มีการแจ้งข้อกล่าวหาหรือดำเนินคดีใดๆ

คสช. ขอเช็ค 'แถลงการณ์เพื่อไทยไม่รับร่างรธน.' เข้าข่ายชี้ให้ประชาชนสับสนหรือไม่


30 มี.ค. 2559 หลังจากพรรคเพื่อไทย ออกแถลงการณ์ เรื่องไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ (รธน.) ที่ไม่ยอมรับอำนาจของประชาชน  โดยระบุ 9 เหตุผลไม่รับร่างรธน. เนื่องจากขัดหลักประชาธิปไตย พร้อมเชิญชวนให้ประชาชนออกมาลงประชามติ “ไม่รับ” ร่าง รธน. และเสนอให้ทางเลือกแก้ รธน.ชั่วคราว 57 ระบุหากไม่ผ่านประชามติให้เอา รธน. 40 มาใช้ชั่วคราว แล้วเลือกตั้งภายใน 6 เดือน ตั้ง สสร. ร่าง ธรน.ที่เป็นประชาธิปไตยและลงประชามติ  โดยในแถลงการณ์ยังระบุด้วยว่าการเลือกตั้งเร็วใต้กติกาที่ไม่เป็นประชาธิปไตย และสร้างปัญหาในอนาคตนั้น จะสร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนและประเทศชาติจนยากที่จะแก้ไขได้ (อ่านรายละเอียด)
ล่าสุดสำนักข่าวไทยรายงานว่า พ.อ.ปิยพงศ์ กลิ่นพันธุ์ รองหัวหน้าศูนย์ประชาสัมพันธ์ส่วนงานรักษาความสงบสำนักงานเลขาธิการคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวถึงกรณีที่พรรคเพื่อไทยออกแถลงการณ์ไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ ว่า ขอบคุณ พรรคเพื่อไทยที่ออกแถลงการณ์ไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่งถือเป็นการแสดงจุดยืนที่ชัดเจน แต่จะต้องดูว่าแถลงการณ์ดังกล่าวเข้าข่ายการชี้นำจนทำให้ประชาชนสับสนหรือไม่ ซึ่งหากนำไปสู่การกระทำผิดทางกฏหมายและการเข้าใจผิดต่อร่างรัฐธรรมนูญ  คสช.จะขอพิจารณาเพื่อให้มาพูดคุยทำความเข้าใจเพิ่มเติมด้วย
พ.อ.ปิยพงศ์ กล่าวว่า การที่นายมีชัย ฤชุพันธ์ ประธานกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ชี้แจงร่างรัฐธรรมนูญต่อสังคม รัฐบาลและประชาชนหลายฝ่ายก็มีความพอใจ เพราะร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ เน้นไปที่การป้องกันและปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชั่น ซึ่งอาจจะทำให้กระทบต่อคนที่จ้องหาผลประโยชน์ ทุจริตคอร์รัปชั่นขณะนี้ประชาชนยังมีเวลาศึกษาร่างรัฐธรรมนูญ  และทำความเข้าใจ เพื่อออกมาลงประชามติ ในวันที่ 7 สิงหาคมนี้
 
พ.อ.ปิยพงศ์ กล่าวถึงคำสั่งของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ 13 / 2559  เรื่องการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดบางประการที่เป็นภยันตราย ต่อความสงบเรียบร้อยหรือบ่อนทำลายระบบเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ ตั้งทหารเป็นเจ้าพนักงานและปราบปราม มีอำนาจปราบมาเฟีย ผู้มีอิทธิพลว่า เป็นการเพิ่มอำนาจให้กับเจ้าหน้าที่ทหารตั้งแต่ระดับร้อยตรีขึ้นไป ซึ่งถือเป็นการปฏิบัติตามกฎหมายให้ครอบคลุมกับฐานความผิด 16 ข้อ ทั้งนี้ก็เพื่อให้เกิดความคล่องตัวและความรวดเร็วในการทำงานของเจ้าหน้าที่เท่านั้น เช่น การออกหมายศาล เจ้าหน้าที่สามารถดำเนินการเชิญตัวได้ทันทีเพื่อให้ทันต่อสถาณการณ์ เป็นต้น

‘เรืองไกร’ สวนกกต. ใช้เงินไม่ตรงวัตถุประสงค์ ชี้ต้องคืน กรณีเหลือจากเลือกตั้ง ก.พ.57


