วันศุกร์ที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2556

ตำรวจพบผู้เสียชีวิตบนรถบัสหน้าราม ถูกเพื่อนชวนมาก่อเหตุแล้วถูกไฟคลอก

ตำรวจพบผู้เสียชีวิตบนรถบัสหน้าราม ถูกเพื่อนชวนมาก่อเหตุแล้วถูกไฟคลอก
          เผยภาพหนุ่มวัย 17 ที่คาดว่ากลายเป็นศพถูกเผาในบริเวณรามคำแหง โดยเมื่อวันที่ 2 ธันวาคมที่ผ่านมา นางนฤมล คำพยัคฆ์ อายุ 36 ปี อาชีพเเม่บ้าน เดินทางมาที่สน.เพื่อขอพิสูจน์ดีเอ็นเอโครงกระดูกที่พบในรถบัส ทะเบียน 30-0170 กำเเพงเพชร ซึ่งถูกเผาในวันที่ 1 ธันวาคมที่ผ่านมา โดยนางนฤมลคาดว่าผู้เสียชีวิตน่าจะเป็นลูกชาย นายสุรเดช คำเเปงใจ อายุ17 ปี เนื่องจากหลักฐานใกล้กับโครงกระดูก ทั้ง หัวเข็มขัด โทรศัพท์มือถือไอโฟน กุญเเจบ้าน เเละเเหวน เป็นของนายสุรเดช

            โดยนางนฤมล เล่าว่า เช้าวันที่ 1 ธันวาคมที่ผ่านมา นายสุรเดชโทรศัพท์มาบอกว่าจะออกไปกินข้าวกับเพื่อน หลังจากนั้นก็หายไปเลย กระทั่งเห็นข่าวรถบัสถูกเผา จึงมาขอดูหลักฐาน



เผารถบัส
เผารถบัส
เผารถบัส
เผารถบัส
เผารถบัส
เผารถบัส
เผารถบัส
เผารถบัส
เผารถบัส

            ผลพิสูจน์ดีเอ็นเอและพยานหลักฐาน ระบุผู้เสียชีวิตในรถบัสหน้ารามคำแหงเมื่อวันที่ 1 ธ.ค. ถูกเพื่อนชักชวนขึ้นไปก่อเหตุเผาเบาะรถบัส แต่ลงจากรถไม่ทันถูกไฟคลอก
           6 ธ.ค. 2556 - จากเหตุความรุนแรงที่ย่านรามคำแหงในวันที่ 30 พ.ย. และ 1 ธ.ค. นั้น ล่าสุด สำนักงานข่าวไทยรายงานว่า พล.ต.อ.จรัมพร สุระมณี ที่ปรึกษา สบ. 10 ได้กล่าวยืนยันผลการตรวจพิสูจน์ดีเอ็นเอผู้เสียชีวิตบนรถบัสหน้ามหาวิทยาลัยรามคำแหงที่มีเหตุปะทะกัน คือนายสุรเดช คำแปงใจ อายุ 19 ปี ที่มารดาสงสัยว่าเสียชีวิตบนรถบัส ซึ่งผลดีเอ็นเอตรงกับมารดาอย่างชัดเจน ประกอบกับหลักฐานที่ได้ในจุดเกิดเหตุเป็นแหวน กุญแจบ้าน ไอโฟน หัวเข็มขัดซึ่งตรงกับที่มารดาเป็นคนให้ข้อมูล และจากการสอบปากคำพยานระบุว่า ผู้ตายพักอยู่ย่านเอกมัย ซ้อนท้ายจักรยานยนต์รับจ้างมาซื้อยาแก้ไอในย่านใกล้เคียง และไปดูเหตุการณ์ปะทะกัน ถูกชักชวนให้ร่วมก่อเหตุความวุ่นวาย โดยพยานให้การว่าผู้ตายขึ้นไปบนรถบัสเพื่อกรีดเบาะและทุบกระจกจนไฟเกิดลุกไหม้จากหน้ารถลามรวดเร็วจนผู้ตายลงมาไม่ทัน เนื่องจากประตูด้านล่างล็อกทำให้ผู้ตายถูกไฟคลอกเสียชีวิต และไม่ใช่กลุ่มคนเสื้อแดงหรือนักศึกษารามคำแหง
           นอกจากนี้ ผลการตรวจพิสูจน์หัวกระสุนปืนผู้เสียชีวิตรายอื่นก็ไม่พบว่ามีผู้เสียชีวิตจากกระสุนปืนที่มาจากสไนเปอร์ตามที่มีกระแสข่าว ซึ่งผู้เสียชีวิตมีบาดแผลถูกยิงระดับอก อีกทั้งปลอกกระสุน 34 ปลอก หัวกระสุน 12 หัว กระสุน 2 นัด มาจากปืน 7 ชนิด ซึ่งกองพิสูจน์หลักฐานเก็บได้จากที่เกิดเหตุ ไม่พบปลอกกระสุนที่มาจากปืนสไนเปอร์ อีกทั้งคำให้การของพยานในที่เกิดเหตุก็สอดคล้องกับผลตรวจทางนิติวิทยาศาสตร์ด้วยเช่นกัน

******************************************
            จากเหตุการณ์ไม่สงบในกรุงเทพมหานคร ที่มีข่าวว่ามีรถบัสถูกเผาที่หน้ารามคำแหงมีโครงกระดูกมนุษย์อยู่บนรถบัส เอาล่ะซิ !!! เผยหนุ่ม 17 ที่คาดเป็นผู้เสียชีวิตบนรถบัสที่ถูกเผา หน้ารามคำแหง ไปติดตามข่าวกันค่ะ


เผยหนุ่ม 17 ที่คาดเป็นผู้เสียชีวิตบนรถบัสที่ถูกเผา ห  ...

เผยหนุ่ม 17 ที่คาดเป็นผู้เสียชีวิตบนรถบัสที่ถูกเผา ห  ...

