วันศุกร์ที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

อยากรู้ไหม ? ใครตัวการล้มเจ้า ?


อยากรู้ไหม ? ใครตัวการล้มเจ้า ?
สอาด จันทร์ดี ... เขียน
อำมาตย์และพรรคประชาธิปัตย์พูดกรอกหูประชาชนว่า เสื้อแดงและทักษิณล้มเจ้า พูดซ้ำซากกรอกใส่หูตลอดทั้งปี จนทำให้ผู้คนบางกลุ่มเกิดความรู้สึกคล้อยตาม ดังจะเห็นได้จากการแก้ไข รธน. ก็ได้เกิดปัญหา เพราะศาลรัฐธรรมนูญก็ยังเข้าใจว่าเป็นการ “ล้มล้างระบอบการปกครอง” ?!

ศาลรัฐธรรมนูญแท้ ๆ ยังเข้าใจร้ายแรงขนาดนั้น

ความหมายของคำว่าล้มล้าง “ระบอบ” หมายถึงการ “ล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์” ซึ่งเป็นข้อกล่าวหาตรงกับข้อกล่าวหาดั้งเดิมที่ฟาดใส่พรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน และพรรคเพื่อไทยจนได้กลายเป็นเหตุทำให้เกิดความบาดหมางอย่างใหญ่หลวงระหว่างคนไทยต่อคนไทยด้วยกัน

สถานการณ์ในวันนี้ ใกล้นองเลือดเข้าไปทุกที ?!

         ปัญหาเกิดจากข้อกล่าวหาอันแสนจะสะเทือนใจ เพราะว่าข้อกล่าวหา “ล้มล้างสถาบัน” มันเป็นข้อกล่าวหาที่คนกลุ่มหนึ่งสร้างขึ้นมาเพื่อหวังผลทางการเมือง ที่มุ่งหวังจะรักษาอำนาจเผด็จการเอาไว้ให้ชนชั้นของตน โดยมิได้ใส่ใจว่าจะเกิดเหตุร้ายกับประเทศชาติและประชาชน ข้อกล่าวนี้ยังคง “ยืนทะมึน” เป็นปัญหาเผชิญหน้ากันอยู่ระหว่างพรรคเพื่อไทยที่เป็นรัฐบาล กับพรรคประชาธิปัตย์และพวกอำมาตย์โบราณที่เป็นฝ่ายค้านมันยืนทะมึนพร้อมที่จะเกิดการห้ำหั่นกันให้ตายดิ้นไปข้างหนึ่ง ตัวการที่จะกระทำให้เกิดการต่อสู้กันขึ้นได้แก่ศาลรัฐธรรมนูญ

ตัวผมรู้สึกแปลกใจว่าเหตุไร สื่อในประเทศไทยจึงไม่เสนอความจริงให้ประชาชนได้เข้าใจในสิ่งที่ถูกต้อง ทำไมสื่อจึงไม่ชี้ลงไปว่าข้อกล่าวหาทั้งหมด มันเป็นการ “กุขึ้น” เพื่อจะให้เกิดเหตุร้าย เหตุไรพวกสื่อจึงพากัน “นิ่งเฉย” ทำเป็นทองไม่รู้ร้อนอยู่ได้ จนอยากจะเดาว่าสื่อเองก็ต้องการให้คนไทยฆ่ากันเองอะไรทำนองนั้น ใช่ไหมเล่า ?

ผมสงสัยต่อไปว่าเหตุไร สื่อทั้งหลายจึงไม่ค้นหา “ความจริง” ว่าใครกันแน่คือตัวการล้มเจ้า มันผู้นั้นคือ พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร ใช่ไหม ? หรือว่าเป็นการกระทำของ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี ใช่ไหม ? หรือว่าเป็นการกระทำของพรรคประชาธิปัตย์ ?
ผมอยากกราบเรียนกับท่านว่า ผมเชื่อว่า “มีคนคิดและวางแผนล้มเจ้าจริง” แต่ไม่ใช่ พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร หากแต่เป็นคนอื่น คนที่ล้มเจ้าตัวจริง คือใคร...ท่านอ่านไปอีกนิดเดียว ท่านก็จะได้รับรู้

ผมขอเริ่มจุดประเด็นเอาไว้ ณ ตรงนี้ว่า “ผมเคยพูดไว้ในที่หลายแห่ง” เช่นไปพูดที่วัดสัมพันธวงศ์ ย่านเยาวราช กรุงเทพมหานคร นอกจากนี้ก็ยังได้พูดออกอากาศแพร่ภาพทางทีวีดาวเทียม DDTV ของมหาเถรสมาคม และพูดในที่อื่นๆอีกหลายครั้ง โดยผมได้กล่าวว่า “โปรดอย่าบิดเบือน” ต่อไป เลยว่าคนเสื้อแดงล้มเจ้า แล้วผมก็เปิดเผยตัวการล้มเจ้าตัวจริงได้แก่ “กระทรวงศึกษาธิการ” กับอำมาตย์ตัวร้าย ?!

คำพูดของผมที่พูดออกไปหลายครั้งหลายหน ไม่เคยมีท่านผู้ใดให้ความสนใจ สื่อทั้งหลายก็ไม่ช่วยเก็บเอามาวิจารณ์ ตรงกันข้าม ยังคงตั้งหน้าตั้งตากล่าวหาคนเสื้อแดงว่าเป็นพวกล้มเจ้าตะพึด จริงไม่จริง โปรดอ่านดู ถ้าผมเขียนผิด หรือว่าเขียนใส่ร้ายป้ายสี ผมยอมให้นรกลงหัว ร้อยขุม พันขุม ?

