วันอังคารที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2559

คำต่อคำ ปีย์ มาลากุล ณ อยุธยา โรดแมปมันสั้นไปขอยืด ต้องเด็ดขาดเคลียร์กันตอนนี้


ปีย์ใน รายการ new)talk ชี้ต้องให้การศึกษาประชาชนให้เข้าใจประชาธิปไตยที่แท้จริง ระบุตนคุยกับนักการเมืองได้เพียง ‘อภิสิทธิ์’ เพราะเลเวลเดียวกัน แนะ คสช.ต้องจริงจังกับ ‘การปรับทัศนติ’ ตลอดชีวิตก็ต้องทำ ชี้ก็แค่ชีวิตเดียว เพราะมีอีก 71 ล้านที่ต้องดู
เมื่อวันที่ 7 มี.ค. ที่ผ่านมา รายการ new)talk ดำเนินรายการโดย อัญชะลี ไพรีรัก หรือ ปอง ได้สัมภาษณ์ คุณปีย์ มาลากุล ณ อยุธยา ประธานกรรมการ เครือแปซิฟิก ผู้รับสัมปทานดำเนินการ สถานีวิทยุ จส.100 และประธานกรรมการ บริษัท แอดวานซ์ พับลิชชิ่ง จำกัด ผู้ผลิตนิตยสารดิฉัน และ คอสโมโพลิแทน (Cosmopolitan) ซึ่งบทสัมภาษณ์ดังกล่าวถูกนำมาพูดถึงและวิพากษ์วิจารณ์ต่อนัยสำคัญทางการเมืองในปัจจุบัน
โดย ปีย์ เสนอว่า ควรยืดเวลาโรดแมป และควรให้การศึกษาประชาชนให้เข้าใจประชาธิปไตยที่แท้จริงก่อน รวมทั้งความเสมอภาคคืออะไร ไม่เช่นนั้นก็กลับไปเหมือนเดิม นักการเมืองซื้อเสียง เข้ามาโกงบ้านเมือง แล้วก็ประชาชนลุกขึ้นมา เกิดรัฐประหาร อีก 100 ปีมันก็เป็นแบบนี้ พร้อมเชื่อด้วยว่าหากทำประชามติรับร่างรัฐธรรมนูญก็จะถูกคว่ำ ถ้ายังเดินตามโรดแมปเดิม
นอกจากนี้ ปีย์ ยังเสนอด้วยว่า ต้องจริงจังกับการปรับทัศนคติ เพราะถ้าใช้คำว่า ‘ปรับทัศนคติ’ ก็คือต้องปรับความคิดเห็นของเขา ถ้าเขายังปรับไม่ได้จะให้เขาออกมาทำไม ให้เขาอยู่ราบ 11 หรือโอเรียนเต็ลก็ได้ แต่ปรับจนเห็นเหมือนกัน แม้จะต้องปรับทั้งชีวิต ก็แค่ชีวิตเดียว เรามีตั้ง 71 ล้านคน ที่เราต้องดูแล
ปีย์ ใน รายการ new)talk เมื่อวันที่ 7 มี.ค.59
โดยมีรายละเอียดดังนี้
ปอง : ด้านหลังของเรานั่งกันอยู่ในห้องรับแขก ด้านหลังข้างในเป็นห้องรับประทานอาหาร ห้องประชุม ห้องนี้แหละค่ะ เมื่อสองสามปีก่อนเป็นข่าวครึกโครมมากว่า เป็นบ้านที่เปิดห้องแล้วนั่งประชุมกันเพื่อที่จะล้มรัฐบาลคุณทักษิณ คุณทักษิณพูดเองเลยนะคะ อยู่ในบันทึกของสื่อมวลชนเลยนะคะ กลายเป็นเรื่องที่ทุกคนพุ่งเป้ามาที่คุณปีย์ ซึ่งคุณปีย์ทำ จส.100 ทำดิฉัน ทำหนังสือ คอสโมโพลิแทน (Cosmopolitan)  เป็นสื่อมวลชนรุ่นใหญ่ ต้นทางของเราเป็นครูบาอาจารย์ของเรา อยู่ดีๆ ทำไมไปอยู่หน้าสื่อการเมือง และก็อยู่ในใจคุณทักษิณขนาดนั้น คุณทักษิณมองคุณปีย์เหมือนเป็นหัวเรี่ยวหัวแรง หัวขบวนตัวตั้งตัวตีที่ล้มรัฐบาลคุณทักษิณมาโดยตลอดในช่วง 4 ปี มานี้
ปีย์ :  มันก็ไม่ถึงขนาดนั้นนะครับ  คือเราเป็นผู้ใหญ่ คุณปองยังไม่ทำเลยว่าผมอายุเท่าไหร่ ปีนี้ผม 79 ผมก็ผ่านร้อนผ่านหนาวมาตั้งแต่สมัยไหนแล้วก็ไม่รู้ สมัยจอมพล ป. สมัยอะไรต่างๆ และพ่อก็ทำงานกระทรวงต่างประเทศ แล้วมันก็รู้อะไรต่ออะไรลึกซึ้ง จะว่าลึกซึ้งก็ไม่ใช่แต่เห็นบรรยากาศของประเทศ เพราะผมเชื่อไม่มีใครรู้อะไรลึกซึ้งหรอก
ปอง : ตอนนั้นคุณปีย์จัดตั้งการประชุมกลุ่มต่อต้านคุณทักษิณ (ชินวัตร) ที่นี่จริงไหม
ปีย์ : ไม่ใช่เป็นประชุม พูดง่ายๆ มาทานข้าวที่นี่ ไม่ได้ไปทานข้าวข้างนอก
ปอง : แล้วจับกลุ่มกันที่จะล้มรัฐบาลคุณทักษิณจริงไหม
ปีย์ : เอิ่ม ไม่จริงหรอกครับ  เพราะว่าอย่างที่คุณพัลลภ (พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี)ไปพูดมันคนละเรื่องกัน วันที่มาคุยกันนะครับ มาคุยกันเรื่องว่าวันนั้นศาลเข้าเฝ้าและผลออกมาเป็นอย่างไร ก็มาพูดกันคุณอักขราทร มาคุยกันไม่มีทหารสักคนหนึ่ง มีทหารคนเดียวคือพล.อ.สุรยุทธ์ (จุลานนท์) ซึ่งปลดเกษียรแล้ว แต่ทีนี้การทำงานอย่างเนี่ยมันไม่มาทำกันตรงนี้หรอก ก็เป็นการคุยกันระหว่างผู้ที่
ปอง : แล้วทำไมคุณทักษิณถึงพุ่งเป้ามาที่คุณปีย์
ปีย์ : ก็อาจจะเป็นการที่คุณพัลลภเดินทางไปเมืองจีนแล้วไปเล่าอะไร ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าเล่าอะไรบ้าง
ปอง: คุณปีย์คิดว่าเป็นข้อมูลที่เพี้ยน
ปีย์ : แน่นอน
ปอง : แต่มันมีข้อมูลที่เห็นในเฟซบุ๊กค่ะ ในเฟซบุ๊กเมื่อสองสามวันก่อนของคุณปีย์ เฟซบุ๊กคุณปีย์มี 3 อัน แล้วมีทวิตเตอร์อีก 1 อัน ซึ่งมีผู้ติดตามจำนวนมาก ในเฟซบุ๊กบอกว่า “ผมชอบนายกบิ๊กตู่ โดยเฉพาะที่ให้สัมภาษณ์ใน Aljazeera ถึงเหตุที่ทำรัฐประหาร” คุณปีย์เขียนว่า “สุดยอดมาก เด็ดเดี่ยวมาก แน่วแน่มาก ทำเพื่อชาติมาก เพราะว่าถ้าไม่ทำแล้วบ้านเมืองไม่รู้จะเป็นอย่างไรต่อไป” คุณปีย์ถึงกับบอกว่า “บทสัมภาษณ์นี้ถูกเผยแพร่ออกไปน้อยเหลือเกิน จะต้องให้ต่างชาติได้รับรู้ ช่วยกันแชร์ให้มากๆ นะครับ”  โอโหนี่พ่อยกเบอร์หนึ่งเลย
ปีย์ : มันไม่ใช่นะ มันไปอ่านเข้าไปเห็นเข้า ก็คิดว่า ถ้าชาวต่างชาติรู้อย่างนี้ เขาจะได้รู้เจตนาของประเทศไทย หลายคนทั่วโลกยังไม่รู้เลยว่าประเทศไทยจุดยืนตรงไหน และวันนั้นคุณประยุทธ์พูดได้ชัดเจนมากว่าทำไมต้องทำรัฐประหาร
ปอง : คุณปีย์เห็นด้วยกับการทำรัฐประหาร
ปีย์ : ใช่ครับ ก็เห็นคุณปองเหนื่อยเหลือเกิน
ปอง : คุณปีย์ไม่เป็นประชาธิปไตย เอาเสียเลย
ปีย์ : เป็นประชาธิปไตยสุดๆ เลยครับ แต่การเป็นประชาธิปไตยนะครับ ที่สำคัญที่สุดประชาชนต้องมีการศึกษา และเข้าใจระบบประชาธิปไตย งั้นก็มีการซื้อเสียงกัน แล้วพวกใครมากก็ไปจัดการโกงบ้านโกงเมืองกัน
ปอง : ทำไมคุณปีย์ถึงไว้ใจและเชื่อมั่น พล.อ.ประยุทธ์ ได้มากขนาดนี้
ปีย์ : ตอนนี้มันไม่ตัวเลือกไงครับ ผมมอง พล.อ.ประยุทธ์มา 20 ปี เป็นผู้ชายนิสัยดี แล้วก็ไม่ได้เป็นอย่างที่สัมภาษณ์ในหนังสือพิมพ์ สนุกสนานไปกับอารมณ์ แต่เป็นคนที่เขียนเพลงก็ได้ แต่งเพลงก็ได้ แต่งกลอนก็ได้ แต่งกลอนนะครับ เอาใบที่เขียนอาหารไว้บนโต๊ะเสวย แล้วมีอะไรบ้าง พลิกกลับหลังว่างเขียน 10 นาทีเสร็จ เขาเป็นคนที่มีอารมณ์ แต่เวลาเดียวกันเอาจริง เอาจัง