เผยหนุ่ม 17 ที่คาดเป็นผู้เสียชีวิตบนรถบัสที่ถูกเผา ห  ...

เผยหนุ่ม 17 ที่คาดเป็นผู้เสียชีวิตบนรถบัสที่ถูกเผา ห  ...

          เผยภาพหนุ่มวัย 17 ที่คาดว่ากลายเป็นศพถูกเผาในรถบัสบริเวณรามคำแหง โดยเมื่อวันที่ 2 ธันวาคมที่ผ่านมา นางนฤมล คำพยัคฆ์ อายุ 36 ปี อาชีพเเม่บ้าน เดินทางมาที่สน.เพื่อขอพิสูจน์ดีเอ็นเอโครงกระดูกที่พบในรถบัส ทะเบียน 30-0170 กำเเพงเพชร ซึ่งถูกเผาในวันที่ 1 ธันวาคมที่ผ่านมา โดยนางนฤมลคาดว่าผู้เสียชีวิตน่าจะเป็นลูกชาย นายสุรเดช คำเเปงใจ อายุ17 ปี เนื่องจากหลักฐานใกล้กับโครงกระดูก ทั้ง หัวเข็มขัด โทรศัพท์มือถือไอโฟน กุญเเจบ้าน เเละเเหวน เป็นของนายสุรเดช

        โดยนางนฤมลกล่าวว่าสงสัยอาจจะเป็นนายสุรเดช คำเเปงใจ อายุ 17 ปี ลูกชาย เนื่องจากซากโทรศัพท์มือถือไอโฟน 4 หัวเข็มขัด กุญเเจบ้าน เเละเเหวนที่พบ เป็นของลูกชาย โดยเมื่อช่วงเช้าวันที่ 1 ธ.ค. ที่ผ่านมา ลูกออกจากบ้านมาพร้อมกับเพื่อน บอกว่าจะออกไปกินข้าว 
เเต่หลังจากนั้นก็หายไป ติดต่อไม่ได้ จนกระทั่งทราบข่าวพบโครงกระดูกถูกเผาอยู่บนรถ เลยสงสัยว่าอาจจะเป็นลูกชาย 


            น.ส.ศิริวรรณ ม่วงคู อายุ 18 ปี เพื่อนของนายสุรเดช กล่าวว่าเวลา 12.00 น. วันที่ 1ธ.ค. นายสุรเดชโทรศัพท์มาหาบอกว่าจะออกไปซื้อของหน้ารามฯ จากนั้นขับขี่รถจักรยานยนต์มาจากซอยเอกมัย 30 พร้อมเพื่อนอีกคน เวลา 14.30 น. โทรศัพท์กลับว่าอยู่หน้าสนามราชมังฯ กลับบ้านไม่ได้ เพราะติดอยู่ที่บริเวณมีเรื่องกัน ในโทรศัพท์ยังได้ยินเสียงคล้ายปืน และระเบิดเป็นระยะๆ ยังบอกไปว่าให้ระวังตัวด้วย เมื่อวางหูไปจากนั้นก็ติดต่อกันไม่ได้อีกเลย

            จากนั้นเจ้าหน้าที่ประสานสถาบันนิติเวช ร.พ.ตำรวจ เพื่อเก็บตัวอย่างดีเอ็นเอจากนางนฤมลนำไปตรวจพิสูจน์เทียบกับโครงกระดูก ว่าใช่ลูกหรือไม่ 


ขอบคุณข้อมูล : http://news.sanook.com/1352255/เผยภาพหนุ่ม-17-คาดเป็นผู้เสียชีวิตบนรถบัสหน้ารามคำแหง/
http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=TVRNNE5qQXpORFEyTWc9PQ==&sectionid=

สุเทพนัด 9 ธ.ค. 09.39 น. ลุกฮือทั่วประเทศ-ทวงอำนาจคืนจากระบอบทักษิณ

สุเทพนัด 9 ธ.ค. 09.39 น. ลุกฮือทั่วประเทศ-ทวงอำนาจคืนจากระบอบทักษิณ

            สุเทพ เทือกสุบรรณ นัด 9 ธ.ค. เคลื่อนขบวนทุกจุดมุ่งสู่ทำเนียบรัฐบาล 'เป่านกหวีดครั้งสุดท้าย' ขอวัดใจประชาชนไทยและกองทัพ ใครไม่ต้องการร่วมต่อสู้ขอให้นอนอยู่บ้าน จะเดินขบวนบนถนนทุกสาย และถ้าจะต้องปิดไปทั้งเมืองก็ช่วยไม่ได้ หากแพ้ 9 แกนนำจะยอมรับโทษ

