ดาวน์โหลดคลิ๊ปคนเสื้อแดง
วันศุกร์ที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2554
นิติราษฎร์เปิดทุกประเด็น กรณีเสนอความเห็น 4 ข้อ (25-9-54) | |
ข่าวเพิ่มเติม วันที่ 25 ก.ย. จากการที่คณะนิติราษฎร์ ได้จัดแถลงข้อเสนอทางวิชาการ "5 ปี รัฐประหาร 1 ปี นิติราษฎร์" เมื่อวันอาทิตย์ที่18ก.ย.ที่ผ่านมา แล้วมีคำวิจารณ์ที่คลาดเคลื่อนไปจากข้อเสนอของคณะนิติราษฏร์ จนสร้างความเข้าใจผิดแก่สาธารณะชน โดยเฉพาะการออกมาให้สัมภาษณ์ของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และนายถาวร เสนเนียม ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ถึงประเด็นการลบล้างผลพวงจากรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 นั้น นายวรเจตน์ ภาคีรัตน์ อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ หนึ่งในอาจารย์กลุ่มนิติราษฎร์ กล่าวว่า การออกมาให้สัมภาษณ์ของนายอภิสิทธิ์ และนายถาวร เป็นการแสดงให้เห็นถึงความไม่เข้าใจอะไรเลย โดยเฉพาะการออกมาบอกว่า เป็นการทำเพื่อคนคนเดียว ส่วนการที่ตนได้เชิญนายอภิสิทธิ์ มาร่วมการซักถามในเวทีแถลงข่าวของคณะนิติราษฎร์ ก็เพื่อให้มาซักถามในเรื่องที่ไม่เข้าใจเท่านั้นเอง ซึ่งไม่ได้มีวัตถุประสงค์ใด แต่ต้องการอธิบายให้ฟังว่า เป็นเรื่องคนคนเดียวหรือไม่ ทำไมต้องล้มล้างคำพิพากษา มีการล้างผิดหรือไม่ หรือแม้กระทั่งคนที่ทำการรัฐประหารสามารถนำมาลงโทษได้หรือไม่ ทั้งนี้ก็ไม่ได้เป็นการท้ามาดีเบตด้วย เพราะไม่มีอะไรต้องดีเบต "ส่วนตัวแล้ว ไม่ได้ต้องการท้าตีท้าต่อย เพราะเป็นคนสอนหนังสือ มีหน้าที่สอนและนำเสนองานทางวิชาการ ไม่ต้องการความนิยม ขณะเดียวกัน ก็ไม่อยากเป็นนักการเมืองตามที่ถูกท้าเข้ามาด้วย ซึ่งหลังจากนี้ก็ไม่แน่ หากถูกบีบมากเข้า ก็อาจจะไปตั้งพรรคการเมืองขึ้นมา อย่างไรก็ตาม ถ้าตนคิดแบบเด็กๆ ก็จะท้าให้นายอภิสิทธิ์ ลาออกจากนักการเมือง แล้วไปเรียนหนังสือให้เข้าใจ ให้รู้เรื่องมากกว่านี้ แล้วค่อยมาเถียงกัน ซึ่งตนก็ยังแปลกใจด้วยว่า ทำไมพรรคประชาธิปัตย์ถึงเดือดร้อนกับข้อเสนอนี้ ทั้งที่ข้อเสนอนี้เป็นการเปิดทางไปสู่ความเป็นประชาธิปไตยในนิติรัฐ มากกว่านั้น ตนก็ไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี หรือไม่ได้มีผลประโยชน์เกี่ยวข้องกัน แล้วจะมีเหตุผลอะไรที่จะทำเพื่อคนคนเดียว" นายวรเจตน์ กล่าว http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1316946179&grpid=03&catid=&subcatid ข้อแสดงความเห็นของคุณ ลูกชาวนาไทย ข้อเสนอคณะนิติราษฎร์ คือการรุกทางอุดมการณ์ที่รุนแรงมาก « เมื่อ: วันนี้ เวลา 07:32:20 PM » -------------------------------------------------------------------------------- ข้อเสนอให้ล้มล้างผลการกระทำของคณะรัฐประหาร ของคณะนิติราษฎร์นั้น ผมคิดว่าส่งผลสะเทือนต่อความมั่นคงทางอำนาจของฝ่ายอำมาตย์อย่างรุนแรง เป็นการรุกเข้าไปในปริมลฑลทางอุดมการณ์อย่างเต็มที่ และคาดว่าจะส่งผลสะเทือนต่อไปในอนาคตอย่างแน่นอน เพราะอย่างน้อยฝ่ายประชาธิปไตยก็มีอาวุธทางอุดมการณ์ด้านกฎหมายที่จะแก้ไขสิ่งที่พวกอำมาตย์ได้ทำมาแล้ว ข้อเสนอจะได้รับการยอมรับหรือไม่ยอมรับจากฝ่ายอำมาตย์หรือไม่นั้น ผมคิดว่าไม่สำคัญ เพราะตอนนี้มันเท่ากับได้รับการยอมรับจากฝ่ายประชาธิปไตยแล้ว และวันใดที่ฝ่ายประชาธิปไตยสถาปนาอำนาจได้อย่างมั่นคง (วันนี้ก็มั่นคงมากแล้ว) การดำเนินการตามข้อเสนอของคณะนิติราษฎร์ ก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ อาจยังเป็นไปไม่ได้ใน พ.