วันอาทิตย์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2557

อาจารย์เฉลิมชัย ชี้ ระบอบทักษิณคือระบอบของทุกคนในชาติ...อำมาตย์ ฟังไว้


ถ้าเราล้มระบอบทักษิณได้แล้วจะเป็นอย่างไรต่อ?

           ระบอบทักษิณคืออะไร ถ้าตระกูลชินวัตรตายหมดไปจากโลก ประเทศไทยจะดีขึ้นจริงหรือ?  ผมเองก็คนหนึ่งล่ะที่เคยทำเลว ๆ ยัดเงินเจ้าหน้าที่ธุระการเพื่อแลกกับความรวดเร็ว ยอมเสีย 100 บาทเพื่อแลกกับการเสียเวลา พฤติกรรมและสังคมแบบไทยๆ ที่ส่วนใหญ่ ที่รักสบาย มักง่าย เล่นพรรคเล่นพวก

          ที่สำคัญในช่วงหลังคือวัดค่าของคนจากเงิน ของใช้ สิ่งที่มองเห็นจากข้างนอก ในเมื่อการวัดค่าของคนไม่ได้อยู่ที่จิตใจ ความดีงาม ความสามารถอีกต่อไป คนส่วนใหญ่จึงมีเป้าหมายใหม่ เป็นการทำอย่างไรก็ได้ให้มีเงินมากที่สุด ซึ่งเป็นตัวนำไปสู่การคอรัปชั่น การคอรัปชั่นมีขึ้นทุกหน่วยงานราชการรวมไปถึง ทุกคนในเอกชนและภาคครัวเรือน การฝากลูกเข้าโรงเรียน ยัดเงินตำรวจ โกงภาษีเงินได้ สารพัดการคอรัปชั่นในชีวิตประจำวัน

           ที่น่าแปลกใจ คือคนไทยรับได้ แถมอยู่กับมันได้อย่างมีความสุขอีกด้วย ด่านักการเมืองว่าเลวทุกคน ถึงเวลา ขอให้ช่วยฝากลูกเข้าโรงเรียน ด่าตำรวจไม่มีดี ถึงเวลา ช่วยหนูหน่อยนะพี่ ขี้เกียจไปโรงพัก สิ่งเหล่านี้คือ "ระบอบไทย ๆ" มีมานานก่อนทักษิณจะมีอำนาจ พูดให้ถูกคือ ทักษิณมีอำนาจ เติบโตจนสั่นคลอนประเทศวุ่นวายได้ขนาดนี้ ก็เพราะรู้จักใช้ประโยชน์จากระบอบนี้นั่นแหละ
           ที่ทุกวันนี้มันกลายเป็นระบอบทักษิณไปแล้ว เพราะทักษิณได้กระจายอำนาจและบริวารครอบคลุมหน่วยงานต่างๆไว้ เป็นจำนวนมากสมัยอยู่ในอำนาจ จึงทำให้ทักษิณเหมือนกลายเป็นผู้รับประโยชน์สูงสุด

          ถามอีกรอบ สมมุติพรุ่งนี้ ตระกูลทักษิณหายไปจากโลก คิดว่าไอ้ระบอบไทย ๆ ที่หยั่งรากลึกมาก่อนทักษิณจะมาเล่นการเมืองเสียอีก มันจะหายไปหรือ?

           ข้าราชการ ตำรวจ ประชาชน นักการเมืองทุกคน จะพร้อมใจกันเป็นคนดีขึ้นมากกว่าเดิมทันที อ่าห์ โลกช่างสวยงาม การโยนความเลวทรามชั่วช้าทั้งหมดบนโลกใบนี้ไปให้ทักษิณมันง่าย...มันสะดวกกว่าการโทษตัวเอง แต่มันไม่ใช่การแก้ปัญหา และไม่เป็นธรรมกับทักษิณนัก
          การปลุกระดมม็อบไปปิดสถานที่ราชการก็ไม่ใช่การแก้ปัญหา เพราะนักการเมืองทุกฝ่ายมีเงินทุนและมวลชนของตัวเองมากพอ พอที่จะปลุกม็อบมากี่ครั้งก็ได้ เมื่อฝ่ายตรงข้ามได้เป็นรัฐบาล กลายเป็นวังวนอัปยศที่หาทางออกไม่ได้ของประเทศไทย ทางแก้ของปัญหาการเมืองในประเทศ ผมเชื่อว่าไม่มีทางออกจากวงจรอุบาทว์ ไม่ว่าจะก่อม็อบไปเปลี่ยนรัฐบาลไปซักกี่รัฐบาล ถ้าคนไทยไม่เปลี่ยนแปลงตัวเอง ปฏิวัติตัวเองจากข้างในเลิกเห็นแก่ความสบาย เลิกร้องขอสิทธิพิเศษ เลิกมองคนที่ภายนอก เลิกคิดมักง่าย เลิกขับรถผิดกฏจราจร หันมามองความสามารถภายใน ความดี ความมีคุณธรรม

Credit : อาจารย์เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์

คสช. แถลงผลการจับกุมและยึดอาวุธสงคราม ชี้มีส่วนเชื่อมโยง ‘จักรภพ’



29 มิ.ย. 2557 เว็บไซต์วอยซ์ทีวี รายงานว่า พันเอกวินธัย สุวารี พร้อมด้วยพันเอกวีรชน สุคนธปฏิภาค พันตำรวจเอกทรงพล วัธนะชัย ทีมโฆษกคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. ร่วมแถลงข่าวผลการจับกุมอาวุธสงคราม หลังจาก คสช. เข้าบริหารประเทศ  
 
พันเอกวินธัย ระบุ อาวุธสงครามที่ยึดมาได้เป็นผลการปฏิบัติงานของกองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อยกองทัพ ภาคที่ 1 และภาค 2 ที่ติดตาม จับกุมกลุ่มติดอาวุธ และตรวจค้นแหล่งซุกซ่อนต่างๆ หลังมีข่าวว่าจะมีการจัดตั้งและใช้กองกำลังอาวุธก่อเหตุรุนแรง จนอาจส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยของประชาชน  
 
โดยผลการปฏิบัติการ ตั้งแต่วันที่ 22 พฤษภาคมถึง 24 มิถุนายนที่ผ่านมา สามารถยึดอาวุธสงครามได้หลายรายการ อาทิ ปืนเล็กยาว และปืนกลชนิดต่างๆ จำนวน 144 กระบอก พร้อมเครื่องกระสุนกว่า 2 หมื่นนัด , ปืนยาวและปืนลูกซอง 258 กระบอก พร้อมเครื่องกระสุน 557 นัด ยังมีปืนพกชนิดต่างๆ และเครื่องยิงลูกระเบิด แบบ M-79 อีก 23 เครื่อง รวมทั้งเครื่องยิงจรวด RPG 57 ลูก และยุทธภัณฑ์อื่นๆ 
 
โฆษก คสช. กล่าวด้วยว่า มีอาวุธบางส่วนที่เกี่ยวข้องกับกลุ่ม "ขอนแก่นโมเดล" ซึ่งเป็นพื้นที่ต้นแบบที่จะใช้ในการก่อเหตุรุนแรงก่อนที่ คสช. จะเข้ามาบริหารประเทศ และยืดได้จากกลุ่มผู้ชุมนุมทางการเมืองในปี 2553 อีกจำนวนหนึ่ง ซึ่งมีอาวุธอีกจำนวนมากที่กระบวนการตรวจสอบยังไม่สมบูรณ์ และบางส่วนจากการสืบสวนสอบสวน พบว่ามีความเชื่อมโยงกับนายจักรภพ เพ็ญแข  
 
