วันศุกร์ที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

ยื่นศาลฎีกา ประกัน ‘สมยศ’


ยื่นศาลฎีกา ประกัน ‘สมยศ’ 

3 องค์กรต่างประเทศแถลงไม่ให้ประกันขัดกติการะหว่างประเทศ

            เมื่อวันที่ 7 พ.ค.56 ที่ผ่านมา  นายวสันต์ พานิช ทนายความของนายสมยศ พฤกษาเกษมสุข ผู้ต้องขังคดีหมิ่นประมาทกษัตริย์ ตามมาตรา 112 ได้ยื่นฎีกาเพื่อขอปล่อยชั่วคราวนายสมยศอีกครั้ง หลังถูกควบคุมตัวมาเป็นเวลา 2 ปี 1 เดือน นับแต่วันจับกุม และยื่นประกันตัวแล้ว 12 ครั้ง ล่าสุด ศาลอุทธรณ์ได้ปฏิเสธการปล่อยชั่วคราว เมื่อวันที่ 3 เม.ย.56 โดยให้เหตุผลว่า “พิเคราะห์แล้วเห็นว่าข้อหาตามฟ้องเป็นความผิดอาญาร้ายแรง พฤติการณ์แห่งคดีกระทบต่อความรู้สึกและศีลธรรมอันดีของประชาชน ทั้งศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยถึง 10 ปี หากปล่อยชั่วคราวไป ไม่น่าเชื่อว่าจะไม่หลบหนี จึงไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวในระหว่างอุทธรณ์ ยกคำร้อง”

           สำหรับคำร้องที่ยื่นต่อศาลฎีกาในครั้งนี้ระบุเหตุผลในการขอปล่อยชั่วคราว ว่า รัฐธรรมนูญ มาตรา 40 (2) รับรองสิทธิในการรับทราบเหตุผลประกอบคำสั่ง คำวินิจฉัย คำพิพากษาแต่คำสั่งของศาลอุทธรณ์ไม่ได้โต้แย้งเหตุผลที่จำเลยยื่นคำร้องขอ ปล่อยชั่วคราว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องคำพิพากษานั้นขัดรัฐธรรมนูญ จำเลยไม่มีพฤติการณ์หลบหนี รวมทั้งมีโรคประจำตัว ย่อมถือได้ว่าศาลอุทธรณ์มิได้มีคำสั่งที่แสดงเหตุผลตามเจตนารมณ์รัฐธรรมนูญ แต่กลับอ้างเหตุผลอื่นๆ คำสั่งศาลอุทธรณ์จึงไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ

          ในคำร้องยังระบุด้วยว่า นอกจากนี้คำสั่งศาลอุทธรณ์ยังไม่ชอบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 186 (5) ซึ่งบัญญัติให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งไปตามข้อเท็จจริงซึ่งพิจารณาได้ความ ซึ่งศาลอุทธรณ์ยกคำร้องขอปล่อยชั่วคราวโดยอ้างเหตุผลว่า คดีนี้พฤติการณ์แห่งคดีกระทบความรู้สึกและศีลธรรมอันดีของประชาชน ซึ่งเหตุผลดังกล่าวมิได้มีการพิจารณาหรือว่ากล่าวกันในชั้นศาลอาญาหรือศาล อุทธรณ์แต่อย่างใด หากน่าเกิดขึ้นจากแนวคิดหรือการคาดการณ์ของศาลอุทธรณ์เอง ซึ่งไม่เป็นธรรมแก่จำเลยอย่างยิ่ง  เสมือนหนึ่งศาลอุทธรณ์เป็นผู้กำหนดเองว่า คดีใดมีผลกระทบความรู้สึกและศีลธรรมอันดีของประชาชน เนื่องจากคดีจำนวนมากที่มีผลกระทบความรู้สึกและศีลธรรมอันดีของประชาชน เช่น คดีที่เจ้าหน้าที่ตำรวจสังหารประชาชน แม้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งประหารและจำคุกตลอดชีวิตบรรดาเจ้าหน้าที่ แต่ศาลอุทธรณ์ก็ยังให้ประกันตัว (คดีหมายเลขดำที่ อ.3252/2552 และหมายเลขแดงที่ อ.2600/2555)

        “การกระทำของจำเลยหากศาลพิจารณาและพิพากษาแล้ว คดีของจำเลยย่อมต่างจากคดีอาญาโดยทั่วไป เพราะจำเลยมิได้มีเถยจิตเป็นโจรหรืออาชญากรทางอาญาแต่อย่างใด ในนานาอารยะประเทศย่อมถือได้ว่าจำเลยเป็นนักโทษทางความคิดเท่านั้น จำเลยจึงสมควรได้รับอิสรภาพโดยการปล่อยตัวชั่วคราวในระหว่างการพิจารณาของ ชั้นอุทธรณ์ต่อไป” คำร้องระบุ

         ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันที่ 8 พ.ค.ที่ผ่านมา องค์กรระหว่างประเทศ 3 แห่งร่วมกันส่งคำแถลงไปยังสำนักงานศาลฏีกา เพื่อนำเสนอข้อคิดเห็นในกรณีการยื่นประกันตัวของสมยศด้วย โดยองค์กรดังกล่าวได้แก่ สหพันธ์ระหว่างประเทศด้านสิทธิมนุษยชน (FIDH)  เครือข่ายนักกฎหมายสื่อสารมวลชนผู้ริเริ่ม (MLDI) และเครือข่ายนักกฎมายสื่อสารมวลชนแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้  (MD-SEA)

         คำแถลงดังกล่าวระบุถึง คำสั่งของศาลที่ไม่อนุญาตให้สมยศได้รับการประกันระหว่างต่อสู้คดี ซึ่งขัดต่อกติการะหว่างประเทศที่ไทยเข้าเป็นภาคี โดยเฉพาะที่เกี่ยวพันกับด้านสิทธิมนุษยชน โดยเหตุผลที่ศาลใช้อ้างเกี่ยวกับ “ความร้ายแรงของความผิด” และ “ศีลธรรมอันดีและความรู้สึกของประชาชน” ไม่ควรถูกนำใช้เป็นเหตุในการปฏิเสธการประกันตัว และคำสั่งไม่อนุญาตให้ประกันตัวคุณสมยศเป็นการลิดรอนเสรีภาพของบุคคลโดย อำเภอใจ ทั้งนี้สืบเนื่องจากการรับรองข้อบทที่ 19 แห่งกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (กติการะหว่างประเทศ) ว่าด้วยเรื่องการใช้สิทธิและเสรีภาพ

