Mubarak, Berlusconi and the King of Thailand: The 10 richest world leadersFormer Egyptian President Hosni Mubarak in a file photo. CRIS BOURONCLE/AFP/Getty ImagesPhotograph by: CRIS BOURONCLE/AFP/Getty Images, VSEgypt's Hosni Mubarak resigned power as Egypt's president today, and leaves with a reported fortune of anytwhere between $40-70 billion. Here are some other world leaders who have a healthy nest egg socked away for their retirement: 1. King Bhumibol Adulyadej, Thailand $30 billion The longest-serving monarch, 82-year-old King Bhumibol Adulyadej is also the richest. His wealth includes vast land holdings, including some 3,500 acres in Bangkok. The Thai government has disputed his position as the wealthiest head of state, saying that much of this is not part of his personal wealth. 2. Sultan Haji Hassanal Bolkiah of Brunei $20 billion Brunei's oil and gas reserves have kept the Sultan among the world's richest, and he spends accordingly: as well as having a love for luxury cars, for his 50th birthday in 1996 he hired Michael Jackson to perform. Court papers revealed that he paid $2 million to his badminton coach, and $2 million pounds for acupuncture and massage. And two housekeepers were each paid around $11 million. 3. Khalifa bin Zayed Al Nahyan (President of UAE) $18 billion President of the UAE and hereditary ruler of its capital emirate, Abu Dhabi. UAE is home to one-tenth of world's oil reserves; petrodollars-dollars are the president's family's original source of wealth. Sheikh Khalifa spent more than $1 billion - including $200 million on a Frank Gehry- designed Guggenheim museum - on branding Abu Dhabi as a cultural center. 4. King Abdullah bin Abul Aziz of Saudi Arabia $21 billion Saudi Arabia's vast oil reserves are behind the wealth of King Abdullah. Supports the $27 billion King Abdullah Economic City, a massive 20-year development started in 2006 and named for him. 5. Sheikh Mohammed Bin Rashid Al Maktoum, Dubai $12 billion State-owned Dubai World owns DP World Ltd., the third-largest international port operator; Istithmar World, a private equity firm that acquired Barney's New York in 2007 and Nakheel PJSC, builder of palm-shaped islands in the Persian Gulf. 6. Hosni Mubarak $10 billion President Hosni Mubarak has a personal fortune of $10 billion, and his family fortune is estimated at between $40-70 billion. Wealth is spread across several accounts and properties in the United States, Switzerland, Britain, and Germany. 7. Silvio Berlusconi $9 billion Started out singing on cruise ships. Eventually built fortune through Fininvest, which now has interests in media, life insurance, movie production and soccer team A.C. Milan. His many critics charge that he has used his political career to maximize that wealth. 8. Hans-Adam II, Prince of Liechtenstein $3.5 billion The fortune of Liechtenstein's monarch comes from the royal family's ownership of the country's LGT Bank. He owns an estimated 50,000 acres of land in Austria and several 17th-century palaces as well as a 400-year old art collection. 9. Emir of Qatar $2 billion The head of a country with the world's third largest natural gas reserves, Sheikh Hamad bin Khalifa Al Thani's expensive tastes include horse and camel racing. Passionate about art, inaugurated I.M. Pei-designed Museum of Islamic Art. 10. Asif Ali Zardari, President of Pakistan $1.9 billion Nicknamed "Mr 10 per cent" thanks to the corruption allegations that have dogged him, Benazir Bhutto's widower is accused by the National Accountability Bureau of holding $1.5bn in assets abroad, including 14 multi-million dollar mansions in the United States. © Copyright (c) The Vancouver Sun more:http://www.vancouversun.com/business/Mubarak+Berlusconi+King+Thailand+richest+world+leaders/4267406/story.html#ixzz1DrFhWMhz |
ดาวน์โหลดคลิ๊ปคนเสื้อแดง
วันอาทิตย์ที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554
Mubarak, Berlusconi and the King of Thailand: The 10 richest world leadersmore:http://www.vancouversun.com/business/Mubarak+Berlusconi+King+Thailand+richest+world+leaders/4267406/story.html#ixzz1DrFhWMhz |
สื่อเทศแพร่ภาพทหารกัมพูชาขนอาวุธ รถถัง กำลังทหาร เข้าใกล้ชายแดนไทย
สำนักข่าวเอเคพีของทางการทหารกัมพูชาเผยแพร่ภาพล่าสุดของขบวนรถถังและกำลังทหารเคลื่อนจากที่ตั้งแห่งหนึ่งใน จ.พระวิหาร มายังชายแดนกัมพูชา-ไทยบริเวณเขาพระวิหาร เมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา
....................................................................................................................................
ได้รับยืนยันจากเพื่อนที่เป็นทหารแตงโม ระดับคุมกำลัง ขณะนี้ "ทะเหี้ย" ระดับสูงสั่งเตรียมพร้อม 100% โดยอ้างการปะทะกันตามแนวชายแดนกับเขมร และเหตุการณ์วุ่ยวายภายในประเทศ
สำนักข่าวเอเคพีของทางการทหารกัมพูชาเผยแพร่ภาพล่าสุดของขบวนรถถังและกำลังทหารเคลื่อนจากที่ตั้งแห่งหนึ่งใน จ.พระวิหาร มายังชายแดนกัมพูชา-ไทยบริเวณเขาพระวิหาร เมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา
....................................................................................................................................
ได้รับยืนยันจากเพื่อนที่เป็นทหารแตงโม ระดับคุมกำลัง ขณะนี้ "ทะเหี้ย" ระดับสูงสั่งเตรียมพร้อม 100% โดยอ้างการปะทะกันตามแนวชายแดนกับเขมร และเหตุการณ์วุ่ยวายภายในประเทศ
เอกสารแจกจ่ายบริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ต้านรัฐประหารอย่างเป็นระบบ
โดย กลุ่มธรรมศาสตร์เสรีเพื่อประชาธิปไตย http://www.facebook.com/lltd.tu
ก้าวบันไดแต่ละขั้นต้องกระทำโดยสันติวิธีทุกกรณี ไม่มีการใช้กำลังใดๆ และไม่นำตัวเองไปอยู่ในจุดเสี่ยงอันตรายแก่ชีวิตโดยไม่จำเป็น
ขั้นแรก: เฝ้าระวังและตระเตรียมการป้องกัน
1. ทำซ้ำ แจกจ่ายเอกสารนี้ และให้ความรู้ วิธีการต่อต้านรัฐประหาร แก่ญาติพี่น้อง และคนใกล้ชิดของท่าน
2. ผลักดันให้ข้อเสนอในเอกสารนี้ออกสื่อชุมชน เช่น วิทยุชุมชน เว็บไซต์ นปช. และ เว็บไซต์ของผู้รักประชาธิปไตย
3. เผยแพร่อุดมการณ์ประชาธิปไตย และข้อเสียของการรัฐประหารใหแก่ เจ้าหน้าที่รัฐ ทหาร ที่ท่านรู้จัก
ขั้นสอง: ขั้นต่อต้านการรัฐประหาร แบ่งเป็นสองช่วง
ช่วงทำทันทีหลังการรัฐประหาร
1. ออกมายืนตามถนน ถ้ามีการปราบให้สลายตัวแล้วออกมาใหม่ ไม่เป็นเป้านิ่ง ไม่ต้องมีเวที
2. จอดรถ นำสิ่งของมาทิ้งไว้กลางถนน เพื่อขวางการเคลื่อนกำลัง
3. ปฏิเสธคำสั่งหรือประกาศใดๆ ไม่ให้ความร่วมมือกับทางการและคณะรัฐประหาร
4. แสดงท่าทีเป็นมิตรกับทหาร และชวนทหารมาเป็นพวกให้ได้มากที่สุด
5. สร้างสัญลักษณ์การต่อต้านที่เสื้อเช่นผูกผ้าสีดำที่แขนเสื้อ ติดสติ๊กเกอร์หรือธงที่มีสัญลักษณ์หรือข้อความต่อต้านรัฐประหารทุกที่ ติดใหม่หากถูกเอาออก
6. บันทึกภาพและเสียง การปราบปรามประชาชน หรือการเคลื่อนย้ายกำลัง รักษาต้นฉบับเอาไว้ ทำซ้ำและแจกจ่ายให้กว้างขวางโดยวิธีการต่างๆ ทั้งในและนอกประเทศ ผ่านสังคมออนไลน์เช่นเฟซบุ๊กและทวิตเตอร์
7. หยุดงานประท้วงเป็นเวลา 1 อาทิตย์ เพื่อแสดงความไม่เห็นด้วย
ช่วงกระทำระยะยาว เพื่อต่อต้านการรัฐประหาร
1. ไม่จ่ายภาษี ค่าสาธารณูปโภครัฐ
2. ถอนเงินจากธนาคารให้หมดสิ้น
3. จัดกิจกรรมเชิงสัญลักษณ์เป็นประจำทุกสัปดาห์ เพื่อแสดงถึงการไม่ยอมรับการรัฐประหาร
4. ทำจดหมายจากประชาชน เรียกร้องให้ศาลไม่รับรองคณะรัฐประหาร
5. ต่อต้านกลุ่มที่สนับสนุนการทำรัฐประหารทางเศรษฐกิจ โดยจะประจานและประท้วงธุรกิจนั้นๆ
ขั้นสาม หลังการต้านรัฐประหารสำเร็จ ขั้นเฝ้าระวังการฉวยโอกาส และฟื้นฟูระบบระเบียบแบบแผน
1. ส่งเสริมให้มีการเลือกตั้งใหม่ เพื่อให้การปกครองเป็นระบอบประชาธิปไตยอย่างแท้จริง
2. เรียกร้องให้จับกุมดำเนินคดี กับคณะผู้ก่อการรัฐประหาร
3. ผลักดันให้มีการปฏิรูปการเมืองจากภาคประชาชน
4. เฝ้าระวังการฉวยโอกาสตั้งรัฐบาลใหม่ จากกลุ่มไม่พึงประสงค์ตามระบอบประชาธิปไตย
5. กลับเข้าทำงาน และใช้ชีวิตประจำวันตามปกติ ช่วยเหลือเจ้าหน้าที่รัฐในการฟื้นฟูความเสียหายเท่าที่ทำได้ ไม่กระทำการใดๆ หรือเชื่อฟังคำสั่งหรือข่าวลือใดๆ อันเป็นการขัดต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตย และต่อกฎหมาย
หมายเหตุ: เอกสารนี้ทางกลุ่มได้จัดพิมพ์และพร้อมแจกจ่ายแก่ประชาชนในวันอาทิตย์ที่ 13 กุมภาพันธ์นี้ ณ บริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย
ก้าวบันไดแต่ละขั้นต้องกระทำโดยสันติวิธีทุกกรณี ไม่มีการใช้กำลังใดๆ และไม่นำตัวเองไปอยู่ในจุดเสี่ยงอันตรายแก่ชีวิตโดยไม่จำเป็น
ขั้นแรก: เฝ้าระวังและตระเตรียมการป้องกัน
1. ทำซ้ำ แจกจ่ายเอกสารนี้ และให้ความรู้ วิธีการต่อต้านรัฐประหาร แก่ญาติพี่น้อง และคนใกล้ชิดของท่าน
2. ผลักดันให้ข้อเสนอในเอกสารนี้ออกสื่อชุมชน เช่น วิทยุชุมชน เว็บไซต์ นปช. และ เว็บไซต์ของผู้รักประชาธิปไตย
3. เผยแพร่อุดมการณ์ประชาธิปไตย และข้อเสียของการรัฐประหารใหแก่ เจ้าหน้าที่รัฐ ทหาร ที่ท่านรู้จัก
ขั้นสอง: ขั้นต่อต้านการรัฐประหาร แบ่งเป็นสองช่วง
ช่วงทำทันทีหลังการรัฐประหาร
1. ออกมายืนตามถนน ถ้ามีการปราบให้สลายตัวแล้วออกมาใหม่ ไม่เป็นเป้านิ่ง ไม่ต้องมีเวที
2. จอดรถ นำสิ่งของมาทิ้งไว้กลางถนน เพื่อขวางการเคลื่อนกำลัง
3. ปฏิเสธคำสั่งหรือประกาศใดๆ ไม่ให้ความร่วมมือกับทางการและคณะรัฐประหาร
4. แสดงท่าทีเป็นมิตรกับทหาร และชวนทหารมาเป็นพวกให้ได้มากที่สุด
