วันอังคารที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2558

กสทช.สั่งปิด ‘Peace TV - 24 TV’ 7 วัน มีผลบังคับแล้ว




Sun, 2015-04-12 21:12


ฐากร ตัณฑสิทธิ์ เลขาธิการคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ เปิดเผยว่า ช่อง Peace TV ปิดตั้งแต่ 0.01 นาฬิกา ของวันที่ 10 เมษายน 2558 ครบกำหนด 7 วัน ในวันที่ 16 เมษายน 2558 เวลา 24.00 น ส่วนช่อง 24 TV ปิดตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2558 ครบกำหนด 7 วัน ในวันที่ 17 เมษายน 2558 เวลา 24.00 น ทั้งนี้ การปิดดังกล่าว เป็นไปตามมติของคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงและโทรทัศน์ (กสท.) ที่มีมติให้พักใช้ใบอนุญาตของบริษัท พีซ เทเลวิชั่น จำกัด (ช่อง Peace TV) และบริษัท เดโมเครซี่ นิวส์ เน็ตเวิร์ค จำกัด (ช่อง 24 TV) เป็นเวลา 7 วัน

ทั้งนี้ นับแต่วันที่ได้รับหนังสือแจ้งมติ โดยเห็นว่าการออกอากาศรายการมองไกลคิดรอบด้าน รายการเดินหน้าต่อไป และรายการเข้าใจตรงกันนะ ของ Peace TV และรายการ Awakened รายการ New room และรายการ The clear มีเนื้อหาของรายการที่มีลักษณะที่ส่อให้เกิดความสับสน ยั่วยุ ปลุกปั่นให้เกิดความขัดแย้ง หรือสร้างความแตกแยกในราชอาณาจักร ซึ่งขัดต่อประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ 97/2557 ลงวันที่ 18 กรกฎาคม 2557 เรื่องการให้ความร่วมมือต่อการปฏิบัติงานของคณะรักษาความสงบแห่งชาติและการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารต่อสาธารณะ ประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ 103/2557 ลงวันที่ 21 กรกฎาคม 2557

สั่ง 160 สถานีวิทยุยุติออกอากาศ

วานนี้ ฐากร เปิดเผยว่า ขณะนี้มีสถานีวิทยุกระจายเสียง 160 สถานีที่สิ้นสิทธิในการทดลองประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียงตามมติที่ประชุมคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ (กสท.) ครั้งที่ 7/2558 วันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2558 และที่ประชุม กสท. ครั้งที่ 12/2558 วันที่ 30 มีนาคม 2558 เนื่องจากไม่ได้ยื่นขอต่ออายุการทดลองประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียงภายในระยะเวลาที่กำหนด

ทั้งนี้ ให้ผู้ทดลองประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียงที่สิ้นสิทธิการทดลองประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง ยุติการออกอากาศทันที และให้ปฏิบัติตามประกาศ กสทช. เรื่อง ห้ามไม่ให้สถานีวิทยุกระจายเสียงที่ไม่ได้รับอนุญาตทดลองประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียงตามกฎหมายออกอากาศ ลงวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2558 โดยเคร่งครัด หากฝ่าฝืนจะถือเป็นการใช้คลื่นความถี่เพื่อประกอบกิจการวิทยุกระจายสียงและประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียงโดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งเป็นความผิดตามมาตรา 66 แห่ง พ.ร.บ. การประกอบกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ พ.ศ. 2551 อย่างไรก็ตาม ผู้ทดลองประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียงที่สิ้นสิทธิในการทดลองประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียงดังกล่าวอาจยื่นคำขอให้ กสท. พิจารณาทบทวนคำสั่งให้สิ้นสิทธิการทดลองประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียงได้ตามมาตรา 54 แห่ง พ.ร.บ. วิธีการปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539