ปอง : ทำไมคุณปีย์มองว่าก่อน พล.อ.ประยุทธ์ มา มันไม่สงบสุข
ปีย์ : คุณปองไม่น่าถามผมแบบนี้เลย คุณปองเหนื่อยมากกว่าคนอื่นอีก
ปอง : แต่ตอนนั้นรัฐบาลคุณยิ่งลักษณ์ ก็มั่นใจว่ากำลังทำให้ประเทศพัฒนา เดินหน้าไป พล.อ.ประยุทธ ต่างหากที่ทำให้ประเทศหยุดชะงัก
ปีย์ : ผมทำนานะครับที่เชียงราย ผมรู้ว่าการซื้อข้าวมันเป็นอย่างไร รอบบ้านผมนะครับปีที่ 2 ถึงได้เงิน เขาอยู่กันยังไงหละครับ แต่เผอิญโฉนดผมมันชื่อปีย์ ผมเลยได้วันแรกเลย งั้นความไม่เท่าเทียมมันเกิดขึ้นให้ผมเห็นโครงการทั้งหมด จำนำข้าวและโครงการอื่นๆ อีกหลายโครงการ ในยุครัฐบาลคุณยิ่งลักษณ์ ผมก็คิดว่าถ้าไปอย่างนี้ประเทศก็มีแต่พังกับพัง แล้วเมื่อคุณสุเทพก็มองเห็น คุณอภิสิทธิก็มองเห็น ก็ขึ้นมาต่อสู้ ต่อสู้ในสภาไม่ได้ ก็ออกมาต่อสู้แบบต้องออกมาข้างถนน
ปอง : คุณปีย์เห็นด้วยตอนนั้น ผบ.ทบ.ลุกขึ้นมา
ปีย์ : ถ้าไม่ลุกขึ้นมานะครับ ผมว่าไม่รู้จะจบยังไง ผมก็เริ่มว่าคนเสื้อแดงมาอยู่แล้วที่ แล้วก็เห็นคุณปองก็อยู่แล้วที่อนุเสาวรีย์ ถ้าเกิดชนกัน คุณมีอะไรจะสู้คุณมีหนังสติ๊กหรอ มีปืนกี่กระบอก มันสู้กันไม่ได้ มันก็จะมีการล้มตายกันมหาศาล
ปอง : คุณปีย์บอกว่าการทำรัฐประหารของ พล.อ.ประยุทธ์นั้น มาถูกที่ถูกจังหวะ ถูกเวลา ท่ามกลางปัญหาที่เกิดขึ้นในเวลานั้น คุณปีย์เห็นด้วยกับการรัฐประหารขนาดนั้นเลยหรอ
ปีย์ : ไม่ใช่ถูกที่ถูกเวลานะครับ ผมมองว่าการล้มตายจะน้อย คิดว่าน่าจะทำก่อนหน้านั้นด้วย กว่าที่คุณปองจะต้องนำคนเป็นล้านล้านคนออกมานี่
ปอง : มองว่า 1-2 ปีที่ผ่านมา ของรัฐบาล คสช. เป็นไงบ้าง
ปีย์ : ตอนนี้ผมคิดว่าเขามาจัดระเบียบ แล้วก็มาดูว่าบ้านเมืองเป็นอย่างไร เพราะไม่มีใครรู้ว่าจริงๆ แล้วบ้านเมืองมันเป็นอย่างไร
ปอง : คุณปีย์พึงพอในในช่วง 1-2 ปีมานี้
ปีย์ : ผมพึงพอใจในระดับหนึ่ง อีกระดับหนึ่งก็ไม่พึงพอใจ เอาเรื่องสั้นๆ ง่ายๆ อย่าง 2-3 วัน รองนายกฯ 2 คนเดินทางไปรัสเซีย ไปทำไมครับ เวลานี้เรามีปัญหาโลกนะครับ ถ้าเราไปรัสเซีย จีนจะรู้สึกอย่างไรครับ ไปรัสเซีย  อเมริกันจะรู้สึกอย่างไรครับ แล้วเราจะมีเพื่อนมากขึ้นหรอ แต่ในความรู้สึกผมรุ้สึกว่าทางรัฐบาลไปเพื่อจะไป make friends กับรัสเซีย ไปดินเนอร์กับปูติน แต่หารู้ไม่ว่าวันที่ดินเนอร์กับปูติน ที่จีนเขาคิดอย่างไร และที่อเมริกาเขาคิดอย่างไร โลกเดี่ยวนี้มันสื่อสารภายในไม่กี่วินาที
ปอง : คือบางเรื่องคุณปีย์ก็เห็นด้วย บางเรื่องคุณปีย์ก็ไม่เห็นด้วย แต่รวมๆ แล้วก็อย่างให้อยู่ต่อเพื่อที่
ปีย์ : จะให้พวกเราเข้าใจว่าระบบประชาธิปไตยและรัฐธรรมนูญจะเป็นอย่างไร เมื่อเราเข้าใจแล้ว เราก็จะได้ไปเลือกตั้งเอาหรือไม่เอา หรือเปลี่ยนตรงไหน ด้วยสายตาประชาชน
ปอง : แล้วนายจะอยู่ต่อได้อย่างไร ในขณะที่ปัจจุบันถูกกล่าวหาว่า เข้ามาด้วยอำนาจพิเศษและรัฐประหารแล้วก็จะสืบทอดอำนาจ ถูกกระทุ้งทุกวันเลย
ปีย์ : โอ้ย แล้วจะถูกกระทุ้งมากกว่านี้อีก เป็นผมนะครับ ง่ายๆ ก็เปลี่ยนนายกฯอีกคน เรามีตั้ง 71 ล้านคน ไม่ใช่ทุกได้ แต่การที่ว่าถ้าคุณตู่ รับแรงนี้ไม่ไหว แต่ผมเชื่อว่าการเป็นทหารของเขาเนี่ยเขารับไหว  แล้วขอให้เพื่อนๆ เขาหรือพี่ๆ เขา ช่วยหน่อย ประคับประคอง ถ้าพี่ๆ เพื่อนๆ ไม่ช่วยประคับประคอง ต่างคนต่างเดิน มันก็ไปไม่ได้
ปอง : คุณปีย์คิดว่า อะไรควรเป็นก่อนหน้าหลัง ที่นายกประยุทธ์ควรจะต้องทำในช่วงเวลานี้
ปีย์ : ผมว่าตอนนี้เรื่องเศรษฐกิจนายกจะต้องดูแล้ว เพราะว่านายกบอกว่าประชากรของเรา 70% เป็นเกษตรกร แต่ในเวลาเดียวกันที่ท่าเรือแหลมฉบัง หรือท่าเรือคลองเตย เรือที่เข้ามารับสินค้าลดลง 40% เราจะไปขายใครครับ โลกมันจนทั้งโลก เมื่อมันเป็นทั้งโลกก็ให้ประชาชนใจเข้าใจสิครับว่ามันเป็นทั้งโลก แล้วก็อยู่กันอย่างพอเพียง ผมว่ามันไม่เกิน 3 ปี หมายถึงเศรษฐกิจ ไม่ใช่ว่าเราเดินไปขอข้าวทาน คือต้องมองว่าเศรษฐกิจโลกตั้งแต่กรีซล้มมา  แล้วก็สเปน อิตาลี ฝรั่งเศส กู้เงินเยอรมัน ตอนนี้ดอยเชอ แบงก์ กำลังจะล้ม ภายในอาทิตย์นี้ แล้วธนาคารจีนก็กำลังจะล้ม
ปอง : ถ้าหากดูจากรูปทรง พล.อ.ประยุทธ์ และรัฐบาล ให้เต็ม 10 ให้เท่าไหร่
ปีย์ : เต็ม 10 ให้ 6 พูดง่ายๆ ครับ เราจะขับเครื่องบินเราต้องใช้นักบินขับ ที่มีชั่วโมงบินสูง แต่เราเอานักบินที่มีชั่วโมงไม่สูงมันก็ต้องใช้เวลาหน่อยในการที่จะปรับ
ปอง : นายกรัฐมนตรีบอกว่า ตั้งแต่รัฐประหารมาไปชวนใครมาทำงานก็แทบไม่มีใครอยากจะมาเลย
ปีย์ : เพราะว่าทุกคนรู้สึกว่าถ้าไปร่วมด้วยแล้ว เมื่อจบแล้วตัวเองจะเอาตัวไปไว้ที่ไหน เพราะทุกคนจะมองเป็นศัตรู เพราะฉะนั้นต้องสอนคนไทยหน่อยว่า ไม่ใช่นะ มาช่วยเป็นครูสอน สอน แล้วก็ช่วยชาติ หลังจากนั้นแล้วเราจะเชิดชู  ความรู้สึกจะเปลี่ยนทันทีเลยครับ
ปอง : รัฐประหารครั้งนี้ทำให้มันเบ็ดเสร็จเด็ดขาดไปหน่อยเถอะ ปฏิรูปให้มันดีก่อนเลือกตั้ง ประเด็นคือเราจะเดินผ่านมันไปอย่างไร ขณะปัจจุบันนี้รัฐมนตรีเราถูกไล่เช้าไล่เย็น
ปีย์ : ผมผ่านปฏิวัติมาหลายหนแล้ว ทุกคนก็จะโดนแบบนี้ แล้วก็ต้องหนี หรือไม่ก็ไปตายต่างประเทศ ส่วนใหญ่จะไม่เป็นอย่างนี้คือจะทะเลาะกันเอง คุณเผ่ากับจอมพลสฤษดิ์ก็ทะเลาะกันเอง แล้วก็จอมพล ป. ก็หนีไป มันไม่ได้จบสิ้นที่ว่าเราต้องให้การศึกษากับประชาชน ให้ประชาชนเข้าใจว่าระบบประชาธิปไตยเป็นอย่างไร ไม่ใช่มานั่งซื้อเสียงกัน ใครมีเงินก็เข้ามาบริหารประเทศ แล้วก็มาโกงประเทศจนคนทนไม่ไหวก็ลุกหือ แล้วก็ปฏิวัติอีก อีก 100 ปีมันก็เป็นแบบนี้
ปอง : ถ้าหากปฏิวัติแล้วไม่ผ่าตัดรักษาโรคให้กับประเทศไทย เดี๋ยวมันก็ต้องมีอีก ฉีกรัฐธรรมนูญอีก เขียนกันอีก วันก่อนอาจารย์มีชัย บอกว่าอีกทีไม่ทำแล้วนะ