         “FIDH MLDI และ MD-SEA จึงขอแถลงว่า คำสั่งศาลอุทธรณ์ต่อการขอประกันตัวของคุณสมยศนั้น เป็นคำสั่งที่มิได้ปฏิบัติตามมาตรฐานที่จำเป็นสำหรับการควบคุมตัวและการ ปล่อยตัวชั่วคราวซึ่งผูกพันประเทศไทยตามกฎหมายระหว่างประเทศ ยิ่งไปกว่านั้น ศาลได้ละเลยที่จะทบทวนพฤติการณ์ของแต่ละรายบุคคลเป็นสำคัญในอันที่จะพิจารณา ถึงมาตรการอื่นแทนการควบคุมตัว อีกทั้งศาลยังอาศัยการคาดเดาและเหตุที่คลุมเครือมาใช้เป็นฐานแห่งการควบคุม ตัว ท้ายสุดนี้ เมื่อได้พิจารณาจากความเห็นที่ให้ไว้โดยบรรดาหน่วยงานแห่งสหประชาชาติแล้ว องค์กรร่วมลงนามเชื่อว่าการควบคุมตัวคุณสมยศนั้นเป็นไปโดยอำเภอใจ จึงร้องขอให้ศาลฎีกาของประเทศไทยทบทวนคำสั่งการประกันตัวของศาลอุทธรณ์โดย อาศัยหลักการที่กล่าวไว้ในคำแถลงนี้มาพิจารณาประกอบด้วย” คำแถลงระบุ
ทั้งนี้ นายสมยศถูกจับกุมตัวเมื่อวันที่ 30 เม.ย.54 ที่ด่านอรัญประเทศขณะนำลูกทัวร์เดินทางไปประเทศกัมพูชา หลังถูกจับกุมตัวนายสมยศถูกนำไปฝากขังไว้ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพ  เขาถูกฟ้องในฐานะบรรณาธิการนิตยสารวอยซ์ออฟทักษิณ (Voice of Thaksin) ซึ่งตีพิมพ์บทความ 2 ชิ้น อันอาจมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112  ต่อมาวันที่ 23 มกราคม 2556 ศาลพิพากษาลงโทษจำคุกเขา 10 ปี รวมกับคดีหมิ่นประมาทพล.อ.สพรั่ง กัลยาณมิตรอีก 1 ปี รวม 11 ปี 

“ทักษิณ” ออกแถลงการณ์โต้ ปชป. เตรียมส่ง สถานทูตต่างชาติในไทยพรุ่งนี้

“ทักษิณ” ออกแถลงการณ์โต้ ปชป. เตรียมส่ง สถานทูตต่างชาติในไทยพรุ่งนี้

วันศุกร์ที่ 10 พฤษภาคม 2556 เวลา 19:38 น.

แถลงการณ์พรรคประชาธิปัตย์ ต่อ กรณี "ปาฐกถามองโกเลีย"

แถลงการณ์พรรคประชาธิปัตย์ ต่อ กรณี "ปาฐกถามองโกเลีย"

http://lh6.ggpht.com/_lwhvfHtO8X4/TQZPAAbfBiI/AAAAAAAAAS4/qXj8NUeS-t0/Democrat_rachada.jpg

แถลงการณ์พรรคประชาธิปัตย์

          นับตั้งแต่ปีพ.ศ. 2475 ประเทศไทยภายใต้ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ได้ผ่านกระบวนการทางประชาธิปไตยและอุปสรรคต่างๆ มาอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ดีประชาชนชาวไทยก็ไม่เคยหมดความหวังและไม่ท้อถอยในการต่อสู้เพื่อ ให้ได้มาซึ่งประชาธิปไตยที่แท้จริง


          ในการกล่าวสุนทรพจน์ของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีในที่ประชุมประชาคมประชาธิปไตย ณ เมืองอูลัน บาตอ ประเทศมองโกเลีย ในวันที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2556 นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กล่าวติติงต่อกระบวนการประชาธิปไตยของประเทศว่ามีการถดถอยและเสื่อมลง โดยอ้างว่าตัวเธอ พี่ชายของเธอ และครอบครัวของเธอเป็นผู้ปกป้องคุณค่าของประชาธิปไตยและยังกล่าวว่าฝั่งของ เธอนั้นเป็นตัวแทนของประชาธิปไตยที่แท้จริง โดยกล่าวหาว่ามีกลุ่มต่อต้านประชาธิปไตยดำรงอยู่ภายในประเทศไทย

        โดยข้อเท็จจริงแล้วเป็นที่ประจักษ์กันทั่วไปว่าครอบครัวนายกรัฐมนตรี และโดยพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรนั้น ร่ำรวยขึ้นมาจากการได้รับสัมปทานการสื่อสารในอดีตจากรัฐบาลที่นำโดยกลุ่มของ ทหารจากเหตุการณ์ปฏิวัติในปี พ.ศ. 2534 ต่อมา พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้เข้าสู่เวทีการเมืองและดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในปี พ.ศ. 2544 – 2549 การบริหารราชการแผ่นดินของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรนั้น เต็มไปด้วยการทุจริต คอร์รัปชั่น มีการแก้ไขกฎหมายเพื่อตอบสนองผลประโยชน์ทางธุรกิจ นโยบายการทำสงครามยาเสพติด ซึ่งก่อให้เกิดการฆาตกรรมเกินขอบเขตกฎหมายหรือ “การฆ่าตัดตอน” หลายพันศพ รวมทั้งนโยบาย “กำปั้นเหล็ก” ต่อเหตุการณ์ความไม่สงบในภาคใต้เป็นหลักฐานของการขาดเป็นประชาธิปไตย 

http://sphotos-d.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-prn1/p480x480/931319_671588739521452_289209150_n.jpg

        วิธีการบริหารบ้านเมืองโดยการใช้อำนาจแทรกแซงองค์กรที่มีหน้าที่ในการตรวจ สอบ ถ่วงดุล รวมไปถึงการบังคับใช้กฎหมายอย่างไม่เป็นธรรม และการแก้ไขเพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับตนเอง และพวกพ้อง นำมาซึ่งความไม่พอใจของประชาชนจนการประท้วงลุกลามออกสู่ท้องถนน และรัฐบาลในขณะนั้นกลับสนับสนุนให้มีสถานการณ์การเผชิญหน้า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ตัดสินใจยุบสภาและในขณะที่ดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรีรักษาการ ฝ่ายทหารได้เข้าแทรกแซงในเดือนกันยายน ปีพ.ศ. 2549 และแต่งตั้งรัฐบาลพลเรือนชั่วคราว ต่อมาก็มีการจัดตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่งเสียงส่วนใหญ่ของประชาชนได้ให้ความเห็นชอบต่อรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ในเดือน สิงหาคม ปีพ.ศ. 2550 ในการลงประชามติซึ่งเป็นครั้งแรกของประเทศไทย การเลือกตั้งทั่วไปจึงได้เกิดขึ้น

        นายสมัคร สุนทรเวช จากพรรคพลังประชาชนที่มีพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร สนับสนุนได้รับชัยชนะในการเลือกตั้ง และเป็นนายกรัฐมนตรีในต้นปีพ.ศ. 2551 จากนั้น พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรได้ตัดสินใจเดินทางกลับประเทศไทย เพื่อต่อสู้ต่อคดีทุจริต และไม่นานก่อนที่จะถึงการตัดสินคดี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้ขออนุญาตศาลเดินทางออกนอกประเทศเป็นการชั่วคราวและมิได้กลับมาสู่ประเทศ ไทยจนกระทั่งปัจจุบัน โดยศาลได้พิพากษาจำคุก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นเวลา 2 ปีในคดีดังกล่าว 

https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjixGuaBYqTe7c2CUu9zx5zryWHavTRAyiHWXOrLhw0I32rtzSNu3FTwcjiIsW56Vm16ug2Fd_eJkRdX34qypGvOfEtfeaRmFP8gvo6Hr0Ll17zVkgZ9RztM4RhnAoykRMurKkuYZHxEes/s320/%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B8%84%E0%B8%A3%20%E0%B8%8A%E0%B8%B4%E0%B8%A1%E0%B9%84%E0%B8%9B%E0%B8%9A%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%9B.jpg