ผมตัดสินใจเขียน “อยากรู้ไหม ? ใครตัวการล้มเจ้า” ? ก็เพื่อจะได้บอกความจริงด้วยการ ฟันธงลงไปให้รู้กันเสียทีว่า “กระทรวงศึกษาธิการ” ของประเทศไทยนี้แหละคือตัวการล้มเจ้า
ท่านครับ เมื่อผมเขียนออกมาอย่างนี้ ก็จำเป็นที่จะต้อง “ไขปริศนา” ให้เห็นเต็มตา ดังนี้



ในประเทศไทยได้มีคนอยากล้มเจ้าปะปนอยู่ในหมู่ของคนชั้นสูง โดยเฉพาะได้แก่พวกเศรษฐี มหาเศรษฐี รวมทั้งพวกอำมาตย์ใหญ่ที่อยากช่วงชิงราชบัลลังก์ คนพวกนี้ได้รวมหันกันวางแผนล้มเจ้าผ่านกระบวนการ “การศึกษา” ของชาติ ด้วยวิธีการซ่อมซ่อนยาวนาน รอคอยโอกาส

              ดังนั้น จึงพากันไม่บรรจุหลักสูตรประวัติศาสตร์ราชวงศ์ของชาติให้ลูกหลานได้ศึกษาเล่าเรียน เช่นไม่มีการนำพาเอาประวัติศาสตร์ราชวงศ์สุโขไทย ราชวงศ์สมัยกรุงศรีอยุธยา มาเป็นบทเรียน จนเป็นเหตุทำให้ประชาชนในชาติไม่มีความรู้ความเข้าใจ (อันดีงาม)ในประวัติศาสตร์แห่งชาติของตน

               พร้อมกันนั้นก็ได้ “ลิดรอน” หลักสูตรพระพุทธศาสนา ลิดรอนหลักสูตรวิชาศีลธรรม หน้าที่พลเมืองไทย จนเป็นเหตุให้คนไทยไม่รู้ความยิ่งใหญ่ในพระพุทธศาสนา ทั้งๆที่เป็นพระพุทธศาสนาประจำชาติ ซึ่งคนในชาติไม่มีวันเข้าใจพุทธที่ถ่องแท้ ดังที่ได้พบเห็นในปัจจุบัน

                 ผมได้อธิบายให้ผู้คนฟังหลายครั้งว่า ผมเคยได้ยิน “พวกอำมาตย์” สนทนากันที่ซอยหมอเหล็ง ว่าทำอย่างไร จึงจะล้มล้างระบอบการปกครองได้ ? พวกเขาพูดกันว่าล้มล้างพระเจ้าแผ่นดินไทยนี้แสนยาก

เนื่องจากประชาชนพสกนิกรทั้งแผ่นดินรักและเทิดทูนพระองค์ท่านราวกับเทพเจ้า ใครขืนไปแตะมีหวังหัวขาด ...แล้วคนหนึ่งก็พูดว่า “คงจะต้องหาหนทางทำให้คนไทยทะเลาะกับเจ้าให้ได้” ถ้าวันไหน เจ้ากับประชาชนทะเลาะกัน วันนั้น คือวันสิ้นสุดสถาบันพระมหากษัตริย์ใกล้เข้ามา

ท่านผู้อ่านครับ ผมเคยเขียนบอกเล่าอย่างนี้หลายครั้ง โดยผมได้บอกว่าผมเอาเรื่องนี้เล่าให้คุณพี่ทองทิว สุวรรณทัต (นักหนังสือพิมพ์) ได้รับฟัง แล้วได้นำเอาไปเล่าต่อให้พลเอก ทวนทอง สุวรรณทัต แต่สุดท้ายก็ไม่มีอะไรเคลื่อนไหว

จนกระทั่งได้ยินพันธมิตรประกาศในทำเนียบรัฐบาลว่า “พวกเขามีความจงรักภักดีมากกว่าใคร” ได้ทำให้ผม ถึงบางอ้อ...”อ้อนี้ไง..ตัวการล้มเจ้าปรากฏตัวแล้ว” หลังจากนั้นก็ได้ถึงบางอ้อมากขึ้น เมื่อได้พบเห็นป้ายประกาศของพรรคภูมิใจไทย (เนวิน ชิดชอบ) ระบาดไปทั่วอีสาน ว่าเป็นพรรคที่จงรักภักดีเต็มเปี่ยมและยังได้พบประกาศของพรรคประชาธิปัตย์ที่ภาคใต้อีกด้วย

ท่านครับ ผมขอสรุปว่า คนที่จะล้มเจ้ามีมานาน ล้วนแต่เป็นพวกอำมาตย์ใหญ่ทั้งนั้น การที่ไม่ยอมบรรจุหลักสูตรการศึกษา...นี้แหละ คือการวางแผนล้มเจ้าแบบถอนรากถอนโคน ! และเช่นเดียวกัน การที่ไม่ยอมบรรจุเอาไว้ในรัฐธรรมนูญว่าศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ ก็เป็นมาตรการ “สุดท้าย” ที่จะล้มล้างระบอบการปกครอง (อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นองค์พระประมุข) และหากประเทศไทยหันไปนับถือพระศาสนาอื่น (เมื่อใด) เมือนั้น ท่านจะได้พบกับความวิบัติย่อยยับอย่างไม่เคยมีมาก่อน จะเกิดขึ้นกับชนชาติไทย

วัดวาอารามจะถูกทำลายเกลี้ยง ?! วัดพระแก้วมรกต จะไม่เหลือ
            ดังตัวอย่างพระพุทธรูปที่หุบเขาบาบิยัน (อัฟกานิสถาน) ยังต้องเอาระเบิดไดนาไมท์ไปทำลายทิ้ง แล้วประเทศไทยจะมีอะไรเหลือ (รวมทั้งสถาบันพระมหากษัตริย์) อันเป็นที่เทอดทูนจะสูญสิ้นไป