ศ.2554 แต่ 2555 หรือปีต่อ ๆ ไปนั้นไม่แน่ เพราะตอนนี้ฝ่ายประชาชนยึดกุมจำนวนเสียงในสภาที่ชนะอยู่แล้ว การแก้ไขโครงสร้างทางกฎหมายก็คงไม่ใช่เรื่องยากอะไร ในเมื่อมีข้อเสนอทางวิชาการ ที่มีน้ำหนัก และไม่ใช่การเสนอลอยๆ แต่เป็นการเสนอมีตัวอย่างการดำเนินการในประเทศอื่นๆ ประกอบ มันย่อมมีน้ำหนักทางวิชาการอย่างเต็มที่ การดำเนินการตามข้อเสนอทางวิชาการที่มีน้ำหนัก ย่อมเป็นสิ่งที่ไม่ยากนัก วันนี้การต่อต้านด้วยการบิดเบือนข้อเสนอ โปรประกันดาว่าช่วยคนๆ เดียวไม่มีความหมายอะไรมากนัก เพราะคนส่วนใหญ่ที่เลือกรัฐบาลนี้มา ไม่ได้แคร์กับประเด็นการช่วยเหลือทักษิณ ยิ่งช่วยยิ่งดี แต่หากทำอะไรที่เป็นหลักการ มีน้ำหนักทางวิชาการ ยิ่งดีมากยิ่งขึ้น วันนี้ผมถือว่าการรุกของคณะนิติราษฎร์นี้ "สำเร็จในทางวิชาการ" ไปแล้วครับ มีคนสนใจมาก การตอบโต้ทางวิชาการไม่มี มีแต่การบิดเบือน ซึ่งยุคนี้สื่อมีหลายช่องทาง การบิดเบือนย่อมไม่บรรลุผล ลูกชาวนาไทย | |
http://redusala.blogspot.com |
ระบอบทักษิณกับ รัฐประหาร อะไรเลวกว่ากัน | |
ตอบ : ตรรกะ หรือทฤษฎีแนวคิด "ระบอบทักษิณกับ รัฐประหาร อะไรเลวกว่ากัน" ? คำตอบสั้น และง่าย ๆ ได้ใจความที่สุด คือ ระบอบรัฐประหาร "โคตรเลว" เลยวะ !(หรือ ข้อกล่าวหานักการเมืองคอรัปชั่น กับรัฐประหาร อย่างไหนเลวกว่ากัน ?) เพราะอะไร ? เพราะการทำรัฐประหาร ก่อผลเลวโดยเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย ผิดรัฐธรรมนูญ "ทันที" เป็นความผิดที่เกิดขึ้นตรง ๆ ซึ่งหน้า เห็นได้ด้วยตาเป็นประจักษ์ ไม่ต้องอาศัยความเชื่อ ไม่ต้องอาศัยการตีความ ไม่ต้องอาศัยการสอบสวนสืบสวนอะไรทั้งนั้น เมื่อใดที่เกิดการรัฐประหาร ล้มล้างอำนาจประชาธิปไตย ฉีกรัฐธรรมนูญ เมื่อนั้น ความเลว ความชั่ว ความผิด มันประจักษ์กับสายตาโทนโท่อยู่แล้ว มันผิดรัฐธรรมนูญ ใคร ๆ ก็รู้... ส่วนทฤษฎีที่ว่า "ระบอบทักษิณเลว" หรือ "หรือทฤษฎีข้อกล่าวหานักการเมืองคอรัปชั่น"ยังเป็นทฤษฎี ยังเป็นความเชื่ออยู่ คือบางคนก็เชื่อ บางคนก็ไม่เชื่อ ยังเป็นข้อกล่าวหา ที่ยังจะต้องตีความ ยังจะต้องสอบสวนไต่สวนกันอีกหลายกระบวนความว่า "ไอ้ที่ว่าเลวนั้น มันเลวตรงไหน อย่างไร สอบสวน สืบสวน ผิดกฎหมายข้อไหน พิพากษาโดยศาลสถิตย์ยุติธรรมหรือยัง ???? หรือเป็นเพียงข้อกล่าวหา เป็นเพียงทฤษฎีความคิดเห็นของคนบางกลุ่ม บางเหล่า ซึ่งอาจจะเป็นจริงก็ได้ ไม่เป็นจริงก็ได้ และอาจจะยังต้องตีความหมาย คำว่า "เลว หรือคำว่า ดี" ของแต่ละความเห็นของบุคคลผู้ไม่เห็นด้วย และเห็นด้วย อีก" แน่นอน ! การคอรัปชั่น การโกง..ฯลฯ... ย่อมเป็นความเลว ความชั่ว... แต่ในกระบวนการทางโลกนั้น ยังต้องอาศัย กฎหมายบ้านเมืองเป็นเครื่องชี้วัดความดี หรือความเลวของบุคคลอยู่ อาศัยคำพิพากษาจากศาล เป็นเครื่องยุติ ว่าดี เลว ถูก ผิด อย่างไร ? ไม่ได้อาศัยเพียงแค่ความเห็น ความเข้าใจ หรือการตั้งทฤษฎีสมมติฐานของใครบางคนบางเหล่า มาเป็นเครื่องตัดสิน บางครั้ง ความดี ความเลวของสังคมโลก ไม่ได้ยึดโยงกับคำสอนในทางศาสนา ศีลธรรม จริยธรรมอะไรเลย.. บางกรณี ความผิด ความชั่ว ความเลวในทางโลก อาจไม่ผิดศีลต่อธรรมก็ได้ หรือบางครั้ง ความดี ความถูกต้อง ความนิยมชมชอบในทางโลก อาจผิดต่อศีลธรรมในทางศาสนาก็ได้... อนึ่ง หากทฤษฎีที่เข้าใจว่า "ระบอบทักษิณเลว นักการเมืองคอรัปชั่นเลว" เป็นเรื่องจริง คือทฤษฎีที่ว่านั้นมันเป็นจริง แล้วมีกลุ่มบุคคลจะเอาการรัฐประหาร หรือเป็นข้ออ้างในการทำรัฐประหาร ซึ่งเป็นความเลวกว่าไปแก้ไข ไอ้สิ่งที่มันเลวนั่นหรือ ?? มันยิ่งจะดับเบิลเลวไปใหญ่ เหมือนเอาขี้ไปล้างขี้ มันก็ยิ่งสกปรกไปใหญ่ เอาความเลว ไปลบความเลว มีแต่คนบ้าเท่านั้นที่คิดกัน... เพราะฉะนั้น การตั้งสมมติฐานว่า "ระบอบทักษิณ หรือทฤษฎีข้อกล่าวหานักการเมืองคอรัปชั่น กับรัฐประหาร อันไหนเลวกว่ากัน" จึงตอบได้ดังนี้แล...