ปีย์ : ท่านก็ไม่ไหวแล้วครับ แล้วผมเชื่อว่า ท่านประยุทธ์มีความอดทนสักนิดนึง ทนหน่อยและทำให้มันเรียบร้อย ถ้าคุณตู่ทนไม่ได้ ก็ไปสิครับ แล้วมันก็กลับมาอีก ลูกคุณตู่ก็ต้องเจอรัฐประหารอีก แล้วก็หลานคุณตู่ มันต้องเด็ดขาดแล้วเคลียร์กันตอนนี้ มันเป็นโอกาสที่จะเคลียร์ได้ แต่ถ้าใจไม่ถึงที่จะไม่เคลียร์จะเอาตัวรอดไปก็อีกเรื่องหนึ่ง ไม่ใช่พล.อ.ประยุทธ์ คนเดียวครับ ต้องนึกถึงรอบๆ ข้าง พล.อ.ประยุทธ์เหมือนกัน เพราะฉะนั้นทุกคนใจถึงร่วมกัน คนเดียวทำไม่ได้หรอกครับ อย่าไปเสียเวลากับเรื่องไม่เข้าเรื่อง อย่าไปทะเลาะกัน อย่าไปขัดคอกัน
เรื่องที่ควรทำคือต้องให้การศึกษากับประชาชนว่ารัฐธรรมนูญที่จะออกมานี้เป็นอย่างไร มีประโยชน์อย่างไรต่อประเทศ แล้วคุณจะเลือกหรือไม่เลือก ไม่ช่ให้คนมาซื้อเสียงว่าคุณไปโหวตสิไม่เอาหรือไปโหวตสิว่าเอา
ปอง : ถ้ารัฐประหารมันกินเวลายาวนานออกไป สภาพของพรรคการเมือง สภาพของนักการเมืองจะเป็นอย่างไร ไม่ถูกตอน ไม่ถูกทำหมั่น
ปีย์ : นักการเมืองตอนนี้ก็เดือดร้อนสิครับ เพราะเงินเดือนก็ไม่ได้ งานที่ไหนก็ไปทำไม่ได้ ก็ต้องออกไปเดินหาเสียงไปอะไร รายได้ตกไป มันเป็นธรรมชาติ เราควรมองประเทศเป็นหลักก่อน ให้ประชาชนของเราเป็นประชาธิปไตยให้ได้
ปอง : ถ้าหากรัฐบาลอยู่ต่อไป การเมืองมันจะเป็นอย่างไร  มันจะวุ่นวายไหม
ปีย์ : อันนี้มันขึ้นอยู่กับหลายๆ คนที่อยู่รอบๆ ข้างนายก ต้องช่วยกันไม่ให้เป็นอย่างนี้ แล้วก็ต้องจริงจังนิดหน่อย ตอนแรกๆ ที่รัฐประหารรู้สึกว่าจริงจังมาก แต่เดี่ยวนี้รู้สึกจริงจังน้อยลงไปหน่อย โดยเฉพาะเรื่องที่เกิดขึ้น 2-3 วันนี้  เรื่องปรับทัศนคติ มันไม่จริงจังแล้วมันดูเป็นเรื่องเล่นแล้ว ผมอยากให้จริงจังแบบที่ว่า จิตใจของผมคือต้องการให้ประชาชนเข้าใจรัฐธรรมนูญที่ออกมาและเลือกตั้งให้บริสุทธิ์ แล้วก็ได้ประชาธิปไตยที่แท้จริงมา ถ้าได้มามันจะไม่มีปฏิวัติอีกแล้ว แต่ผมเชื่อว่าคุณประยุทธ์นี่กำลังจะปรับอันนี้ ให้ประชาชนเข้าใจว่าระบบการเลือกตั้งที่ถูกต้องควรจะเป็นอย่างไร ผมถึงบอกว่าผมไม่เห็นด้วยกับโรดแมปที่ตั้งไว้สั้นๆ นี่ ถ้าโรดแมปนี่ถ้ามันเป็นโรดจริงๆ ก็ต่อถนนให้มันยาวหน่อย ให้ความรู้กับประชาชน ให้เข้าใจระบบประชาธิปไตยที่แท้จริง เพื่อได้เลือกตั้ง แล้วเราจะได้อยู่กันอย่างสงบสุข
ปอง : การเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึงนี้ คุณปีย์ก็เลยมองว่าอย่าพึ่งเลยหรอ
ปีย์ : สำหรับผมนะครับ ถ้าผมมีอำนาจแล้วก็สั่งใครได้ก็บอกอย่าพึ่งเลยครับ เพราะถ้าเลือกตอนนี้ มันก็หมายความว่ารัฐธรรมนูญออกมาว่าจะเอาหรือไม่เอารัฐธรรมนูญอันนี้ที่คุณมีชัยร่าง ถ้าคนไม่ชอบไปบอกประชาชนทั้งหมด ไม่เอาอย่าเลือก ประชาชนก็ไม่เลือก ถามว่าไม่เลือกเพราะอะไร ก็เพราะเขาบอกมา ถามว่ารู้ไหมว่ารัฐธรรมนูญเขียนว่าอะไร ไม่รู้
ปอง : แสดงว่าคุณปีย์มั่นใจว่าเป็นไปตามโรดแมปของนายกรัฐมนตรี อีกไม่ช้าไม่นานการทำประชามติคว่ำแน่
ปีย์ : ถูกต้อง ผมมองว่าไม่ผ่าน หรือผ่าน ก็ผ่านแบบล่อแล้ มันก็จะเป็นสมัย พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ถ้าอย่างนั้นก็อย่าไปถึงจุดนั้นเลย เพราะประเทศไทยตั้งแต่กบฏแมนฮัตตันมา มันก็มารูปนี้ล่ะครับ มาอยู่ได้พักนึงมันก็ยุ่งเหยิงเพราะความไม่เข้าใจ คุณปองรู้ไหมครับว่าอย่างนี้นะครับ 2475 ตรงกับปี พ.ศ.อะไร ตรงกับปี ค.ศ.1932 หรือ 30 ซึ่งตอนนั้นเกิด World Recession ในอเมริกาต้องขอข้าวไปกิน ต้องเดินขอข้าว ทางเราไม่รู้เรื่องเลย เพราะเราห่างการสื่อสารเราไม่มีเลย เราก็ไม่รู้มันเป็นอะไร ท่านก็ปลดข้าราชการ ท่านดึงนักศึกษาที่เรียนต่อกลับ ความเข้าใจของ Recession มันเกิดขึ้นแล้วมันก็วนเวียนอยู่อย่างนี้ รัฐประหารจอมพล ป. เสร็จแล้วก็เปลี่ยนแปลงเปลี่ยนแปลง  ผมอยู่มาไม่รู้กี่รัฐประหารแล้ว มันกลับมาอีก ไม่ได้แก้ปัญหา ผมอยากให้เป็นรัฐประหารสิ้นสุดไม่ต้องมีรัฐประหารอีก คือให้ความรู้คน ให้ความรู้ประชาชน เข้าใจจริงๆ เกี่ยวกับรัฐธรรมนูญ และวิธีการปกครองประเทศ ประเทศทุกประเทศมีความเห็นต่าง คำว่าแตกแยกแรงไปหน่อย และในความเห็นต่าง นั้นรอ 4 ปี เลือกรัฐบาลใหม่ มันก็เป็นการเปลี่ยนแปลงที่นุ่มนวล
ปอง : แต่รัฐบาลที่มาจากรัฐประหารในยุคปัจจุบันนี้ จะถูกต่างชาติ มองด้วยสายตาตะวันตก
ปีย์ : นี่ก็เป็นอันหนึ่ง ที่เราต้อศึกษาต่างชาติ
ปอง : ท่าทีที่อเมริกาจะบีบให้ไทยไปสู่การเลือกตั้งให้ได้ ตอกย้ำบ่อยๆ คุณปีย์มองอย่างไร
ปีย์ : ผมว่าอเมริกันเกี่ยวกับการมองโลก อเมริกันไม่ฉลาดเลย ถ้าอเมริกันฉลาดในมิดเดิลอีสต์คงไม่ฆ่ากันขนาดนี้ คงไม่เสียทหาร ไม่เสียงบประมาณ ขนาดนี้ที่ทำให้ซีเรียรบกัน หรือเกิดการแตกแยกในมิดเดิลอีสต์ เพราะฉะนั้นการมองโลกของอเมริกัน ผมว่าแคบมาก
ปอง : ถ้าหากเราจะตอบอเมริกาว่าสถานการณ์บ้านเมืองเราเป็นอย่างนี้ เราจะเลือกตั้งแน่ๆ เราควรจะต้องตอบเขาว่าอย่างไร
ปีย์ : อย่ามายุ่งได้ไหม เมืองใครก็เป็นเมืองมัน
ปอง : ถ้าหากยืดออกไปพล.อ.ประยุทธ์ ยังไม่เลือกตั้ง อย่างที่เคยบอกเอาไว้ว่าสิ้นปี 60 นี่  คุณยิ่งลักษณ์ถามเลยนะ
ปีย์ : ก็ไม่ต้องตอบ คุณยิ่งลักษณ์ก็เป็นนักการเมือง สิ่งที่น่าจะทำที่สุดก็คือเชิญคุณยิ่งลักษณ์มาแล้วอธิบายให้คุณยิ่งลักษณ์ฟังว่าประเทศต้องไปอย่างไร คุณยิ่งลักษณ์ตอนนี้ก็อาจมีความรู้แล้วว่าข้างบนเป็นอย่างไรบ้าง เมื่อก่อนนี้อาจจะไม่มี  ก็อธิบายให้ฟังว่าเราจะทำอย่างนี้ ไปกันได้ไหม ถ้าทุกคนคุยกัน ไม่ได้ทะเลาะกัน
ปอง : คุณปีย์บอกว่าให้ตั้งวงเลย เรียกนักการเมืองมา แล้วคุยเลยว่า เราขอปฏิรูปก่อนการเลือกตั้งก่อนนะ แล้วอาจจะใช้เวลาหน่อยนะ มันคงไม่ใช่เวลามันสั้นไป โรดแมปมันสั้นไปขอยืด คุณปีย์ว่านักการเมืองเขาฟังไหม
