วันอังคารที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2554

*การปฏิวัติสยาม พ.ศ. 2475 


คือการปฏิวัติเพื่อเปลี่ยนแปลงการปกครองของประเทศไทยจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ไปเป็นระบอบประชาธิปไตย โดยคณะราษฎร ในวันที่ 24 มิถุนายนพ.ศ. 2475  
การเตรียมการเปลี่ยนแปลง



คณะราษฎรได้มีการประชุมเตรียมการหลายครั้ง รวมถึงได้มีการล้มเลิกแผนการบางแผนการ เช่น การเข้ายึดอำนาจในวันพระราชพิธีถือน้ำพิพัฒน์สัตยาซึ่งตรงกับวันที่ 16 มิถุนายน แต่เนื่องจากมีความเสี่ยงสูง จนกระทั่งสุดท้ายได้ข้อสรุปว่าจะดำเนินการในเช้าวันศุกร์ที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 ซึ่งเป็นช่วงที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จประทับที่วังไกลกังวล ทำให้เหลือข้าราชการเพียงไม่กี่คนอยู่ในกรุงเทพทำให้สามารถหลีกเลี่ยงการปะทะรุนแรงที่เสียเลือดเนื้อได้


ในการวางแผนดังกล่าวกระทำที่บ้าน ร.ท. ประยูร ภมรมนตรี ในวันที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2475 โดยมีเป้าหมายสำคัญในการวางแผนควบคุมสมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระนครสวรรค์วรพินิต ซึ่งเป็นผู้สำเร็จราชการรักษาพระนคร โดยมีการเลื่อนวันเข้าดำเนินการหลายครั้งเพื่อความพร้อม

หลังจากนั้นยังได้มีการประชุมกำหนดแผนการเพิ่มเติมอีกที่บ้านพระยาทรงสุรเดช โดยมีการวางแผนว่าในวันที่ 24 มิถุนายนจะดำเนินการอย่างไร และมีการแบ่งงานให้แต่ละกลุ่ม แบ่งออกเป็น 4 หน่วยด้วยกัน คือ



  • หน่วยที่ 3 เป็นหน่วยปฏิบัติการเคลื่อนย้ายกำลัง ซึ่งทำหน้าที่ประสานทั้งฝ่ายทหารบกและทหารเรือ เช่น ทหารเรือจะติดไฟเรือรบ และเรือยามฝั่ง ออกเตรียมปฏิบัติการณ์ตามลำน้ำได้ทันที

  • หน่วยที่ 4 เป็นฝ่ายที่เรียกกันว่า "มันสมอง" มี นายปรีดี พนมยงค์ เป็นหัวหน้า ทำหน้าที่ร่างคำแถลงการณ์ ร่างรัฐธรรมนูญ และหลักกฎหมายปกครองประเทศต่าง ๆ รวมทั้งการเจรจากับต่างประเทศเพื่อทำความเข้าใจภายหลังการปฏิบัติการสำเร็จแล้ว
แม้ว่าทางคณะราษฎรจะพยายามที่ทำลายหลักฐานต่าง ๆ แล้ว ยังมีข่าวเล็ดรอดไปยังทางตำรวจ ซึ่งได้ออกหมายจับกลุ่มผู้ก่อการ 4 คน คือ หลวงประดิษฐ์มนูธรรม  พ.ต. หลวงพิบูลสงคราม  ร.ท. ประยูร ภมรมนตรี และ นายตั้ว ลพานุกรม อย่างไรก็ตามเมื่อนำเข้าแจ้งแก่สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระนครสวรรค์วรพินิต ก็ถูกระงับเรื่องไว้ก่อน เนื่องจากไม่ทรงเห็นว่าน่าจะเป็นอันตราย และให้ทำการสืบสวนให้ชัดเจนก่อน
การยึดอำนาจในวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475
เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2475 คณะราษฎรได้ใช้กลลวงนำทหารบกและทหารเรือมารวมตัวกันบริเวณรอบ พระที่นั่งอนันตสมาคม ประมาณ 2,000 คนตั้งแต่เวลาประมาณ 5 นาฬิกา โดยอ้างว่าเป็นการสวนสนาม จากนั้นนายพันเอกพระยาพหลพลพยุหเสนา ได้อ่าน ประกาศคณะราษฎร ฉบับที่ ๑ ณ บริเวณลานพระบรมรูปทรงม้า เสมือนประกาศยึดอำนาจการปกครอง ก่อนจะนำกำลังแยกย้ายไปปฏิบัติการต่อไป
หลักฐานประวัติศาสตร์ในเหตุการณ์ครั้งนี้ เป็นมุดทองเหลืองฝังอยู่กับพื้นถนนบนลานพระบรมรูปทรงม้าด้านสนามเสือป่า ณ ตำแหน่งที่พระยาพหลพลพยุหเสนาอ่านประกาศคณะราษฎร นิยมเรียกกันว่าหมุดคณะราษฎร มีข้อความว่า "ณ ที่นี้ ๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕ เวลาย่ำรุ่ง คณะราษฎรได้ก่อกำเนิดรัฐธรรมนูญเพื่อความเจริญของชาติ"
ในยุคนั้น ถือเอาวันที่ 24 มิถุนายน เป็นวันชาติไทย และมีการประพันธ์เพลง "วันชาติ 24 มิถุนา" โดยครูมนตรี ตราโมท ไว้ด้วย
(ข้อมูลจากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี)

อนาคตแห่งความทรงจำของ 24 มิถุนา 2475

 ปัจจุบันคนไทยทั่วไป แทบลืมความสำคัญ ของวันอภิวัฒน์เปลี่ยนแปลงระบอบการปกครอง จากสมบูรณาญาสิทธิราชย์ สู่ระบอบประชาธิปไตยอันมีรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดไปจนเกือบสิ้น

24 มิถุนายน 2475 เมื่อ 72 ปีที่แล้วคือ วันอภิวัฒน์ วันที่กลุ่มคณะราษฎรซึ่งมีผู้ก่อการส่วนใหญ่เป็นทหาร ข้าราชการ 
(รวมถึงพ่อค้า ชาวนามีฐานะบางคน)100 กว่านาย ได้ยึดอำนาจจากสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 ได้อย่างมิต้องหลั่งเลือดเหมือนในรัสเซียหรือที่อื่นๆ

นักประวัติศาสตร์จำนวนมากเห็นตรงกันว่า 24 มิถุนา คือ
 วันเกิดของรัฐประชาชาติสมัยใหม่ (modern nation state) ซึ่งต่างจากรัฐในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ซึ่งอำนาจรวมศูนย์ ไม่มีระบบคานอำนาจตรวจสอบ พระราชาตรัสอะไรก็กลายเป็นกฎหมายไปเสียหมด มิหนำซ้ำการแบ่งชนชั้นยังเป็นไปอย่างชัดเจน ขึ้นอยู่กับว่าคนผู้นั้นมีบุญหรือกรรมเกิดมาเป็นลูกของเจ้าหรือชาวนา

เป็นที่น่าเศร้าว่าในปีนี้ 72 ปีผ่านไปซึ่งเป็นวาระครบหกรอบ ผู้ที่มาชุมนุมตอนเช้าตรู่ของวันพฤหัสฯ ที่ 24 ที่ผ่านมาเวลา 6 โมงเช้าที่หมุดอภิวัฒน์ 2475 ณ ลานพระบรมรูปทรงม้ามีเพียงประมาณ 20 คน ในขณะที่ช่างภาพและนักข่าวมีมาถึง 30 คนซึ่งมากกว่าผู้มารำลึกเสียอีก

ดูเหมือนว่ามนุษย์มักจำในสิ่งที่จำแล้วได้ประโยชน์หรือสบายใจ ในภาวะปัจจุบันที่กระแสเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ฟูเฟื่องเช่นนี้ การจดจำอดีตแห่งการเผชิญหน้าระหว่าง "ไพร่" กับ "เจ้า" จึงเป็นเรื่องที่อาจทำให้หลายคนรู้สึกพะอืดพะอม ลำบากใจพิลึก

หลายคนมักพูดว่าคนไทยนั้นความจำสั้น ขี้ลืม ไม่สนใจต่ออดีต อันนี้คำตอบคงเป็นทั้งใช่และไม่ใช่

ใช่ ..หากจะดูว่าผู้มาร่วมรำลึกน้อย แถมสื่อส่วนใหญ่มิได้สนใจเขียนหรือรายงานเสนอเรื่องนี้เลย ไม่ว่าจะเป็นหนังสือพิมพ์หรือทีวีก็ตามแต่

แต่..ไม่ใช่ เพราะประวัติศาสตร์นั้นมักถูกเลือกสรรโดยผู้มีอำนาจอิทธิพลในปัจจุบันว่าอะไรสมควรจำไม่จำ ยกตัวอย่างการผลิตซ้ำความเกลียดชังต่อพม่าซึ่งตีอยุธยาแตกถึง 2 ครั้ง มีการตอกย้ำออกมาในรูปแบบละครทีวี ไม่รู้กี่เวอร์ชั่น (ปัจจุบันชมเรื่อง "ฟ้าใหม่" ได้) จนประชาชนสับสนไม่รู้อะไรจริงเท็จแต่เชื่อแน่ๆ ว่าพม่า "โหดร้าย" เพราะฉะนั้นการลืมเรื่องเหตุการณ์มิถุนา 2475 ซึ่งผ่านไปยังไม่ถึง 80 ปี ในขณะที่สงครามกับพม่าผ่านมาสองสามร้อยปีก็ยังจำได้ จึงมิใช่เหตุบังเอิญ