อย่างไรก็ตาม อาวุธบางส่วนยังอยู่ในระหว่างการดำเนินคดี จึงนำมาได้บางส่วนเท่านั้น  
 
กองทัพภาคที่ 4 แถลงข่าวผลการจับกุมอาวุธสงคราม 
 
ในขณะที่วันเดียวกัน สำนักข่าวแห่งชาติ รายงานว่า ที่กองทัพภาคที่ 4 ค่ายวชิราวุธ จังหวัดนครศรีธรรมราช พลโทวลิต โรจนภักดี แม่ทัพภาคที่ 4 เป็นประธานแถลงข่าวผลการจับกุมอาวุธสงคราม เครื่องกระสุน และยุทธภัณฑ์ ระหว่างวันที่ 22 พ.ค.-25 มิ.ย.ที่ผ่านมา ว่า หลังจากที่ คสช.เข้าควบคุมอำนาจการปกครองประเทศ ก็ได้มีนโยบายอย่างเคร่งครัดในการจับกุมอาวุธสงคราม รวมถึงประชาสัมพันธ์ให้ผู้ที่ครอบครองอาวุธสงคราม นำมามอบให้เจ้าหน้าที่ ซึ่งจากการดำเนินการของกองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อย กองทัพภาคที่ 4 โดยการตั้งจุดตรวจ จุดสกัดความมั่นคง ร่วมดำเนินการต่อเป้าหมายปิดล้อมตรวจค้นและจับกุม ร่วมกับเจ้าหน้าที่พลเรือนและเจ้าหน้าที่ตำรวจ สามารถตรวจยึดอาวุธสงครามได้เป็นจำนวนมาก อาทิ ปืนเล็กยาวชนิดต่างๆ จำนวน 21 กระบอก ปืนยาวและปืนลูกซอง จำนวน 150 กระบอก ปืนพกชนิดต่างๆ จำนวน 399 กระบอก ลูกระเบิกขว้างชนิดต่างๆ จำนวน 13 ลูก สำหรับเครื่องกระสุน ประกอบด้วย กระสุนทั้งหมด 4,502 นัด กระสุนระเบิด แบบ M-79 จำนวน 3 นัดและยุทธภัณฑ์อื่นๆ เช่นเสื้อเกราะ จำนวน 5 รายการ
 
พลโทวลิต โรจนภักดี กล่าวว่า จากการที่หัวหน้า คสช. อยากเห็นความสงบเรียบร้อยเกิดขึ้นในประเทศ ไม่อยากให้ใช้อาวุธสงครามมาทำร้ายกัน จึงได้มีการประกาศคำสั่ง ให้ผู้มีอาวุธปืน อาวุธสงคราม ส่งมอบให้เจ้าหน้าที่ ซึ่งจากผลการดำเนินงานได้รับความร่วมมือมาโดยตลอด ทำให้สามารถตรวจยึดอาวุธสงครามได้จำนวนมาก และหลังจากนี้ก็จะดำเนินการกวาดล้างและต้องจับกุมให้ได้ทั้งหมด 