ปีย์ : พูดอย่างนั้นเขาก็ไม่ฟังครับ ต้องบอกคุณทำอย่างไรถึงจะยืดได้ ถ้าเขาไม่ยอมประเทศก็เป็นแบบนี้ ผมเชื่อว่าวันนี้เรานั่งกันนี้ เราไม่รู้เลยว่าเราจะไปกันทางไหน บ้านผมพูดง่ายๆ ครับ ผมมีคนทำงานที่บ้านสัก 8-9 คน ช่วงเลือกตั้ง ทุกคนลากลับบ้านกันหมดไปเลือกตั้ง ถามไปทำไม ไปรับเงิน ถ้าตราบใดมันเป็นอย่างนี้ประเทศจะเป็นอย่างไร เราต้องแก้ปัญหาเริ่มที่ให้การศึกษา ให้คนเราเข้าใจจริงๆ ว่าประชาธิปไตยคืออะไร ความเสมอภาคคืออะไร ความเหลื่อมล้ำมันต้องมีขนาดนั้น ไม่ใช่เหลื่อมล้ำกันจนขนาดนี้
ปอง : เขาบอกว่าคุณปีย์ คือนักเจรจา และก็ครองตำแหน่งนี้มานานหลายสมัยมาก ไม่มีใครล้มแชมป์นี้ได้ ถ้าหากคุณปีย์จะทำหน้าที่เจรจาแทนนายกรัฐมนตรี ไปพูดกับบรรดาเหล่านักการเมืองทั้งหมด ว่าฉันจะยืดออกไป คุณปีย์จะพูดว่า
ปีย์ : ผมไม่ไป ผมนอน เพราะพูดกันไม่รู้เรื่อง เพราะเขาเห็นแก่ตัว ผมจะเลือกไปกับคุณอภิสิทธิ์เพราะผมสื่อในเลเวลเดียวกัน แต่ถ้าผมไปคุยกับอดีตคุณสมัคร คุยกันไม่รู้เรื่อง ไปคุยกับคุณยิ่งลักษณ์ผมไม่มีโอกาสครับ แกอาจจะสวยเกินไปมั้ง
ปอง : เดี๋ยวต้องไปคุยกับคุณวัฒนา เมืองสุข คุณปีย์คิดว่าคุณวัฒนา ไปรับทัศนะคติเที่ยวนี้ดีไหม
ปีย์ : ไปปรับอะไรกันเช้าถึงเย็น ผมไม่ได้พูดถึงคุณวัฒนา ผมพูดถึงว่าถ้าใช้คำว่า ‘ปรับทัศนคติ’ ก็คือต้องปรับความคิดเห็นของเขา ถ้าเขายังปรับไม่ได้จะให้เขาออกมาทำไม ให้เขาอยู่ราบ 11 หรือโอเรียนเต็ลก็ได้ครับ แต่ปรับจนเห็นเหมือนกัน
ปอง : โอ้โห อาจจะต้องทั้งชีวิต
ปีย์ : ก็แค่ชีวิตเดียว เรามีตั้ง 71 ล้านคน ที่เราต้องดูแล คุณประยุทธ์มีคน 71 ล้านกว่า ที่ต้องดูแล
ปอง : ถ้าเอาเข้าไปปรับทัศนคติทั้งชีวิต ชีสักวิตหนึ่ง
ปีย์ : มันจะอะไรกัน แต่อาจจะปรับได้นะครับ ให้รอบด้านให้ดูหนัง ให้อ่านหนังสือ ให้รู้ว่าโลกเขาเป็นยังไง อาจจะปรับได้
ปอง : ทัศนคติคุณปีย์ต่อนักการเมืองไทย ถ้าจะบอกว่าไม่สู้จะดีนัก ใช่ไหม
ปีย์ : ก็เห็นแก่เงิน และคอรัปชั่น
ปอง : อุปสรรคของประเทศนี้คือนักการเมือง
ปีย์ : พูดแบบนี้เดี๋ยวเขาโกรธผมนะ แต่ก็คงจะใช่ล่ะครับ ผมมองว่านักการเมืองที่เข้ามาเล่นการเมือง ควรจะมี ความรู้เรื่องโลก เรื่องประเทศไทยมากกว่านี้ ไม่ใช่กลับมาแล้ววันเสาร์อาทิตย์ก็ไปดอนเมืองขึ้นกลับไปท้องถิ่น รู้เฉพาะรอบตัวเล็กๆ คุณภาพคือต้องรู้แบบกว้าง อย่างคุณอภิสิทธิ์มานั่งคุยด้วย รู้ว่าคุณอภิสิทธิ์รู้เรื่องโลก แต่ไปคุยกับหลายคนในพรรคไม่รู้หรอก นึกออกไหมครับ รู้ว่าเมืองเพชรเป็นอย่างไร นักการเมืองต้องมองโลกให้กว้างกว่านี้
ปอง : คุณปีย์มองท่าทีของคุณทักษิณในช่วงนี้อย่างไรบ้าง
ปีย์ : ก็วนไปวันมา จะไปไหนล่ะครับ มนุษย์มันก็เหมือนต้นไม้ เอาไปอยู่ที่ไม่มีรากมันก็ทรมาน แล้วก็โวยวายไปทั่ว
ปอง : คุณปีย์มองว่าการใช้สื่อต่างประเทศ ของคุณทักษิณและคุณยิ่งลักษณ์อย่างไรบ้าง
ปีย์ : ศูนย์ครับ คนกี่คนอ่านรู้เรื่องครับ คุณทักษิณพูดแต่นักข่าวเป็นคนเขียน คำถามที่นักข่าวถาม คุณทักษิณตอบ มันยัง ไปไม่ได้
ปอง : ความพยายามของคุณทักษิณและคุณยิ่งลักษณ์ที่จะใช้พื้นที่สื่อในต่างประเทศ เป็นการเอาโลกล้อมไทยบีบคุณประยุทธ์ มันจะได้ผลไหมคะ ในฐานะที่เป็นนักสื่อสาร
ปีย์ : มันไม่ได้ผล ดูที่คุณประยุทธ์พูดภาษาไทยแต่คนถามเป็นภาษาอังกฤษ คุณประยุทธ์พูดออกมาจากใจและออกมาจากเจตนา จะดีจะเลวอย่างไรมันออกมาคนไทยฟังรู้เรื่อง ถ้าพรุ่งนี้ออกมาเป็นภาษาอังกฤษนะครับ แล้วคนแปลหละครับ เขาก็แปลตามใจเขา มันไม่ได้แปลตามใจคุณทักษิณ
ปอง : คุณปีย์คิดอย่างไรกับหมายเรียกกรณี พล.ร.อ.พระจุณณ์ ตามประทีป
ปีย์ : เราพูดไม่ได้ว่าจะเป็นสารวัต ต่างจังหวัดต้องจ่ายเท่าไหร่ ในกรุงเทพต้องจ่ายเท่าไหร่ เราพูดไม่ได้ เพราะเราไม่เห็นตอนเขาจ่าย
ปอง : แต่มันมีจริงไหม
ปีย์ : มาถามอะไรผม มีใครในห้องนี้ที่นั่งกันอยู่ไม่รู้ว่าเรื่องนี้จริง
ปอง : ถ้าจะบอกว่าตำรวจบ้านเราที่เลื่อนตำแหน่ง ไม่ต้องเสียเงินเสียทองเลยจริงไหม
ปีย์ : มันก็มีแหละครับ แต่ทั้งนี้มันคงน้อย
ปอง : ถ้ามีใครสักคนพูดว่า ยุคผมการเลื่อนตำแหน่งไม่เสียเงินเสียทอง คุณปีย์เชื่อไหม
ปีย์ : ผมเชื่อ ถ้าหลานผมได้เป็นอธิบดีตำรวจ  ยังอีกนานครับ
ปอง : ได้คุยกับ พล.ร.องพะจุณณ์ ไหมคะ หลังถูกหมายเรียก
ปีย์ : ได้คุยครับ ให้กำลังใจสู้ๆ
ปอง : คุณธรรม จริยธรรมของสื่อมวลชน คุณปีย์มองยังไง
ปีย์ : อาย มันหลายเรื่องอย่างเรื่อง มันไม่ใช่สมัยนี้ มันก็มีอยู่คนเดียวเท่านั้นที่ผมคิดว่าผมจะกราบไหว้ได้ ว่ามีจรรยาบรรณสูง ก็คือพระพุทธเจ้าไง นอกนั้นไม่ใช่เอียงซ้ายเอียงขวา จ่ายหน้าจ่ายหลัง มันเป็นกฏของคนไทยธรรมดา
ปอง : ในรอบ 10 ปีที่มีปัญหาบ้านเมืองขาดนี้ ส่วนหนึ่งก็มาจากสื่อมวลชนด้วย คุณปีย์คิดอย่างไร
ปีย์ : ความสัมพันธ์ของนักการเมืองและสื่อมวลชน ผมอยาจะบอกว่าดีมากเลย เพราะว่าการสัมพันธ์ สื่อมวลชนกับนักธุรกิจ นักธุรกิจจ่ายสื่อมวลชนเป็นรายๆ ใครทำผิดมากๆ เราก็ไม่ด่าเขา เพราะว่าถ้าขืนด่าเดี่ยวไม่ได้รับ เนื่องจากผมทำสื่อมานาน คนนั้นไปอยู่นั้น อยู่นี้ บรรณาธิการบริหารมีอำนาจน้อยกว่าผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ มีอำนาจน้อยกว่านายกรัฐมนตรี การปกครองก็ลำบาก
ปอง : หมายถึงสื่อมวลชนถูกใช้ ถูกมวลชนถูกซื้อ ไปเป็นกระบอกเสียงให้นักการเมืองและนักธุรกิจ แต่ก็ไม่ทั้งหมดก็มีบางส่วน
ปีย์ : นักธุรกิจถ้าไม่ใหญ่จริงก็ไม่มีประโยชน์ที่จะซื้อ ถ้าใหญ่จริงเขาก็ต้องซื้อพวกสื่อมวลชนไว้
ปอง : ถ้าถามคุณปีย์ว่า ณ วันนี้ถ้าเดินออกไปเจอพล.อ.ประยุทธ์ คุณปีย์อย่างจะพูดว่า
ปีย์ : สวัสดีครับ จบ
ปอง : แล้วถ้าเจอคุณทักษิณ
ปีย์ : สวัสดีครับ จบ
ปอง : เจอคุณยิ่งลักษณ์
ปีย์ : ไม่รู้จัก
ปอง : เจอคุณอภิสิทธิ์
ปีย์ : สวัสดีครับ จบ
ปอง : เพราะ
ปีย์ : จะไปพูดอะไรครับต่างคนก็ต่างรู้ว่าตัวเองรู้หมดทุกอย่างแล้ว เชื่อเถอะถ้าผมโทรไปหานายกฯตอนนี้ เขาจะตอบว่า พี่ครับพี่แก่แล้วพี่อยู่เฉยๆ เถอะ เราอ่านเกมส์ออก ทุกคนมีข้อมูลหมด 