(ในกรณีสงครามระหว่างไทย-พม่านั้น นักมานุษยวิทยาบางคนเห็นว่าการสร้างศัตรูร่วมเป็นการเสริมสร้างความสามัคคีในชาติไปในตัว)
สิ่งที่น่าจะถาม จึงเป็นว่า เราควรจำวันที่ 24 มิถุนาอย่างไร และจําไปเพื่ออะไร อดีตมีไว้เพียงเพื่อรับใช้ปัจจุบันกระนั้นหรือ?
แท้จริงแล้วการจำหรือไม่จำอะไรบอกเราเกี่ยวกับปัจจุบันมากกว่าอดีตเสียอีก...หรือท่านผู้อ่านว่าไม่จริง?
นักประวัติศาสตร์ฝ่ายก้าวหน้ามักจะรำพึงรำพันว่า พื้นที่สำหรับความทรงจำเรื่องการอภิวัฒน์ 2475 นั้นมีน้อยเพียง 2-3 บรรทัดในตำราประวัติศาสตร์ระดับมัธยมปัจจุบัน แถมมีการตีความกันแบบยัดเยียดความทรงจำอันน้อยนิดนี้ให้เพียงชุดเดียว อันได้แก่ ชุดที่ว่ารัชกาลที่ 7 ท่านทรงเตรียมพระราชทานรัฐธรรมนูญให้อยู่แล้ว แต่พวกคณะราษฎรชิงสุกก่อนห่ามไปเองเสียก่อน (ทุกวันนี้หน้ารัฐสภา จึงมีแต่รูปปั้นพระปกเกล้า หามีรูปปั้นผู้นำคณะราษฎรด้วยไม่)แทนที่จะมีหลายชุด หลายเวอร์ชั่นของประวัติศาสตร์ มาแข่งกันให้เยาวชนไทยได้คิดตั้งคำถามและเรียนรู้จากอดีต

ยกตัวอย่างเรื่องชิงสุกก่อนห่ามนั้น คงขึ้นอยู่กับว่ามองจากมุมมองของใคร มุมมองของเจ้าผู้มีอภิสิทธิ์ หรือมุมมองของผู้ถูกกดขี่ด้อยอำนาจ หรือแม้กระทั่งมุมมองของผู้ด้อยอำนาจถูกกดขี่แต่พอใจในระบบอุปถัมภ์ เป็นต้น ประเด็นจึงอยู่ที่ว่า "สุก" ของใคร "ห่าม" ในสายตาของผู้ใดเสียมากกว่า

อย่างไรก็ตาม ความหมายของวันที่ 24 มิถุนา 2475 ไม่น่าจะอยู่คงที่ความจำ (หรือลืมเลือน) ต่อเหตุการณ์ 24 มิถุนา 2475 ... ในอีก 50 ปีข้างหน้าอาจจะต่างจากปัจจุบันที่ไร้ผู้คนสนใจ หากปัจจัยและสภาพสังคมในอีก 50 ปีข้างหน้าเปลี่ยนไป (ซึ่งมันก็คงจะเปลี่ยน)

มนุษย์ดูเหมือนจะถูกจำกัดโดยกาล (time) และเทศะ (space) กาลหรือยุคสมัยที่เราดํารงอยู่พยายามจำกัดให้เราคิดเหมือนคนส่วนใหญ่ ในยุคเราเช่นอาทิตย์นี้น่าจะสนใจติดตามฟุตบอลยูโร ซึ่งกำลังแข่งอยู่ หรือเหตุการณ์ฆ่าคุณเจริญ วัดอักษร นักอนุรักษ์คนสำคัญแห่งจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ฯลฯ ในขณะที่เทศะนั้นพยายามหล่อหลอมเราให้มีสำนึกเหมือนคนอื่นๆ ในท้องที่สังคมชาติที่เราถือกำเนิดและเติบโต เพราะฉะนั้นเราคนไทยมักจะไม่ไว้ใจพม่าและตีแขกก่อนงู เป็นต้น

คนส่วนใหญ่ในปัจจุบันจึงมักจำ (หรือไร้ความทรงจำ) ต่อเหตุการณ์อภิวัฒน์ 2475 อย่างที่เป็นปัจจุบันสภาพของสังคมไทยกําหนด ต่างจากกาลและเทศะของเมืองไทยปี 2481 ถึง 2502 ซึ่งในช่วงนั้นทุกวันที่ 24 มิถุนาถือเป็นวันชาติไทยอันสำคัญ ก่อนมาถูกกระทำให้ลืมโดยเผด็จการชื่อจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ในปี 2503
ประวิตร โรจนพฤกษ์

วันศุกร์ที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2551*
ดอกไม้เหล็ก’ แห่งอิระวดี - ดอกทองกาลี’ แห่งเจ้าพระยา!
http://www.truedemoc.com/?name=knowledge&file=readknowledge&id=82
วาทตะวัน สุพรรณเภษัช

        เมื่อเร็วๆนี้ ได้ข่าวว่าดาราสาวใหญ่ชาวมาเลเซียที่มีชื่อเสียง มิเชล โยว (Michel Yeow) เดินทางเข้าพม่า เพื่อหารือกับ คุณอองซาน ซูจี (เกี่ยว กับภาพยนตร์อัตชีวประวัติของยอดหญิงนักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย ระดับรางวัลโนเบลของพม่า ซึ่งมิเชล โยว ต้องรับบทของวีรสตรีท่านนี้


        การ ที่มิเชล โยว ซึ่งอายุ 48 ปี มารับบทของคุณอองซาน ซูจี ซึ่งปัจจุบันอายุ 65 ปี แล้ว (เธอเกิด 1945) ส่วนตัวผมเห็นว่า เมื่อหนังสร้างเสร็จหนัง คงจะดูไม่ขัดเขินแต่อย่างใด เพราะสตรีผู้ที่โลกให้ความสำคัญ และสื่อทั่วโลกก็จับจ้องอย่างคุณ อองซาน ซูจี นั้น 
        แม้เจ้าตัวจะอยู่ในความทุกข์ระทม มายาวนานก็ตาม แต่น่าอัศจรรย์นัก ที่เธอกลับดูอ่อนกว่าวัย ไม่ดูเป็นคนสูงอายุเสียด้วยซ้ำไป นอกจากนั้น
 
        ยังเต็มไปด้วยความงามสง่า แบบคลาสสิคอีกด้วย!

        สำหรับ มิเชล โยว นั้น เป็นดาราที่สร้างความประทับใจให้ผม ตั้งแต่แสดงเป็นสาวเจมส์ บอนด์ เมื่อครั้ง เพียซ บรอสนัน (Pierce Brosnan)มาแสดงเป็น เจมส์ บอนด์ ตอน Tomorrow Never Die
 
        แต่ที่ผมชื่นชอบมาก ก็คือ
 
        การแสดงของมิเชล โยว ในหนังกำลังภายในนั้น ดูสมจริงสมจังมาก อาจเป็นเพราะเธอผู้นี้ มีประวัติเป็นผู้ฝึกฝนและรอบรู้ในด้านวิทยายุทธ์ ที่ใช้ในการแสดงหนังประเภทนี้เป็นอย่างดี ซึ่งท่านผู้อ่านที่เป็นคอหนัง คงไม่ลืม Crouching Tiger, Hidden Dragon ของ อังลี่ (Ang Li) ซึ่งได้รับรางวัลออสการ์ถึง รางวัล
        หนังเรื่องล่าสุดของเธอ ที่ผมเพิ่งดูไม่นาน ชื่อ "Rain of Swords" มีการบรรเลงเพลงดาบกันแบบคลาสสิคจริงๆ สมกับเป็นผลงานการสร้าง ของยอดฝีมือคือคุณ จอห์น วู (John Woo) นั่นเอง

        สำหรับคุณอองซาน ซูจีนั้น ผมเห็นจะไม่ต้องพูดถึงคุณภาพของเธอ เพราะคนไทยอย่างเราๆท่านๆ รู้จักกันดี
        ไม่น่าเชื่อว่า ผู้หญิงตัวเล็กๆคนนี้ ที่วางกริยาเรียบเฉย ไม่แสดงอาการหวาดหวั่น ทั้งๆที่ต้องทนทุกข์ทรมาน ต่อการคุกคามข่มขู่ และการพยายามเอาชีวิต มาได้นานกว่า ทศวรรษ 
 
        เธอต้องเผชิญทั้งการจับกุมคุมขัง แม้กระทั่งการถูกขังในเรือนจำ อินเส่ง” ที่ได้ชื่อว่าหฤโหดแห่งหนึ่งของโลก
        ล่าสุดคือการถูก กักบริเวณ” ในบ้านตัวเอง นานหลายปี!
 
        ผลแห่งการถูกอำนาจจากทางฝ่ายทหารกดดัน จะทำให้ผู้หญิงที่ชื่อ อองซาน ซูจี ย่นระย่อ ก็หาไม่
 
        เมื่อการต่อสู้ในระบอบประชาธิปไตย ในครั้งก่อน และประชาชนชาวพม่า ได้ออกไปลงคะแนนในคูหาเลือกตั้ง อองซาน ซูจี คนนี้แหละ ที่ได้พิสูจน์ให้โลกเห็น อย่างจะแจ้ง ว่า
        พรรคการเมืองที่มีผู้หญิงตัวเล็กๆอย่างเธอ เป็นผู้นำนั้น สามารถเอาชนะพรรคทหาร ที่มีอำนาจครอบงำประเทศพม่าติดต่อกันมานานนับสิบๆปี ได้อย่างขาดลอย
 
        ทหารพม่า ผิดหวัง’ ต่อผลการเลือกตั้ง และหาทางออกที่เหมาะสมไม่ได้...
        จึงต้อง...ล้มกระดาน!!