กกต. แจงงบจัดเลือกตั้งก.พ.57 เหลือพันล้านจริง แต่ไม่ส่งคืนคลัง ถือเป็นเงินสะสม ด้าน ‘เรืองไกร’ สวนใช้เงินไม่ตรงวัตถุประสงค์ ชี้ต้องคืน ยันร้องเรียนตามขั้นตอนของกฎหมาย
31 มี.ค.2559 จากกรณีที่นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ คณะทำงานฝ่ายกฎหมายพรรคเพื่อไทย ได้ร้องเรียนต่อนายกรัฐมนตรี ในวันที่ 28 มี.ค.ที่ผ่านมา เพื่อให้พิจารณาเรียกค่าเสียหายจากการเลือกตั้ง ส.ส. เมื่อวันที่ 2 ก.พ.2557 จำนวนกว่า 2,037 ล้านบาท จาก คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) และ กปปส. อีกทั้งเรียกเงินงบประมาณที่คงเหลือจากการไม่ได้ใช้ไปในการเลือกตั้ง ส.ส. คืนจาก กกต.จำนวนกว่า 1,126 ล้านบาทโดยเร็ว (อ่านรายละเอียด) นั้น
จนต่อมา 29 มี.ค.59 นายธนิศร์ ศรีประเทศ ผู้ทรงคุณวุฒิสำนักงาน กกต. แถลงข่าวชี้แจงกรณีดังกล่าวว่า ยอมรับว่ามีเงินเหลือจริง แต่ตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง มาตรา 39 และมาตรา 40 กำหนดชัดเจนว่างบประมาณที่เหลือจ่ายจากการเลือกตั้ง กกต.สามารถเก็บไว้เป็นเงินสะสมได้โดยไม่ต้องส่งคืนคลัง โดยเงินดังกล่าวจะถูกนำไปใช้ในกรณีที่มีเหตุจำเป็น ซึ่ง กกต.จะต้องสามารถชี้แจงได้ ทั้งนี้ กกต.ก็ได้ประสานกับสำนักงบประมาณอยู่เป็นประจำอยู่แล้ว ในเรื่องการใช้จ่ายงบเหลือจ่าย และเงินเหลือเงินขาด 
นายธนิศร์ ยังกล่าวด้วยว่า ในส่วนที่จะมีการออกเสียงประชามติในขณะนี้ กกต.ได้ส่งเอกสารการของบประมาณให้สำนักงบประมาณแล้ว เมื่อวันที่ 28 มี.ค.ที่ผ่านมา โดยมีวงเงินค่าใช้จ่าย 2,991 ล้านบาทเศษ แยกเป็นค่าใช้จ่ายในส่วนของสำนักงาน กกต. 2,575 ล้านบาท ซึ่งจะใช้ในเรื่องของการจัดพิมพ์และส่งร่างรัฐธรรมนูญ รวมทั้งการจัดการออกเสียงประชามติ ค่าตอบแทนกรรมการประจำหน่วยเลือกตั้ง 97,000 หน่วย และการจัดซื้ออุปกรณ์ต่าง ๆ นอกจากนั้นเป็นของหน่วยงานสนับสนุน 11 หน่วยงาน ประมาณ 416 ล้านบาท ซึ่งหลังการออกเสียงหากมีงบประมาณเหลือจ่าย กกต.ก็ไม่ต้องส่งคืนคลังเช่นกัน (อ่านรายละเอียด)
ล่าสุดเมื่อวันที่ 30 มี.ค.ที่ผ่านมา มติชนออนไลน์ รายงานว่า นายเรืองไกร กล่าวถึงกรณีที่ กกต.ระบุไม่คืนเงินจัดการเลือกตั้งที่เหลือโดยอ้างว่าไม่มีระเบียบที่ต้องคืนว่า หากเป็นการเลือกตั้ง ส.ว.ตนก็ไม่ติดใจ เพราะการเลือกตั้งสำเร็จเรียบร้อยดี แต่หากเป็นการเลือกตั้ง ส.ส.ที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าเป็นโมฆะ เพราะการเลือกตั้งไม่ได้เป็นวันเดียวกัน แม้แต่นายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯยังระบุว่าหากพบว่าใครมีส่วนผิดก็ต้องชดใช้ ดังนั้น กกต.ก็ต้องนำเงินส่วนที่เหลือคืนให้กับหลวง เพราะไม่ได้ใช้ตรงตามวัตถุประสงค์ และ กกต.เองก็ต้องรับผิดชอบในเรื่องนี้ด้วย ทั้งนี้ หาก กกต.ให้เหตุผลแบบนี้ก็ไม่เป็นไร แต่ต้องรอดูว่านายกฯจะว่าอย่างไร ซึ่งตนพร้อมไปชี้แจงเรื่องดังกล่าวหากมีการเรียก กกต.ไปด้วย อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่าเป็นการร้องเรียนตามขั้นตอนของกฎหมาย