ผบ.ตร.รับย้ายรองผบช.ภ.2 ผิดคน ระบุตามบัญชีคสช.เอี่ยวผู้มีอิทธิพล แม้ชื่อเดียวกันแต่นามสกุลไม่ตรง


เมื่อวันที 21 มี.ค. ที่ผ่านมา พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) เปิดเผยจากการตรวจสอบรายชื่อ  พล.ต.ต.สุรพล วิรัตน์โยสินทร์ รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 2 ที่มีคำสั่งให้มาช่วยราชการที่ศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ หรือ ศปก.ตร. เกี่ยวข้องกับบัญชีรายชื่อผู้มีอิทธิพลของ คสช. จากการตรวจตรวจสอบประวัติทั้งกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 2 และ 4  ยอมรับว่ามีชื่อ พล.ต.ต.สุรพล จริง แต่นามสกุลไม่ตรงกับรองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 2 ที่มีคำสั่งให้มาช่วยราชการ และจากการสอบถามปรากฎว่าข้อมูลอาจมีความคลาดเคลื่อน จึงเตรียมลงนามคำสั่งให้กลับไปปฎิบัติหน้าที่ตามเดิมภายในสัปดาห์นี้
อย่างไรก็ตาม หาก พล.ต.ต.สุรพล เห็นว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมหรือทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียงก็สามารถฟ้องดำเนินคดีกับตนเองได้ เนื่องจากตนเองเป็นผู้ลงนามในคำสั่งยืนยันพร้อมรับผิดชอบส่วนนายตำรวจ ยศ พล.ต.ท. ที่เกี่ยวข้องกับผู้มีอิทธิพล ซึ่งตนได้มีการพูดคุยแล้วนั้น ไม่จำเป็นต้องมีคำสั่งให้ออกนอกพื้นที่ เพราะดำรงตำแหน่งอยู่ในสำนักงานตำรวจแห่งชาติอยู่แล้ว
ส่วนการตรวจสอบบัญชีรายชื่อนายตำรวจที่เกี่ยวข้องกับผู้มีอิทธิพลกว่า 200 นาย พบว่าขณะนี้เหลือเพียงร้อยกว่านาย เพราะบางข้อมูลเป็นข้อมูลเก่า ซึ่งสัปดาห์นี้จะมีการสรุปรายชื่อทั้งหมดส่งให้คณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช.ต่อไป 