        นี่เองเป็นเหตุให้ คุณอองซาน ซูจี ผู้ชนะการเลือกตั้งในครั้งนั้น นอกจากไม่ได้เป็นผู้นำประเทศ และจัดตั้งรัฐบาลตามที่ประชาชนมีฉันทานุมัติ กลับต้องเผชิญชะตาชีวิตที่ยากลำบากอย่างเหลือแสน
 
        เธอต้องติดคุก และกักบริเวณเป็นเวลากว่าสิบปี
 
        สามีตายลงไป...เธอก็ไม่มีโอกาสได้ไป...ฝัง!
        ลูกก็ไม่ได้พบหน้ากันมาเนิ่นนาน ตั้งแต่เธอเริ่มเป็นผู้นำทางการเมือง ก็เพิ่งจะมีโอกาสได้เห็นกัน ไม่กี่วันมานี้เอง
        สุขภาพของตัวเธอเอง ก็ทรุดโทรมลง...
        ผู้หญิงที่หาญกล้าอย่างคุณ อองซาน ซูจี ต้องทนระทมทุกข์อยู่เป็นเวลานาน
 
        เพราะอะไรกัน?
 
        คำตอบง่ายๆ ก็คือ
        ผู้หญิงคนนี้ ต้องการเพียงให้บ้านเมืองของเธอ ปกครองโดยระบอบประชาธิปไตย เท่านั้น!!
        ผู้หญิงตัวเล็กๆ แต่หัวใจโตคนนี้ ต้องการให้ประชาชนชาวพม่า เลือกอนาคตของพวกเขาเองได้!!!
 
        ระยะเวลาอันยาวนานถึง 18 ปี นับตั้งแต่คุณอองซาน ซูจีจองจำครั้งแรก
 
        ผู้หญิงคนนี้ได้แสดงให้ทั่วโลกเห็นว่า
 
        ความแข็งแกร่งของเธอนั้น สื่อถึงกับยกย่องว่าเป็น
 
        “ดอกไม้เหล็ก"
        วันเวลาอันยาวนาน ได้พิสูจน์ธาตุทรหด ของวีรสตรีคนนี้!

        อองซาน ซูจี ได้สร้างความเกรงกลัว และความหวาดหวั่นสั่นประสาท และให้กับรัฐบาลทหารพม่า จนไม่อาจปล่อยให้นางเป็นอิสระได้ แม้อนาคตยังไม่แน่ชัดว่า
 
        เส้นทางการต่อสู้ของ ดอกไม้เหล็ก" ดอกนี้ จะบ่ายโฉมหน้าไปยังทิศทางใด โลกยังไม่ทราบชัด แต่เชื่อว่า
        ผู้หญิงแกร่งคนนี้ ตั้งใจมั่นที่จะต่อสู้ จนกว่าเธอจะสามารถปลดเปลื้องพันธนาการ ของระบอบเผด็จการทหาร ที่เหมือนแอกออกจากหลังของประชาชนชาวพม่า ให้พวกเขาได้มีชีวิตอย่างอิสระชน ภายใต้ระบอบประชาธิปไตย
 
        ที่ประชาชน...มีอำนาจสูงสุด!
        เธอจะต้องสู้ สู้ และสู้ จนกว่าจะสิ้นลมหายใจนั่นแหละ!!
 
        ผมมองเห็นว่า ผู้หญิงคนนี้ ยิ่งใหญ่’ เหลือเกิน!!!

        ผมชอบใจที่สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) เรียกคุณ ออง ซาน ซู จี ว่าเป็น
 
        “ดอกไม้เหล็ก แห่งลุ่มแม่น้ำอิระวดี
        อิระวดีเป็นแม่น้ำสำคัญสายหนึ่ง ที่หล่อเลี้ยงชาวพม่า ชื่อ
อิ ระวดี มาจากชื่อ นางอิราวดี (Iravati) มารดาของ ไอยราเทพบุตร (เอราวัณเทพบุตร หรือ ช้างเอราวัณ) มีความยาวถึง 2,170 กม. เป็นแม่น้ำสายหลัก ที่ไหลผ่านและผ่าใจกลางประเทศพม่า เปรียบเสมือนเส้นเลือดใหญ่สำคัญที่สุด ที่หล่อเลี้ยงชีวิตผู้คนทั้งประเทศ
        ความ สำคัญของอิรวดี เหมือนแม่น้ำเจ้าพระยาบ้านเรา แต่เจ้าพระยามีความยาวเพียง 372 กิโลเมตร หล่อเลี้ยงเฉพาะที่ลุ่มภาคกลางของประเทศเท่านั้น แต่ไหลผ่านทั้งกรุงศรีอยุธยา เมืองหลวงเก่าขอเราแต่ก่อน และ Bangkok เมืองหลวงปัจจุบันของไทยด้วย
        เป็นที่ประจักษ์ว่า โลกปัจจุบันนี้ มีสตรีจำนวนมาก ที่ สามารถผงาดขึ้นมาโดดเด่นบนเวทีโลก ในฐานะนำประเทศ แม้คุณอองซาน ซูจี จะยังไม่ได้เป็นผู้นำของประเทศเมียนมาร์ แต่บรรดาพลเมืองชาวพม่าผู้รักชาติรักประชาธิปไตย ก็มีผู้หญิงที่มุ่งมั่นอย่าง อองซาน ซูจี คนนี้ ได้ยืนอยู่ในหัวใจ ของพวกเขาทั้งหลายแล้ว
        เมืองไทยของเรานั้น แม้มีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง มาตั้งแต่ พ.ศ.2475 จะ 80 ปีเข้าไปแล้ว แต่บ้านเราก็ยังไม่มีสตรีคนใด ที่ก้าวไปสู่ตำแหน่งสูงสุด ของการบริหารประเทศ หรือแม้แต่เป็นผู้นำพรรคการเมือง ที่เอาชนะการเลือกตั้งเหมือนอย่างคุณ อองซาน ซุจี แห่งสหภาพพม่า
        บ้านเมืองของเรา ยังไม่มีผู้หญิงคนไหนที่ ยืนอยู่ในหัวใจ คนไทย เหมือนคนพม่าเพื่อนบ้าน
        อย่างไรก็ตาม ประวัติศาสตร์ชาติไทย ได้บันทึกเอาไว้ว่า
 
        ในการบริหารประเทศสมัยกรุงศรีอยุธยา ครั้งหนึ่งได้มีสตรีผู้ ที่กุมอำนาจไว้ได้ในห้วงระยะเวลาหนึ่ง แต่ชื่อเสียงของเธอ
 
        กลับเป็นไป...ในทางตรงข้าม!
        คือ เป็นไปใน ทางร้าย” จนต้องประสพชะตาชีวิตที่น่าสะพรึงกลัวในที่สุด เธอผู้นั้นคือ
        ท้าวศรีสุดาจันทร์

        ผมเคยเขียนบทความในนิตยสาร มารส์” เมื่อหนังสือเล่มดังกล่าว เปิดตัวใหม่ๆ เมื่อราว ปีที่แล้ว ในข้อเขียนซึ่งเป็นคอลัมน์ประจำ ชื่อความหลังยังหยดหยาด” ซึ่งผมเขียนเป็นตอนๆ หลายเรื่อง หลากรส และหลากรัก (ขณะนี้รวมเล่มเสร็จสรรพ พร้อมที่จะพิมพ์ออกจำหน่ายแล้ว)
 
        ผมได้เขียนเอาไว้ในตอนหนึ่ง ชื่อตอนว่า รักสวย-รักทราม” อย่างนี้ครับ

        ท้าวศรี สุดาจันทร์ เป็นมเหสีของพระไชยราชาธิราช ซึ่งปราบดาภิเษกโดยการจับพระรัฎฐาธิราชกุมาร ซึ่งพระชนม์เพียง พรรษา และเพิ่งครองราชย์ได้เพียง เดือนปลงพระชนม์ และตั้งพระองค์เป็นกษัตริย์ครองกรุงศรีอยุธยา เมื่อปี พ.ศ.2057
 
        พระ ไชยราชาธิราชทรงมีพระโอรสกับท้าวศรีสุดาจันทร์ สองพระองค์คือ พระยอดฟ้า พระชนม์ 11 พรรษา และองค์น้องทรงพระนามว่าพระศรีศิลป์ พระชนม์ได้ พรรษา
        เมื่อพระยอดฟ้าครองราชย์เป็นพระเจ้าแผ่นดิน ท้าวศรีสุดาจันทร์ก็ได้เป็นพระนางแม่อยู่หัว ในภาพยนตร์ที่ท่านมุ้ยสร้าง มีบทพูดที่คนดูฟังแล้วงงคือ แม่หยัว” ซึ่งมาจากคำว่า แม่อยู่หัว” นั่นเอง

        ท้าวศรีสุดาจันทร์ทรงมีสันดาน ดอกทอง” ได้ลักลอบเป็นชู้กับ พันบุตรศรีเทพ” พนักงานหอระ และตั้งเป็น ขุนชินราช” แล้วประวัติศาสตร์ ก็ได้บันทึกเอาไว้ในพระราชพงศาวดารฉบับหลวงว่า
        “พระนางก็ลอบลักสมัครสังวาสกับด้วยขุนชินราชช้านาน และดำริจะเอาราชสมบัติให้สิทธิ์แก่ขุนชินราช จึงตรัสสั่งพระยาราชภักดี ให้แต่งตั้งขุนชินราชเป็นขุนวรวงษาธิราช ขณะนั้นนางพระยาอยู่หัวศรีสุดาจันทร์ มีครรภ์ด้วย
        ขุน วรวงษาธิราช จึงมีพระราชเสาวนีย์ตรัสปรึกษาด้วยหมู่มุขมนตรีทั้งปวงว่า พระยอดฟ้าโอรสของเรายังเยาว์นัก อนึ่ง หัวเมืองฝ่ายเหนือเล่าก็ยังมิปกติ จะไว้ในราชการนั้นมิได้ เราคิดว่าจะให้ขุนวรวงษาธิราชว่าราชการแผ่นดิน กว่าราชบุตรเราจะจำเริญขึ้น จะเห็นควรประการใด ท้ายพระยามุขมนตรีรู้พระอัชฌาศัยก็ทูลว่า ซึ่งตรัสมานี้ควรอยู่
 
        เหนือหัวว่ามาอย่างนี้ ใครจะกล้าไปขัด คอจะมิได้ตั้งอยู่บนบ่าปะไร!
 