         6 ธ.ค. 56 - ตามที่ในช่วงบ่ายวันนี้ (6 ธ.ค.) สุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส. ได้โพสต์ในเฟซบุ๊คแฟนเพจของเขานัดหมายผู้ชุมนุมว่า "เย็นนี้ผมจะนัดหมาย กำหนดการ ปฎิบัติการทวงคืนประเทศไทย ครั้งนี้เราจะทำกันอย่างเข้มแข็ง เต็มกำลัง แต่ยังคงยึดหลักสันติ อหิงสา ปราศจากอาวุธครับ ขอให้ค่อยรับฟังกันครับ" นั้น
           ล่าสุดเมื่อเวลา 20.30 น. ที่เวทีชุมนุมศูนย์ราชการ ถ.แจ้งวัฒนะ สุเทพได้ขึ้นปราศรัยตอนหนึ่งสุเทพ ได้ประกาศแนวทางการต่อสู้ว่า "ได้ตัดสินใจแล้วครับ เราเดินทางมาอย่างนี้ สู้มาอย่างนี้ เราตั้งใจของเราแน่วแน่ ทำในสิ่งที่ดี ที่ถูกต้อง วิธีการของเราบริสุทธิ์ ยึดแนวอหิงสา สันติ ไม่มีอาวุธ ไม่รุนแรง แต่เราก็ไม่สามารถทนเห็นญาติพี่น้องของเราบาดเจ็บ ถูกยิง ถูกขว้างระเบิด ถูกแก๊สน้ำตา การต่อสู้ที่ทำด้วยวิธีการสันติ ไม่รุนแรง ไม่มีอาวุธสำคัญข้อเดียวคือ จำนวนคนต้องมากมายมหาศาลถึงจะชนะเขาได้ ไม่อย่างนั้นชนะไม่ได้ เมื่อวันที่ 24 พ.ย. พี่น้องประชาชนแสดงพลังกันเป็นล้านคน ท่านก็เห็นครับว่ามีพี่น้องประชาชนนับล้านคน ที่ต้องการทวงอำนาจคืน ไม่ต้องการให้พวกโจรเอาอำนาจไปใช้ในทางที่ผิด ไปฉ้อโกงคอร์รัปชั่นจนวิบัติ ออกมาแสดงตนด้วยความกล้าหาญนับล้านคน แต่พวกมันกอดอำนาจแน่น นี่คือความหน้าด้านของมัน"
         "วันที่พวกผมตัดสินใจลาออกจาก ส.ส. เพื่อมาร่วมกับพี่น้องทั้งหลาย เพราะพวกเราได้สัมผัสกับพี่น้อง ได้หยั่งรู้ถึงความคิดจิตใจของพี่น้องว่าพี่น้องทนเจ็บปวดขมขื่นกับระบอบทักษิณมาสิบกว่าปีแล้ว เห็นชาติวิบัติย่อยยับลงต่อหน้าต่อตา ทนไม่ได้แล้ว อยากขึ้นมาต่อสู้ เพียงแต่ยังไม่มีใครมาเป็นตัวตั้งตัวตีจัดการ พวกผมทั้ง 9 คนจึงตัดสินใจลาออกจากผู้แทนราษฎรมาร่วมต่อสู้กับพี่น้อง และทำให้องค์กรเครือข่ายประชาชนอื่นๆ ที่สู้อยู่ก่อนมีกำลังใจมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น เครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย (คปท.) กองทัพประชาชนโค่นระบอบทักษิณ (กปท.) กองทัพธรรม นักธุรกิจสีลม นักธุรกิจเพื่อสังคม เมื่อเห็นพวกเราสู้กันปึกแผ่น ทุกฝ่ายจึงมาร่วมกันเป็น กปปส. เป็นรูปร่าง เป็นขบวนการ ไม่เคยมีมาก่อนในประเทศไทย"
            สุเทพกล่าวว่า "ในชีวิตพวกเราทุกคนไม่เคยเห็นปรากฏการณ์นี้มาก่อน ไม่เคยมีครั้งไหนในประวัติศาสตร์ที่จะมีคนไทยลุกขึ้นมาต่อสู้ปกป้องชาติ เหมือนกับที่พี่น้องมาต่อสู้ครั้งนี้ นี่ต้องจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ หลายคนพูดว่า 'กำนันสุเทพ ถ้าทำไม่สำเร็จจะน่าเสียดายมาก เพราะว่าทำให้เสียของ คนอุตส่าห์มาเป็นล้านๆ แล้วไม่สามารถทำให้ชนะได้' พี่น้องครับ พวกผมไม่ใช่พวกเพ้อเจ้อ เป็นพวกที่เคารพความเป็นจริง ผมกราบเรียนพี่น้องว่า ชีวิตพวกเราทุกคน วางเป็นเดิมพัน ทุุ่มเทหมดหน้าตัดในการต่อสู้ครั้งนี้ พี่น้องประจักษ์ชัดว่าพวกผมทุ่มจริงๆ และเคียงข้างพี่น้องตลอด ไม่คิดเป็นห่วงอนาคตตัวเอง ประกาศชัดว่าสู้ครั้งเดียว แพ้ชนะต้องยอมรับ แต่จะสู้สุดกำลัง ทำเต็มที่ ทุ่มเททุกอย่างความพยายามเป็นเรื่องของมนุษย์ ความสำเร็จเป็นเรื่องของฟ้าดิน แต่จะไม่ละความพยายามเด็ดขาด"
         "แต่ผมกราบเรียนตามความเป็นจริง ถ้าพี่น้องประชาชนมีจำนวนเพียงแค่นี้ แม้จะมีหัวใจห้าวหาญอย่างไร กอดคอเหนียวแน่นอย่างไร สู้ต่อไปด้วยความมั่นคงอย่างไร จะต้องมีคนเจ็บ คนตาย เพราะไอ้พวกผู้ร้าย โจรห้าร้อยไม่เคยปราณีประชาชน มันถึงทำกับนักศึกษารามคำแหง คอกวัว กระทรวงการคลัง และจะทำต่อในวันข้างหน้า"
         "ผมรู้ว่าพี่น้องก้าวพ้นความกลัวแล้ว ไม่กลัวมัน ผมก็ไม่กลัวมัน ผมยินดีที่จะสู้จนตาย แต่ชัยชนะของเรามันไม่ได้วัดที่จำนวนคนเจ็บ ที่คนตาย มันวัดที่จำนวนคนที่ลุกขึ้นมากอดคอต่อสู้ ผมถึงบอกว่าการต่อสู้เรื่องนี้ต้องกำหนดวันจบได้แล้ว และผมกำหนดแล้ว"