มันเป็นเอกังสพยากรณ์ คำตอบแบบยืนกระต่ายขาเดียวเท่านั้นว่า "การทำรัฐประหาร" เลวกว่า หรือ "เลวร้ายที่สุด" ในระบอบประชาธิปไตย เพิ่มเติมอีกนิด : ที่กล่าวว่า "การทำรัฐประหาร" มันเลวสุด ๆ นั้น ก็เพราะว่า ผู้ทำรัฐประหาร ได้ดึงเอาบุคคลต่าง ๆ ทั้งชนชั้นต่ำชั้นสูง เข้าร่วมทำความเลวร่วมกับตนด้วย สร้างกฎระเบียบ (กฎหมาย) มาครอบงำประชาชน มาเอาผิดกับประชาชนในลักษณะต่าง ๆ สร้างแนวคิด สร้างทฤษฎี สร้างระบอบนิยมผิด ๆ ให้แก่ประชาชนทั่วไป และเยาวชนของชาติด้วย...ฯลฯ... "กำมะหยี่สีม่วง" หมายเหตุ (แก้) : เรียน คุณกำหมะหยี่สี่ม่วง ผมขออนุญาตเพิ่มเติมเชิงแก้ดังนี้ : ความจริง ไม่สามารถเรียกระบอบทักษิณได้เลย เพราะคำว่า "ระบอบ" หมายถึง "ผู้ที่เป็นเจ้าของอำนาจการปกครองประเทศ" หาใช่เพียงแค่เป็นคนมีอำนาจ แล้วเรียกว่าระบอบ เช่นนั้นก็หาไม่ ดังนั้น ความหมายของระบอบที่เรียกขานทักษิณ จึงไม่อาจเป็นของทักษิณได้เลย เพราะทักษิณ เป็นเพียงนายกรัฐมนตรีคนหนึ่งของระบอบเท่านั้น เพื่อการขยายความหมายให้สมบูรณ์ ระบอบ คือ เจ้าของระบบ และระบบคือเจ้าของระเบียบ และระเบียบคือกฎเกณฑ์ที่เจ้าของระบอบสร้างขึ้น และระเบียบคือเจ้าของระบอบสั่งให้ระบบสร้างขึ้น ด้วยเหตุนี้ ชนชั้นใดเป็นผู้ออกกฎหมาย (ระเบียบ) ชนชั้นนั้นย่อมเขียนกฎต่าง ๆ เพื่อประโยชน์ของหมู่พวกและชนชั้นของตน การเรียกขาน "ระบอบทักษิณ" เป็นการเรียกขาน เพื่อการสังหารคู่แข่งแห่งอำนาจ (ทักษิณ) ให้พินาศย่อยยับ ซึ่งท่านทักษิณ ก็เกือบจะย่อยยับ ถ้าไม่เก่งจริงคงอยู่ไม่ได้ ดังนั้น ทักษิณ ไม่มีวันจะได้เป็นระบอบทักษิณได้เลย เพราะเจ้าของระบอบที่แท้จริงยังคงเป็นเจ้าของประเทศอยู่ ตามหลักทฤษฎีการปกครอง ในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข หวังว่าคุณกำมะหยี่สีม่วง คงจะให้ผมแก้ไขนะครับ ลงชื่อ สอาด จันทร์ดี 30 กันยายน 2554 | |
http://redusala.blogspot.com |
“คันหู” จึงนำมาสู่การ “คันปาก” | |
นิติสาก ดรีกรีความดุเดือดเลือดพล่านในการวิจารณ์ข้อเสนอของ “นิติราษฎร์” พุ่งไปสูงปรี๊ดเลย เมื่อ“แก๊งสนับสนุนรัฐประหาร” ที่อำพรางตัวด้วยการสวมเสื้อคลุมต่างๆ นาๆ ต่างก็พากันเฮละโลกันออกมา!!! “อัดกลุ่ม อ.วรเจตน์” ไอ้ผมในฐานะของคนที่จบกฎหมายมาคนหนึ่ง ฟังเสียงวิพากษ์ของทั้ง 2 ด้าน ก็รู้สึก “คันหู้...คนหู” เพราะเหตุผลที่มีการกล่าวโจมตีนิติราษฎร์นั้น “บ่มิไก๊” เอาเสียเลย ทั้งๆ ที่“นิติราษฎร์เขานำเสนอประเด็นวิชาการ” แต่ก็กลับมีอยู่ไม่กี่คนที่จะมาเถียงกันในทางเนื้อหากันแบบตรงไปตรงมากันจริงๆ จะมีก็แต่การกล่าวหาว่านิติราษฎร์ไปรับงานใครมา? ผมว่านิติราษฎร์เขาประกาศชัดเจนนะว่าเขารับงานของประชาชนที่รักในระบอบเสรีประชาธิปไตย แต่พวกท่านล่ะตอบได้ไหมว่ารับงานใครเขามา? หากมาดูก็จะเห็นว่า อ่ะ...โอเคล่ะ “อ.สมคิด” ก็พอจะมีประเด็นถกเถียงทางวิชาการ “บ้าง” แต่ อ.กิตติศักดิ์ที่แหละที่ผมขอปรบมือให้ดังๆ ซักแปะสองแปะ!!! ที่กระโดดเข้ามาถกเถียงกันในทางเนื้อหาทางวิชาการจริงๆ แต่ก็เป็นการแย้งที่ไร้น้ำหนักอย่างยิ่ง โอยยยยยยย ส่วน “แก๊งสภาทนายไม่ได้ความ” นี่ ไม่ต้องมาพูดถึงเลย ไม่มีเครดิตหรอก แต่ก็นะ ผมก็ “คันปาก” ต้องขอวิจารณ์เสียหน่อย เพราะผมก็เป็นทนายความด้วยน่ะซิ การที่คุณ “สากกกกกกกก” ออกมาพูดแบบนี้มันทำให้คนที่ประกอบวิชาชีพทนายความแบบผมต้องเสียหายอย่างยิ่งเลย ยังไงก็แล้วแต่ ผมคงขอเกาะกระแส “อินเทนด์” เสียหน่อย ด้วยการวิพากษ์วิจารณ์ผ่าน “การตั้งคำถาม” แบบท่านอธิการบดีของ มธ. ที่ผมเห็นว่าน่าจะมีรากฐาน“ฮิต” มาจาก “อาจารย์แก้ว(สรร)” ที่ชอบเขียนบทความทำนองถามเอง ตอบเอง ชงเอง ชมเอง แล้วด่าคนอื่นเสียเองตลอดเวลา อุ๊บ!!! โอเค ยังไงงานนี้เขาไม่เกี่ยว (รึเปล่า?) ขอตั้งคำถามแค่ 1 คำถามสำหรับ อ.