        แย่งราชสมบัติของลูกไปให้ชู้ และตั้งชู้เป็นกษัตริย์แทนลูกนั้นก็หนักหนาสาหัสอยู่แล้ว นั่นยังไม่เท่าไหร่ เพราะ
        “ครั้น ศักราช 891 (พ.ศ.2072) วันอาทิตย์ขึ้น ค่ำ เดือน ขุนวรวงษาธิราช เจ้าแผ่นดินคิดกับแม่อยู่หัวศรีสุดาจันทร์ให้เอาพระยอดฟ้าไปประหารชีวิตเสีย ณ วัดโคกพระยา แต่พระศรีศิลป์อนุชาพระชนม์เจ็ดพรรษานั้น ให้เลี้ยงไว้ สมเด็จพระยอดฟ้าอยู่ในราชสมบัติปีหนึ่งกับสองเดือน
        พระนางผู้นี้โหดเหี้ยมนัก ฆ่าได้แม้กระทั่งลูกตัวเอง เพียงระแวงว่าจะเป็นก้างขวางคอเท่านั้น
 
        แต่...
        ในที่สุดเวรกรรมก็ตามทัน เพราะทั้งท้าวศรีสุดจันทร์กับขุนวรวงษาธิราชชูรัก ก็ถูกฝ่ายขุนพิเรนทรเทพกับพวก โค่นลงจากอำนาจด้วยการจับกุมตัว และฆ่าเสีย พร้อมบุตรีของทั้งวสองแล้วให้นำศพเสียบประจานไว้วัดแร้ง
        ท้าวศรีสุดาจันทร์ทำให้ชู้รักของตนอยู่ในราชสมบัติ ได้เพียง เดือน เท่านั้น
        นี่เป็นตัวอย่างของคนสวยแต่ทราม ที่เพียงเพื่อชู้ ก็ฆ่าได้แม้แต่ลูกของตน
        นั่นคือข้อเขียนของผม ในหนังสือ มาร์ส
 
        หากจะเรียกเปรียบเทียบกับนางอองซาน ซูจี ที่สื่อบอกว่าเป็น ดอกไม้เหล็กแห่งอิระวดี” พระนางศรีสุดาจันทร์ก็น่าจะเป็น
        “ดอกทองกาลี แห่งลุ่มเจ้าพระยา!
        คนละลุ่มแม่น้ำ และแตกต่างกันสุดขั้ว!!

        ท่านผู้อ่าน ที่เคารพครับ

content/picdata/269/data/mai.jpg

        คน ไทยไม่เคยเห็นรูปโฉมโนมพรรณ ของท้าวศรีสุดาจันทร์ ว่ามีเทพไทองค์ใดสรรสร้าง เพราะสมัยนั้นไม่มีกล้อง และคนไทยไม่นิยมการวาดภาพเหมือนจริง อย่างฝรั่งเขาทำกัน
 
        ดังนั้น เลยได้เห็นแค่หนู ใหม่ ศิริวิมล ที่สวมบทบาทคุณท้าว แต่ถึงกระนั้น ก็คงไม่ได้ช่วยให้เราจินตนาการ รูปร่างหน้าตาของท้าวศรีสุดาจันทร์ไม่ถูก
 
        อย่างไรก็ตาม มีหลักฐานบางชิ้น ที่บรรยายความงามของท้าวศรีสุดาจันทร์ ซึ่งปรากฏในข้อเขียน รักสวย รักทราม” ในคอลัมน์ ความหลังยังหยดหยาด” ของผมในหนังสือ มาร์ส” ดังต่อไปนี้

        ความสวยของท้าวศรีสุดาจันทร์นั้น มีเรื่องเล่าขาน แต่หาหลักฐานมายืนยันเป็นมั่นเหมาะไม่ได้ว่า
        ในสมัยรัชกาล ที่ ได้มีเจ้านายพระองค์หนึ่ง ได้เสด็จไปพบศิลาจารึก ณ วัดแห่งหนึ่ง ในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา
 
        ศิลาจารึกนั้น ได้บรรยายรูปโฉมโนมพรรณของท้าวศรีสุดาจันทร์ไว้อย่างพิสดาร ชวนหลงใหล แต่เจ้านายพระองค์นั้นกลับทรงเห็นว่า ศิลาจารึกนั้นเป็นของอุบาทว์ จึงได้สั่งให้ทุบทำลายเสีย แต่ก็ยังดีที่มีผู้คัดลอกตัวอักษรเอาไว้
 
        วันนี้ผมเลยถือโอกาสนำมาเสนอ ให้ท่านผู้อ่านลองพิจารณากันดู ดังนี้ครับ

        “ผิวดั่งลูกจันทร์ มีกลิ่นหอม ผมยาวดำสนิท ฟันขาวซี่เรียงเป็นระเบียบ
 
        ถันของนางกลมใหญ่ ฐานชิดติดกันแน่นแม้นเสียบดอกไม้ก็มิหล่นร่วง ปลายถันงอนชี้ขึ้น
 
        คุยหประเทศของนาง ดั่งปุ่มฆ้องเท่ากำปั้น ไร้โลมาปกคลุม มีกลิ่นหอมตั้งแต่ยังเป็นทารก หมู่ภมรภู่ผึ้ง มาบินวนเวียนตอมดอมดมอยู่เนืองๆ
 
        แม้ถูกประหารแล้ว หมู่แมลงทั้งหลาย ยังมาวนตอมอยู่มิได้ขาด

        อือมมม...
        ถึงจะหอมเพียงไหน ก็ขออย่าได้ กลับชาติมาเกิด” อีกเลยนะจ๊ะ เพราะทุกวันนี้ ขนาดเจอชนิดฉุนบ้าง เหม็นบ้าง ผู้คนก็ยังโดนเข่นฆ่า
        บาดเจ็บล้มตายไป ตั้งเยอะตั้งแยะนี่นา!

        ขืนต้องไปเจอ ของใหญ่-ของโต ยังกะปุ่มฆ้อง แถม หอม’ ไม่บันยะบันยัง อย่างนั้น
        ...อะไรจะเกิดขึ้น!!?

        คงได้ตายกัน...หมดแผ่นดินแน่ๆ!!!
*
*ดอกไม้เหล็ก’ แห่งอิระวดี - ดอกทองกาลี’ แห่งเจ้าพระยา!
http://www.truedemoc.com/?name=knowledge&file=readknowledge&id=82
วาทตะวัน สุพรรณเภษัช

        เมื่อเร็วๆนี้ ได้ข่าวว่าดาราสาวใหญ่ชาวมาเลเซียที่มีชื่อเสียง มิเชล โยว (Michel Yeow) เดินทางเข้าพม่า เพื่อหารือกับ คุณอองซาน ซูจี (Aung san Su ji) เกี่ยว กับภาพยนตร์อัตชีวประวัติของยอดหญิงนักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย ระดับรางวัลโนเบลของพม่า ซึ่งมิเชล โยว ต้องรับบทของวีรสตรีท่านนี้

content/picdata/269/data/ongsan.jpg

        การ ที่มิเชล โยว ซึ่งอายุ 48 ปี มารับบทของคุณอองซาน ซูจี ซึ่งปัจจุบันอายุ 65 ปี แล้ว (เธอเกิด 1945) ส่วนตัวผมเห็นว่า เมื่อหนังสร้างเสร็จหนัง คงจะดูไม่ขัดเขินแต่อย่างใด เพราะสตรีผู้ที่โลกให้ความสำคัญ และสื่อทั่วโลกก็จับจ้องอย่างคุณ อองซาน ซูจี นั้น 
        แม้เจ้าตัวจะอยู่ในความทุกข์ระทม มายาวนานก็ตาม แต่น่าอัศจรรย์นัก ที่เธอกลับดูอ่อนกว่าวัย ไม่ดูเป็นคนสูงอายุเสียด้วยซ้ำไป นอกจากนั้น
 
        ยังเต็มไปด้วยความงามสง่า แบบคลาสสิคอีกด้วย!

        สำหรับ มิเชล โยว นั้น เป็นดาราที่สร้างความประทับใจให้ผม ตั้งแต่แสดงเป็นสาวเจมส์ บอนด์ เมื่อครั้ง เพียซ บรอสนัน (Pierce Brosnan)มาแสดงเป็น เจมส์ บอนด์ ตอน Tomorrow Never Die
 
        แต่ที่ผมชื่นชอบมาก ก็คือ
 
        การแสดงของมิเชล โยว ในหนังกำลังภายในนั้น ดูสมจริงสมจังมาก อาจเป็นเพราะเธอผู้นี้ มีประวัติเป็นผู้ฝึกฝนและรอบรู้ในด้านวิทยายุทธ์ ที่ใช้ในการแสดงหนังประเภทนี้เป็นอย่างดี ซึ่งท่านผู้อ่านที่เป็นคอหนัง คงไม่ลืม Crouching Tiger, Hidden Dragon ของ อังลี่ (Ang Li) ซึ่งได้รับรางวัลออสการ์ถึง รางวัล
        หนังเรื่องล่าสุดของเธอ ที่ผมเพิ่งดูไม่นาน ชื่อ "Rain of Swords" มีการบรรเลงเพลงดาบกันแบบคลาสสิคจริงๆ สมกับเป็นผลงานการสร้าง ของยอดฝีมือคือคุณ จอห์น วู (John Woo) นั่นเอง

        สำหรับคุณอองซาน ซูจีนั้น ผมเห็นจะไม่ต้องพูดถึงคุณภาพของเธอ เพราะคนไทยอย่างเราๆท่านๆ รู้จักกันดี
        ไม่น่าเชื่อว่า ผู้หญิงตัวเล็กๆคนนี้ ที่วางกริยาเรียบเฉย ไม่แสดงอาการหวาดหวั่น ทั้งๆที่ต้องทนทุกข์ทรมาน ต่อการคุกคามข่มขู่ และการพยายามเอาชีวิต มาได้นานกว่า ทศวรรษ 
 
        เธอต้องเผชิญทั้งการจับกุมคุมขัง แม้กระทั่งการถูกขังในเรือนจำ อินเส่ง” ที่ได้ชื่อว่าหฤโหดแห่งหนึ่งของโลก
        ล่าสุดคือการถูก กักบริเวณ” ในบ้านตัวเอง นานหลายปี!
 