5. สร้างสัญลักษณ์การต่อต้านที่เสื้อเช่นผูกผ้าสีดำที่แขนเสื้อ ติดสติ๊กเกอร์หรือธงที่มีสัญลักษณ์หรือข้อความต่อต้านรัฐประหารทุกที่ ติดใหม่หากถูกเอาออก
6. บันทึกภาพและเสียง การปราบปรามประชาชน หรือการเคลื่อนย้ายกำลัง รักษาต้นฉบับเอาไว้ ทำซ้ำและแจกจ่ายให้กว้างขวางโดยวิธีการต่างๆ ทั้งในและนอกประเทศ ผ่านสังคมออนไลน์เช่นเฟซบุ๊กและทวิตเตอร์
7. หยุดงานประท้วงเป็นเวลา 1 อาทิตย์ เพื่อแสดงความไม่เห็นด้วย
ช่วงกระทำระยะยาว เพื่อต่อต้านการรัฐประหาร
1. ไม่จ่ายภาษี ค่าสาธารณูปโภครัฐ
2. ถอนเงินจากธนาคารให้หมดสิ้น
3. จัดกิจกรรมเชิงสัญลักษณ์เป็นประจำทุกสัปดาห์ เพื่อแสดงถึงการไม่ยอมรับการรัฐประหาร
4. ทำจดหมายจากประชาชน เรียกร้องให้ศาลไม่รับรองคณะรัฐประหาร
5. ต่อต้านกลุ่มที่สนับสนุนการทำรัฐประหารทางเศรษฐกิจ โดยจะประจานและประท้วงธุรกิจนั้นๆ
ขั้นสาม หลังการต้านรัฐประหารสำเร็จ ขั้นเฝ้าระวังการฉวยโอกาส และฟื้นฟูระบบระเบียบแบบแผน
1. ส่งเสริมให้มีการเลือกตั้งใหม่ เพื่อให้การปกครองเป็นระบอบประชาธิปไตยอย่างแท้จริง
2. เรียกร้องให้จับกุมดำเนินคดี กับคณะผู้ก่อการรัฐประหาร
3. ผลักดันให้มีการปฏิรูปการเมืองจากภาคประชาชน
4. เฝ้าระวังการฉวยโอกาสตั้งรัฐบาลใหม่ จากกลุ่มไม่พึงประสงค์ตามระบอบประชาธิปไตย
5. กลับเข้าทำงาน และใช้ชีวิตประจำวันตามปกติ ช่วยเหลือเจ้าหน้าที่รัฐในการฟื้นฟูความเสียหายเท่าที่ทำได้ ไม่กระทำการใดๆ หรือเชื่อฟังคำสั่งหรือข่าวลือใดๆ อันเป็นการขัดต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตย และต่อกฎหมาย
หมายเหตุ: เอกสารนี้ทางกลุ่มได้จัดพิมพ์และพร้อมแจกจ่ายแก่ประชาชนในวันอาทิตย์ที่ 13 กุมภาพันธ์นี้ ณ บริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย
DnnFocus พัฒนาการแดงชุมนุมมหากาพย์การต่อสู้ 13-02-54
ชะตากรรมเผด็จการ "อายัดทรัพย์มูบารัก"
อายัดทรัพย์ ‘มูบารัก’ กันการยักยอก
สวิตเซอร์แลนด์ สั่งอายัดบัญชีประธานาธิบดีมูบารัค แล้ว หลังลงจากตำแหน่ง ระบุ เพื่อป้องกันการยักยอกทรัพย์ของทางการอียิปต์
สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานว่า กระทรวงการต่างประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ออกมาระบุว่า รัฐบาลสวิส ได้สั่งอายัดทรัพย์ของ ประธานาธิบดีฮอสนี มูบารัก แห่งอียิปต์ พร้อมสมาชิกในครอบครัวและคนใกล้ชิด ในสวิตเซอร์แลนด์แล้ว หลังจากเขาถูกบีบให้ลงจากตำแหน่งไม่นาน ซึ่งเป้าหมายของการอายัดทรัพย์เป็นเวลา 3ปีนี้เพื่อป้องกันความเสี่ยงของกการยักยอกทรัพย์ของ ทางการอียิปต์ ขณะที่นอกเหนือจากอายัดเงินสดและการลงทุนในบัญชีธนาคารสวิสแล้ว คำสั่งนี้ยังมุ่งไปที่การห้ามขาย หรือ ถ่ายโอนที่อยู่หรืออสังหาริมทรัพย์ เพื่อการพาณิชย์ ซึ่งยังไม่ชัดเจนว่า ทรัพย์สินเหล่านี้อยู่ในสวิตเซอร์แลนด์หรือไม่
อย่างไรก็ตาม เดือนมกราคมที่ผ่านมา ทางการสวิส เคยอายัดทรัพย์ของอดีตประธานาธิบดีไซเน เอล อัลบาดีน เบน อาลี แห่งตูนิเซีย ไปแล้ว หลังจากถูกประชาชนลุกขึ้นก่อจลาจล จนต้องหนีออกนอกประเทศทั้งที่อยู่ในอำนาจมา 23ปี โดยทรัพย์สินที่ถูกอายัดครั้งนั้น มีประมาณ "เลขหลักล้าน 2หลัก" และกำลังรอให้ทางการตูนิเซีย ไปดำเนินการทางกฎหมาย เพื่อรับคืน
มาร์คดูไว้ "ศาลปากีฯ ออกหมายจับ "มูชาร์ราฟ" คดีสังหาร "บุตโต"
อัยการเชาดรี ซุลฟิการ์ อาลี กล่าวว่า ผู้พิพากษารานา นิซาร์ อาหมัดได้ออกหมายจับอดีตประธานาธิบดีมูชาร์ราฟ โดยไม่อนุญาตให้ประกันตัว พร้อมกับสั่งให้เขาต้องมารายงานตัวต่อศาลในวันที่ 19 กุมภาพันธ์นี้
อาลีเผยหลังการพิจารณาแบบไม่เปิดเผยในเรือนจำเมืองราวัลปินดีว่า คณะสอบสวนร่วมในคดีลอบสังหารบุตโตระบุในรายงานว่า มูชาร์ราฟมีส่วนพัวพัน และรับผิดชอบในคดีดังกล่าว ซึ่งเป็นการสมรู้ร่วมคิดระหว่างเขา เจ้าหน้าที่ตำรวจ 2 นาย และผู้ก่อการร้าย
มูชาร์ราฟ ซึ่งดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีเมื่อบุตโตถูกลอบสังหารในปี 2007 กำลังอยู่ระหว่างลี้ภัยในอังกฤษ โดยฟาวาด เชาดรี โฆษกของมูชาร์ราฟเผยจากกรุงลอนดอนว่า อดีตผู้นำปากีสถานจะไม่ปฏิบัติตามหมายจับของศาลในข้อหาดังกล่าว
"ไม่ เขาจะไม่กลับไปฟังการพิจารณาคดี" เชาดรีระบุ โดยเสริมว่า หมายจับดังกล่าวเป็นเรื่องน่าขำอย่างยิ่ง
เมื่อถูกถามว่า จะเกิดอะไรขึ้นหากมูชาร์ราฟไม่ไปรายงานตัวต่อศาลในการพิจารณาคดีครั้งหน้า ทางอัยการตอบว่า "เราจะได้เห็นเมื่อเวลานั้นมาถึง"
ในเดือนธันวาคมที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ตำรวจได้จับกุมตำรวจอาวุโส 2 นาย คือซาอุด อาซิซ และคูร์ราม ชาห์ซัด โทษฐานละทิ้งหน้าที่จากเหตุการณ์ลอบสังหารบุตโต หลังจากศาลออกหมายจับพวกเขาไปก่อนหน้านั้น
ทั้งนี้ บุตโตถูกลอบยิง และระเบิดฆ่าตัวตาย หลังการหาเสียงเลือกตั้งในเมืองราวัลปินดี ซึ่งอยู่ใกล้กับกรุงอิสลามาบัด ในวันที่ 27 ธันวาคม ปี 2007 เธอเคยดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรี 2 สมัย และเพิ่งกลับจากลี้ภัยในต่างประเทศเพียง 2 เดือนก่อนเสียชีวิต
ในเวลานั้น รัฐบาลของมูชาร์ราฟกล่าวโทษเหตุลอบสังหารอดีตนายกฯ หญิงรายนี้ว่าเป็นฝีมือของไบตุลเลาะห์ เมห์ซุด แกนนำกลุ่มตอลิบานในปากีสถาน ซึ่งเขาปฏิเสธว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง
เมห์ซุดถูกสังหารในการโจมตีทางอากาศโดยสหรัฐฯ เมื่อเดือนสิงหาคม ปี 2009 ซึ่งถือเป็นการเสียชีวิตของบุคคลสำคัญที่สุดคนหนึ่ง ในปฏิบัติการกวาดล้างกลุ่มอัลกออิดะห์ และพันธมิตรในเขตชนเผ่าไร้กฎหมายของปากีสถาน ตามแนวตะเข็บชายแดนอัฟกานิสถาน
เมื่อถูกถามว่า จะเกิดอะไรขึ้นหากมูชาร์ราฟไม่ไปรายงานตัวต่อศาลในการพิจารณาคดีครั้งหน้า ทางอัยการตอบว่า "เราจะได้เห็นเมื่อเวลานั้นมาถึง"
ในเดือนธันวาคมที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ตำรวจได้จับกุมตำรวจอาวุโส 2 นาย คือซาอุด อาซิซ และคูร์ราม ชาห์ซัด โทษฐานละทิ้งหน้าที่จากเหตุการณ์ลอบสังหารบุตโต หลังจากศาลออกหมายจับพวกเขาไปก่อนหน้านั้น
ทั้งนี้ บุตโตถูกลอบยิง และระเบิดฆ่าตัวตาย หลังการหาเสียงเลือกตั้งในเมืองราวัลปินดี ซึ่งอยู่ใกล้กับกรุงอิสลามาบัด ในวันที่ 27 ธันวาคม ปี 2007 เธอเคยดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรี 2 สมัย และเพิ่งกลับจากลี้ภัยในต่างประเทศเพียง 2 เดือนก่อนเสียชีวิต
ในเวลานั้น รัฐบาลของมูชาร์ราฟกล่าวโทษเหตุลอบสังหารอดีตนายกฯ หญิงรายนี้ว่าเป็นฝีมือของไบตุลเลาะห์ เมห์ซุด แกนนำกลุ่มตอลิบานในปากีสถาน ซึ่งเขาปฏิเสธว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง
เมห์ซุดถูกสังหารในการโจมตีทางอากาศโดยสหรัฐฯ เมื่อเดือนสิงหาคม ปี 2009 ซึ่งถือเป็นการเสียชีวิตของบุคคลสำคัญที่สุดคนหนึ่ง ในปฏิบัติการกวาดล้างกลุ่มอัลกออิดะห์ และพันธมิตรในเขตชนเผ่าไร้กฎหมายของปากีสถาน ตามแนวตะเข็บชายแดนอัฟกานิสถาน
ถ่ายสดอัมสเตอร์ดัม
วันอาทิตย์, กุมภาพันธ์ 13, 2011
รวบอันธพาลการเมืองพธม.พกระเบิดปิงปองจ้องป่วนเสื้อแดง ชม+ฟังถ่ายสดอัมสเตอร์ดัม-ทักษิณโฟนอิน
ชมถ่ายทอดสดนปช.แดงทั้งแผ่นดิชุมนุม คลิ้ก หรือ คลิ้กที่นี่ รับฟังถ่ายทอดทางวิทยุในเขตกรุงเทพฯที่คลื่นFM91.75 FM95.75 FM102.75 โดยวันนี้โรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม ทนายฝรั่งของนปช.จะโฟนอินราว19.00น. และอดีตนนายกฯทักษิณจะโฟนอินเวลา20.30น.(ภาพชุดการชุมนุมหน้าศาลอาญาช่วง12.30-15.00น.โดย 2chum )
โดย ทีมข่าวไทยอีนิวส์
13 กุมภาพันธ์ 2554
*ข่าวนี้มีการอัพเดตเป็นระยะ
ภาพมติชนออนไลน์ ขบวนเสื้อแดงขณะเคลื่อนขบวนออกจากศาลอาญา
กลุ่มผู้ชุมนุมที่ไปรออยู่ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย
สำนักข่าวเนชั่น รายงานข่าวว่า พล.ต.ต.ประวุฒิ ถาวรศิริ โฆษก สตช .เปิดเผยว่า ตร.รวบ 3 ผู้ต้องหาพกระเบิดปิงปอง 63ลูก หน้าวัดมกูฎกษัตริยาราม ใกล้พื้นที่ม็อบพันธมิตร(พธม.) บริเวณทำเนียบรัฐบาล โดยเมื่อเวลา 17.30 น. พล.ต.อ.วิชัย สังข์ประไพ ผบก น.๑ แถลงจับผู้ต้องหาระเบิดปิงปอง 63 ลูก โดยผู้ต้องหาทั้ง 3ราย รับสารภาพว่าเตรียมไว้ขว้างเจ้าหน้าที่ หากสลายการชุมนุมของกลุ่มพธม.และ ขว้างเสื้อแดงนปช.หากเข้ามาป่วนในพื้นที่ชุมนุม
ขณะที่การชุมนุมของพธม.บริเวณหน้าทำเนียบรัฐบาล จำลอง ศรีเมือง ระแวงหนักอ้างว่า แจงเขมรมาป่วนที่ชุมนุม ต้องขอตรวจบัตรประชาชนก่อนเข้าออกพื้นที่ชุมนุม ทั้งนี้จากรายงานข่าวของเวบASTVผู้จัดการ กระบอกเสียงของพันธมิตร
ทั้งนี้นปช.แดงทั้งแผ่นดินได้เริ่มรวมตัวกันที่หน้าศาลอาญา เมื่อเวลา 13.30 น. นายวรวุฒิ วิชัยดิษฐ์ โฆษก นปช. ได้อ่านจดหมายของแกนนำนปช. ที่ถูกจำคุกในเรือนจำ ใจความว่า กระผมแกนนำ นปช. ผู้ต้องคดีก่อการร้ายจากการชุมนุมทางการเมือง 2553 ซึ่งถูกกักขังนานกว่า 9 เดือนแล้ว ยังไม่ได้รับสิทธิประกันตัว มีความทุกข์ทั้งร่างกายและจิตใจ จึงเขียนจดหมายปรับทุกข์กับผู้พิพากษา ดังนี้
1.ถูกตั้งข้อหาเป็นผู้ก่อการร้าย ทั้งที่ผู้ก่อคดีในจังหวัดชายแดนภายใต้เป็นเพียงผู้ก่อความไม่สงบเท่านั้น
2.การสั่งคดีของดีเอสไอ ซึ่งดีเอสไอให้ข่าวรายวันว่าจะส่งฟ้อง ทั้งที่ยังไม่รวบรวมพยานหลักฐานได้เสร็จ
3.กระบวนการพิจารณาคดี มีการยื้อคดีให้นานกว่าปกติ
4.สิทธิการประกันตัว แม้ผ่านมาแกนนำยังไม่เคยหลบหนีคดีและได้ยื่นประกันตัวหลายครั้ง แต่ก็ไม่เคยได้รับการประกันตัว
5.สองมาตรฐาน แกนนำนปช. ไม่ได้รับการประกันตัว ขณะที่แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ซึ่งถูกข้อหาก่อการร้ายเช่นกัน ขณะนี้คดีอยู่ในชั้นตำรวจและได้รับการประกันตัว
จากนั้นนายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.พรรคเพื่อไทย และนางธิดา ถาวรเศรษฐ แกนนำนปช. ได้ร่วมกันวางดอกกุหลาบสีแดงหน้าป้ายศาลอาญา ก่อนจะนำผู้ชุมนุมเคลื่อนขบวนไปยังอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย
อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้นายจตุพร กล่าวว่า หากแกนนำผู้ชุมนุมยังไม่ได้รับการประกันตัว ในเดือนมีนาคมนปช.จะกลับมาชุมนุมหน้าศาลอาญาอีกครั้ง และยืนยันว่าจะไม่มีการปะทะกับกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยอย่างแน่นอน
Posted by นักข่าวชาวรากหญ้า at 2/13/2011 06:07:00 หลังเที่ยง
http://thaienews.blogspot.com/2011/02/bl..._6548.html
