VIDEO
12 มี.ค.2558 เฟซบุ๊กแฟนเพจ ‘
พลเมืองโต้กลับ Resistant Citizen ’ เผยแพร่วีดีโอคลิป ‘I Walk Therefore I Am’ รณรงค์ ‘พลเมืองต้องไม่ขึ้นศาลทหาร’ โดยจะมีการจัดกิจกรรม เดินเท้าเรียกร้องยุติใช้ศาลทหารกับพลเรือน 14-16 มี.ค.นี้ จากบางบัวทอง-สน.ปทุมวัน พร้อมบทกวีประกอบความว่า
“ฉันก้าวเดินฉันจึงยังเป็นฉัน
ฉันวาดฝันรุกมั่นสู่จุดหมาย
แม้ดาวดับลับเลือนไม่พรั่งพราย
หากในกายยังคงรุมสุมเชื้อไฟ
ฉันจึงสู้เพื่อให้ฉันยังรู้สึก
ในสำนึกที่ฉันยังต้องเรียกหา
คนเท่ากัน ฉันและเธอ มวลประชา
สิทธิสัญญาว่ารวยจนทุกคนมี
จะกู่ก้องร้องตะโกนด้วยตัวฉัน
ตะโกนลั่นร้องหาสิทธิถูกริดปล้น
เสียงจะดังด้วยพร้อมเพรียงเสียงมวลชน
เสียงของคนใช่ทาสหากเป็นไท
ฉันก้าวเดินฉันจึงยังคงอยู่
จงรับรู้ว่าฉันจะมิอาจเชื่อง
ประชาชนจะนำแสงเป็นฟันเฟือง
พลเมืองจะโต้กลับรุกเอาคืน
I walk, therefore i am
Crossing through injustice sand
Pathway holds no light
But together we will fight
I fight, therefore i am
Seeking for a justice land
Where people are all equal
Where rights promise to all individual
I shout, therefore i am
Calling for the rights of man
Voices will be heard on streets
the people will be taking the lead
I walk, therefore i am
Crossing through injustice sand
In the end there will be lights
Of the Resistant citizen who will rise.”
นอกจากนี้ยังออกแถลงการณ์ "แถลงการณ์พลเมืองโต้กลับ" ขอเรียกร้องให้ศาลยุติธรรมธำรงไว้ซึ่งอำนาจตุลาการตามระบอบประชาธิปไตย หลักนิติรัฐและนิติธรรม ยุติการนำพลเรือนขึ้นสู่การพิจารณาคดีในศาลทหาร และอริยะขัดขืนต่อประกาศคำสั่งของคณะรัฐประหาร ความว่า
กราบเรียน ท่านประธานศาลฎีกา (ผ่านท่านอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา)
อ้างถึง คดีระหว่าง พ.อ.บุรินทร์ ทองประไพ ผู้กล่าวหา กับนายอานนท์ นำภา กับพวก ผู้ต้องหา ในความผิดฐานฝ่าฝืนประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ฉบับที่ ๗/๒๕๕๗ และ ฉบับที่ ๔๐/๒๕๕๘ รวมทั้งคดีอื่นๆ ที่จะเป็นการนำพลเรือนขึ้นสู่ศาลทหาร
สืบเนื่องจากวันที่ ๒๐ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๕๗ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบกในขณะนั้น ได้ลงนามประกาศใช้พระราชบัญญัติกฎอัยการศึก ฉบับที่ ๑/๒๕๕๗ โดยอ้างสถานการณ์การชุมนุมทางการเมืองหลายกลุ่ม หลายพื้นที่ของประเทศ และมีแนวโน้มจะก่อให้เกิดเหตุการณ์จลาจล และความไม่สงบเรียบร้อยอย่างรุนแรง เพื่อให้การรักษาความสงบเรียบร้อยเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และนำความสงบสุขกลับคืนสู่ประชาชนทุกกลุ่มทุกฝ่ายโดยเร็ว แต่กลับกลายเป็นการปูทางไปสู่การรัฐประหารยึดอำนาจรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งในอีก ๒ วันถัดมา ในนามคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. อันมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นหัวหน้าคณะ หลังจากนั้น คณะรัฐประหารได้มีประกาศอีกหลายฉบับตามมา รวมทั้งประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ ๓๗/๒๕๕๗ ซึ่งกำหนดให้ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๑๐๗ ถึงมาตรา ๑๑๒ และความผิดต่อความมั่นคงของรัฐภายในราชอาณาจักร ตั้งแต่มาตรา ๑๑๓ ถึงมาตรา ๑๑๘ รวมถึงความผิดตามประกาศหรือคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ อยู่ในอำนาจพิจารณาคดีพิพากษาของศาลทหาร ซึ่งผิดธรรมเนียมปฏิบัติของกระบวนการยุติธรรมสากลทั่วไป
ศาลทหารในประเทศไทย นอกจากจะไม่ได้มาตรฐานสากลตามกฎเกณฑ์ระหว่างประเทศแล้ว ยังเป็นแบบระบบศาลทหารแยกออกมาต่างหาก โดยมีทหารเป็นผู้พิพากษาทั้งหมด และศาลทหารดำรงอยู่ตลอดเวลาเคียงคู่กับศาลพลเรือน ซึ่งระบบศาลทหารแบบนี้แทบจะไม่มีประเทศไหนใช้แล้ว หากเรายอมรับว่าเหตุผลความจำเป็นของการมีศาลทหารประการหนึ่งซึ่งมักถูกหยิบยกขึ้นอ้างเสมอ คือ ข้าราชการทหารและวินัยทหารมีลักษณะพิเศษ จึงจำเป็นต้องมีศาลทหารโดยเฉพาะเพื่อตัดสินคดีของทหาร ก็หมายความว่า ศาลทหารต้องมีเขตอำนาจเฉพาะกรณีคดีของทหาร มีทหารเป็นคู่ความเท่านั้น จึงไม่มีความจำเป็นใดๆที่พลเรือนต้องอยู่ในเขตอำนาจของศาลทหาร ศาลทหารที่ขยายเขตอำนาจของตนออกไปครอบคลุมถึงคดีที่พลเรือนเป็นจำเลยด้วย ในขณะที่วิธีพิจารณาความในศาลทหารนั้นไม่ได้ให้หลักประกันแก่จำเลยที่เป็นพลเรือนเพียงพอ และสิทธิในการได้รับการพิจารณาคดีอย่างเป็นธรรม (Right to a fair trial) ซึ่งศาลทหารนั้น มีกระบวนการและหลักปฏิบัติในหลายประการที่ไม่ถึงเกณฑ์มาตรฐาน เช่น กระบวนพิจารณาที่ไม่รับรองสิทธิในการโต้แย้งแสดงพยานหลักฐานไว้เพียงพอ หรือคู่ความไม่มีสิทธิในการอุทธรณ์โต้แย้งคำพิพากษา เป็นต้น
เมื่อกระบวนการยุติธรรมในศาลทหารไม่ยุติธรรมเพียงพอ แต่ก็มาในนามของ “กฎหมายและกระบวนการยุติธรรม” เช่นนี้ ทำให้ระบอบเผด็จการทหารอาจกำหนดให้ศาลทหารมีเขตอำนาจเหนือพลเรือน เพื่อให้ “กฎหมายและกระบวนการยุติธรรม” ของศาลทหารเป็นเครื่องมือในการกำจัดพลเรือนที่ต่อต้านระบอบเผด็จการทหารนั่นเอง
หากพิจารณาจากที่มาและพฤติกรรมของคณะรักษาความสงบแห่งชาติแล้ว เราจะพบว่าการกระทำรัฐประหาร ๒๕๕๗ เกี่ยวพันกับกรณีการสังหารหมู่ประชาชนจนนำไปสู่การสั่งสลายการชุมนุม เมื่อปี ๒๕๕๓ สมัยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะอย่างลึกซึ้ง นั่นคือ หลังการสังหารหมู่ประชาชนจนนำไปสู่การสั่งสลายการชุมนุม เมื่อปี ๒๕๕๓ สมัยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผ่านศูนย์อำนวยการสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือ ศอฉ. ที่มีนายสุเทพ เทือกสุบรรณเป็นผู้อำนวยการ และมีนายทหารจำนวนมากในคณะรักษาความสงบแห่งชาติเกี่ยวข้องในระดับสั่งการและปฏิบัติการ แม้นายอภิสิทธิ์ - สุเทพ ถูกฟ้องอาญาและได้รับการยกฟ้องกรณีการออกคำสั่ง ก่อนจะถูกฟ้องอีกครั้งจากกลุ่มญาติผู้สูญเสียฯที่นำเรื่องไปที่ ปปช.