ทหารขับฮัมวี่จับพ่อค้าปลาหมึกทอดถอดเสื้อแดง


ทหาร ใช้กฎอัยการศึก ถอด-ยึดเสื้อแดงสกรีนภาพ จตุพร พรหมพันธ์ แกนนำ นปช. จากพ่อค้าขายปลาหมึกทอด ริมถนนทิพเนตร อ.เมือง เชียงใหม่  อ้างเจตนาปรองดองยุติความขัดแย้ง 
จากกรณีที่ผู้ใช้เฟซบุ๊กชื่อ "กฤษณะ พุ่มสนธิ์" หรือ "อี๊ด เมืองตาก" อดีตผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดตาก เขต 3 และรองประธาน นปช.ภาคเหนือตอนล่าง ได้โพสต์ข้อความเมื่อเวลาประมาณ 14.00 น. ของวันนี้ว่าได้มีเจ้าหน้าที่ทหารในเครื่องแบบ จำนวน 5 นาย ขับรถฮัมวี่เข้าบังคับให้พ่อค้าขายอาหารถอดเสื้อแดงที่สวมใส่
ผู้สื่อข่าวสอบถามไปยังผู้พบเห็นเหตุการณ์ พบว่า เหตุเกิดเมื่อ วันอาทิตย์ที่ 29 มิถุนายน 2557 เวลาประมาณ 11.00 น. ได้มีเจ้าหน้าที่ทหาร 5 นายไม่ระบุชื่อ ยศ ตำแหน่งและสังกัด ขับรถฮัมวี่เข้าประกบตัวบุคคลชื่อนาย ส. (ขอสงวนชื่อและนามสกุล) ซึ่งสวมเสื้อสีแดงมีลวดลายเป็นภาพใบหน้านายจตุพร พรหมพันธ์ แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ขณะกำลังประกอบกิจการขายปลาหมึกทอดย่านถนนทิพเนตร อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่
เจ้าหน้าที่ทหาร ได้ออกคำสั่งให้นาย ส. ถอดเสื้อสีแดงดังกล่าวออกโดยอ้างเหตุว่าเป็นการฝ่าฝืนกฎอัยการศึก และขอความร่วมมือเพื่อความปรองดองลดความขัดแย้งในชาติ  มีการโต้เถียงอยู่เป็นระยะเวลาหนึ่ง  แต่สุดท้ายนาย ส.ก็ยินยอมถอดเสื้อออกโดยไม่มีเสื้อเปลี่ยน  และบุคคลทั้ง 5 นายดังกล่าวได้ยึดเสื้อแดงของนาย ส. เอาไปทันที
แหล่งข่าวที่เชื่อถือได้ระบุว่า  นาย ส. สวมใส่เสื้อแดงทำการค้าปลาหมึกทอดเป็นประจำมานานแล้ว  การที่ทหารมาห้ามใส่เสื้อแดงนั้นรู้สึกว่าเป็นการคุกคามละเมิดสิทธิส่วนบุคคลอย่างยิ่ง
ทั้งนี้ ยังไม่มีรายงานว่ามีการเข้าข่มขู่คุกคามนาย ส. อีกนอกเหนือจากนี้.
๐๐๐๐
ภาพและข้อความข้างล่างจากเฟซบุค “กฤษณะ พุ่มสนธิ์”
"จะพังเพราะลิ่วล้อ..ใช้อำนาจเกินขอบเขต
ผมสดับฟัง ท่านประยุทธ์ จันโอชา ผู้นำประเทศโดย คสช.ทุกประกาศ แม้จะไม่ได้เป็นแฟนคลับแต่ก็ตั้งใจฟังอย่างอดทน เพราะพวกท่านขอร้องให้เรา "อดทน" จะปฏิรูปประเทศไปด้วยกัน ภาพนี้ถ่ายและส่งมาพร้อมคำบรรยายว่า "คุณวสันต์ อาชีพขายปลาหมึกทอด (เชียงใหม่) บังเอิญว่าวันนี้เขาใส่เสื้อที่มีรูปคุณจตุพร พรหมพันธุ์ ไปขายปลาหมึก บังเอิญอีกนั่นแหละเจอทหารลูกน้องท่าน!! ที่อาจจะไม่เข้าใจท่านผู้นำเพราะมัวแต่เข้าเวรยามรึอย่างไรก็มิทราบได้ บังคับให้คุณวสันต์ถอดเสื้อออก และเอาเสื้อเขาไปหน้าตาเฉย "ผมเรียกพฤติกรรมนี้ว่า..ปล้นอาภรณ์นุ่มห่ม" เขาสวมเสื้อมาตัวเดียว

จึงต้องนั่งถอดเสื้อขายปลาหมึกทอด อย่างที่เห็น ด้วยความปรารถนาดี จากพลเมืองที่คิดต่างจากท่านและพยายาม "นิ่งเพื่อชาติให้ท่านบริหาร" ขอเตือนท่านว่า "จะพังเพราะลิ่วล้อ" ที่บ้าอำนาจและใช้เกินขอบเขต ควบคุมทหารเลวเถอะครับ ท่านผู้นำ!! อย่าให้เกิดเหตุเช่นนี้อีก ผมกลัวน้ำผึ้งหยดเดียว..มันไม่หวานเลย"

Soldiers force squid vendor to take off red t-shirt, citing rifts prevention


Five soldiers in Chiang Mai province forced a squid vendor to remove his red t-shirt screened with a face of the red shirt leader Chatuporn Prompan, citing the intention to reconcile and end political conflict. 
 
The man was selling fried squid around 11 a.m. when five soldiers in a Humvee approached him on Thipanet Rd, Mueang Chiang Mai District, and forced him to remove the t-shirt citing the Martial Law. 
 
The vendor had to remove the t-shirt and give it to the military officers to confiscate. 
 
The man said he had been wearing red t-shirt while selling squid for a long time, so when the army forbade him from wearing it, he felt threatened and violated of rights. 
 
 
 

(photo credits: Kritsana Phumson's Facebook)