          "วันจันทร์ที่ 9 ธันวาคม เรื่องนี้ต้องจบครับพี่น้อง" สุเทพกล่าว โดยผู้ชุมนุมได้โห่ร้องอย่างฮึกเหิม
          สุเทพกล่าวต่อว่า "ไม่มีประโยชน์ที่เราจะต่อสู้ยืดเยื้อถึงปี 2557, 2558 เราต้องกลับไปทำมาหากิน รัฐบาลเขาก็รู้ เขาถึงใช้เล่ห์เหลี่ยม ต่อรองกับเรา ตั้งใจซื้อเวลาให้เราหมดแรง ให้เราเบื่อไปเอง กูก็รู้เท่ามึง ในขณะเดียวกัน มีพี่้้น้องประชาชนจำนวนมาก ไม่อยากเห็นความรุนแรง อยากเห็นบ้านเมืองสงบ จะเป็นขี้ข้าทั้งชาติได้ไม่เป็นไร มีพี่น้องไม่อยากตากแดด ถูกฝน นอนเชียร์ในหน้าจอที่บ้าน แล้วจะให้แนวหน้าตรากตรำทั้งปีทั้งชาติ ก็เป็นหวัดหมดแล้ว โดนแก๊สหมดแล้ว ผมถึงบอกว่า ไม่ต้องยืดเยื้อ ไม่ต้องให้ยาวนานกว่านี้ เอาให้จบเลยดีกว่า ประกาศไปเลยคราวหน้า จะเป็นจะตาย จะแพ้จะชนะ ให้รู้กันวันจันทร์ที่ 9 ธันวาคมนี้"
          "คณะกรรมการ กปปส. ทุกคน แกนนำทุกคน ทุกเครือข่าย ปรึกษากันเรียบร้อยมีมติเป็นเอกฉันท์ให้ประกาศกับพี่น้องว่า วันจันทร์ที่ 9 ธันวาคมต้องทำให้การต่อสู้คราวนี้จบลงให้ได้ ต่อสู้จนมันต้องยอมแพ้จริง ๆ เท่านั้น เพราะฉะนั้น ทุกคนในประเทศไทยต้องตัดสินใจเลือกข้าง เกิดมาจนป่านนี้ ต้องตัดสินใจให้เลือกข้าง ถ้าตัดสินใจเป็นเสรีชน ปกปักรักษาบ้านเมือง รักษาชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ต้องออกมา"  หลังจากนั้น ผู้ชุมนุมตะโกนว่า "ออกมา ออกมา ออกมา" อย่างกึกก้อง
           สุเทพปราศรัยว่า "แต่ถ้าทำใจได้ว่าชาตินี้ ชาตินี้จะยอมตัวเป็นขี้ข้าระบอบทักษิณก็นอนเสพสุขที่บ้าน ไม่ต้องมา ไม่เสียใจกัน ไม่โกรธเคืองกัน ไม่ต้องฆ่ากัน ถ้าพวกคุณยอมออกมา เพราะคุณเลือกข้างถูก เลือกข้างประเทศไทย เลือกข้างประชาชนส่วนใหญ่ เลือกลูกหลาน เราชนะโดยไม่มีคนเจ็บ คนตาย เราชนะตลอดไป"
         เลขาธิการ กปปส. ยังเชิญชวนให้ข้าราชการว่า "ถ้าเห็นแก่อนาคตของประเทศไทย เห็นแก่อนาคตลูกหลานเรา หยุดทำงานไม่ต้องไปทำงาน ให้มาร่วมกับประชาชน" สุเทพระบุว่าได้ข่าวว่ารัฐบาลจะเกณฑ์ข้าราชการแต่งชุดสีกากี เกณฑ์เด็กนักเรียน มาเดินอ้อนวอนให้เลิกชุมนุม เพื่อให้บ้านเมืองสงบ และถ้าไม่เลิกชุมนุม ทักษิณสั่งไว้ให้ปราบปรามรุนแรงแบบไม่ให้เหลือผู้ชุมนุมและแกนนำ
          "ผมจึงประกาศเลย เอาเลย วันที่ 9 ให้เห็นดำเห็นแดงกันเลย" สุเทพลั่นวาจา และกล่าวว่า "พี่น้องข้าราชการถ้าจะแต่งเครื่องแบบก็แต่งได้ แต่มาแล้วต้องอยู่ข้างเดียวกับประชาชน เอาอย่างนี้ครับ นัดหมายเลย คืนนี้เลย จะได้เตรียมตัวล่วงหน้า นอนให้เต็มอิ่ม พักผ่อนให้เต็มตา วันจันทร์ 09.39 น. ลุกฮือทั้งประเทศ ทวงอำนาจอธิปไตยคืน ลุกขึ้นให้พร้อมกันทั่วประเทศ คนอยู่ต่างจังหวัดเดินขบวนในอำเภอ มุ่งหน้าไปศาลากลาง ไม่ต้องบุกรุกเข้าไป ปิดทางเข้าไม่ให้มันเข้าไปทำงาน วันที่ 9 ธ.ค. นี้แหละ นิสิต นักศึกษา นักเรียนทุกแห่ง ลุกขึ้นพร้อมกัน 9.39 น. ปฏิเสธไม่รับรัฐบาลนี้ ไม่รับระบอบทักษิณ เอาอำนาจเราคืนมา
          สุเทพนัดหมายผู้ชุมนุมใน กทม. ว่า ในช่วงหยุดยาวนี้ "ให้พาครอบครัวไปเที่ยว วันอาทิตย์ที่ 8 รีบกลับบ้าน นอนแต่หัวค่ำ วันที่ 9 ลงถนนทุกคน ใครนอนบ้านถือว่าทรยศต่อประเทศไทย ทานข้าวเช้าเรียบร้อยตั้งแต่วันที่ 9 เอาน้ำขวด เอาข้าวห่อใส่เป้ ใส่ถุง และเดินขบวนไปบนถนนทุกสายในกรุงเทพฯ เดินขบวนครั้งใหญ่ให้โลกจารึก ให้คนกรุงเทพฯ ทุกคน เดินขบวนพร้อมกัน 09.39 น. ฤกษ์ดีของประชาชน ออกมาทุกคน เดินขบวนบนถนนทุกสาย ไม่ใช่ล้านเดียว เอาทุกล้าน ออกมาหมด ทุกคนทุกคน"
         "ถ้าพี่น้องออกมาทุกคน โลกทั้งโลกจะเห็น ไม่มีใครปฏิเสธมวลมหาประชาชนหลายล้านคนได้แล้ว มากันกลางวันแสกๆ เมื่อวันที่ 24 พ.ย. เรามากลางคืน แต่วันที่ 9 ธ.ค. เรามากลางวัน ให้รู้ว่าเราทวงอำนาจเราคืน"