กิตติศักดิ์ 1. ตามที่อาจารย์อ้างคำพิพากษาของสูงสุดของอเมริกา (ซึ่งจริงๆ คดียังไปไม่ถึงนะคร้าบบบ คดีอยู่ที่ศาลอุทธรณ์ระดับสหพันธรัฐเท่านั้น) ที่พิพากษามาแล้วสรุปกันแบบดื้อๆ ว่า “นี่ไง ศาลมีคำพิพากษามาโต้แย้งการทำประชามติของประชาชนได้หากเห็นว่าผิดกฎหมาย” อาจารย์ช่วยตอบผมหน่อยว่าผู้พิพากษาเขามาจากไหน? มาจากคณะรัฐประหารเหมือนของไทยไหม? แล้วรัฐธรรมนูญของอเมริกามาจากผลพวงของรัฐประหารหรือไม่? หากอาจารย์ตอบคำถามของผมได้ อาจารย์ก็จะรู้ว่าสิ่งที่อาจารย์บอกว่าคำพิพากษาของศาลอเมริกาเป็น Anti-Majority Decision เป็นคำพูดที่ผิดโดยชัดเจน ฟันธง!!! อนึ่ง อาจารย์ระวังผิดฐานดูหมิ่นศาลสูงสุดของอเมริกานะครับผม ถ้ามีคนอีเมลล์ไปฟ้องเขาอ่ะ 1 คำถามสำหรับ อ.สมคิด (เพราะมีหลายคนเขียนถึงอาจารย์แล้วผมจึงขอแค่ 1 คำถาม) 1. อาจารย์กำลังใช้ตรรกะของการกำจัด “นายทุนสามานย์” โดยไม่ได้มองถึงเรื่องประชาธิปไตยและหลักนิติรัฐเลย ใช่หรือไม่? จริงๆ ขอแถมอีกซักหนึ่งหัวคำถาม (ข้อนี้อยากรู้เป็นการส่วนตัว) ตกลงจานนนนไปรับใช้พวกทหารจริงๆ ไหม? 2 คำถามสำหรับนายสากกกกก นายกสภาทนายไม่ได้ความ (ซึ่งเป็นคนละองค์กรกับที่ผมอยู่ คือ สภาทนายความที่รักในระบอบประชาธิปไตยและนิติรัฐ) 1. คุณใช้คำว่า “สภาทนายความ” ซึ่งมันสะท้อนถึง “องค์กรรวมทั้งหมด” ไปกล่าวอ้างโจมตีคนโน้นคนนี้ (นิติราษฎร์) คุณเอาอาณัติอะไรจากพวกผมๆ (ในฐานะทนายความ) ไป คุณรู้ได้ไงว่าผมคิดแบบคุณ ผมและผองเพื่อนทนายอีกหลายคน จริงๆ แล้วเห็นตรงกันข้ามกับคุณเลยนะ เวลาจะออกแถลงการณ์ในเชิง “องค์กร”กรุณาถามชาวบ้านชาวช่องเขาด้วย ทำประชามติของทนายน่ะเป็นไหม? หรือไอ้ความเป็นเผด็จการมันอยู่ในสายเลือดอยู่แล้ว? หากจะพูดก็กรุณาออกไปใช้สิทธิในฐานะนายสากกกก เดี่ยวๆ หรือกับเพื่อนๆ ร่วมแก๊งของพวกคุณเป็นรายบุคคลก็พอ อย่ามาเหมารวมพวกผมไปด้วย มิฉะนั้น พวกผมจะล่ารายชื่อเพื่อแสดงให้เห็นว่าคุณไม่ควรเป็นนายกฯ สภาทนายอีกต่อไป กรุณาออกมาแถลงขอโทษพวกกระผมด้วยนะครับ 2. “แก๊งสภาทนายไม่ได้ความ” ที่มีคุณสากกกกเป็นหัวเรือเนี้ยะ ตอบได้ไหมว่า “นิติรัฐคืออะไร?” แต่ผมเดาว่าตอบไม่ได้หรอก เพราะทุกวันนี้ก็ตอบกฎหมายผิดๆ ผิดๆ (ไม่ใช่ผิดๆ ถูกๆ นะ) อยู่ตลอด คงจะไม่มีปัญญาตอบกระมัง 2 คำถามสำหรับสื่อกระแสหลัก 1. ทำไมจึงมุ่งเน้นแต่จะขายข่าวเท่านั้น การตั้งคำถามทำไมไม่เน้นไปในเชิงเนื้อหาให้พวกกลุ่มอาจารย์วรเจตน์และฝ่ายไม่เห็นด้วยมาคุยและถกเถียงกันว่า จริงๆ ข้อเสนอมีข้อดีข้อเสียยังไง ปฏิบัติได้จริงหรือไม่? หรือพวกเอ็งก็นิยมความไม่เป็นประชาธิปไตยเหมือนกัน 2. สื่อกระแสหลักก็ยังยึดติดกับ “ทักษิณๆๆๆๆ” ไอ้ทักษิณเนี้ยะมันเป็นสิ่งมาบดบัง เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นที่หลากหลายตามรัฐธรรมนูญนะเข้าใจไหม? ยกมันทิ้งไปได้ไหม แล้วทำใจด้วยความเป็นกลาง นำเสนอเนื้อหาของทั้งสองฝ่ายไปเลย อย่ามานั่งเสี้ยมๆๆ ให้ทะเลาะกันเฉยๆ เพื่อจะขายข่าวเท่านั้นเลย มันแสดงถึงความไม่มีวุฒิภาวะของสื่อกระแสหลักไทย เห็นแล้วอนาถใจ แค่นี้ทำได้ไหม? | |
http://redusala.blogspot.com |
''ประสงค์สุ่น''เตือน ซ้ำ19กย.49 ถ้าไม่หยุดช่วยแม้ว | |
