ส่วนของผลงานหนังสือที่ออกมาเสี้ยมเยาวชน ในชาติไทย
รายชื่อโรงเรียน ที่ได้ถูกบังคับให้ต้องเรียนวิชา"แดงเผาบ้านเมือง"
จดหมายน้อยถึงบาทหลวง "ผมรู้สึกสมเพชตัวเอง…..ที่เกิดมาเป็นคาทอลิก...."
สวัสดีครับคุณพ่อ
ไม่ได้ติดต่อคุณพ่อมานาน
ไม่ทราบตอนนี้ไปประจำอยู่ที่ไหนแล้ว
และยังสบายดีอยู่ใช่ไหมครับ
ที่ผมอีเมล์มาอยากบอกคุณพ่อ
อยากระบายความในใจให้ฟัง
ว่าผมรู้สึกหดหู่ใจและสมเพสตัวเองจริงๆ
ที่เกิดมาเป็นคาทอลิกแต่ไม่สามารถช่วย
พี่น้องคนไทยที่ถูกอำมาตย์ชั่วและรัฐบาลเลว
กดขี่ ข่มเหงรักแก อย่างไร้ความเป็นธรรมได้
และผมก็ไม่เคยเห็นผู้นำคาทอลิกท่านใดไม่ว่าระดับไหน
ยึดอกออกมาประกาศจุดยืน เพื่อนำความเป็นธรรม
ให้กับสังคมไทยและปกป้องผู้ถูกกดขี่
ไม่ว่าผู้นั้นจะร่ำรวยหรือยากจน
ไม่ว่าผู้นั้นจะนับถือศาสนาใด
ผมไม่เคยเห็นจริงๆ....
ในความรู้สึกของผม....
ผู้นำคาทอลิกในประเทศไทยช่างขลาดกลัวเสียจริงๆ
นอกจากไม่มีผู้นำคาทอลิกท่านใด
ยืดอกออกมาช่วยสังคมที่ถูกกดขี่แล้ว
หนำซ้ำ กลับมีสถาบันคาทอลิกบางแห่ง
ยกย่อง เอาใจรัฐบาลเลวและผู้ปกครองชั่วมาโดยตลอด
ยกตัวอย่าง ABAC โพล ที่บิดเบือนข้อเท็จจริง
เลียแข้งเลียขาอำมาตย์และรัฐบาลในการทำโพลแทบทุกครั้ง
เพราะไม่เคยเห็นหัวประชาชนคนส่วนใหญ่ของประเทศ
เพราะไม่เคยมีความเป็นธรรมอยู่ในหัวใจ
สถาบันการศึกษาในเครือคาทอลิกแห่งนี้
จึงขาดสำนึกและไร้มโนธรรมของความถูกต้องชั่วดี
ร่วมมือกับผู้ปกครองชั่วๆ อำมาตย์เลวๆ
ย่ำยี่กดขี่รังแกผู้ยากไร้ ซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ
ด้วยโพลที่บิดเบือน สร้างความชอบธรรมให้กับผู้ปกครองไทย
นำไปอ้างอิงเพื่อเหยียบย่ำประชาชนต่อไป
มันช่างน่าสมเพชจริงๆ
สถาบันการศึกษาคาทอลิกสามารถทำเรื่องเลวๆแบบนี้ได้
ABAC ซึ่งเป็นสถาบันการศึกษาในเครือคาทอลิก
ทำโพลออกมาแต่ละครั้งขัดแย้งกับข้อเท็จจริง
และฝืนความรู้สึกของประชาชน
และมันจะนำไปสู่การเกลียดชังในที่สุด
โพลที่ทำออกมา ปลิ้นปล้อนสิ้นดี
มันน่าละอายที่สถาบันการศึกษาในเครือข่ายของคาทอลิก
ปลิ้นปล้อนหลอกลวงประชาชนเพียงเพื่อเลียแข้งเลียขาฝ่ายปกครอง
หรือว่าองค์กรคาทอลิกในประเทศไทย