         "พี่น้องทั้งหลายได้ต่อสู้กันมาเดือนกว่าแล้ว หลายคนตั้งแต่วันแรกจนวันนี้ยังไม่ได้กลับบ้านเลย หลายคนมีภรรยา สามีมีพี่น้องมาเปลี่ยน แต่พรุ่งนี้ มะรืนนี้ คนที่อยู่ต่างจังหวัดที่ได้กลับบ้าน ให้กลับมาราชดำเนินได้แล้ว มาศูนย์ราชการได้แล้ว มาใหม่ ยกสุดท้ายแล้ว พี่น้องชาวกรุงเทพฯ ก็เตรียมตัว รวมพลังกันครั้งสุดท้าย ชนะเขาได้ ก็เป็นไท แพ้เขาก็ก้มหน้าก้มตาเป็นขี้ข้าเขาชาตินี้ ไม่ต้องร้องไห้"
         สุเทพระบุว่ามติดังกล่าวเกิดขึ้นหลังการพูดคุยกับแกนนำ กปปส. "ผมตัดสินใจแล้วพี่น้องครับ พูดกับพี่ๆ น้องๆ แกนนำ กปปส. จะไม่ให้พี่น้องทุกข์ยากทรมานกว่านี้ แพ้เป็นแพ้ ชนะเป็นชนะ ถ้าพี่น้องมาหลายล้าน เราจะประกาศว่าอำนาจอธิปไตยได้กลับมาถึงมือประชาชนแล้ว เราจะจัดการบริหารประเทศ จนประเทศไทยเดินหน้าได้แบบอารยะประเทศ มีกฎหมายรองรับทั้งรัฐธรรมนูญมาตรา 3 และมาตรา 7 ดังนั้นขออย่ามาบิดเบือน โดยเราจะเดินตามนี้ เราจะไม่ยึดอำนาจ เราใช้อำนาจของเราพิทักษ์รัฐธรรมนูญ"
         "ทั้งนี้ผู้ชุมนุมจะไม่มีอาวุธอื่น นอกจากหัวใจที่รักชาติ มากันให้พร้อม ถ้าพี่น้องไม่มา พี่น้องที่สู้ทั้งหมดนี้ก็พร้อมจะยอมรับความพ่ายแพ้ ชีวิตจะร้องไห้ครั้งนี้มากที่สุดจะยินดี จะไม่เสียใจอีก เพราะถือว่าชาตินี้ได้สู้อย่างเต็มที่แล้ว ผมขอประกาศว่านี่คือเป่านกหวีดครั้งสุดท้าย ถ้าพี่น้องประชาชนทั้งหลาย ข้าราชการทั้งหลาย ถ้าไม่เลือกข้าง พวกผมยอม ถ้าประชาชนไม่ออกมา ผมจะไปเข้าคุก ไม่สู้กับมันแล้ว จะได้ไม่ต้องทรมาน ถ้าชาตินี้จะชนะให้ได้ต้องวันที่ 9 ธ.ค. ถ้าไม่ชนะก็ไม่ต้องฝันเป็นอย่างอื่นแล้ว ยอมมันไปเลย ผมและพี่ๆ น้องๆ ปรึกษากันแล้ว ยอมติดคุกข้อหากบฎ จะเอาโทษถึงประหารชีวิตก็ได้ เพราะเป็นชีวิตพวกผม 9 คน ดีกว่าเอาชีวิตพี่น้องไปเสี่ยงกับผู้คนที่เป็นฆาตกรในรัฐบาล จึงกำหนดวันชีชะตาคือวันที่ 9 ธ.ค. นี้"
          "เรามาดูใจพี่น้องชาวไทย สายเลือดเดียวกับเราในวันที่ 9 ธ.ค. ว่าใจใครมันจะใหญ่กว่าใคร มาพิสูจน์กัน จะได้จบเสียที ประเทศชาติจะได้ไม่เสียหายไปมากกว่านี้ และจะได้ไม่มีเหตุที่เกิดการบาดเจ็บล้มตายของประะชาชน เอาอย่างนี้นะครับพี่น้อง ตกลงไหมครับ" โดยผู้ชุมนุมตะโกนว่า "ตกลง" หลังจากสุเทพระบุว่าผู้ชุมนุมที่ศูนย์ราชการจะยังคงปักหลักอยู่จนถึงคืนวันอาทิตย์ "และคืนวันอาทิตย์นอนแต่หัวค่ำเก็บข้าวทุบหม้อข้าวเลย ตื่นเช้าวันจันทร์ เดินทางไกลครั้งสุดท้าย ผมจะเดินนำหน้าพี่น้องไปทำเนียบรัฐบาล และจะไม่กลับมาที่นี่อีก ไปตัดสินผลแพ้ชนะที่หน้าทำเนียบรัฐบาล ไม่เข้าไปในทำเนียบ เพราะจะให้เกียรติทหาร แต่จะดูใจทหารในเช้าวันที่ 9 ธ.ค. เหมือนกัน"
           "เพราะฉะนั้น พี่น้องที่สะดวกไปราชดำเนิน ไปสมทบกระทรวงการคลัง ใครมาจากต่างจังหวัดจะมาค้างคืนที่นี่ศูนย์ราชการ แล้วเดินไปด้วยกัน ขอกราบเรียนพี่น้องชาวกรุงเทพฯ ใครที่ไม่ต้องการมาต่อสู้ร่วมกับเรา นอนอยู่ที่บ้าน เพราะถ้าท่านออกมานอกบ้านรถจะติด เพราะเราเดินทุกถนน ถ้าท่านจะโกรธเราก็ยอม ถ้าจะต้องปิดไปทั้งเมืองก็ช่วยไม่ได้ เพราะชีวิตนี้เราจะยอมแล้ว"
          พี่น้องถ้าเห็นว่าสมุนทรราชย์ระบอบทักษิณใช้ความรุนแรง ท่านจะจอดรถกั้นตรงไหนตามใจชอบ ทุกคนมีเสรีภาพ ในการเดินขบวนทางไกลจากที่นี่ไปทำเนียบ 17-18 กม. คนหนุ่ม คนสาว มีเรี่ยว มีแรง เดินไป คนที่เดินแล้วเหนื่อย จะมีรถมารับขึ้น เชียร์เพื่อนไป ไม่เป็นไร เราไปด้วยกัน แล้วบอกพี่น้องจากแจ้งวัฒนะ วิภาวดี ขาเข้า ขาออก วันนั้นอย่าคิดใช้ถนน เราเดินหมดทุกเลน พี่น้องที่สุขุมวิทให้เดินทางบ้านตัวเอง เดินไปสุขุมวิท เป้าหมายคือทำเนียบรัฐบาล พี่น้องสีลม ประตูน้ำ บึงกุุ่ม ฝั่งธน เดินมาจากจุดนั้นเป็นเสรีชนเอาอำนาจคืนมา วันเดียว ขอวันเดียวถูกต้องนะครับ แล้วก็พิสูจน์อนาคตประเทศไทยกันเลย ว่าจะเป็นประเทศไทยที่เป็นฟ้าสีทองหรีอไม่ ผมไม่ต้องการเอาความทุกข์ยากพี่น้องไปลงทุนแล้ว ผมเห็นใจ ผมยอมมอบตัวข้อหากบฎให้มันรู้แล้วรู้รอดไปเลย ถ้าแพ้มันเป็นข้าทาสในสังคม หรือติดคุกก็เหมือนกัน ดังนั้นนัดเลยนะครับ 9.39 น. วันจันทร์ที่ 9 รู้กัน ตัดสินกันวันนั้นเลยครับ