        ผลแห่งการถูกอำนาจจากทางฝ่ายทหารกดดัน จะทำให้ผู้หญิงที่ชื่อ อองซาน ซูจี ย่นระย่อ ก็หาไม่
 
        เมื่อการต่อสู้ในระบอบประชาธิปไตย ในครั้งก่อน และประชาชนชาวพม่า ได้ออกไปลงคะแนนในคูหาเลือกตั้ง อองซาน ซูจี คนนี้แหละ ที่ได้พิสูจน์ให้โลกเห็น อย่างจะแจ้ง ว่า
        พรรคการเมืองที่มีผู้หญิงตัวเล็กๆอย่างเธอ เป็นผู้นำนั้น สามารถเอาชนะพรรคทหาร ที่มีอำนาจครอบงำประเทศพม่าติดต่อกันมานานนับสิบๆปี ได้อย่างขาดลอย
 
        ทหารพม่า ผิดหวัง’ ต่อผลการเลือกตั้ง และหาทางออกที่เหมาะสมไม่ได้...
        จึงต้อง...ล้มกระดาน!!

        นี่เองเป็นเหตุให้ คุณอองซาน ซูจี ผู้ชนะการเลือกตั้งในครั้งนั้น นอกจากไม่ได้เป็นผู้นำประเทศ และจัดตั้งรัฐบาลตามที่ประชาชนมีฉันทานุมัติ กลับต้องเผชิญชะตาชีวิตที่ยากลำบากอย่างเหลือแสน
 
        เธอต้องติดคุก และกักบริเวณเป็นเวลากว่าสิบปี
 
        สามีตายลงไป...เธอก็ไม่มีโอกาสได้ไป...ฝัง!
        ลูกก็ไม่ได้พบหน้ากันมาเนิ่นนาน ตั้งแต่เธอเริ่มเป็นผู้นำทางการเมือง ก็เพิ่งจะมีโอกาสได้เห็นกัน ไม่กี่วันมานี้เอง
        สุขภาพของตัวเธอเอง ก็ทรุดโทรมลง...
        ผู้หญิงที่หาญกล้าอย่างคุณ อองซาน ซูจี ต้องทนระทมทุกข์อยู่เป็นเวลานาน
 
        เพราะอะไรกัน?
 
        คำตอบง่ายๆ ก็คือ
        ผู้หญิงคนนี้ ต้องการเพียงให้บ้านเมืองของเธอ ปกครองโดยระบอบประชาธิปไตย เท่านั้น!!
        ผู้หญิงตัวเล็กๆ แต่หัวใจโตคนนี้ ต้องการให้ประชาชนชาวพม่า เลือกอนาคตของพวกเขาเองได้!!!
 
        ระยะเวลาอันยาวนานถึง 18 ปี นับตั้งแต่คุณอองซาน ซูจีจองจำครั้งแรก
 
        ผู้หญิงคนนี้ได้แสดงให้ทั่วโลกเห็นว่า
 
        ความแข็งแกร่งของเธอนั้น สื่อถึงกับยกย่องว่าเป็น
 
        “ดอกไม้เหล็ก"
        วันเวลาอันยาวนาน ได้พิสูจน์ธาตุทรหด ของวีรสตรีคนนี้!

        อองซาน ซูจี ได้สร้างความเกรงกลัว และความหวาดหวั่นสั่นประสาท และให้กับรัฐบาลทหารพม่า จนไม่อาจปล่อยให้นางเป็นอิสระได้ แม้อนาคตยังไม่แน่ชัดว่า
 
        เส้นทางการต่อสู้ของ ดอกไม้เหล็ก" ดอกนี้ จะบ่ายโฉมหน้าไปยังทิศทางใด โลกยังไม่ทราบชัด แต่เชื่อว่า
        ผู้หญิงแกร่งคนนี้ ตั้งใจมั่นที่จะต่อสู้ จนกว่าเธอจะสามารถปลดเปลื้องพันธนาการ ของระบอบเผด็จการทหาร ที่เหมือนแอกออกจากหลังของประชาชนชาวพม่า ให้พวกเขาได้มีชีวิตอย่างอิสระชน ภายใต้ระบอบประชาธิปไตย
 
        ที่ประชาชน...มีอำนาจสูงสุด!
        เธอจะต้องสู้ สู้ และสู้ จนกว่าจะสิ้นลมหายใจนั่นแหละ!!
 
        ผมมองเห็นว่า ผู้หญิงคนนี้ ยิ่งใหญ่’ เหลือเกิน!!!

        ผมชอบใจที่สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) เรียกคุณ ออง ซาน ซู จี ว่าเป็น
 
        “ดอกไม้เหล็ก แห่งลุ่มแม่น้ำอิระวดี
        อิระวดีเป็นแม่น้ำสำคัญสายหนึ่ง ที่หล่อเลี้ยงชาวพม่า ชื่อ
อิ ระวดี มาจากชื่อ นางอิราวดี (Iravati) มารดาของ ไอยราเทพบุตร (เอราวัณเทพบุตร หรือ ช้างเอราวัณ) มีความยาวถึง 2,170 กม. เป็นแม่น้ำสายหลัก ที่ไหลผ่านและผ่าใจกลางประเทศพม่า เปรียบเสมือนเส้นเลือดใหญ่สำคัญที่สุด ที่หล่อเลี้ยงชีวิตผู้คนทั้งประเทศ
        ความ สำคัญของอิรวดี เหมือนแม่น้ำเจ้าพระยาบ้านเรา แต่เจ้าพระยามีความยาวเพียง 372 กิโลเมตร หล่อเลี้ยงเฉพาะที่ลุ่มภาคกลางของประเทศเท่านั้น แต่ไหลผ่านทั้งกรุงศรีอยุธยา เมืองหลวงเก่าขอเราแต่ก่อน และ Bangkok เมืองหลวงปัจจุบันของไทยด้วย
        เป็นที่ประจักษ์ว่า โลกปัจจุบันนี้ มีสตรีจำนวนมาก ที่ สามารถผงาดขึ้นมาโดดเด่นบนเวทีโลก ในฐานะนำประเทศ แม้คุณอองซาน ซูจี จะยังไม่ได้เป็นผู้นำของประเทศเมียนมาร์ แต่บรรดาพลเมืองชาวพม่าผู้รักชาติรักประชาธิปไตย ก็มีผู้หญิงที่มุ่งมั่นอย่าง อองซาน ซูจี คนนี้ ได้ยืนอยู่ในหัวใจ ของพวกเขาทั้งหลายแล้ว
        เมืองไทยของเรานั้น แม้มีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง มาตั้งแต่ พ.ศ.2475 จะ 80 ปีเข้าไปแล้ว แต่บ้านเราก็ยังไม่มีสตรีคนใด ที่ก้าวไปสู่ตำแหน่งสูงสุด ของการบริหารประเทศ หรือแม้แต่เป็นผู้นำพรรคการเมือง ที่เอาชนะการเลือกตั้งเหมือนอย่างคุณ อองซาน ซุจี แห่งสหภาพพม่า
        บ้านเมืองของเรา ยังไม่มีผู้หญิงคนไหนที่ ยืนอยู่ในหัวใจ คนไทย เหมือนคนพม่าเพื่อนบ้าน
        อย่างไรก็ตาม ประวัติศาสตร์ชาติไทย ได้บันทึกเอาไว้ว่า
 
        ในการบริหารประเทศสมัยกรุงศรีอยุธยา ครั้งหนึ่งได้มีสตรีผู้ ที่กุมอำนาจไว้ได้ในห้วงระยะเวลาหนึ่ง แต่ชื่อเสียงของเธอ
 
        กลับเป็นไป...ในทางตรงข้าม!
        คือ เป็นไปใน ทางร้าย” จนต้องประสพชะตาชีวิตที่น่าสะพรึงกลัวในที่สุด เธอผู้นั้นคือ
        ท้าวศรีสุดาจันทร์

        ผมเคยเขียนบทความในนิตยสาร มารส์” เมื่อหนังสือเล่มดังกล่าว เปิดตัวใหม่ๆ เมื่อราว ปีที่แล้ว ในข้อเขียนซึ่งเป็นคอลัมน์ประจำ ชื่อความหลังยังหยดหยาด” ซึ่งผมเขียนเป็นตอนๆ หลายเรื่อง หลากรส และหลากรัก (ขณะนี้รวมเล่มเสร็จสรรพ พร้อมที่จะพิมพ์ออกจำหน่ายแล้ว)
 
        ผมได้เขียนเอาไว้ในตอนหนึ่ง ชื่อตอนว่า รักสวย-รักทราม” อย่างนี้ครับ

        ท้าวศรี สุดาจันทร์ เป็นมเหสีของพระไชยราชาธิราช ซึ่งปราบดาภิเษกโดยการจับพระรัฎฐาธิราชกุมาร ซึ่งพระชนม์เพียง พรรษา และเพิ่งครองราชย์ได้เพียง เดือนปลงพระชนม์ และตั้งพระองค์เป็นกษัตริย์ครองกรุงศรีอยุธยา เมื่อปี พ.ศ.2057
 