             ขอโทษ...ขนาดประเทศไทยยังไม่เปลี่ยนศาสนาถึงขนาดนั้น หากเป็นแต่เพียง “นายอำเภอ” กับผู้ว่าราชการจังหวัดไม่ใช่พุทธ ก็ยัง “ขนพระพุทธรูป” ออกจากห้องทำงาน เห็นไหมเล่า เป็นรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศ และกระทรวงมหาดไทย (คราวนั้น) ปรากฏว่าพระพุทธรูปไม่เหลืออยู่ในห้องทำงาน เพราะว่าถ้ามีพระพุทธรูป รัฐมนตรีนั่งทำงานไม่ได้

              ผมเขียนไขปริศนา “ตัวการล้มเจ้า” ด้วยความหวังว่าข้อเขียนของผมจะช่วยคลี่คลายตัวปัญหาที่กำลังคุกคามความสงบสุขของประชาชน เพื่อจะให้ผู้คนในแผ่นดินได้รู้ความจริงว่าตัวการล้มตัวจริงคือใคร อยู่ที่ไหน อยู่ไกลอยากตัวของท่านไหม ? ผมหวังว่าข้อเขียนเรื่องนี้ จะเป็นการ “เปิดโฉมหน้า” อันแท้จริงให้พ่อแม่พี่น้องได้รับรู้ จะได้รู้เสียทีว่า คนเสื้อแดงหรือว่าตัวอำมาตย์กันแน่ คือตัวการล้มเจ้า

ถ้าข้อเขียนนี้ไม่ได้รับการเผยแพร่ ไม่มีใครกล้าเอาไปเปิดเผยต่อ


โปรดรอดูได้เลย...ไม่นานดอกครับ แผ่นดินนี้จะลุกเป็นไฟ


รู้แล้วใช่ไหม ? ใครคือตัวการล้มเจ้า ?!

             ผมว่าศาลรัฐธรรมนูญกำลังทำหน้าที่คล้ายกระทรวงศึกษาธิการ ตามทฤษฎี ซุ่มซ่อนยาวนาน รอคอยโอกาส เมื่อได้จังหวะเหมาะเจาะก็หาเรื่องโยนเชื้อไฟเข้าใส่
ถ้าศาลรัฐธรรมนูญทำสำเร็จ...หมายถึงการทำลายเจ้าโดยตรง ?!

สอาด จันทร์ดี
3 กรกฎาคม 2555
http://redusala.blogspot.com

ลึกแต่ไม่ลับ โดย จรัญ พงษ์จีน



ลึกแต่ไม่ลับ โดย จรัญ พงษ์จีน
คอลัมน์ ลึกแต่ไม่ลับ 
โดย จรัญ พงษ์จีน
ในมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันศุกร์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2555 
ปีที่ 32 ฉบับที่ 1663 หน้า 8


              ในที่สุด รัฐบาล "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" ยอมหลบฉากประเด็นร้อนอีกครั้ง เมื่อมีมตินำกรณีองค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติของสหรัฐ (นาซ่า) ขอใช้สนามบินอู่ตะเภา เพื่อสำรวจชั้นบรรยากาศและสภาพอากาศ ภายใต้โครงการศึกษาการก่อตัวของเมฆที่อาจมีผลก ระทบต่อสภาพอากาศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (SEAC RS) เข้าสู่การประชุมรัฐสภาสมัยสามัญทั่วไป ซึ่งจะเปิดในวันที่ 1 สิงหาคม เพื่อรับฟังความเห็นของ ส.ส. และ ส.ว. หลังจากมีเสียงคัดค้านอย่างหนัก โดยเฉพาะจากพรรคฝ่ายค้านคือ ประชาธิปัตย์ กับกลุ่มพันธมิตรฯ นับเป็นการเบี่ยงตัวหนีเผือกร้อนทางการเมืองอีกระลอก

              ช่วงนี้ ถือว่าชะตาราหูของรัฐบาล "ปู" ไม่สู้ดี พระศุกร์เข้าพระเสาร์แทรก "งานเข้า" ไม่หยุดหย่อน และแต่ละเงื่อนไขล้วนเป็น "ชนวนเสียว" ต่อจิ๊กซอว์มาเป็นชุดๆ ดังที่ได้ลำดับให้ดูชมไปแล้วใน "ลึกแต่ไม่ลับ" เมื่อสัปดาห์ก่อน และคาดหมายว่ายังมีวาระซ่อนเร้นอื่นๆ เตรียมปูดออกมาฟาดกระหน่ำอีกหลายประเด็นในโอกาสต่อๆ ไป

               "คนใน" ระดับ "สุชาติ ธาราดำรงเวช" รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการแท้ๆ ยังสวมบทโหร "ฟันธง" เสียงดังฟังชัดว่ารัฐบาลต้นสังกัด ส่อเค้าว่า "อยู่ไม่ยืด"
ทั้งนี้ "เสมา 1" ซึ่งมีชื่อติดโผอยู่ระนาบหัวแถวมาตลอดว่าจะถูกเขี่ยออก หากมีการปรับ ครม. "ปู 3" ประเมินโดยพื้นฐานว่า รัฐบาลกำลังเผชิญกับมรสุมเยอะมาก ไม่ว่าจะเป็นประเด็น "จตุพร พรหมพันธุ์" แกนนำ นปช. ที่ถูกสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญยื่นถอนประกันคดีก่อการร้าย-การแก้ไขรัฐธรรมนูญ-ปัญหาการแบ่งสีจะรุนแรงมากขึ้น เหล่านี้เป็นปัญหาใหญ่ อาจส่งผลถึงการยุบพรรคบางพรรค การถอดถอน ส.ส. จำนวนมาก จึงเป็นบทสรุปที่น่าสนใจว่า "อยู่ถึงสิ้นปีลำบาก"