เราจะไปทางไหน#1: สุขุม นวลสกุล "พรรคการเมืองที่ใหญ่ที่สุดคือพรรค ส.ว."


<--break- />
ประชาไทสำรวจหน้าตาการเมืองไทยหลังร่างรัฐธรรมนูญฉบับมีชัย ฤชุพันธุ์ เผยโฉมไปเมื่อ 29 มีนาคมที่ผ่านมา  อนาคตประชาธิปไตย อนาคตประเทศไทยจะเดินไปทางไหน แลกเปลี่ยนพูดคุยผ่านมุมมองและประสบการณ์นักวิชาการหลายคน
รศ.สุขุม นวลสกุล นักวิชาการอิสระด้านรัฐศาสตร์ คือผู้ผ่านประสบการณ์การเมืองยุครัฐธรรมนูญ 2521 รัฐธรรมนูญฉบับดังกล่าวถูกกล่าวถึงบ่อยครั้งในฐานะที่มีความละม้ายคล้ายคลึงกับร่าง’มีชัย มากที่สุด เพราะส.ว.มีบทบาทอย่างสูง  เขาบอกเล่าบรรยากาศการเมืองในช่วงนั้น

บทเฉพาะกาล รธน.2521 ใช้ ส.ว. ค้ำอำนาจนายกฯ คนนอก

สุขุม อธิบายว่า หลังจากมีรัฐธรรมนูญปี 2521 และมีการจัดเลือกตั้งปี 2522 ในเวลานั้นมีบทเฉพาะกาล 4 ปีเช่นเดียวกับตอนนี้ โดยบทเฉพาะกาลกำหนดให้ข้าราชการมีอำนาจทางการเมืองหลายอย่าง เช่น สามารถเข้ามาดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายนิติบัญญัติหรือฝ่ายบริหาร ซึ่งส่งผลให้พลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ สามารถขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีได้
“พอเลือกตั้งกันเสร็จเรียบร้อย วุฒิสภาซึ่งมีอำนาจร่วมตั้งนายกฯ ด้วย ผลก็เลยออกมาเป็นเกรียงศักดิ์”
สภาพตอนนั้นต้องยอมรับว่าพรรคการเมืองเป็นพรรคขนาดกลางเป็นหลัก ยังไม่มีพรรคประชาธิปัตย์ที่ครองภาคใต้หรือพรรคเพื่อไทยครองภาคอีสาน พรรคที่ได้จำนวน ส.ส. สูงๆ อยู่ที่ประมาณ 70-40 ที่นั่ง การจัดตั้งรัฐบาลจึงเป็นรัฐบาลผสมอย่างเลี่ยงไม่ได้ แต่เนื่องจากพลเอกเกรียงศักดิ์มีวุฒิสภาเป็นกำลังหลัก พลเอกเกรียงศักดิ์จึงเป็นรัฐบาลที่มีเสียงข้างน้อยในสภาผู้แทนราษฎร โดยพรรคขนาดกลางอย่างกิจสังคม ชาติไทย ประชาธิปัตย์ ประชากรไทย จับมือกันไม่เอารัฐบาลที่มาจากรัฐประหาร
“เกรียงศักดิ์จึงจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อย แต่ไม่ต้องห่วงเพราะรัฐธรรมนูญมีบทเฉพาะกาลอยู่ว่า กฎหมายที่เกี่ยวกับการเงิน ความมั่นคง กฎหมายเร่งด่วน ให้ ส.ว. โหวตด้วย ซึ่งก็อาศัยตรงนี้ผ่านไปได้ กระทั่งผ่านไปเกือบปี บริหารประเทศไม่เป็นที่ถูกใจของผู้คน โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านเศรษฐกิจ ฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้เกรียงศักดิ์ต้องลาออกคือการขึ้นราคาน้ำมัน”
“พอสี่พรรคนี้ขออภิปราย เกรียงศักดิ์ก็รู้ตัว เพราะเขามาด้วย ส.ว. ก่อนหน้าจะถึงวันอภิปราย เขาก็เรียก ส.ว. มาประชุม ส.ว. 200 กว่าคนมาประชุมไม่ถึง 20 คน เพราะสมัยก่อน ส.ว. ก็คือพวกข้าราชการ แม่ทัพ แนวคิดเดียวกันคือให้มาอยู่ตรงนี้จะได้ไม่ปฏิวัติ เกรียงศักดิ์ก็รู้ชะตา วันที่ต้องถูกอภิปราย ฝ่ายค้านไม่ได้อภิปราย เพราะเขาแถลงลาออก ก็มาเลือกนายกฯ ใหม่ พลเอกเปรมก็ขึ้นมา”