        นายสมัคร สุนทรเวช ต้องพ้นจากตำแหน่ง จากการกระทำซึ่งขัดต่อบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ และแม้ว่า นายสมัคร สามารถกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีได้อีก แต่นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ น้องเขย พ.ต.ท.ทักษิณกลับเป็นผู้ที่ได้รับการลงคะแนนให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแทน ตลอดมาทั้งนายสมัครและนายสมชายมีความพยายามที่จะเสนอกฎหมายนิรโทษกรรม ซึ่งจะทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร สามารถเดินทางกลับสู่ประเทศไทยอย่างพ้นผิด และปราศจากมลทินทุกประการ 

         เรื่องดังกล่าวเป็นชนวนก่อให้เกิดการประท้วงบนท้องถนนขึ้นอีกครั้ง หลังจากนั้นนายสมชาย ก็ต้องพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เพราะพรรคพลังประชาชนถูกยุบในข้อหาทุจริตในการเลือกตั้งและในการเลือกนายก รัฐมนตรีคนต่อมา สมาชิกสภาผู้แทนราษฏรจำนวนหนึ่งที่เคยสนับสนุนพรรคพลังประชาชน ได้ตัดสินใจลงคะแนนในสภาผู้แทนราษฎรเลือกนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 27 ของประเทศไทย โดยดำรงตำแหน่งตั้งแต่เดือนธันวาคม ปี พ.ศ. 2551 ถึงเดือนกรกฎาคม ปี พ.ศ. 2553 โดยในช่วงรัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ สภาพการเมืองไทยมีการเผชิญหน้า และมีความรุนแรง สืบเนื่องมาจากแนวทางแก้ว 3 ประการของพ.ต.ท.ทักษิณและกลุ่มผู้สนับสนุน คือ พรรคเพื่อไทย กลุ่มคนเสื้อแดง และกองกำลังติดอาวุธ 

http://api.ning.com/files/uHdSX08VM1-7csm-hkwaZ-Z6EOoL3Xu4lHvpgDN9WcV3qQEouN0xM2l79cpU4ym2NhBk6oFzVIN1l9IS0i*vLxhE3DkvzKHC/file.jpg?width=737&height=552

       โดยนางสาวยิ่งลักษณ์  ชินวัตรนั้นก็ได้มีส่วนร่วมในการประท้วงกับกลุ่มคนเสื้อแดง ซึ่งศาลยุติธรรมได้มีคำพิพากษาให้เป็นการกระทำที่ขัดต่อกฎหมาย และไม่ใช่เป็นไปตามแนวทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ การชุมนุมได้มีการละเมิดสิทธิ เสรีภาพพื้นฐานของผู้อื่น และยังมีกองกำลังที่เรียกว่า “ชายชุดดำ” ใช้อาวุธสงคราม เช่น ลูกระเบิด M67 M79 และอาวุธสงครามต่างชนิด แสดงให้เห็นชัดเจนว่าการกระทำเหล่านี้เป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามกับถ้อยแถลงของ นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ว่าการประท้วงในปีพ.ศ. 2553 นั้นเป็นไปเพื่อประชาธิปไตยและเป็นไปในแนวทางของสันติวิธี แต่ควรจะเรียกว่าเป็นการชุมนุมที่มีกองกำลังติดอาวุธ ก่อการร้ายต่อสู้กับเจ้าหน้าที่ของรัฐ และทำร้ายประชาชนผู้บริสุทธิ์ ฝ่ายรัฐบาลนำโดยพรรคประชาธิปัตย์ได้นำประเทศกลับสู่ภาวะปกติด้วยกลไกต่างๆ ภายในขอบเขตของกฎหมาย 


       ผู้เสียชีวิต 91 คนที่นางสาวยิ่งลักษณ์ระบุนั้น มีทั้งข้าราชการ ทหาร และตำรวจที่ปฏิบัติหน้าที่เพื่อรักษากฎหมายและความมั่นคงของประเทศ ประชาชนผู้บริสุทธิ์ และผู้ประท้วงหลายคนถูกเข่นฆ่าด้วยกลุ่มกองกำลังติดอาวุธ และขณะนี้กระบวนการยุติธรรมของประเทศ ก็ได้มีการดำเนินคดีต่อผู้กระทำผิด และ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ก็เป็นอีกบุคคลหนึ่งที่ถูกตั้งข้อกล่าวหาก่อการร้ายจากเหตุการณ์ดังกล่าว


       นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ประกาศยุบสภาเพื่อให้มีการเลือกตั้งทั่วไปใหม่เพื่อเป็นการแสดงออกต่อความ ปรองดอง ในเดือนพฤษภาคม ปี พ.ศ. 2554

       นางสาวยิ่งลักษณ์ เข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรีที่ประเทศไทยมีความเสถียรภาพและมีเศรษฐกิจที่เข้ม แข็ง แต่นางสาวยิ่งลักษณ์กลับทำหน้าที่ด้วยการรับคำสั่งจากพี่ชาย และหลีกเลี่ยงการทำหน้าที่อย่างเช่นการเข้าร่วมการประชุมรัฐสภา นางสาวยิ่งลักษณ์และพ.ต.ท.ทักษิณ ยังคงดำเนินการอย่างไม่ลดละ ที่จะรวบอำนาจรัฐ และพยายามลดความน่าเชื่อถือขององค์กรตามรัฐธรรมนูญอื่นๆ ฝ่ายตุลาการและองค์กรอิสระ และจนถึงปัจจุบัน ก็ยังมีกลุ่มมวลชนของรัฐบาลที่เรียกว่ากลุ่มคนเสื้อแดงยังได้มีพฤติกรรมคุก คาม ข่มขู่ องค์กรตุลาการ ภาคประชาชน พรรคการเมือง และสื่อมวลชนที่มีความเห็นต่างจากรัฐบาล สำนักงานตำรวจแห่งชาติและกรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้ถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองเพื่อคุกคามฝ่ายตรงข้าม ด้วยพฤติกรรมดังกล่าว นางสาวยิ่งลักษณ์จึงไม่เหมาะสมที่จะเป็นผู้กล่าวประนามผู้อื่นว่าไม่มีความ เป็นประชาธิปไตย

        พรรคประชาธิปัตย์ยืนหยัดต่อหลักการว่าด้วยเสรีประชาธิปไตย ทั้งชายและหญิงควรจะได้รับความเคารพในสิทธิ การแสดงออกอย่างเท่าเทียม ไม่ว่าคนเหล่านั้นจะมีความคิดทางการเมืองในฝ่ายของเสียงข้างมากหรือไม่ก็ตาม