มิได้ตั้งขึ้นและคงอยู่เพื่อประชาชน...แต่เพื่อฝ่ายปกครองเท่านั้น
ไม่ว่าฝ่ายปกครองจะเลว หรือชั่วช้าเพียงใด ก็ต้องเลียแข้งเลียขา
สนับสนุนอุ้มสม เพื่อให้สมประโยชน์กันไป
นอกจากเรื่องโพลของ ABAC
คราวนี้มาถึงตำราเรียนของโรงเรียนในเครือข่ายคาทอลิก
ที่ช่างหาญกล้าเขียนตำราเรียนใส่หัวนักเรียนว่า
คนสื้อแดงเผาบ้านเผาเมือง
ทั้งๆที่ข้อเท็จจริงยังไม่เป็นที่ยุติ
และศาลก็ยังมิได้พิจารณาตัดสินคดีความใด ๆ
คดียังอยู่ในขั้นการสืบสวนสอบสวน
และในปัจจุบันความจริงก็ค่อยๆปรากฎขึ้นเรื่อยๆว่า
คนเสื้อแดงที่มีเพียงมือเปล่าๆเป็นผู้ถูกใส่ร้าย
แต่โรงเรียนในเครือข่ายของคาทอลิก
กลับตัดสินและบันทึกไว้ในตำราเรียน
ว่าคนเสื้อแดงเผาบ้านเผาเมือง
โรงเรียนในเครือข่ายคาทอลิก โปรดสำเหนียก
ใครแต่งตั้งท่านให้เป็นผู้พิพากษาตั้งแต่เมื่อใด
เราชาวคาทอลิกได้รับการสั่งสอนมาตั้งแต่เล็กมิใช่หรือ
ว่าอย่าพิพากษาผู้อื่น เพราะสิทธิในการพิพากษานั้น
เป็นของพระผู้เป็นเจ้าเท่านั้น
และเราก็ได้ร้บการสั่งสอนมาตั้งแต่เล็กมิใช่หรือว่า
“จงรักผู้อื่นเหมือนรักตัวเราเอง”
การกระทำของสถาบันคาทอลิกที่ผมยกตัวอย่างมาข้างต้น
เป็นการรักผู้อื่นเหมือนรักตัวเราเอง
อย่างที่พระเยซูเจ้าได้ทรงสอนไว้หรือไม่
คุณพ่อคงมีคำตอบ....
เรากำลังมองเห็นเศษผงในตาของผู้อื่น
แต่กลับไม่มองดูท่อนซุงในตาของตนเอง
คุณพ่อว่าจริงไหม
และที่สำคัญ
พระเยซูเจ้าได้ทรงตรัสไว้ว่า
เมื่อการพิพากษาครั้งสุดท้ายมาถึง
พระผู้เป็นเจ้าจะไม่ทรงถามท่านว่า ท่านได้ทำอะไรมาบ้างในโลกนี้
แต่จะทรงถามว่า
ท่านได้ปฏิบัติต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกันอย่างยุติธรรมหรือไม่
ตัวอย่างที่ผมยกมาข้างต้น
คุณพ่อว่า สถาบันคาทอลิกได้ปฎิบัติต่อเพื่อนมนุษย์อย่างยุติธรรมหรือไม่
จึงระบายมาให้ฟัง
ด้วยความเคารพ
“คาทอลิกไทยในอเมริกา”
9 เมษายน 2554
ต่อกรณีนี้ ฝ่ายรัฐบาลเองอย่างน้อย 3 คนมีท่าทีหนุน และได้ให้ข้อคิดเห็นในการตำเรียน ฉบับเสี้ยมเยาวชน คือ
นายสุเทพ
"...การพูดความจริงสมควรต้องทำ เพื่อไม่ให้เกิดความเข้าใจผิดในหมู่ประชาชน.."
นายชินวรณ์ รมว.ศึกษาธิการ กล่าวตอนหนึ่งว่า....