แต่นายทหารที่เกี่ยวข้องใน ศอฉ. รวมถึง พล.อ.ประยุทธ ยังไม่เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมใดใด แม้ว่าศาลอาญาจะได้มีคำสั่งจากคำพิพากษาไต่สวนการตายในหลายคดี เช่น กรณีนายพัน คำกอง, นายชาญณรงค์ พลศรีลา, นายชาติชาย ซาเหลา, ด.ช.คุณากร ศรีสุวรรณ รวมถึงกรณี 6 ศพ วัดปทุมฯ ว่าเหตุและพฤติการณ์ที่ตายคือถูกลูกกระสุนปืนซึ่งยิงจากอาวุธปืนของเจ้าหน้าที่ทหาร นี่ยังไม่นับอีกหลายสิบสำนวนที่รอนำสู่การพิจารณา หากไม่เกิดการกระทำรัฐประหาร ๒๕๕๗ ขึ้นมาเสียก่อน ทั้งนี้โดยไม่อาจกล่าวข้ามความผิดพลาดเชิงนโยบายของรัฐบาลพรรคเพื่อไทยที่พยายามผลักดัน ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฯแบบเหมาเข่งด้วยเช่นกัน
และคำกล่าวของ พล.อ.ประยุทธ์ที่ว่า "ขอถามข้อเท็จจริงว่ามีคนใช้อาวุธในประชาชนหรือเปล่า มีหรือเปล่า ขอให้พูดดังๆ มีชายชุดดำอยู่ในกลุ่มคนเสื้อแดงหรือเปล่า และมีคนยิงใส่ทหารหรือเปล่า ถ้ามีก็จบ” นั้น เป็นการพูดแบบเอาสีข้างเข้าถู เพราะผู้เสียชีวิตที่ศาลได้มีการพิจารณาและมีคำสั่งไต่สวนการตายว่าเหตุและพฤติการณ์ที่ตายคือถูกลูกกระสุนปืนซึ่งยิงจากอาวุธปืนของเจ้าหน้าที่ทหารนั้น ล้วนแต่เป็นผู้เสียชีวิตในเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๓ ทั้งสิ้น โดยเฉพาะกรณีการเสียชีวิตของ ๖ ศพวัดปทุมฯ นั้นเกิดขึ้นหลังจากที่ทหารได้เข้าควบคุมพื้นที่จนทุกอย่างบริเวณพื้นที่ชุมนุมอยู่ในความสงบแล้ว
ดังนั้น คำกล่าวของ พล.อ.ประยุทธ์จึงเป็นคำกล่าวที่เลื่อนเปื้อน เป็นการโยนความชั่วออกจากตัว โดยยกเหตุการณ์ที่ต่างกรรมต่างวาระกันมาโยงเข้าด้วยกัน เพื่อจะเอาตัวให้พ้นผิดจากกรณีการมีส่วนร่วมในการสั่งสังหารประชาชนและสั่งสลายการชุมนุมใน ปี ๒๕๕๓ ผ่านการกระทำรัฐประหาร ๒๕๕๗ นั่นเอง หากพิจารณาจากพลเมืองทั้งสี่ที่ถูกตั้งข้อหา และจะต้องถูกส่งขึ้นพิจารณาคดีที่ศาลทหารนั้น ล้วนแต่เป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสียกับกรณีการสั่งสังหารประชาชนและสั่งสลายการชุมนุมใน ปี ๒๕๕๓ และการกระทำรัฐประหาร ๒๕๕๗ ทั้งสิ้น เช่น นักศึกษาและนักกิจกรรมเพื่อประชาธิปไตย, ทนายความจากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ที่ดูแลคดีการชุมนุมทางการเมือง ๒๕๕๓ คดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ คดีละเมิดกฎอัยการศึก ฯลฯ และญาติผู้เสียชีวิตจากการสลายการชุมนุม ปี ๒๕๕๓ เป็นต้น
