วันเสาร์ที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

Old Dog Never Dide

"วสิษฐ-แก้วสรร" ล่าชื่อปฏิเสธปาฐกถาอูลานบาตอร์ของนายกรัฐมนตรี

           "วสิษฐ เดชกุญชร" และ "แก้วสรร อติโพธิ" นำขบวนล่าชื่อในเว็บไซต์ change.org ปฏิเสธปาฐกถาอูลานบาตอร์ของนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร เผยให้โลกเข้าใจว่าไทยกำลังอยู่ภายใต้การคุกคามข่มเหงรังแกของระบบเผด็จการทุนนิยมสามานย์
           11 พ.ค. 56 - ผู้สื่อข่าวรายงานว่าได้มีแคมเปญ "ร่วมลงชื่อปฏิเสธปาฐกถาอูลานบาตอร์ของนายกรัฐมนตรี" ในเว็บไซต์ change.org ซึ่งมีข้อความระบุว่าพลตำรวจเอก วสิษฐ เดชกุญชร และ นายแก้วสรร อติโพธิ เป็นผู้เชิญชวนให้ร่วมลงนามในจดหมายเปิดผนึก โดยมีเนื้อหาดังต่อไปนี้
ขอเชิญลงนามจดหมายเปิดผนึก ปฏิเสธปาฐกถาอูลานบาตอร์ของนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร
             Please sign the following petition, an Open Letter from Concerned Thai Citizens informing the "Community of Democracies" that Ms Yingluck Shinawatra is not a representative of Thai democracy, not a representative of the truth, and not a responsible representative of the Thai people at all.
             ปาฐกถาอูลานบาตอร์ ณ ประเทศมองโกเลียของ นส.ยิ่งลักษณ์  เมื่อ ๒๙ เมษายน นี้   แท้ที่จริงคือความจงใจที่จะบิดเบือนสร้างภาพให้สากลเข้าใจผิดว่าขบวนการล้มล้างการปกครองโดยรัฐธรรมนูญ ที่ระบอบชินวัตรกำลังทุ่มเทเหยียบย่ำศาลรัฐธรรมนูญอยู่ในทุกวันนี้เป็นการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยของครอบครัวชินวัตรและบริวาร  แม้จะมีเสียงคัดค้านท้วงติงปาฐกถานี้สักเพียงใด  นางและบริวารก็กลับบิดเบือนปิดปากโดยยืมมือตำรวจเข้าจัดการด้วยข้อหาต่าง ๆ ดังเช่นที่คุณชัย ราชวัตร ได้ประสบอยู่อย่างไม่เป็นธรรมในทุกวันนี้
          เราเห็นด้วยกับปาฐกถาส่วนหนึ่งของนายกฯยิ่งลักษณ์ ที่กล่าวว่า"คำว่า ไทย หมายความว่า อิสระ"  ดังนั้นเราเชื่อว่าคนไทยไม่ใช่ทาสหรือ"หุ่นเชิด" 
           บัดนี้ถึงเวลาแล้วที่คนไทยผู้รักชาติบ้านเมืองจะลุกขึ้นยืนต่อสู้กับครอบครัวนี้  โดยเริ่มจากการร่วมกัน”ทำความจริงให้ปรากฏ” เพื่อให้โลกเข้าใจว่า เรากำลังอยู่ภายใต้การคุกคามข่มเหงรังแกของระบบเผด็จการทุนนิยมสามานย์เช่นไร
        พลตำรวจเอก วสิษฐ เดชกุญชร และ นายแก้วสรร อติโพธิ  จึงขอเชิญทุกท่านร่วมลงนามในจดหมายเปิดผนึกถึง ประชาคมประชาธิปไตย และประเทศสมาชิก  กับคณะทูตในประเทศไทยเพื่อปฏิเสธปาฐกถา อันไร้ยางอาย ของนส.ยิ่งลักษณ์  โดยเข้าไปลงนามเห็นด้วยโดยกรอกข้อมูลของท่านในช่องว่างในกรอบทางด้านขวามือของหน้านี้แล้วกดปุ่มสีแดงที่มีสัญลักษณ์ "Sign >" หรือ "ร่วมลงชื่อ >" เมื่อได้รายชื่อครบหนึ่งพันชื่อเมื่อใด ผู้ประสานงานทั้งสองก็จะทยอยส่งจดหมายและรายนามไปให้ประชาคมและผู้เกี่ยวข้องเป็นลำดับทุกหนึ่งพันชื่อ
          เพื่อความเป็นส่วนตัว Website change.org นี้จะไม่แสดง email address ของทุกท่านให้ผู้อื่นเห็นหลังจากที่ท่านได้ร่วมลงชื่อแล้ว  (อับอายขายขี้หน้าเหรอ) 
ด้วยจิตคารวะ ต่อระบอบอัมหมาด
ในกรอบสี่เหลี่ยมข้างล่างนี้ ประกอบด้วยข้อความเรียงตามลำดับหัวข้อต่อไปนี้
  • 1) จดหมายเปิดผนึกเป็นภาษาไทยถึง Community of Democracies
  • 2) จดหมายเปิดผนึกเป็นภาษาอังกฤษถึง Community of Democracies (Open Letter: English version)
  • 3) เอกสารอ้างอิง คำแปลปาฐกถาพิเศษ นายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร การประชุมประชาคมประชาธิปไตย อูลานบาตอร์, มองโกเลีย 29 เมษายน 2556
  • 4) Appendix: ปาฐกถาพิเศษ นายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร การประชุมประชาคมประชาธิปไตย อูลานบาตอร์, มองโกเลีย 29 เมษายน 2556 ที่กล่าวเป็นภาษาอังกฤษ (Original PM speech in English)