ตร.ชี้ ‘เอ็ม เสื้อแดง’ ขับแท็กซี่อยู่ กทม. ขณะเกิดเหตุคาร์บอมบ์เซ็นทรัลสมุย





Sun, 2015-04-12 20:46


หลังจากเหตุคนร้ายลอบวางระเบิด บริเวณลานจอดรถชั้นใต้ดินของห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลเฟสติวัลสมุย ถนนเลียบหาดเฉวง อ.เกาะสมุย จ.สุราษฏร์ธานี เมื่อวันที่ 10 เม.ย. ที่ผ่านมา จนนำมาสู่การจับกุมนายนรินทร์ อ่ำหนองบัว หรือ "เอ็ม เสื้อแดง" หลังพบภาพเผยแพร่ “คืนนี้จัดหนักที่สุราษฎร์” ในโซเชียลเน็ตเวิร์กเมื่อวันที่ วานนี้(11 เม.ย.) เพื่อนำมาสอบสวน(อ่านรายละเอียด)

ล่าสุดวันนี้(12 เม.ย.) Voice TV รายงานว่า พล.ต.อ. สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เผยความคืบหน้าการสืบสวน สอบสวน เหตุระเบิดดังกล่าว ยังไม่พบเหตุจูงใจของการก่อเหตุครั้งนี้ โดยตั้งข้อสันนิษฐาน 3 ประเด็น เช่นเดิม คือ การเมือง ความขัดแย้งทางธุรกิจ และแนวร่วมกลุ่มก่อความไม่สงบจังหวัดชายแดนภาคใต้

และ ยังไม่พบความเชื่อมโยงกับ นายนรินทร์ ซึ่งถูกทหารจับกุมเมื่อวานนี้ หลังโพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊กที่น่าเชื่อว่าเกี่ยวโยงกับเหตุคาร์บอมบ์

พล.ต.อ. สมยศ ระบุว่า ทีมสืบสวนสอบสวน มีพยานหลักฐานที่เป็นประโยชน์เพิ่มขึ้นแล้ว ส่วนกรณีของ "เอ็ม เสื้อแดง" อยู่ระหว่างการสอบสวนของฝ่ายทหาร ซึ่งจะส่งผลการสอบสวน มายังเจ้าหน้าที่ตำรวจต่อไป

ขณะที่ เดลินิวส์ รายงานด้วยว่า พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวเสริมว่า จากการควบคุมตัว นายนรินทร์ โดยเจ้าหน้าที่มีการสืบสวนสอบสวน ผู้ต้องสงสัยยังให้การปฎิเสธ และได้มีการปิดเฟซบุ๊กไปนานแล้ว และไม่ทราบว่าใครเป็นคนทำเฟวบุ๊กอันนี้ขึ้นมาใหม่ เพราะในช่วงวันที่เกิดเหตุไม่ได้เดินทางไป จ.สุราษฎร์ธานี

ทั้งในวันเกิดเหตุ ขับแท็กซี่อยู่ในกรุงเทพฯ ภายหลังเจ้าหน้าที่ตรวจสอบประวัติ นายนรินทร์ เคยเป็นกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือ นปช. แต่ไม่ใช่กลุ่มฮาร์คคอ และไม่เคยมีประวัติก่อเหตุการณ์รุนแรงใด ๆ อีกทั้งเจ้าหน้าที่ได้ทำการตรวจสอบไปยังเฟสบุ๊ค ข้อความนี้เป็นการทำเฟสบุ๊คขึ้นมาใหม่ ขณะนี้เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างการตรวจสอบเชิงลึกผู้ที่กระทำการโพส แต่จากการสอบปากคำเชื่อได้ว่านายนรินทร์ ไม่ได้เป็นผู้โพสข้อความเอง ขณะนี้เจ้าหน้าที่ทหารยังควบคุมตัวนายนรินทร์ เพื่อสืบสวนสอบสวนคดีนี้ต่อไป