นักวิชาการ มธ.บรรยายสาธารณะ ไม่เห็นด้วยอธิการบดีสั่งหยุดสอน

นักวิชาการ มธ.บรรยายสาธารณะ ไม่เห็นด้วยอธิการบดีสั่งหยุดสอน

            3 ธ.ค. 2556 ที่โถงอาคารเรียนรวมสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) ศูนย์รังสิต คณะอาจารย์ มธ. บางส่วน ประกอบด้วย วรเจตน์ ภาคีรัตน์ ยุกติ มุกดาวิจิตร ประจักษ์ ก้องกีรติ ปิยบุตร แสงกนกกุล และอื่นๆ ได้จัดอภิปราย "ห้องเรียนประชาธิปไตย" แสดงความไม่เห็นด้วยต่อการสั่งปิดการเรียนการสอนของมหาวิทยาลัยระหว่างวันที่ 2, 3 และ 4 ในทุกวิทยาเขต โดยชี้ว่า เป็นการออกคำสั่งโดยไม่ได้รับฟังความคิดเห็นของประชาคมธรรมศาสตร์ทั้งหมด และอาจแสดงให้เห็นว่า มธ. ได้เลือกข้างทางการเมือง จากการหยุดการเรียนการสอนสอดคล้องกับการนัดหยุดงานของแกนนำ กปปส. สุเทพ เทือกสุบรรณ

รัฐบาลแอฟริกาใต้ประกาศ 'เนลสัน แมนเดลา' เสียชีวิตแล้ว

รัฐบาลแอฟริกาใต้ประกาศ 'เนลสัน แมนเดลา' เสียชีวิตแล้ว

            เนลสัน แมนเดลา อดีตประธานาธิบดีแอฟริกาใต้ เสียชีวิตแล้วด้วยวัย 95 ปี โดยเป็นหนึ่งในผู้ต่อสู้เพื่อความเสมอภาคในแอฟริกาใต้ ต่อต้านนโยบายแบ่งแยกสีผิว ถูกจองจำนานถึง 27 ปี กระทั่งได้รับการปล่อยตัวและชนะการเลือกตั้งได้เป็นประธานาธิบดีผิวสีคนแรกของแอฟริกาใต้

เนลสัน แมนเดลา ในวันที่ได้รับการปล่อยตัวเมื่อ 12 ก.พ. 2533 หลังถูกจองจำมานานกว่า 27 ปี (ที่มา: หนังสือพิมพ์ The Weekly Mail, February 12 1990)

เนลสัน แมนเดลา ในปี 2551 (ที่มา: วิกิพีเดีย)