รวบอันธพาลการเมืองพธม.พกระเบิดปิงปองจ้องป่วนเสื้อแดง ชม+ฟังถ่ายสดอัมสเตอร์ดัม-ทักษิณโฟนอิน
ชมถ่ายทอดสดนปช.แดงทั้งแผ่นดิชุมนุม คลิ้ก หรือ คลิ้กที่นี่ รับฟังถ่ายทอดทางวิทยุในเขตกรุงเทพฯที่คลื่นFM91.75 FM95.75 FM102.75 โดยวันนี้โรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม ทนายฝรั่งของนปช.จะโฟนอินราว19.00น. และอดีตนนายกฯทักษิณจะโฟนอินเวลา20.30น.(ภาพชุดการชุมนุมหน้าศาลอาญาช่วง12.30-15.00น.โดย 2chum )
โดย ทีมข่าวไทยอีนิวส์
13 กุมภาพันธ์ 2554
*ข่าวนี้มีการอัพเดตเป็นระยะ
ภาพมติชนออนไลน์ ขบวนเสื้อแดงขณะเคลื่อนขบวนออกจากศาลอาญา
กลุ่มผู้ชุมนุมที่ไปรออยู่ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย
สำนักข่าวเนชั่น รายงานข่าวว่า พล.ต.ต.ประวุฒิ ถาวรศิริ โฆษก สตช .เปิดเผยว่า ตร.รวบ 3 ผู้ต้องหาพกระเบิดปิงปอง 63ลูก หน้าวัดมกูฎกษัตริยาราม ใกล้พื้นที่ม็อบพันธมิตร(พธม.) บริเวณทำเนียบรัฐบาล โดยเมื่อเวลา 17.30 น. พล.ต.อ.วิชัย สังข์ประไพ ผบก น.๑ แถลงจับผู้ต้องหาระเบิดปิงปอง 63 ลูก โดยผู้ต้องหาทั้ง 3ราย รับสารภาพว่าเตรียมไว้ขว้างเจ้าหน้าที่ หากสลายการชุมนุมของกลุ่มพธม.และ ขว้างเสื้อแดงนปช.หากเข้ามาป่วนในพื้นที่ชุมนุม
ขณะที่การชุมนุมของพธม.บริเวณหน้าทำเนียบรัฐบาล จำลอง ศรีเมือง ระแวงหนักอ้างว่า แจงเขมรมาป่วนที่ชุมนุม ต้องขอตรวจบัตรประชาชนก่อนเข้าออกพื้นที่ชุมนุม ทั้งนี้จากรายงานข่าวของเวบASTVผู้จัดการ กระบอกเสียงของพันธมิตร
ทั้งนี้นปช.แดงทั้งแผ่นดินได้เริ่มรวมตัวกันที่หน้าศาลอาญา เมื่อเวลา 13.30 น. นายวรวุฒิ วิชัยดิษฐ์ โฆษก นปช. ได้อ่านจดหมายของแกนนำนปช. ที่ถูกจำคุกในเรือนจำ ใจความว่า กระผมแกนนำ นปช. ผู้ต้องคดีก่อการร้ายจากการชุมนุมทางการเมือง 2553 ซึ่งถูกกักขังนานกว่า 9 เดือนแล้ว ยังไม่ได้รับสิทธิประกันตัว มีความทุกข์ทั้งร่างกายและจิตใจ จึงเขียนจดหมายปรับทุกข์กับผู้พิพากษา ดังนี้
1.ถูกตั้งข้อหาเป็นผู้ก่อการร้าย ทั้งที่ผู้ก่อคดีในจังหวัดชายแดนภายใต้เป็นเพียงผู้ก่อความไม่สงบเท่านั้น
2.การสั่งคดีของดีเอสไอ ซึ่งดีเอสไอให้ข่าวรายวันว่าจะส่งฟ้อง ทั้งที่ยังไม่รวบรวมพยานหลักฐานได้เสร็จ
3.กระบวนการพิจารณาคดี มีการยื้อคดีให้นานกว่าปกติ
4.สิทธิการประกันตัว แม้ผ่านมาแกนนำยังไม่เคยหลบหนีคดีและได้ยื่นประกันตัวหลายครั้ง แต่ก็ไม่เคยได้รับการประกันตัว
5.สองมาตรฐาน แกนนำนปช. ไม่ได้รับการประกันตัว ขณะที่แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ซึ่งถูกข้อหาก่อการร้ายเช่นกัน ขณะนี้คดีอยู่ในชั้นตำรวจและได้รับการประกันตัว
จากนั้นนายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.พรรคเพื่อไทย และนางธิดา ถาวรเศรษฐ แกนนำนปช. ได้ร่วมกันวางดอกกุหลาบสีแดงหน้าป้ายศาลอาญา ก่อนจะนำผู้ชุมนุมเคลื่อนขบวนไปยังอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย
อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้นายจตุพร กล่าวว่า หากแกนนำผู้ชุมนุมยังไม่ได้รับการประกันตัว ในเดือนมีนาคมนปช.จะกลับมาชุมนุมหน้าศาลอาญาอีกครั้ง และยืนยันว่าจะไม่มีการปะทะกับกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยอย่างแน่นอน
Posted by นักข่าวชาวรากหญ้า at 2/13/2011 06:07:00 หลังเที่ยง
http://thaienews.blogspot.com/2011/02/bl..._6548.html
อัมสเตอร์ดัม"โฟนอินแดงอนุสาวรีย์ปชต. แดงต้อนรับคึกคัก
http://www.matichon.co.th/news_detail.ph...&subcatid=
อัมสเตอร์ดัม"โฟนอินแดงอนุสาวรีย์ปชต. แดงต้อนรับคึกคัก
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 19.15 น. วันที่ 13 ก.พ. นายโรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม ที่ปรึกษาด้านกฎหมายของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) ได้โฟนอินเข้ายังที่ชุมนุมของกลุ่มนปช. ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย โดยนายโรเบิร์ตกล่าวโจมตีรัฐบาลสองมาตรฐาน และละเมิดสิทธิมนุษยชน ท่ามกลางผู้ชุมนุมที่ปรบมือและเขย่าตีนตบกันอย่างคึกคัก
อัมสเตอร์ดัม"โฟนอินแดงอนุสาวรีย์ปชต. แดงต้อนรับคึกคัก
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 19.15 น. วันที่ 13 ก.พ. นายโรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม ที่ปรึกษาด้านกฎหมายของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) ได้โฟนอินเข้ายังที่ชุมนุมของกลุ่มนปช. ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย โดยนายโรเบิร์ตกล่าวโจมตีรัฐบาลสองมาตรฐาน และละเมิดสิทธิมนุษยชน ท่ามกลางผู้ชุมนุมที่ปรบมือและเขย่าตีนตบกันอย่างคึกคัก
‘ค่าโง่’เจ็ดพันล้านใครโง่ใครไม่โง่
ได้ยินข่าว “ค่าโง่” คลองด่านที่ทาง “อนุญาโตตุลาการ” มีคำวินิจฉัยออกมามีมูลค่าสูงถึง 7,000 ล้านบาท ฟังดูหลายคนที่ไม่เข้าใจในระบบกฎหมายคงอุทานด้วยความกังวลและงงงวยกับคำตัดสินของ “อนุญาโตตุลาการ” ว่าเหตุใดจึงมีเมตตาให้กับฝ่ายที่ชนะการตัดสินได้ค่าชดเชยไปมากถึงเพียงนั้น
ก็ต้องทำความเข้าใจในระบบอนุญาโตตุลาการก่อนว่า เป็นระบบที่ปัจจุบันในการทำสัญญาระหว่างรัฐและเอกชนมักจะมีข้อกำหนดเอาไว้ข้อหนึ่ง หากในกรณีมีข้อพิพาทก็จะให้ต่างฝ่ายต่างเลือกตัวแทนเข้าไปฝ่ายละ 1 คน รวมกับคนกลางที่ทั้ง 2 ฝ่ายให้ความไว้วางใจอีก 1 คน ซึ่งเป็นบุคคลที่ขึ้นบัญชีไว้กับศาล รวมเป็นคณะอนุญาโตตุลาการ 3 คน ซึ่งอนุญาโตตุลาการแต่ละคนต้องมีคำวินิจฉัยส่วนตัวและร่วมกันทำคำวินิจฉัยกลาง เช่นเดียวกับศาลรัฐธรรมนูญที่ยึดหลักใช้เสียงข้างมาก
ปรกติในสัญญาขนาดใหญ่เมกะโปรเจกต์ทั้งหลายต้องการให้ก่อนฟ้องคดี ซึ่งจะกินเวลานาน ต้องให้นำข้อพิพาทเข้าสู่กระบวนการอนุญาโตตุลาการ หากไม่เห็นด้วยก็สามารถไปยื่นร้องขอต่อศาลให้บังคับผลการชี้ขาดได้ ซึ่งส่วนใหญ่ไปสู่ศาลปกครอง
ก็ต้องเรียนให้ทราบว่าในการทำสัญญาระหว่างรัฐกับเอกชนในหลายกรณี เหตุใดจึงถูกอนุญาโตตุลาการชี้ให้เป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำเกือบจะทุกคดี ก็ต้องบอกว่าการที่องค์กรเพื่อความโปร่งใสกำหนดให้ประเทศไทยมีความน่าเชื่อถืออยู่อันดับเจ็ดสิบแปดสิบของโลกตีคู่กับประเทศอย่างอินเดีย ฟิลิปปินส์ เพราะว่า “ที่ใดไม่มีควัน ก็ไม่มีไฟ”
เขียนอย่างนี้คนไม่เข้าใจก็จะยิ่งสับสน แต่พูดกันแบบตรงไปตรงมาก็คือ การโกงกันของคนในสังคมไทยนั้นมีเกือบทุกหย่อมหญ้า คงจำได้ดีว่าก่อนคดี “ค่าโง่คลองด่าน” เรามีมาแล้วทั้ง “ค่าโง่ทางด่วน” “ค่าโง่เรือขุด” “ค่าโง่โทลล์เวย์” “ค่าโง่รถและเรือดับเพลิง” และคาดว่า “จะมีค่าโง่อื่นๆตามมาอีกหลายระลอก”
ทั้งนี้ ต้องเรียนด้วยความบริสุทธิ์ใจว่า ที่เรียกว่า “ค่าโง่” นั้นไม่ใช่ “สิ่งที่เกิดจากความโง่” อย่างแท้จริง แต่เป็น “ความฉลาดในการฉ้อฉล ยักยอก และโกงกินอย่างแยบยลของนักการเมือง” ทุกยุคทุกสมัย ไม่เลือกว่าเป็นรัฐบาลพลเรือนหรือเผด็จการ
เราคงจำได้ว่าแม้แต่เรื่องอาวุธยุทโธปกรณ์ ไล่เรียงไปกระทั่งเครื่องมือตรวจหาวัตถุระเบิด ถ้าไม่มีนักวิทยาศาสตร์ นักวิชาการผู้ไม่มีส่วนได้ผลประโยชน์ทับซ้อนกับใครออกมาเฉลยถึง “ความขี้โกง” ป่านนี้เราคงได้เห็นเจ้าหน้าที่ถือ “ท่อนเหล็กเสมือนไม้ล้างป่าช้า” ไปกวาดวัตถุระเบิดอยู่แถวๆชายแดนภาคใต้ และอาจจะอีกหลายจุดที่อ้างว่ามีการลอบวางวัตถุระเบิดกันให้เป็นที่อุจาดตากันไปเรียบร้อย
นี่คือปรากฏการณ์ทางสังคมไทยที่หากเราไม่คิดจะทำอะไรกันอย่างจริงจังในวันนี้ ต่อให้มีองค์กรอิสระดีแท้แค่ไหน กี่องค์กร ก็คงเอา “นักการเมืองชั้นเลว” ที่เข้ามากอบโกยเอาผลประโยชน์แบบไม่บันยะบันยังไม่อยู่มืออย่างแน่แท้
http://www.dailyworldtoday.com/columblan...m_id=49158
*********************************************************
ชาวบ้านค้านรัฐจ่ายค่าโง่คลองด่าน
จากการกรณีที่คณะอนุญาโตตุลาการตัดสินให้กรมควบคุมมลพิษ (คพ.) แพ้คดีและจะต้องจ่ายค่าโง่ ซึ่งหมายถึงค่าจ้างค้างจ่าย ค่าเสียหายในกรณีต่างๆ รวมถึงค่าปรับและดอกเบี้ยที่เกิดขึ้น แก่บริษัทเอกชน และล่าสุดเมื่อวานนี้ (11 กุมภาพันธ์ 54) นายสุพัฒน์ หวังวงศ์วัฒนา อธิบดี คพ. ได้แถลงข่าวค้านผลการจ่ายค่าโง่คลองด่าน 9,000 ล้านบาท และยังแสดงเจตนาที่จะต้องการเดินหน้าโครงการบ่อบำบัดน้ำเสียที่คลองด่านอีกนั้น
นางดาวัลย์ จันทรหัสดี แกนนำชาวบ้านคลองด่านที่ต่อสู้กับโครงการนี้จนกระทั่งรัฐบาลได้สั่งยุติโครงการอย่างเป็นทางการเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2546 กล่าวแสดงความเห็นต่อคำแถลงของอธิบดีกรมควบคุมมลพิษว่า “เห็นด้วยอย่างยิ่งกับ คพ. ที่ออกมาคัดค้านและไม่ยอมรับคำตัดสินของคณะอนุญาโตตุลาการ ขณะเดียวกันก็เห็นว่า เมื่อ คพ. ไม่ยอมรับคำวินิจฉัยของคณะอนุญาโตตุลาการแล้ว สิ่งที่ คพ. ต้องเร่งดำเนินการโดยด่วนมี 3 ข้อด้วยก้นเพื่อไม่ให้ประเทศไทยต้องเสียค่าโง่แก่บริษัทรับเหมาก่อสร้าง ที่ได้โกงกินบ้านเมืองไปแล้วครั้งหนึ่งนั่นคือ
1. คพ. ต้องรีบร้องขอต่อศาลแพ่ง เพื่อให้ศาลแพ่งเพิกถอนคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการภายใน 90 วันตามข้อกำหนดของกฎหมาย โดยนับจากวันที่คณะอนุญาโตตุลาการได้ชี้ขาดเรื่องนี้เมื่อวันที่ 12 มกราคม 2554 นั่นหมายถึง คพ. ต้องร้องขอต่อศาลแพ่งไม่เกินวันที่ 12 เมษายน 2554 ข้อสำคัญคือ คพ. จะต้องเอาผลคำตัดสินที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ 2 คดีไปประกอบการร้องขอต่อศาลแพ่งคือ 1) คำตัดสินของศาลฎีกาแผนกคดีอาญานักการเมือง ซึ่งตัดสินจำคุกนายวัฒนา อัศวเหมเป็นเวลา 10 ปีเมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม 2551 และ 2) คดีอาญาฐานฉ้อโกงสัญญาและฉ้อโกงที่ดิน ที่ศาลแขวงดุสิตได้ตัดสินไปแล้วโดยสั่งจำคุกจำเลยที่เป็นบุคคลคนละ 3 ปี และสั่งปรับนิติบุคคลรายละ 6000 บาท เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2552
2. คพ. ควรนำผลจากคำตัดสินของคดีอาญาฐานฉ้อโกงสัญญาและฉ้อโกงที่ดินมาขยายผลเพื่อประโยชน์ของประเทศต่อไป ด้วยการนำมาฟ้องเป็นคดีแพ่งเพื่อเรียกเงินคืนจากบริษัทรับเหมาก่อสร้างหรือกิจการร่วมค้าเอ็นวีพีเอสเคจี เรื่องที่ คพ. ต้องเร่งทำโดยทันทีด้วย ไม่ควรปล่อยเวลาให้เนิ่นนานออกไป เนื่องจากศาลแขวงได้ตัดสินคดีอาญาฐานฉ้อโกงสัญญาและฉ้อโกงที่ดินไปแล้วปีกว่า
3. ถ้าหาก คพ. ปล่อยเรื่องนี้ให้นานออกไป จะมีผลเสียต่อประเทศมากไปกว่านี้และจะส่งผลให้ คพ. แพ้อุทธรณ์ในคดีอาญาฐานฉ้อโกงสัญญาและฉ้อโกงที่ดินที่กลุ่มกิจการร่วมค้าฯ ได้ยื่นอุทธรณ์อยู่ในขณะนี้