ผบ.ทบ. ย้ำเร่งปราบปราบปัญหาผู้มีอิทธิพล กำชับ จนท.ไม่ให้เข้าไปเกี่ยวหรือเอื้อประโยชน์
ขณะที่วันเดียวกัน พ.อ.หญิง ศิริจันทร์ งาทอง รองโฆษก คสช.กล่าวว่า วันนี้ (21 มี.ค.) พล.อ.ธีรชัย นาควานิช ผู้บัญชาการทหารบก ในฐานะเลขาธิการ คสช. เป็นประธานการประชุมสำนักเลขาธิการ คสช. ที่กองบัญชาการกองทัพบก โดยได้กล่าวขอบคุณทุกส่วนงานที่ทุ่มเทปฏิบัติภารกิจตามนโยบายของ คสช. โดยได้เน้นย้ำให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งปราบปราบปัญหาผู้มีอิทธิพล บ่อนการพนัน อาวุธสงคราม สินค้าผิดกฎหมาย พร้อมกำชับไม่ให้เจ้าหน้าที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับกระบวนการเอื้อและเรียกรับผลประโยชน์ในทางผิดกฎหมายในทุกเรื่อง

‘มีชัย’ เล่านิทานสรุปการเมืองไทย ตอบคำถามอึดอัดไหมกับข้อเสนอยกร่าง รธน.


ผู้สื่อข่าวถามว่าจะนำข้อเสนอของ คสช.และแม่น้ำสี่สายไปบรรจุในร่างรัฐธรรมนูญหรือไม่
มีชัยระบุว่าจะดูที่เหตุผลเป็นหลักไม่ใช่ตัวคนเสนอ ไม่ต้องกังวลว่าเป็นการข่มขู่หรือการสั่ง 

ขอยังไม่ตอบในรายละเอียดใดๆ เตรียมสรุปให้ชัดเจนในการประชุม กรธ.วันนี้
“ยังไงก็จะทำจนได้” 
ก่อนที่จะเดินทางไปยกร่างที่ชะอำ
21 มี.ค.2559 ที่โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ มีชัย ฤชุพันธ์ ประธานร่างรัฐธรรมนูญเป็นองค์ปาฐกในงานประชุมวิชาการ “เวทีสาธารณะ ปปร.19 ประชาธิปไตยช่วงเปลี่ยนผ่าน” ซึ่งเป็นการนำเสนอข้อเสนอแนะของผู้แทนนักศึกษาหลักสูตรการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตยสำหรับนักบริหารระดับสูง(ปปร.) รุ่นที่ 19.ของสถาบันพระปกเกล้า
ในการปาฐกถาตอนหนึ่ง มีชัยกล่าวถึงประเด็นความลำบากใจกับข้อเสนอต่างๆ ที่มีให้คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ว่า
“อาจมีคนถามว่า กรธ.อึดอัด ลำบากใจกับข้อเสนอใหม่มากน้อยแค่ไหน คงตอบได้ยาก ผมเล่านิทานให้ฟัง พวกเราเดิมมีบ้านหลังใหญ่ ปลูกเสร็จก็ให้เลือกกันเข้าไปครอบครองดูแล หวังให้คนอยู่อาศัยได้อยู่เย็นเป็นสุข แต่พอได้ดูแล้วก็ใช้อำนาจบาตรใหญ่ ยักยอกค่าใช้จ่าย ค่าบำรุงรักษาไปเข้ากระเป๋า กิจการของบ้านที่ควรทำรายได้เพื่อเอามาอำนวยความสะดวกให้คนในบ้านก็เบียดบังไปเป็นของตัวและพรรคพวกจนร่ำรวยไปตามๆ กัน หนักเข้าก็คือ ขนาดขนของในบ้านไปขาย รื้อหลังคาฝาบ้านไปขาย จนคนในบ้านอยู่ไม่เป็นสุข ตากแดดตากฝน ต่างคนต่างก็เอาไปคนละชิ้นสองชิ้น ในที่สุดบ้านนั้นก็พังครืน จนคนในบ้านพากันออกมาเรียกร้องให้คนที่มีกำลังเหนือกว่าออกมาขับไล่คนที่ครอบครองบ้าน ตอนนี้เรากำลังสร้างบ้านใหม่ กรธ.ก็เหมือนคนที่ได้รับมอบหมายให้สร้างบ้าน ก็ใช้ประสบการณ์ที่ผ่านมาออกแบบบ้านหลังใหม่ เห็นเขาเคยรื้อฝาบ้าน เอากระเบื้องมุงหลังคาไปขาย ขนเฟอร์นิเจอร์ไปขาย ก็ออกแบบเป็นผนังคอนกรีต หลังคาคอนกรีต เฟอร์นิเจอร์ก็ใช้ built-in จะได้ไม่มีใครขนไปขายได้ แต่ก่อนเคยกางมุ้งนอนก็ติดมุ้งลวดให้ หน้าร้อนเคยใช้พัดลมก็ติดแอร์ให้ หน้าหนาวเคยใช้ผ้าห่มก็ติดฮีตเตอร์ให้ คนที่เคยอยู่บ้านหลังเก่า รวมทั้งนักวิจารณ์ก็ติติงกันจ้าละหวั่น ฉันเคยนอนมุ้งถ้าไม่มีมุ้งจะนอนไม่หลับ เคยมีพัดลมไปติดแอร์นอนไม่หลับ เคยมีผ้าห่มมีฮีตเตอร์แทนก็จะนอนไม่หลับ ในที่สุดก็ต้องใส่สิ่งเหล่านั้นยกเว้นแต่สิ่งที่จะกระทบโครงสร้าง"
"ขอเรียนว่า ตอนที่รับฟังความคิดเห็นมันมีทั้งคนที่บอกว่าอยากได้นั่นอยากได้นี่ ด้วยเหตุด้วยผล บางคนส่วนหนึ่งไม่น้อยทีเดียวออกมาข่มขู่ว่า ถ้าไม่แก้แม้แต่บางถ้อยคำ ไม่เอาพัดลม ไม่เอาผ้าห่มให้ จะทุบบ้านทิ้ง บ้านที่สร้างเสร็จแล้วจะทุบทิ้ง ผ่านขบวนการนั้นมาจนเรียบร้อย มาวันนี้ คนที่เขาให้สร้างบ้านเขามาบอกว่า บ้านที่สร้างถ้าสร้างเสร็จแล้วก็สุดแต่ใจนะ ไม่ว่าอะไร รับได้ แต่ก่อนจะจัดคนให้เข้าไปอยู่ในบ้าน ยังไม่ค่อยวางใจว่าจะไม่มีใครมาขโมยของในบ้านไปขาย หรือทำให้คนอยู่อาศัยต้องทุกข์อย่างที่ผ่านมา ช่วยพิจารณาทีเถอะว่า ช่วงแรกจะส่งคนมาดูแลในบ้านและรอบๆ บ้านสักชั่วขณะหนึ่งได้ไหม คนที่เคยข่มขู่ก็ออกมาโวยวายว่ามาสั่งอย่างนี้ได้อย่างไร อย่างนี้ต้องเลิกสร้าง ต้องลาออก อย่าสร้าง ครั้นพอมีคนไปถามคนที่เขามาขอร้องว่า ถ้าคนสร้างเขาไม่ทำให้จะทำยังไง คนที่ขอให้สร้างก็บอกว่า ถ้าไม่ทำให้ก็จะนั่งอ้อนวอนจนกว่าจะทำ บางคนถามว่า ถ้าเขาจะรุมทุบบ้านล่ะจะทำยังไง คนให้สร้างบ้านก็บอกว่าถ้าพวกคุณทุบบ้านผมก็สร้างใหม่
ถ้าท่านเป็นคนสร้างบ้านเจอคนข่มขู่มาตลอดเส้นทาง มาเจอคนสุดท้ายเขามานั่งอ้อนวอนบอกช่วยหน่อยเถอะ ท่านจะร้องไห้หรือจะหัวเราะ เพราะฉะนั้น ถ้าท่านทั้งหลายเห็นคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญเดินอมยิ้มอยู่ปัจจุบัน ก็อย่าแปลกใจ เพราะเราถูกข่มขู่จริงตอนต้น สารพัด แทบเอาตัวไม่รอด แต่สุดท้ายนี่เราไม่ได้ถูกข่มขู่”
หลังการปาฐกถา ผู้สื่อข่าวจากหลายสำนักได้รุมสัมภาษณ์มีชัยในประเด็นการร่างรัฐธรรมนูญว่าจะรับข้อเสนอของ คสช.ในหลายๆ เรื่องที่เป็นประเด็นใหญ่หรือไม่  มีชัยกล่าวว่า เขากำลังจะหารือเรื่องเหล่านี้กรธ.ในช่วงบ่ายวันนี้จะขอไม่ตอบคำถามดังกล่าว ไม่ว่าจะเป็นประเด็น ส.ว.แต่งตั้ง, การเสนอชื่อนายก 3 คน ฯลฯ คาดว่าจะมีการหารือยาวนานพร้อมพูดติดตลกว่าอาจถึงเวลาตีหนึ่ง อย่างไรก็ตาม กรธ.จะต้องตัดสินใจเสร็จสิ้นว่าจะรับข้อเสนอ คสช.หรือไม่ในเรื่องใดก่อนที่จะไปยกร่างกันที่ชะอำในวันที่ 23 มี.ค.นี้