ม็อบสนามหลวง

ม็อบสนามหลวง

  

 


         ตั้งแต่วันที่ 7 พฤษภาคม 2556 ที่ท้องสนามหลวง กลุ่มภาคีเครือข่ายประชาชน แกนนำ โดยนาย ไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ ในฐานะโฆษกเครือข่ายภาคประชาชน แถลงข่าวว่า เครือข่ายภาคประชาชนฯ ซึ่งประกอบด้วย กลุ่มธรรมาธิปไตย ซึ่งเป็นกลุ่มกองทัพปลดแอกประชาชนเพื่อประชาธิปไตย, กลุ่มสภาเกษตรกรไทยแห่งชาติ, กลุ่มสมาพันธ์เกษตรกรไทย และ แนวร่วมคนไทยรักชาติรักษาแผ่นดิน ออกมาบอกว่าจะต้านศาลโลกคดีพระวิหาร และให้กำลังใจศาลรธน.ได้ปักหลักสร้างบ้านพัก ห้องครัว เวทีใหญ่ และห้องน้ำสุขาเคลื่อน ในพื้นที่ของท้องสนามหลวง
http://www.chaoprayanews.com/wp-content/uploads/2011/03/554000003323701.jpeg

          
จาก เหตุการณ์ ดังกล่าว นายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ แกนนำแนวร่วมคนไทยรักชาติรักษาแผ่นดินใน ฐานะโฆษก เครือข่ายภาคีประชาชน กล่าวว่าจะรวบรวมรายชื่อประชาชน ให้ได้ 5ล้านรายชื่อ โดยจะนำรายชื่อดังกล่าวส่งไปยังเลขาธิการสหประชาชาติ คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ และตุลาการศาลโลก 

       
นายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ กล่าวต่อว่า "จะปักหลักอยุ่ที่สนามหลวงจนกว่ารัฐบาลและรัฐสภาจะออกจากการทำหน้าที่ เมื่อไรที่รัฐบาลและรัฐสภาออก จากการท่าหน้าที่เมื่อใด พวกตนก็จะเดินทางกลับเมื่อนั้น"

ท้องสนามหลวง หรือ สนามหลวง เป็นสนามขนาดใหญ่ ตั้งอยู่ด้านหน้าวัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฏิ์ ระหว่างพระบรมมหาราชวังกับพระราชวังบวรสถานมงค กรุงเทพมหานคร เดิมเรียกว่า ทุ่งพระเมรุ เนื่องจากใช้เป็นที่ถวายพระเพลิงพระบรมศพพระเจ้าแผ่นดิน และพระบรมวงศานุวงศ์

        
ซึ่งในปี พ.ศ. 2554 กทม. ได้ออกกฎหมายไม่อนุญาตให้ใช้สนาม เป็นสถานที่จัดกิจกรรมทางการเมืองใด เพื่อสงวนไว้สำหรับประกอบพระราชพิธีเท่านั้น 