นอกจากนี้ นางดาวัลย์ จันทรหัสดียังมีความเห็นส่วนตัวเพิ่มเติมต่อคำแถลงของนายสุพัฒน์ หวังวงศ์วัฒนา อธิบดี คพ. ที่กล่าวเมื่อวานนี้ (11 กพ. 54) ด้วยว่า คำแถลงของอธิบดี คพ. ที่ไม่ยอมรับคำวินิจฉัยของคณะอนุญาโตตุลาการ และพฤติกรรมของ คพ. ที่ผ่านๆ มาที่ต้องการฟื้นคืนบ่อบำบัดน้ำเสียมีความขัดแย้งกันเอง โดยตนรู้สึกว่า คพ. มีเจตนาต้องการเบี่ยงเบนความสนใจของสาธารณะในเรื่องนี้และเตะถ่วงเวลาออกไปเพื่อให้คำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการมีผลบังคับเกิดขึ้น นั่นคือให้รัฐบาลจ่ายค่าโง่แก่เอกชน เพราะจากการที่ตัวเองได้ติดตามเรื่องนี้มาอย่างต่อเนื่อง และได้ติดตามในส่วนของการต่อสู้คดีความของ คพ. มาอย่างใกล้ชิด มีความเห็นว่า “ที่ผ่านมา มีหลายเหตุการณ์ที่สะท้อนถึงความพยายามที่จะให้ฝ่าย คพ. แพ้คดีความทั้งหมด เช่น หลังจากที่ คพ. ประกาศให้สัญญาโครงการคลองด่านเป็นโมฆะและมีการฟ้องร้องคดีตามมา โดย คพ. ได้ว่าจ้างทนายเอกชนมืออาชีพเข้ามาดำเนินการฟ้องร้องบริษัทเป็นคดีอาญาที่ศาลแขวงฐานฉ้อโกงสัญญาและฉ้อโกงที่ดินเพื่อทำให้คดีความสามารถดำเนินการไปได้ แต่ต่อมาเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงภายในกระทรวงทร้พย์ฯ เกิดขึ้น คพ. ก็เปลี่ยนท่าทีและมีความพยายามจากฝ่ายต่างๆ ที่ต้องการให้มีการถอนคดีฟ้องร้องเพื่อเอาผิดกับบุคคลและบริษัทเอกชนที่ฉ้อโกง เมื่อไม่สามารถถอนคดีได้ก็ใช้วิธีเปลี่ยนตัวทนายความระหว่างไต่สวนคดีแทน ซึ่งการเปลี่ยนตัวทนายระหว่างทางที่คดียังไม่ถึงที่สุดเป็นเรื่องที่ไม่มีใครทำกัน”
ข้อสังเกตอีกอย่างหนึ่งคือ การที่อธิบดี คพ. บอกว่าจะต้องส่งสำเนาคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการไปให้กระทรวงการคลังพิจารณา ว่าถ้าหากกระทรวงการคลังเห็นด้วยและชี้ขาดให้จ่ายเงินแก่เอกชน คพ. ก็จะยินดีจ่ายเงินตามคำสั่ง ซึ่งคาดว่าจะรู้ผลการพิจารณาของกระทรวงการคลังในต้นเดือนมีนาคมปีนี้
“ดิฉันเห็นว่า หาก คพ. จะรอผลการพิจารณาของกระทรวงการคลังแล้วค่อยดำเนินการในเรื่องนี้ ดิฉันเห็นว่า มันนานเกินไป” นางดาวัลย์กล่าว และยังเปิดเผยว่า ก่อนหน้านี้ในช่วงที่มีการต่อสู้คดีกันอยู่ คพ. มีความพยายามต่างต่างนานาที่จะเอาโครงการกลับคืนมา โดยตัวอธิบดี คพ. คือ คุณสุพัฒน์ ได้เสนอเรื่องไปยังคุณอนงค์วรรณ รัฐมนตรีกระทรวงทรัพยฯ ในสมัยนั้นให้นำเรื่องนี้เข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรีเพื่อขออนุมัติในหลักการให้สามารถเจรจาไกล่เกลี่ยเพื่อระงับข้อพิพาทกับเอกชนได้ และเพื่อให้ผู้รับเหมาก่อสร้างโครงการสามารถดำเนินการก่อสร้างโครงการทับลงบนลำคลองสาธารณะและที่สาธารณะต่อไปได้จนแล้วเสร็จ
ทั้งนี้นางดาวัลย์ได้กล่าวว่า ความพยายามดังกล่าวของ คพ. ในช่วงที่ผ่านมาจะมีผลทำให้รัฐต้องยอมรับงานก่อสร้างทั้งหมดที่เกิดขึ้นโดยที่ไม่สามารถใช้การได้ นอกจากนี้ยังทำให้บริษัทเอกชนเป็นฝ่ายได้เปรียบในการต่อสู้คดีความในอนาคตอีกด้วย นางดาวัลย์จึงเรียกร้องให้ คพ ต้องหยุดพฤติกรรมการเอื้อประโยชน์แก่ผู้รับเหมาก่อสร้างเกี่ยวกับโครงการบ่อบำบัดน้ำเสียคลองด่านได้แล้ว
http://prachatai3.info/journal/2011/02/33085
ได้ยินข่าว “ค่าโง่” คลองด่านที่ทาง “อนุญาโตตุลาการ” มีคำวินิจฉัยออกมามีมูลค่าสูงถึง 7,000 ล้านบาท ฟังดูหลายคนที่ไม่เข้าใจในระบบกฎหมายคงอุทานด้วยความกังวลและงงงวยกับคำตัดสินของ “อนุญาโตตุลาการ” ว่าเหตุใดจึงมีเมตตาให้กับฝ่ายที่ชนะการตัดสินได้ค่าชดเชยไปมากถึงเพียงนั้น
ก็ต้องทำความเข้าใจในระบบอนุญาโตตุลาการก่อนว่า เป็นระบบที่ปัจจุบันในการทำสัญญาระหว่างรัฐและเอกชนมักจะมีข้อกำหนดเอาไว้ข้อหนึ่ง หากในกรณีมีข้อพิพาทก็จะให้ต่างฝ่ายต่างเลือกตัวแทนเข้าไปฝ่ายละ 1 คน รวมกับคนกลางที่ทั้ง 2 ฝ่ายให้ความไว้วางใจอีก 1 คน ซึ่งเป็นบุคคลที่ขึ้นบัญชีไว้กับศาล รวมเป็นคณะอนุญาโตตุลาการ 3 คน ซึ่งอนุญาโตตุลาการแต่ละคนต้องมีคำวินิจฉัยส่วนตัวและร่วมกันทำคำวินิจฉัยกลาง เช่นเดียวกับศาลรัฐธรรมนูญที่ยึดหลักใช้เสียงข้างมาก
ปรกติในสัญญาขนาดใหญ่เมกะโปรเจกต์ทั้งหลายต้องการให้ก่อนฟ้องคดี ซึ่งจะกินเวลานาน ต้องให้นำข้อพิพาทเข้าสู่กระบวนการอนุญาโตตุลาการ หากไม่เห็นด้วยก็สามารถไปยื่นร้องขอต่อศาลให้บังคับผลการชี้ขาดได้ ซึ่งส่วนใหญ่ไปสู่ศาลปกครอง
ก็ต้องเรียนให้ทราบว่าในการทำสัญญาระหว่างรัฐกับเอกชนในหลายกรณี เหตุใดจึงถูกอนุญาโตตุลาการชี้ให้เป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำเกือบจะทุกคดี ก็ต้องบอกว่าการที่องค์กรเพื่อความโปร่งใสกำหนดให้ประเทศไทยมีความน่าเชื่อถืออยู่อันดับเจ็ดสิบแปดสิบของโลกตีคู่กับประเทศอย่างอินเดีย ฟิลิปปินส์ เพราะว่า “ที่ใดไม่มีควัน ก็ไม่มีไฟ”
เขียนอย่างนี้คนไม่เข้าใจก็จะยิ่งสับสน แต่พูดกันแบบตรงไปตรงมาก็คือ การโกงกันของคนในสังคมไทยนั้นมีเกือบทุกหย่อมหญ้า คงจำได้ดีว่าก่อนคดี “ค่าโง่คลองด่าน” เรามีมาแล้วทั้ง “ค่าโง่ทางด่วน” “ค่าโง่เรือขุด” “ค่าโง่โทลล์เวย์” “ค่าโง่รถและเรือดับเพลิง” และคาดว่า “จะมีค่าโง่อื่นๆตามมาอีกหลายระลอก”
ทั้งนี้ ต้องเรียนด้วยความบริสุทธิ์ใจว่า ที่เรียกว่า “ค่าโง่” นั้นไม่ใช่ “สิ่งที่เกิดจากความโง่” อย่างแท้จริง แต่เป็น “ความฉลาดในการฉ้อฉล ยักยอก และโกงกินอย่างแยบยลของนักการเมือง” ทุกยุคทุกสมัย ไม่เลือกว่าเป็นรัฐบาลพลเรือนหรือเผด็จการ
เราคงจำได้ว่าแม้แต่เรื่องอาวุธยุทโธปกรณ์ ไล่เรียงไปกระทั่งเครื่องมือตรวจหาวัตถุระเบิด ถ้าไม่มีนักวิทยาศาสตร์ นักวิชาการผู้ไม่มีส่วนได้ผลประโยชน์ทับซ้อนกับใครออกมาเฉลยถึง “ความขี้โกง” ป่านนี้เราคงได้เห็นเจ้าหน้าที่ถือ “ท่อนเหล็กเสมือนไม้ล้างป่าช้า” ไปกวาดวัตถุระเบิดอยู่แถวๆชายแดนภาคใต้ และอาจจะอีกหลายจุดที่อ้างว่ามีการลอบวางวัตถุระเบิดกันให้เป็นที่อุจาดตากันไปเรียบร้อย
นี่คือปรากฏการณ์ทางสังคมไทยที่หากเราไม่คิดจะทำอะไรกันอย่างจริงจังในวันนี้ ต่อให้มีองค์กรอิสระดีแท้แค่ไหน กี่องค์กร ก็คงเอา “นักการเมืองชั้นเลว” ที่เข้ามากอบโกยเอาผลประโยชน์แบบไม่บันยะบันยังไม่อยู่มืออย่างแน่แท้
http://www.dailyworldtoday.com/columblan...m_id=49158
*********************************************************
ชาวบ้านค้านรัฐจ่ายค่าโง่คลองด่าน
จากการกรณีที่คณะอนุญาโตตุลาการตัดสินให้กรมควบคุมมลพิษ (คพ.) แพ้คดีและจะต้องจ่ายค่าโง่ ซึ่งหมายถึงค่าจ้างค้างจ่าย ค่าเสียหายในกรณีต่างๆ รวมถึงค่าปรับและดอกเบี้ยที่เกิดขึ้น แก่บริษัทเอกชน และล่าสุดเมื่อวานนี้ (11 กุมภาพันธ์ 54) นายสุพัฒน์ หวังวงศ์วัฒนา อธิบดี คพ. ได้แถลงข่าวค้านผลการจ่ายค่าโง่คลองด่าน 9,000 ล้านบาท และยังแสดงเจตนาที่จะต้องการเดินหน้าโครงการบ่อบำบัดน้ำเสียที่คลองด่านอีกนั้น
นางดาวัลย์ จันทรหัสดี แกนนำชาวบ้านคลองด่านที่ต่อสู้กับโครงการนี้จนกระทั่งรัฐบาลได้สั่งยุติโครงการอย่างเป็นทางการเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2546 กล่าวแสดงความเห็นต่อคำแถลงของอธิบดีกรมควบคุมมลพิษว่า “เห็นด้วยอย่างยิ่งกับ คพ. ที่ออกมาคัดค้านและไม่ยอมรับคำตัดสินของคณะอนุญาโตตุลาการ ขณะเดียวกันก็เห็นว่า เมื่อ คพ. ไม่ยอมรับคำวินิจฉัยของคณะอนุญาโตตุลาการแล้ว สิ่งที่ คพ. ต้องเร่งดำเนินการโดยด่วนมี 3 ข้อด้วยก้นเพื่อไม่ให้ประเทศไทยต้องเสียค่าโง่แก่บริษัทรับเหมาก่อสร้าง ที่ได้โกงกินบ้านเมืองไปแล้วครั้งหนึ่งนั่นคือ
1. คพ. ต้องรีบร้องขอต่อศาลแพ่ง เพื่อให้ศาลแพ่งเพิกถอนคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการภายใน 90 วันตามข้อกำหนดของกฎหมาย โดยนับจากวันที่คณะอนุญาโตตุลาการได้ชี้ขาดเรื่องนี้เมื่อวันที่ 12 มกราคม 2554 นั่นหมายถึง คพ. ต้องร้องขอต่อศาลแพ่งไม่เกินวันที่ 12 เมษายน 2554 ข้อสำคัญคือ คพ. จะต้องเอาผลคำตัดสินที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ 2 คดีไปประกอบการร้องขอต่อศาลแพ่งคือ 1) คำตัดสินของศาลฎีกาแผนกคดีอาญานักการเมือง ซึ่งตัดสินจำคุกนายวัฒนา อัศวเหมเป็นเวลา 10 ปีเมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม 2551 และ 2) คดีอาญาฐานฉ้อโกงสัญญาและฉ้อโกงที่ดิน ที่ศาลแขวงดุสิตได้ตัดสินไปแล้วโดยสั่งจำคุกจำเลยที่เป็นบุคคลคนละ 3 ปี และสั่งปรับนิติบุคคลรายละ 6000 บาท เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2552
2. คพ. ควรนำผลจากคำตัดสินของคดีอาญาฐานฉ้อโกงสัญญาและฉ้อโกงที่ดินมาขยายผลเพื่อประโยชน์ของประเทศต่อไป ด้วยการนำมาฟ้องเป็นคดีแพ่งเพื่อเรียกเงินคืนจากบริษัทรับเหมาก่อสร้างหรือกิจการร่วมค้าเอ็นวีพีเอสเคจี เรื่องที่ คพ. ต้องเร่งทำโดยทันทีด้วย ไม่ควรปล่อยเวลาให้เนิ่นนานออกไป เนื่องจากศาลแขวงได้ตัดสินคดีอาญาฐานฉ้อโกงสัญญาและฉ้อโกงที่ดินไปแล้วปีกว่า
3. ถ้าหาก คพ. ปล่อยเรื่องนี้ให้นานออกไป จะมีผลเสียต่อประเทศมากไปกว่านี้และจะส่งผลให้ คพ. แพ้อุทธรณ์ในคดีอาญาฐานฉ้อโกงสัญญาและฉ้อโกงที่ดินที่กลุ่มกิจการร่วมค้าฯ ได้ยื่นอุทธรณ์อยู่ในขณะนี้
นอกจากนี้ นางดาวัลย์ จันทรหัสดียังมีความเห็นส่วนตัวเพิ่มเติมต่อคำแถลงของนายสุพัฒน์ หวังวงศ์วัฒนา อธิบดี คพ. ที่กล่าวเมื่อวานนี้ (11 กพ. 54) ด้วยว่า คำแถลงของอธิบดี คพ. ที่ไม่ยอมรับคำวินิจฉัยของคณะอนุญาโตตุลาการ และพฤติกรรมของ คพ. ที่ผ่านๆ มาที่ต้องการฟื้นคืนบ่อบำบัดน้ำเสียมีความขัดแย้งกันเอง โดยตนรู้สึกว่า คพ. มีเจตนาต้องการเบี่ยงเบนความสนใจของสาธารณะในเรื่องนี้และเตะถ่วงเวลาออกไปเพื่อให้คำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการมีผลบังคับเกิดขึ้น นั่นคือให้รัฐบาลจ่ายค่าโง่แก่เอกชน เพราะจากการที่ตัวเองได้ติดตามเรื่องนี้มาอย่างต่อเนื่อง และได้ติดตามในส่วนของการต่อสู้คดีความของ คพ. มาอย่างใกล้ชิด มีความเห็นว่า “ที่ผ่านมา มีหลายเหตุการณ์ที่สะท้อนถึงความพยายามที่จะให้ฝ่าย คพ. แพ้คดีความทั้งหมด เช่น หลังจากที่ คพ. ประกาศให้สัญญาโครงการคลองด่านเป็นโมฆะและมีการฟ้องร้องคดีตามมา โดย คพ. ได้ว่าจ้างทนายเอกชนมืออาชีพเข้ามาดำเนินการฟ้องร้องบริษัทเป็นคดีอาญาที่ศาลแขวงฐานฉ้อโกงสัญญาและฉ้อโกงที่ดินเพื่อทำให้คดีความสามารถดำเนินการไปได้ แต่ต่อมาเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงภายในกระทรวงทร้พย์ฯ เกิดขึ้น คพ. ก็เปลี่ยนท่าทีและมีความพยายามจากฝ่ายต่างๆ ที่ต้องการให้มีการถอนคดีฟ้องร้องเพื่อเอาผิดกับบุคคลและบริษัทเอกชนที่ฉ้อโกง เมื่อไม่สามารถถอนคดีได้ก็ใช้วิธีเปลี่ยนตัวทนายความระหว่างไต่สวนคดีแทน ซึ่งการเปลี่ยนตัวทนายระหว่างทางที่คดียังไม่ถึงที่สุดเป็นเรื่องที่ไม่มีใครทำกัน”