คุยกับแม่สรรเสริญ ศรีอุ่นเรือน ผู้ต้องหาสูงวัย คดีปาระเบิดลานจอดรถศาลอาญา



Mon, 2015-04-13 16:22

สรรเสริญ ศรีอุ่นเรือน ผู้ต้องหาคดีปาระเบิดใส่ลานจอดรถศาลอาญาเมื่อวันที่ 7 มี.ค. 58 ยังคงถูกควบคุมตัวอยู่ในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ เป็นผลัดที่ 2 โดยทุกๆ 12 วัน เจ้าหน้าที่ตำรวจจะนำตัวเขาและพวกบางส่วนมาฝากขังที่ศาลทหาร จนครบ 7 ผลัดอัยการทหารจึงจะมีคำสั่งฟ้องหรือไม่ฟ้อง

คดีปาระเบิดฯ มีผู้ต้องขังถูกจับกุมและคุมขังที่เรือนจำมากกว่า 10 คน ในจำนวนนี้มี i2 คนที่ถูกยิงได้รับบาดเจ็บในที่เกิดเหตุ มี 1 คนที่เจ้าหน้าที่อ้างว่าเป็นผู้โอนเงินบงการ นอกจากนี้จำนวนหนึ่งเป็นภรรยาของผู้ต้องหาที่เจ้าหน้าที่กล่าวหาว่ามีส่วนรู้เห็นเนื่องจากอยู่ในไลน์กลุ่มเดียวกัน คนหนึ่งในนั้นตั้งครรภ์ 6 เดือน บางส่วนเป็นบุคคลวงนอกอื่นๆ ที่อยู่ในไลน์กลุ่มเช่นกัน บางส่วนเกี่ยวพันกับการโอนเงินต่อๆ กันมา และอีกบางส่วนเกี่ยวพันเพราะมีการจัดเสวนาที่จังหวัดขอนแก่น ซึ่งเจ้าหน้าที่กล่าวหาว่าเป็นการประชุมวางแผน สรรเสริญถูกจัดอยู่ในกลุ่มหลังนี้ ทั้งหมดไม่ได้รับการประกันตัว

สรรเสริญ และชาญวิทย์ จริยานุกูล เป็นสองผู้ต้องหาที่อายุมากที่สุด คือ 63 ปี และ 61 ปี ตามลำดับ ทั้งคู่เป็นอดีตสหายที่เคยมีแนวคิดสังคมนิยม มักชอบบรรยายแนวคิด ทฤษฎีต่างๆ รวมถึงการวิเคราะห์การเมืองให้ผู้คนฟัง สรรเสริญเคยจัดตั้งพรรคการเมืองแต่ปิดตัวลงเพราะหาสมาชิกไม่ทันตามกำหนด ในวันฝากขังที่ศาลทหารเขาทั้งคู่ดูเป็นผู้ต้องหาสูงวัยที่สุดกระตือรือร้นที่สุดในห้องขังของศาลทหาร พูดคุยกับผู้มาเยี่ยมไม่หยุดหย่อน สภาพจิตใจยังคงแจ่มใส แม้จะอยู่ในชุดนักโทษและต้องใส่กุญแจมือที่ข้อเท้าแทนโซ่ตรวน แม้ทั้งคู่จะเรียนที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ในช่วงไล่เลี่ยกัน แต่กลับมารู้จักกันจริงจังสักหน่อยหลังรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 เนื่องจากออกมาต้านรัฐประหารเหมือนๆ กัน ชาญวิทย์และสรรเสริญถูกจับแยกให้อยู่คนละแดน ชาญวิทย์ไม่มีญาติมาเยี่ยม ขณะที่สรรเสริญยังคงมีครอบครัวคอยดูแลอย่างอบอุ่น