          6 ธ.ค. 2556 - เมื่อคืนวันที่ 5 ธ.ค. ตามเวลาท้องถิ่นของแอฟริกา ประธานาธิบดียาค็อป ซูมา แห่งแอฟริกาได้ ได้ประกาศว่าอดีตประธานาธิบดีแอฟริกาเนลสัน แมนเดลา เสียชีวิตแล้ว ที่บ้านพักของเขาในเมืองโจฮันเนสเบิร์ก สิริอายุ 95 ปี ทั้งนี้ อัลจาซีรารายงานว่า อดีตประธานาธิบดีแมนเดลาต้องพักรักษาตัวในโรงพยาบาลมากกว่า 3 เดือน เพื่อรักษาอาการติดเชื้อในปอด
 นักเรียนกฎหมายวัยหนุ่มและการต่อสู้เพื่อความเสมอภาคในแอฟริกาใต้
         แมนเดลาเป็นบุคคลสำคัญในขบวนการการต่อต้านนโยบาย Apartheid หรือนโยบายแบ่งแยกสีผิว ทั้งนี้เขาเกิดเมื่อปี 2461 ที่เมืออุมตาตู ในครอบครัวของผู้ปกครองเผ่าเทมบู ในแคว้นทรานสไก แมนเดลาได้รับการศึกษาด้านกฎหมายจากที่มหาวิทยาลัยฟอร์ตแฮร์ (Fort Hare University) และมหาวิทยาลัยวิตวอเตอร์สรันด์ (University of Witwatersrand) ที่โจฮันเนสเบิร์ก และที่เมืองนี้เอง ทำให้เขาเข้ามาเกี่ยวข้องกับการเมืองแนวต่อต้านอาณานิคมร่วมกับขบวนการสมัชชาแห่งชาติแอฟริกา หรือ ANC และเป็นสมาชิกผู้ก่อตั้งสันนิบาตเยาวชนของ ANC
           อย่างไรก็ตามภายหลังที่พรรคชาตินิยมชนะการเลือกตั้งในปี 2491 และเริ่มนโยบายแบ่งแยกสีผิว แมนเดลาเป็นผู้นำสำคัญในแคมเปญของ ANC เพื่อต่อต้านนโยบายดังกล่าว และในปี 2495 ได้รับเลือกเป็นประธานสาขาของ ANC ที่ทรานสวาล (Transvaal) และเข้าร่วมสมัชชาประชาชนเมื่อปี 2498
           ทั้งนี้ แมนเดลากับเพื่อนนักกฎหมายคือ โอลิเวอร์ แทมโบ ได้เปิดสำนักกฎหมาย "Mandela and Tambo" ขึ้น เพื่อให้คำปรึกษาทางกฎหมายแก่ชาวแอฟริกันผิวสีในราคาต่ำหรือไม่คิดมูลค่า อย่างไรก็ตามเขามักจะถูกจับในข้อหาปลุกปั่น ทั้งนี้แม้ว่า แมนเดลา จะบอกว่าเขานั้นได้รับอิทธิพลการต่อสู้ในเชิงสันติอหิงสาจากมหาตมะ คานธี และพยายามผูกมิตรกับเหล่านักการเมืองเชื้อชาติอื่นทั้งคนผิวขาวและคนผิวสี
           อย่างไรก็ตามภายหลังเหตุการณ์สังหารที่ชาร์ปเพวิลล์ (The Sharpeville massacre) ซึ่งมีผู้เสียชีวิต 69 คนจากการประท้วงที่สถานีตำรวจของเมือง ในเดือนมีนาคมปี 2503 ทำให้ ANC ตัดสินใจต่อต้านนโยบาบแบ่งแยกสีผิวด้วยการใช้กำลังอาวุธ โดยในปี 2504 แมนเดลาก่อตั้งและขึ้นเป็นผู้นำกลุ่ม "Umkhonto we Sizwe" หรือ "หอกแห่งชาติ" ซึ่งเป็นฝ่ายติดอาวุธของกลุ่ม ANC เพื่อต่อต้านนโยบายแบ่งแยกสีผิวด้วยการใช้กำลังอาวุธ "คนของพวกเราเป็นนักสู้เพื่อเสรีภาพที่ถูกฝึกมาอย่างดี ไม่ใช่ผู้ก่อการร้าย" เนลสันกล่าวไว้ในแถลงการณ์เมื่อปี 2513 ว่า
          "พวกเรากำลังต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย การปกครองโดยคนหมู่มาก เพื่อสิทธิของชาวแอฟริกันที่จะได้ปกครองแอฟริกา พวกเรากำลังต่อสู้เพื่อแอฟริกาใต้ อันจะนำมาซึ่งความสงบสุข ปรองดอง และให้ประชาชนทุกคนมีสิทธิเท่าเทียมกัน"
          ต่อมาในวันที่ 5 สิงหาคม 2505 เขาและแกนนำคนอื่นๆ ถูกจับกุม และถูกตั้งข้อหาก่อวินาศกรรมและโค่นล้มรัฐบาลด้วยการใช้กำลัง ทั้งนี้เขาถูกจำคุกเป็นเวลา 27 ปี
           อย่างไรก็ตามมีการรณรงค์ในต่างประเทศกดดันให้รัฐบาลแอฟริกาใต้ในขณะนั้นปล่อยตัวเนลสัน แมนเดลาและผู้ถูกจับกุม และมีรัฐบาลหลายประเทศที่คว่ำบาตรนโยบายเหยียดผิวของแอฟริกาใต้ โดยเหตุการณ์รณรงค์ที่สำคัญครั้งหนึ่งคือการจัดคอนเสิร์ตที่สนามเวมบลีย์ในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ เมื่อ 11 มิถุนายน 2531 ในโอกาสวันคล้ายวันเกิดครบรอบ 70 ปีของแมนเดลาในวันที่ 18 กรกฎาคม และเรียกร้องให้มีการปล่อยตัวแมนเดลาและเพื่อน โดยมีการถ่ายทอดสดไป 67 ประเทศทั่วโลก มีผู้ชม 600 ล้านคน อย่างไรก็ตามในสหรัฐอเมริกา สถานีโทรทัศน์ฟ็อกซ์ได้เซ็นเซอร์บางช่วงของคอนเสิร์ตที่มีเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับการเมือง
 ได้รับการปล่อยตัว และการปรองดองแห่งชาติ
           กระทั่งในปี 2533 หลังแอฟริกาใต้มีการเปลี่ยนประธานาธิบดีคนเก่าซึ่งป่วยหนัก มาเป็น เฟรเดอริค วิลเลม เดอ เคลิร์ก นโยบายเหยียดผิวในแอฟริกาใต้เริ่มผ่อนปรน โดยเดอ เคลิร์ก ได้ประกาศปล่อยตัวแมนเดลาเป็นอิสระในเดือนกุมภาพันธ์ 2533
          ทั้งนี้เดอ เคลิร์ก และแมนเดลา ได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพร่วมกันในปี 2536 จากบทบาทสำคัญของทั้งสองในการยุติยุคแห่งการแบ่งแยกสีผิวในแอฟริกาใต้
            และภายหลังได้รับการปล่อยตัว แมนเดลากลับมามีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนกระบวนการประชาธิปไตยสำหรับทุกเชื้อชาติในแอฟริกาใต้ และได้รับการเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีผิวสีคนแรก หลังการเลือกตั้งทั่วไป 27 เมษายน 2537 และเขาได้ตั้งรัฐบาลเอกภาพแห่งชาติ โดยมีเดอ เคลิร์ก และทาโบ อึบแบกีเป็นรองประธานาธิบดี ในช่วงที่เขาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี ได้แก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการเหยียดสีผิว และได้ริเริ่มโครงการพัฒนาและปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐาน หรือ (RDP) เพื่อสร้างความเสมอภาคทางเศรษฐกิจแก่ประชาชนหลังสิ้นสุดยุคแบ่งแยกสีผิว
            หลังจากนั้นอีก 5 ปีเขาได้ลงจากอำนาจ แต่ยังมีบทบาทสำคัญอื่นๆ อาทิเป็นผู้รณรงค์ต่อสู้ในประเด็นเรื่องโรคเอดส์ และสนับสนุนให้แอฟริกาได้สิทธิเป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลกในปี 2553 นอกจากนี้ยังคงมีบทบาทในการเจรจาสันติภาพในสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก และประเทศอื่นๆ ในแอฟริกา
           ทั้งนี้ แมนเดลาอำลาการเมืองในปี 2547 ด้วยวัย 85 ใช้ชีวิตอยู่กับครอบครัวและเพื่อน โดยไม่ค่อยออกงานสังคมมากนัก ยกเว้นการปรากฏตัวของเขาในพิธีปิดการแข่งขันฟุตบอลโลกที่แอฟริกาใต้ในปี 2553
         อนึ่งมีรายงานครึกโครมในสื่อมวลชนไทยด้วยว่าในปี 2553 ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เคยเดินทางไปเยี่ยมคารวะเนลสัน แมนเดลาด้วย และทางสำนักงานของแมนเดลา ระบุว่าเป็นการขอเข้าพบส่วนตัว