                ไม่เพียงแต่ "สุชาติ" ซึ่งอยู่ระดับคลุกวงใน จะรู้สึกหวั่นไหวกับสถานการณ์อันไม่สู้ดี คอการเมืองเอง จับกระแสโดยภาพรวมแล้ว ก็มองไปในทิศทางเดียวกัน ว่ารัฐบาล "ยิ่งลักษณ์" กำลังเจอคลื่นใต้น้ำแปลกๆ ละม้ายใกล้เคียงกับเหตุการณ์ก่อน "ปฏิวัติ 19 กันยายน 2549" ผสมกับ เหตุการณ์ช่วงฆ่าตัดตอนรัฐบาล "สมัคร สุนทรเวช-สมชาย วงศ์สวัสดิ์"
ชงให้เจอทางตันเข้าแก๊ป "ปฏิวัติเงียบ" เพื่อล้างไพ่ทางการเมืองกันใหม่อีกรอบ และคาบนี้ จะไม่เรียกใช้บริการสูตร "เทพประทาน 2" เนื่องจากเกิดอาการผิดหวังมาจาก "เทพประทาน 1" อุตส่าห์กวาดบ้าน จัดสำรับกับข้าว ป้อนน้ำป้อนท่าให้ทุกกรณีแล้ว แต่กลับ "ไม่เอาอ่าว" พ่ายป่าราบ ถูก "ยึดเมือง" กลับไปต่อหน้าต่อตา
กรณีหักโค่นรัฐบาล "ยิ่งลักษณ์" สำเร็จ ด้วยสูตร "ปฏิวัติเงียบ" ข่าวระบุว่ามีการวางตัวบุคคลที่ขึ้นมาขัดตาทัพเรียบร้อยแล้ว เป็น "น้ำดี" เพื่อมากอบกู้วิกฤตประเทศ ชื่อปรากฏออกมา จะไม่มีใครคัดค้าน...ข่าวลือ เขาว่ายังงั้น

                เกมใต้ดิน-บนดิน ในการขยับขับเคลื่อน เพื่อหักโค่นรัฐบาล "ปู" ให้จอดป้าย อาศัยกลไก "นอกสภา" มาเป็นตัวกดปุ่ม "นายใหญ่ดูไบ" ย่อมรู้แจ้งแทงทะลุดีกว่าใครเพื่อน จึงสั่งถอยทุกกรณี และเช็กกระแส เตรียมทางหนีทีไล่ไว้รับมือแล้วทุกกระบวนท่า อย่างสัปดาห์ที่ผ่านมา เล่นแผน "ลับ-ลวง-พราง" ชื่อไปปรากฏอยู่ประเทศญี่ปุ่น เข้าออก 2-3 เที่ยว อ้างว่าเดินสายกินข้าว แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับเกลอเก่าๆ แต่จังหวะปะเหมาะช่วงหนึ่งแอบตีกรรเชียงโฉบเข้าฮ่องกง และสิงคโปร์ ก่อนบินกลับนครดูไบ เพราะนัดหมายไว้กับ "พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก" รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ในฐานะแม่ทัพศึกเลือกตั้งนายก อบจ.อุดรธานี นำ "วิเชียร ขาวขำ" ที่ชนะเลือกตั้งแบบถล่มทลายไปให้ "นายใหญ่" เป่ากระหม่อม

               มีข่าวว่า อีกไม่กี่วันที่จะถึง "ทักษิณ" จะโฉบมาเยี่ยมสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว และย่องเข้าเขมรแบบเงียบๆ

              การบุกกัมพูชาคาบนี้ มีวาระพิเศษสุด คือ บุกไปเคลียร์ใจ และเงินกับ "สมเด็จฮุน เซน"  ประเด็นไม่เป็นเรื่องมีอยู่ว่า ช่วงเทศกาลสงกรานต์เมื่อเดือนเมษายน "นายใหญ่" บินเข้ากรุงพนมเปญ เพื่อให้แกนนำ นปช. และกองทัพ "เสื้อแดง" แห่ไปรดน้ำดำหัว ดังที่เป็นข่าวว่า ยกพลไปสร้างสีสันกันครึกครื้นหลายหมื่นคน

             ตามข่าวเล่ากันเป็นตุเป็นตะในขณะนั้นว่า เพื่อเป็นการซื้อใจค่าใช้จ่ายทุกเม็ด ไม่ว่าจะเป็นที่พัก อาหารการกิน ยานพาหนะ ค่าธรรมเนียม ค่าเข้าชมสถานที่ต่างๆ ถูก "เจ้าภาพ" ใจป้ำบริการฟรีแบบคนกันเองให้ทั้งหมด

             แต่ "นายใหญ่" ไม่ยอม สั่งคนใกล้ชิดประเมินตัวเลขแล้ว "เหมาจ่าย" ให้ ทั้งโรงแรม ค่าภาษี อาหาร และอื่นๆ ให้ประเมินตัวเลขไว้

             ก่อนกลับ มีการโปะจ่ายให้เรียบร้อย ผ่าน "เสี่ย" รายหนึ่ง ซึ่งเป็นล็อบบี้ยิสต์ชื่อดังคนหนึ่งและใกล้ชิดกับศูนย์อำนาจใหญ่

             ปรากฏว่า เงิน-ค่าใช้จ่าย ที่เคลียร์ก่อนเดินทางกลับ ประเมินว่าคงสมน้ำสมเนื้อ ไม่ถึงมือเจ้าของธุรกิจ และหน่วยงานที่ไปใช้บริการ

จึงร้องเรียนกับ "สมเด็จฮุน เซน"

"ฮุน เซน" ทำท่าจะเคือง "นายใหญ่" เลยต้องรีบไปเคลียร์กับเพื่อนเลิฟ

ส่วนการเข้าลาว จะมีนัยยะอะไร ไว้เป็นที่หลบฉากหลังพ่ายทัพหรือไม่ ยังไม่มีใครทราบได้
http://redusala.blogspot.com