ทั้งคู่รวมถึงผู้ต้องหาหนุ่มอีก 2 คน เป็นกลุ่มคนแรกๆ ที่กล้ายืนยันกับทนายความว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างควบคุมตัวโดยเจ้าหน้าที่ทหาร จากนั้นศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนจึงได้ออกแถลงการณ์เรียกร้องให้มีการสอบสวนและยุติการซ้อมทรมานผู้ต้องหา เนื่องจากที่ผ่านมาผู้ต้องหาและครอบครัวที่ถูกละเมิดสิทธิในลักษณะดังกล่าวมักกลัวผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับครอบครัว กับคดี หรือกระทั่งกับความปลอดภัยของตนเอง อย่างไรก็ตาม ทั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจและทหารต่างออกมาปฏิเสธกรณีดังกล่าวแล้ว โดยตำรวจระบุว่าสอบสวนอย่างโปร่งใส และผู้ต้องหาไม่มีใครแจ้งว่าถูกทำร้ายหลังรับตัวจากทหาร


แม่ของสรรเสริญ อายุ 88 ปี ยังคงมีสุขภาพแข็งแรงพอจะเดินเหินได้ เธอพยายามมาเยี่ยมเขาที่เรือนจำทุกสัปดาห์ โดยความช่วยเหลือในการเดินทางจากลูกชายคนเล็ก

สรรเสริญอาศัยอยู่กับแม่ที่นครชัยศรี จังหวัดนครปฐมมายาวนาน เขาไม่มีครอบครัวและยึดอาชีพขับรถแท็กซี่มานานกว่า 10 ปี

ครั้งหนึ่งระหว่างที่แม่ของสรรเสริญมาเยี่ยมเขาที่เรือนจำ เธอเล่าถึงลูกชายให้ฟังว่า เธอเป็นห่วงสุขภาพลูกชายอย่างมากเนื่องจากเขาเป็นโรคหลอดลมอักเสบจนแทบไม่มีเสียงพูด และเคยผ่าตัดใส่เหล็กในร่างกายหลังเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์เมื่อนานมาแล้ว นิ้วมือของเขางอไม่ได้และต้องทำกายภาพบำบัดเรื่อยมา จนญาติแนะนำให้ทำอาชีพขับรถแท็กซี่เพราะจะได้บีบพวงมาลัยรถ กายภาพบำบัดไปด้วยในตัว
“ตัวเขาก็มีเหล็กใส่ ตอนนั้นขับจักรยานมาเยี่ยมญาติ ขากลับรถบรรทุกจอดอยู่ไม่เปิดไฟ เลยชน นานแล้ว ทีนี้มันต้องกายภาพเรื่อยๆ อาเขาเลยแนะนำให้ขับรถ”

แม่ยังเล่าว่า สรรเสริญเป็นคนใจดีและชอบช่วยเหลือผู้อื่น เขามักให้คนหยิบยืมเงินเป็นประจำ ทำบุญกับโรงพยาบาลปีละเป็นหมื่น บางทีในการขับรถแท็กซี่เขาก็ไม่ได้เงิน เพราะเด็กนักเรียนโบกแล้วขอขึ้นรถฟรีต้องรีบกลับบ้าน ซึ่งเขาก็ยินดีไปส่ง

“เขาไม่มีครอบครัว กลับมาก็มาอยู่กับแม่ ตอนเรียนกู้เขา จบมาก็ทำอะไรเล็กๆ น้อยๆ ใช้หนี้เรื่อยมา แล้วเขาก็มาขับรถนี่ล่ะ เขาบอกว่าผมไม่ไปไหนแล้ว อยู่เลี้ยงแม่ ตอนนี้อยู่กันสามคน กับน้องคนเล็กอีกคนหนึ่ง”

“เขาห่วงแม่ เวลากลับมาจะมีซ้ายขวา กับข้าวทั้งคนทั้งหมา เช้ามาก็ใส่บาตร กลับมาเขาก็ทำกับข้าวเรียบร้อย ถ้าวันแปดค่ำกับวันพระเขาจะทำมังสวิรัติ ใส่แต่ผักกับซีอิ๊ว ทำให้แม่กิน เขาก็กินด้วยกัน แล้วไปนอน ถึงเวลาก็อาบน้ำอาบท่าออกไปขับรถ”