ระบบเลือกตั้งเอื้อพรรคขนาดกลาง ทำการเมืองป่วน

ยุคตั้งแต่พลเอกเกรียงศักดิ์จนถึงยุคพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ จึงถูกเรียกว่า ยุคประชาธิปไตยครึ่งใบ ที่นักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้งต้องแบ่งอำนาจให้กับทหารและข้าราชการที่เข้ามามีอำนาจทางการเมืองผ่านวุฒิสภา บวกกับที่ระบบเลือกตั้งเอื้อให้มีแต่พรรคการเมืองขนาดกลางก็ทำให้ต้องหา ‘คนนอก’ อย่างพลเอกเปรมขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรี
“เมื่อก่อนนี้ก็ต้องพูดกันตรงๆ ว่านักการเมืองไม่ได้สนใจเรื่องนโยบาย สนใจแต่การเข้าสู่ตำแหน่ง เวลาหาเสียงไม่ได้ขายนโยบายเป็นหลัก ก็มีแต่พรรคกิจสังคมนี่แหละที่พยายามเสนอนโยบาย ขณะที่พรรคขนาดกลางทุกพรรคก็หวังจะเป็นนายกฯ เมื่อมารวมกัน เขาต้องตีกันไม่ให้หัวหน้าพรรคใดพรรคหนึ่งขึ้นมาเป็นนายกฯ ไม่อย่างนั้นจะทำให้พรรคนั้นเด่นกว่าพรรคตัวเอง จึงทำให้ต้องหาคนกลาง
“ตัวอย่างที่เด่นชัดคือการเลือกตั้งปี 2526 เป็นการเลือกตั้งที่อยู่ภายใต้บทเฉพาะกาล แต่ว่าอีก 3 วันจะหลุด ตอนนั้นฝ่ายทหาร คือพลเอกอาทิตย์ กำลังเอก บีบให้เลือกตั้งก่อนหมดบทเฉพาะกาล เพราะเขาขอแก้รัฐธรรมนูญให้บทเฉพาะกาลมันยืด แต่ทำไม่สำเร็จ เขาก็บีบจนเลือกตั้งก่อนหมดบทเฉพาะกาล 3 วัน ผลออกมาไม่เป็นอย่างที่เขาคิด พรรคการเมืองสี่พรรคขนาดกลางได้ แต่ไม่มีพรรคไหนได้เสียงข้างมาก หัวหน้า 2 พรรคก็แย่งกัน คือพรรคชาติไทยกับพรรคกิจสังคม ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช กับประมาณ อดิเรกสาร 3 วันก่อนหมดบทเฉพาะกาล ส.ส. 60 คนไม่ได้สังกัดพรรค เพราะสมัยนั้นไม่ได้สังกัดพรรคก็ลงได้ แต่พอบทเฉพาะกาลยกเลิก ส.ส. ทุกคนต้องสังกัดพรรค ก็วิ่งหาพรรคกัน ย้ายพรรคกัน ปรากฏว่าผลเปลี่ยน”
“ผลเลือกตั้งครั้งแรก กิจสังคมมาที่หนึ่ง ชาติไทยแพ้สี่ห้าเสียง แต่พอ ส.ส. วิ่งกันไปมา ชาติไทยมาที่ 1 ร้อยกว่า พอดีเปรมพูดว่าไม่เอาแล้ว คุณประมาณกับคุณคึกฤทธิ์ก็สู้กันเต็มที่ ปรากฏว่าประมาณรวบรวมคะแนนได้มากกว่า ดึงประชากรไทยกับชาติประชาธิปไตย โหวตประธานสภาได้อุทัย พิมพ์ใจชน คึกฤทธิ์เห็นท่าไม่ดี ชนะกันอยู่ไม่กี่เสียง ไม่ต้องทำอะไรกันแล้ว ต้องนั่งคุมเสียงกัน เขาจึงเชียร์เปรม เชิญคุณเปรม”
“คุณเปรมบอกว่ามีข้อแม้หน่อยเดียวว่า อาจารย์ต้องเชิญผมต่อสาธารณะ แกก็พาดหัวสยามรัฐเลย ‘หม่อมป้าถามหาคุณเปรมอยู่ไหน’ ต่อมา กิจสังคมก็ต่อสายถึงประชากรไทย อยู่ฝั่งไหนก็ได้เป็นรัฐบาลเหมือนกัน แต่ถ้าอยู่กับฝั่งนี้อยู่นานนะ ทางนั้นอยู่ไม่นาน ถ้าทหารเขาไม่เอาด้วย ประชากรไทยก็มาเลย แต่คุณสมัครก็โทรไปบอกคุณประมาณเองว่าผมต้องไปเชียร์ทางนั้นแล้วนะ ถ้าคุณประมาณอยากเป็นรัฐบาลต้องไปเชียร์ทางนั้น”