        การประท้วงของกลุ่มคนเสื้อแดง และการคุกคามต่อองค์กรภาคประชาสังคมและผู้ที่เห็นต่าง ได้พิสูจน์ให้เห็นว่าเป็นการบ่อนทำลายสิทธิ เสรีภาพทางการเมือง และความหวังของประชาชนชาวไทย โดยที่การตระหนักและการเล็งเห็นการคุกคามต่างๆ ต่อประชาธิปไตยอย่างแท้จริงโดยประชาชนคนไทย และมิตรสหายในประชาคมโลกเท่านั้น เราจึงจะสามารถร่วมกันเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับประชาธิปไตยของประเทศมี ความยั่งยืนสืบไป 

////////////////

Press Release of the Democrat Party

Since 1932, Thailand has undergone a democratization process under the banner of Constitutional Monarchy. The democratization process of Thailand has had its ups and downs. Despite the drawbacks, the Thai people have never abandoned their hope or shirk their duties to secure a truly democratic Thailand.
In her speech delivered at the Conference of the Community of Democracies on 29th April 2013, Ulan Bator, Mongolia, Ms. Yingluck Shinawatra, Prime Minister of Thailand complained about the setback of Thailand's democracy and claimed that there are reactionary and anti-democratic forces at work while her brother and family are truly democratic and defenders of democratic values.
 
It is public knowledge that her family made the bulk of their fortune on the back of monopoly in the telecommunication business, with concessions gained during the military-led government after the 1992 bloodshed. Mr. Thaksin Shinawatra then entered politics and became the Prime Minister of Thailand from 2001 to 2006. Abuse of power, corruption, changing of laws to suit business interests characterized his premiership. The thousands of extrajudicial killings during Mr. Thaksin's "war of drugs" campaign and self-confessed iron fist policy on the Deep South are testament to his undemocratic ruthlessness.
 
The conduct of governing and widespread interference with all agencies tasked with providing checks and balances and enforcement of the law led to street protests.  Counter protests were being orchestrated. Violent confrontations popped up and were on the rise. He dissolved the parliament. While he was caretaker Prime Minister, the military intervened in September 2006 and set up an interim civilian government.  A constitution drafting Assembly was set up.  The Constitution was approved by the majority of the people in August 2007 at the first ever held national referendum.  National elections followed.

Mr. Samak Sundaravej from the Thaksin backed Palang Prachachon Party became the Prime Minister in early 2008. Charged with corruption, Thaksin decided to return to Thailand to fight his case in court. With the proceedings completed, but aware of the impending verdict, he obtained a court permission to leave the country on a temporary basis but has not returned since. In absentia, he was sentenced to a two-year imprisonment term.

Mr. Samak was removed from office for infringement of the Constitution. Despite Mr. Samak being eligible to resume office, Mr. Somchai Wongsawat, brother – in – law of Mr. Thaksin Shinawatra, was chosen to become Mr. Samak’s replacement. Both Mr.Samak and Mr.Somchai attempted to introduce and pass an Amnesty Law to help and facilitate Mr. Thaksin Shinawatra’s return to Thailand with impunity, sparking off street protests and they failed.

Mr. Somchai did not last long in office. The Phalang Prachachon Party was disbanded guilty of election fraud. Subsequently a group of MPs switched side and voted in Parliament for Mr. Abhisit Vejjajiva of the Democrat Party to become the 27th Prime Minister of Thailand
(December2008-July2011).During such time the political landscape of Thailand became more confrontational, violent and bloody with the three-pronged approach adopted by Thaksin and his supporters, namely the Pheu Thai Party, the Red Shirt Movement and the unknown armed elements. Ms.Yingluck also participated in the Red Shirts protests.

The protests in the year 2010 were deemed by the Court to be unlawful since they infringed on the rights of the general public, especially with the use of weapons such as M67, M79 and grenades. Such act is contrary to the statement of Ms.Yingluck that the protests were democratic and peaceful. An armed insurrection was a more appropriate description. The Democrat-led government returned the country to normalcy using means within the law.

The 91 deaths mentioned by Ms.Yingluck included military and police officers who were carrying out their duties to uphold the rule of law and keep peace, innocent bystanders and protesters. Many were killed by the so-called armed elements, others caught in the crossfire. Charges have been brought against the criminal proprietors. Mr.Thaksin Shinawatra is also one of those accused of terroristic acts and instigators of violence.

Mr. Abhisit Vejjajiva dissolved the Parliament and called a national election as a gesture towards reconciliation in May 2011.

Ms. Yingluck inherited a stable Thailand and a strong economy. But she takes order from her brother Mr. Thaksin Shinawatra. Like her brother, she avoids attending Parliamentary sessions. She and her brother continue their determination to control the three branches of government painting the Judiciary and Independent bodies as undemocratic. Meanwhile, the Red Shirts, tacitly backed by the government, harass and threaten the Democrat Party, the judicial bodies, civil society, and members of the media with opposing opinions. The Police and the Department of Special Investigations are being used as a political tool to intimidate the Opposition. Given such behavior, it is highly ironic that she should be the one talking about others being anti-democratic

The Democrat Party of Thailand stands by the liberal democratic principles that all men and women, whatever their political beliefs and whether they belong to the “majority” or not, deserve to be heard and respected equally.  Everyone is entitled to shape the course of our democracy with peaceful means.
The Red Shirt protests and physical threats to the Democrat Party, civil society and those opposed to the thuggish behaviors of this government prove to be detrimental to everyday political life and aspirations of the Thai people.
Only by recognizing these threats to democracy can we in Thailand and our friends in the international community take further steps to strengthen our democracy.

May 7, 2013

แถลงการณ์ที่สูญเปล่า : ประชาธิปัตย์ขนานแท้จริงจริง

แถลงการณ์ที่สูญเปล่า : ประชาธิปัตย์ขนานแท้จริงจริง

แถลงการณ์ที่สูญเปล่า : ประชาธิปัตย์ขนานแท้จริงจริง

โดย จาตุรนต์ ฉายแสง (8 พฤษภาคม 2556)

          อ่านแถลงการณ์พรรคประชาธิปัตย์ต่อกรณีปาฐกถามองโกเลียแล้ว บอกได้ตามตรงว่าไม่ผิดคาดเลย ประชาธิปัตย์ยังไงก็เป็นประชาธิปัตย์อยู่นั่นแหละ

http://www.oknation.net/blog/home/blog_data/165/48165/images/1231251040.jpg         แถลงการณ์ พรรคประชาธิปัตย์ฉบับนี้ไม่น่าจะทำความเสียหายให้เกิดแก่นายกรัฐมนตรีแต่ เท่าใด ถ้าจะเกิดความเสียหาย ก็คงจะเป็นความเสียหายต่อประเทศชาติ ซึ่งก็ยังน้อยกว่าที่พรรคประชาธิปัตย์เคยทำมาก่อนหน้านี้มากนัก ผู้ที่เสียหายมากที่สุดจากการออกแถลงการณ์ฉบับนี้น่าจะได้แก่พรรคประชา ธิปัตย์และผู้นำพรรคคือคุณอภิสิทธิ์นั่นเอง