  • ข้อห้ามในการใช้พื้นที่ อาทิ ห้ามขายหรือจำหน่ายสินค้า หรือให้เช่าหรือบริการใดๆ ทุกชนิด ห้ามนอน หรือประกอบกิจการนวด ห้ามทิ้งสิ่งปฏิกูลหรือมูลฝอย ห้ามถ่ายอุจจาระหรือปัสสาวะ ห้ามอาบน้ำหรือซักล้างสิ่งใดๆ 
  • ห้าม ขูด กะเทาะ ขีด เขียน พ่นสี หรือทำให้ปรากฏซึ่งข้อความหรือรูปรอยใดๆ บนรั้วกำแพง ต้นไม้หรือสิ่งค้ำยันต้นไม้ หรือทรัพย์สินของทางราชการ ห้ามโค่นต้นไม้ ตัด เด็ด หรือทำให้เกิด ความเสียหาย
  • ห้าม ปีนป่าย นั่ง หรือขึ้นไปบนรั้ว กำแพง ต้นไม้หรือสิ่งค้ำยันต้นไม้ ห้ามเล่นฟุตบอล ตะกร้อ หรือจัดการแข่งขันกีฬาใดๆ ยกเว้นได้รับอนุญาต 
  • ห้าม เล่นการพนันทุกชนิด ห้ามดื่มสุรา น้ำเมา หรือใช้สารเสพติด ห้ามจอดรถทุกชนิด พร้อมขอความร่วมมือ ให้ช่วยในการรักษาความสะอาดไม่ทิ้งขยะลงพื้น หากพบผู้ฝ่าฝืนมีโทษปรับไม่เกิน 1,000 บาท 
  • ใน กรณีที่ไม่สามารถชำระค่าปรับได้ ต้องบำเพ็ญประโยชน์ด้วยการเก็บขยะจำนวน 100 ชิ้น แทนการเสียค่าปรับ ซึ่งมีพระราชบัญญัติโบราณสถานคุ้มครอง และกำหนดโทษผู้ใดฝ่าฝืนหรือบุกรุกมีโทษจำคุก 10ปี หรือปรับเป็นเงิน 1ล้านบาท โดยทางกทม.ได้จัดตั้งศูนย์รักษาความปลอดภัย ในพื้นที่ท้องสนามหลวงโดย มีเจ้าหน้าที่ เทศกิจประจำการ 60คน ปฏิบัติงานตลอด 24ชั่วโมง ผลัดละ 3 รอบ รอบละ 20 คน ประจำจุดสังเกตุความเคลื่อนไหวจากกล้อง cctv 42ตัว ครอบคลุมทั่วสนามหลวง และมีหน่วยจักรยานยนต์สังเกตุการณ์ทุกชั่วโมง


       
แต่อย่างไรก็ตามทางด้านนักวิชาการกลับออกมาคัดค้านการกระทำของกทม.ดังกล่าว  นักวิชาการยก "สนามหลวง" เป็นสนามรบต่อสู้เชิงอุดมการณ์ เปรียบเสมือนห้องเรียนการเมือง ภาคประชาชน ชี้เป็นสมบัติสาธารณะ ไม่ควรทำอะไรตามอำเภอใจ ด้านนายสุวพร เจิมรังสี ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพระนครกล่าวว่า "ที่ผ่านมาหลักเกณฑ์การขอ ใช้พื้นที่สนามหลวง หละหลวมมาก ใครจะเข้ามาจัดงานอะไรก็ทำได้ง่ายๆ แต่หลักเกณฑ์ใหม่จะ มีความเข้มงวด มากยิ่งขึ้น เพื่อรักษาความเป็นระเบียบเรียบร้อยและคงคุณค่าความเป็นมรดก ทางวัฒนธรรม ชาติ เนื่องจากสนามหลวงได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถาน ซึ่งมีกฎหมาย คุ้มครองดูแล ไม่ให้สนามหลวงมีสภาพเละเทะอีกต่อไป" รศ.พิชญ์ พงษ์สวัสดิ์ อาจารย์ประจำภาควิชาการ ปกครอง คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ยังกล่าวอีกว่า “สนามหลวงเป็นสมบัติของประเทศ ชาติ เป็นขุมทรัพย์แห่งความรู้ทางการเมืองของคนไทย ไม่ใช่เป็นสมบัติของ กทม. ซึ่งควรจะพิจารณาหลักเกณฑ์การขอใช้พื้นที่สนามหลวง ให้เกิดประโยชน์ต่อสาธารณะ ไม่ใช่ร่าง ระเบียบเพื่อกลั่นแกล้งกัน”



      
จากการที่กลุ่มผู้ชุมนุม ได้มาปักหลักที่ท้องสนามหลวง โดยไม่ได้ขออนุญาตจากสำนักงานเขต พระนคร ซึ่งผิดต่อกฎหมาย ข้อห้ามในการใช้สนามหลวงในการชุมนุม ซึ่งทำให้ประชาชนส่วน ใหญ่ ต่างพากันวิพากษ์วิจารณ์ ถึงการกระทำของ กทม..กันหนาหู ทางรองผู้ว่าฯ กทม. พล.ต.อ อัศวิน ขวัญเมือง ได้เดินทางมายังสนามหลวง เพื่อต้องการการ ให้กลุ่มผู้ชุมนุมย้ายออกจากพื้นที่ ก่อนวันที่ 13 พฤษาคม เพราะต้องใช้พื้นที่ท้องสนามหลวง ในพระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ นาย ไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ กล่าวต่อ จะปักหลักอยุ่ที่สนามหลวงจนกว่ารัฐบาลและรัฐสภาจะออก จากการทำหน้าที่ เมื่อไรที่รัฐบาลและรัฐสภาออก จากการท่าหน้าที่เมื่อใด พวกตนก็จะเดินทางกลับเมื่อนั้น

(สนามหลวงเป็นสถานที่ ที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนาน เป็นสมบัติของชาติ และเป็นของประชาชนทั่วไป)