แนะนำหนังสือดี ๆ


แนะนำหนังสือดี ๆ

คลิ๊กดูภาพขนาดใหญ่ 


คลิ๊กดูภาพขนาดใหญ่  


หนังสือเล่มนี้ จะออกวางจำหน่ายในวันที่ 5 ตุลาคม  นี้
ท่านที่มีความต้องการ สามารถโทร.สั่งซื้อได้ที่ พีเพิ่ลแชนเนิ่ลนิวส์  02-9348866, 029348877
หรือหาซื้อได้ด้วยตนเองที่ ร้านพีเพิลนิวส์ อิมพีเรียลเวร์ลด์ ชั้น 5 ลาดพร้าว
  ราคาเล่มละ 350.- บาท 
http://redusala.blogspot.com

พรรคเพื่อไทยพบประชาชน ปทุมธานี 6 กรกฏาคม 2555


พรรคเพื่อไทยพบประชาชน ปทุมธานี 6 กรกฏาคม 2555
ดาวน์โหลดคลิ๊ป ได้ที่
http://uncle2475.blogspot.com/2012/07/media-download.html
รับชมการถ่ายทอดสด ทีวีคนเสื้อแดง ที่
http://uncle2475.blogspot.com/2012/07/uncle2475-tv-noproblem.html






1พรรคเพื่อไทยปราศรัย   Sound MP3  จาตุรนต์ ฉายแสง06/07/2555http://www.mediafire.com/?zien659qe76gcoe
2พรรคเพื่อไทยปราศรัย   Sound MP3  อดิศร เพียงเกษ06/07/2555http://www.mediafire.com/?wroa7mrs8cjx23g
3พรรคเพื่อไทยปราศรัย   Sound MP3  สุพร อัตถาวงษ์06/07/2555http://www.mediafire.com/?d2yf17316uppu24
4พรรคเพื่อไทยปราศรัย   Sound MP3  หมอเหวง โตจิราการ06/07/2555http://www.mediafire.com/?uhss6uw28bjgr59
5พรรคเพื่อไทยปราศรัย   Sound MP3  จตุพร พรหมพันธ์06/07/2555http://www.mediafire.com/?s3kg6iqz7jz0a7x
6พรรคเพื่อไทยปราศรัย   Sound MP3  สุพร อัตถาวงษ์06/07/2555http://www.mediafire.com/?s3kg6iqz7jz0a7x
7พรรคเพื่อไทยปราศรัย   Movie Youtube  สุพร อัตถาวงษ์06/07/2555http://www.youtube.com/watch?feature=player_embedded&v=Rm5KBkHq9kM
8พรรคเพื่อไทยปราศรัย   Movie Youtube  อดิศร เพียงเกษ06/07/2555http://www.youtube.com/watch?feature=player_embedded&v=FvhnqOwySNc
9พรรคเพื่อไทยปราศรัย   Movie Youtube  หมอเหวง โตจิราการ06/07/2555http://www.youtube.com/watch?feature=player_embedded&v=o91BuRXiJYA
10พรรคเพื่อไทยปราศรัย   Movie Youtube  จตุพร พรหมพันธ์06/07/2555http://www.youtube.com/watch?feature=player_embedded&v=4r2iR4YwPbY
11พรรคเพื่อไทยปราศรัย   Movie Youtube  จาตุรนต์ ฉายแสง06/07/2555http://www.youtube.com/watch?feature=player_embedded&v=bzzwgeJcJlY
http://redusala.blogspot.com

ศาลรัฐธรรมนูญไต่สวนแก้ไข รัฐธรรมนูญ วันศุกร์ ที่6 กรกฏาคม 2555


ศาลรัฐธรรมนูญไต่สวนแก้ไข รัฐธรรมนูญ วันศุกร์ ที่6 กรกฏาคม 2555
ดาวน์โหลด คลิ๊ป MP3 ได้ที่
http://uncle2475.blogspot.com/2012/07/media-download.html

รับชม TV ถ่ายทอดสดคนเสื้อแดง 
http://uncle2475.blogspot.com/2012/07/uncle2475-tv-noproblem.html





http://redusala.blogspot.com

ขื่อแปตีนศาล


ขื่อแปตีนศาล
บทความโดย "ใบตองแห้ง" อ้างอิงจากเวบไซท์ voicetv http://www.voicetv.co.th/

ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจอะไร ที่คณะรัฐมนตรีเพลย์เซฟ เอาเรื่องนาซ่าขอใช้อู่ตะเภาเข้ารัฐสภา เพื่ออภิปรายตามมาตรา 187 จนท้ายที่สุด นาซ่าต้องถอนตัว เพราะรัฐบาลกลัวผิดมาตรา 190 ซึ่งมีโทษรุนแรงถึงขั้นถอดถอนนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง

มาตรา 190 ก๊อปมาจากอเมริกา รัฐบาลจะทำสนธิสัญญากับใคร ถ้าเป็นเรื่องใหญ่มีผลกระทบประชาชนวงกว้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าต้องแก้ไขกฎหมายภายในประเทศ จะต้องเอาเข้าสภา แต่ตอนนี้ประเทศต้นแบบอย่างอเมริกายังมึนตึ้บ เพราะประเทศสารขัณฑ์เอามาเล่นเกมการเมือง เรื่องขี้หมูราขี้หมาแห้ง ถ้าฝ่ายตรงข้ามแม่-เป็นรัฐบาล ทำอะไรต้องผิดหมด สรุปแล้วรัฐบาลนี้อนุมัติอะไรได้มั่งไม่รู้ ถ้าอเมริกาเอาเรือบรรทุกเครื่องบินมาจอดให้นาวิกโยธินยกพลขึ้นบาร์เบียร์พัทยา ก็อาจถูกโจมตีว่าทำให้เสียดินแดนผืนน้อย
 "นาซา-อู่ตะเภา" แผนสหรัฐฯแผ่อิทธิพลสู่เอเชีย ?