         แถลงการณ์พรรคประชาธิปัตย์ฉบับนี้มุ่งตอบโต้นายกรัฐมนตรี แต่คำกล่าวหาต่างๆก็ไม่มีอะไรใหม่และไม่มีน้ำหนัก เป็นเพียงคำกล่าวหาเดิมๆที่พรรคประชาธิปัตย์ชอบใช้โจมตีนายกรัฐมนตรีเป็น ประจำ โดยไม่ได้อิงหลักประชาธิปไตยหรือหลักนิติธรรมแต่อย่างใด ที่น่าแปลกและไม่ทราบว่าพรรคประชาธิปัตย์จะนึกถึงหรือรู้ตัวหรือไม่ก็คือ แถลงการณ์ฉบับนี้ได้ตอกย้ำและเป็นข้อพิสูจน์ได้อย่างดีว่า ปาฐกถามองโกเลียของนายกรัฐมนตรีนั้นถูกต้องและเป็นความจริงอย่างแน่ชัดแล้ว

ทำไมผมจึงพูดอย่างนั้น

        แถลงการณ์ ฉบับนี้ได้แสดงให้ชาวโลกเห็นว่า มีผู้ไม่เชื่อในประชาธิปไตย ผู้ที่มีปฏิกิริยาต่อการพัฒนาประชาธิปไตย และพยายามขัดขวางทำลายประชาธิปไตยอยู่ในประเทศไทยตามที่นายกรัฐมนตรีกล่าว ไว้จริงๆ และตัวอย่างที่ชัดเจนก็คือ พรรคประชาธิปัตย์กับคุณอภิสิทธิ์นั่นเอง

        แถลงการณ์ ของพรรคประชาธิปัตย์ได้แก้ต่างและสร้างความชอบธรรมให้กับการรัฐประหารใน ปี 2549 อย่างไม่ละอายเลยแม้แต่น้อย พรรคประชาธิปัตย์พูดถึงปัญหาต่างๆของบ้านเมืองก่อนการรัฐประหาร เช่น ปัญหาคอรัปชั่น ความขัดแย้งในสังคม และปัญหาการแทรกแซงองค์กรอิสระเป็นต้น ในทำนองเดียวกันกับที่คณะรัฐประหารเคยกล่าวอ้างเกือบจะทุกประการ แล้วก็พูดถึงการที่"ฝ่ายทหารเข้าแทรกแซง"อย่างนิ่มๆเรียบๆ แบบที่ไม่เห็นว่าเป็นปัญหาอะไรเลย

        นี่เท่ากับพรรคประชาธิปัตย์ได้ย้ำทัศนคติของตนที่ว่า หากบ้านเมืองมีปัญหา การรัฐประหารก็สามารถเป็นทางออกที่ชอบธรรมได้ ทัศนคติอย่างนี้เป็นเรื่องตรงข้ามกับหลักการประชาธิปไตยที่คนทั่วโลกเข้าใจกัน

        ต้องย้ำว่าฝ่ายประชาธิปไตยนั้นถือว่า ไม่ว่าบ้านเมืองที่อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญที่เป็นประชาธิปไตยจะมีปัญหาอย่างไร ก็ไม่สามารถใช้ปัญหาเหล่านั้นเป็นเหตุผลให้เกิดความชอบธรรมในการรัฐประหาร ได้

        ความจริงถ้าพรรคประชาธิปัตย์จะใช้คำอธิบายที่คุณอภิสิทธิ์เคยใช้ อธิบายการรัฐประหารหลังเกิดการรัฐประหารใหม่ ๆ มาขยายความอีกสักหน่อยก็จะยิ่ง ทำให้ผู้อ่านเข้าใจจุดยืนของพรรคประชาธิปัตย์ได้ดียิ่งขึ้น คือควรจะบอกด้วยว่า "การรัฐประหารนั้นเป็นเผด็จการแต่เพียงรูปแบบ แต่เนื้อหาเป็นประชาธิปไตย" และ "การรัฐประหารเป็นการถอยหลังเพียงชั่วคราวเพื่อให้ประชาธิปไตยก้าวหน้าต่อ ไป" อะไรทำนองนี้

       ที่ว่าแถลงการณ์ฉบับนี้ทำความเสียหายต่อประเทศชาติ ก็อยู่ตรงที่ไปแสดงให้ชาวโลกเขาเห็นว่าพรรคการเมืองฝ่ายค้านที่เก่าแก่ที่ สุด ที่เมื่อเร็วๆนี้เพิ่งเป็นรัฐบาลมาหยก ๆ ไม่มีสำนึกที่เป็นประชาธิปไตย และจะออกแถลงการณ์ถึงประชาคมโลกทั้งที กลับไม่เสนออะไรที่จะเป็นประโยชน์ต่อการสร้างหรือพัฒนาประชาธิปไตยได้บ้าง เลย

      นอกจากรับรองความชอบธรรมของการรัฐประหารอย่างเป็นทางการต่อชาวโลกแล้ว แถลงการณ์ของพรรคประชาธิปัตย์ยังรับรองหรือแม้กระทั่งเชิดชูมรดกที่คณะรัฐ ประหารมอบไว้ให้แก่ประเทศนี้ ไม่ว่าจะเป็นรัฐธรรมนูญหรือการใช้อำนาจตามรัฐธรรมนูญในทางที่ไม่เป็น ประชาธิปไตยและขัดต่อหลักนิติธรรมอย่างต่อเนื่องอีกด้วย

      พรรคประชาธิปัตย์พูดรับรองรัฐธรรมนูญโดยไม่ได้พูดถึงที่มาและผู้ร่าง พูดถึงการลงประชามติโดยไม่พูดถึงสภาพบังคับ บีบคั้น และไม่มีทางเลือกของประชาชน

      เมื่อพูดถึงการพ้นจากตำแหน่งของนายกรัฐมนตรี 2 คนที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนก็ให้ข้อมูลไม่ครบ จงใจไม่พูดถึงสาระสำคัญ เช่น เมื่อพูดถึงการที่นายสมัคร สุนทรเวชต้องพ้นจากตำแหน่งจากการกระทำซึ่งขัดต่อบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ ก็ไม่ได้บอกว่าการกระทำนั้นคือการทำกับข้าวออกทีวี

      เมื่อพูดถึงการที่นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เพราะพรรคพลังประชาชนถูกยุบในข้อหาทุจริตในการเลือกตั้ง ก็ไม่ได้บอกว่าเหตุที่ทำให้รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งทั้งรัฐบาลต้องล้มไป คือการทุจริตในการเลือกตั้งที่ว่านั้น เกิดจากการที่กกต.เชื่อว่ากรรมการบริหารพรรคคนหนึ่งจ่ายเงินให้แก่ผู้สนับ สนุนรายหนึ่งเป็นเงิน 20,000 บาท หรือประมาณ 600 เหรียญสหรัฐก่อนที่จะลงสมัครรับเลือกตั้ง