เขียนกลไกแก้วิกฤตในรธน.ไว้ก็เพราะ(ทหาร)ไม่อยากออกมาอีก–มีชัย ฤชุพันธุ์


21 มี.ค.2559 ที่โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ มีชัย ฤชุพันธ์ ประธานร่างรัฐธรรมนูญเป็นองค์ปาฐกในงานประชุมวิชาการ “เวทีสาธารณะ ปปร.19 ประชาธิปไตยช่วงเปลี่ยนผ่าน” ซึ่งเป็นการนำเสนอข้อเสนอแนะของผู้แทนนักศึกษาหลักสูตรการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตยสำหรับนักบริหารระดับสูง(ปปร.) รุ่นที่ 19.ของสถาบันพระปกเกล้า
มีชัยสรุปว่า ตอนคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ตั้งสมติฐานปัญหาของประเทศไทยที่บานปลายมาจนมีการใช้ความรุนแรงต่อกัน สามารถสรุปปัญหาสำคัญได้ 3-4 ประการคือ

1. ปัญหาความไม่เป็นธรรมในสังคม รัฐบาลที่ผ่านมาปล่อยปละละเลยการดูแลประชาชน มุ่งแต่หาความนิยมแต่ไม่เน้นความยั่งยืน จนประชาชนขาดความไว้วางใจรัฐ ที่สำคัญเจ้าหน้าที่ของัฐมีทัศนคติต้องการ “ปกครอง” มากกว่า “ให้บริการ” ประชาชน

2.การทุจริตคอร์รัปชันมีมากขึ้นและกระจายตัวมากขึ้นโดยที่ความเข้าใจเรื่องคอร์รัปชันเริ่มไม่ตรงกัน ประชาชนจำนวนไม่น้อยเห็นว่า “เขาทุจริตแต่ก็เอามาแบ่งปัน”