ถึงคิว “ประสงค์ สุ่นศิริ” ออกมาเตือนรัฐบาล หากทำเพื่อช่วย “ทักษิณ” คนเดียว อาจเกิดเหตุการณ์ซ้ำรอย 19 ก.ย.49 จวกกลุ่มนิติราษฎร์ ออกแถลงการณ์ไม่เหมาะสม เอื้อประโยชน์ให้คนๆ เดียว ซัดนักวิชาการบางรายมีผลประโยชน์แอบแฝง… วันที่ 27 ก.ย. น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ อดีตประธานกรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญปี 50 (ส.ส.ร.) เปิดเผยกับไทยรัฐออนไลน์ ถึงกรณีที่กลุ่มนิติราษฎร์ออกแถลงการณ์ เรียกร้องให้มีการลบล้างผลพวงจากการใช้กฎหมายที่ออกประกาศโดยคณะปฏิรูปการปกครองฯ (คปค.) ว่า สำหรับนักวิชาการพวกนี้ หากดูจากการทำงานของอาจารย์บางคน ที่ผ่านมาก็ได้รับใช้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีมาตลอด เพราะฉะนั้นจุดมุ่งหมายที่สำคัญของคนกลุ่มนี้ ที่มีแนวทางตรงกันกับรัฐบาลชุดปัจจุบัน ซึ่งนำโดย น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี คือ ต้องการปลดเปลื้องพันธนาการให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ เพียงคนเดียวเท่านั้น ไม่ได้มองสาเหตุของการปฏิวัติรัฐประหาร ทั้งนี้วิธีการต่าง ๆ ที่กลุ่มนิติราษฎร์นำมาออกมาเผยแพร่ ก็เพื่อเป็นการสร้างกลยุทธ์ที่ทำให้ประชาชนเกิดสงสัยและความเข้าใจผิด อย่างไรก็ตามคณะนิติราษฎร์ก็เป็นเพียงกลุ่มที่ทำงานรับใช้อดีตนายกรัฐมนตรี มันไม่มีอะไรมากกว่านั้น “รัฐประหารที่ผ่านมา มันมีเหตุผล จะมาลบล้างทั้งหมดได้อย่างไร พวกนักวิชาการ ทำไมไม่มองที่ต้นเหตุ ส่วนข้อเรียกร้องที่ออกมาประกาศนั้น ดูกันดี ๆ ก็เพื่อช่วยเหลือทักษิณเพียงคนเดียว แต่ไม่เคยย้อนกลับไปว่า ทักษิณ ทำอะไรไว้บ้าง” น.ต.ประสงค์ กล่าว พร้อมกันนี้อดีตประธานกรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญปี 50 กล่าวต่อว่า ขอเตือนถึงกลุ่มบุคคลที่ทำงานรับใช้คนเพียงคนเดียว หรือไม่สนใจบ้านเมือง เนื่องจากอาจจะเกิดประวัติศาสตร์ซ้ำรอยเหมือนช่วงปี พ.ศ.2549 ที่ผ่านมา เพราะประชาชนที่ไม่เห็นด้วย จะเริ่มรวมตัวกัน ต่อต้านอย่างแน่นอน และมันจะเป็นการแสดงพลังครั้งยิ่งใหญ่ ดังนั้นการกระทำหลังจากนี้ไปจะเป็นสิ่งที่บ่งบอกตัวตนของรัฐบาล ว่าจะทำงานเพื่อคนๆ เดียว อย่างเช่นปัจจุบัน หรือพยายามใช้นโยบายประชานิยมหว่านแหก็ตาม คนไทยก็คงไม่ลืม ส่วนกรณีการเดินทางกลับประเทศของอดีตนายกรัฐมนตรีนั้น ในมุมมองของตน เห็นว่า ประชาชนส่วนใหญ่ รวมถึงกลไกของอำนาจรัฐ ยังคงต่อต้าน ดังนั้นภายในระยะเวลาที่รัฐบาลได้บริหารราชการแผ่นดิน คงไม่มีทางที่ พ.ต.ท.ทักษิณ จะทำสำเร็จ นอกจากนี้ น.ต.ประสงค์ ยังกล่าวถึงกรณีการแต่งตั้งโยกย้ายนายถวิล เปลี่ยนศรี เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ไปดำรงตำแหน่งที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีฝ่ายข้าราชการประจำ ว่า รัฐบาลชุดนี้ใช้อำนาจมากเกินไป ขอถามกลับว่านายถวิล ทำผิดอะไร การที่มาใช้เหตุผลเพื่อความเหมาะสม มันไม่ถูกต้อง ดังนั้นสิ่งนี้คือกระบวนการแทรกแซงข้าราชการประจำที่มีการโยกย้าย คนของตนเองขึ้นมานั่งในตำแหน่ง ซึ่งเกิดขึ้นมาตั้งแต่สมัย พ.ต.ท.ทักษิณ แล้วรัฐบาลก็ยังดำเนินการเหมือนในอดีต | |
http://redusala.blogspot.com |
เปิดใจ ขวัญใจประชาชานคนรากหญ้า
กองทัพไทย ใครเป็นเจ้าของ ? | |