ที่มา : HOT TOPIC 28 มิถุนายน 2555

             กรณีนาซ่ามาอู่ตะเภายากกว่าไปดวงจันทร์ เป็นกรณีที่ไม่รู้จะวิพากษ์วิจารณ์ตรงไหน เพราะฝ่ายที่คัดค้านไร้เหตุผลโดยสิ้นเชิง เบื้องต้น ก็หาว่าจะเอาไปแลกกับการออกวีซ่าให้ทักษิณ อ้าว พอเรื่องโอละพ่อ พบว่าเริ่มต้นมาตั้งแต่รัฐบาลประชาธิปัตย์ สมัยกษิต ภิรมย์ ก็พลิกลิ้นปั้นเรื่องใหม่กันไปเรื่อย ตั้งแต่หาว่านาซ่าขนอาวุธเข้าอู่ตะเภา ไปจนอเมริกามีแผนพัฒนาอาวุธร้าย ใช้แสงออโรราทำให้เกิดภัยธรรมชาติในพื้นที่ที่ตนต้องการ

มันสะท้อนความไร้สติในสังคมไทย ที่คนไม่กี่คนสามารถออกมาปั้นอากาศเป็นตัว โดยอาศัยความช่วยเหลือของสื่อกระแสหลัก ซึ่งทำหน้าที่อย่างไม่มีความรับผิดชอบ (สื่อมักอ้างว่า เสนอข่าวตามที่เป็นข่าว แต่แท้จริงคือการช่วยกระพือกระแสให้พันธมิตรและฝ่ายค้าน) แม้เสียงข้างมากในสังคมยังมีสติ ตามที่เอแบคโพลล์สำรวจ แต่ก็แพ้กระแสสื่อและชนกลุ่มน้อยผีตองเหลืองที่ดันทุรัง เชื่อโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ เชื่อโฆษกพันธมิตร มากกว่าเชื่อนักวิทยาศาสตร์ ทั้งที่เป็นเรื่องวิทยาศาสตร์

             ผีตองเหลืองพวกนี้มีความรู้ทั้งนั้นนะครับ จบปริญญาตรี โท เอก แต่เชื่อฟอร์เวิร์ดเมล์ เชื่อข่าวลือในเฟซบุค มากกว่าใช้การคิดวิเคราะห์อย่างมีเหตุผล

ยิ่งรู้มากยิ่งอัตตามาก เช่นนักข่าวบางคน (ที่ไม่ใช่นักข่าว ASTV หรือไทยโพสต์ด้วยซ้ำ) โพสต์เฟซบุคว่า “นักวิทยาศาสตร์ก็แกล้งโง่ได้” อีกคนผสมโรง “นักวิทยาศาสตร์ขายตัวขายชาติมีถมไป”

             ประเทศนี้เจริญแน่ เพราะนักข่าวรู้เรื่องวิทยาศาสตร์ดีกว่านักวิทยาศาสตร์

มีบางคนตั้งคำถามว่า ทำไมรัฐบาลไม่กล้าตัดสินใจไปเสียให้สิ้นเรื่อง เพราะโพลล์ออกมา เสียงส่วนใหญ่สนับสนุนอยู่แล้ว โห ใครจะไปกล้าละครับ ในเมื่อการตัดสินว่าผิดไม่ผิด ไม่ได้ขึ้นกับเสียงส่วนใหญ่ในสังคม แต่ขึ้นกับตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ 9 คน ซึ่งมั่นใจอะไรไม่ได้ ก็ขนาดแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ โดยตั้ง สสร.เหมือนปี 2540 วสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ ประธานศาลรัฐธรรมนูญ ยังบอกว่า “เป็นไปได้” ที่จะล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

              ขนาดแถลงการณ์ร่วมปราสาทพระวิหาร รับรองแผนที่ที่ประเทศไทยตัดแบ่งปราสาทพระวิหารให้เขมรไปตั้งแต่ปี 2505 ศาลรัฐธรรมนูญยังชี้ว่า “อาจจะ” เสียดินแดน แค่อาจจะ ก็ยังมีความผิด สมัคร-นพดล ถูกฟ้องให้ถอดถอน

              ต่อให้ 100 กฤษฎีกา 1,000 นักกฎหมาย 10,000 นักวิทยาศาสตร์ ก็ไม่มีหลักประกันอันใด ว่าตุลาการศาลรัฐธรรมนูญจะเห็นพ้องด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อศาลชี้ผิดแล้วยังส่งเรื่องไปถอดถอน ซึ่งอาจส่งผลซ้ำรอยมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองจากอำนาจศาล

              ระบบกฎหมายของเรา ไม่สามารถใช้หลักการเหตุผลมาคาดการณ์ ไม่ว่ารัฐบาลจะใช้ดุลพินิจไตร่ตรองอย่างรอบคอบถี่ถ้วนเพียงไร ก็มั่นใจไม่ได้ว่าศาลรัฐธรรมนูญจะตัดสินตามหลักกฎหมาย

ระบบกฎหมายของเรา ไม่มีความมั่นคงแน่นอนที่เชื่อถือได้ เพราะเราไม่มีทางรู้ว่ารัฐบาลทำอะไรไป แล้วจะผิดหรือไม่ผิด จะมีคนตั้งแง่ กล่าวหาว่าผิดอยู่ทุกเรื่อง แล้วตุลาการภิวัตน์ก็อาจจะตัดสินว่าผิด ทั้งที่เรื่องเดียวกันเคยตัดสินว่าถูก