ส.ว.แต่งตั้งคุมการเมืองยุคประชาธิปไตยครึ่งใบ

สุขุม กล่าวว่า ในยุคนั้น ข้าราชการสามารถเป็น ส.ว. ได้ มาจากการแต่งตั้งโดยนายกรัฐมนตรีคนเดียว พลเอกเกรียงศักดิ์เป็นคนตั้ง ส.ว. ชุดแรก อำนาจของ ส.ว. ตอนนั้นมีอยู่ 2 ช่วง ช่วงแรกมีอำนาจเท่ากับ ส.ส. คือร่วมโหวตในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ โหวตเลือกนายกรัฐมนตรี รวมทั้งโหวตกฎหมายสำคัญๆ และการแก้รัฐธรรมนูญ กล่าวได้ว่าเป็นดุลพินิจของรัฐบาลที่จะให้ ส.ว. ร่วมโหวตในเกือบทุกเรื่อง ส่วนช่วงที่ 2 ส.ว. เหลือเฉพาะหน้าที่กลั่นกรองกฎหมายเท่านั้น แต่ ส.ว. ก็ยังมีบทบาทสูงในทางการเมือง
“ก็ตัวประธานรัฐสภามาจาก ส.ว. สมัยก่อนการเลือกนายกฯ ไม่ได้ระบุว่าต้องทำในที่ประชุมสภา อย่างตอนปี 2526 ที่คุณอุทัยได้เป็นประธานสภาผู้แทน คุณจารุบุตร เรืองสุวรรณ เป็นประธานวุฒิสภาและก็เป็นประธานรัฐสภาด้วย คุณอุทัยออกมาบอกว่าเดี๋ยวเราจะประชุมเลือกนายกฯ กันแล้วเอาชื่อไปให้ประธานรัฐสภาเพราะต้องเป็นคนรับสนองพระบรมราชโองการ คุณจารุบุตรบอก เปล่า ผมไม่มีสิทธิ์เรียกประชุม ส.ส. ผมเป็นคนหานายกฯ เพราะฉะนั้นขอให้หัวหน้าพรรคมาเสนอชื่อกับผมว่าจะให้ใครเป็นนายกฯ ผมจะดูคะแนนตามที่พรรคต่างๆ เสนอ คือเขาไม่ให้ประชุมสภาผู้แทนเพื่อเลือกนายกฯ”
“เรื่องวิ่งเต้นเป็น ส.ว. ไม่ต้องห่วงเลย ทุกยุคทุกสมัย ยุคผม ผมไม่ทราบหรอกครับว่าเขาวิ่งเต้นกันยังไง แต่ว่าก็เคยทราบมา เช่น อาจารย์บางคนในมหาวิทยาลัยที่ไม่ได้เป็นอธิการบดีก็ได้เป็น ส.ว. มีคนพูดว่า อาจารย์ไม่รู้เหรอว่าเขาทำยังไงถึงได้เป็น เขาไปกราบเมียของของนายพลคนหนึ่ง ปวารณาตัวรับใช้ ซึ่งบางทีเราก็นึกไม่ถึงว่าคนเราจะขายศักดิ์ศรีได้ถึงขนาดนั้น”