คำถามที่ถามว่า “กองทัพไทย ใครเป็นเจ้าของ” ? มิใช่คำถามเพื่อการยั่วยุ และมิใช่เป็นคำถามเพื่อหวังจะให้เกิดความร้าวฉานในกองทัพ จุดมุ่งหมายในการเขียนก็เพื่อจะบอกกล่าวแก่ “คนที่รับผิดชอบ” ต่อกองทัพว่าขอให้ตระหนักแก่ใจเถิดว่าเจ้าของ-ของกองทัพคือประชาชน ก่อนจะเขียนเรื่องนี้ ผมได้ชมการแข่งฟุตบอลเชื่อมสัมพันธไมตรี “มิตรภาพไทย-กัมพูชา” เย็นวันที่ ๒๔ กันยายน ๒๕๕๔ ณ สนามกีฬาโอลิมปิค ประเทศกัมพูชา ทางสถานีโทรทัศน์เอเชียอัพเดท โดยมีนักเตะคนสำคัญระดับผู้นำของประเทศร่วมสนามอย่างไม่เคยมีมาก่อน เช่นสมเด็จฮุนเซน นายกรัฐมนตรีประเทศกัมพูชา สมเด็จจักรพรรดิ เฮ็ง สัมริน ผู้นำอาวุโสแห่งชาติ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย (ที่ถูกยุบพรรคพลังประชาชน แต่ไม่ยุบพรรคประชาธิปัตย์ ทำให้พรรคประชาธิปัตย์ได้เป็นรัฐบาลภายใต้การนำของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่มีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เป็นรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง) ตามด้วย ส.ส. แกนนำคนเสื้อแดงคับคั่ง ภาพการแข่งขันฟุตบอลระหว่างไทยกับกัมพูชาในครั้งนี้ เห็นแล้วก็แปลกใจว่า “จนป่านนี้ประดาสถานีโทรทัศน์ช่องกระแสหลัก คือช่อง ๓ ๕ ๗ ๙ ๑๑ และ Thai PBS ไม่ยอมไปทำการถ่ายทอด” อันทำให้ผมเกิดความแปลกใจต่อสถานการณ์ความเชื่อของสื่อในประเทศไทย มันไม่แตกต่างจาก “การยืนอยู่คนละฝั่ง” กับรัฐบาลพรรคเพื่อไทยที่ชนะการเลือกตั้ง ๒๖๕ ต่อ ๑๕๙ ที่นั่ง นี่...ถ้าไม่มีเอเชียอัพเดท...รับรองได้ว่าจะไม่มีใครได้เห็นภาพการถ่ายทอด เป็นเพราะอย่างนี้แหละท่าน ขอม ดำดิน จึงจำเป็นต้องเขียนถามอะไรหลายอย่างที่ซ่อนซุกอยู่ในระบบต่างๆของสังคมไทย (ทั้งการเมือง-การทหาร-เศรษฐกิจ-และการปรองดอง) ? ผมขอกลับเข้าสู่เนื้อหาเดิมที่ต้องการถก ..ถกถึงกองทัพไทยตกเป็น “เครื่องมือฆ่าคน” ของพรรคประชาธิปัตย์กับพวกมือที่มองไม่เห็นอย่างไม่น่าเชื่อ อันแสดงให้เห็นว่ากองทัพไทยนั้นเป็นของปัจเจกชนอย่างไรก็อย่างนั้น โดยมิได้ขึ้นกับประชาชนเลย เพราะว่าถ้ากองทัพเป็นของประชาชน เขาจะไม่ฆ่าคนทิ้งซึ่งคนที่เขาฆ่าคือประชาชนผู้บริสุทธิ์ สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ ๑๐ เมษายน ถึง ๑๙ พฤษภาคม ปี พ.ศ. ๒๕๕๓ ที่ผ่านมา ได้ก่อให้เกิดเสียง วิพากษ์วิจารณ์เซ็งแซ่ไปทั่วประเทศและถามว่าเหตุไรกองทัพไทยจึงเป็นเช่นนั้นไปได้ ? แล้วก็ถามต่อไปว่าทำไมกองทัพไทยจึงกลายเป็น “สมบัติส่วนตัว” ของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะกับคำถามแบบเดียวกันว่าทำไมจึงเป็นสมบัติส่วนตัว “ของมือที่มองไม่เห็น” แบบเต็มจิตเต็มใจ จนก่อให้เกิดความเสียหายแก่ประเทศชาติบ้านเมืองสุดจะประมาณได้ ลักษณะของกองทัพไทยที่แสดงออกทางจุดยืนตลอด ๔-๕ ปีผ่าน ไม่แตกต่างจากจุดยืนของหลายประเทศ ที่เอากองทัพไปเป็นสมบัติส่วนตัว แล้วก็เห็นประชาชนเป็นฝ่ายตรงกันข้าม เช่นตูนิเซีย อียิปต์ ซีเรีย ลิเบีย เยเมน ซึ่งได้เกิดการเข่นฆ่าไม่แตกต่างจากกรณี ๑๐ เมษายน – ๑๙ พฤษภาคม ๒๕๕๓! ประเทศไหนที่เอากองทัพไปเป็นสมบัติส่วนตัว ย่อมจะเป็นเหตุให้กองทัพของประเทศนั้นตกเป็นเครื่องมือของพวกกระหายอำนาจ ดังเช่นกองทัพไทยตกเป็นเครื่องมือของพรรคประชาธิปัตย์ในยุครัฐบาลที่ผ่านมา ซึ่งพรรคประชาธิปัตย์ได้ใช้กองทัพไล่ฆ่าคนเสื้อแดงอย่างเมามัน ในเวลาเดียวกัน กองทัพไทยก็ได้มอบใจให้แก่มือที่มองไม่เห็น มือที่มองไม่เห็นเกลียดคนเสื้อแดง กองทัพไทยก็เกลียดตาม เรื่องแบบเดียวกันนี้เกิดที่ต่างประเทศ ถ้าพี่น้องคนไทยสนใจในข่าวต่างประเทศคงจะได้รับฟังข่าวพันเอกกัดดาฟีแห่งลิเบีย เอาทหารจากกองทัพแห่งชาติไล่ฆ่าประชาชนชาวลิเบียล้มตายปานใบไม้ร่วง ในที่สุดตัวของพันเอกกัดดาฟีก็ไม่อาจอยู่ในอำนาจได้ ต่อมาก็เป็นประเทศเยเมนที่เดือดปุดปุด ๓ เดือนติดต่อกัน ประเทศไทยของเรารอมร่อจะเป็นอย่างนั้นโชคดีตรงที่คนเสื้อแดงไม่ลุแก่โทสะ พากันเรียกร้องด้วยสันติอย่างแท้จริง คือการชุมนุมอย่างสงบ มือเปล่า ปราศจากอาวุธ แม้จะถูกทหารฆ่าทิ้งปานว่าเล่นก็ไม่มีการตั้งกองกำลังขึ้นมาตอบโต้ จึงได้ทำให้ “สถานการณ์” อันหมิ่นเหม่ต่อสงครามกลางเมืองมอดดับลง แม้ว่าฝ่ายกองทัพจะยั่วยุ กล่าวตู่ว่าคนเสื้อแดงมีอาวุธ เป็นพวกก่อการร้ายก็ไม่บังเกิดผล คนเสื้อแดงอดกลั้นและอดทน...