              คำถามคือ บ้านเมืองยังมีขื่อแปอยู่หรือไม่ ในเมื่อขื่อแปพร้อมจะพลิกผันได้ทุกเมื่อ ด้วยการตีความ



ถ้า “ล้มล้าง” ก็กลียุค

             อันที่จริง ในตอนแรกผมยังไม่ค่อยเชื่อว่า ศาลรัฐธรรมนูญจะกล้าๆ ตีความให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ เป็นการ “ล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” แต่พอเห็นความสามารถในการปั้นอากาศเป็นตัวของพรรคประชาธิปัตย์ พันธมิตร และสื่อ ในกรณีนาซ่า ก็เริ่มคิดเผื่อว่า ประเทศนี้อะไรก็เป็นไปได้ทั้งนั้น

คนขนาดอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ยังกล้าๆ ออกมาอ้างว่า มาตรา 291 ห้ามแก้ทั้งฉบับ เฮ้ย ประวัติศาสตร์รัฐธรรมนูญไทยและรัฐธรรมนูญทั้งหลายในโลกนี้ มีด้วยหรือที่ห้ามแก้ ผมขี้เกียจไปค้นตำรา แต่ถ้าจะมีรัฐธรรมนูญไหนห้ามแก้ ก็คงเป็นรัฐธรรมนูญของฮิตเลอร์ มุสโสลินี พรรคคอมมิวนิสต์ หรือเผ่าอูลาฮากู ที่หัวหน้าเผ่ามีอำนาจอยู่ผู้เดียว

              รัฐบาลและรัฐสภาน่าจะเสนอพยานเพิ่ม ไปหักล้างกับสมคิด เปล่า ไม่ใช่วรเจตน์ เอาแค่พุทธิพงษ์ พงษ์เอนกกุล ก็พอ

              ถ้าสมคิดจะอ้างว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้ผ่านการลงประชามติ ก็ต้องย้อนถามว่าตอนลงประชามติคุณบอกประชาชนไหมว่าห้ามแก้ คุณไม่ได้บอกเลยนี่ครับ ไม่ได้เขียนไว้ตรงไหนด้วย แถมตอนดีเบตกันก็มีแต่คนพูดว่า ให้รับไปก่อนแล้วแก้ทีหลัง อ้างด้วยว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้แก้ง่าย

              พยานคนสำคัญคือ จรัญ ภักดีธนากุล ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ที่พูดไว้สมัยเป็นรองประธานคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ 2550 ว่าให้รับไปก่อนแล้วค่อยมาแก้ ตั้ง สสร.มาแก้เหมือนปี 2540 รัฐบาลควรเอาเทปการดีเบตไปยืนยัน ถ้าศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า แก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับไม่ได้ โดยมารยาท จรัญต้องลาออก ไม่ใช่แค่งดออกเสียงหรือทำเป็นเสียงข้างน้อย ต้องลาออกและยุติบทบาททุกอย่าง เพราะร่างรัฐธรรมนูญเอง มาเป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเอง แล้วสิ่งที่ท่านพูดไว้กลับกลายเป็นความผิด

               พยานอีกปากที่รัฐบาลน่าจะนำไปอ้าง ให้ศาลรัฐธรรมนูญออกหมายเรียก ไม่ใช่ใครที่ไหน คืออานันท์ ปันยารชุน ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ 2540 เรียกไปถามสิว่าการแก้รัฐธรรมนูญทั้งฉบับผิดตรงไหน ตอนนั้นมีใครกำหนดข้อห้ามอะไรหรือไม่

               อานันท์จะมาชิ่งแต่เพียงว่า ไม่ได้รู้เห็นเป็นพยานให้สมเจตน์ บุญถนอม แค่นั้นไม่พอนะครับ

               แต่อันที่จริงผมไม่เห็นด้วยหรอกที่รัฐบาลและรัฐสภาไปยื่นคำให้การแก้ต่างกับศาลรัฐธรรมนูญ เพราะรัฐบาลและรัฐสภาควรยืนหยัดปฏิเสธอำนาจศาล อยากพิจารณาอย่างไรก็ให้พิจารณาไป รัฐบาลและรัฐสภาไม่ยอมรับ เนื่องจากศาลรัฐธรรมนูญทำเกินอำนาจ ก้าวล่วงมาใช้อำนาจเหนือรัฐธรรมนูญ

                ถ้อยคำที่ไร้สาระที่สุดของ วสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ คืออ้างว่าฝ่ายรัฐบาลและรัฐสภาไม่เห็นออกมาปฏิเสธเลยสักคน เป็นคู่ความประสาอะไร โจทก์ฟ้องจำเลย แทนที่จะไปสู้กับโจทก์เพื่อแก้ข้อกล่าวหา แต่กลับมาสู้กับศาล

                ข้อแรก ก็ศาลใช้อำนาจเกินขอบเขต ข้อสอง มันเป็นข้อหาไร้สาระเสียจนไม่รู้จะตอบโต้อย่างไร รัฐสภาแก้ไขรัฐธรรมนูญตามอำนาจที่รัฐธรรมนูญให้ไว้ กลับมีคนกล่าวหาว่าล้มล้างระบอบ พูดอย่างไรก็กวนน้ำให้ขุ่น จะแก้ต่างอย่างไรก็ไร้ประโยชน์

                ฉะนั้น ถ้าประเมินล่วงหน้า ศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยอย่างไร ผมมองว่ามี 3 ทางคือหนึ่ง ไม่ผิด ให้แก้รัฐธรรมนูญวาระ 3 ต่อไปได้ ซึ่งมีความเป็นไปได้น้อยมาก อุตส่าห์ลงทุนแหกมาตรา 68 มาถึงขนาดนี้