      ข้อมูลที่ตกไปและผมช่วยเติมให้นี้ ใคร ๆ เขาก็รู้กันทั่วโลกมานานแล้ว ลองนึกดูเถิดครับว่า เมื่อผู้ที่เขาติดตามความเป็นไปของเมืองไทยได้อ่านแถลงการณ์ของพรรคประชาธิ ปัตย์แล้ว เขาจะรู้สึกอย่างไรกัน

       พรรคประชาธิปัตย์ได้อธิบายเช่นเดียวกับที่คุณอภิสิทธิ์มักอธิบายอยู่บ่อย ๆ เช่น กันว่า เป็นการสมควรและชอบธรรมแล้วที่นายกรัฐมนตรี 3 คนพ้นจากตำแหน่งไป ทั้งๆที่นายกรัฐมนตรี 3 คนนั้นต่างก็มาจากการเลือกตั้งของประชาชน และต้องพ้นจากตำแหน่งไปไม่ด้วยการรัฐประหาร ก็ด้วยการใช้อำนาจที่คณะรัฐประหารได้มอบให้ไว้

        แถลงการณ์ฉบับนี้จึงไม่ใช่การแสดงถึงการที่พรรคประชาธิปัตย์ยืนหยัดต่อหลักการว่าด้วย เสรีประชาธิปไตยอย่างที่อวดอ้าง แต่เป็นการแสดงให้เป็นว่าพรรคประชาธิปัตย์ไม่เชื่อถือหลักประชาธิปไตย และยังเป็นพลังต่อต้านประชาธิปไตยด้วย

        พรรคประชาธิปัตย์ยังได้ทำลายภาพพจน์ของประเทศไปพร้อมกับการแสดงความบ้องตื้นและ การไม่รับผิดชอบของผู้นำของตน ด้วยการอธิบายเหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นในสมัยที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะเป็นนายกรัฐมนตรีว่า การชุมนุมที่เกิดขึ้นเป็นการชุมนุมที่ขัดต่อกฎหมาย นำโดยพวกก่อการร้ายและกองกำลังติดอาวุธ ประชาชนและเจ้าหน้าที่บาดเจ็บล้มตายล้วนเกิดจากการกระทำของพวกก่อการร้ายและ กองกำลังติดอาวุธเหล่านี้ทั้งสิ้น ทั้งๆที่การพิสูจน์พยานหลักฐานที่เกิดขึ้นต่อเนื่องเรื่อยมากลับไม่พบผู้ก่อ การร้าย ไม่พบกองกำลังติดอาวุธ แต่กลับพบว่าประชาชนผู้บริสุทธิ์ที่เสียชีวิตรายแล้วรายเล่าเกิดจากการกระทำ ของเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติตามคำสั่งของรัฐบาลในขณะนั้น

       พรรคประชาธิปัตย์และคุณอภิสิทธิ์ไม่เคยแสดงความรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ความรุนแรง ที่ทำให้เกิดความสูญเสียอย่างใหญ่หลวง และในการออกแถลงการณ์ต่อชาวโลกก็ยังยืนยันที่จะไม่แสดงความรับผิดชอบ หรือแม้แต่จะแสดงความเสียใจใดๆ มีแต่โยนความผิดให้ผู้อื่นทั้งที่ปราศจากหลักฐานและข้อพิสูจน์ใดๆมารองรับ

      ด้วยเหตุผลเหล่านี้ ผมจึงกล่าวว่าผู้ที่เสียหายที่สุดจากการออกแถลงการณ์ของพรรคประชาธิปัตย์ใน ครั้งนี้ก็คือ พรรคประชาธิปัตย์และคุณอภิสิทธิ์เอง 

     อ่านคำแถลงฉบับนี้แล้วยิ่งรู้สึกว่าคำปราศรัยของนายกรัฐมนตรีที่มองโกเลียเป็น การพูดความจริงที่เป็นประโยชน์ต่อประชาคมโลก ที่ทำให้เกิดความเข้าใจต่อปัญหาที่เป็นจริงของประชาธิปไตยไทย รวมทั้งเห็นความจำเป็นที่จะต้องสร้างและพัฒนาประชาธิปไตยร่วมกันต่อไป

      ขณะ เดียวกัน ก็ยิ่งเห็นว่าดีแล้วที่เป็นนายกฯยิ่งลักษณ์ไปปราศรัยที่มองโกเลีย ไม่ใช่คุณอภิสิทธิ์ เพราะถ้าเป็นคุณอภิสิทธิ์ไปปราศรัยในเวทีประชาธิปไตยอย่างนี้ คนไทยทังประเทศคงไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ไหน

http://www.facebook.com/Chaturon.FanPage

ศาลฯปล่อยตัว "ก่อแก้ว พิกุลทอง" ชั่วคราว ตีเงินประกัน 6 แสน

ศาลฯปล่อยตัว "ก่อแก้ว พิกุลทอง" ชั่วคราว ตีเงินประกัน 6 แสน


      เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม ศาลมีคำสั่งให้ปล่อยตัวชั่วคราว นายก่อแก้ว พิกุลทอง สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทยและแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการหรือ ปนช. จำเลยที่ 5 คดีร่วมกันก่อการร้าย โดยตีหลักทรัพย์ประกันตัววงเงิน 600,000 บาท ซึ่งศาลจะออกหมายปล่อยตัวชั่วคราวไปยังเรือนจำชั่วคราวหลักสี่ต่อไป
      ทั้งนี้เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคมที่ผ่านมาศาลไต่สวนคำร้องขอปล่อยชั่วคราวของนายก่อแก้ว พิกุลทอง สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทยและแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการหรือ ปนช. จำเลยที่ 5 คดีร่วมกันก่อการร้าย จากกรณีเมื่อวันที่ 2 พ.ค. 56 ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งให้ยกคำร้องขอปล่อยชั่วคราวนายก่อแก้ว เนื่องจากเห็นว่า  นายก่อแก้วกระทำผิดเงื่อนไขการปล่อยชั่วคราวโดยมีพฤติการณ์ข่มขู่ตุลาการ ศาลรัฐธรรมนูญซึ่งเข้าข่ายยุยง ปลุกปั่น ปลุกระดม ถึงขนาดที่อาจทำให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อยต่อบ้านเมือง
          โดย นายก่อแก้วเบิกความสรุปว่า ที่ผ่านมาศาลเห็นว่า ตนไม่ได้สำนึกในการกระทำผิด แต่จริง ๆ แล้ว ตนให้ความเคารพในดุลยพินิจของศาลชั้นต้นที่มีคำสั่งเพิกถอนประกัน ดังจะเห็นได้ว่าที่ผ่านมาได้ใช้สิทธิ์ยื่นคำร้องปล่อยชั่วคราวเป็นการยื่น แสดงเหตุผล ไม่มีเจตนาโต้แย้งดุลยพินิจของศาล  และตั้งแต่วันที่ 22 ธ.ค. 55 -29 เม.ย.56 ซึ่งเป็นช่วงที่ได้รับเอกสิทธิ์การเป็น สส.  ตนได้ตระหนักถือคำสั่งศาลที่เพิกถอนการประกันตนเพียงคนเดียว  ทั้งตนยังได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขเพิ่มเติมที่ให้กับจำเลยคนอื่นๆ ด้วย   แต่ทั้งนี้ตนไม่สามารถที่จะกล่าวคำขอโทษต่อตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ เนื่องจาก ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญได้แจ้งความดำเนินคดีตนไว้ หากตนกล่าวขอโทษ เช่นเดียวกับนายยศวริศ ชูกล่อม หรือเจ๋ง ดอก จิก จำเลยที่ 7  ก็จะเป็นเครื่องผูกมัดว่าตนได้กระทำผิดจริง   ที่ผ่านมาตนได้แสดงจุดยืนไม่เห็นด้วยที่ศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้องแก้ไขรัฐ ธรรมนูญ มาตรา 68   หากตนขอโทษ จะไม่สามารถมองหน้าเพื่อนสมาชิกได้ และขัดต่อจุดยืนทางการเมือง