โดยเฉพาะคือประชาชนต่างพากันอยู่ในความอดทนอย่างสูงส่ง ส่งผลให้บรรยากาศทางการเมืองเปลี่ยนผ่านไปสู่การเลือกตั้งจนได้ อันเป็นการ“บีบ” ให้พวกเผด็จการต้องยอมจำนนต่อกระบวนการประชาธิปไตยชนิดบีบแล้วก็คั้นให้เป็นเส้นขนมจีน ทางกองทัพจึงอยู่ในภาวะจำยอมแบบดิ้นไม่หลุดจำเป็นต้องหยุดความซ่าไประยะหนึ่ง และส่งผลอีกก้าวใหญ่ ทำให้ประเทศไทยได้พบกับ “ปรัชญาใหม่” ที่จะช่วยให้การนำพาประเทศก้าวผ่านวิกฤตทางการเมืองได้อย่างราบรื่น ปรัชญาใหม่ตัวนั้นได้แก่ “อุดมการณ์ประชาธิปไตย” บวกกับ “นโยบาย” ใหม่ๆหลายนโยบายที่จะสามารถนำเอามาใช้เป็นทฤษฎีชี้นำในการพัฒนาประเทศได้ หลักทฤษฎีชี้นำ “ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ” จากตัวหนังสือเพียง ๖ คำ (ประโยคนี้) ดูเหมือนจะมีความเล็กน้อย-น้อยกว่าตะเกียงไขลานของชาวนาเชิงตีนเขา แต่เอาเข้าจริง...ถ้อยคำเพียง ๖ คำดังกล่าวนี้ได้สำแดงอานุภาพต่อวิถีการเมืองได้ยิ่งใหญ่กว่ามหากาพย์หลายพันเท่า ทั้งนี้เนื่องจาก “ทักษิณคิด” หมายถึงแนวคิดอันทรงพลังในทุกเรื่องที่จะสร้างประเทศไทยให้เจริญได้อย่างแท้จริงนั้นมาจากบุรุษผู้เผชิญชะตากรรมทางการเมือง “พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรีคนที่ ๒๓ ผมนั่งวิเคราะห์หลายตลบ “กว่าจะเข้าใจ” ในความปราดเปรื่องของท่านทักษิณที่ออกไอเดียซื้อรถคันแรก ซื้อบ้านหลังแรก เหตุไร จึงขึ้นค่าจ้างวันละ ๓๐๐ บาท ยกระดับจบปริญญาให้ค่าตอบแทนใหม่เป็น ๑๕,๐๐๐ บาท และออกบัตร เอทีเอ็มให้แก่ชาวนา ผมเพิ่งจะตีบทแตก...ผมเข้าใจแล้วครับ กล่าวคือ (๑) นโยบายทักษิณคิดในครั้งนี้ ได้ยกระดับคนรากหญ้าและคนชั้นกลางทั้งในเมืองและนอกเมือง เรียกว่ายกระดับอย่างทั่วถึงทั่วประเทศ ไม่ยกเว้นเสื้อเหลืองหรือแดง ทักษิณคิดตรงนี้คนไทยทั้งแผ่นดินจะได้รับการ “ปรับปรุง” อย่างทั่วถึง (๒) นโยบายทักษิณคิดในครั้งนี้เป็นแนวทางทุนนิยม อันเป็นตรงกันข้ามกับ “แนวทางคอมมิวนิสต์” ที่กำลังเป็นปัญหา-ถูกพรรคประชาธิปัตย์กล่าวหาว่าเป็นลัทธิ ต่อมา...เมื่อส่งให้พรรคเพื่อไทยก็เลยกลายเป็นอีกประโยคว่า “เพื่อไทยทำ” ซึ่งหมายถึงการทำงานของพรรคเพื่อไทยทั้งหมดนั้น ทำตามแนวคิดของ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี พรรคเพื่อไทยจะทำอะไรบ้าง ? เป็นคำถามที่ตอบได้ไม่ยากเลย กล่าวคือ (๑) ถ้าพรรคเพื่อไทยได้บริหารประเทศชาติไปโดยตลอดรอดฝั่งไม่ถูก “กองทัพแห่งชาติ” หักขากลางคันเสียก่อน (๒)ก็จะได้พัฒนาประเทศ ก่อสร้างทางรถไฟความเร็วสูง จะมีทางรถไฟใต้ดินทั้งในกรุงเทพมหานครและต่างจังหวัด (๓) จะได้ยกระดับชีวิตคนไทยให้หลุดพ้นไปจากความยากจน ลดช่องว่างทางสังคม และ (๔) กำจัดอำนาจมืดที่ยึดครองกองทัพเป็นสมบัติส่วนตัว ด้วยการจัดการให้เป็นกองทัพของชาติ ไม่ตกเป็นสมบัติส่วนตัวของใครอีก แน่นอนที่สุด แรงเสียดทานจะยังมีอยู่อย่างไม่มีทางเลี่ยง เช่นพรรคประชาธิปัตย์จะยังคงก่อความวุ่นวายในสภาผู้แทนราษฎร จะมีการ “วอล์คเอาท์” ประท้วง และจะมีการยื่นศาลรัฐธรรมนูญ ฟ้องรองให้ยุบพรรคและอื่นๆตามวิสัยของพวกปัจเจกอำนาจที่เสพติดกับผลประโยชน์ผูกขาดมายาวนาน แน่นอนที่สุด จะมีการชุมนุมประท้วงจากกลุ่มเสื้อหลากสี มีการเคลื่อนไหวต่อต้าน และกล่าวหาว่าพรรคเพื่อไทยทำเพื่อคน-คนเดียว และยังจะมีการกล่าวหาว่าคนเสื้อแดงไม่จงรักภักดีต่อไปอย่างไม่เลิกรา ข้อกล่าวหาบ้าๆบอๆจะยังคงมีอยู่ไม่ต่ำกว่า ๔-๕ ปีติดต่อกัน ทั้งหลายทั้งปวงดังที่กล่าวมา...