พรรค ส.ว. พรรคใหญ่สุดหลังรัฐธรรมนูญ 2559

รศ.สุขุม วิเคราะห์ว่า ตอนนี้ สิ่งที่ผู้ถืออำนาจพยายามทำคือไม่ให้พรรคเพื่อไทยมีโอกาสเป็นรัฐบาล ซึ่งด้วยระบบเลือกตั้งที่วางเอาไว้ไม่สนับสนุนให้มีพรรคขนาดใหญ่ พรรคที่จะมีที่นั่งมากสุดก็ไม่น่าเกินร้อยหกสิบ ร้อยเจ็ดสิบ แต่การจะเป็นรัฐบาลพรรคเดียวต้องมีที่นั่ง 260 ขึ้นไป
“ผมไม่แน่ใจว่าพรรคการเมืองขนาดกลางจะมีอำนาจต่อรองเพิ่มขึ้นหรือเปล่า แต่ผมว่าจะทำอะไรไม่ค่อยได้ ถ้ารัฐธรรมนูญผ่าน แล้วมีการเลือกตั้ง มันจะได้รัฐบาลที่ว่านอนสอนง่าย รัฐบาลที่จะถูกควบคุมโดย ส.ว. ถ้า ส.ว. มองดูว่าไม่เป็นไปตามยุทธศาสตร์ที่เขาร่างไว้และกำหนดให้รัฐบาลต้องรายงานทุก 3 เดือน ถ้าไม่ทำก็ร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ จบ รอบนี้ ดูแล้วเขาจะใช้ ส.ว. นี่แหละ ไม่ให้นายกฯ ไม่ให้รัฐมนตรีกระดิกได้ ในยุคชาติชายไม่มีกฎบังคับว่ารัฐบาลต้องทำอะไรบ้าง แต่รอบนี้มียุทธศาสตร์บอกว่าต้องทำอะไรๆ บ้าง คือถ้า คสช. ตั้งนายกฯ เองอาจจะถูกต่อต้าน จึงมาใช้วิธีคุมด้วยกฎ แล้วเอาองค์กรมากำกับ ก็ต้องคอยดูกันว่าอีกฝั่งเขาจะดิ้นยังไง ถ้าเขาได้ขึ้นมา”
“การเมืองไทยหลังรัฐธรรมนูญ 2559 พรรค ส.ว. น่าจะเป็นพรรคที่ใหญ่ที่สุด เพียงแต่ว่าเขาใช้ในทางนิติบัญญัติและควบคุม ไม่ได้ใช้อำนาจบริหาร”
“วันก่อนมีคนให้ผมไปทอล์คโชว์เรื่องประเทศไทยก้าวไปข้างหน้า ผมบอกว่าถ้าผมปิดตาทุกคน แล้วเดินจูงไป ท่านทั้งหลายก็จะรู้สึกว่าก้าวไปข้างหน้า แต่ทันทีที่ผมเปิดผ้าปิดตาออก พวกท่านก็จะหันมาต่อว่าผม ทำไมพามาเจอของเก่าแบบนี้ เพราะมันไม่ได้ก้าวไปข้างหน้า แต่เดินเป็นวงกลม”
หน้าตาการเมืองไทยมีโอกาสย้อนหลังกลับสู่ปี 2521 ถึงแม้อำนาจหน้าที่ของ ส.ว. ในร่างรัฐธรรมนูญ 2559 กับในยุคประชาธิปไตยครึ่งใบจะมีความแตกต่างกันในรายละเอียด แต่หลักการแย่งยื้ออำนาจจากนักการเมืองและการควบคุมการเมืองไม่ได้แตกต่างกัน ทว่า สิ่งที่เปลี่ยนไปอย่างชัดเจนคือบริบทแวดล้อมต่างจากเมื่อ 40 ปีก่อนมาก คำถามคือระบบการเมืองที่ถอยหลังไป 4 ทศวรรษจะตอบโจทย์ประชาชนได้อย่างไร และหากตอบไม่ได้ มันจะนำไปสู่อะไร