         นายก่อแก้วเบิกความด้วยว่า  ตนได้ช่วยเหลือสังคมมาโดยตลอด เป็นพ่อของลูกเล็ก ๆ การกักขังไว้เป็นการเสียโอกาสในการช่วยเหลือสังคม ทำหน้าที่ของสส. และทำหน้าที่พ่อได้ อีกทั้งเป็นภาระของกรมราชทัณฑ์ พร้อมยืนยันด้วยว่า จะปฏิบัติตามเงื่อนไขของศาลทุกประการ หากการเคลื่อนไหวของนปช. ขัดต่อเงื่อนไขการปล่อยชั่วคราวตนจะหลีกเลี่ยง  จึงขอให้ศาลเมตตาปล่อยชั่วคราวด้วย
        ภายหลังนายก่อแก้ว เบิกความเสร็จสิ้นแล้วศาลจึงนัดฟังคำสั่งว่าจะอนุญาตให้นายก่อแก้วปล่อยชั่ว คราวหรือไม่ วันที่ 10 พ.ค. นี้ เวลา 09.00 น. ล่าสุดมีคำสั่งอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวดังกล่าว

"มือแฮกเวปไซท์นายกยิ่งล้กษณ์" เข้าพบตำรวจแล้ว!

"มือแฮก" เข้าพบตำรวจแล้ว! สารภาพร่วมแก๊งแฮกจริง แต่โดนใส่ร้าย เตรียมค้นบ้านก่อนปล่อยตัวเพราะยังไม่มีหมายศาล


นายณรงฤทธิ์ สุขสาร อายุ 29 ปี ชาวจังหวัดนครศรีธรรมราช ซึ่งตกเป็นผู้ต้องสงสัยว่าเป็นมือแฮก เว็ปไซต์สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เดินทางเข้าพบพลตำรวจตรีพิสิษฐ์ เปาอินทร์ ผู้บังคับการการกระทำผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี หรือ ปอท. โดยยืนยันว่าไม่ได้เป็นผู้ลงมือแฮกเว็ปไซต์ และให้ร้ายนายกรัฐมนตรีด้วยข้อความไม่เหมาะสม แต่น่าจะถูกกลั่นแกล้งจากกลุ่มอัลลิมิเต็ดแฮกทีม เพราะก่อนหน้านี้ตัวเองเคยอยู่ในกลุ่มดังกล่าวมาก่อน แต่ต่อมาได้แยกตัว
ขณะเดียวกัน นายณรงค์ฤทธิ์ ระบุว่า ที่ตัดสินใจเข้าพบพลตำรวจตรีพิสิษฐ์ ก็เพื่อยืนยันความบริสุทธิ์ของและพร้อมให้คำปรึกษา รวมถึงแนวทางเกี่ยวกับวิธีการหลบเลี่ยงเจาะเข้าระบบของบรรดาแฮกเกอร์
ด้านพลตำรวจตรีพิสิฐษ์ กล่าวว่า จะให้เจ้าหน้าที่ทำการสอบสวนรานละเอียดเกี่ยวกับวิธีการการแฮกข้อมูล ด้านระบบคอมพิวเตอร์ เพื่อให้ได้หลักฐานทางดิจิตอลในส่วนของนายณรงค์ฤทธิ์ จากนั้นจะนำตัวไปตรวจค้นบ้านพัก ย่านอาร์ซีเอ เพื่อหาข้อมูลจากคอมพิวเตอร์ส่วนตัวอีกครั้งซึ่งขณะนี้เจ้าหน้าที่มีกลุ่มแฮ กเกอร์เป้าหมาย ซึ่งมีศักยภาพในการเจาะเข้าเซิฟเวอร์ของเว็ปไซต์ต่างๆ ไม่เกิน 20 คน อยู่ระหว่างการรวบรวมรายชื่อ เพื่อติดตามหาตัวมาสอบสวน
ส่วนกรณีมีกระแสข่าวว่า มีพรรคการเมือง พรรคใหญ่ อยู่เบื้องหลังกลุ่มแฮกเกอร์ที่ก่อเหตุนั้น พลตำรวจตรีพิสิฐษ์ ระบุว่า เจ้าหน้าที่ยังสอบสวนไม่ถึงประเด็นดังกล่าว ซึ่งต้องได้ตัวผู้กระทำผิดมาก่อน จึงจะขยายผลได้ว่าใครเป็นผู้ว่าจ้าง และพรรคการเมืองใหญ่เป็นผู้อยู่เบื้องหลังตามกระแสข่าวหรือไม่ ทั้งนี้เบื้องต้นคาดว่าเจ้าหน้าที่จะใช้เวลาในการสอบปากคำนายณรงฤทธิ์ ประมาณ1ชั่วโมง
สำหรับกรณีดังกล่าวตกเป็นข่าวฮือฮา เมื่อช่วงเที่ยง วันที่ 8 พ.ค. ที่ผ่านมา โดยผู้สื่อข่าวได้เข้าไปตรวจสอบที่เว็ปไซต์สำนักนานกรัฐมนตรี ในหน้ารายชื่อคณะรัฐมนตรี พบว่าแฮกเกอร์ได้ทำการเปลี่ยนรูป ชื่อ และตำแหน่ง นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี พร้อมเขียนข้อความระบุใต้ภาพ ด้วยความไม่เหมาะสม ซึ่งถือเป็นการกระทำที่กระทบต่อภาพลักษณ์ของรัฐบาล และทำลายความน่าเชื่อถือของประเทศ