ข้อสังเกตอีกอย่างหนึ่งคือ การที่อธิบดี คพ. บอกว่าจะต้องส่งสำเนาคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการไปให้กระทรวงการคลังพิจารณา ว่าถ้าหากกระทรวงการคลังเห็นด้วยและชี้ขาดให้จ่ายเงินแก่เอกชน คพ. ก็จะยินดีจ่ายเงินตามคำสั่ง ซึ่งคาดว่าจะรู้ผลการพิจารณาของกระทรวงการคลังในต้นเดือนมีนาคมปีนี้
“ดิฉันเห็นว่า หาก คพ. จะรอผลการพิจารณาของกระทรวงการคลังแล้วค่อยดำเนินการในเรื่องนี้ ดิฉันเห็นว่า มันนานเกินไป” นางดาวัลย์กล่าว และยังเปิดเผยว่า ก่อนหน้านี้ในช่วงที่มีการต่อสู้คดีกันอยู่ คพ. มีความพยายามต่างต่างนานาที่จะเอาโครงการกลับคืนมา โดยตัวอธิบดี คพ. คือ คุณสุพัฒน์ ได้เสนอเรื่องไปยังคุณอนงค์วรรณ รัฐมนตรีกระทรวงทรัพยฯ ในสมัยนั้นให้นำเรื่องนี้เข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรีเพื่อขออนุมัติในหลักการให้สามารถเจรจาไกล่เกลี่ยเพื่อระงับข้อพิพาทกับเอกชนได้ และเพื่อให้ผู้รับเหมาก่อสร้างโครงการสามารถดำเนินการก่อสร้างโครงการทับลงบนลำคลองสาธารณะและที่สาธารณะต่อไปได้จนแล้วเสร็จ
ทั้งนี้นางดาวัลย์ได้กล่าวว่า ความพยายามดังกล่าวของ คพ. ในช่วงที่ผ่านมาจะมีผลทำให้รัฐต้องยอมรับงานก่อสร้างทั้งหมดที่เกิดขึ้นโดยที่ไม่สามารถใช้การได้ นอกจากนี้ยังทำให้บริษัทเอกชนเป็นฝ่ายได้เปรียบในการต่อสู้คดีความในอนาคตอีกด้วย นางดาวัลย์จึงเรียกร้องให้ คพ ต้องหยุดพฤติกรรมการเอื้อประโยชน์แก่ผู้รับเหมาก่อสร้างเกี่ยวกับโครงการบ่อบำบัดน้ำเสียคลองด่านได้แล้ว
http://prachatai3.info/journal/2011/02/33085
จาตุรนต์ ฉายแสง : ยุบสภา – หลีกเลี่ยงสงคราม หยุดวงจรรัฐประหาร
จาตุรนต์ ฉายแสง
อ่านแถลงการณ์ของรัฐบาลต่อกรณีปัญหาความขัดแย้งกับประเทศกัมพูชาแล้วแสดงว่า ข้าราชการที่เป็นคนเขียนยังมีสติอยู่ ไม่ก้าวร้าวเหมือนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศที่กำลังสร้างปัญหาให้หนักเข้าทุกที
การที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศแสดงความก้าวร้าว ข่มขู่กัมพูชาแถมยังด่ากราดอีกหลายประเทศ แสดงถึงความไร้วุฒิภาวะ ไม่เหมาะสมที่จะเป็นรัฐมนตรีอีกต่อไป
รัฐบาลนี้ยืนยันตลอดว่าปัญหาแก้ได้โดยการเจรจาของ 2 ประเทศ ไม่จำเป็นต้องอาศัยประเทศที่ 3 แต่สิ่งที่รัฐบาลกำลังทำอยู่คือ การสร้า้งเงื่อนไขให้ต้องมีคนอื่นเข้ามา
รัฐบาลนี้กำลังพาประเทศไปในทางที่มีแต่เสียกับเสีย และความเสียหายนับวันมีแต่จะมากขึ้นๆ
รัฐบาลกำลังทำให้ชาวโลกเขาไม่เชื่อว่าลำพัง 2 ประเทศจะสามารถแก้ปัญหาได้ ขณะที่คนไทยก็กำลังเรียนรู้ว่ารัฐบาลนี้ไม่มีทางแก้ปัญหาได้ เพราะกลายเป็นตัวปัญหาเสียเอง
สถานการณ์ขณะนี้เหมือนมีเงื่อนไขที่ชัดเจนแล้วที่นายกรัฐมนตรีจะยุบสภาในเร็วๆนี้ได้แล้ว ดึงเวลายืดเยื้อต่อไป รังแต่จะสร้างความเสียหายให้กับประเทศ
ที่ว่ามีเงื่อนไขนั้น ไม่ใช่ 3 ข้อที่นายกฯอ้างมาตลอด เพราะนั่นเป็นเงื่อนไขที่อ้างเพื่อจะอยู่นานๆ แต่ที่ผมเสนอเป็นคนละเรื่องกัน
เงื่อนไขที่ทำให้นายกฯควรยุบสภาโดยเร็วคือ ความแตกต่างทางความคิดเกี่ยวกับการแก้ปัญหาความขัดแย้งกับกัมพูชาที่มีทั้งที่ให้ทำสงครามและที่ต่อต้าน
ทางที่ดีคือ ให้ประชาชนตัดสินในการเลือกตั้ง ให้พรรคการเมืองเสนอนโยบายต่อสังคมว่าใครจะพาประเทศไปทางไหน
อีกเงื่อนไขหนึ่งก็คือ ความพยายามที่จะทำรัฐประหารได้เกิดขึ้นจริง การยุบสภาจะช่วยหยุดการพัฒนาของเหตุการณ์ที่อาจถูกใช้เป็นข้ออ้างในการรัฐประหาร
ในระหว่างที่รัฐบาลนี้ยังทำหน้าที่อยู่ ผมเสนอว่ารัฐบาลจะต้องลดท่าทีที่ก้าวร้าวลง แสดงความจริงใจที่จะยุติความขัดแย้งโดยสันติวิธี อาศัยการเจรจา
รัฐบาลต้องดูแลคนของตัวให้ได้ ตั้งแต่นายกฯเอง รัฐมนตรี ผู้นำกองทัพและบรรดาโฆษกของนายกฯและนักการเมืองพรรคร่วมรัฐบาลให้ตัดเงื่อนไขสงคราม
ในภาวะที่ล่อแหลมต่อการเกิดสงครามเช่นนี้ คงต้องย้ำหลักการสำคัญข้อหนึ่งของระบอบประชาธิปไตยคือ รัฐบาลต้องมีอำนาจและความรับผิดชอบเหนือกองทัพ
รัฐบาลจึงควรแสดงภาวะผู้นำ มีความชัดเจนทางนโยบายและกำชับให้หน่วยงานต่างๆรวมทั้งกองทัพปฏิบัติตาม เมื่อมีปัญหารัฐบาลย่อมต้องรับผิดชอบเต็มๆ
การเคลื่อนไหวของพันธมิตรนั้นเป็นสิ่งที่ล้าหลัง เป็นอันตรายใหญ่หลวงต่อประเทศ ถ้าจะมีข้อดีอยู่บ้างคือการเอาข้อมูลความเลวร้ายของรัฐบาลมาเปิดเผย
รัฐบาลกับพันธมิตรขัดแย้งกันอย่างรุนแรง ขณะเดียวกันก็กำลังแข่งกันสร้างผลงานด้วยการสร้างเงื่อนไขให้เกิดความขัดแย้งที่รุนแรงยิ่งขึ้นกับกัมพูชา
ชนชั้นนำจะเข้าใจบ้างหรือไม่ว่า ระบบกลไกที่ใช้ทำลายฝ่ายตรงข้ามและทำลายระบอบประชาธิปไตยกำลังขัดแย้งทำลายกันเองและกำลังเสื่อมทรามลงทุกขณะ ยากจะเยียวยา
ถ้าชนชั้นนำยังคงเดินหน้าใช้กลไกทั้งหลายสร้างความปั่นป่วนเพื่อหวังเข้าคุมอำนาจเบ็ดเสร็จ ผลเสียร้ายแรงจะเกิดกับประเทศและรวมทั้งกับชนชั้นนำเอง
http://prachatai3.info/journal/2011/02/33078
จาตุรนต์ ฉายแสง
อ่านแถลงการณ์ของรัฐบาลต่อกรณีปัญหาความขัดแย้งกับประเทศกัมพูชาแล้วแสดงว่า ข้าราชการที่เป็นคนเขียนยังมีสติอยู่ ไม่ก้าวร้าวเหมือนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศที่กำลังสร้างปัญหาให้หนักเข้าทุกที
การที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศแสดงความก้าวร้าว ข่มขู่กัมพูชาแถมยังด่ากราดอีกหลายประเทศ แสดงถึงความไร้วุฒิภาวะ ไม่เหมาะสมที่จะเป็นรัฐมนตรีอีกต่อไป
รัฐบาลนี้ยืนยันตลอดว่าปัญหาแก้ได้โดยการเจรจาของ 2 ประเทศ ไม่จำเป็นต้องอาศัยประเทศที่ 3 แต่สิ่งที่รัฐบาลกำลังทำอยู่คือ การสร้า้งเงื่อนไขให้ต้องมีคนอื่นเข้ามา
รัฐบาลนี้กำลังพาประเทศไปในทางที่มีแต่เสียกับเสีย และความเสียหายนับวันมีแต่จะมากขึ้นๆ
รัฐบาลกำลังทำให้ชาวโลกเขาไม่เชื่อว่าลำพัง 2 ประเทศจะสามารถแก้ปัญหาได้ ขณะที่คนไทยก็กำลังเรียนรู้ว่ารัฐบาลนี้ไม่มีทางแก้ปัญหาได้ เพราะกลายเป็นตัวปัญหาเสียเอง
สถานการณ์ขณะนี้เหมือนมีเงื่อนไขที่ชัดเจนแล้วที่นายกรัฐมนตรีจะยุบสภาในเร็วๆนี้ได้แล้ว ดึงเวลายืดเยื้อต่อไป รังแต่จะสร้างความเสียหายให้กับประเทศ
ที่ว่ามีเงื่อนไขนั้น ไม่ใช่ 3 ข้อที่นายกฯอ้างมาตลอด เพราะนั่นเป็นเงื่อนไขที่อ้างเพื่อจะอยู่นานๆ แต่ที่ผมเสนอเป็นคนละเรื่องกัน
เงื่อนไขที่ทำให้นายกฯควรยุบสภาโดยเร็วคือ ความแตกต่างทางความคิดเกี่ยวกับการแก้ปัญหาความขัดแย้งกับกัมพูชาที่มีทั้งที่ให้ทำสงครามและที่ต่อต้าน
ทางที่ดีคือ ให้ประชาชนตัดสินในการเลือกตั้ง ให้พรรคการเมืองเสนอนโยบายต่อสังคมว่าใครจะพาประเทศไปทางไหน
อีกเงื่อนไขหนึ่งก็คือ ความพยายามที่จะทำรัฐประหารได้เกิดขึ้นจริง การยุบสภาจะช่วยหยุดการพัฒนาของเหตุการณ์ที่อาจถูกใช้เป็นข้ออ้างในการรัฐประหาร
ในระหว่างที่รัฐบาลนี้ยังทำหน้าที่อยู่ ผมเสนอว่ารัฐบาลจะต้องลดท่าทีที่ก้าวร้าวลง แสดงความจริงใจที่จะยุติความขัดแย้งโดยสันติวิธี อาศัยการเจรจา
รัฐบาลต้องดูแลคนของตัวให้ได้ ตั้งแต่นายกฯเอง รัฐมนตรี ผู้นำกองทัพและบรรดาโฆษกของนายกฯและนักการเมืองพรรคร่วมรัฐบาลให้ตัดเงื่อนไขสงคราม
ในภาวะที่ล่อแหลมต่อการเกิดสงครามเช่นนี้ คงต้องย้ำหลักการสำคัญข้อหนึ่งของระบอบประชาธิปไตยคือ รัฐบาลต้องมีอำนาจและความรับผิดชอบเหนือกองทัพ
รัฐบาลจึงควรแสดงภาวะผู้นำ มีความชัดเจนทางนโยบายและกำชับให้หน่วยงานต่างๆรวมทั้งกองทัพปฏิบัติตาม เมื่อมีปัญหารัฐบาลย่อมต้องรับผิดชอบเต็มๆ
การเคลื่อนไหวของพันธมิตรนั้นเป็นสิ่งที่ล้าหลัง เป็นอันตรายใหญ่หลวงต่อประเทศ ถ้าจะมีข้อดีอยู่บ้างคือการเอาข้อมูลความเลวร้ายของรัฐบาลมาเปิดเผย
รัฐบาลกับพันธมิตรขัดแย้งกันอย่างรุนแรง ขณะเดียวกันก็กำลังแข่งกันสร้างผลงานด้วยการสร้างเงื่อนไขให้เกิดความขัดแย้งที่รุนแรงยิ่งขึ้นกับกัมพูชา
ชนชั้นนำจะเข้าใจบ้างหรือไม่ว่า ระบบกลไกที่ใช้ทำลายฝ่ายตรงข้ามและทำลายระบอบประชาธิปไตยกำลังขัดแย้งทำลายกันเองและกำลังเสื่อมทรามลงทุกขณะ ยากจะเยียวยา
ถ้าชนชั้นนำยังคงเดินหน้าใช้กลไกทั้งหลายสร้างความปั่นป่วนเพื่อหวังเข้าคุมอำนาจเบ็ดเสร็จ ผลเสียร้ายแรงจะเกิดกับประเทศและรวมทั้งกับชนชั้นนำเอง
http://prachatai3.info/journal/2011/02/33078
ตร.ใช้กำลังกว่า 4 พันนายดูแลการชุมนุม//วิเชียรว่าแดงหลักหมื่นคุยง่ายกว่าเหลืองหลักพัน
http://www.thairath.co.th/content/pol/148739
ตัดมาบางส่วนนะ
ต่อข้อถามว่า เกิดจากปัจจัยอะไรถึงคุยกับกลุ่มพันธมิตรฯยากกว่ากลุ่มเสื้อแดง ผบ.ตร.กล่าวว่า ไม่มั่นใจว่าเขามีวัตถุประสงค์อะไร แฝงเร้นหรือเปล่า ในขณะที่ทุกฝ่ายขอความร่วมมือเพื่อให้การประคับประคองสถานการณ์ ซึ่งตำรวจและศอ.รส.ก็พยายามควบคุมสถานการณ์ให้อยู่ในความสงบเรียบร้อย เมื่อถามว่า หากท่าทีของกลุ่มพันธมิตรฯ ยังเป็นแบบนี้การเข้าไปบังคับใช้กฎหมายจะไม่เกิดการกระทบกระทั่งหรือ พล.ต.อ.วิเชียร กล่าวว่า ก็ต้องระมัดระวัง และทุกฝ่ายต้องช่วยกันประคับประคองสถานการณ์ เมื่อถามย้ำว่า จริงๆ แล้วเจรจาของกลุ่มพันธมิตรฯ การกระทบกระทั่งกันคือเงื่อนไขที่เขาต้องการให้เกิด ผบ.ตร. กล่าวว่า คิดว่าคงไม่มีเจตนากับบ้านเมืองอย่านั้น
http://www.thairath.co.th/content/pol/148739
ตัดมาบางส่วนนะ
ต่อข้อถามว่า เกิดจากปัจจัยอะไรถึงคุยกับกลุ่มพันธมิตรฯยากกว่ากลุ่มเสื้อแดง ผบ.ตร.กล่าวว่า ไม่มั่นใจว่าเขามีวัตถุประสงค์อะไร แฝงเร้นหรือเปล่า ในขณะที่ทุกฝ่ายขอความร่วมมือเพื่อให้การประคับประคองสถานการณ์ ซึ่งตำรวจและศอ.รส.ก็พยายามควบคุมสถานการณ์ให้อยู่ในความสงบเรียบร้อย เมื่อถามว่า หากท่าทีของกลุ่มพันธมิตรฯ ยังเป็นแบบนี้การเข้าไปบังคับใช้กฎหมายจะไม่เกิดการกระทบกระทั่งหรือ พล.ต.อ.วิเชียร กล่าวว่า ก็ต้องระมัดระวัง และทุกฝ่ายต้องช่วยกันประคับประคองสถานการณ์ เมื่อถามย้ำว่า จริงๆ แล้วเจรจาของกลุ่มพันธมิตรฯ การกระทบกระทั่งกันคือเงื่อนไขที่เขาต้องการให้เกิด ผบ.ตร. กล่าวว่า คิดว่าคงไม่มีเจตนากับบ้านเมืองอย่านั้น
|
ประมวลภาพ"เสื้อแดง" เต็มราชดำเนิน จากมติชนค่ะ
http://www.matichon.co.th/news_detail.ph...um=twitter
วันที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554 เวลา 18:30:12 น.