        พระ ไชยราชาธิราชทรงมีพระโอรสกับท้าวศรีสุดาจันทร์ สองพระองค์คือ พระยอดฟ้า พระชนม์ 11 พรรษา และองค์น้องทรงพระนามว่าพระศรีศิลป์ พระชนม์ได้ พรรษา
        เมื่อพระยอดฟ้าครองราชย์เป็นพระเจ้าแผ่นดิน ท้าวศรีสุดาจันทร์ก็ได้เป็นพระนางแม่อยู่หัว ในภาพยนตร์ที่ท่านมุ้ยสร้าง มีบทพูดที่คนดูฟังแล้วงงคือ แม่หยัว” ซึ่งมาจากคำว่า แม่อยู่หัว” นั่นเอง

        ท้าวศรีสุดาจันทร์ทรงมีสันดาน ดอกทอง” ได้ลักลอบเป็นชู้กับ พันบุตรศรีเทพ” พนักงานหอระ และตั้งเป็น ขุนชินราช” แล้วประวัติศาสตร์ ก็ได้บันทึกเอาไว้ในพระราชพงศาวดารฉบับหลวงว่า
        “พระนางก็ลอบลักสมัครสังวาสกับด้วยขุนชินราชช้านาน และดำริจะเอาราชสมบัติให้สิทธิ์แก่ขุนชินราช จึงตรัสสั่งพระยาราชภักดี ให้แต่งตั้งขุนชินราชเป็นขุนวรวงษาธิราช ขณะนั้นนางพระยาอยู่หัวศรีสุดาจันทร์ มีครรภ์ด้วย
        ขุน วรวงษาธิราช จึงมีพระราชเสาวนีย์ตรัสปรึกษาด้วยหมู่มุขมนตรีทั้งปวงว่า พระยอดฟ้าโอรสของเรายังเยาว์นัก อนึ่ง หัวเมืองฝ่ายเหนือเล่าก็ยังมิปกติ จะไว้ในราชการนั้นมิได้ เราคิดว่าจะให้ขุนวรวงษาธิราชว่าราชการแผ่นดิน กว่าราชบุตรเราจะจำเริญขึ้น จะเห็นควรประการใด ท้ายพระยามุขมนตรีรู้พระอัชฌาศัยก็ทูลว่า ซึ่งตรัสมานี้ควรอยู่
 
        เหนือหัวว่ามาอย่างนี้ ใครจะกล้าไปขัด คอจะมิได้ตั้งอยู่บนบ่าปะไร!
 
        แย่งราชสมบัติของลูกไปให้ชู้ และตั้งชู้เป็นกษัตริย์แทนลูกนั้นก็หนักหนาสาหัสอยู่แล้ว นั่นยังไม่เท่าไหร่ เพราะ
        “ครั้น ศักราช 891 (พ.ศ.2072) วันอาทิตย์ขึ้น ค่ำ เดือน ขุนวรวงษาธิราช เจ้าแผ่นดินคิดกับแม่อยู่หัวศรีสุดาจันทร์ให้เอาพระยอดฟ้าไปประหารชีวิตเสีย ณ วัดโคกพระยา แต่พระศรีศิลป์อนุชาพระชนม์เจ็ดพรรษานั้น ให้เลี้ยงไว้ สมเด็จพระยอดฟ้าอยู่ในราชสมบัติปีหนึ่งกับสองเดือน
        พระนางผู้นี้โหดเหี้ยมนัก ฆ่าได้แม้กระทั่งลูกตัวเอง เพียงระแวงว่าจะเป็นก้างขวางคอเท่านั้น
 
        แต่...
        ในที่สุดเวรกรรมก็ตามทัน เพราะทั้งท้าวศรีสุดจันทร์กับขุนวรวงษาธิราชชูรัก ก็ถูกฝ่ายขุนพิเรนทรเทพกับพวก โค่นลงจากอำนาจด้วยการจับกุมตัว และฆ่าเสีย พร้อมบุตรีของทั้งวสองแล้วให้นำศพเสียบประจานไว้วัดแร้ง
        ท้าวศรีสุดาจันทร์ทำให้ชู้รักของตนอยู่ในราชสมบัติ ได้เพียง เดือน เท่านั้น
        นี่เป็นตัวอย่างของคนสวยแต่ทราม ที่เพียงเพื่อชู้ ก็ฆ่าได้แม้แต่ลูกของตน
        นั่นคือข้อเขียนของผม ในหนังสือ มาร์ส
 
        หากจะเรียกเปรียบเทียบกับนางอองซาน ซูจี ที่สื่อบอกว่าเป็น ดอกไม้เหล็กแห่งอิระวดี” พระนางศรีสุดาจันทร์ก็น่าจะเป็น
        “ดอกทองกาลี แห่งลุ่มเจ้าพระยา!
        คนละลุ่มแม่น้ำ และแตกต่างกันสุดขั้ว!!

        ท่านผู้อ่าน ที่เคารพครับ

content/picdata/269/data/mai.jpg

        คน ไทยไม่เคยเห็นรูปโฉมโนมพรรณ ของท้าวศรีสุดาจันทร์ ว่ามีเทพไทองค์ใดสรรสร้าง เพราะสมัยนั้นไม่มีกล้อง และคนไทยไม่นิยมการวาดภาพเหมือนจริง อย่างฝรั่งเขาทำกัน
 
        ดังนั้น เลยได้เห็นแค่หนู ใหม่ ศิริวิมล ที่สวมบทบาทคุณท้าว แต่ถึงกระนั้น ก็คงไม่ได้ช่วยให้เราจินตนาการ รูปร่างหน้าตาของท้าวศรีสุดาจันทร์ไม่ถูก
 
        อย่างไรก็ตาม มีหลักฐานบางชิ้น ที่บรรยายความงามของท้าวศรีสุดาจันทร์ ซึ่งปรากฏในข้อเขียน รักสวย รักทราม” ในคอลัมน์ ความหลังยังหยดหยาด” ของผมในหนังสือ มาร์ส” ดังต่อไปนี้

        ความสวยของท้าวศรีสุดาจันทร์นั้น มีเรื่องเล่าขาน แต่หาหลักฐานมายืนยันเป็นมั่นเหมาะไม่ได้ว่า
        ในสมัยรัชกาล ที่ ได้มีเจ้านายพระองค์หนึ่ง ได้เสด็จไปพบศิลาจารึก ณ วัดแห่งหนึ่ง ในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา
 
        ศิลาจารึกนั้น ได้บรรยายรูปโฉมโนมพรรณของท้าวศรีสุดาจันทร์ไว้อย่างพิสดาร ชวนหลงใหล แต่เจ้านายพระองค์นั้นกลับทรงเห็นว่า ศิลาจารึกนั้นเป็นของอุบาทว์ จึงได้สั่งให้ทุบทำลายเสีย แต่ก็ยังดีที่มีผู้คัดลอกตัวอักษรเอาไว้
 
        วันนี้ผมเลยถือโอกาสนำมาเสนอ ให้ท่านผู้อ่านลองพิจารณากันดู ดังนี้ครับ

        “ผิวดั่งลูกจันทร์ มีกลิ่นหอม ผมยาวดำสนิท ฟันขาวซี่เรียงเป็นระเบียบ
 
        ถันของนางกลมใหญ่ ฐานชิดติดกันแน่นแม้นเสียบดอกไม้ก็มิหล่นร่วง ปลายถันงอนชี้ขึ้น
 
        คุยหประเทศของนาง ดั่งปุ่มฆ้องเท่ากำปั้น ไร้โลมาปกคลุม มีกลิ่นหอมตั้งแต่ยังเป็นทารก หมู่ภมรภู่ผึ้ง มาบินวนเวียนตอมดอมดมอยู่เนืองๆ
 
        แม้ถูกประหารแล้ว หมู่แมลงทั้งหลาย ยังมาวนตอมอยู่มิได้ขาด

        อือมมม...
        ถึงจะหอมเพียงไหน ก็ขออย่าได้ กลับชาติมาเกิด” อีกเลยนะจ๊ะ เพราะทุกวันนี้ ขนาดเจอชนิดฉุนบ้าง เหม็นบ้าง ผู้คนก็ยังโดนเข่นฆ่า
        บาดเจ็บล้มตายไป ตั้งเยอะตั้งแยะนี่นา!

        ขืนต้องไปเจอ ของใหญ่-ของโต ยังกะปุ่มฆ้อง แถม หอม’ ไม่บันยะบันยัง อย่างนั้น
        ...อะไรจะเกิดขึ้น!!?