เบื้อง ต้น ปอท. จะทำการสอบปากคำ ซึ่งหากพบพิรุธจะทำการแจ้งข้อกล่าวหาฐานความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 ทันที แต่หากไม่พบข้อสงสัยก็จะปล่อยตัวไปและทำการสืบสวนเพิ่มเติม ซึ่งขณะนี้เจ้าหน้าที่ยังติดเรื่องของพยานหลักฐาน ที่ไม่มีความชัดเจนมากพอจะสามารถระบุได้ว่า ผู้ที่จะเข้ามามอบตัวเป็นมือแฮกเว็บไซต์สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เนื่องจากมีการใช้เทคโนโลยีขั้นสูง รวมถึงมีการปิดบังอำพรางตัวโดยใช้เซิฟเวอร์จากต่างประเทศ ทำให้ยากต่อการรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อเอาผิด ส่วนการดำเนินคดีหมิ่นประมาทนั้น พล.ต.ต.พิสิษฐ์ กล่าวว่า ต้องขึ้นอยู่กับนายกรัฐมนตรี ว่าจะมอบหมายให้ปอท. ดำเนินการหรือไม่ ภายหลังผู้ต้องสงสัยเข้ามอบตัวแล้ว ทางปอท. อาจมีการนำตัวไปค้นบ้านพักเพื่อหาหลักฐานต่อไป

สรุปปาฐกถา "ยิ่งลักษณ์" 9 ข้อที่นานาชาติประทับใจ

"พานทองแท้" สรุปปาฐกถา "ยิ่งลักษณ์" 9 ข้อที่นานาชาติประทับใจ

10 พฤษภาคม 2556 go6TV - ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 22.10น.ที่ผ่านมา นายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชาย พันตำรวจโท ดร. ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความผ่านเฟสบุ๊กส่วนตัว https://www.facebook.com/oakpanthongtae อธิบายเนื้อหาปาฐกถาในระหว่างการประชุม "ประชาคมประชาธิปไตย" ที่ประเทศมองโกเลียของนายกรัฐมนตรี นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร พร้อมภาพกราฟิกประกอบ โดยมีผู้กดแชร์และถูกใจในเครือข่ายสังคมออนไลน์เป็นจำนวนมาก ทั้งนี้ นายพานทองแท้ โพสต์ข้อความดังนี้




           คำพูดถ่อยๆว่า "กระหรี่เร่ขายตัว แต่หญิงชั่วเร่ขายชาติ" มีที่มาที่ไปในโพสต์นี้ครับ

         
เพราะ ผมได้ย่อคำพูดของ "นายกปู" ที่ได้กล่าวปาฐกถาไว้ ที่ประเทศมองโกเลีย ในการประชุม "ประชาคมประชาธิปไตย" มาให้ ณ ที่นี้แล้ว (เอาใจแฟนเพจกันหน่อยครับ)

         
หลังจากที่อาปูกล่าวปาฐกถาเสร็จ ตัวแทนของประเทศต่างๆ ทั้งที่เป็นประชาธิปไตยเต็มใบมานาน, ประเทศที่เพิ่งจะเริ่มเป็นประชาธิปไตย รวมถึงประเทศที่กำลังต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย ต่างชื่นชมกับเนื้อหา และยินดีที่นายกฯของไทย ถึงแม้จะเป็นผู้หญิงแต่ก็มีความมุ่งมั่นที่จะ ผลักดันให้ประเทศไทย เป็นไปอย่างที่อาปูได้กล่าวเอาไว้

          
การประชุม "ประชาคมประชาธิปไตย" ชื่อก็บอกแล้วครับว่า เป็นการประชุมในเรื่องที่เกี่ยวกับอะไร ขอให้พ่อแม่พี่น้องที่มีใจเป็นกลาง และรักประชาธิปไตยทั้งหลาย ลองอ่านดูครับ แล้วช่วยวินิจฉัยว่า คำกล่าวที่ทุกประเทศชื่นชมนั้น ผู้ที่มีใจรักประชาธิปไตยจริงๆนั้น จะมองว่าเป็นการขายตัวขายชาติหรือไม่ ผมย่อข้อใหญ่ใจความไว้ 9 ข้อ ลองอ่านดูครับ

ปาฐกถาที่มองโกเลีย นายกยิ่งลักษณ์ พูดถึงอะไรบ้าง


  • 1. ประชาธิปไตยในโลกได้มาด้วยความพยายาม ความเสียสละ และเลือดเนื้อ ของผู้เชื่อที่ในสิทธิ เสรีภาพ

  • 2. ประชาธิปไตยโลกที่กำลังเบ่งบานนำความก้าวหน้าและความหวังไปสู่นานาประเทศ

  • 3. ปี 2540 ไทยได้ประกาศใช้รัฐธรรมนูญของประชาชน เราเปี่ยมไปด้วยความหวังว่ายุคใหม่ที่ไร้การรัฐประหารได้มาถึงแล้ว

  • 4. ทว่า... ในปี 2549 การรัฐประหารกลับปล้นประชาธิปไตยไปจากประชาชน ประเทศไทยเป็นดั่งรถไฟตกราง นิติธรรมถูกทำลาย สูญเสียความน่าเชื่อถือจากสายตาประชาชาติ

  • 5. คำว่า “ไทย” แปลว่า “อิสรภาพ” ชาวไทยพยายามต่อสู้เพื่อเรียกร้องประชาธิปไตย แต่กลับถูกล้อมฆ่าสังหาร

  • 6. ทว่าประชาชนไทยยังคงยืนยันที่จะเดินไปข้างหน้า และไม่ว่าอำนาจใด ก็ไม่อาจปฏิเสธเสียงของประชาชน

  • 7. กระนั้น กลไกจากรัฐประหารก็ยังครอบงำประเทศไทยผ่านรัฐธรรมนูญที่มาจากการยึดอำนาจโดยมิชอบ

  • 8. นายกยิ่งลักษณ์ของชาวไทย มากล่าวบนเวทีประชาธิปไตยแห่งนี้ เพื่อแบ่งปันประสบการณ์ของประเทศไทย ให้ชาวโลกได้เรียนรู้และช่วยผลักดันประชาธิปไตยโลกให้แข็งแกร่ง และหวังว่าจะไม่มีใครต้องเผชิญความเจ็บปวดเช่นนี้อีก

  • 9. การสนับสนุนระบอบประชาธิปไตยจะเป็นการปกป้องเสรีภาพและอิสรภาพของมนุษย์เพื่อลูกหลานและคนรุ่นต่อๆไป

          
9 ข้อ นี่แหละครับ ที่ทำให้หลายชาติประทับใจ นายกฯหญิงของไทยที่ใจ "แมน" กว่าอดีตนายกฯชายบางคนเยอะ ผมไม่ทราบว่าพรรคประชาธิปัตย์ จะมาเรียกร้องให้อาปู ออกมาขอโทษพี่น้องประชาชนด้วยเรื่องอะไรกันแน่ ถ้าอาปูเป็นนายกฯประเภทที่ ต้องรอส้มหล่นจากการปฏิวัติรัฐประหารละก็ อาจจะต้องเกรงอกเกรงใจเผด็จการ จนต้องออกมาขอโทษที่พูดจาสนับสนุนประชาธิปไตยแบบเต็มใบเช่นนี้ 

        
ผมว่าพรรคการเมืองที่ได้ดีจากผลพวงของเผด็จการ จนกระทั่งไม่เห็นด้วยกับ ปาฐกถาที่สวยงามทางประชาธิปไตย  9 ข้อนี้มากกว่ากระมังครับ ที่ควรจะต้องออกมา "ขอโทษประชาชน"