"...การ ที่โรงเรียนนำสถานการณ์จริงมาสอน เป็นเรื่องที่น่าสนับสนุน เพราะนักเรียนสามารถนำไปเปรียบเทียบและวิเคราะห์ ยืนยันว่าเรื่องดังกล่าวไม่ได้อยู่ในตำราเรียนบังคับ แต่เป็นเรื่องที่โรงเรียนสามารถกำหนดเนื้อหาตามสถานการณ์ ไม่จำเป็นต้องทบทวน
นายชินวรณ์กล่าวว่า แต่ที่น.พ.เหวงออกมาพูด คงไม่ดูข้อเท็จจริงทั้งหมด เพราะการเรียนการสอนในยุคปัจจุบันต่างจากยุคน.พ.เหวง โรงเรียนนำสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริงมาสอนนักเรียนได้ และในหลายโรงเรียนยกเหตุการณ์ที่เกิดเดือนเม.ย.2553 มาให้นักเรียนวิเคราะห์ เช่น นำเหตุการณ์สึนามิที่ญี่ปุ่นมาจัดทำเป็นหลักสูตรเสริมให้นักเรียนค้นคว้า ข้อมูลตามกรอบ 30% ที่ต้องการให้นักเรียนเข้าใจรู้เท่าทันการเปลี่ยนแปลง แต่ น.พ.เหวงอาจเกิดอุปาทาน เพราะคิดจะตั้งโรง เรียนเสื้อแดง และคิดหลักสูตรที่จะสร้างแต่ความขัดแย้งตามความเชื่อของตัวเอง ดังนั้นก่อนประ ณามคนอื่นควรทบทวนตัวเอง และดูว่ากระบวนการเรียนรู้ของสังคมที่หลากหลายด้วยและควรเปิดใจกว้าง..."
และนายอภิสิทธิ์ " ที่กล่าวตอนท้ายว่า....
"...แต่ถ้าเป็นข้อเท็จจริงก็เป็นข้อเท็จจริง..."
เมื่อถามว่าฝ่ายค้านระบุเป็นการบิดเบือนเนื้อหา นายกฯ กล่าวว่า "...ยังไม่ทราบว่ามีการบิดเบือนตรงไหนอย่างไร..."
ล่าสุด สช.เบรก-โรงเรียนโละตำราแล้ว
นาย ชาญวิทย์ ทับสุพรรณ เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาเอกชน(กช.)กล่าวว่า ทางสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน(สช.) ยังไม่ทราบข้อมูลในเรื่องนี้ ยืนยันว่าหลักสูตรที่สช.ใช้ในการจัดการเรียนการสอน ก็เป็นไปตามหลักสูตรที่ออกโดยกระทรวงศึกษาธิการ(ศธ.) โดยหลักสูตรที่เน้นการสอนวิชาสังคมและประวัติศาสตร์ ไม่ได้เน้นเรื่องความมั่นคงทางการเมือง หรือต้องการยั่วยุส่งเสริมให้ผู้เรียน ต้องไปเข้าข้างฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดอยู่แล้ว ทั้งนี้ หนังสือวิชาประวัติศาสตร์ที่กลุ่มคนเสื้อแดงนำมาอ้างถึงนั้น ตนเห็นว่าน่าจะมาจากหนังสือสอนเสริมที่ทางโรงเรียนจัดทำขึ้นเองมากกว่า อย่างไรก็ตามหากสช.ตรวจสอบพบว่าเป็นการจัดทำขึ้นโดยโรง เรียนจริงจะดำเนินการเอาผิดต่อไป
ต่อมาเวลา 15.00 น. ที่กระทรวงศึกษาธิการ(ศธ.) นายชาญวิทย์กล่าวอีกครั้งว่า ฝ่ายการศึกษา อัครสังฆมณฑล กรุงเทพฯ เป็นกลุ่มร.ร.คริสต์ในเครืออัครสังฆมณฑลจำนวนหนึ่ง อาทิ ร.ร.มาแตร์เดอีวิทยาลัย เซนต์ฟรังซีสซาเวีย คอนแวนต์ เป็นต้น ซึ่งผู้แทนและครู ได้มีการรวมตัวกันทำหนังสือเล่มดังกล่าวขึ้น แต่กลุ่มผู้แทนได้ชี้แจงกับตนในเบื้องต้น ว่าได้ถอดถอนบทเรียนดังกล่าวออกไปเรียบร้อยแล้ว อย่างไรก็ตามในวันพรุ่งนี้(8 เม.ย.) ตนได้เชิญผู้แทนและครูกลุ่มร.ร.คริสต์ในเครืออัครสังฆมณฑล มาชี้แจงที่ศธ.