ประมวลภาพ"เสื้อแดง" เต็มราชดำเนินรำลึกถึงคนตาย-เรียกร้องปล่อยตัวแกนนำ
เมื่อเวลา 18.00 น. วันที่ 13 ก.พ. ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เคลื่อนขบวนการจากศาลอาญา รัชดาฯ มาที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เพื่อรำลึกถึงผู้ที่เสียชีวิตในเหตุการณ์วันที่ 10 เมษายน 2553 และเรียกร้องให้ปล่อยตัวแกนนำที่ติดคุก โดยมีการตั้งเวทีบนอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย หันหน้าไปทางสนามหลวง ท่ามกลางผู้ชุมนุมที่รวมตัวกันเต็มถนนราชดำเนิน โดยปิดถนนรอบอนุสาวรีย์ทั้ง 4 ด้าน ซึ่งบรรยากาศเต็มไปด้วยความครึกครื้นมีการร้อง รำ ทำเพลง กันอย่างสนุกสนาน ท่ามกลางผู้ชุมนุมที่ทยอยสมทบมาเรื่อยๆ เพื่อรอฟังแกนนำขึ้นกล่าวปราศรัยบนเวที และรอฟังพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมตรีโฟนอินในเวลา 20.30 น.
วันที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554 เวลา 18:30:12 น.
ประมวลภาพ"เสื้อแดง" เต็มราชดำเนินรำลึกถึงคนตาย-เรียกร้องปล่อยตัวแกนนำ
เมื่อเวลา 18.00 น. วันที่ 13 ก.พ. ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เคลื่อนขบวนการจากศาลอาญา รัชดาฯ มาที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เพื่อรำลึกถึงผู้ที่เสียชีวิตในเหตุการณ์วันที่ 10 เมษายน 2553 และเรียกร้องให้ปล่อยตัวแกนนำที่ติดคุก โดยมีการตั้งเวทีบนอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย หันหน้าไปทางสนามหลวง ท่ามกลางผู้ชุมนุมที่รวมตัวกันเต็มถนนราชดำเนิน โดยปิดถนนรอบอนุสาวรีย์ทั้ง 4 ด้าน ซึ่งบรรยากาศเต็มไปด้วยความครึกครื้นมีการร้อง รำ ทำเพลง กันอย่างสนุกสนาน ท่ามกลางผู้ชุมนุมที่ทยอยสมทบมาเรื่อยๆ เพื่อรอฟังแกนนำขึ้นกล่าวปราศรัยบนเวที และรอฟังพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมตรีโฟนอินในเวลา 20.30 น.
ควายเหลืองเครียด อิอิ
ตึงเครียด! หวั่น"นปช.-พธม."เผชิญหน้า แนวม็อบประชิด
http://www.matichon.co.th/news_detail.ph...&subcatid=
วันที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554 เวลา 18:45:31 น.
ตึงเครียด! หวั่น"นปช.-พธม."เผชิญหน้า แนวม็อบประชิด
http://www.internetfreedom.us/thread-13237.html
ผู้สื่อข่าวรายงาน เมื่อเวลา 17.30 น. วันที่ 13 กุมภาพันธ์ บรรยากาศการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตร เป็นไปด้วยความตึงเครียดเนื่องจาก นปช.ได้ทยอยกันมารวมตัวกันที่บริเวณอนุเสาวรีย์ประชาธิปไตย จนล้นมาถึงแยก จปร.ทำให้การ์ดพันธมิตรต้องมีการ เสริมกำลังรักษาปลอดภัยบริเวณหลังเวทีเชิงสะพานมัฆวานฯ อย่างแน่นหนา
ขณะที่ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำ พธม. ต้องเดินตรวจตราบริเวณแนวกั้นของพันธมิตรด้วยสีหน้าเคร่งเครียด และใช้กล้องส่องทางไกลส่องดูความเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดงเป็นระยะ ขณะเดียวกันมีข่าวลือสะพัดในกลุ่มของการ์ดพันธมิตรว่าจะมีชาวกัมพูชาแฝงตัวเข้ามาสร้างความปั่นป่วนในที่ชุมนุมทำให้การ์ดทุกจุดตรวจตราบุคคลที่เข้าออกอย่างเข้มงวดถึงกับมีการตรวจบัตรประชาชนทุกคน
---------------------
ไอ้พวกบ้า ใครเค้าจะไปอะไรมึงวะ ประสาทหลอนแล้ว อิอิ มีเขมรแอบมาป่วนด้วยไอ้บ้า
ขอโทษด้วยนะ พอดีคนเสื้อแดงมาเยอะ ก็เลยล้นไปถึงแยก จปร. 5555555 เออรู้แระ ที่บรรยากาศตึงเครียดก็เพราะว่า หลักร้อย กับ หลักหมื่น อ่ะดิ่
***************************************
ม็อบเหลืองเครียด หลังเสื้อแดงล้นใกล้แยกจปร.
วันที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554 เวลา 18:45:31 น.
ตึงเครียด! หวั่น"นปช.-พธม."เผชิญหน้า แนวม็อบประชิด
http://www.internetfreedom.us/thread-13237.html
ผู้สื่อข่าวรายงาน เมื่อเวลา 17.30 น. วันที่ 13 กุมภาพันธ์ บรรยากาศการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตร เป็นไปด้วยความตึงเครียดเนื่องจาก นปช.ได้ทยอยกันมารวมตัวกันที่บริเวณอนุเสาวรีย์ประชาธิปไตย จนล้นมาถึงแยก จปร.ทำให้การ์ดพันธมิตรต้องมีการ เสริมกำลังรักษาปลอดภัยบริเวณหลังเวทีเชิงสะพานมัฆวานฯ อย่างแน่นหนา
ขณะที่ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำ พธม. ต้องเดินตรวจตราบริเวณแนวกั้นของพันธมิตรด้วยสีหน้าเคร่งเครียด และใช้กล้องส่องทางไกลส่องดูความเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดงเป็นระยะ ขณะเดียวกันมีข่าวลือสะพัดในกลุ่มของการ์ดพันธมิตรว่าจะมีชาวกัมพูชาแฝงตัวเข้ามาสร้างความปั่นป่วนในที่ชุมนุมทำให้การ์ดทุกจุดตรวจตราบุคคลที่เข้าออกอย่างเข้มงวดถึงกับมีการตรวจบัตรประชาชนทุกคน
---------------------
ไอ้พวกบ้า ใครเค้าจะไปอะไรมึงวะ ประสาทหลอนแล้ว อิอิ มีเขมรแอบมาป่วนด้วยไอ้บ้า
ขอโทษด้วยนะ พอดีคนเสื้อแดงมาเยอะ ก็เลยล้นไปถึงแยก จปร. 5555555 เออรู้แระ ที่บรรยากาศตึงเครียดก็เพราะว่า หลักร้อย กับ หลักหมื่น อ่ะดิ่
***************************************
ม็อบเหลืองเครียด หลังเสื้อแดงล้นใกล้แยกจปร.
การ์ดพันธมิตรเสริมกำลังคุมแนวกั้นบริเวณสะพานมัฆวานอย่างเข้มงวดหลังผู้ชุมนุมกลุ่มเสื้อแดงล้นจากอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยมาใกล้แยกจปร.
เมื่อเวลา 18.00 น. บรรยากาศการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) เป็นไปด้วยความตึงเครียด
หลังจากกลุ่มแนวร่วมประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (นปช.) ที่เคลื่อนขบวนจากศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก มาปักหลักชุมนุมที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย มีจำนวนผู้ชุมนุมล้นมาถึงใกล้แยก จปร.ส่งผลให้การ์ดของกลุ่ม พธม. ต้องเสริมกำลังเข้ารักษาความปลอดภัยบริเวณเชิงสะพานมัฆวานฯอย่างเข้มงวด
ขณะที่ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำ พธม. ได้ออกตรวจบริเวณแนวกั้นรอบพื้นที่ชุมนุมด้วยสีหน้าเคร่งเครียด พร้อมใช้กล้องส่องทางไกลดูการเคลื่อนไหวของกลุ่มนปช.เป็นระยะๆ นอกจากนี้ การ์ดพธม. ได้ขอตรวจสอบบัตรประชาชนของผู้ที่เข้าร่วมชุมนุมอย่างเข้มงวด หลังจากมีข่าวลือว่า จะมีชาวกัมพูชาแฝงตัวเข้ามาก่อกวนภายในพื้นที่การชุมนุม
ด้าน นายจตุพร พรหมพันธ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย และ แกนนำนปช.กล่าวว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เปลี่ยนเวลาวีดีโอลิงก์จาก 21.00 น.เป็น 20.30 น.
โดยพ.ต.ท.ทักษิณอยู่ใกล้ๆแถวนี้
ส่วนที่หลายคนห่วงว่า นปช.อาจจะปะทะกับกลุ่ม พธม. นั้น ไม่ต้องห่วง เพราะกลุ่มเสื้อแดงจะไม่ไปรดน้ำต้นไม้ที่เหี่ยวไปแล้ว ปล่อยให้พธม.สาวไส้กันไปเอง
หากเกิดการรัฐประหาร นปช.ต้องมาชุมนุมที่นี่ทันที
เครดิต
http://bit.ly/f8JGnF
เมื่อเวลา 18.00 น. บรรยากาศการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) เป็นไปด้วยความตึงเครียด
หลังจากกลุ่มแนวร่วมประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (นปช.) ที่เคลื่อนขบวนจากศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก มาปักหลักชุมนุมที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย มีจำนวนผู้ชุมนุมล้นมาถึงใกล้แยก จปร.ส่งผลให้การ์ดของกลุ่ม พธม. ต้องเสริมกำลังเข้ารักษาความปลอดภัยบริเวณเชิงสะพานมัฆวานฯอย่างเข้มงวด
ขณะที่ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำ พธม. ได้ออกตรวจบริเวณแนวกั้นรอบพื้นที่ชุมนุมด้วยสีหน้าเคร่งเครียด พร้อมใช้กล้องส่องทางไกลดูการเคลื่อนไหวของกลุ่มนปช.เป็นระยะๆ นอกจากนี้ การ์ดพธม. ได้ขอตรวจสอบบัตรประชาชนของผู้ที่เข้าร่วมชุมนุมอย่างเข้มงวด หลังจากมีข่าวลือว่า จะมีชาวกัมพูชาแฝงตัวเข้ามาก่อกวนภายในพื้นที่การชุมนุม
ด้าน นายจตุพร พรหมพันธ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย และ แกนนำนปช.กล่าวว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เปลี่ยนเวลาวีดีโอลิงก์จาก 21.00 น.เป็น 20.30 น.
โดยพ.ต.ท.ทักษิณอยู่ใกล้ๆแถวนี้
ส่วนที่หลายคนห่วงว่า นปช.อาจจะปะทะกับกลุ่ม พธม. นั้น ไม่ต้องห่วง เพราะกลุ่มเสื้อแดงจะไม่ไปรดน้ำต้นไม้ที่เหี่ยวไปแล้ว ปล่อยให้พธม.สาวไส้กันไปเอง
หากเกิดการรัฐประหาร นปช.ต้องมาชุมนุมที่นี่ทันที
เครดิต
http://bit.ly/f8JGnF
ASTV ล่มสลาย
หึ่ง!ผู้จัด ASTV นับ 10 แห่ลาออก!
ฉุน' เจ๊กลิ้ม' บีบขึ้นเวทีพธม.
http://www.internetfreedom.us/thread-13239.html
หลายคนคงเริ่มสงสัยตั้งแต่กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อ ประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) ออกมาตั้งเวทีปราศรัยบริเวณสะพานมัฆวานเพื่อขับไล่รัฐบาลเป็นเวลาหลายวัน แล้วแต่กลับไม่เห็นนางอัญชลีพร กุสุมภ์ ผู้ดำเนินรายการทางสถานีโทรทัศน์เอเอสทีวีหรือที่รู้จักกันในนาม'ดอกไม้ เหล็กแห่งเอเอสทีวี'มาขึ้นเวทีร่วมกับเหล่าบรรดาแกนนำเหมือนในทุกครั้งนั้น
แหล่งข่าวเปิดเผยว่า
ได้มีการวิพากษ์วิจารณ์กันให้แซดถึงสาเหตุที่นางอัญชลีพรไม่ยอมขึ้นเวที พันธมิตรฯเนื่องจากไม่พอใจกับพฤติกรรมของนายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) ที่ชอบบีบบังคับให้ทำในสิ่งที่ไม่อยากทำ และพอปฎิเสธก็จะขึ้นเวทีด่าเสียๆหายๆอย่างไม่ไว้หน้า
จนล่าสุดมีกระแสข่าวสะพัดว่า
ผู้ดำเนินรายการทางเอเอสทีวีประมาณประมาณ 10 คนเตรียมยื่นใบลาออก
เนื่องจากไม่อยากร่วมทำงานกับคนที่มีอุดมการณ์เห็นแก่ตัวและเผด็จการอย่าง นายสนธิ
อาทิ นางอัญชลีพร กุสุมภ์ นายสุทิน วรรณบวร นักข่าว อาวุโสจาก AP และนายเติมศักดิ์ จารุปราณ
แต่ขณะเดียวกันนายสนธิ กลับไม่เคยต่อว่า นางสโรชา พรอุดมศักดิ์ พิธีกรคู่ใจที่เคยร่วมจัดรายการ เมืองไทยรายสัปดาห์ ที่ไม่เคยโผล่หัวมาให้เห็นบนเวทีเช่นกัน จนทำเกิดเสียงวิจารณ์ว่าเหตุที่สนธิไม่กล้าแตะเป็นเพราะมีผลประโยชน์ร่วมกัน
เนื่องนางสโรชาเป็นผู้อำนวยการสถานีฯ'ทีเอเอ็น'สถานีข่าวภาษาอังกฤษ 24 ชั่วโมงในเครือเอเอสทีวีที่เชื่อมต่อสัญญาณกับทรูจนสร้างรายได้อย่างมหาศาล ให้กับนายสนธิ
เครดิต
http://www.prachatouch.co.th/web/news_de...p?id=27446
โถ..ลิ้มจะมากู้ชาติ...กู้ซากตัวเองดีกว่ามั้ง
ตอนนี้ใครๆ ก้อรู้เช่นเห็นชาติแล้ว...โสนะหน้า.