        คงได้ตายกัน...หมดแผ่นดินแน่ๆ!!!
*

ใบลาออก และเหตุผล 5 ประการ 

ผมหมดศรัทธาต่อพรรคประชาธิปัตย์




วันที่ 29  มีนาคม  พรรษิษฐ์ ต่อสุวรรณ  ได้เผยแพร่ "หนังสือลาออกจากสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์" ผ่านสื่อต่างๆ  เนื้อความของหนังสือลาออก มีใจความ ดังนี้



....กราบเรียนท่านหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์


กระผมนายพรรษิษฐ์ ต่อสุวรรณ สมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ ประเภทสามัญเลขที่ 43414075 โดยผมได้สมัครเป็นสมาชิกตั้งแต่ปีพ.ศ. 2541 ในสมัยที่พรรคประชาธิปัตย์กำลังจะต้องตกเป็นฝ่ายค้านเพราะความนิยมกำลังถาโถมไปที่พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร และในที่สุดพรรคประชาธิปัตย์ก็พ่ายแพ้การเลือกตั้งทั่วไป และพรรคไทยรักไทยของ พ.ต.ท. ทักษิณก็ได้เป็นรัฐบาลสมัยแรก


ตอนนั้นตัวกระผมเองได้หอบหิ้วปริญญาตรีและโทกลับมาจากประเทศสหรัฐอเมริกาภายหลังเหตุการณ์วิกฤติเศรษฐกิจไม่นานนัก พร้อมกับความเชื่อที่ว่าคนเราทุกคนควรมีส่วนร่วมทางการเมืองเพื่อสร้างสังคมที่ดี และการเป็นสมาชิกพรรคการเมืองก็น่าจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีได้
  


 ตลอดระยะเวลาสิบกว่าปีที่ผ่านมานั้น ผมเฝ้าติดตามความเป็นไปของการเมืองไทยในฐานะประชาชนคนไทยคนหนึ่ง ซึ่งไม่เคยมุ่งหวังที่จะเดินเข้าไปสู่สนามการเมืองแต่อย่างใด เพียงแต่ใช้กำลังกาย สมอง เวลา และโอกาสเท่าที่มีในการตอบแทนสังคมบ้างทั้งในฐานะอาจารย์ในมหาวิทยาลัย หรือนักเขียนมือสมัครเล่นในคอลัมน์หนังสือพิมพ์ฉบับต่าง ๆ ต่อเนื่องกันมาเป็นเวลาหลายปี



 สาเหตุที่ตอนนั้นกระผมตัดสินใจส่งใบสมัครมาที่พรรคประชาธิปัตย์แทนที่จะเป็นพรรคไทยรักไทย ซึ่งสมัยนั้นจะมีภาพลักษณ์ที่ทันสมัยกว่า และกำลังอยู่ในช่วงที่ได้รับความนิยมสูงขึ้นทั้งในสังคมเมืองและสังคมชนบท ก็เพราะว่า ตัวผมเองไม่เคยเชื่อเลยว่าเจ้าของกลุ่มทุนผูกขาดอย่าง พ.ต.ท. ทักษิณจะมีความจริงใจที่จะเสียสละในการเข้ามาช่วยเหลือประเทศชาติได้อย่างแท้จริง



 แต่มีความเชื่อว่าเนื้อแท้ของกลุ่มทุนผูกขาดโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับสัมปทานของรัฐมักจะต้องเอารัดเอาเปรียบประชาชนอย่างเป็นธรรมชาติ ในขณะที่พรรคประชาธิปัตย์นั้นเป็นพรรดการเมืองที่เก่าแก่ยาวนาน มีความเป็นสถาบันการเมืองมากที่สุดเท่าที่มีอยู่ในสังคมการเมืองไทย


แต่วันและเวลาสอนให้ผมได้เรียนรู้ถึงธรรมชาติของการเมืองไทยมากขึ้น ซึ่งในความเป็นจริงนั้นมีความลึกซึ้งมากกว่าภาพที่คนทั่ว ๆ ไปเห็นอยู่บนเวทีการเมืองที่เป็นทางการอยู่มากนัก แต่สำหรับผมแล้ว ช่วงเวลาสิบกว่าปีนี้ได้พิสูจน์ให้เห็นเนื้อแท้ของพรรคประชาธิปัตย์ได้เป็นอย่างดีในระดับหนึ่ง และทำให้ผมได้คำตอบมาระยะหนึ่งแล้วว่าตัวเองนั้นคิดผิด ซึ่งผมขอประมวลเหตุผลมาประกอบดังต่อไปนี้



1. พรรคประชาธิปัตย์จะไม่มีวันชนะใจประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศได้ เพราะขาดความจริงใจมุ่งแต่สร้างภาพจอมปลอม ประโยคนี้เป็นสัจธรรมเสมอ มาตั้งแต่เริ่มก่อตั้งพรรคประชาธิปัตย์และน่าจะเป็นจริงตลอดไปด้วย ตราบใดที่จะยังคงมีพรรคนี้อยู่ในเวทีการเมืองไทย   เพราะประวัติศาสตร์บอกว่าพรรคประชาธิปัตย์มักจะได้อำนาจรัฐหรือได้เป็นรัฐบาลโดยการเพลี่ยงพล้ำของพรรคขั้วตรงข้าม และมีพลังอำนาจพิเศษที่มาหนุนอยู่ตลอด

ดังนั้นลักษณะของพรรคประชาธิปัตย์จะมักจะเชิดคนที่มีภาพลักษณ์ดี(สำหรับสังคมไทย) กล่าวคือมักจะเป็นคนที่มีลักษณะความสุภาพ อ่อนน้อมถ่อมตน หรือมีชาติตระกูลสูง หรือแม้กระทั่งคนมีหน้าตาดี นอกจากนี้อาจจะมีการเชิดชูภาพของความซื่อสัตย์เป็นจุดขาย แต่จะสังเกตได้ว่านั่นมักจะเป็นเพียงหน้าฉากของผู้นำพรรคเท่านั้น



 แต่เบื้องหลังของผู้นำพรรคหรือแม้กระทั่งเบื้องหลังหน้ากากอันสวยหรูของผู้นำพรรค ก็มักจะมีบรรดานักการเมืองสกปรกที่หิวโหยอยู่ข้างหลังอย่างสม่ำเสมอ ดังนั้นพรรคประชาธิปัตย์จึงไม่เคยนำเสนอแนวทางในการบริหารพัฒนาบ้านเมืองอันใดได้เลย ที่ทำอยู่ก็จะมีเพียงนโยบายเฉพาะกิจ หรือเพื่อการประชาสัมพันธ์หาเสียงเท่านั้น มุ่งจะเล่นแต่การเมืองแต่ไม่เคยพัฒนาบ้านเมือง


2.  การมุ่งเล่นแต่การเมือง ทำให้บรรดานโยบายของพรรคที่ออกมา ขาดพื้นฐานด้านข้อมูลที่เป็นจริง ขาดการศึกษาและวิเคาระห์ถึงปัญหาอย่างลึกซึ้ง ซึ่งความจริงแล้วพรรคประชาธิปัตย์ถึงแม้ว่าจะเป็นพรรคการเมืองที่แก่ที่สุด แต่ก็ไม่เคยมีนโยบายเป็นของตัวเองมาก่อน บรรดานโยบายของรัฐบาลอภิสิทธิ์ก็ต้องยอมรับว่าเป็นการคัดลอกและดัดแปลงมาจากนโยบายประชานิยมของพรรคไทยรักไทยในอดีตทั้งสิ้น


แต่น่าเสียใจว่าการคัดลอกดัดแปลงนั้นกลับทำได้ย่ำแย่กว่าสมัยที่พรรคไทยรักไทยเป็นรัฐบาลเสียอีก พรรคประชาธิปัตย์เข้าใจว่าการที่พรรคไทยรักไทยชนะการเลือกตั้งอย่างถล่มทลายเป็นเพราะประชาชนหิวโหยในผลประโยชน์ ดังนั้นการเข้ามาของรัฐบาลอภิสิทธิ์จึงเริ่มต้นด้วยการหว่านโปรยผลประโยชน์

ตั้งแต่นโยบายแจกเงินกินเปล่าให้ประชาชนหัวละสองพันบาท แต่จะเห็นได้ว่าการแจกเงินกินเปล่าเหล่านั้นไม่ได้ทำให้คะแนนนิยมของพรรคสูงขึ้น กลับลดลงเสียด้วยซ้ำ เป็นเพราะเหตุใด? ก็เพราะว่าวิธีการแจกเงินสองพันบาทโดยใช้ฐานข้อมมูลประกันสังคมนั้นไม่สามารถจะนำเงินไปสู่คนยากคนจนส่วนใหญ่ของประเทศอย่างแท้จริง ไปได้แค่เพียงคนชั้นกลางซึ่งมีข้อมูลอยู่ในทะเบียนฯเท่านั้น นโยบายนี้เหยียบย่ำหัวใจคนยากคนจนที่ส่วนใหญ่ที่ยากไร้ไม่มีที่ทำกิน ที่อยู่อาศัย จะมีประกันสังคมได้อย่างไร



ในขณะที่นโยบายที่ลอกและสานต่อจากนโยบายไทยรักไทยอย่างโครงการหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์หรือที่เรียกกันว่าโอท๊อป ซึ่งภาครัฐเคยจัดงานที่อิมแพคเมืองทองธานีเป็นประจำทุก ๆ ปี เป็นงานกึ่งตลาดนัดกึ่งแสดงสินค้า ซึ่งได้รับเสียงตอบรับเป็นอย่างดีทั้งจากผู้ประกอบการขนาดเล็กและขนาดย่อม จากผู้นำเข้าและผู้ส่งออก ตลอดจนจากผู้บริโภคทั่ว ๆ ไป พอรัฐบาลอภิสิทธิ์เข้ามาบริหารก็ได้ย้ายสถานที่จัดงานมาตั้งอยู่ใจกลางเมือง ทั้งตามห้างสรรพสินค้าต่าง ๆ ทั้งในลานเอนกประสงค์หน้าห้างฯ บริเวณรอบสนามกีฬาแห่งชาติ และตั้งแต่นั้นเป็นต้นมางานโอท็อปก็ต้องพับฐานลงอย่างน่าเสียดาย



ด้วยเหตุผลหลายอย่าง ทั้งสถานที่จัดงานกระจัดกระจาย สภาพอากาศที่ไม่อำนวย ทำให้จำนวนคนเข้าชมงานลดน้อยลงอย่างมาก ผู้ค้าซึ่งมาจากต่างจังหวัดนอกจากจะขายสินค้าไม่ได้ ยังต้องแบกภาระค่ากินนอนเข้าไปอีกเพราะอดีตที่เคยอาศัยบริเวณจัดงานในอิมแพคฯก็ไม่มีค่าใช้จ่ายอะไร หัวอกคนยากคนจนและคนทำมาหากินซึ่งรัฐบาลประชาธิปัตย์ไม่เคยเข้าใจและคงไม่มีวันจะเข้าใจได้ สิ่งที่พรรคประชาธิปัตย์ทำได้อย่างเชี่ยงชาญก็คือการใส่ไคล้ทำลายและช่วงชิงโอกาส ซึ่งล้วนเป็นเกมการเมืองทั้งสิ้น