“ครอบครัวเราไม่ได้ร่ำรวย ก็พอได้กิน ถ้าเหลือกินเหลือใช้เราก็ทำบุญทำทาน ทอดกฐินทุกปี เขาชอบด้วย นี่เขาให้แม่ทำบุญที่โรงพยาบาล เขาเรียกเป็นมูลนิธิอะไรนะ ปีนึงก็หมื่นนึง ทีนี้เขาบอก แม่ ผมไมได้ไปนะ แม่ไปทำให้ที เราก็ต้องทำตามลูก”

“แม่ไม่ค่อยรู้เรื่องอะไร รู้แต่ว่าลูกเราเป็นคนดี ไม่ได้เกเรเลย คนเขาก็ว่าอย่างนู้นอย่างนี้ มาว่าแม่ไปปล่อยให้ลูกทำอย่างนี้ได้ยังไง ลูกแม่เป็นคนดี ไม่เป็นอย่างนี้ ไม่ทำแน่นอน ปลาซักตัวนึงเขายังไม่ยอมทุบเลย”

“คงแล้วแต่เวรกรรม แม่ก็ทำใจ ลูกของแม่ไม่ผิดจะให้ทำยังไง จะทำให้ตายเขาก็ไม่รับ เพราะเขาไมได้ทำผิด เขาเป็นแบบนั้น พูดความจริง แล้วเขาเอาแต่ช่วยเหลือคน ที่ไปพูดนั่นเขาก็พูดเพราะหวังดีทั้งนั้น ไม่ได้ไปกล่าวร้ายใคร ไม่ได้ไปมั่วสุมอย่างที่เขาว่า เขาไม่ใช่คนพรรค์นั้น เราก็เย็นใจว่าเขาเป็นคนดี ประวัติเขาด่างพร้อยไม่มีเลย สุรายาเมาไม่มี น้ำอัดลมเขายังไม่กิน กินแต่น้ำอุ่น เขาจะไปทำอย่างนั้นได้ยังไง”

“คนบอกว่าที่เกิดอุบัติเหตุต้องทำหลักฐานไว้ ทางการบอกว่าทหารไม่มีซ้อม เขาล้มไปเอง แม่ก็เสียใจ ทำไมทำแบบนี้ ตอนแรกไม่แน่ใจ แต่คนที่ไปหาแม่เขาบอกว่าอยากจะไปประกันจะได้ออกมารักษาตัว แม่ก็ตกใจ ก็โดนจริงๆ วันสองวันเขาก็เปิด เขาเปิดให้แม่ดูที่หน้าอกมีรอยชก เขาว่าตั้งสามสิบกว่าครั้ง จะให้รับให้ได้ เขาบอกว่าผมไม่ได้ทำ ถ้าทำก็รับไปหมดแล้ว รอยไฟจี้เป็นดำๆ จุดๆ ก็มี แต่เรื่องนี้มันเกี่ยวกับการเมือง แม้แต่พี่น้องก็ยังไม่มาหาที่บ้าน เขากลัว”

ทุกวันนี้แม่ของสรรเสริญยังคงพยายามมาเยี่ยมลูกทุกสัปดาห์และโทรฝากฝังเพื่อนๆ ให้ช่วยเข้าไปเยี่ยมเยียนดูแล เนื่องมีเหตุขัดข้องอันไม่ทราบเหตุผลแน่ชัดทำให้สรรเสริญและชาญวิทย์ไม่สามารถเบิกเงินในบัญชีเรือนจำที่มีเพื่อนฝูงฝากให้เพื่อนำมาซื้อของใช้ของกินในเรือนจำได้

“ถ้าใครเข้าไปเยี่ยมก็จะฝากคนนั้นซื้อของกินให้พี่เขาหน่อย ไม่รู้ทำไมเงินในบัญชีเขาถึงเบิกไม่ได้ จริงๆ เขาเป็นคนกินง่ายมาก แต่ถึงขั้นเขาเอ่ยปากว่ากินอาหารในเรือนจำจัดให้ไม่ไหว เงินก็เบิกใช้ไม่ได้ ผมเลยเป็นห่วงเขามาก” น้องชายของสรรเสริญกล่าว