ฉุน' เจ๊กลิ้ม' บีบขึ้นเวทีพธม.
http://www.internetfreedom.us/thread-13239.html
หลายคนคงเริ่มสงสัยตั้งแต่กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อ ประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) ออกมาตั้งเวทีปราศรัยบริเวณสะพานมัฆวานเพื่อขับไล่รัฐบาลเป็นเวลาหลายวัน แล้วแต่กลับไม่เห็นนางอัญชลีพร กุสุมภ์ ผู้ดำเนินรายการทางสถานีโทรทัศน์เอเอสทีวีหรือที่รู้จักกันในนาม'ดอกไม้ เหล็กแห่งเอเอสทีวี'มาขึ้นเวทีร่วมกับเหล่าบรรดาแกนนำเหมือนในทุกครั้งนั้น
แหล่งข่าวเปิดเผยว่า
ได้มีการวิพากษ์วิจารณ์กันให้แซดถึงสาเหตุที่นางอัญชลีพรไม่ยอมขึ้นเวที พันธมิตรฯเนื่องจากไม่พอใจกับพฤติกรรมของนายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) ที่ชอบบีบบังคับให้ทำในสิ่งที่ไม่อยากทำ และพอปฎิเสธก็จะขึ้นเวทีด่าเสียๆหายๆอย่างไม่ไว้หน้า
จนล่าสุดมีกระแสข่าวสะพัดว่า
ผู้ดำเนินรายการทางเอเอสทีวีประมาณประมาณ 10 คนเตรียมยื่นใบลาออก
เนื่องจากไม่อยากร่วมทำงานกับคนที่มีอุดมการณ์เห็นแก่ตัวและเผด็จการอย่าง นายสนธิ
อาทิ นางอัญชลีพร กุสุมภ์ นายสุทิน วรรณบวร นักข่าว อาวุโสจาก AP และนายเติมศักดิ์ จารุปราณ
แต่ขณะเดียวกันนายสนธิ กลับไม่เคยต่อว่า นางสโรชา พรอุดมศักดิ์ พิธีกรคู่ใจที่เคยร่วมจัดรายการ เมืองไทยรายสัปดาห์ ที่ไม่เคยโผล่หัวมาให้เห็นบนเวทีเช่นกัน จนทำเกิดเสียงวิจารณ์ว่าเหตุที่สนธิไม่กล้าแตะเป็นเพราะมีผลประโยชน์ร่วมกัน
เนื่องนางสโรชาเป็นผู้อำนวยการสถานีฯ'ทีเอเอ็น'สถานีข่าวภาษาอังกฤษ 24 ชั่วโมงในเครือเอเอสทีวีที่เชื่อมต่อสัญญาณกับทรูจนสร้างรายได้อย่างมหาศาล ให้กับนายสนธิ
เครดิต
http://www.prachatouch.co.th/web/news_de...p?id=27446
โถ..ลิ้มจะมากู้ชาติ...กู้ซากตัวเองดีกว่ามั้ง
ตอนนี้ใครๆ ก้อรู้เช่นเห็นชาติแล้ว...โสนะหน้า.
“คนไทย ‘เงี่ยน’ สงคราม!!!”
http://vattavan.com/detail.php?cont_id=242
วาทตะวัน สุพรรณเภษัช
มติชนออนไลน์ เมื่อ 24 กรกฎาคม 2553 เขาลงข่าวเรื่องพล.ท.ทนงศักดิ์ อภิรักษ์โยธิน แม่ทัพภาคที่ 3 กล่าวถึงกรณีที่กองทัพบกมีแนวคิด ตั้งกองพลทหารราบที่ 7 (พล.ร.7) ขึ้นในพื้นที่ภาคเหนือ จ.เชียงใหม่ ซึ่งนอกจากเรื่องการจัดตั้งกองพลดังกล่าวแล้ว แม่ทัพยังให้สัมภาษณ์ ถึงกรณีที่หากประเทศของเรา ต้องรบกับฝ่ายกัมพูชา โดยกล่าวไว้ตอนหนึ่งว่า
หากเป็นกัมพูชา เราเอา F 16 ฝูงเดียวก็น่าจะได้แล้ว แต่กับพม่าไม่แน่ เพราะเขามีทั้งเครื่องบินมิก มีรัสเซียหนุนหลัง และยังพัฒนานิวเคลียร์กับเกาหลีเหนือ"
ผมฟังแล้วคิดว่า
หากฝ่ายเขมรได้ยินคำพูดอย่างนี้ จากปากแม่ทัพฝ่ายไทย เชื่อได้ทันทีว่า เขาย่อมจะเกิดความไม่พอใจ และถ้าคิดไปไกลอีก
สักนิด ก็เสมือนว่า
ทหารฝ่ายไทยพูดแสดงความหยามเหยียด ในความด้อยศักยภาพในด้านกำลังรบของชาติเพื่อนบ้าน ที่ประเทศเขามีขนาดเล็กกว่า ทั้งยังด้อยกว่าด้วยจำนวนพลเมือง และศักยภาพทางเศรษฐกิจ
แต่...ผมต้องขอบอกว่า
ความคิดอย่างนี้ ก็ใช่จะถูกต้องเสมอไป เพราะบทเรียนในอดีตก็มี เช่น ในกรณีการรบกับประเทศลาว ซึ่งเป็นชาติที่เล็กกว่าและด้อยกว่าไทยในทุกๆมิติ ที่สมรภูมิบ้านร่มเกล้า เมื่อ ปี พ.ศ.2531 ผลกลับปรากฏว่า
รบกันเพียงไม่กี่วัน ทหารไทยต้องเสียชีวิต และบาดเจ็บเป็นจำนวนมาก เครื่องบินขับไล่ เอฟ-5 อี ของไทยลำหนึ่งถูกยิงตก ขณะบินปฏิบัติการเหนือยุทธภูมิร่มเกล้า โดยจรวดแซม 7(อย่างที่เห็นในภาพ) ซึ่งทำจากโซเวียต
เครื่องบินถูกยิงที่บริเวณส่วนหาง และเครื่องยนต์ด้านขวา ทำให้เครื่องยนต์ระเบิดกลางอากาศ ได้รับความเสียหายอย่างหนัก ไม่สามารถบังคับเครื่องบินต่อไปได้ นักบินจำเป็นต้องสละเครื่องบิน เหนือพื้นที่ที่ฝ่ายตรงข้ามครอบครองอยู่ และสามารถลงสู่พื้นดินได้โดยปลอดภัย แต่ก็ไม่รอดพ้นจากการถูกจับ และควบคุมตัวเป็นเชลย โดยกำลังฝ่ายตรงข้าม
นับเป็นความสูญเสีย ที่สำคัญอีกครั้งของฝ่ายไทย แต่มี
ข่าวกรองบางกระแส แจ้งว่า
ทหารเวียดนามเป็นผู้สอยเครื่อง F ของไทย โดยใช้จรวดแซม 7 ยิงแบบหวังผลเด็ดขาด คือยิงพรวดเดียวพร้อมๆกัน ถึง 7 กระบอก ทำให้ฝ่ายเราต้องสูญเสีย เครื่องบินราคาแพงไปอย่างน่าเสียดาย
นอกจากกองทัพไทย ต้องสังเวยด้วยเครื่องบินตระกูล F ในการรบครั้งนั้นแล้ว ไทยเรายังเสียเครื่อง OV 10 ไปอีก 1 เครื่องด้วย แถมเครื่อง F 5 อีกเครื่องหนึ่ง เพราะโดนจรวดแซมยิงเสยเข้าที่เครื่องยนต์ท้าย ระหว่างบินโจมตีทิ้งระเบิดต่อเป้าหมาย แต่นักบินสามารถนำเครื่องกลับมาลงที่สนามบิน ได้อย่างปลอดภัย และกองทัพอากาศทำการแก้ไข ซ่อมแซมนำกลับไปบินได้อีกครั้ง
ที่นำเรื่องนี้มาเล่า ก็เพื่อบอกกับท่านผู้อ่าน และพี่น้องประชาชนคนไทยให้ทราบด้วยว่า
เมื่อลาวรบกับไทยนั้น มีทหารเวียตนามจำนวนหลายหมื่นนาย เคลื่อนเข้าสู่สมรภูมิ ทำการสู้รบเคียงบ่าเคียงไหล่กับทหารลาวด้วย ซึ่งแสดงให้เห็นว่า
กองทัพลาวมีเพื่อน หรือมีชาติพันธมิตร มาคอยช่วยเหลือ เขาไม่ได้รบแบบ...คนเดียวโดดๆ!
ฉะนั้น หากไทยจะต้องรบกับเขมรแล้วไซร้ ขอบอกเอาไว้ตรงนี้เลยว่า
ไทยเราจะไม่มีชาติพันธมิตรที่ไหน มาร่วมรบด้วยอย่างแน่นอน เพราะรัฐบาลโลซกของประเทศไทย มันดันทะลึ่งไปทะเลาะเบาะแว้ง กับประเทศเพื่อนบ้านเขาไปทั่ว แต่ฝ่ายเขมรนั้น เขามีเพื่อน โดยเฉพาะชาติพันธมิตรในกลุ่มอินโดจีน ที่เคยเป็นเมืองขึ้นของฝรั่งเศสมาด้วยกัน ซึ่งมีความสัมพันธ์กันอย่างแน่นเหนียว ตรงข้ามกับไทย แบบฟ้ากับเหวเลยทีเดียว
ผมจะไม่แปลกใจเลยแม้แต่นิด ถ้าทันทีที่เราก่อศึกกับกัมพูชา แล้วเห็นภาพทหารเวียตนาม ลาว เดินเข้าสู่ยุทธบริเวณ
ร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่ กับฝ่ายเขมรด้วย!
นอกจากนั้น ประเทศยักษ์ใหญ่อย่างจีน ที่ปัจจุบันทั้งลงทุนในกัมพูชามากมาย ทั้งยังเคลื่อนย้ายคนจีน ไปทำงานในประเทศนั้นอีกหลายแสนคน
เมื่อมีผลประโยชน์ในเขมรอย่างนี้ จีนคงจะไม่ปล่อยให้เขมรรบ โดยเป็นเสียเปรียบ หรือเป็นรองไทย อย่างแน่นอน
ดังนั้น มหาอำนาจอย่างจีน คงจะต้องสนับสนุนกัมพูชาด้วยการส่งอาวุธยุทโธปกรณ์ ที่มีอานุภาพสูง สามารถต่อต้านเครื่องบินตระกูล F ที่แม่ทัพภาค 3 พูดถึงได้ อย่างแน่นอน
เผลอๆเครื่องบินมิก (Mig) ของเวียตนาม อาจกระโจนเข้าสู่สมรภูมิ ช่วยเขมรร่วมตะบันไทยอีกด้วย
พูดภาษานักเลง ให้เข้าใจกันง่ายๆ ก็คือ
ไทยเราจะต้องโดนรุม... “กินโต๊ะ!”
ฟังแม่ทัพภาค 3 พูดแล้ว ทำให้ผมนึกถึงสำนวน ที่พูดกันว่า “ปากสดายุ” ซึ่งท่านผู้อ่านที่อายุยังไม่มาก และไม่ได้เรียนวรรณคดีเรื่องรามเกียรติ์มาก่อน อาจไม่ทราบที่มาที่ไป
จึงขอเล่าย่อๆ ให้ฟังว่า
เมื่อครั้งพระรามต้องออกเดินดง ไปปลูกอาศรมอยู่ในป่านั้น วันหนึ่งท้าวเธอเสด็จออกจากอาศรม ทิ้งให้นางสีดาอยู่คนเดียว ทศกัณฐ์จึงฉวยโอกาส ลักนางสีดาแล้วพาเหาะไป
ฝ่ายพญาสดายุ ซึ่งเป็นพญาปักษาชาติ (นก) และเป็นสหายกับท้าวทศรถ (พระชนกของพระราม) ผ่านมาเห็นเหตุการณ์เข้า จึงบินเข้าสกัดกั้น แต่ทศกัณฐ์มีทีเด็ด ถอดแหวนนางสีดาขว้างออกไป ต้องกายพญานกถึงกับปีกหัก ตกลงมายังพื้นดินแต่ยังไม่ตายทีเดียว รอคอยแจ้งเหตุกับพระราม ที่ออกติดตามหานางสีดา
เหตุที่ถูกขว้างด้วยแหวนของนางสีดา ก็เพราะพญานก
สดายุนั้นปากไม่ดีเอง ดันไปคุยโอ่ว่า ใครฆ่าก็ไม่ตาย แต่กลับโม้เปิดช่องว่า จะตายได้อย่างไร ดังปรากฏตามบทร้อยกรองต่อไปนี้
เมื่อนั้น สดายุใจหาญชาญสมร
บินขวางหน้าท้าวยี่สิบกร สำแดงฤทธิ์รอนดั่งลมกัลป์
กางปีกแผ่หางพลางเย้ย ว่าเหวยอสุรีโมหันธ์
สิบเศียรสิบพักตร์กุมภัณฑ์ ยี่สิบหัตถ์อันชิงชัย
พุ่งซัดอาวุธเป็นห่าฝน จะต้องปลายขนก็หาไม่
ถึงทั้งสามภพจบแดนไตร กูจะเกรงผู้ใดอย่าพึงคิด
กลัวแต่พระสยมภูวนาถ พระนารายณ์ธิราชจักรฤษณ์
กับธำมรงค์พระอิศวรทรงฤทธิ์ ที่ตัดนิ้วน้อยนางมาฯ
เพราะความ ‘ขี้คุย’ ของพญาสดายุแท้ๆ ที่บอกศัตรูเสร็จสรรพว่า ตัวเองนั้น จะตายได้ก็โดยพระนารายณ์ผู้เป็นเจ้า หรือด้วยแหวนของพระอิศวร ที่นางสีดาสวมใส่เท่านั้น
ทศกัณฐ์ได้ยินเข้า แค่นั้นก็ได้เรื่อง จอมอสุราจึงถอดแหวนจากนิ้วนางสีดา ขว้างสดายุเปรี้ยงเข้าให้ เท่านั้นเองพญานกที่ถึงฆาตเพราะปากเป็นพิษ ตกลงสู่พื้นมานอนแอ้งแม้ง
เท่งทึงไปเลย!