คลิปฝรั่งถ่าย "การ์ดม็อบนกหวีด" นับสิบรุมกระทืบมอไซต์ลากกลางถนน

คลิปฝรั่งถ่าย "การ์ดม็อบนกหวีด" นับสิบรุมกระทืบมอไซต์ลากกลางถนน

             คลิปวิดิโอจากไอโฟนนักท่องเที่ยวระบุชัด “ม็อบนรกส่งมาเกิด” ใส่เสื้อการ์ดนับสิบรุมถล่มร่างกาย คนขับมอเตอร์ไซต์พังยับ ฟาดด้วยป้ายจราจร ลากไปกระทืบ เอามอเตอร์ไซทับเตรียมเผากลางถนน

           จากกรณี ที่ม็อบนกหวีดได้เผยแพร่ข่าวสาร ตลอดทั้งวันว่า มีเหตุการณ์ม็อบนกหวีดโดนทำร้ายเมื่อกลางดึก ที่แยกคอกวัว โดยใส่ร้ายว่าเป็นคนเสื้อแดงทำร้ายการ์ดนกหวีดนั้น

            ล่าสุด ความจริงได้เปิดเผยขึ้น เมื่อนักท่องเที่ยวต่างชาติได้บันทึกเหตุการณ์ดังกล่าวไว้ โดยผู้ใช้ไอดี http://www.liveleak.com/view?i=0f6_1386344448 ได้เผยแพร่คลิปที่อ้างว่าถ่ายเมื่อรุ่งเช้าวันที่ 6 ธันวาคม แสดงภาพม็อบการ์ดนกหวีดนับสิบๆ ราย ใส่เสื้อสกรีน “รักชาติ ที่ราชดำเนิน” นับสิบคนได้รุมทำร้าย คนขับมอเตอร์ไซต์หนึ่งคัน โดยไม่ทราบสาเหตุ การ์ดนับสิบๆ คนหวดกระหน่ำทั้งกระบองไม้ กระบองเหล็ก ลงไปยับคนขับและรถมอเตอร์ไซต์ จนเกิดประกายไฟวาบขึ้นตลอดเวลา และหยิบเอาป้ายจราจรฟาดลงคนขับที่ไม่สามารถช่วยตัวเองได้ จากนั้น การ์ดม็อบนกหวีด ได้ลากคนขับที่หมดสภาพแน่นิ่งลากถูไปกับพื้นถนน และหยิบรถมอเตอร์ไซต์ขึ้นทุ่มใส่คนขับที่นอนแน่นอนอยู่บนนถนนหมายเผาทั้งรถและคนไปพร้อมๆ กัน ท่ามกลางความตกใจของนักท่องเที่ยวทั้งซอยข้าวสาร


Man brutally beaten by mob in Bangkok during protests

December 6, 2013

Man brutally beaten by a mob in Bangkok at the end of Khao San Road, Kok Wua intersection in front of the Burger King. This happened in the early morning on December 6, 2013. I don't claim to know the how's and why's of the situation. I recorded the video from a witness' iphone screen. The witness gave me his impression, but with no way to verify and because of the tensions these days in Bangkok, I won't share what he told me.

Read more at http://www.liveleak.com/view?i=0f6_1386344448#ehjQsWiwHPDqmr63.99 — at Khoa san road. Bangkok (ถนนข้าวสาร).