ในที่สุดก็จะถึงประตูสว่างจนได้โดยการใช้ทฤษฎี “ทักษิณคิด-เพื่อไทยทำ” ซึ่งจะก่อให้เกิดภาพวิจิตรตระการตา สวยสดงดงาม โดดเด่น ชูช่อบานไสวไปสู่โลกกว้าง จะส่งผลให้ชาวโลกได้เห็นประชาชนของประเทศไทยก้าวหน้าไปไกล หลังจากนั้นก็จะทำให้คนไทย “ยอมรับ” สิ่งที่เป็นได้จริง จากแนวคิดของทักษิณคิด-เพื่อไทยทำ ท่านทั้งหลายคงจะได้รับฟังคำพูดของท่านทักษิณที่พูดว่า ครั้งแรกที่ถูกทหารยึดอำนาจก็เสียใจ ครั้งต่อมา เมื่อเขายึดทรัพย์ก็เกิดอาการเครียด แต่พอขึ้นครั้งที่ ๓ ก็เริ่มปล่อยวาง และพอถึงครั้งที่ ๔ และ ๕ เกิดความรู้สึกขำ...ถึงกับอุทานออกมาว่า เรามีความดีมากมายเขาไม่ยกย่อง เขากลับไปยกย่องคนชั่ว ตัวเรานี้มันเลวสุด-สุดขนาดนั้นเชียวหรือ คิดแล้วก็ขำ ซึ่งเป็นคำบอกกล่าวที่มีคุณค่าอย่างยิ่ง ถ้าเป็นอย่างนี้จริงแสดงว่าจิตของท่านทักษิณหลุดพ้นไปจากความกลัดกลุ้มนานาประการแล้ว จะเหลืออยู่ก็แต่พวกสัมภเวสี เปรต อสุรกาย ที่แอบอยู่ในกองทัพ แอบอยู่กับอำนาจมืด ที่ยังไม่ยอมรับตัวเองว่าได้ถึงแก่ “ความพ่ายแพ้” อย่างย่อยยับ เมื่อไม่ยอมรับก็จะก่อกวนไม่หยุดหย่อน โดยหวังว่าจะคว้าเอาอำนาจกลับคืนมาเป็นของพวกเขาได้อีก พวกเขาไม่ได้พูดจาเลื่อนลอย...และไม่ใช่เป็นการเล่นหัว หากแต่ทุกประโยค..มันกลั่นมาจากหัวใจของพวกปัจเจกมหากาฬ ดังเช่นการประกาศบอกให้พรรคเพื่อไทยได้รู้ตัวว่า “จะให้อยู่ได้ไม่เกิน ๖ เดือน” อันหมายถึงวันนี้ (๒๔ กันยายน ๒๕๕๔) ก็จะเหลืออีก ๕ เดือนเท่านั้นสำหรับเวทีการเมืองของพรรคเพื่อไทย โถ...มันช่างง่ายเหลือเกินนะท่านะ...ช่างคิดง่ายเหลือเกิน ? ผมอยากบอกกับพวกท่านว่าทุกสิ่งทุกอย่างมีชาติไทยอันเป็นที่รักคือเป้าหมาย...นั้นคือประเทศจะต้องก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ไม่ถอยหลังเข้าคลองอีกแล้ว การที่จะก้าวไปข้างหน้าได้นั้น จะต้องทำลายพวก “สัมภเวสี” ในกองทัพให้หมดไป รวมทั้งต้องทำลายพวกนักการเมือง “เต่าล้านปี” ให้เกลี้ยงไปจากสังคมการเมืองไทยให้ได้ ใช่..พวกเผด็จการคิดอยู่ตลอดเวลาจะทำลายพรรคเพื่อไทย หวังจะได้อำนาจคืนอีกครั้งหนึ่ง แต่คนเสื้อแดงเขาไม่ได้ตกใจดอกครับ เพราะว่าหัวใจของคนเสื้อแดงนั้นอยู่ที่การเลือกตั้ง...ต่อต้านการทำรัฐประหารทุกรูปแบบ โดยมีชาติไทยเป็นหลักให้ยึดเหนี่ยว มีเป้าหมายจะเอากองทัพไทยทั้งกองทัพมาเป็นของประชาชน จะไม่ยินยอมให้มนุษย์หน้าไหนเอากองทัพอันเกรียงไกรไปเป็นสมบัติส่วนตัว มันอาจจะยากเป็นของธรรมดา เพราะ “หัวโจก” ไม่เอาด้วย ด้วยเหตุนี้จึงมีคำถามที่ถามว่า “กองทัพไทย ใครเป็นเจ้าของ” ? ประโยคนี้เกิดขึ้น ถามเพื่อจะบอกใบ้ให้ขุนพลใหญ่ในกองทัพได้รับรู้เอาไว้ว่า ถ้าพวกคุณไม่ยอมขึ้นกับประชาชน ระวังประชาชนจะเป็นผู้จัดการให้เกิดการเปลี่ยนแปลง อยากให้จดจำบทเรียนจากลิเบีย เยเมน และอีกหลายประเทศ ที่ผู้นำทั้งหลายหงายท้องให้แก่อำนาจของประชาชน...ถ้าไม่เชื่อให้เปิดคลิปต่างๆจาก “ยูทูป” ดูเอาเอง อภิสิทธิ์ – ประยุทธ์ - สุเทพ – ปณิธาน และไก่อู ทราบแล้วเปลี่ยน ? ขอม ดำดิน ๒๔ กันยายน ๒๕๕๔ | |
http://redusala.blogspot.com |
กล้องหลอก คนหลอก เหี้ยหลอก | ||
| ||
http://redusala.blogspot.com |
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)