คราวนี้เราลองย้อนกลับมาพิจารณา คำพูดของแม่ทัพภาคที่ 3 กันบ้าง
จากคำให้สัมภาษณ์ ท่านบอกเสร็จสรรพว่า รบกับเขมรนั้น เราแค่เอาเครื่องบิน F 16 ไปเท่านั้น ก็เรียบร้อย ซึ่งน่าจะหมายความว่า
ไอ้เจ้า F 16 ของไทย จะบินไปถล่มกรุงพนมเปญ ให้ราบเป็นหน้ากลองลงได้ หรือจะใช้ถล่มกำลังทหารเขมร ระหว่างที่เข้ารบติดพันกับไทย ให้ย่อยยับลงไป (ประมาณนั้น) ซึ่งใครฟัง ก็คงแปลโดยสรุปคือ ท่านแม่ทัพพูดโอ่ว่า...ทหารไทยนั้น เหนือกว่าเขมรมาก!
แต่ผู้เขียนกลับไม่คิดอย่างนั้น ทำไมน่ะหรือครับ?....เหตุผลของผม ก็คือ
พอทหารเขมรฟังแม่ทัพไทยพูดอย่างนั้น ฝ่ายเขาก็ต้องเล่นบททศกัณฐ์ คือต้องไปพึ่งพาอาวุธจากลูกพี่ เหมือนทศพักตร์ยักษา ต้องพึ่งแหวนจากนางสีดา ยังไงยังงั้น ทีเดียวเชียว
ลูกพี่ของเขมรที่ว่านั้น ก็คงไม่พ้นเวียตนาม จีน หรือแม้กระทั่งญาติผู้ใหญ่อย่างฝรั่งเศส เขมรคงต้องขอให้จัดอาวุธจำพวกจรวดอานุภาพสูง เอาไว้ต้อนรับ หรือดักถล่มเครื่องบินรบตระกูล F ของไทย อย่างไม่ต้องสงสัยเลย
ยิ่งไปกว่านั้น ท่านแม่ทัพภาคที่ 3 ยังคุยฟุ้งเปะปะไปถึงประเทศพม่าเพื่อนบ้านอีกด้วย ว่า
“...แต่กับพม่าไม่แน่ เพราะเขามีทั้งเครื่องบินมิก มีรัสเซียหนุนหลัง และยังพัฒนานิวเคลียร์กับเกาหลีเหนือ"
พูดอย่างนี้ เข้าใจเป็นอย่างอื่นไม่ได้เลย นอกจากจะต้องแปลว่า
แม่ทัพไทยนั้น ได้แสดงความยำเกรงพม่า ออกมาโต้งๆ!
ส่วนพม่านั้น ไม่เคยแสดงเกรงกลัวไทยเลยแม้แต่สักนิด เพราะในประวัติศาสตร์ รบกันทีไร ก็เป็นฝ่ายได้รับชัยชนะเสียเป็นส่วนใหญ่ ถึงขั้นเอาไทยลงเป็น “ขี้ข้า” ได้ ถึงสองครั้งสองครา
ทุกวันนี้ขัดใจกันเมื่อไหร่ พม่าแสดงความเหนือกว่า โดยยกปืนมาตั้ง ส่งกำลังทหารประชิด ปิดด่านชายแดน ฝ่ายประเทศไทยเราเสียอีก ต้องกลับเป็นฝ่ายงอนง้อ เสียแทบจะทุกครั้งไป
มาถึงปัจจุบัน พม่ามีเกาหลีเหนือสนับสนุน ทั้งสองชาติกำลังมีความสัมพันธ์กันลึกซึ้งเหนียวแน่น ก็ยิ่งไปกันใหญ่เลย ถึงขั้นโสมแดงจะช่วยให้พม่า มีอาวุธนิวเคลียร์ไว้ในครอบครอง ด้วยซ้ำไป!
แต่ที่น่ากลัว ยิ่งไปกว่านั้น ก็คือ
เกาหลีเหนือนั้น ยังคงพกความแค้น และขุ่นเคืองรัฐบาลไทยไว้อย่างเต็มพิกัด เพราะจับเครื่องบินขนอาวุธของพวกตน
ดังนั้น โสมแดงอาจเห็นเป็นโอกาสดี ที่จะได้ล้างแค้นฝ่ายไทยให้จั๋งหนับ ด้วยการเดินเกมสนับสนุนอาวุธยุทโธปกรณ์ ให้กับฝ่ายเขมรอย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นจรวดต่อต้านอากาศยาน หรือจรวดติดหัวรบ พิสัยใกล้ กลาง และไกล ที่สามารถยิงจากทุกจุดที่ตั้งในทุกพื้นที่ ของฝั่งกัมพูชา...
...เข้าถล่มกรุงเทพฯ และหัวเมืองใหญ่-น้อย ของประเทศไทยได้ง่ายดาย!
ที่พูดมาทั้งหมดนี้ ไม่ได้มีความมุ่งหมายให้คนไทยเรา เกิดความเกรงกลัวในการสู้รบ เพียงแต่อยากเตือน ผู้ที่มีหน้าที่ดูแลบ้านเมือง ให้ตระหนักว่า
การบริหารบ้านเมือง หรือกองทัพ พึงต้องระมัดระวังคำพูดคำจาเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะเมื่อต้องไปพาดพิงถึงชาติอื่นเขา
การพูดเพียงเพื่อปลุกปลอบขวัญคนในชาติ หรือที่เรียกว่าพูดเพื่อ domestic consumption ถ้าไม่เปิดเผยต่อสื่อ ก็ยังพอจะทำกันได้ แต่หากดันไปพูด หรือให้สัมภาษณ์ ออกสื่อสารมวลชน ในทำนองข่ม ดูหมิ่นถิ่นแคลน หรือพูดจาเป็นเชิง ‘ท้าตี-ท้าต่อย’ กับประเทศเพื่อนบ้านแล้วไซร้
มันก็จะกลายเป็นเรื่อง ‘การเพาะศัตรู’ อย่างโง่เขลาที่สุด!
ฉะนั้น นักการเมืองก็ดี นักการทหารก็ดี ให้พึงระลึกไว้เสมอว่า ยุคนี้การสื่อสารมันฉับไว ให้สัมภาษณ์สื่อไปเพียงไม่กี่วินาทีเท่านั้น ข่าวก็จะกระจาย อื้ออึงไปทั่วโลกแล้ว
ถ้าขืนไปพูดจาทำนองออกลูก ‘ข่ม’ หรือหมิ่นแคลนประเทศอื่นเอาไว้อย่างไร ปฏิกิริยาโต้ตอบ ก็จะคืนกลับมาอย่างรวดเร็ว รุนแรง ในอัตราส่วนที่ไม่แตกต่างกันเลย
ผมไม่เห็นว่า จะมีผลดีอะไรขึ้นมาเลย!
ท่านผู้อ่าน ที่เคารพครับ
บ้านเมืองของเรานั้น ยามนี้มันดูพิกลๆอย่างไร ก็ไม่ทราบได้ เพราะฟังวิทยุชุมชนของพวกพันธมาร หลายครั้งที่ผมต้องยกมือขึ้นลูบอก เมื่อได้ยินไอ้พวกนี้มันพูดยั่วยุ ทั้งปลุกทั้งปั่นผู้คน เข้มข้นรุนแรงยิ่งขึ้นทุกวันๆ ราวกับว่าพวกมันนั้น ‘กระหาย’ สงครามกัน ซะจริงเชียว
ทำเหมือนไม่รู้ว่า ‘สงคราม’ นั้น จะนำมาซึ่งความเสียหายทั้งชีวิตผู้คน และทรัพย์สินมหาศาล!
จอมปราชญ์ชาวจีน ซุนวู ปรมาจารย์นักยุทธศาสตร์คนสำคัญ กล่าวไว้แต่โบราณ นานกว่าสองพันปีแล้วว่า
“การสงครามนั้น เป็นความเป็นความตายของประเทศ ผู้นำคนใดจะนำชาติเข้าสู่สงคราม ต้องใคร่ครวญให้จงหนัก”
ดังนั้น การจะรบกับชาติอื่น แม้จะเป็นชาติที่เล็กกว่า ต้องคิดว่ามันไม่ง่ายดาย เหมือนการซุ่มยิงประชาชนคนชาติเดียวกัน ที่มาชุมนุมทางการเมือง หรือฆ่าคนแก่ ขอทาน คนจรจัดฯลฯ ที่ไร้ทางสู้!
ต้องจำใส่กะโหลก กันไว้บ้างก็ดี!!
จึงไม่อยากให้บรรดานักการเมือง นักการทหาร ไม่ว่าจะเป็นแม่ทัพหรือนายกองคนไหน ดันทะลึ่งไปพูดจาในทำนองสนับสนุน แสดงความเห็น หรือยุยงให้เกิดอาการกระเหี้ยนกระหือรือ ให้เรียกร้องหาสงคราม สร้างความสับสน ให้มากขึ้นไปกว่านี้อีก
เดี๋ยวสื่อต่างชาติ เขาจะนินทาว่ากล่าวพี่น้องผองไทยเรา ให้ได้อับได้อาย ว่า...
“คนไทย ‘เงี่ยน’ สงคราม!!!”
.................
***หมายเหตุ เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา มีเรื่องที่เกี่ยวกับการจาบจ้วง ด้วยการพูดจากาลีไม่มีหูรูด จนดังอื้ออึงไปทั้งประเทศ นั่นคือกระแสคำว่า
“อภิสิทธัตถะ”
ดูจะแรงมากจริงๆ เพราะชาวพุทธที่ปกติใจเย็น ถึงกับทนไม่ได้ และมีแฟนคอลัมน์ถามผมว่า...มีความเห็นอย่างไรในเรื่องนี้?
ก็ตอบเขาไปสั้นๆว่า
“ลองถามไอ้คนพูดมันว่า แม่ “อภิสิทธัตถะ” ชื่อ “สดใสมหามายากล” พ่อชื่อ “อรรถสุทโธ่เถอะนะ” ใช่หรือปล่า?”
แค่นี้ คนถามก็ฉีกยิ้มกว้าง...หัวร่อครื้นเครงไป!
คนไทยเรานั้น มีภาษิตว่า “เรือล่มเมื่อจอด ตาบอดเมื่อแก่” พอฟังอีตาคนพูดแล้ว ก็ยกเป็นตัวอย่างตามภาษิตที่ว่าได้ทันทีเพราะแก่เฒ่าจวนจะเข้าโลงแล้ว แต่ไม่รู้ว่า...
ทำไมจึง ‘ทะลึ่ง’ หรือ ‘เพี้ยน’ ไปได้ปานฉะนี้?
เลยโดนผู้คนเขาทั้งด่า ทั้งสาป ทั้งแช่งกัน...สนั่นเมือง!
ชาวบ้านเขาไม่ได้ถอนหงอก ก็เพราะไอ้คนพูดเป็นประเด็นนั้น ไม่มีหงอก ให้ผู้คนเขาถอนแล้ว!!
ทำไมน่ะหรือ?...
ก็เพราะมันคิดอัปรีย์-จังไร อย่างนี้น่ะซีครับ นรกเลยพาลกินกบาลเอาตั้งแต่ตอนยังเป็นๆ จนหัวหูเกลี้ยงเกลา เพราะผมเผ้าหลุดร่วงไปหมดแล้ว!!
ทุเรศ...ชิบหาย!!!
(บทความตอน “คนไทย ‘เงี่ยน’ สงคราม!!!” ออนไลน์ เสาร์ ที่ 7 ส.ค.2553)
เราทรุดลง เพื่อเป็นการเสียสละอันมีเกียรติ ในการต่อสู้ที่มีกำลังไม่ทัดเทียมกันนี้ เราเสียสละทุกสิ่งที่เรามีเพื่ออุดมการณ์แห่งเสรีภาพ...(ภาพซ้าย) ช่างภาพหญิงของ Getty Images คว้ารางวัลจากสมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศ จากสมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศแห่งประเทศ (FCCT) ส่วนภาพขวา เป็นภาพถ่ายการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง คว้ารางวัล รองชนะเลิศ"เวิลด์เพรสโฟโต้" ที่เนเธอร์แลนด์ เมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ โดย ทีมข่าวไทยอีนิวส์ เราทรุดลง เพื่อเป็นการเสียสละอันมีเกียรติ-นวนิยายเรื่องแม่ ,แม็กซิม กอร์กี้ ต่อไปนี้เป็นรายงานที่ไทยอีนิวส์เสนอไว้เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2553 ในหัวข้อเรื่อง คนไทยต้องรู้ความจริงเหมือนที่ทั้งโลกรู้ ใครคือสไนเปอร์สังหารโหดเสื้อแดง ใครโกหกคนไทย REUTERS-อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีไทย กล่าวในการออกโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจว่า กองกำลังทหารกำลัง"กระชับวงล้อม"เพื่อให้ผู้ประท้วงต่อต้านรัฐบาลยุติการชุมนุม ซึ่งมีผู้ก่อการร้ายมีอาวุธแฝงอยู่ และปฏิเสธว่าไม่ได้สั่งฆ่าผู้ประท้วง AP-ทหารไทยและพลซุ่มยิงระยะไกล(สไนเปอร์-คนขวา)ยิงใส่ผู้ประท้วงรัฐบาล ในกรุงเทพฯ เมื่อวันเสาร์ที่ 15 พ.ค. REUTERS-ทหารไทยให้สัญญาณมือห้ามสไนเปอร์ให้หยุดยิงใส่ผู้ประท้วงในใจกลางกรุงเทพฯเมื่อวันเสาร์ AP-บาดแผลที่ศีรษะของผู้ประท้วงแสดงให้เห็นถึงรอยการยิงโดยสไนเปอร์เมื่อวันเสาร์ AP-ภาพชายไทยถูกยิงและนอนหลบบนฟุตบาทโดยฝีมือของสไนเปอร์ไม่ทราบสังกัด AP-ชายไทยที่เป็นผู้ประท้วงนอนตายบนทางเท้าโดยถูกยิงจากสไนเปอร์ไม่ทราบว่าเป็นใคร AP-ชาย3คนคลานเข้าไปช่วยเหลือผู้ประท้วงรายหนึ่งที่ถูกยิงโดยสไนเปอร์ด้วยความกลัวว่าจะโดนสไนเปอร์ยิง AP-ผู้ประท้วงหามร่างสหายของพวกเขาที่เชื่อกันว่าโดนยิงโดยสไนเปอร์ REUTERS-ผู้ประท้วงรัฐบาลกลุ่มเสื้อแดงใช้หนังสติ๊กยิงโต้ใส่ทหารที่ถนนพระราม4เมื่อเสาร์15พ.ค. REUTERS-ผู้ประท้วงใช้บั้งไฟตะไลยิงสู้ทหารแบบตามมีตามเกิด เมื่อวันเสาร์15พ.ค. AP-ชาวบ้านในพื้นที่ใช้มือปิดเปลือกตาผู้ประท้วงที่ถูกยิงตายบริเวณหัว AP-ผู้ประท้วงตะโกนด่าทหารไทยที่สาดห่ากระสุนใส่ผู้ชุมนุมไม่ยั้งบนท้องถนนเมื่อวันเสาร์ AP-ผู้หญิงชราและเด็กนั่งอยู่ในที่ชุมนุมราชประสงค์ด้วยขวัญกำลังใจที่ดี แม้รอบนอกเกิดการปะทะบาดเจ็บล้มตายจำนวนมาก นายกฯอภิสิทธิ์กล่าวว่าจะเปิดทางให้ผู้หญิง เด็กออกจากที่ชุมนุมได้ แต่จะไม่ยินยอมต่อข้อเรียกร้องอื่นใดของอค์กรด้านมนุษยธรรม |
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)