3. บริหารไร้ประสิทธิภาพแต่โกงเป็นมาตรฐาน ด้วยนโยบายหว่านผลประโยชน์กับการสร้างภาพของรัฐบาลชุดนี้ ทำให้รัฐต้องแบกภาระเพิ่มขึ้นมากมาย จะเห็นได้ว่ามีการกู้เงินมหาศาลกว่ารัฐบาลใดในอดีตเสียอีก แต่ลำพังการกู้นั้นมิสามารถทำให้รัฐบาลดำเนินนโยบายไร้ประสิทธิภาพเหล่านั้นต่อไปได้มากนัก



รัฐบาลชุดนี้จึงมีกระบวนการสร้างภาระโดยการรีดภาษีจากคนชั้นกลางในมิติต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง จะเห็นได้ว่าสภาพเศรษฐกิจของประเทศมีความฝืดเคืองมากขึ้นเป็นลำดับ เพราะรัฐบาลนอกจากไม่ส่งเสริมการลงทุนภายในประเทศแล้ว กลับบั่นทอนกำลังการบริโภคของประชาชนไปเสียอีกด้วย



 ในขณะที่รัฐบาลชุดนี้เข้ามาบริหารประเทศ เราก็มักจะได้ยินข่าวการทุจริตมากขึ้นเป็นลำดับ บรรดาข่าวการทุจริตซึ่งส่วนใหญ่มาจากนโยบายจัดซื้อจัดจ้างการรับเหมาก่อสร้างมากมาย ซึ่งมีรูปแบบคลาสสิคโบราณ และน่าจะเป็นสิ่งที่พรรคประชาธิปัตย์ไม่สามารถพัฒนาก้าวข้ามไปได้เลย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องฉาวโฉ่เกี่ยวกับโครงการนมโรงเรียน โครงการรถเมล์ โครงการต้นกล้าอาชีพของรัฐบาล ไปจนถึงโครงการรถเมล์BRT อภิมหาโครงการโมโนเรล โครงการซุปเปอร์สกายวอล์กของกรุงเทพมหานคร และอื่น ๆ อีกมากมาย ในขณะที่กฎเหล็ก 9 ข้อที่นายกอภิสิทธิ์ประกาศไว้เมื่อครั้งรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีกลับไม่เคยถูกกล่าวถึงอีกเลย


4. ไม่สร้างความปรองดองกลับสร้างความแตกแยก ก็ต้องยอมรับว่าในขณะที่รัฐบาลประชาธิปัตย์เข้ามาบริหารประเทศนั้น สังคมไทยอยู่ท่ามกลางความขัดแย้งอย่างหนัก รัฐบาลประชาธิปัตย์เข้ามาพร้อมกับการต่อต้านของขั้วตรงข้ามในนามกลุ่มคนเสื้อแดง ซึ่งเริ่มก่อรูปมาตั้งแต่หลังเหตุการณ์รัฐประหารรัฐบาลทักษิณ การเคลื่อนไหวของกลุ่มเสื้อแดงนั้นต้องการล้มล้างรัฐบาลประชาธิปัตย์และคืนอำนาจแก่อีกขั้วการเมืองเป็นหลัก


ดังนั้นรัฐบาลชุดนี้จึงต้องเผชิญกับการชุมนุมต่อต้านหลายครั้ง และบ่อยครั้งก็ได้พัฒนาไปถึงการจลาจล ซึ่งครั้งที่รุนแรงมากที่สุดก็คือการเผาเมืองพฤษภาคม2553 ถึงแม้ว่าแก่นแกนของการเคลื่อนไหวของกลุ่มคนเสื้อแดงอยู่ที่พ.ต.ท. ทักษิณ โดยมีแนวร่วมหลายส่วนที่เกี่ยวกับขบวนการเรียกร้องความเป็นประชาธิปไตย ความเท่าเทียมทางสังคม ฯลฯ



ดังนั้นขบวนการคนเสื้อแดงจึงกลายเป็นขบวนการที่ใหญ่และใหญ่มากยิ่งขึ้น ในขณะที่รัฐบาลอภิสิทธิ์ก็เกิดอาการฝ่อ และเลือกที่จะสร้างความปรองดองกับขบวนการเสื้อแดงโดยการย่ำยีหลักการของกฎหมาย ตั้งแต่การที่รัฐบาลไปเป็นแกนเคลื่อนไหวในการประกันตัวบรรดาแกนนำ ตลอดจนการละเว้นการติดตามทางคดีของผู้ก่อการเผาสถานที่ราชการ เอกชน ทำลายและปล้นทรัพย์สินในช่วงเหตุการณ์จลาจล การย่ำยีกฎหมายคือการสร้างความแตกแยกอันบาดลึก แต่เป็นที่สงสัยกันอยู่ว่าทั้งนี้เป็นไปก็เพื่อจะลอยตัว รักษาอำนาจ และสามารถเป็นรัฐบาลต่อไปได้เรื่อย ๆ หรือเปล่า



5.   สิ่งที่เกิดขึ้นกับเหตุการณ์เขาพระวิหารแสดงให้เห็นถึงธาตุแท้ของพรรคประชาธิปัตย์ได้อย่างชัดเจน เพราะสิ่งที่นายกอภิสิทธิ์ได้เคยอภิปรายโจมตีในการยื่นยัตติไม่ไว้วางใจนายนพดล ปัทมะอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศในรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวชเกี่ยวกับบูรณภาพเหนือดินแดนรอบตัวปราสาทเขาพระวิหาร กลับกลายเป็นสิ่งที่รัฐบาลอภิสิทธิ์ดำเนินการเหมือนกับรัฐบาลพรรคพลังประชาชนและตรงกันข้ามกับสิ่งที่ตัวเองพูดไว้ในสภาอย่างสิ้นเชิง


หมายความว่าพรรคประชาธิปัตย์สามารถที่จะพูดอะไรก็ได้เพื่อให้เกิดโอกาสในการที่ตัวเองจะสามารถพลิกผันขึ้นมาถือครองอำนาจรัฐอย่างนั้นหรือ และผลของการบริหารประเทศเกี่ยวกับเรื่องนี้ยังได้ทำให้ประเทศไทยดูเหมือนไร้เกียรติไร้ศักดิ์ศรี ตกเป็นเบี้ยล่างของบรรดาประเทศเพื่อนบ้าน จนในที่สุดประเทศไทยก็จะต้องสูญเสียอธิปไตยเหนือดินแดนไปด้วยเหตุผลของความโง่เขลาหรือการมีผลประโยชน์ต่างตอบแทนก็สุดแล้วแต่ที่จะคาดเดาได้ ซึ่งความเป็นจริงแล้วถ้าศึกษากันดี ๆ ก็จะเห็นได้ว่าพรรคประชาธิปัตย์ดำเนินการเยี่ยงนี้ทำให้ประเทศชาติและสังคมไทยสูญเสียมาหลายครั้ง



ล่าสุดก็ครั้งที่ประเทศมีวิกฤติเศรษฐกิจ รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์กับกรณี ป.ร.ส. ขายหนี้ของบรรดาไฟแนนซ์ที่รัฐบาลสั่งปิดลงไปให้กับบรรดากองทุนต่างชาติ จนทำให้ต่างชาติสามารถกอบโกยผลกำไรอันมหาศาลไปจากสังคมไทย ทิ้งไว้กับกองศพของคนล้มละลายเป็นจำนวนมาก ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนชั้นกลาง ผู้ประกอบการขนาดเล็กและขนาดย่อม ผลจากการบริหารเศรษฐกิจของรัฐบาลครั้งนั้น ทำให้ธนาคารเกือบทุกธนาคารในประเทศไทยต้องตกเป็นของต่างชาติในที่สุด หรือที่คนทั่ว ๆ ไปเค้าเรียกว่าเสียเอกราชทางการเงินนั่นเอง


ด้วยเหตุผลเบื้องต้นเพียง 5 ประการนี้ ก็แสดงให้เห็นแล้วว่าพรรคประชาธิปัตย์ไม่เคยมีอุดมการณ์อะไรเพื่อประโยชน์ของประชาชนและสังคมไทย พรรคจึงเป็นเพียงมายาภาพหลอกลวงคนที่สิ้นหวังกับการเมืองไทยในชั่วขณะหนึ่ง ๆ เท่านั้น


ทุกวันนี้เราจะได้เห็นทั้งนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีแข่งกันขึ้นป้ายประชาสัมพันธ์ผลงานกันอย่างบ้าคลั่ง สมกับเป็นการเชิดปี่กลองสู้ศึกในเทศกาลเลือกตั้ง  แต่กลับไม่เห็นรู้สึกถึงผลงานที่ออกมาอย่างกับในป้ายโฆษณาแต่อย่างใด ป้ายโฆษณาเหล่านี้กลับเป็นสิ่งที่ตอกย้ำให้ผู้คนซึ่งได้รับความลำบากทั้งชาวไร่ชาวนาที่ถูกกดราคาสินค้าเกษตร ทั้งคนชั้นกลางที่ถูกขูดรีดภาษีอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ทั้งกับผู้บริโภคทั่วไปที่ถูกตีหัวจากราคาสินค้าที่ปรับขึ้นอย่างไม่เป็นธรรม ได้รู้สึกเจ็บแค้นอย่างเหนือคำบรรยาย ผมเป็นคนไทยคนหนึ่งซึ่งหมดศรัทธาต่อพรรคประชาธิปัตย์ และประสงค์ที่จะลาออกจากสมาชิกพรรคนับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
   
จึงเรียนมาเพื่อทราบ
พรรษิษฐ์ ต่อสุวรรณ
ptorsuwan@yahoo.com*