                ทางที่สองคือ แก้รัฐธรรมนูญมาตรา 291 แบบนี้ไม่มีหลักประกันว่าจะ “ล้มล้างระบอบ” หรือไม่ ให้เพิ่มเข้าไปว่า เมื่อ สสร.ร่างรัฐธรรมนูญเสร็จแล้ว จะให้ประธานรัฐสภาวินิจฉัยแต่ผู้เดียวไม่ได้ ต้องให้ศาลรัฐธรรมนูญตรวจสอบก่อน

                ข้อนี้เป็นไปได้มากที่สุด ดูเหมือน “พบกันครึ่งทาง” แต่จริงๆ ไม่ใช่ เพราะศาลรัฐธรรมนูญไม่มีอำนาจที่จะมาวินิจฉัย ไม่มีอำนาจที่จะมาสกัดขัดขวางการแก้ไขรัฐธรรมนูญของ สสร.ที่ประชาชนเลือกตั้งมา เป็นสิ่งที่ยอมไม่ได้เด็ดขาด เพราะศาลรัฐธรรมนูญอาจฉีกรัฐธรรมนูญทั้งฉบับที่ สสร.อุตส่าห์ร่างมา แล้วการแก้ไขรัฐธรรมนูญจะมีความหมายอะไร

                แต่ในทางการเมืองก็น่ากลัวว่าจะมีการสร้างกระแส “เพื่อความสงบ” รัฐบาลควรยอม ผ่านสื่อที่ทำเนียน ทำเป็นไม่เห็นด้วยกับ ปชป.หรือพันธมิตร แต่เอาเถอะ พบกันครึ่งทางดีกว่า แถมรัฐบาลสู้ไปกราบไป ก็อาจจะยอมศิโรราบให้เขาด้วยสิครับ

                ทางที่สามคือ ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับมีความผิด เป็นการล้มล้างระบอบ ยุบพรรคเพื่อไทย พรรคชาติไทยพัฒนา ถอดถอนตัดสิทธิ 461 ส.ส. ส.ว. ซึ่งแม้มันจะบ้าบอคอแตก แต่ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้

                คำถามคือถ้ามันเป็นไปได้ แล้วรัฐบาล รัฐสภา พรรคเพื่อไทย มวลชนเสื้อแดง จะรับมืออย่างไร

                รัฐบาลกับรัฐสภาจะยอมรับคำวินิจฉัยนี้ไม่ได้ เพราะถ้ายอมรับก็เท่ากับยอมเป็นทาสอำมาตย์ไปชั่วกัลปาวสาน คุณอาจจะชนะเลือกตั้งถล่มทลายถ้ามีการเลือกตั้งใหม่ แต่ชนะแล้วแก้รัฐธรรมนูญไม่ได้ ปรับโครงสร้างอำนาจไม่ได้ จะมีประโยชน์อะไร

               หนทางเดียวเท่านั้นคือรัฐบาลและรัฐสภาต้องสู้ ไม่ยอมรับคำวินิจฉัยของศาล ประกาศเป็นคำวินิจฉัยเถื่อน ตรึงอำนาจของตนไว้ แน่นอน จากนั้นก็คือการแตกหัก พันธมิตร สลิ่ม ปชป.จะออกมาเต็มถนน หาว่ารัฐบาลเป็นรัฐบาลเถื่อน ไม่ถูกกฎหมาย ขณะที่มวลชนเสื้อแดงก็จะต้องออกมาปกป้องรัฐบาล ซึ่งจะนำไปสู่กลียุค อำนาจ 3 ฝ่ายในระบอบแตกกระจาย กองทัพอาจฉวยโอกาสทำรัฐประหาร หรือมีข้ออ้างนำไปเรียกร้อง “นายกพระราชทาน”

ผมยังนึกวาดภาพกลียุคครั้งนี้ได้ไม่ชัดเจน แต่แกนนำรัฐบาล พรรคเพื่อไทย เสื้อแดง ควรต้องคิดได้แล้วว่าคุณจะต่อสู้อย่างไร เพราะถ้าศาลวินิจฉัยออกมาเช่นนั้นก็เท่ากับล้มล้างระบอบประชาธิปไตยทั้งระบอบ เลิกพูดเรื่องเหตุผล เรื่องหลักการ กลับไปสู่การเอาชนะกันด้วยกำลัง ด้วยการฆ่าฟัน ซึ่งแน่นอน ฝ่ายที่มีกองกำลังอาวุธในมือคือฝ่ายได้เปรียบ ฝ่ายที่มีมวลชน แม้จะมากกว่าสักกี่เท่า ก็เสียเปรียบอยู่ดี

               ถ้าถึงตอนนั้นนะครับ รัฐบาลและพรรคเพื่อไทยจะต้องสำนึกเสียใจ ที่ไม่กล้าลงมติไม่รับคำสั่งศาลรัฐธรรมนูญ และผ่านร่างแก้ไขมาตรา 291 วาระ 3 แต่กลับไปหงอ ยอมรับอำนาจศาล ส่งคำให้การแก้ต่าง ทั้งที่รู้ว่าพูดอะไรไปก็อาจจะผิดอยู่ดี

               สิ่งที่พรรคเพื่อไทยและ นปช.ทำได้ในตอนนี้ จึงมีแค่การรณรงค์เชิงเหตุผล ให้เห็นการก้าวล่วงของศาลรัฐธรรมนูญ ประสานกับการแสดงพลังของมวลชน ที่ประกาศท่าทีไม่ยอมรับคำสั่งศาลรัฐธรรมนูญ

               ส่วนตัวผมกลัวทั้งทางที่สอง และทางที่สาม แต่ขอบอกว่ากลัวทางที่สามน้อยกว่า กลัวทางที่สองมากกว่า เพราะกลัวความขลาดเขลาของรัฐบาลและพรรคเพื่อไทย จะถูกบีบให้ยอมเขาไปเรื่อยๆ จนไม่มีทางดิ้นรน


ใบตองแห้ง
http://redusala.blogspot.com