การแสดงความเห็น การตั้งคำถาม การปฏิเสธให้ความร่วมมือ การประท้วง ดื้อแพ่งอย่างสันติวิธี เป็นสิ่งที่พลเมืองกระทำได้ตามกฎหมาย ประการสำคัญ มันยังเป็นส่วนสำคัญที่แยกไม่ออกจากศักดิ์ศรีแห่งการเป็นพลเมือง ที่ย่อมมีสิทธิที่จะวิพากษ์วิจารณ์ตรวจสอบอำนาจรัฐที่มีอำนาจมหาศาล การดำเนินคดีต่อพลเรือนที่ดื้อแพ่งต่อการปกครองของทหารโดยศาลทหาร จึงเสมือนการบังคับข่มเหงต่อสิทธิและเสรีภาพของพลเมือง ให้ต้องสยบยอมต่อระบบอำนาจนิยมของทหารนั่นเอง
ด้วยความเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรมตามหลักสากล และอาศัยสิทธิของผู้ต้องหาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๓๑ และกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (International Covenant on Civil and Political Rights – ICCPR) เหล่าพลเมืองโต้กลับทั้งสี่ จึงขอเรียกร้องมายังท่านและข้าราชการฝ่ายตุลาการทุกท่านดังนี้
๑) ขอท่านได้โปรดยืนยันอำนาจตามรัฐธรรมนูญและประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา รวมทั้งอำนาจนิติบัญญัติอันมีอยู่แต่เดิมโดยชอบธรรมตามระบอบประชาธิปไตย ธำรงไว้ซึ่งหลักการที่เสมือนเสาหลักในการอำนวยความยุติธรรม ไม่ยินยอมให้คดีของพลเรือนตกอยู่ในกระบวนการยุติธรรมที่กระท่อนกระแท่นของศาลทหาร
๒) แสดงความกล้าหาญตามศักดิ์ของตุลาการ อริยะขัดขืนต่อประกาศและคำสั่งอันป่าเถื่อนของคณะรัฐประหาร ยืนยันหลักการแห่งกฎหมายว่า คณะรัฐประหารเป็นคณะกบฎ กฎ ประกาศ หรือคำสั่งใดๆของคระรัฐประหารหาได้มีผลเป็นกฎหมาย รวมทั้งร่วมต่อสู้เพื่อคืนความยุติธรรมแก่ประชาชนตามระบอบประชาธิปไตยให้ถึงที่สุด
ทั้งนี้ หากคณะรัฐประหารได้บังอาจใช้อำนาจใดมาแทรกแซงในการปฏิบัติหน้าที่ของท่านให้บิดเบี้ยวไปจากกระบวนการยุติธรรมตามหลักนิติรัฐ นิติธรรม ขอท่านได้โปรดดำรงไว้ซึ่งเกียรติแห่งข้าราชการฝ่ายตุลาการ อย่าได้หวั่นหวาดไปตามอำนาจอันป่าเถื่อนนั้น และทำหน้าที่ของท่านด้วยความบริสุทธิ์ยุติธรรมเพื่อดำรงไว้ซึ่งกระบวนการยุติธรรมและจรรยาบรรณในวิชาชีพ เป็นไปตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญและกฎหมายสืบต่อไป.
ด้วยความเคารพอย่างสูง, นายอานนท์ นำภา พลเมืองที่ ๑, นายสิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์ พลเมืองที่ ๒, นายพันธ์ศักดิ์ ศรีเทพ พลเมืองที่ ๓ และ นายวรรณเกียรติ ชูสุวรรณ พลเมืองที่ ๔