3.คนขาดวินัย กรธ.เห็นว่าการจะทำให้ประชาชนมีความเป็น “พลเมือง” นั้นยากมาก ความหวังเดียวอยู่ที่การศึกษาซึ่งต้องไม่ได้มุ่งเน้นให้คนเข้ามหาวิทยาลัยทั้งหมด และขอเน้น 4 คุณลักษณะคือ เป็นคนดี มีวินัย ภูมิใจในชาติ และสามารถเรียนได้ตามความถนัด และกรธ.ให้ความสำคัญกับการเรียนอนุบาลซึ่งจะช่วยเสริมพัฒนาการของเด็ก เรื่องนี้เอกชนสามารถเข้ามาช่วยได้ เพราะโดยปกติก็มีโครงการ CSR จำนวนมาก อาจเอามาทำกองทุนให้คนยากไร้ได้นำไปใช้
4.การบังคับใช้กฎหมายไม่เข้มงวดกวดขัน ซึ่งตำรวจถือเป็นส่วนที่สำคัญเนื่องจากมี “เสียงลือ” ว่าแม้แต่ในแวดวงตำรวจเองก็มีปัญหาคอร์รัปชั่น เราจึงเห็นควรว่าเป็นเรื่องต้องเร่งปฏิรูป
ส่วนอื่นๆ คือ เรื่องสิทธิและเสรีภาพ ตอนเริ่มต้นทำรัฐธรรมนูญต้องการจะมุ่งขจัดความเหลื่อมล้ำ ความเหลื่อมล้ำเกิดจากความรู้และไม่รู้สิทธิของประชาชนที่จะออกมาเรียกร้องต่อเรื่องต่างๆ เราเห็นว่าประชาชนรู้อย่างดีแล้วในเรื่องสิทธิ เราจึงย้ายจากหมวดสิทธิและเสรีภาพของปวงชนไปเป็นหน้าที่ของรัฐแทน แต่เมื่อฟังเสียงประชาชนแล้วพบว่ามีความไม่สบายใจ เราจึงเริ่มเข้าใจว่ามีความไม่ไว้ใจรัฐบาลมากจริงๆ เราติดฮีตเตอร์ยังเรียกร้องผ้าห่ม เราก็เติมให้หมด ในที่สุดจึงใส่ไว้ทั้งสองหมวด แต่รกด้วยสิ่งเหล่านี้ไม่เป็นไร วันหนึ่งเมื่อเห็นว่าไม่จำเป็นก็สามารถตัดส่วนเกินออกได้ แต่บางคนขอให้ทุบฝาบ้านอันนี้จนปัญญา
จากนั้นมีชัยตอบคำถามซึ่งมีผู้ฟังเขียนข้อความมาสอบถาม
ถาม: มีคนตั้งคำถามว่าคุณมีชัยร่างกฎหมายให้ทหารอยู่เรื่อย
ไม่จริงหรอกครับ ผมได้ทุนรัฐบาลไปเรียนร่างกฎหมาย ตั้งแต่กลับมาก็ร่างมาทุกรัฐบาลตั้งแต่ต้น แล้วนี่ก็คงจะร่างต่อไปจนกว่าจะตายเพราะว่า กฤษฎีกามีหน้าที่ร่างกฎหมาย แล้วผมก็คิดว่าของที่ทำมาโดยตลอดในฐานะนักกฎหมาย กฎหมายอะไรดีๆ ที่มีอยู่แปลกๆ ส่วนใหญ่ผมร่างทั้งนั้น ถามว่าทำไม เพราะบังเอิญผมเป็นคนแก่ที่ไม่ติดกรอบเหมือนคนหนุ่ม คนหนุ่มทั้งหลายส่วนใหญ่จะอยู่ในกรอบ คิดไม่ออก แต่ผมเป็นคนแก่ที่อยู่นอกกรอบ กำลังเริ่มทำอะไรอย่างหนึ่งที่ต่อไปจะเป็นต้นแบบ คือ เราเคยกำหนดแต่อำนาจให้เจ้าหน้าที่แล้วไม่เคยบอกเลยว่า ถ้าไม่ทำล่ะ จะทำยังไง ตอนนี้จะเริ่มทยอยมีแล้ว เมื่อสองวันก่อน กรมโรงงานบอกว่าใครจะขนขยะจากโรงงานต้องขออนุญาต เขาบอกว่าใช้เวลา 30 วัน ถ้าอย่างนั้นผมบอกว่าให้เทศบาลให้มีหน้าที่แจ้งให้กรมโรงงานทราบ แล้วถ้ากรมโรงงานไม่มาเอาไปภายใน 3 วัน ให้เทศบาลดำเนินการตามที่เห็นสมควร และให้ถือว่าเจ้าหน้าที่ละเลยการปฏิบัติหน้าที่ ทุจริตต่อหน้าที่ มีโทษจำคุก 15 ปี (ผู้ฟังปรบมือ) ต่อไปจะมีกฎหมายอย่างนี้มากขึ้นเรื่อยๆ เพราะเราปล่อยให้ใช้อำนาจมา รธน.นี้จะเป็นฉบับแรก ทุกครั้งจะบอกว่า “มีอำนาจหน้าที่” คราวนี้บอกว่า “มีหน้าที่และอำนาจ” เพื่อสะกิดให้รู้ว่าอำนาจที่ให้ไปเพื่อใช้ในเวลาปฏิบัติหน้าที่
ถาม: นอกเหนือจากการปฏิรูปตำรวจที่เป็นวาระเร่งด่วนสำหรับ กรธ. คิดว่า กองทัพ ต้องมีการปฏิรูปด้วยหรือไม่ มองบทบาทของกองทัพในปัจจุบันอย่างไร และในอนาคตคิดว่าทหารยังควรเข้ามามีบทบาททางการเมืองหรือไม่
เราไม่เคยเกิดปัญหากับกองทัพ เพราะกองทัพไม่ได้ดีลกับประชาชนโดยตรง กองทัพมีหน้าที่ปกป้องประเทศ ส่วนที่เขาจะดีลกับประชาชนโดยตรงคือส่วนที่เกี่ยวกับการพัฒนา เขาไม่มีอำนาจ มีแต่หน้าที่ปกป้องประเทศ ปัญหาที่เกิดขึ้นในประเทศไม่ได้เกิดที่เขา
บางทีถ้าเรามองในขณะนี้เราอาจมองไม่เห็นถึงความสำคัญของกองทัพ แต่เมื่อไรบ้านเมืองเราถูกบุกรุกเราจะนึกถึงความสำคัญ และที่สำคัญลองนึกถึงก่อนวันที่ 22 พ.ค.2557 ถามว่าเรานึกถึงใครมากที่สุดตอนนั้น จำได้ไหม มีคนถึงกับเรียกร้องให้กองทัพออกมา กองทัพก็บอกไม่ใช่หน้าที่เขา ไปตกลงกันเอง แล้วเราก็ขึ้นป้ายว่า “หลับเถิดทหารกล้า ปวงประชาจะคุ้มภัย” ให้เขาเจ็บใจเล่น พวกเราใช่ไหมที่ทำอย่างนั้น ฉะนั้น เวลาจะนึกถึงอะไรตอนนี้ก็ต้องนึกถึงวันที่เกิดเหตุด้วย
ถาม: ในอนาคตทหารควรเข้ามามีบทบาทในการเมืองหรือไม่ 
ทหารไม่ควรมีบทบาทในการเมืองมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถ้าไม่เกิดวิกฤตจนกระทั่งคนไปเรียกหาเขามา การที่ คสช.เคยมีปรารภว่าอยากจะให้เขียนอะไรเป็นกลไกในรัฐธรรมนูญเมื่อเวลาเกิดวิกฤตจะได้แก้ปัญหากันเองได้ เขาจะได้ไม่ต้องออกมา เพราะเขาออกมาทีไรก็เป็นอันตรายต่อตัวเขาเองด้วย เสี่ยงภัยและทำให้เกิดเป็นปัญหาลากยาวกันต่อไป แต่เราก็เขียนไม่ได้ เขียนได้แต่บางส่วนเท่านั้น อย่างเช่นคราวนี้เราก็จะเห็นว่า  ถ้ามันติดขัดเกิดปัญหาความเสียหาย ให้มีสัญญาณเตือน โดยองค์กรอิสระประชุมปรึกษาหารือกันแล้วเตือนให้รัฐบาลรู้ก่อนจะเกิดความเสียหาย แล้วก็หวังจากนั้นว่ากลไกทางการเมืองจะเริ่มเดิน ถ้ามันไม่เดินก็จะเกิดปัญหาอีก ขณะเดียวกันถ้าเกิดติดขัดเรื่องรัฐธรรมนูญ เราก็วางกลไกที่จะหาตัวชี้ว่าทางออกที่ถูกต้องควรเป็นอย่างไร เท่าที่ทำได้ก็ทำได้เพียงเท่านี้ แต่ถ้าคนที่อยู่ในอำนาจยังไม่ฟังหรือทำเหมือนคราวที่แล้ว เช่น ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยแล้วไม่ฟัง ไม่เชื่อคำตัดสินแล้วบ้านเมืองจะเหลืออะไร ผมเคยพูดตอนนั้นว่า ถ้ารัฐบาลไม่เชื่อคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ประชาชนทุกคนก็มีสิทธิไม่เชื่อถือรัฐบาล เพราะรัฐบาลปฏิบัตินอกกรอบเสียเอง

ประยุทธ์งัด ม.44 ยุบคณะอนุฯข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาเขตพื้นที่การศึกษา


ประยุทธ์ ออกคำสั่ง หน.คสช. 2 ฉบับ ตั้ง คณะกรรมการขับเคลื่อนการปฏิรูปการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการในภูมิภาค รมว.ศึกษาฯ นั่งประธาน  มีอำนาจบริหารหน่วยงานระดับภูมิภาคหรือจังหวัดของกระทรวง ครบวงจร  พร้อมยุบคณะอนุกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาเขตพื้นที่การศึกษา
เมื่อวันที่ 21 มี.ค.ที่ผ่านมา ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา ได้ประกาศคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ลงนามโดยพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา 2 ฉบับ คือ คําสั่ง หัวหน้า คสช. ที่ 10/2559 เรื่อง การขับเคลื่อนการปฏิรูปการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการในภูมิภาค และคําสั่ง หัวหน้า คสช. ที่ 11/2559 เรื่อง การบริหารราชการของกระทรวงศึกษาธิการในภูมิภาค
โดยระบุว่า โดยที่ได้ปรากฏข้อเท็จจริงถึงสภาพปัญหาในการจัดการศึกษาในส่วนภูมิภาคของประเทศว่าเกิดจากปัญหาการสั่งการและการบริหารจัดการที่ไม่มีประสิทธิภาพและไม่เป็นเอกภาพเป็นปัญหาสําคัญ ดังนั้น เพื่อประโยชน์ในการปฏิรูประบบการศึกษาให้สามารถขับเคลื่อนได้อย่างมีประสิทธิภาพและ เกิดประโยชน์สูงสุดต่อการพัฒนาประเทศ อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญ แห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557 หัวหน้า คสช. โดยความเห็นชอบของ คสช. จึงมีคําสั่ง ให้มีคณะกรรมการขับเคลื่อนการปฏิรูปการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการในภูมิภาค โดย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานกรรมการ เพื่อเคลื่อนการปฏิรูปการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการในภูมิภาค
โดยมีอำนาจหน้าที่บริหารหน่วยงานของกระทรวงศึกษาธิการในระดับภูมิภาคหรือจังหวัดเช่น กําหนดทิศทางในการดําเนินงาน วางแผนงานเกี่ยวกับการบริหารงานบุคคล พิจารณาการจัดสรรงบประมาณ แต่งตั้ง โอน หรือย้ายผู้บริหารสถานศึกษา ผู้บริหารเขตพื้นที่การศึกษา หรือผู้ปฏิบัติงาน ในตําแหน่งต่าง ๆ สั่งให้ผู้บริหารสถานศึกษา ผู้บริหารเขตพ้ืนที่การศึกษา หรือผู้ปฏิบัติงานในตําแหน่งต่าง ๆ ในหน่วยงานของกระทรวงศึกษาธิการในระดับภูมิภาคหรือจังหวัด หยุดการปฏิบัติหน้าที่หรือให้พ้นจากตําแหน่ง ฯลฯ
รวมทั้ง จัดตั้งคณะกรรมการศึกษาธิการจังหวัด (กศจ.) และคณะอนุกรรมการศึกษาธิการจังหวัด (อกศจ.) มีศึกษาธิการจังหวัด เป็นอนุกรรมการและเลขานุการ โดยให้ยุบเลิกคณะกรรมการเขตพื้นที่การศึกษา และยุบเลิก คณะอนุกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา(อ.ก.ค.ศ.) เขตพื้นที่การศึกษาตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา และให้โอนอํานาจหน้าที่ไปเป็นอํานาจหน้าที่ของ กศจ. ของจังหวัดนั้น ๆ
โดยมีรายละเอียดดังนี้